ในเดือนเมษายน ผู้แทรรัฐต่าง ๆ 11 รับในเยอรมันตะวันตกได้ร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ให้ชื่อว่า สหพันธ์สาธารณรัฐเยอมันมีเมืองหลวงที่กรุงบอนน์ ดร.คอนราด อาเดเนาว์ เป็นนายกรัฐมนตรี
ในปี 1948 ประเทศมหาอำนาจตะวันตกได้ตำลงกันเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลในเยอมันตะวันตกให้มีอำนาจอย่างสมบูรณ์ จัดตั้งฐานทัพเพื่อเป็นแนวป้องกันการรุกรานของยุโรปตะวันออกและมหาอำนาจตะวันตกเลิกยึดครองเยรมันตะวันตก ต่อจากนั้นเอยมนตะวันตกและอิตาลได้รับเชิญให้เข้าประชุมกับอังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เนิทร์แลนด์และลักเซมเบิร์ก จัดตั้งองค์การ สนธิสัญญาแห่งกรุงบรัสเซล เยอรมันตะวันตกได้เป็นสมาชิกอันดับที่ 15 ขององค์การนาโต้ และทำการตกลงกับฝรั่งเศสเกียวกับแคว้นซาร์ในที่สุดเคว้นซาร์ก็รวมอยู่กับเยอมันตะวันตก
เยอรมันตะวันตะเริ่มบำรุงกองทัพ ปี 1957 เยอรมันตะวันตกมีทหารกว่า 2 แสนนาย และเป็นกำลังสำคัญทางเศรษฐกิจรองจากรุสเซีย มหาอำนาจตะวันตกกต้องการให้เยอมันตะวันตกและตะวันออกรวมกันเพื่อความเข้มแข็งทางการเมืองและเศรษฐกิจ มหาอำนาตตะวันตกร่วมกับรัฐบาลเยรมันตะวันตกได้ร่างคำประกาศแห่งเบอ์ลิน เพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งทั่วไป และสนับสนุนให้มีการรวมเยอมันให้มีอำนาจการดำเนินนโยบายการต่างประเทศโดยลำพัง และป้องกันไม่ให้รุสเซียและประเทศในยุโรปตะวันออกเข้ามาขัดขวางการดำเนินงานของรัฐบาลชุดนี้ รุสเซียนั้นไม่เห็นด้วยและต้องการให้รัฐบาลเยอมันตะวันตกและตะวันออกเจรจาตกลงกันเองโดยที่ประเทศมหาอำนาจทั้งหลายวางตัวเป็นกลาง
เยอรมันตะวันตกได้รับความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกาตามแผนการณ์มาร์แชล ดังนั้นรัฐบาลเยอมันตะวันตกจึงเร่งพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป จนในปัจจุบันเยอมันตะวันตกมีผลผลิตทางอุตสาหกรรมได้เป็นอันดับที่ 3 ของโลก
สาธารณรับประชาธิปไตยเยอมัน เยอรมันตะวันออกหรือสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอมันอยู่ภายใต้อิทธิพลของรุสเซียในปี 1949 มีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้น เยอรมันตะวันออกมีทรัพยากรธรรมชาติทางด้านการอุตสาหกรรมน้อยกว่าเยอรมันตะวันตก เศรษฐกิจตกต่ำ ผลผลิตทางด้านอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมน้อยมากเมือเทียบกับจำนวนประชากร ในปี 1953 ประชาชนในเยอมันตะวันอกจำนวนหว่าแสนคนอพยพเข้ามาในเขตเยอรมันตะวันตก เนื่องจากขาดแคลนอาหารและไม่พอใจการปกครองตามระบอบคอมมิวนิสต์ และในปี 1958 ประเทศมหาอำนาจตะวันตกก็เข้าไปมีบทบาทเข้าไปช่วยเลหือประชาชนในกรุงเบอร์ลิน โดยการขนส่งอาหารและปัจจับจัยต่าง ๆ ที่จำเป็นไปให้ทางอากาศ รุสเซียสัญญาว่าจะเลิกเข้าไปมีอิทธิพลในเยอมันตะวันออก แต่รุสเซียก็ยังเข้าไปควบคุมพรรคคอมมิวนิสต์และให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลเยอรมันตะวันออกเหมือนเดิม
องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น เป็นองค์การร่วมือกันระหว่างประเทศเกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่2 การกอตั้งนั้นเริ่มขึ้นในรระยะเวลาที่สงครามดำเนินอยู่ คือเกิดระหว่างสงคราม
การประชุมในปี 1945 ที่ซาน ฟรานซิสโก มีผู้แทรจาก 44 ประเทศเข้าร่วมประชุม และประเทศที่เข้าร่วมใหม่อีก 6 ประเทศรวมเป็น 50 ประเทศ ผู้ร่วมประชุมกว่า 4,000 คนที่ประชุมรับรองกฎบัตรแห่งองค์การสหประชาชาติด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ โดยมีจุดมุ่งหมาย
1 เพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างชาติ มีการร่วมือกันป้องกันและขจัดการคุกคามต่อสันติภาพโดยสันติวะธี
2 เพื่อพัฒนาสัมพันธไมตรีระหว่างชาติ เคารพสิทธิเสมอภาพ
3 เพื่อบรรลุผลการร่วมมือระหว่างชาติในการแห้ปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ด้วยมนุษยธรรม ส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชนดดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางเชื้อชาติ เพศ ภาษาและศาสนา
4 เพื่อเป็นหน่วยกลางประสานการปฏิบัติงานของนานาชาติ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย
ในปี 1960 ประเทศต่าง ๆ ผลิตอาวุธขึ้นใช้อยางมาก แต่ประเทศต่าง ๆ ก็เกรงภัยจากสังครามนิวเคลีย สหรัฐอเมริกาทดลองระเบิดปรมาณูครั้งแรกปี 1945 รุสเซียในปี 1949 อังกฤษในปี 1953 ฝรั่งเศษในปี 1960 และจีนในปี 1964 นอกจากระเบิดปรมาฯแล้ว บังมีวิทยาการต่าง ๆที่ก้าวไกลกว่านั้น สามประเทศมหาอำนาจ คอ สหรัฐฯ รุสเซีย และอังกฤษ แสวงหาวิธีที่จะไม่ให้ประเทศอื่นๆ ใช้อาวุธนิวเคลีย
การแข่งขันกันระหวางสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกาสร้างความหวาดกลัวให้กับประเทศอื่นๆ มาก ประเทศมหาอำนาจทั่ง 2 ต่างก็ขยายอิทธิพลของตน ในระหว่างปี 1946-1965 สหรัฐฯให้ความช่วยเหลือทางด้านทหารและอาวุธ ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อนำไปพัฒนาประเทศ ในขณะที่รุสเซียจัดตั้งอค์การช่วยเลหือทางด้านเศรษฐกิจจากประเทศต่างๆ ในยุโรป และทั้ง 2 ประเทศมีนโยบายเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่าง ๆ นโยบายเหล่านี้บางที่ก็เป็นผลดีและบางที่อาจเป็นผลร้าย
อังกฤษ
ประเทศอังกฤษได้มีส่วนริเริ่มในการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ และเข้าร่วมในองค์การตาง ๆ เช่น องค์การอนามัยโลก กองทุนสงเคราะห์ระหว่างประเทศ “ไอเอ็มเอฟ” และองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมหรือ “ยูเนสโก” อังกฤษร่วมมือกับสหรัฐในการจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉพียงใต้ โดยใช้ชื่อย่อว่า SEATO เข้าร่วมในองค์สนธิสัญญป้องกันอแตแลนติคเหนือ หรือ นาโต้
ความเสียหารด้านต่าง ๆ ที่อังกฤษได้รับในระหว่างสงครามนั้น ทำให้อังกฤษมีเศรษฐกิจตกต่ำมาก และกลายเป็นปรเทศมหาอำจรองลงไป ประเทศที่เป็นมหาอำนาจแทนคือสหรัฐอเมริกและสหภาพโซเวียต ซึ่งมีความสามารถในด้านการอุตสาหกรรม ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมตลอดจนอาวุธที่ทันสมัย ด้วยเหตุนี้นโยบายต่างปรเทศของอังกฤษต้งอคล้อยตามสหรัฐอเมริกา
อังกฤษต้องยอมให้เอกราชแก่อาณานิคมหลายแห่ง เช่นที่อินเดีย อินเดียถูกแบ่งเป็นสองส่วนคือ พวกที่นับถือศาสนาอิสลามคือประเทศ ปากีสถาน และพวกที่นับถือศาสนาฮิดูปกครองอินเดีย
อังกฤษมีส่วนร่วมในสงครามเกาหลี ดดยส่งกองทหารตามคำเรียร้องของสหประชาชาติไปช่วยเกาหลีใต้ทกสงครามกับเกาหลีเหนือ และฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะสงคราม นอกจานรี้อังกฤษยังเข้าไปมีบทบาทในตะวันออกกลาง กว่าวคืออังกฤษสนับสนุนพวกยิวให้กลับเข้าสู่ปาเลสไตน์ อังกฤษเข้าไปมีอิทธิพลในอียิปต์สนับสนุนให้ต่อต้านเตอรกี ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของอังกฤษเอง
การสงครามทำให้เศรษฐกิจของประเสทรุดหนัก รัฐบาลต้องกู้เงินจาสหรัฐและแคนาดา เพื่อนำมาพัฒนาประเทศ รัฐบาลทุกคณะที่เข้ามาบริหารประเทศภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่างก็มีนโยบายเพื่อปรับปรุงประเทศให้เจริญก้าวหน้า แล้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองให้ดีขึ้น รัฐบาลอังกฤษได้เข้าเป็นสมมาชิกขององค์การตลาดร่วม รัฐบาลแก้ปัญหาการเดินขบวนต่อต้านชนกลุ่มน้อยที่เข้าไปทำมาหากินในประเทศอังกฤษ
ฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสก็เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ภายหลังสงครามเศรษฐกิจตกต่ำพรรคการเมืองต่าง ๆ แข่งขันกับเข้าบริหารประเทศ ประธานาธิบดีเอดโกลจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวใน ค.ศ. 1946 และภายหลังการเลือตั้งทั่วไปใน ฝรังเศสมีการปกครองตามระบอบสาธารณรับครั้งที่ 4 มีนายพลเดอโกล เป็นประธานาธิบดี ในการบริหารประเทศ รัฐบาลต้องเผชิญเกี่ยวกับปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รัฐบาลได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาตามแผนการณ์มาร์แชล เพื่อฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม รัฐบาลได้นำเงินนี้ไปพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก
กลุ่มปะเทศยุโรปตะวันออกมีรุสเซียหนุนหลัง สนับสนุนใหพรรคคอมมิวนิสต์เข้าแทรกแซงทางการเมืองในประเทศต่าง ๆ เรื่อยมา ทไฐนะการเมืองปั่นป่วน และความตรึงเครียดของประเทศมหาอำนาจ 2 ค่ายทวีความรุนแรงมากขึ้น การเข้าแทรกซึมก่อการวุ่นวายให้แก่ฝ่ายตรงข้ามนี้เป็น สงครามเย็น และในบางครั้ง ก็เกิดเป็นสงครามในประเทศต่าง ๆ
วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556
วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Under America of Occupation
“แม้ว่าทุกคนจะทำอย่างดีที่สุดแล้วก็ตาม…สถานการณ์สงครามได้พัฒนาไปโดยไม่จำเป็นว่าจะทำให้ญี่ปุ่นเป็นผ่ายได้เปรียบ ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือดต่อไป บางที่อาจจะถึง การทำลายอารยธรรมของมวลมนุษย์ชาติโดยสิ้นเชิง ญี่ป่นุจะต้ออดทนในสิ่งที่เหลือจะอดทนได้และทนทุกข์ในส่งที่เหลือจะทนทุกข์ได้ “
พระราชดำรัชซึ่งพระมหาจักรพรรดิทรงดำรัสต่อประชาชน
การยึดครองญี่ปุ่นเป็นเรื่องที่อเมริกาดำเนินการเองในทุกด้าน ในทางปฏิบัติการดำเนินนโยบายต่างมีนายพลแมคอาเธอร์เป็นผู้ดำเนินการ ในฐานที่เป็ฯผุ้บัญชาการทหารอเมริกาในพื้นที่ เขารับคำสั่งจากวอชิงตันเท่านั้น แนวทางพื้นฐานที่จะปฏิบัติงานได้เริ่มมีกำหนดขึ้นโดยรัฐบาลอเมริกา และต่อมาคณะกรรมาธิการได้ให้ความเห็ฯชอบ แผนที่นับว่าตรงไปตรงมาที่สุดคือแผนสิ้นสุดกำลังแสนยานุภาพญี่ปุ่น ไปตามครรลองที่ได้มีการทำลายยุทธปัจจัยและกรมกองต่าง ๆ สลายกองทัพที่มีกำลังกว่า 2 ล้าน ให้กลับบ้านและอพยพผู้คนกว่า 3 ล้าน จากดินแดนโพ้นทะเล และการลงโทษญี่ปุ่นอีกแบบหนึ่งโดยกาลิดรอนดินแดนทุกแหงที่ญี่ปุ่นได้ไว้ในครอบครอง ตั้งแต่ปี 1869 รวมทั้งหมู่เกาะริวกิวและคูริล อีกส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินคดี อาชญากรสงครามต่อผู้นำที่ได้ก่อสงครามขึ้น ประมาณ 24 คน ถูกนำตัวขึ้นสาสพิจารณาที่โตเกียวโดยคณะผู้พิพากษาระหวางประเทศ
การลงโทษมิได้เป็นเพียงจุดมุ่งหมายแรกเริ่มประการเดียวของการยึดครอง เวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น คำประกาศพอตสดัมได้ประกาศเจตจำนงของพันธมิตรที่จะ “ขจัดอุปสรรคทั้งปวงที่มีต่อการฟื้นผู้และการเสริมพลังอันแข็งแกร่งแก่แนวโน้มประชาธิปไตยท่ามกลางประชาชนญี่ปุ่น” มาตรการทันที่ประการหนึ่งทีดำเนินการแล้ว คือ การอภัยโทษทางการเมืองแดก่กลุ่มผุ้คนที่ได้พยายามอย่างไร้ผลในการที่จะต่อต้านรัฐบาลทั้งก่อนและระหว่างสงคราม ได้แก่พวกคอมมิวนิสต์ สังคมนิยมและเสรีนิยมในทุกรูปแบบมีหลายคนที่ถูกจำคุกมาหลายปีแล้ว ขั้นต่อมาคือการกีดกันออกจากสังคม จากตำแหน่างสำคัญๆ ทั้งในราชการแผ่นดิน การเมือง การศึกษา วงการหนังสือพิมพ์และวิทยุหรือแม้แต่วงการธุรกิจ “การกวาดล้าง”ครั้งนี้มีผลกระทบต่อผู้คนกว่า สองแสนคน หนทางสู่การเป็นผู้นำญี่ปุ่นหนักหน่วงมากพอที่จะไม่เพียงแต่บั่นทอนพลังประเพณีนิยมที่ยึดถือสังคมไว้เท่านั้นหากแต่ยังลดประสิทธิภาพลงชั่วขณะ
ในขณะเดียวกัน สหรัฐแมริกาได้สนับสนุนให้จัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นแทนสมาคมช่วยจักรพรรดิราชย์ ที่นับว่ามีอำนาจมากที่สุดคือพรรคเสรีนิยมแลพรรคก้าวหน้า ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นนักการเมืองหัวอนุรักษ์นิยมของก่อนสมัยสงครามที่รอดพ้นจากการกวาดล้าง กึ่งกลางของสองพรรคนั้นปรากฎเป็นการผสมกันอย่างไม่ใคร่จะดีนักระหว่างพวกหัวไม่รุนแรงกับพวสังคมนิยมเป็นพรรคสังคมประชาธิปไตย ในขณะที่บรรดาองค์กรของพวกหัวรุนแรงรอบนอกก็ยังมีปรากฏเป็นพวกซ้าย ที่สำคัญคือ พรรคคอมมิวนิสต์มีอิสระที่จะดำเนินการเป็นครั้งแรกเป็นเวลาหลายปี …
ระหว่างการยึดครองสามปีแรกมีการเปลี่ยนแปลงทางรัฐธรรมนูญ การปกครองส่วนท้องถิ่น การศาล กฎหมาย ความสัมพันธ์แรงงาน การยึดถือที่ดินและการศึกษา ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการปฏิบัติชีวิตญี่ปุ่น
รัฐธรรมนูญซึ่งถูกร่างขึ้นในกองบัญชาการ นายพลแมคอมเธอร์ เมื่อปรากฎว่าข้าราชการญี่ปุ่นสนองตอบช้าเกินต่อข้อแนะโยนัยที่ให้ทำอะไรด้วยตนเอง ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ในวันที่ 6 มีนาคม 1947
ในช่วงแรกรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์กระทั่งถึงขั้นเย้ยหยันทั้งในและนอกประเทศ ถึงกระนั้นการให้รัฐสภามีอำนาจอันมั่งคงยิ่งเป็นการกระทำที่ชาวญี่ปุ่นเองอาจเห้ฯว่ายากที่จทำได้ด้วยตนเอง ..
จุดประสงค์หนึ่งที่บรรลุผลโดยการเตรียมการเรือ่งรัฐธรรมนูญก็คือ การสร้างระบบที่มีแกนกลางแห่งอำนาจควบคุมโดยคะแนนเสียงปวงชน แทนที่จะเป็นแกนกลางแห่งอำนาจที่ควบคุมโดยพระราชอำนาจพิเศษเป็นครั้งคราวซึ่งเป็นการใช้พระราชอำนาจพิเศษนั้นโดยหมู่คณะต่าง ๆ ของพลเรือนและทหาร ระบบนี้จึงเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงมิได้กับการระบุอีกครั้งเรื่องฐานะของราชบัลลังก์ พระจักรพรรดิทรงกลายเป็น “สัญลักษณ์แห่งรัฐ..โดยฐานะของพระองค์เกิดจากเจตนารมย์ของประชาชนที่มีอำนาจอธิปไตย พระราชานุกิจต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐบาลและต้องมีการระบุพระราชานุกิจแน่นอนโดยเฉพาะ เป็นความเปลี่ยนแปลงซึ่งที่ปรึกษาแห่งราชสำนักยอมรับถึงขนาดให้การต้อนรับความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นด้วย บรรดาที่ปรึกษากำหนดภาพพจน์ใหม่ของกษัตริย์โดยได้รับความสำเร็จดียิ่ง ภายในหนึ่งปี บรรดาที่ปรึกษาได้ทำให้พระจักรพรรดิทรงเป็นหลักแห่งความจงรักภักดีบนพื้นฐานแห่งความรักมากว่าความยำเกรงโดยการวางแผนอย่างรอบคอบยิ่งในเรื่องการเสด็จปรากฏพระองค์และเรื่องพระราชดำรัส วิธีดังกล่าว ทำให้ราชบัลลังก์มั่นคงและมีเกียรติภูมิในช่วงที่การปราชัยได้คุกคามราชบัลลักงก์และเกียรติภูมิอย่างรุนแรงยิ่ง ความเปลี่ยนแปลงในลำดับต่อมาคือ ในด้านการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยถูกยกเลิกและการปฏิบัติหน้าที่ราชการส่วนใหญ๋ของกระทรวงได้ถูกกระจายออกไปโดยมอบหมายให้ระดับมณฑลและระบเมืองปฏิบัติราชการแทน บรรดาผู้ว่าการมณฑลและนายกเทศมนตรีเป็นผู้ที่ต้องผ่านการเลือกตั้ง … สภาระดับท้องถิ่นต้องเป็นสภาที่มาจากการเลือกตั้ง การศึกษากลายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมีเจตจำนงที่จะ “ปลูกผั่งประชาธิปไตย” การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางถูกดำเนินไปโดยการแยการศาลออกจากการบริหาร การประกาศกฎหมายตามระบอบรัฐธรรมนูญนั้นเป็นการปกป้องเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวง ความเสมอภาคระหว่างชายและหญิง
การแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติแรงงานซึ่งมีผลต่อการสร้างผลประโยชน์อันทรงอำนาจยิ่งที่ต้องผุกมัดกับการธำรงไว้ซึ่งการปฏิรูปทั้งปวงพระราชบัญญัติสหภาพแรงงาน ทำให้เกิดการปั่นปวนซึ่งตรงกันข้ามกับการปฏิรูปที่ดินซึ่งได้ถูกวางแผนขึ้น ด้วยความเช่อว่า ความไม่สงบทางการเกษตรที่มีส่วนทำให้ญี่ปุ่นก้าวร้าวรุกรานนั้น ได้ช่วยลดความตึงเครียดในชนบทลงมาถึงจุดต่ำกว่าเดิมในสมัยใหม่ข้อเสนอครั้งแรกเพื่อปฏิรูปที่ดินได้ถูกเตรียมการขึ้นโดยข้าราชการญี่ปุ่นและยื่นจ่อรัฐบาลในเดือนพฤศจิกายน
การปฏิรูปการศึกษาได้ปฏิบัติหน้าที่ให้บริการแบบเดียวกันแก่เด็กนักเรียนญี่ปุ่น เป้นการให้ผลต่อท่วงทีเท่าๆ กับให้ผลต่อเนื้อหาของการสอนและให้บรรยากาศที่เป็นอิสระมากกว่าแก่โรงเรียน คณะผุ้แทนการศึกษาจากอเมริกาได้มาถึงญี่ปุ่น และข้อเสนอแนะของคณะนี้ได้รับปฏิบัติตามทันที่ให้เป็นแบบจัดการศึกษาตามแนวทางอเมริกา ดังที่ได้กล่าวว่า การบริหารราชการแผ่นดินเป็นแบบการะจายอำนาจภายใต้คณะกรรมการที่มารจากการเลือกตั้งระดับมณฑลและเมือง
พระราชดำรัชซึ่งพระมหาจักรพรรดิทรงดำรัสต่อประชาชน
การยึดครองญี่ปุ่นเป็นเรื่องที่อเมริกาดำเนินการเองในทุกด้าน ในทางปฏิบัติการดำเนินนโยบายต่างมีนายพลแมคอาเธอร์เป็นผู้ดำเนินการ ในฐานที่เป็ฯผุ้บัญชาการทหารอเมริกาในพื้นที่ เขารับคำสั่งจากวอชิงตันเท่านั้น แนวทางพื้นฐานที่จะปฏิบัติงานได้เริ่มมีกำหนดขึ้นโดยรัฐบาลอเมริกา และต่อมาคณะกรรมาธิการได้ให้ความเห็ฯชอบ แผนที่นับว่าตรงไปตรงมาที่สุดคือแผนสิ้นสุดกำลังแสนยานุภาพญี่ปุ่น ไปตามครรลองที่ได้มีการทำลายยุทธปัจจัยและกรมกองต่าง ๆ สลายกองทัพที่มีกำลังกว่า 2 ล้าน ให้กลับบ้านและอพยพผู้คนกว่า 3 ล้าน จากดินแดนโพ้นทะเล และการลงโทษญี่ปุ่นอีกแบบหนึ่งโดยกาลิดรอนดินแดนทุกแหงที่ญี่ปุ่นได้ไว้ในครอบครอง ตั้งแต่ปี 1869 รวมทั้งหมู่เกาะริวกิวและคูริล อีกส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินคดี อาชญากรสงครามต่อผู้นำที่ได้ก่อสงครามขึ้น ประมาณ 24 คน ถูกนำตัวขึ้นสาสพิจารณาที่โตเกียวโดยคณะผู้พิพากษาระหวางประเทศ
การลงโทษมิได้เป็นเพียงจุดมุ่งหมายแรกเริ่มประการเดียวของการยึดครอง เวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น คำประกาศพอตสดัมได้ประกาศเจตจำนงของพันธมิตรที่จะ “ขจัดอุปสรรคทั้งปวงที่มีต่อการฟื้นผู้และการเสริมพลังอันแข็งแกร่งแก่แนวโน้มประชาธิปไตยท่ามกลางประชาชนญี่ปุ่น” มาตรการทันที่ประการหนึ่งทีดำเนินการแล้ว คือ การอภัยโทษทางการเมืองแดก่กลุ่มผุ้คนที่ได้พยายามอย่างไร้ผลในการที่จะต่อต้านรัฐบาลทั้งก่อนและระหว่างสงคราม ได้แก่พวกคอมมิวนิสต์ สังคมนิยมและเสรีนิยมในทุกรูปแบบมีหลายคนที่ถูกจำคุกมาหลายปีแล้ว ขั้นต่อมาคือการกีดกันออกจากสังคม จากตำแหน่างสำคัญๆ ทั้งในราชการแผ่นดิน การเมือง การศึกษา วงการหนังสือพิมพ์และวิทยุหรือแม้แต่วงการธุรกิจ “การกวาดล้าง”ครั้งนี้มีผลกระทบต่อผู้คนกว่า สองแสนคน หนทางสู่การเป็นผู้นำญี่ปุ่นหนักหน่วงมากพอที่จะไม่เพียงแต่บั่นทอนพลังประเพณีนิยมที่ยึดถือสังคมไว้เท่านั้นหากแต่ยังลดประสิทธิภาพลงชั่วขณะ
ในขณะเดียวกัน สหรัฐแมริกาได้สนับสนุนให้จัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นแทนสมาคมช่วยจักรพรรดิราชย์ ที่นับว่ามีอำนาจมากที่สุดคือพรรคเสรีนิยมแลพรรคก้าวหน้า ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นนักการเมืองหัวอนุรักษ์นิยมของก่อนสมัยสงครามที่รอดพ้นจากการกวาดล้าง กึ่งกลางของสองพรรคนั้นปรากฎเป็นการผสมกันอย่างไม่ใคร่จะดีนักระหว่างพวกหัวไม่รุนแรงกับพวสังคมนิยมเป็นพรรคสังคมประชาธิปไตย ในขณะที่บรรดาองค์กรของพวกหัวรุนแรงรอบนอกก็ยังมีปรากฏเป็นพวกซ้าย ที่สำคัญคือ พรรคคอมมิวนิสต์มีอิสระที่จะดำเนินการเป็นครั้งแรกเป็นเวลาหลายปี …
ระหว่างการยึดครองสามปีแรกมีการเปลี่ยนแปลงทางรัฐธรรมนูญ การปกครองส่วนท้องถิ่น การศาล กฎหมาย ความสัมพันธ์แรงงาน การยึดถือที่ดินและการศึกษา ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการปฏิบัติชีวิตญี่ปุ่น
รัฐธรรมนูญซึ่งถูกร่างขึ้นในกองบัญชาการ นายพลแมคอมเธอร์ เมื่อปรากฎว่าข้าราชการญี่ปุ่นสนองตอบช้าเกินต่อข้อแนะโยนัยที่ให้ทำอะไรด้วยตนเอง ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ในวันที่ 6 มีนาคม 1947
ในช่วงแรกรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์กระทั่งถึงขั้นเย้ยหยันทั้งในและนอกประเทศ ถึงกระนั้นการให้รัฐสภามีอำนาจอันมั่งคงยิ่งเป็นการกระทำที่ชาวญี่ปุ่นเองอาจเห้ฯว่ายากที่จทำได้ด้วยตนเอง ..
จุดประสงค์หนึ่งที่บรรลุผลโดยการเตรียมการเรือ่งรัฐธรรมนูญก็คือ การสร้างระบบที่มีแกนกลางแห่งอำนาจควบคุมโดยคะแนนเสียงปวงชน แทนที่จะเป็นแกนกลางแห่งอำนาจที่ควบคุมโดยพระราชอำนาจพิเศษเป็นครั้งคราวซึ่งเป็นการใช้พระราชอำนาจพิเศษนั้นโดยหมู่คณะต่าง ๆ ของพลเรือนและทหาร ระบบนี้จึงเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงมิได้กับการระบุอีกครั้งเรื่องฐานะของราชบัลลังก์ พระจักรพรรดิทรงกลายเป็น “สัญลักษณ์แห่งรัฐ..โดยฐานะของพระองค์เกิดจากเจตนารมย์ของประชาชนที่มีอำนาจอธิปไตย พระราชานุกิจต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐบาลและต้องมีการระบุพระราชานุกิจแน่นอนโดยเฉพาะ เป็นความเปลี่ยนแปลงซึ่งที่ปรึกษาแห่งราชสำนักยอมรับถึงขนาดให้การต้อนรับความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นด้วย บรรดาที่ปรึกษากำหนดภาพพจน์ใหม่ของกษัตริย์โดยได้รับความสำเร็จดียิ่ง ภายในหนึ่งปี บรรดาที่ปรึกษาได้ทำให้พระจักรพรรดิทรงเป็นหลักแห่งความจงรักภักดีบนพื้นฐานแห่งความรักมากว่าความยำเกรงโดยการวางแผนอย่างรอบคอบยิ่งในเรื่องการเสด็จปรากฏพระองค์และเรื่องพระราชดำรัส วิธีดังกล่าว ทำให้ราชบัลลังก์มั่นคงและมีเกียรติภูมิในช่วงที่การปราชัยได้คุกคามราชบัลลักงก์และเกียรติภูมิอย่างรุนแรงยิ่ง ความเปลี่ยนแปลงในลำดับต่อมาคือ ในด้านการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยถูกยกเลิกและการปฏิบัติหน้าที่ราชการส่วนใหญ๋ของกระทรวงได้ถูกกระจายออกไปโดยมอบหมายให้ระดับมณฑลและระบเมืองปฏิบัติราชการแทน บรรดาผู้ว่าการมณฑลและนายกเทศมนตรีเป็นผู้ที่ต้องผ่านการเลือกตั้ง … สภาระดับท้องถิ่นต้องเป็นสภาที่มาจากการเลือกตั้ง การศึกษากลายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมีเจตจำนงที่จะ “ปลูกผั่งประชาธิปไตย” การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางถูกดำเนินไปโดยการแยการศาลออกจากการบริหาร การประกาศกฎหมายตามระบอบรัฐธรรมนูญนั้นเป็นการปกป้องเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวง ความเสมอภาคระหว่างชายและหญิง
การแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติแรงงานซึ่งมีผลต่อการสร้างผลประโยชน์อันทรงอำนาจยิ่งที่ต้องผุกมัดกับการธำรงไว้ซึ่งการปฏิรูปทั้งปวงพระราชบัญญัติสหภาพแรงงาน ทำให้เกิดการปั่นปวนซึ่งตรงกันข้ามกับการปฏิรูปที่ดินซึ่งได้ถูกวางแผนขึ้น ด้วยความเช่อว่า ความไม่สงบทางการเกษตรที่มีส่วนทำให้ญี่ปุ่นก้าวร้าวรุกรานนั้น ได้ช่วยลดความตึงเครียดในชนบทลงมาถึงจุดต่ำกว่าเดิมในสมัยใหม่ข้อเสนอครั้งแรกเพื่อปฏิรูปที่ดินได้ถูกเตรียมการขึ้นโดยข้าราชการญี่ปุ่นและยื่นจ่อรัฐบาลในเดือนพฤศจิกายน
การปฏิรูปการศึกษาได้ปฏิบัติหน้าที่ให้บริการแบบเดียวกันแก่เด็กนักเรียนญี่ปุ่น เป้นการให้ผลต่อท่วงทีเท่าๆ กับให้ผลต่อเนื้อหาของการสอนและให้บรรยากาศที่เป็นอิสระมากกว่าแก่โรงเรียน คณะผุ้แทนการศึกษาจากอเมริกาได้มาถึงญี่ปุ่น และข้อเสนอแนะของคณะนี้ได้รับปฏิบัติตามทันที่ให้เป็นแบบจัดการศึกษาตามแนวทางอเมริกา ดังที่ได้กล่าวว่า การบริหารราชการแผ่นดินเป็นแบบการะจายอำนาจภายใต้คณะกรรมการที่มารจากการเลือกตั้งระดับมณฑลและเมือง
วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Berlin Blockade
การปิดกั้นเบอร์ลิน เป็นหนึ่งในวิกฤ๖การณ์หลักของสงครามเย็น ทีเกิดขึ้นระหว่างปี 1948-1949 สหภาพโซเวียตซึ่งยึดครองเบอร์ลินอยู่ในเวลานั้นตั้งด่านปิดกั้นถนนไม่ให้สามมหาอำนาจฝ่ายตะวันตก เข้าถึงกรุงเบอร์ลินได้ วิกฤตกาณ์นี้คลีคลายลงหลังจากมหาอำนาจฝ่ายตะวันตกร่วมกันจัดตั้งการขนส่งทางอากาศที่เบอร์ลิน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการขนส่งเสบียงสู่พื้นที่ของตนพร้อมทั้งเป็นการแสดงขีดความสามารถทางการผลิตและแสนยานุภาพทางอากาศของฝ่ายตะวันตก
การแบ่งเยอรมัน สัมพันธมิตรบรรลุข้อตกลงพอทสดัมซึ่งกำหนดให้แบงเอยมันออกเป็น 4 ส่วนโดยแต่ละส่วนจะถูกปกครองโดยชาติที่ครอบครองดินแดนในสวนนั้นอยู่ก่อนหน้าสงครามจะยุติ สหภาพโซเวียตต้องการเห็นเยอรมันไร้พิษภัย ฝ่ายสัมพันธ์มิตรจึงดำเนินแผน “มอร์เกนเทา” ซึ่งกำหนดฟืนฟูสภาพเศรษฐกิจเยอรมันเพียง 50
เปอร์เซ็น ซึ่งผลออกมาคือรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก สภาพเศรษฐกิจที่ตกตำอย่างสุดขีดของ
เยอรมันส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจยุโรปถดถอย ที่ปรึกษาประธานาธิปดี ทรูแมนกว่าว่า “ประชาชนหลายล้านคนกำลังอดตายอย่างช้าๆ” ในตอนแรกสหรัฐฯยังคงไม่เปลียนแปลงนโยบายที่มีต่อเยอรมัน กระทั่งบรรดาเสนาธิการสหรัฐฯเริ่มแสดงความกังวลต่อการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในเยอรมันและเศรษฐกิจของยุโรป นายพลจิร์จ มาร์แชล รมต.ต่างประเศทศของสหรัฐฯได้โน้มน้ามให้ ทรูแมนยกเลิกแผนดังกล่าว ในที่สุด “JCS 1779” ก็ถูกนำมาใช้แทนแผนเก่าซึ่งมีทิศทางและแนวทางตรงกันข้าม สหรัฐเริ่มใช้นโยบายตามแผนมาเเชลล์ โดยส่งเงินจำนวนมากในกับประเทศยุโรปที่ต้องการเงินโจเซฟ สตาลิน เร่มสงสัยในแผนการของสหรัฐฯเขารู้สึกว่าสหรัฐฯกำลังใช้เงินซื้อประเทศในยุโรปเพื่อขยายอิทธิพลของตน เขากว่าว่า “นี่คืออุบายของทรูแมน มันต่างจากการช่วยให้ประเทศอื่นตั้งตัวได้ สหรัฐอเมริกาไม่ต้องการช่วยเราสิ่งที่สหรัฐอเมิรกาต้องการคือการแทรกซึ่มประเทศยุโรป” สตาลินสั่งห้ามไห้ประเทศในเครื่อข่ายคอมมิวนิสต์รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ความไม่ลงรอยในนโยบายเศรษฐกิจของสองมหาอำนาจ สหภาพโซเวียตจึงเริ่มใช้
นโยบายประชาสัมพันธ์ต่อต้านอเมริกาและเริ่มขัดขวางการดำเนินการในพื้นที่ทั้งสี่ส่วน สหรัฐอเมริกามีจุดยืนว่า “หากสหภาพโซเวียตไม่ให้ความร่วมือในการรวมเยอมันให้เป็นหนึ่งเดียวสหรัฐอเมริกาและมหาอำนาจตะวันตกจะพัฒนาระบบอุตสาหกรรมแบบตะวันตกขึ้นในเยอมันและจะรวมเยอรมันส่วนตะวันตก มหาอำนาจฝ่ายตะวันตกบรรลุข้อตกลงนี้ในการประชุมที่ลอนดอน ว่าจะให้เยอมันฝั่งตะวันตกมีรัฐที่เป็นอิสระปกครองในระบอบสาธารณรัฐ และฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจตามแบบสหรัฐอเมริกา
ไม่นานนัก กรุงเบอร์ลินก็กลายเป็นจุดสนใจของทั้งสหรัฐและสหภาพโซเวียตดังคำกล่าวที่ว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นกับเบอร์ลินก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเยอมัน และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเยอมันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับยุโรป” ชาวเมืองใช้สิทธิเลือกผู้แทนที่ให้การสนับสนุนประชาธิปไตยเขาสู่สภาเทศบาลเมืองชนะผู้สมัครจากพรรคคอมมิวนิสต์กว่า 80 เปอร์เซ็น ดูเหมือนว่าการรวมเยอรมันนั้นไม่จำเป็นต้องมีสหภาพโซเวียต สภาปกครองฝ่ายพันธมิตรล้มจากการที่ตัวแทนจากสหภาพโซเวียตทั้งหมดลุกขึ้นและเดินออกจากห้องประชุม ซึ่งหมายถึงว่าสภาพปกครองฝ่ายพันธมิตรล่มสลายลง
สหภาพโซเวียตกดดันมหาอำนาจฝ่ายตะวันตกด้วยการสั่งให้รถไฟขบวนที่จะเข้าสู่กรุงเบอร์ลินจากเยอมันตะวันตกต้องถูกตรวจค้น นายพลลูเซียส ดี. เคลย์ ผู้บัญชาการของเยอมันในส่วนยึดครองของสหรัฐฯจึงสั่งให้รถไฟทางทหารทุกขบวนยกเลิกการขนส่ง เขาใส่งให้เครื่องบินทำการขนส่งอาหารและอาวุธยุทธภันฑ์ให้กับทหารอเมริกันในกรุงเบอร์ลินแทน การขนส่งทางอกกาศครั้งนี้ดำเนินไปประมาณ 10 วัน
เดือนกุมภาพันธ์ 1948 สหรัฐอเมริกาและอังกฤษยื่นข้อเสนอต่อสภาปกครองฝ่ายพันธมิตรให้สร้างสกุลเงินเยอมันใม่ แทนสกุลเงินไรซ์มาร์ค ที่มีประมาณล้นอยู่ใรระบบและขาดมูค่าอย่างแท้จริง
สหภาพโซเวียตปฏิเสธข้อเสนอนี้ เพราะต้องการให้อยมันคงสภาพอ่อนแอ ประเทศมหาอำนาจตะวันตกจึงร่วมมือกันสร้างสกุลเงินใหม่ขึ้นอย่างลับ ๆ และประกาศใช้ในพื้ที่ของตนในชื่อสกุลเงินดอยช์มาร์ค สหภาพโซเวียตไม่ยอมรับเงินสกุลนี้ แต่ทางฝ่ายตะวันตกลักลอบนำเงินเข้าเบอร์ลินกว่า สองร้อยห้าสิบล้านดอยช์มาร์คแล้วซึ่งไม่นานนัก ดอยช์ มาร์กก็กลายเป็นสกุลเงินมาตรฐานในทุกพื้นที่ของเยอมัน
มิถุนายน 1948 สหภาพโซเวียตประกาศ “ปิดปรับปรุง” ถนนออโทบาน ซึ่งเป็นถนนจากเยอมันตะวันตกมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเบอร์ลิน อีกสามวันถัดมาการจราจรทางบกระหว่งเอยมันในส่วนยึดครองของโซเวียตกับส่วนอื่น ๆ ถูกตัดขาด และ การจราจรทางน้ำสู่กรุงเบอร์ลินถูกตัดขาดในเวลาต่อมา และประกาศว่าจะไม่มีรถไฟเข้าสู่กรุงเอบร์ลินอีกต่อไปเนืองจาก “ปัญหาทางเทคนิค” ต่อมาสหภาพโซเวียตประกาศเลิกจัดส่งอาหารให้กรุงเบอร์ลินส่วนของประเทศมหาอำนาจตะวัตก
หากทำสงครามกับโซเวียตฝ่ายตะวันตกต้องเสียกรุงเบอร์ให้กับโซเวียตอย่างแน่นอนเนื่องจากการลดขนาดกองทัพ
ต่อมาฝ่ายตะวันตกและสหภาพโซเวียตบรรลุข้อตกลงเปิดเส้นทางจราจรทางอากาศสู่กรุงเบอร์ลิน 3 เส้นทาง อย่างไรก็ตาม การที่จะดำเนินการขนส่งทางอกาศได้นั้นจะต้องมั่นใจว่าจะสามาถส่งอาหารได้รวดเร็วพอมิฉะนั้นแล้ว ชาวเบอร์ลินอาจต้องของความช่วยเหลือจากโซเวียตในท้ายที่สุด
เกล ฮัลเอวร์เซ็น หนึ่งในนักบินที่ปฏิบัติภารกิจขนส่งทางอากาศตัดสินใจใช้เวลาว่างของเขาบินไปยังกรุงเบอร์ลินและใช้กล้าองถ่ายวีดีโอของเขาถ่ายาภาพยนตร์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการโปรยช็อกโกแลตและขนมหวานในกับเด็กๆ ในกรุงเบอร์ลิน เขาโปรยขนมและช็อกโกเเล็คใรกับเด็ก ๆ ทุกวันซึ่งไม่นานนักก็มีจดหมายกองหนึ่งจ่าหน้ามาถึง “ลุงกระพือปีก” “ลุงช็อกโกแลต” และ “นักบิน
ช็อกโกแลต”ซึ่งต่อมานักบินคนอื่นก็ได้ทำด้วยเช่นกัน หลังจากที่ข่าวไปถึงสหรัฐอเมริกาแล้ว เด็กๆ จากทั่วประเทศก็ส่งลูกกว่าดไปช่วย และต่อมา บริษัทขนมหวานใหญ่ ๆ ในอเมริกาก็ส่งลูกกวาดไปช่วยด้วยเช่นกัน..
สหภาพโซเวียตทำการตอบโต้โดยประกาศแจกอาหารฟรีแก่ผุ้ที่ข้ามายังเบอร์ลินฝั่งตะวันออก อย่างไรก็ตามมีแค่ไม่กี่คนที่ข้ามไปเพราะรู้ว่าเป็นแผนการหลอกล่อของโซเวียต
การแบ่งเยอรมันตะวันออกและเยอรมันตะวันตกเป็นไปโดยปริยายเมื่อการเลือกตั้งผู้สนับสนุนประชาธิปไตยเป็นฝ่ายชนะ ทหารโซเวียตเริ่มกอ่กวนเครื่องบินฝ่ายตะวันตก
การขนส่งทางอากาศดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง นายพลสหรัฐฯต้องการสร้างขวัญและกำลังใจ เขาต้องการสร้างเหตุกาณ์ใหญ๋ๆ เพื่อทำลายความซ้ำซากจำเจ เขาตัดสินใจว่า ในวันอีสเตอรื เขาจะจัดการขนส่งทางอากาศที่มากที่สุด ภายในหนึงอาทิตย์ ปริมาฯการขนส่งเสบียงเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่มากว่าการขนส่งด้วยรถไฟปฏิบัติการขนส่งทางอากาศประสบความสำเร็จในที่สุดและจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ และไม่มีที่สิ้นสุด
“พาเหรดวันอีสเตอร์”เป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้าย ประเทศมหาอำนาจทั้งสี่เผชิญหน้าเจรจากันอย่างเคร่งเครียดหลังจานันได้ข้อยุติ ฝ่ายสัมพันธมิตรประกาศวาจะยกเลิกการปิดกั้นในเสร็จสิ้นภายในเวลา 8 วัน การปิดกั้นของโซเวียตสิ้นสุดลงภายในหนึ่งนาที่หลังเทียงคืนวันที่ 12 พฤษภาคม 1949
เดื
การแบ่งเยอรมัน สัมพันธมิตรบรรลุข้อตกลงพอทสดัมซึ่งกำหนดให้แบงเอยมันออกเป็น 4 ส่วนโดยแต่ละส่วนจะถูกปกครองโดยชาติที่ครอบครองดินแดนในสวนนั้นอยู่ก่อนหน้าสงครามจะยุติ สหภาพโซเวียตต้องการเห็นเยอรมันไร้พิษภัย ฝ่ายสัมพันธ์มิตรจึงดำเนินแผน “มอร์เกนเทา” ซึ่งกำหนดฟืนฟูสภาพเศรษฐกิจเยอรมันเพียง 50
เปอร์เซ็น ซึ่งผลออกมาคือรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก สภาพเศรษฐกิจที่ตกตำอย่างสุดขีดของ
เยอรมันส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจยุโรปถดถอย ที่ปรึกษาประธานาธิปดี ทรูแมนกว่าว่า “ประชาชนหลายล้านคนกำลังอดตายอย่างช้าๆ” ในตอนแรกสหรัฐฯยังคงไม่เปลียนแปลงนโยบายที่มีต่อเยอรมัน กระทั่งบรรดาเสนาธิการสหรัฐฯเริ่มแสดงความกังวลต่อการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในเยอรมันและเศรษฐกิจของยุโรป นายพลจิร์จ มาร์แชล รมต.ต่างประเศทศของสหรัฐฯได้โน้มน้ามให้ ทรูแมนยกเลิกแผนดังกล่าว ในที่สุด “JCS 1779” ก็ถูกนำมาใช้แทนแผนเก่าซึ่งมีทิศทางและแนวทางตรงกันข้าม สหรัฐเริ่มใช้นโยบายตามแผนมาเเชลล์ โดยส่งเงินจำนวนมากในกับประเทศยุโรปที่ต้องการเงินโจเซฟ สตาลิน เร่มสงสัยในแผนการของสหรัฐฯเขารู้สึกว่าสหรัฐฯกำลังใช้เงินซื้อประเทศในยุโรปเพื่อขยายอิทธิพลของตน เขากว่าว่า “นี่คืออุบายของทรูแมน มันต่างจากการช่วยให้ประเทศอื่นตั้งตัวได้ สหรัฐอเมริกาไม่ต้องการช่วยเราสิ่งที่สหรัฐอเมิรกาต้องการคือการแทรกซึ่มประเทศยุโรป” สตาลินสั่งห้ามไห้ประเทศในเครื่อข่ายคอมมิวนิสต์รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ความไม่ลงรอยในนโยบายเศรษฐกิจของสองมหาอำนาจ สหภาพโซเวียตจึงเริ่มใช้
นโยบายประชาสัมพันธ์ต่อต้านอเมริกาและเริ่มขัดขวางการดำเนินการในพื้นที่ทั้งสี่ส่วน สหรัฐอเมริกามีจุดยืนว่า “หากสหภาพโซเวียตไม่ให้ความร่วมือในการรวมเยอมันให้เป็นหนึ่งเดียวสหรัฐอเมริกาและมหาอำนาจตะวันตกจะพัฒนาระบบอุตสาหกรรมแบบตะวันตกขึ้นในเยอมันและจะรวมเยอรมันส่วนตะวันตก มหาอำนาจฝ่ายตะวันตกบรรลุข้อตกลงนี้ในการประชุมที่ลอนดอน ว่าจะให้เยอมันฝั่งตะวันตกมีรัฐที่เป็นอิสระปกครองในระบอบสาธารณรัฐ และฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจตามแบบสหรัฐอเมริกา
ไม่นานนัก กรุงเบอร์ลินก็กลายเป็นจุดสนใจของทั้งสหรัฐและสหภาพโซเวียตดังคำกล่าวที่ว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นกับเบอร์ลินก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเยอมัน และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเยอมันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับยุโรป” ชาวเมืองใช้สิทธิเลือกผู้แทนที่ให้การสนับสนุนประชาธิปไตยเขาสู่สภาเทศบาลเมืองชนะผู้สมัครจากพรรคคอมมิวนิสต์กว่า 80 เปอร์เซ็น ดูเหมือนว่าการรวมเยอรมันนั้นไม่จำเป็นต้องมีสหภาพโซเวียต สภาปกครองฝ่ายพันธมิตรล้มจากการที่ตัวแทนจากสหภาพโซเวียตทั้งหมดลุกขึ้นและเดินออกจากห้องประชุม ซึ่งหมายถึงว่าสภาพปกครองฝ่ายพันธมิตรล่มสลายลง
สหภาพโซเวียตกดดันมหาอำนาจฝ่ายตะวันตกด้วยการสั่งให้รถไฟขบวนที่จะเข้าสู่กรุงเบอร์ลินจากเยอมันตะวันตกต้องถูกตรวจค้น นายพลลูเซียส ดี. เคลย์ ผู้บัญชาการของเยอมันในส่วนยึดครองของสหรัฐฯจึงสั่งให้รถไฟทางทหารทุกขบวนยกเลิกการขนส่ง เขาใส่งให้เครื่องบินทำการขนส่งอาหารและอาวุธยุทธภันฑ์ให้กับทหารอเมริกันในกรุงเบอร์ลินแทน การขนส่งทางอกกาศครั้งนี้ดำเนินไปประมาณ 10 วัน
เดือนกุมภาพันธ์ 1948 สหรัฐอเมริกาและอังกฤษยื่นข้อเสนอต่อสภาปกครองฝ่ายพันธมิตรให้สร้างสกุลเงินเยอมันใม่ แทนสกุลเงินไรซ์มาร์ค ที่มีประมาณล้นอยู่ใรระบบและขาดมูค่าอย่างแท้จริง
สหภาพโซเวียตปฏิเสธข้อเสนอนี้ เพราะต้องการให้อยมันคงสภาพอ่อนแอ ประเทศมหาอำนาจตะวันตกจึงร่วมมือกันสร้างสกุลเงินใหม่ขึ้นอย่างลับ ๆ และประกาศใช้ในพื้ที่ของตนในชื่อสกุลเงินดอยช์มาร์ค สหภาพโซเวียตไม่ยอมรับเงินสกุลนี้ แต่ทางฝ่ายตะวันตกลักลอบนำเงินเข้าเบอร์ลินกว่า สองร้อยห้าสิบล้านดอยช์มาร์คแล้วซึ่งไม่นานนัก ดอยช์ มาร์กก็กลายเป็นสกุลเงินมาตรฐานในทุกพื้นที่ของเยอมัน
มิถุนายน 1948 สหภาพโซเวียตประกาศ “ปิดปรับปรุง” ถนนออโทบาน ซึ่งเป็นถนนจากเยอมันตะวันตกมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเบอร์ลิน อีกสามวันถัดมาการจราจรทางบกระหว่งเอยมันในส่วนยึดครองของโซเวียตกับส่วนอื่น ๆ ถูกตัดขาด และ การจราจรทางน้ำสู่กรุงเบอร์ลินถูกตัดขาดในเวลาต่อมา และประกาศว่าจะไม่มีรถไฟเข้าสู่กรุงเอบร์ลินอีกต่อไปเนืองจาก “ปัญหาทางเทคนิค” ต่อมาสหภาพโซเวียตประกาศเลิกจัดส่งอาหารให้กรุงเบอร์ลินส่วนของประเทศมหาอำนาจตะวัตก
หากทำสงครามกับโซเวียตฝ่ายตะวันตกต้องเสียกรุงเบอร์ให้กับโซเวียตอย่างแน่นอนเนื่องจากการลดขนาดกองทัพ
ต่อมาฝ่ายตะวันตกและสหภาพโซเวียตบรรลุข้อตกลงเปิดเส้นทางจราจรทางอากาศสู่กรุงเบอร์ลิน 3 เส้นทาง อย่างไรก็ตาม การที่จะดำเนินการขนส่งทางอกาศได้นั้นจะต้องมั่นใจว่าจะสามาถส่งอาหารได้รวดเร็วพอมิฉะนั้นแล้ว ชาวเบอร์ลินอาจต้องของความช่วยเหลือจากโซเวียตในท้ายที่สุด
เกล ฮัลเอวร์เซ็น หนึ่งในนักบินที่ปฏิบัติภารกิจขนส่งทางอากาศตัดสินใจใช้เวลาว่างของเขาบินไปยังกรุงเบอร์ลินและใช้กล้าองถ่ายวีดีโอของเขาถ่ายาภาพยนตร์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการโปรยช็อกโกแลตและขนมหวานในกับเด็กๆ ในกรุงเบอร์ลิน เขาโปรยขนมและช็อกโกเเล็คใรกับเด็ก ๆ ทุกวันซึ่งไม่นานนักก็มีจดหมายกองหนึ่งจ่าหน้ามาถึง “ลุงกระพือปีก” “ลุงช็อกโกแลต” และ “นักบิน
ช็อกโกแลต”ซึ่งต่อมานักบินคนอื่นก็ได้ทำด้วยเช่นกัน หลังจากที่ข่าวไปถึงสหรัฐอเมริกาแล้ว เด็กๆ จากทั่วประเทศก็ส่งลูกกว่าดไปช่วย และต่อมา บริษัทขนมหวานใหญ่ ๆ ในอเมริกาก็ส่งลูกกวาดไปช่วยด้วยเช่นกัน..
สหภาพโซเวียตทำการตอบโต้โดยประกาศแจกอาหารฟรีแก่ผุ้ที่ข้ามายังเบอร์ลินฝั่งตะวันออก อย่างไรก็ตามมีแค่ไม่กี่คนที่ข้ามไปเพราะรู้ว่าเป็นแผนการหลอกล่อของโซเวียต
การแบ่งเยอรมันตะวันออกและเยอรมันตะวันตกเป็นไปโดยปริยายเมื่อการเลือกตั้งผู้สนับสนุนประชาธิปไตยเป็นฝ่ายชนะ ทหารโซเวียตเริ่มกอ่กวนเครื่องบินฝ่ายตะวันตก
การขนส่งทางอากาศดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง นายพลสหรัฐฯต้องการสร้างขวัญและกำลังใจ เขาต้องการสร้างเหตุกาณ์ใหญ๋ๆ เพื่อทำลายความซ้ำซากจำเจ เขาตัดสินใจว่า ในวันอีสเตอรื เขาจะจัดการขนส่งทางอากาศที่มากที่สุด ภายในหนึงอาทิตย์ ปริมาฯการขนส่งเสบียงเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่มากว่าการขนส่งด้วยรถไฟปฏิบัติการขนส่งทางอากาศประสบความสำเร็จในที่สุดและจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ และไม่มีที่สิ้นสุด
“พาเหรดวันอีสเตอร์”เป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้าย ประเทศมหาอำนาจทั้งสี่เผชิญหน้าเจรจากันอย่างเคร่งเครียดหลังจานันได้ข้อยุติ ฝ่ายสัมพันธมิตรประกาศวาจะยกเลิกการปิดกั้นในเสร็จสิ้นภายในเวลา 8 วัน การปิดกั้นของโซเวียตสิ้นสุดลงภายในหนึ่งนาที่หลังเทียงคืนวันที่ 12 พฤษภาคม 1949
เดื
วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556
..the way is political
ในสังคมระดับใหญ่ การต่อสู้ทางการเมืองเป็นการดำเนินการระหว่างองค์การกับองค์การที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจปกครององค์การเหล่านี้มีการจัดโครงสร้างที่เป็นระเบียบมีอำนาจบลลดหลั่นกันในระหว่างสามชิก ม่นโยบายและระบบสายบังคับบัญชา เพื่อใช้เป้นอาวุธในการต่อสู้ทางการเมืองโดยเฉพาะ องค์การดังกล่วจะเป็นตัวแทนของผลประโยชน์และจุดมุ่งหมายของพลังต่าง ๆ ในสังคม
ลักษณะพลังต่าง ๆ ในสังคมที่รวมกลุ่ม เพื่อเป็นตัวแทนเพื่อแสดงออกถึงประโยชน์และอุดมการณ์ต่าง ๆ ในสังคม รวมทั้งบทบาทของกองทัพในการต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะชององค์การแห่งอำนาจที่สำคัญของทุกๆ สังคม
พรรคการเมืองของบุคคลที่มีชื่อเสียง พรรคการเมืองที่รวบรวมคนมีเงินและคนมีชื่อเสียงในสังคมเป็นสมาชิกเช่นนี้ จัดระเบียบภายในของพรรคจะอ่อนสมาชิกของพรรคจะเป็นพวกที่มีความคิดเสรีนิยม หรืออนุรักษ์นิยม กรรมการกลางของพรรคจะไม่ค่อยได้มีอำนาจเหนือผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรคเพราะการได้รับเลือกตั้งขึ้นอยู่กับชื่อเสียงส่วนตัวของผู้แทน มากกว่า ดังนั้นชื่อเสียงส่วนตัวของผู้แทนจึงสำคัญกว่าชื่อเสียงหรือนโยบายของพรรค
พรรคมวลชน ต้นศตวรรษที่ 20 อุดมการณ์ทางการเมืองในเรื่องความเสมอภาคได้แพร่ขยายออกไปสู่จำนวนมาก พลังมวลชนจึงกลายเป็นอาวุธทางการเมืองที่สำคัญขึ้นมาอีกชนิดหนึ่งความเหนือกว่าทางด้านพลังมวลชนเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของการต่อสู้ทางการเมืองทั้งระยะสั้นและระยะยาว
พลังมวลชนจะเป็นอาวุธทางการเมืองได้อย่างแท้จริง ก็ต่อเมือมีการจัดมวลชลให้เข้าเป็นองค์การ ต้องทำให้องค์การกับพลังมวลชนเกาะเกี่ยวกันอย่างแยกไม่ออก จึงจะทำให้เป็นอาวุทธทางการเมื่องได้
การใชพลังมวลชนภายในรัฐ เป็นปรากฎการณ์ของสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเป้นผลที่ทำให้ค่าครองชีพและวัฒนธรรมของประชาชนส่วนใหญ่มีราคาสูงขึ้น
สมัยโบราณการกุมอำนาจการปกครองอยู่ในระหว่างกลุ่มชนในวงจำกัด มาลชนส่วนใหญ่มีความรู้จำกัด ไม่รู้จักอำนาจของตนเอง นอกจากเหตุการณ์ที่พิเศษจริง ๆ มวลชนจะเข้าดำเนินการรุนแรงทันที่ เหมือนสัตว์ใหญ่โกรธ จะทำลายทุกอย่างที่ขว้างหน้า แต่เมื่อทำลายแล้วก็ไม่อาจสร้างขึ้นใหม่ได้
สังคมสมัยใหม่ พลังมวลชนมีความสำคัญขึ้นมาก เพราะมีการให้สทิธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปอย่างเสมอภาค ไม่ว่าคนมีคนจนล้วนมีเสียงเท่ากัน ถึงแม้อุดมการประชาธิปไตยจะถูกสร้างขึ้นมาจากคนจำนวนน้อยที่ร่ำรวย แต่อาวุธอุดมการณ์ที่พวกนายทุนใช้ต่อสู้กับชนชั้นขุนนาง คือ ความเสมอภาค ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ที่ยากจนพลอยได้ประโยชน์ไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีการรวมพลกันได้ เพราะหลักการประชาธิไตยคือเสียงส่วนมากเป็นเสียงตัดสินทางการเมือง
พรรคสังคมนิยม ต้นศตวรรที่ 20 กลุ่มที่มีความคิดทางสังคมนิยมได้จัดตั้งพรรคการเมืองรูปใหม่ขึ้นด้วยวิธีนำพลังมวลชนมาใช้ให้เป็นประโยชน์และแก้ปัญหาเบื้องแรก คือปัญหาการเงิน พรรคสังคมนิยมในขณะนั้นอยู่ในฐานะ “นักปฏิวัติ” บรรดาคนมีเงิน เชน นายธนาคาร เจ้าของโรงงานอุตสาหรรมและเจ้าของที่ดินทั้งหลาย จึงให้เงินช่วยเหลือเฉพาะพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรคเสรีนิยมเทานั้น ในเมือพรรคสังคมนิยมไม่สามารถได้เงินจากคนจำนนน้อยที่มีเงินมากจึงต้องคิดหาทางที่จะได้รับเงินมาจากจำนวนที่มีเงินน้อย และต้องไม่สม่ำเสมอด้วย
จากปัญหาการเงินดังกล่าวนั้น พรรคสังคมนิยมจึงต้องเปิดให้มีการสมัคราเป็นสมาชิกของพรรคมากที่สุดเท่าที่จะทำได้คือแทนที่จะรวมกลุ่มจำนวนเป็นพันอย่าง “พรรคของคนมี่ชื่อเสียง พรรคมวลชน จะรวมสมาชิกเป็นร้อยๆ พัน หรือเป็นล้าน ๆ นอกจากเรื่องมาก่อนเลยด้วย และจากการที่มีสมาชิกเป็นจำนวนมาก พรรคจึงสามารถใช้วิธีของประชาธิปไตยเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมารชิกผู้แทนราษฎรด้วยกล่าวคือ แทนที่จะเลือกคือ แทนที่จะเลือกผู้สมัคร จากวงแคบๆ ของกลุ่มสรรหากลุ่มเล็กๆ ก็ให้มีการเลือกในสภาพท้งอถิ่น และสภาระดับชาติโดยสมาชิกโดยทั้งหมดหรือผู้แทนของสมาชิก
ความเกียวพันอย่างใกล้ชิดอาจเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงระหว่างโครงส้างของพรรคการเมืองแบบใหม่นี้กับวิวัฒนาการของสังคมที่เป็นฐานของพรรคการเมืองพรรคที่ประกอบด้วยบุคคลสำคัญแบบดั้งเดิมเป็นตัวแทนอยู่เฉพาะการต่อสู้ของพวกขุนนางและของพวกคนมี เงิน ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนน้อย ความแคบของพรรคทำให้เวที่การเมืองและลักษณะที่แท้จริงของประชาธิไปไตยแคบลงไปตาสวย ในทางตรงกันข้าม พรรคของมวลชนสอดคล้องกับการขยายวงกว้างของประชาธิปไตยเพราะเปิดให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องการเมืองอย่งถาวร ถ้าประชาชนส่วนใหญ่เพียงแต่ได้ใช้สิทธิทางการเมือง สี่หรือห้าปี ครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตยอยางแท้จริง
การล้อมกรอบสมาชิกจำนวนเป็นล้าน ๆ อย่างถาวรและการที่สมาชิกต้องจ่ายเงินค่าบำรุงแก่พรรค อย่างสม่ำเสมอ เป็นผลบังคับในตัวเองที่การบริหารองค์การจะต้องเป็นไปอย่างเข้มงวดกวดขัน และยิ่งเมืององค์การมีการพัฒนาในสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นทั้งโครงสร้างละสายการบังคับบัญชาผู้นำภายในของพรรคก็ยิ่งมีอำนาจยิ่งขึ้น และเหนือกว่าตัวผู้แทนราษฎรที่เป็นสมาชิกรัฐสภา ปรากฎการณ์ของการขัดกันระหว่างกลุ่มชั้นผู้นำทั้งสองของกลุ่ม (ผู้นำภายในของพรรคและผู้แทนราษฎร) เป็นที่น่าสนใจในเชิงสังคมวิทยา เพราะผู้นำทั้งสองฝ่ายถูกเลือกขึ้นมาจาฐานที่แตกต่างกัน ผู้นำรรคได้รับเลือกจากสมาชิกพรรค ส่วนผู้แทน ได้รับเลือกจากผู้มีสิทธิกเสียงเหลือกตั้งทั่วไป โดยธรรมดาแล้ว สมาชิกพรรคจะต้องผูกพันอยู่กับอุดมการของพรรคอย่างเหนียวแน่นมากกว่าผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป ดังนั้นผู้นำของพรรคจึงเป็นพวกที่เข้มงวดในเรืองอุมการมากกว่า ตัวผู้แทนที่มีที่นั่งในรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม วิวัฒนากรของพรรคสังคมนิยมที่เบนเข็มไปทางสังคมนิยมประชธิปไตยและการรวมตัวเข้าไปสู่ระบอบรัฐสภา ทำให้สถานะการณ์ของการขัดแย้งระหว่างอำนาจของผุ้นำภายในพรรคกับผู้แทน อ่อนลงมากเพราะว่าเมืองยอมรับคุณค่าของระบอบรัฐสภาก็ต้องยอมรับความเหนือกว่าของบุคคลที่เป็นตัวแทนเจตนารมณ์ของตนในรัฐสภา
แต่ในพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคฟาสซิสต์นั้น สถานะกาณ์ตรงกันข้าม ผู้แทนในรัฐสภาจะต้องยอมอยู่ใต้อำนาจของผู้นำของพรรค ทั้งนี้เพราะระบบของคุณค่าในอุดการ์ที่แตกต่างกัน
โครงสร้างพรรคการเมืองมวลชนที่พรรคสังคมนิยมเป็นผู้ริเริ่มดังกล่าวมาแล้วนั้นได้ถูกนำไปดัดแปลงใชกับพรรคกาเมืองอื่นที่สำคัญอื่นอีก 2 พรรค คือ พรรคคอมมิวนิสต์ และพรรคฟาสซิสต์
พรรคคอมมิวนิส ได้ดัแปลงโครงสร้างของพรรคสังคมนิยมในส่วนสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก แทนที่จะจัดกลุ่มสมากตามทะเบียนบ้านที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นเขตของหน่วนเลือกตั้ง กลับเปลี่ยนเป็นรวบรวมสมาชิกและกำหนดหน่วยเลือกตั้งตามสถานที่ทำงาน เช่น ตามโรงงาน ตามแหล่งการผลิตต่าง ๆ ประการที่สองพรรคคอมมิวนิสต์ เน้นน้ำหนักความสำคัญที่การรวมสูนย์อำนาจและระเบียบวินัยอย่างเข้มงวด เด็ดขาด
“เลนิน แสดงความเห็นไว้ในหนังสือเรือง “จะทำอย่างไรว่า พรรคกรรมกรจะต้องจัดตั้งขึ้นเป็นศูย์กลางรรวมอำนาจอย่างเข้มววด ในฐานะเป็นชนชั้นนำที่ประกบขึ้นด้วย “นักปฏิวัติอาชีพ” เพราะในการต่อสู้ใต้ดินกับพระเจ้าซาร์ของรัสเซียน้นจะต้องใช้คนจำนวนน้อยที่เป็นนักปฏิวัติอาชีพจริง ๆ เป็นผู้ขึ้นนำทางปฏิบัติ จึงจะเป็นผลสำเร็จพรรคคอมมิวนิสต์จะไม่เปิดกว้างรับสมาชิกมากมายแบบสังคมนิยม ความเห็นของเลนินในเรื่องที่ว่าสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ต้องเป็นชนชันนำและมีอำนาจเด็ดขาด จึงก่อให้เกิดการแตกแยกกันระหวางพวกบอล เชวิกของ เลนิน และพวกเมนเซวิกด้วย
การจัดระเบียบภายในพรรคคอมมิวนิสต์ ใช้หลัก “ประชาธิปไตยรวมศูนย์”และระบบการบังคับบัญชาคู่” จัดตั้งโครงสรางของพรรคขึ้นตามทฤษฎีของเลนินบวกกับทฤษฎีของรุสโซ
ประชาธิปไตยรวมศูนย์ ถือหลักที่ว่า ผู้นำทุกคนมาจากการเลือกตั้ง มีการรายงานผลงานที่ปฏิบัติต่อองค์กรของพรรคตามระยะเลาที่กำหนดและมีการประชุมตัดสินปัญหาต่าง ๆ สมาชิกทุกคนมีสิทธิออกความเห็นและอภิปรายได้ ส่วนที่ว่า “รวมศูนย์” นั้นมาจากหลักที่ว่า คำตัดสินหรือมติขององค์กรที่สูงกว่มีลักษณะเด็ดขาด มีผลบังคับต่อองค์กรที่มีระดับต่ำกว่าเจตนารมย์ร่วมสำคัญกว่าเจตนารมย์ส่วนตัวเสมอ ไม่มีผ่ายค้านเมือมี่ประชุมตัดสินลงมติแล้ว
การจัดระเบียบของพรรคคอมิวนิสต์เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการส่งผลให้พรรคมีอิทธิพลเป็นกองบัญชาการสูงสุดของอำนาจปฏิวัติได้
“ มาตรา 126 ของรัฐธรรมนูญโซเวียต 1936 ความว่า “พลเมืองที่เเข็งขันที่สุดและมีจิตสำนึกอันแน่วแน่ผูกพันกับชนชั้นกรรมมาชีพ กับชาวนาผุ้ใช้แรงงาน และกับผู้ใช้แรงสติปัญญารวมกันอย่างเสรีภาพในพรรคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตรัสเซีย หน่วยแนวหน้าของผุ้ใช้แรงงานในการต่อสู้เพื่อสร้างสังคมคอมมิวนิสต์เป็นทั้งสายนำของทุกองค์การผู้และใช้แรงงาน องค์ทางสังคม และองค์การของรัฐ”
โครงสร้างของพรรคเริ่มจาก หน่วยที่เล็กที่ที่สุดที่เป้นหน่วยการผลิตขั้นพื้นฐานเช่น โรงงานอุตสาหกรรม หน่วยการผลิตชนิดต่าง ๆ และเขยิบขึ้นเป็นเขตการปกครองจากเล็กสุด ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงระดับชาติทุก ๆ หน่วยดังกล่าวจะถูกวางซ้อนกันขึ้นไปในรูปพีระมิด และเชื่อมโยงด้วยสายบังคับบัญชาแนวดิ่ง กล่าวคือองค์กรที่อยู่ในระดับเดียวกัน เช่นโรงงานต่อโรงงาน หรือตำบลจะติดต่อกันเองไม่ได้ ต้องมีองค์กรที่มีระดับสูงกว่าถัดขขึ้นไปเป็นตัวกลาง องค์การของพรรคใรดับต่ำกว่งจะต้องรายงานการปฏิบัติงานต่อองค์กรพรรคใรระดับสูงถัดไป และของคำแนะนำเมืองต้องการตัดสินใจขององค์กรที่สูงกวาและองค์กรในระดับสูงกว่าต้องศึกษาประสบการณ์ขององค์กรที่ต่ำกว่า ในการวางระเบียบของพรรคแบบนี้ องค์กรที่สูงสุดจะรู้เรื่องขององค์กรระดับถัดลงมาเรื่อยๆ จนต่ำสุดที่เป็นฐานแต่ องค์กรที่ต่ำสุดจะไม่มีโอกาสรู้เรื่องของตนในระดับเดียวกัน หรือคนที่สูงกว่าเลย นอกจาฟังคำสั่งและต้องปฏิบัติตาม
ขบวนการฟาสซิสต์ นักสังคมวิทยาการเมืองหลายท่านจัดขบวนการฟาสซิสต์ไว้ในพวกเยวกับพรรคอมมิวนิสต์ ทั้งนี้เพราะทั้งคอมมิวนิสต์และฟาสซิสต์ต่างก็เป็นพวกที่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จครอบครองอาวุทธการเมืองทุกชนิดเอาไว้หมด ดังที่นักสังคมวิทยาได้ให้ความหมายของคำว่าเบ็ดเสร็จว่า “การรวมของอาวุธ 6 ชนิด คือ อุดมการชนิหนึ่งชนิดใด พรรคการเมืองพรรคเดียว ความโหดเหี้ยมของตำรวจลับ การผูกขาดการสือสารการติดต่อ การผูกขาดกำลังอาวุธ และการรวมศูนย์อำนาจเศรษกิจ
ทั้งคอมมิวนิสต์และฟาสซิต์ใช้การต่อสู้ที่เกินเลยออกไปจากบอลข่ายของระบอบการเมืองแบบประชาธปไตย และใช้เทคนิคการรวมพลล้อมกรบกิจกรรมทุกชนิดของสมาชิกไว้อย่างหนาแน่น
เทคนิคการรวมพล ที่สำคัญคือ ระบบการบังคับบัญชาคู่ ผุ้นำสามารถล่วงรู้ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของสมาชิกที่ถูกล้อมกรอบไว้ได้อย่งทั่วถึง ขึ้นแรกของเทคนิคการรวมพลคือ การรวมคนให้เข้าร่วมกิจกรรมตามใจสมัคร กลุ่มกจิกรรมต่าง ๆ จะต้องเกียวข้องกันเป็นลูกโซ่ เช่นกรรมกรเข้าเป็นสมาชิกของเขตนั้น อยุ่ในหมู่บ้านใดก็เป็นสมาชิกของหมู่บ้านนั้น แม่บ้านเป็นสมาชิกสมาคมแม่บ้าน นักกีฬาเป็นสมาชิกสมาคมกีฬาเป็นต้น
ในแง่ทฤษฎี เทคนิคนี้เป็นเรื่องของความสมัครใจ แต่ในทางปฏิบัติจะขึ้นอยุ่กับระบบของสังคมแต่ละสังคม ถ้าสังคมใดใช้ระบบเผด็จการปกครอง ประชาชนจะอยุ่ภายใต้การควบคุมของรัฐอย่างใกล้ชิด โดยฝ่ายองค์การหรือสหพันธ์ที่ประชาชนเป็นสามชิกอยุ่ ใครมไม่ยอมรวมเป็นสามชิกของหน่วยหรือองค์การใดเลย จะถูกสงสัยหรือถูกริดรอนโอกาสและบริการต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ที่สามารถผู้พันให้ประชาชนชอบที่จะเข้ามาเป้นสามชิกมากกว่าจะอยู่นอกวง เทคนิคอย่างนี้ ถ้าเป็นระบอบคอมมิวนิสต์หรือฟาสซิสต์ จะต้องมีการใช้วิธีโฆษณาชวยเชื่ออย่างมากและสม่ำเสมอ ซึ่งจะใช้พร้อมกันไปกับตำรวจการเมืองด้วย
พวกฟาสซิสต์ลอกเลียนแบบคอมมิวนิสต์ในเรื่อง พรรคการเมืองพรรคเดียว และวิธีการจัดตั้งองค์การที่มีระเบียบแบบคอมมิวนิสต์ในเรื่อง พรรคการเมืองพรรคเดียว และวิธีการจัดตั้งองค์การที่มีระเบยบเข้มงวดกวดขัน อำนาจรวมอยู่ที่ศูนย์กลาง รวมทั้งความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง
แม้ว่าขบวนการฟาสซิสต์จะลอกเลียนแบบของพรรคผ่ายซ้ายเพื่อความสะดวกในการต่อสู้กัน แต่ความแตกต่างของฟาสซิสต์และคอมมิวนิสต์ที่แท้จริงอยู่ที่ การใช้กำลังรุนแรงบังคับให้สังคมอยู่ในระเบียบดั้งเดิม เมื่อมีเหตุการณ์ที่ชวนให้น่าสงคสัยว่าสังคมจะเลี่ยนไปสู่ระบอบประชาธิปไตย หรือระบอบสังคมนิยม หรือระบอบคอมมิวนิสต์
การล้อมกรอบตามแบบทหาร พรรคฟาสซิสต์จะใช้เทคนิคทางทหารล้อมกรอบการเคลื่อนไหวทางการเมืองของมวบชนไว้ คือ หน่วยที่เล็กที่สุดไปถึงหน่วยที่ใหญ่ที่สุดจะจัดเป็น หมู่ กองร้อย กองพัน กองพล เป็นลำดับ หน่วยเล็กสุดจะรวมเป็นกลุ่มซ้อน ๆ กันในหน่วยที่ใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ เหมือนลักษณของกองทัพ
การต่อสู้ทางการเมืองแบบทหาร
นอกจกาสมาชิกของขบวนการฟาสซิสต์จะต้องมีเครื่องแบบแล้วจะต้องมีวิธีต่อสู้แบบทหารด้วย เช่น การสวนสนาม การแสดงพลังอาธการโจมตีฐานที่ตั้งของศัตรู เป็นต้น
นอกจากนี้ พรรคฟาสซิจต์อาจมีบทบาทในหารต่อสู้ทางการเมืองตามวิธีการเลือกตั้งในระบบรัฐสภาด้วยก็ได้ แต่เป้าหมายที่แท้จริงก็การทำลายระบบรัฐสภามากกว่า กล่าว โดยสรุป พรรคฟาสซิสต์ คือการจัดตั้งการใช้กำลังรุนแรงขึ้นให้เป็นระเบียบและมีลักษณธเป็นกองทัพของเอกชน ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะรักษาอำนาจไว้ด้วยการใช้กำลังอาวุธรุนแรง
เผด็จการและบทบาทของกองทัพในการต่อสุ้ทางการเมือง การเมืองมิได้มีแต่แรวดน้มที่จะทำลายการใช้ลังรุนแรงด้วยอาวุธเทานั้น แต่เพื่อที่สังคมจะอยู่ได้อย่งมีระเบยบและรวมกันได้อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การเมืองจึงต้องถูกใช้ให้เป็นวิถีทางรวบรวมกำลังรุนแรงทั้งหลายที่กระจัดกระจายอยู่ในมือของเอกชน และกลุ่มต่าง ๆ มาไว้ในความควบคุมขงรัฐบาลอยางเด็ดขาด โดยให้รัฐเท่านั้นเป็นผุ้ผูกขาดการใช้กำลังบีบบังคับทั้งหมด กำลังของกองทัพซึ่งประกองด้วย ทหารและอาวุธจึงเป็นอำนาจของรัฐที่จำเป็นการผูกขาดดังกล่วทำให้กำลังของชนชั้นต่าง ๆ ของพรรคการเมือง ต้องอยู่ในฐานะที่ด้อยกว่าเพราะอำนาจที่คุ้มกันด้วยอาวุธเทานันจงจะสามารรุทำให้ประชาชนที่ไม่มีอาวุธเท่าเทียมต้องอยู่ภายใต้การบังคับได้
ลักษณะพลังต่าง ๆ ในสังคมที่รวมกลุ่ม เพื่อเป็นตัวแทนเพื่อแสดงออกถึงประโยชน์และอุดมการณ์ต่าง ๆ ในสังคม รวมทั้งบทบาทของกองทัพในการต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะชององค์การแห่งอำนาจที่สำคัญของทุกๆ สังคม
พรรคการเมืองของบุคคลที่มีชื่อเสียง พรรคการเมืองที่รวบรวมคนมีเงินและคนมีชื่อเสียงในสังคมเป็นสมาชิกเช่นนี้ จัดระเบียบภายในของพรรคจะอ่อนสมาชิกของพรรคจะเป็นพวกที่มีความคิดเสรีนิยม หรืออนุรักษ์นิยม กรรมการกลางของพรรคจะไม่ค่อยได้มีอำนาจเหนือผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรคเพราะการได้รับเลือกตั้งขึ้นอยู่กับชื่อเสียงส่วนตัวของผู้แทน มากกว่า ดังนั้นชื่อเสียงส่วนตัวของผู้แทนจึงสำคัญกว่าชื่อเสียงหรือนโยบายของพรรค
พรรคมวลชน ต้นศตวรรษที่ 20 อุดมการณ์ทางการเมืองในเรื่องความเสมอภาคได้แพร่ขยายออกไปสู่จำนวนมาก พลังมวลชนจึงกลายเป็นอาวุธทางการเมืองที่สำคัญขึ้นมาอีกชนิดหนึ่งความเหนือกว่าทางด้านพลังมวลชนเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของการต่อสู้ทางการเมืองทั้งระยะสั้นและระยะยาว
พลังมวลชนจะเป็นอาวุธทางการเมืองได้อย่างแท้จริง ก็ต่อเมือมีการจัดมวลชลให้เข้าเป็นองค์การ ต้องทำให้องค์การกับพลังมวลชนเกาะเกี่ยวกันอย่างแยกไม่ออก จึงจะทำให้เป็นอาวุทธทางการเมื่องได้
การใชพลังมวลชนภายในรัฐ เป็นปรากฎการณ์ของสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเป้นผลที่ทำให้ค่าครองชีพและวัฒนธรรมของประชาชนส่วนใหญ่มีราคาสูงขึ้น
สมัยโบราณการกุมอำนาจการปกครองอยู่ในระหว่างกลุ่มชนในวงจำกัด มาลชนส่วนใหญ่มีความรู้จำกัด ไม่รู้จักอำนาจของตนเอง นอกจากเหตุการณ์ที่พิเศษจริง ๆ มวลชนจะเข้าดำเนินการรุนแรงทันที่ เหมือนสัตว์ใหญ่โกรธ จะทำลายทุกอย่างที่ขว้างหน้า แต่เมื่อทำลายแล้วก็ไม่อาจสร้างขึ้นใหม่ได้
สังคมสมัยใหม่ พลังมวลชนมีความสำคัญขึ้นมาก เพราะมีการให้สทิธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปอย่างเสมอภาค ไม่ว่าคนมีคนจนล้วนมีเสียงเท่ากัน ถึงแม้อุดมการประชาธิปไตยจะถูกสร้างขึ้นมาจากคนจำนวนน้อยที่ร่ำรวย แต่อาวุธอุดมการณ์ที่พวกนายทุนใช้ต่อสู้กับชนชั้นขุนนาง คือ ความเสมอภาค ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ที่ยากจนพลอยได้ประโยชน์ไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีการรวมพลกันได้ เพราะหลักการประชาธิไตยคือเสียงส่วนมากเป็นเสียงตัดสินทางการเมือง
พรรคสังคมนิยม ต้นศตวรรที่ 20 กลุ่มที่มีความคิดทางสังคมนิยมได้จัดตั้งพรรคการเมืองรูปใหม่ขึ้นด้วยวิธีนำพลังมวลชนมาใช้ให้เป็นประโยชน์และแก้ปัญหาเบื้องแรก คือปัญหาการเงิน พรรคสังคมนิยมในขณะนั้นอยู่ในฐานะ “นักปฏิวัติ” บรรดาคนมีเงิน เชน นายธนาคาร เจ้าของโรงงานอุตสาหรรมและเจ้าของที่ดินทั้งหลาย จึงให้เงินช่วยเหลือเฉพาะพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรคเสรีนิยมเทานั้น ในเมือพรรคสังคมนิยมไม่สามารถได้เงินจากคนจำนนน้อยที่มีเงินมากจึงต้องคิดหาทางที่จะได้รับเงินมาจากจำนวนที่มีเงินน้อย และต้องไม่สม่ำเสมอด้วย
จากปัญหาการเงินดังกล่าวนั้น พรรคสังคมนิยมจึงต้องเปิดให้มีการสมัคราเป็นสมาชิกของพรรคมากที่สุดเท่าที่จะทำได้คือแทนที่จะรวมกลุ่มจำนวนเป็นพันอย่าง “พรรคของคนมี่ชื่อเสียง พรรคมวลชน จะรวมสมาชิกเป็นร้อยๆ พัน หรือเป็นล้าน ๆ นอกจากเรื่องมาก่อนเลยด้วย และจากการที่มีสมาชิกเป็นจำนวนมาก พรรคจึงสามารถใช้วิธีของประชาธิปไตยเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมารชิกผู้แทนราษฎรด้วยกล่าวคือ แทนที่จะเลือกคือ แทนที่จะเลือกผู้สมัคร จากวงแคบๆ ของกลุ่มสรรหากลุ่มเล็กๆ ก็ให้มีการเลือกในสภาพท้งอถิ่น และสภาระดับชาติโดยสมาชิกโดยทั้งหมดหรือผู้แทนของสมาชิก
ความเกียวพันอย่างใกล้ชิดอาจเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงระหว่างโครงส้างของพรรคการเมืองแบบใหม่นี้กับวิวัฒนาการของสังคมที่เป็นฐานของพรรคการเมืองพรรคที่ประกอบด้วยบุคคลสำคัญแบบดั้งเดิมเป็นตัวแทนอยู่เฉพาะการต่อสู้ของพวกขุนนางและของพวกคนมี เงิน ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนน้อย ความแคบของพรรคทำให้เวที่การเมืองและลักษณะที่แท้จริงของประชาธิไปไตยแคบลงไปตาสวย ในทางตรงกันข้าม พรรคของมวลชนสอดคล้องกับการขยายวงกว้างของประชาธิปไตยเพราะเปิดให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องการเมืองอย่งถาวร ถ้าประชาชนส่วนใหญ่เพียงแต่ได้ใช้สิทธิทางการเมือง สี่หรือห้าปี ครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตยอยางแท้จริง
การล้อมกรอบสมาชิกจำนวนเป็นล้าน ๆ อย่างถาวรและการที่สมาชิกต้องจ่ายเงินค่าบำรุงแก่พรรค อย่างสม่ำเสมอ เป็นผลบังคับในตัวเองที่การบริหารองค์การจะต้องเป็นไปอย่างเข้มงวดกวดขัน และยิ่งเมืององค์การมีการพัฒนาในสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นทั้งโครงสร้างละสายการบังคับบัญชาผู้นำภายในของพรรคก็ยิ่งมีอำนาจยิ่งขึ้น และเหนือกว่าตัวผู้แทนราษฎรที่เป็นสมาชิกรัฐสภา ปรากฎการณ์ของการขัดกันระหว่างกลุ่มชั้นผู้นำทั้งสองของกลุ่ม (ผู้นำภายในของพรรคและผู้แทนราษฎร) เป็นที่น่าสนใจในเชิงสังคมวิทยา เพราะผู้นำทั้งสองฝ่ายถูกเลือกขึ้นมาจาฐานที่แตกต่างกัน ผู้นำรรคได้รับเลือกจากสมาชิกพรรค ส่วนผู้แทน ได้รับเลือกจากผู้มีสิทธิกเสียงเหลือกตั้งทั่วไป โดยธรรมดาแล้ว สมาชิกพรรคจะต้องผูกพันอยู่กับอุดมการของพรรคอย่างเหนียวแน่นมากกว่าผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป ดังนั้นผู้นำของพรรคจึงเป็นพวกที่เข้มงวดในเรืองอุมการมากกว่า ตัวผู้แทนที่มีที่นั่งในรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม วิวัฒนากรของพรรคสังคมนิยมที่เบนเข็มไปทางสังคมนิยมประชธิปไตยและการรวมตัวเข้าไปสู่ระบอบรัฐสภา ทำให้สถานะการณ์ของการขัดแย้งระหว่างอำนาจของผุ้นำภายในพรรคกับผู้แทน อ่อนลงมากเพราะว่าเมืองยอมรับคุณค่าของระบอบรัฐสภาก็ต้องยอมรับความเหนือกว่าของบุคคลที่เป็นตัวแทนเจตนารมณ์ของตนในรัฐสภา
แต่ในพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคฟาสซิสต์นั้น สถานะกาณ์ตรงกันข้าม ผู้แทนในรัฐสภาจะต้องยอมอยู่ใต้อำนาจของผู้นำของพรรค ทั้งนี้เพราะระบบของคุณค่าในอุดการ์ที่แตกต่างกัน
โครงสร้างพรรคการเมืองมวลชนที่พรรคสังคมนิยมเป็นผู้ริเริ่มดังกล่าวมาแล้วนั้นได้ถูกนำไปดัดแปลงใชกับพรรคกาเมืองอื่นที่สำคัญอื่นอีก 2 พรรค คือ พรรคคอมมิวนิสต์ และพรรคฟาสซิสต์
พรรคคอมมิวนิส ได้ดัแปลงโครงสร้างของพรรคสังคมนิยมในส่วนสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก แทนที่จะจัดกลุ่มสมากตามทะเบียนบ้านที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นเขตของหน่วนเลือกตั้ง กลับเปลี่ยนเป็นรวบรวมสมาชิกและกำหนดหน่วยเลือกตั้งตามสถานที่ทำงาน เช่น ตามโรงงาน ตามแหล่งการผลิตต่าง ๆ ประการที่สองพรรคคอมมิวนิสต์ เน้นน้ำหนักความสำคัญที่การรวมสูนย์อำนาจและระเบียบวินัยอย่างเข้มงวด เด็ดขาด
“เลนิน แสดงความเห็นไว้ในหนังสือเรือง “จะทำอย่างไรว่า พรรคกรรมกรจะต้องจัดตั้งขึ้นเป็นศูย์กลางรรวมอำนาจอย่างเข้มววด ในฐานะเป็นชนชั้นนำที่ประกบขึ้นด้วย “นักปฏิวัติอาชีพ” เพราะในการต่อสู้ใต้ดินกับพระเจ้าซาร์ของรัสเซียน้นจะต้องใช้คนจำนวนน้อยที่เป็นนักปฏิวัติอาชีพจริง ๆ เป็นผู้ขึ้นนำทางปฏิบัติ จึงจะเป็นผลสำเร็จพรรคคอมมิวนิสต์จะไม่เปิดกว้างรับสมาชิกมากมายแบบสังคมนิยม ความเห็นของเลนินในเรื่องที่ว่าสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ต้องเป็นชนชันนำและมีอำนาจเด็ดขาด จึงก่อให้เกิดการแตกแยกกันระหวางพวกบอล เชวิกของ เลนิน และพวกเมนเซวิกด้วย
การจัดระเบียบภายในพรรคคอมมิวนิสต์ ใช้หลัก “ประชาธิปไตยรวมศูนย์”และระบบการบังคับบัญชาคู่” จัดตั้งโครงสรางของพรรคขึ้นตามทฤษฎีของเลนินบวกกับทฤษฎีของรุสโซ
ประชาธิปไตยรวมศูนย์ ถือหลักที่ว่า ผู้นำทุกคนมาจากการเลือกตั้ง มีการรายงานผลงานที่ปฏิบัติต่อองค์กรของพรรคตามระยะเลาที่กำหนดและมีการประชุมตัดสินปัญหาต่าง ๆ สมาชิกทุกคนมีสิทธิออกความเห็นและอภิปรายได้ ส่วนที่ว่า “รวมศูนย์” นั้นมาจากหลักที่ว่า คำตัดสินหรือมติขององค์กรที่สูงกว่มีลักษณะเด็ดขาด มีผลบังคับต่อองค์กรที่มีระดับต่ำกว่าเจตนารมย์ร่วมสำคัญกว่าเจตนารมย์ส่วนตัวเสมอ ไม่มีผ่ายค้านเมือมี่ประชุมตัดสินลงมติแล้ว
การจัดระเบียบของพรรคคอมิวนิสต์เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการส่งผลให้พรรคมีอิทธิพลเป็นกองบัญชาการสูงสุดของอำนาจปฏิวัติได้
“ มาตรา 126 ของรัฐธรรมนูญโซเวียต 1936 ความว่า “พลเมืองที่เเข็งขันที่สุดและมีจิตสำนึกอันแน่วแน่ผูกพันกับชนชั้นกรรมมาชีพ กับชาวนาผุ้ใช้แรงงาน และกับผู้ใช้แรงสติปัญญารวมกันอย่างเสรีภาพในพรรคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตรัสเซีย หน่วยแนวหน้าของผุ้ใช้แรงงานในการต่อสู้เพื่อสร้างสังคมคอมมิวนิสต์เป็นทั้งสายนำของทุกองค์การผู้และใช้แรงงาน องค์ทางสังคม และองค์การของรัฐ”
โครงสร้างของพรรคเริ่มจาก หน่วยที่เล็กที่ที่สุดที่เป้นหน่วยการผลิตขั้นพื้นฐานเช่น โรงงานอุตสาหกรรม หน่วยการผลิตชนิดต่าง ๆ และเขยิบขึ้นเป็นเขตการปกครองจากเล็กสุด ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงระดับชาติทุก ๆ หน่วยดังกล่าวจะถูกวางซ้อนกันขึ้นไปในรูปพีระมิด และเชื่อมโยงด้วยสายบังคับบัญชาแนวดิ่ง กล่าวคือองค์กรที่อยู่ในระดับเดียวกัน เช่นโรงงานต่อโรงงาน หรือตำบลจะติดต่อกันเองไม่ได้ ต้องมีองค์กรที่มีระดับสูงกว่าถัดขขึ้นไปเป็นตัวกลาง องค์การของพรรคใรดับต่ำกว่งจะต้องรายงานการปฏิบัติงานต่อองค์กรพรรคใรระดับสูงถัดไป และของคำแนะนำเมืองต้องการตัดสินใจขององค์กรที่สูงกวาและองค์กรในระดับสูงกว่าต้องศึกษาประสบการณ์ขององค์กรที่ต่ำกว่า ในการวางระเบียบของพรรคแบบนี้ องค์กรที่สูงสุดจะรู้เรื่องขององค์กรระดับถัดลงมาเรื่อยๆ จนต่ำสุดที่เป็นฐานแต่ องค์กรที่ต่ำสุดจะไม่มีโอกาสรู้เรื่องของตนในระดับเดียวกัน หรือคนที่สูงกว่าเลย นอกจาฟังคำสั่งและต้องปฏิบัติตาม
ขบวนการฟาสซิสต์ นักสังคมวิทยาการเมืองหลายท่านจัดขบวนการฟาสซิสต์ไว้ในพวกเยวกับพรรคอมมิวนิสต์ ทั้งนี้เพราะทั้งคอมมิวนิสต์และฟาสซิสต์ต่างก็เป็นพวกที่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จครอบครองอาวุทธการเมืองทุกชนิดเอาไว้หมด ดังที่นักสังคมวิทยาได้ให้ความหมายของคำว่าเบ็ดเสร็จว่า “การรวมของอาวุธ 6 ชนิด คือ อุดมการชนิหนึ่งชนิดใด พรรคการเมืองพรรคเดียว ความโหดเหี้ยมของตำรวจลับ การผูกขาดการสือสารการติดต่อ การผูกขาดกำลังอาวุธ และการรวมศูนย์อำนาจเศรษกิจ
ทั้งคอมมิวนิสต์และฟาสซิต์ใช้การต่อสู้ที่เกินเลยออกไปจากบอลข่ายของระบอบการเมืองแบบประชาธปไตย และใช้เทคนิคการรวมพลล้อมกรบกิจกรรมทุกชนิดของสมาชิกไว้อย่างหนาแน่น
เทคนิคการรวมพล ที่สำคัญคือ ระบบการบังคับบัญชาคู่ ผุ้นำสามารถล่วงรู้ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของสมาชิกที่ถูกล้อมกรอบไว้ได้อย่งทั่วถึง ขึ้นแรกของเทคนิคการรวมพลคือ การรวมคนให้เข้าร่วมกิจกรรมตามใจสมัคร กลุ่มกจิกรรมต่าง ๆ จะต้องเกียวข้องกันเป็นลูกโซ่ เช่นกรรมกรเข้าเป็นสมาชิกของเขตนั้น อยุ่ในหมู่บ้านใดก็เป็นสมาชิกของหมู่บ้านนั้น แม่บ้านเป็นสมาชิกสมาคมแม่บ้าน นักกีฬาเป็นสมาชิกสมาคมกีฬาเป็นต้น
ในแง่ทฤษฎี เทคนิคนี้เป็นเรื่องของความสมัครใจ แต่ในทางปฏิบัติจะขึ้นอยุ่กับระบบของสังคมแต่ละสังคม ถ้าสังคมใดใช้ระบบเผด็จการปกครอง ประชาชนจะอยุ่ภายใต้การควบคุมของรัฐอย่างใกล้ชิด โดยฝ่ายองค์การหรือสหพันธ์ที่ประชาชนเป็นสามชิกอยุ่ ใครมไม่ยอมรวมเป็นสามชิกของหน่วยหรือองค์การใดเลย จะถูกสงสัยหรือถูกริดรอนโอกาสและบริการต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ที่สามารถผู้พันให้ประชาชนชอบที่จะเข้ามาเป้นสามชิกมากกว่าจะอยู่นอกวง เทคนิคอย่างนี้ ถ้าเป็นระบอบคอมมิวนิสต์หรือฟาสซิสต์ จะต้องมีการใช้วิธีโฆษณาชวยเชื่ออย่างมากและสม่ำเสมอ ซึ่งจะใช้พร้อมกันไปกับตำรวจการเมืองด้วย
พวกฟาสซิสต์ลอกเลียนแบบคอมมิวนิสต์ในเรื่อง พรรคการเมืองพรรคเดียว และวิธีการจัดตั้งองค์การที่มีระเบียบแบบคอมมิวนิสต์ในเรื่อง พรรคการเมืองพรรคเดียว และวิธีการจัดตั้งองค์การที่มีระเบยบเข้มงวดกวดขัน อำนาจรวมอยู่ที่ศูนย์กลาง รวมทั้งความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง
แม้ว่าขบวนการฟาสซิสต์จะลอกเลียนแบบของพรรคผ่ายซ้ายเพื่อความสะดวกในการต่อสู้กัน แต่ความแตกต่างของฟาสซิสต์และคอมมิวนิสต์ที่แท้จริงอยู่ที่ การใช้กำลังรุนแรงบังคับให้สังคมอยู่ในระเบียบดั้งเดิม เมื่อมีเหตุการณ์ที่ชวนให้น่าสงคสัยว่าสังคมจะเลี่ยนไปสู่ระบอบประชาธิปไตย หรือระบอบสังคมนิยม หรือระบอบคอมมิวนิสต์
การล้อมกรอบตามแบบทหาร พรรคฟาสซิสต์จะใช้เทคนิคทางทหารล้อมกรอบการเคลื่อนไหวทางการเมืองของมวบชนไว้ คือ หน่วยที่เล็กที่สุดไปถึงหน่วยที่ใหญ่ที่สุดจะจัดเป็น หมู่ กองร้อย กองพัน กองพล เป็นลำดับ หน่วยเล็กสุดจะรวมเป็นกลุ่มซ้อน ๆ กันในหน่วยที่ใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ เหมือนลักษณของกองทัพ
การต่อสู้ทางการเมืองแบบทหาร
นอกจกาสมาชิกของขบวนการฟาสซิสต์จะต้องมีเครื่องแบบแล้วจะต้องมีวิธีต่อสู้แบบทหารด้วย เช่น การสวนสนาม การแสดงพลังอาธการโจมตีฐานที่ตั้งของศัตรู เป็นต้น
นอกจากนี้ พรรคฟาสซิจต์อาจมีบทบาทในหารต่อสู้ทางการเมืองตามวิธีการเลือกตั้งในระบบรัฐสภาด้วยก็ได้ แต่เป้าหมายที่แท้จริงก็การทำลายระบบรัฐสภามากกว่า กล่าว โดยสรุป พรรคฟาสซิสต์ คือการจัดตั้งการใช้กำลังรุนแรงขึ้นให้เป็นระเบียบและมีลักษณธเป็นกองทัพของเอกชน ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะรักษาอำนาจไว้ด้วยการใช้กำลังอาวุธรุนแรง
เผด็จการและบทบาทของกองทัพในการต่อสุ้ทางการเมือง การเมืองมิได้มีแต่แรวดน้มที่จะทำลายการใช้ลังรุนแรงด้วยอาวุธเทานั้น แต่เพื่อที่สังคมจะอยู่ได้อย่งมีระเบยบและรวมกันได้อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การเมืองจึงต้องถูกใช้ให้เป็นวิถีทางรวบรวมกำลังรุนแรงทั้งหลายที่กระจัดกระจายอยู่ในมือของเอกชน และกลุ่มต่าง ๆ มาไว้ในความควบคุมขงรัฐบาลอยางเด็ดขาด โดยให้รัฐเท่านั้นเป็นผุ้ผูกขาดการใช้กำลังบีบบังคับทั้งหมด กำลังของกองทัพซึ่งประกองด้วย ทหารและอาวุธจึงเป็นอำนาจของรัฐที่จำเป็นการผูกขาดดังกล่วทำให้กำลังของชนชั้นต่าง ๆ ของพรรคการเมือง ต้องอยู่ในฐานะที่ด้อยกว่าเพราะอำนาจที่คุ้มกันด้วยอาวุธเทานันจงจะสามารรุทำให้ประชาชนที่ไม่มีอาวุธเท่าเทียมต้องอยู่ภายใต้การบังคับได้
วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Nuremberg trials
การพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ก เป็นชุดการพิจารณาคดีทางทหาร ที่จัดขึ้นโดยฝ่ายสัมนธมิตรผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นการฟ้องสมาชิกชั้นผู้ใหญ่ในคณะผู้นำทางการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจของนาซีเยอมัน ซึ่งพ่ายสงคราม
การพิจราณาทั้งนี้มีขึ้น ณ ตำหนักยุติธรรม เมืองเนือร์นแบร์ก รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอมัน โดยลุดแรกเป็ฯ “การพิจารณาผู้กระทำความผิดอาญาสงครามกลุ่มหลัก” ในศาลทหารระหว่งผระเทศ เริ่มในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1945 และเป็นการพิจารณาอันเป็นที่กล่าวขานมากที่สุดด้วย จำเลยในชุดนี้ประกอบด้วยผู้นำคนสำคัญที่สุดยี่สิบสี่คนของนาซีเยอรมันรซึ่งถูกจับมาได้ ทว่า บุคคลสำคัญหลาย ๆ คน ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังสงครามอาทิ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เฮนริค ฮิมม์เลอร์ และโจเซฟ เกิเบลส์นั้น กระทำอัตวินิบาตกรรมไปก่อนหน้าแล้ว การพิจารณาชุดแรกนี้สิ้นสุดลงในวันที่ 1 ตุลาคม 1946
ส่วนชุดที่สอง เป็นการพิจารณาผู้กระทำความผิดอาญาสงครามซึ่งมีความสำคัญน้อยกว่าจำเลยหลุ่มแรก ดำเนินการโดย คณะตุลาการทหารเนือร์นแบร์ก
เอกสารของคณะรัฐมนตรีสงครามแห่งอังกฤษ ระบุว่า ในเดือนธันวาคม 1944 คณะรัฐมนตีได้อภิปรายถึงนโบยกาลงโทษผู้นำนาซีทีถูกจบตัวได้ วินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษได้สนับสนุนให้มีการประหารชีวิตอยางรวบรัดในบางพฤติการณ์ โดยใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยกบฏ เพื่อหลักเลี่ยงอุปสรรคทางกฎหมายบางประการอย่างไรก็ดี เมือได้พูดคุยกับสหรัฐอมเริกาภายหลังสงครามยุติแล้ว สหรัฐอเมริกาได้ปรามเขามิให้ใช้นโยบายนี้ ครั้น
ปลายปี ค.ศ. 1943 โจเซฟ สตาลิน เสนอใหประหารชีวิตนายทหารชาวเยอรมันร่าว ๆ ห้าหมืนถึงหนึ่งแสนคน โรสเวลต์ กล่าวติดตลกว่า เอาแค่สีหมื่อนเกาก็พอ และเชอร์ชิลติเตียนแนวคิด “ประหารชีวิตตเหล่าทหารที่สู้รบเพื่อประเทศของตนให้ตายเสียอยางเลือดเย็น” แต่เขายืนยันว่า ผู้กระทำความผิดอาญาสงครามต้องชดใช้ความผิดของตนและตามปฏิญามอสโกที่เขาเขียนขึ้นเองนั้น เขายังว่า บุคคลเหล่านั้นจักต้องถูกพิจรรณา ณ สถานที่ที่ความผิดอาญาได้กรทะลง เชอร์ชิลลล์ต่อต้านการประหารเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างแข็งขัน ตามรายงานประชุมระหว่างโรสเวลต์-สตาลินในการประชุมยอลตา เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1945 ประธานาธิบดีโรสเวลต์ “กล่าวว่า ขอบเขตการทำลายล้างของหทหารเยอรมันในไครเมียนั้นสร้างความตระหนกให้แก่เขาเป็นอัน
มาก และเพราะฉะนั้น เขาจึงกรหายเลือดต่อชาวเยอรมันมากยิ่งกว่าปีก่อน และเขาหวังว่าจอมพลสตาลินจะเสนอแผนการประหารชีวิตนายทหารจำนวนห้าหมื่อนคนของกองทัพบกเยอรมันอีกครั้ง
เฮนรี่ มอร์เกนเธา จูเนียร์ รัฐมนตรีวาการกระทรวงการคลังแห่งสหรัฐอเมริกา เสอนแผนการให้ทำลายความเป็นนาซีจากเยอรมันอย่างสมบูรณ์ แผนการดังกล่าวเรียกกันว่า “แผนการมอร์เกนเธา”นี้เนื้อหาสนับสนุนการบังคับให้เยอรมันสูญเสียอำนาจทางอุตสาหกรรมของตน ในเบื้องต้น โรสเวลต์สนับสนุนแผนการนี้ และโน้มน้าวให้เชอร์ชิลล์สนับสนุนในรูปแบบที่เบาบางฃงจึงละทิ้ง
แผนการดังกล่าว ความที่แผนการมอร์เกนเธาถึงจุดจลบเช่นนี้ ก็
บังเกิดความจำเป้นจะต้องหาวะธีสำรองสำหรับรับมือกับเหล่าผู้นำนาซีขึ้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสงครามแห่งสหรัฐอเมริกา เฮนรี แอล.สติมสัน จึงยกร่างแผนการสำหรับ “พิจารณาชาวยุโรปผู้กระทำความผิดอาญาสงคราม”ต่อมาในเดือนเมษายน 1945 เมื่อโรสเวลต์ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว แฮร์รี เอส.ทรูแมน ประธานาธิบดีคนใหม่ แสดงความเห็ด้วยอย่างแรงกล้าในอันที่จะให้มีกระบวนการยุติธรรม และหลังสหราชอาณาจักร,สหรัฐอเมริกา,สหภาพโซเวียต และฝรั่งเศส ได้เจรจากันหลายยกหลายคราว ก็ได้ข้อสรุปเป็ฯรายละเอียดของการพิจารณาคดี โดยเริ่มพิจารณาเมือวันที่ 20 พฤศจิกายน 1945 ณ เมืองเนื่อร์นแบร์ก รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมัน
อาชญากรรมสงคราม คือ การละเมิดฝ่าฝืนจารีตประเพณีหรือกฎหในการยุทธซึ่งหมายรวมถึงพฤติการณ์ดังต่อไปนี่แต่มีได้จำกัดอยู่เท่านี้ คือ การฆ่าคน ทุเวชปฏิบัติ การเนรเทศหรือการเทครัวของพลเรือแห่งดินแดนที่สามารถยึดได้ไปเป็นทาสคนงาน หรือกรรมการเป็นต้นตลอดจนการฆ่าหรือการทุเวชปฏิบัติซึ่งเชลยศึกการสังหารตัวประกัน การทำลายล้างบ้านเรือน ไร่นา เรือกสวน เป็ฯต้น โดยขาดความยับยั้งกับทั้งการทำให้เสียหายอย่างรุนแรงซึ่งอาวุธยุทธภันฑ์ ก่อนหน้าจะมีการประดิษฐ์และนิยามคำ “อาชญากรรมสงคราม” ขึ้นอย่างเป็นทางการมีการใช้คำหลายคำเรียกพฤติการณ์ในลักษณะนี้ เช่น คำว่า “ความสับปรับ” ซึ่งนิยมใช้กันมากกว่าหลายทศวรรษ เป็นต้น “อาชญากรรมสงคราม”นั้นวิวัฒนามาจากกรณีหายนะที่เนือร์นแบร์กโดยปรากฏในธรรมนูญกรุงลอนดอนว่าด้วยคณะตุลาการทหารระหว่างประเทศ
ค่าปฏิกรรมสงคราม หมายถึง ของมีค่าที่ต้องจ่ายเป็นค่าชดเชยเพื่อให้ครอบคลุมความเสียหายระหวางสงคราม ดดยทั่งไปแล้ว ค่าปฏิกรรมสงคราม หมายถึงเงินหรือสินค้าเปลี่ยนมือ มากกว่าการถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ อย่างเช่น การผนวกดินแดน
การพิจราณาทั้งนี้มีขึ้น ณ ตำหนักยุติธรรม เมืองเนือร์นแบร์ก รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอมัน โดยลุดแรกเป็ฯ “การพิจารณาผู้กระทำความผิดอาญาสงครามกลุ่มหลัก” ในศาลทหารระหว่งผระเทศ เริ่มในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1945 และเป็นการพิจารณาอันเป็นที่กล่าวขานมากที่สุดด้วย จำเลยในชุดนี้ประกอบด้วยผู้นำคนสำคัญที่สุดยี่สิบสี่คนของนาซีเยอรมันรซึ่งถูกจับมาได้ ทว่า บุคคลสำคัญหลาย ๆ คน ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังสงครามอาทิ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เฮนริค ฮิมม์เลอร์ และโจเซฟ เกิเบลส์นั้น กระทำอัตวินิบาตกรรมไปก่อนหน้าแล้ว การพิจารณาชุดแรกนี้สิ้นสุดลงในวันที่ 1 ตุลาคม 1946
ส่วนชุดที่สอง เป็นการพิจารณาผู้กระทำความผิดอาญาสงครามซึ่งมีความสำคัญน้อยกว่าจำเลยหลุ่มแรก ดำเนินการโดย คณะตุลาการทหารเนือร์นแบร์ก
เอกสารของคณะรัฐมนตรีสงครามแห่งอังกฤษ ระบุว่า ในเดือนธันวาคม 1944 คณะรัฐมนตีได้อภิปรายถึงนโบยกาลงโทษผู้นำนาซีทีถูกจบตัวได้ วินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษได้สนับสนุนให้มีการประหารชีวิตอยางรวบรัดในบางพฤติการณ์ โดยใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยกบฏ เพื่อหลักเลี่ยงอุปสรรคทางกฎหมายบางประการอย่างไรก็ดี เมือได้พูดคุยกับสหรัฐอมเริกาภายหลังสงครามยุติแล้ว สหรัฐอเมริกาได้ปรามเขามิให้ใช้นโยบายนี้ ครั้น
ปลายปี ค.ศ. 1943 โจเซฟ สตาลิน เสนอใหประหารชีวิตนายทหารชาวเยอรมันร่าว ๆ ห้าหมืนถึงหนึ่งแสนคน โรสเวลต์ กล่าวติดตลกว่า เอาแค่สีหมื่อนเกาก็พอ และเชอร์ชิลติเตียนแนวคิด “ประหารชีวิตตเหล่าทหารที่สู้รบเพื่อประเทศของตนให้ตายเสียอยางเลือดเย็น” แต่เขายืนยันว่า ผู้กระทำความผิดอาญาสงครามต้องชดใช้ความผิดของตนและตามปฏิญามอสโกที่เขาเขียนขึ้นเองนั้น เขายังว่า บุคคลเหล่านั้นจักต้องถูกพิจรรณา ณ สถานที่ที่ความผิดอาญาได้กรทะลง เชอร์ชิลลล์ต่อต้านการประหารเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างแข็งขัน ตามรายงานประชุมระหว่างโรสเวลต์-สตาลินในการประชุมยอลตา เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1945 ประธานาธิบดีโรสเวลต์ “กล่าวว่า ขอบเขตการทำลายล้างของหทหารเยอรมันในไครเมียนั้นสร้างความตระหนกให้แก่เขาเป็นอัน
มาก และเพราะฉะนั้น เขาจึงกรหายเลือดต่อชาวเยอรมันมากยิ่งกว่าปีก่อน และเขาหวังว่าจอมพลสตาลินจะเสนอแผนการประหารชีวิตนายทหารจำนวนห้าหมื่อนคนของกองทัพบกเยอรมันอีกครั้ง
เฮนรี่ มอร์เกนเธา จูเนียร์ รัฐมนตรีวาการกระทรวงการคลังแห่งสหรัฐอเมริกา เสอนแผนการให้ทำลายความเป็นนาซีจากเยอรมันอย่างสมบูรณ์ แผนการดังกล่าวเรียกกันว่า “แผนการมอร์เกนเธา”นี้เนื้อหาสนับสนุนการบังคับให้เยอรมันสูญเสียอำนาจทางอุตสาหกรรมของตน ในเบื้องต้น โรสเวลต์สนับสนุนแผนการนี้ และโน้มน้าวให้เชอร์ชิลล์สนับสนุนในรูปแบบที่เบาบางฃงจึงละทิ้ง
แผนการดังกล่าว ความที่แผนการมอร์เกนเธาถึงจุดจลบเช่นนี้ ก็
บังเกิดความจำเป้นจะต้องหาวะธีสำรองสำหรับรับมือกับเหล่าผู้นำนาซีขึ้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสงครามแห่งสหรัฐอเมริกา เฮนรี แอล.สติมสัน จึงยกร่างแผนการสำหรับ “พิจารณาชาวยุโรปผู้กระทำความผิดอาญาสงคราม”ต่อมาในเดือนเมษายน 1945 เมื่อโรสเวลต์ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว แฮร์รี เอส.ทรูแมน ประธานาธิบดีคนใหม่ แสดงความเห็ด้วยอย่างแรงกล้าในอันที่จะให้มีกระบวนการยุติธรรม และหลังสหราชอาณาจักร,สหรัฐอเมริกา,สหภาพโซเวียต และฝรั่งเศส ได้เจรจากันหลายยกหลายคราว ก็ได้ข้อสรุปเป็ฯรายละเอียดของการพิจารณาคดี โดยเริ่มพิจารณาเมือวันที่ 20 พฤศจิกายน 1945 ณ เมืองเนื่อร์นแบร์ก รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมัน
อาชญากรรมสงคราม คือ การละเมิดฝ่าฝืนจารีตประเพณีหรือกฎหในการยุทธซึ่งหมายรวมถึงพฤติการณ์ดังต่อไปนี่แต่มีได้จำกัดอยู่เท่านี้ คือ การฆ่าคน ทุเวชปฏิบัติ การเนรเทศหรือการเทครัวของพลเรือแห่งดินแดนที่สามารถยึดได้ไปเป็นทาสคนงาน หรือกรรมการเป็นต้นตลอดจนการฆ่าหรือการทุเวชปฏิบัติซึ่งเชลยศึกการสังหารตัวประกัน การทำลายล้างบ้านเรือน ไร่นา เรือกสวน เป็ฯต้น โดยขาดความยับยั้งกับทั้งการทำให้เสียหายอย่างรุนแรงซึ่งอาวุธยุทธภันฑ์ ก่อนหน้าจะมีการประดิษฐ์และนิยามคำ “อาชญากรรมสงคราม” ขึ้นอย่างเป็นทางการมีการใช้คำหลายคำเรียกพฤติการณ์ในลักษณะนี้ เช่น คำว่า “ความสับปรับ” ซึ่งนิยมใช้กันมากกว่าหลายทศวรรษ เป็นต้น “อาชญากรรมสงคราม”นั้นวิวัฒนามาจากกรณีหายนะที่เนือร์นแบร์กโดยปรากฏในธรรมนูญกรุงลอนดอนว่าด้วยคณะตุลาการทหารระหว่างประเทศ
ค่าปฏิกรรมสงคราม หมายถึง ของมีค่าที่ต้องจ่ายเป็นค่าชดเชยเพื่อให้ครอบคลุมความเสียหายระหวางสงคราม ดดยทั่งไปแล้ว ค่าปฏิกรรมสงคราม หมายถึงเงินหรือสินค้าเปลี่ยนมือ มากกว่าการถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ อย่างเช่น การผนวกดินแดน
วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Chinese Civil War
สงครามมหาเอเซียบูรพายุติลอย่างไม่มีใครคาดคิด ไม่กี่วันหลังที่สหรัฐทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกที่เมืองฮิโรจิมาในวันที่ 6 สิงหาคม 1945 หลังจากนั้นอีก 2 วันสหภาพโซเวียตฉวยโอกาสเข้าข้างผู้ชนะด้วยการประกาศสงครามกับญี่ป่น พร้อมยาตราทัพเข้าสู่แมนจูเรีย โดยอ้างข้อตกลงที่ลงนามไว้ในการประชุมที่เมืองยัลต้า และหลังการทิ้งระเบิดลูกที่ 2 ที่นางาซากิ ในวันที่ 9 สิงหา ปีเดียวกัน เป็นผลให้ญี่ปุ่นยอมมวางอาวุธโดยไม่มีเงื่อนไข ในอีกสองสามวันต่อมา
การยอมแพ้ของญี่ปุนส่งผลต่อจีนในทันที่ พรรค ccp และก๊กมินตั๋ง ขัดแย้งกันว่าใครจะมีอำนาจริบอาวุธและใครจะเป็นผู้มีสิทธิเข้าครอบครองดินแดนที่ญี่ปุ่นเคยยึดครองอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของประเทศ
เพื่อยุติปัญหาทั้งปวง และเพื่อการรวมประเทศโดยสันติตามแนวทางประชาธิปไตยวอชิงตันส่งนายพลจอร์จ ซี มาร์แชลเดินทางมาจีน โดยได้รับคำสั่งวางตัวเป็นกลางและให้ความยุติธรรมแก่ทั้ง พรรคคอมมิวนิสต์จีนและพรรคก๊กมินตั๋ง แต่เมือเขามาถึงจีนสถานการณ์กลับเป็นว่าสหรัฐอเมริกาเข้าไปพวพันอย่างเต็มตัวในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในจีน และสถานะการณ์นั้นสหรัฐฯเป็นฝ่ายได้เปรียบ
รัสเซียเองก็มีส่วนในความล้มเหลวครั้งนี้ กล่าวคือ ก่อนที่สหรัฐฯจะสามารถผลิตระเบิดปรมณูได้สำเร็จ สหรัฐอเมริกาได้ของร้องให้ผู้นำรัสเซียส่งกำลังเขาช่วยโดยเฉพาะในการรบขั้นสุดท้ายกับญี่ปุ่น แม้โซเวียตจะประกาศสงครามกับญี่ปุ่นสอดคล้องตรงตามวันเวลาที่ทำข้อตกลงกันไว้ในสัญญาที่ยัลต้า แต่ไม่มีความจำเป็นแล้ว เพราะประกาศหลังจากสหรัฐฯทิ้งระเบิดปรมณูที่ฮิโรชิม่าแล้ว
การเข้ายึดแมนจูเรียของรัสเซียให้ผลดีแก่พรรค ccp กล่าวคือ ทหารรัสเซียได้รับคำสั่งให้อนุญาตให้กองกำลัง ซีซีพี เดินทางเข้าแมนจูเรียได้โดยเสรี อย่างไรก็ดีสตาลินให้ความสนใจแมนจูเรียมากกว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีน สตาลินไม่มีความเชื่อว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะยึดแผนดินได้ในเวลาอันสั้น แมนจูเรียมีความสำคัญกับโซเวียตโดยเฉพาะเครื่องจักรที่ญี่ปุ่นทิ้งไว้ ซึ่งรัสเซียเองอาจจะนำกลับไปฟื้นฟูประเทศหรือใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองกับพรรคก๊กมินตั๋งในกิจการบางอย่าง ความช่วยเหลือต่อพรรคซีซีพีจึงค่อนข้างจำกัด คืออนุญาตให้เดินทางเข้าแมนจูเรียและให้เข้ายึดอาวุธยุทโธปกรณ์บางส่วนจากญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งตรงกันข้ามกับพรรค ซีซีพี ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างจริงจัง
ในวันที่ 14 สิงหาคม 1945 สหภาพโซเวียตได้ลงนามในสนธิสัญญากับเชียง คือสนธิสัญญาวาด้วยมิตรภาพลและความร่วมมือ และสตาลินประกาศให้การยอมรับรัฐบาลเชียงว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องรัฐบาลเดียวของจีน พร้อมทั้งสัญญาว่าจะให้ความช่วยเลหือและสนับสนุนรัฐบาลเชียงแต่เพียงรัฐบาลเดียวตลอดไป
เชียงพบว่าผู้นำรัสเซียหาได้มีความจริงใจต่อก๊กมินตั๋งโดยเฉพาะการยินยิมให้กองทัพเชียงเข้าสู่พื้นที่ยึดครองของรัสเซียก่อนการถอนกำลังออกไปไม่ ดังนั้นทุกครั้งที่กองทัพก๊กมินตั๋ง เดินทางมาถึงจะพบว่าดินแดนั้นตกอยู่ในความยึดครองของซีซีพีแล้ว
เชียง ไค เชค มีความเชื่อว่า หากรัสเซียยังคงกองกำลังไว้ในพื้นที่ พรรคมิวนิสต์จีนจะเข้าทำการยึดครองได้ลำบากความเชื่อนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่รู้เท่าทันของ เชียง เองและอีกส่วนหนึ่ง มาจากคำแนะนำของบรรดาที่ปรึกษาชาวอเมริกัน ทีวิเคราะห์ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จนและพรรคมิวนิสต์รัสเซียมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน จึงถือปฏิบัติต่อกันเสมือนหนึ่งเป็นองค์กรเอกเทศ และมีผลประโยชน์ที่ต่างกัน ซึ่งขัดต่อความเป็นจริงที่ผู้นับถือลัทธินี้เชื่อว่าองค์การของเขาเป็นองค์การสากล ไม่มีวันแตกแยกออกจากกันได้อย่างน้อยก็ชั่วเวลาหนึ่ง
รัสเซียได้พิสูจน์ให้เห็นในข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่ง เชียง ไค เชค เรียกว่า “เป็นการรุกรานจีนครั้งใหม่ของรัสเซีย” เชียง ไม่ได้รับการร่วมมือดังที่หวัง การถอนกำลังของรัสเซียล่าช้ากว่า 6 เดือน ทั้งนี้ก็เพื่อรอให้กำลังของ ซีซีพีพร้อมและเข้ายึดเมืองสำคัญ ๆ ไว้ ก่อนที่กองทัพก๊กมินตั๋งจะเดินทางไปถึง จากการจากไปของรัสเซีย ทำให้การเผชิญหน้ากันเริ่มรุนแรงยิ่งขึ้น
การลงนามหยุดยิงเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่ ทั้งก๊กมินตั๋ง และ ซีซีพีจำเป็นที่จะต้องแสดงเพื่อเอาใจนายพลมาแชลล์ และก็เหมือนครั้งก่อนๆ ที่ทั้งสองฝ่ายไม่ต่างก็ไม่มีความตั้งใจที่จะรักษาคำมั่นสัญญานั้นไว้
ก๊กมินตั๋งเห็นว่าการหยุดยิงและสภาพความสงบศึกนั้นผู้ได้เปรียบจากการณ์นี้เป็จะเป็นของพรรค ซีซีพี มากกว่าที่จะตกไปแก่พรรคก๊กมินตั๋ง เนื่องจากการยอมแพ้และวางอาวุธของญี่ปุ่นทำให้อิทธิพลของคอมมิวนิสต์เด่นชัดมากในบริเวณนั้นๆ หากเวลาเนินนานไปคอมมิวนิสต์จะสามารถสร้างอิทธิพลเหนือชาวพื้นเมือง การหยุดยิงจึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรในสายตา เชียง ไค เชค เชียงจึงเริ่มเกมรุกในขณะที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็พยายามประวิงเวลาเพื่อสร้างความพร้อม
ตุลาคม 1946 ข้อตกลงหยุดยิงล้มเหลวแม้ว่าสหรัฐฯจะพยายามใช้วิธีการทางการทูตแต่ก็ไม่สำเร็จ ไม่นานก๊กมินตั๋งก็ยึฐานที่สำคัญทีเมืองเยนานเมืองหลวงของซีซีพีก็ตกเป็นของก๊กมินตั๋ง แต่การสู้รบก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยวิธีการจรยุทธ์ วิธีการต่อสู้ที่ถนัดและใช้มาเป็นเวลานานของซีซีพี
ชัยชนะที่มีแต่ละครั้งทำให้ก๊กมินตั๋งเชื่อว่า ภัยจากคอมมิวนิต์คงจะจบสิ้นไปในเวลาไม่ช้า ซึ่งแตกต่างกับที่ปรึกษาอเมริกันที่ว่าจะต้องยืดเยื้อไปอย่างน้อยระยะหนึ่ง
อย่างไรก็ดี ความไม่มีประสิทธิภาพของกองทัพก๊กมินตั๋ง ซึ่งมีมากกว่าซีซีพี ถึง 3 เท่าอาวุธที่ทันสมัยกว่า แต่ก็ไม่อาจนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ทั้งหมด ทหารขาดระเบียบวินัย บรรดาผู้นำของกองทัพ ก็ไม่มีอุดมการณ์ที่แน่วแน่ ให้ความไว้วางใจไม่ได้ ทำให้เชียงต้องใช้นโยบายถ่วงดุลย์ หรือไม่ก็ต้องคอยสอดส่องดูแล สอดแนม แทนที่จะใช้เวลาทั้งหมดไปในการสู้รบ ความได้เปรียบที่เคยมีจึงหมดไป เริ่มสูญเสียเมืองสำคัญ ๆ รวมทั้งเมืองเยนานในเดือน เมษายน 1948 ในดินแดนแมนจูเรียก็ไม่สามารถขยายเขตการรบให้กลางได้ในขณะเดียวกัน กองทัพต้องสูญเสยอาวุธยุทโธปกรณ์ไปในการรบ เพิ่มขึ้นนั้หมายถึงทุกครั้งที่มีการรบซีซีพีจะได้อาวุธที่ทีนสมัย เพิ่มขึ้นมากเท่านั้นคิดเป็น กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นของอาวุธที่สหรัฐอเมริกามอบให้แก่กองทัพของรัฐบาล
สหรัฐอเมริกาอึดอัดเป็นอย่างมากที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาภายในของจีน โดยเฉพาะทางด้านการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่อาจประกาศตนให้ความช่วยเหลือแก่เชียง ไค เชค ผู้ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกามาเป็นเวลาหลายปีได้อย่างเต็มที่ และถึงแม้สหรัฐฯจะมีนโยบายที่เป้ฯปฏิปักษ์โดยตรงกับลัทธินี้ไม่ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์ประเทศใดๆ ก็ตาม โดยเฉพาะสงครามที่ดำเนินไปในทิสทางที่ขัดกับคำแนะนำของตน และในสงครามที่เห็นว่าไม่อาจชนะได้ เมื่อ เชียง ไค เชค ถาโถมเข้าสู่กับคอมมิวนิสต์ศัตรูที่มีกำลังมากกว่า สหรัฐอเมริกพยายามเรียกร้องให้เชียงชลอการสู้รบโดยให้หัสมาจัดตั้งรัฐบาลผสมทำการปฏิรูปี่ดิน และจัดระเบียบการปกครองในดินแดนที่ยึดมาได้ก่อนแต่เมือง เชียง ไค เชค ปฏิเสธและดำเนินการทางทหารต่อไป สหรัฐอเมริกาเรอ่มลดปริมาณความช่วยเหชือลงจนถึงขั้นไม่เพียงพอแม้แต่จะป้องกันรัฐบาลของเชียงให้รอดพ้นจาก เงื้อมมือของคอมมิวนิสต์ได้
เพื่อลดขอบเขตการเข้าไปเกียวข้องกับการสู้รบให้น้อยลง ในเดือนสิงหาคม 1946 นายพลมาแชลประกาศยุติการซื้อขายอาวุธให้แก่ เชียง ไค เชค อย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ดี เชียงยังคงได้รับความช่วยเหลือในกิจการอื่น อยู่รวมทั้งการคงกองกำลังนาวิกโยธินไว้ทางภาค เหนือของปรเทศเพื่อคุ้มครองกองกำลังของพรรคก๊กมินตั๋งจนถึงปี 1947 สุดท้ายมาตรการช่วยเหลือทางอาวุธถูกรื้อฟื้นมาอีก แต่ได้เฉพาะการซื้อขายเท่านั้น
ในปี 1947 กองกำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯ ทางภาคเหนือของจีนเพื่อคุ้มครองกองกำลังของพรรคก๊กมินตั๋ง ถอนกำลังจากจีนในระหว่างเดือน มีนาคม-พฤษภาคม ทั้งนี้ไม่ห้ามหน่วยนาวิกโยธินที่จะมอบอาวุธสงครามเหลือใช้ก่อนที่หน่วยรบดังกล่าวจะถอนกำลังออกจากจีน ซึ่งเป็นความช่วยเหลือครั้งสุดท้ายที่สหรัฐฯให้แก่จีน…
...............................................
ทันทีทีสงครามกลางเมืองครั้งใหม่เกิดขึ้น ซีซีพีนำนโยบายการต่อสู้ทางชนชั้นกลับมาใช้อีกโดยมุ่งไปที่การกำจัดอิทธิพลของนายทุนเจ้าของที่ดินและชาวนาผู้มั่งคั่ง การประกาศแนวทางนี้ เกิดขึ้นมาอย่างไม่ได้คาดคิดและไม่ไ้ด้วางแผนไว้ล่วงหน้า ซึ่งแม้แต่บรรดาผู้นำพรรคก็ไม่แน่ใจว่าผลจะออกมาแบบใด และดำเนินไปในทิศทางใด หรือขอบเขตของการปฏิรูปควรจะอยู่ที่ใด
ในช่วงเปิดศึกกับญี่ปุ่น พรรคซีซีพียังคงดำเนินนโยบายการต่อสู้ทางชนชั้นอยู่อย่างต่อเนือง ซึ่งการกำหนดค่าเช่าที่ดินในอัตราต่ำ การประกาศใช้วิธีการเก็บภาษีในอัตราที่เพ่ิมขึ้น รวมั่งการแต่างตั้งให้ชาวไร่ชาวนาขึ้นดำรงตำแน่างสูงในสังคม มีส่วทำลายโครงสร้างางสังคมดั้งเดิม อย่างไรก็ดีการ
เปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังไม่สามารถขุดรากถอนโคนบทบาทของอดีตผุ้นำในสังคมเดิมลงได้ นายทุนเจ้าของที่ดินและชาวนาผุ้มั่งคั่งก็บังคงยึดถือที่ดินแยู่ รวมทั้งค่านิยมของสังคมที่ยกย่องผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีกวา ด้วยเหตุนี้ ปี 1945-1946 แผนการกว่าล้างบุคคลเหล่านี้นเริ่มกำหนดขึ้น เริ่มต้นด้วยการสนับสนุนให้ชาวไรชาวนารวมตัวกัน เรียกตนเองว่า "สมาคมชาวไร่ชาวนาและกรรมกร" ต่อต้านผุ้ให้การช่วยเหชือแก่ญี่ปุ่น จากนันก็มุ่งไปที่นายทุนเจ้าของที่ดินผู้หากินกับการเก็บค่าเช่า หรือคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่สูง เกินกำหนด้วยมาตรการดังกล่าวทำให้ในปลายปี 1946 ซีซีพีสามารถกำจัดนายทุนได้ในหลายๆ พื้นที่ แต่การยึดที่ดินจากนายทุนและชาวนาผุ้มั่งคั่งมาแจกจ่ายให้แก่ชาวไรชาวนายากจน ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนและทำให้ชาวไร่ชาวนารอดพ้นจากความหิวโหยอดอาหารตายได้ ผู้นำพรรคเริ่มขยายขอบข่ายการยึดที่ดินกลางออกไปอีก คราวนี้รวมทั้งทรัพย์สินและสมบัติอื่น ๆ เท่าที่จะหาได้ เป้าหมายของการปฏิบัติการครั้งนี้นอกจากมุ่งไปที่การริบที่ดินของชาวนาผู้มั่งคั่ง ชาวนาชั้นกลางที่ครอบครองที่ดินเกินอัตรากำหนดยังรวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิต และสุดท้ายก้าวไปถึงบุคคลที่พอกินพอใช้ไม่ถึงกับขัดสน แต่อดีตเคยมีบิดามารดาที่เคยมีที่ดิน หรืออยุ่ในขั้นร่ำรวยมาก่อนและได้รับมรดกตกทอกันมา โดยอ้างวาเป็นทรัพย์สินที่แย่งมาจากคนจน
เมื่อดำเนินการมาถึงจุดนี้ บรรดาผุ้นำของพรรคเริ่มตั้งข้อสงสัยในความจริงใจและความบริสุทธิของเจ้าหน้าที่ในระดับล่างลงไป เพราะแม้มีการปฏิรูปมากเท่าไร แต่พรรคยังไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ ข้อสงสัยนี้มีส่วนถูก มีเจ้าหน้าที่บางคนยักยอกที่ดินเป็นของตน...
ช่วงกลางปี 1947 พรรคดำินินนโยบายปฏิรูปที่ดินค่อนข้างรุนแรงที่เคยประกาศใช้เป็นหลักการแต่กอ่นเข้ามาใช้ โดยเฉพาะในพื้ที่ครอบครองทางภาคเหนือทั้งนี่เพื่อสร้างความเท่าเียมกับชนชั้นอื่น ๆ ทางเศรษฐกิจแก่ชาวไร่ชาวนาที่ยากจน ตลอดจนผู้อยูในภาคเกษตรกรรมทางภาคเหนือ อันได้แก่การจัดสรรที่ิดน เครื่องมือ เกษตรกรรม สัตว์เลี้ยง เมล็ดพันธ์ข้าว ทุนทรัพย์ และอื่น ๆ ที่สำคัญต่อการผลิตในอัตราส่วนที่เท่า ๆ กันต่อไปจะไม่มีคนมั่งมี ไม่มีคนยากจน ทุกคนมีฐานะความเป็นอยุเท่ากันหมด ผุ้ที่ยังทีทรัพย์สินอยู่จะถูกยึด ถูกขับไล่ออไปจากสังคมหรือไม่ก็ถูกฆ่า และพรรคยังชักจูงให้ชาวไร่ชานาที่ยากจนโดยทั่วๆ ไป เข้าเป็นสมาชิกใหม่ของพรรค ปลดผุ้กระทำผิดต่อพรรค ตั้งชาวไร่ชาวนาขึ้นเป็นผู้พิพากษาพิจารณาความผิดฐานทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงเบียดบังทรัพย์สินที่ยึดมาได้มาเป็นของตนเอง และวิพากษ์วิจารณ์ พระนามผู้ทียังประพฤติตนเป็นดั่งศักดินา ..
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เกิดมาจากความขัดกันในด้านชีวิตความเป็นอยู่ของคนรุ่นเก่ากับความคิดเห็นทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ กล่าวคือ โดยธรรมเนียมแล้วสังคมจีนโบราณเป็นสังคมที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด สมาชิกแต่ละคนต่างยอมรับว่าสังคมหนึ่ง ๆ ต้องมีความแตกต่างกันโดยคนมั่งมีและมีอิทธิพลสามารถจะทำอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจกับคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งยากจนและไร้อำนาจ ในช่วงแรกๆ ชาวไร่ชาวนาก้าวขึ้นสู่อำนาจ บุคคลเหล่านี้ด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าการเป็นผุ้นำนั้นหมายถึงตนจะทำอะไรก็ได้ดังที่ผู้นำในอดีตเคยปฏิบัติกัน จึงเกิดการฉ้อราษฎรบังหลวงอย่างในระบอบการปกครองเดิม ในระดับผู้นำระดับสูงความประพฤติเช่นนี้เป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่มีโทษอย่างร้ายแรง และยังขัดกับอุดมการณ์ของพรรคที่เน้นความเสมอภาคกันทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคมและการเมือง และต่อต้านกรสืบทอดตำแหน่งตลอดจนความมั่งมีในแต่ละครอบครัว การยอมให้ถือปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีที่ไม่พึงปรารถนา หรือการปล่อยให้ชาวไร่ชาวนาที่กลายมาเป็นผู้นำในสังคมใช้ตำแหน่งหน้าที่แยกตัวเองออกจาสังคมเป็นคนอีกชนชั้นหน่ง หรือการดำรงตนเป็นผู้มีอภิสิทธิเหนือคนอื่นดังเช่นผู้นำในอดีต ซึ่งทั้งหมดย่อมเป็นการบ่อนทำลายหลักการแห่งการปฏิวัติทั้งสิ้น
บรรดาผู้นำระดับสูงพยายามปกปิดความผิดพลาดของพรรค เหมือที่เคยทำมาในอดีต แต่เมื่อไม่บรรลุผลก็หันไปโทษเจ้าหน้าที่ระดับล่าง โดยปราศากการให้คำแนะนำที่มีคุณค่าเพื่อเรียกร้องความร่วมือโดยสมัครใจ อันที่จริงปัญหาเช่นนี้ทางพรรคเพียงประวิงเวลาและให้การศึกษาในแนวทางแห่งการปฏิวัติที่ถูกต้อง ปัญหาต่าง ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น
ต้นปี่ 1948 พรรคเิริ่มผ่อนคลายนโยบายสร้างความเสมอภาคในสังคม ด้วยความจริงที่ว่า การสร้างความเสมอภาคกันในสังคมของกายึดถือที่ดินนั้น พรรคจำเป็นต้องยึดที่ดินเพิ่มอีก แม้จากผู้ที่มีที่ดินเกินมาตรฐานเพียงเล็กน้อย หรือแม้แต่จากชาวไร่ชาวนาผู้มั่งคั่งที่วิธีการผลิตของเขาไม่ได้เอารัดเอาเปรียบสังคมมากเกินไป เพราะผลผลิตของเขายังพอมีประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของชุมชนอยู่ หรือมีที่ดินในครอบครองที่ไม่มากเพียงพอต่อการจัดสรรให้แก่ชาวไร่ชาวนาผู้ยากจนอื่นๆ
แม้ว่าพรรคจะมีนโยบายปฏิรูปอยางค่อยเป็นค่อยไป แต่ทางพรรคยังคงดำเนินการปฏิรูปอย่างรุนแรงในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเฉพาะในหมู่บ้านที่คอมมิวนิสต์ยึดครองมาเป็นเวลานานแล้ว พรรคใช้นโยบายลงโทษอย่างรุนแรงต่อสมาชิกผู้ทำตนเป็นชนชั้นศักดินา หรือใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด เว้นแต่ในเขตที่เพิ่งถูกปลดปล่อยพรรคจะใช้วิธีการที่ประนีประนอม
.........................................
ก่อนที่สงครามกลางเมืองจะยุติลงโดยชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์นั้น เชียง ไค เชค ใช้ความพยายามขั้นสุดท้ายเพื่อพิชิตกองทัพซีซีพีที่เปิดฉากการรุกทางภาคตะวันออกของแมนจูเรียในปลายปี 1946 ด้วยการส่งกองทหารทีดีที่สุดที่มีอยู่ขึ้นสู่พื้นที่ทางภาคเหนือ และในแมนจูเรีย ยึดได้เมืองหลวงที่ว่างเปล่า ของซีซีพีที่เมืองเยนานรวมทั้งพื้นที่ตลอดแนวสองข้างทางรถไฟลึกเข้าไปในแมนจูเรีย แต่เชียง ไม่อาจปฏิบัิติการในเชิงรุกได้เพราะพื้นที่ถูกกองกำลังซีซีพีปิดล้อมเส้นทางเดิน นอกเสียจากการใช้กำลังตอบโต้เมืองถูกโจมตีจากหน่วยจรยุทธ์ของพรรคซีซ๊พี ที่รายล้อมกองทัพของเซียง ในวันที่ 4 กรกฎาคม 1947 เชียง ไค เชค ประการวาซีซีพีเป็นกบฏ และเรียกกองบัญชาการของเขาว่า "กองบัญชาการปราบโจร"พร้อมส่งกำลังหลักเข้าโจมตฐานที่มั่นของซีซีพีในแมนจูเรียอย่างต่อเนือง อย่างไรก็ดีการรบในครั้งนี้แม้กองทัพของเชียงจะมีจำนวนมากกวา อาวุธทันสมัยกว่าแต่ไม่ทำให้ เชียง ไค เชค เป็นฝ่ายชนะได้
ภายในรัฐบาลก๊กมินตั๋งไม่แตกต่างไปจากกองทัพมากนัก การฮ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นโดยทั่วไป ทุกคนต่างแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบใส่ตัว ปัญหาเงินเฟ้อ รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้ ทำให้ชนชั้นกลาง เร่ิมแสดงความไม่พอใจต่อการบริหารงานของรัฐบาลก๊กมินตั๋งที่ล้มเหลว นอกเหนือจากการเป็นรัฐบาลเผด็จการมากขึ้น ความพ่ายแพ้ทางทหารแต่ละครั้งของพรรคก๊กมินตั๋ง ต่อซีซีพีภายใต้การนำของหลินเปียว เป็ง เต-ฮุย และเชน ยี ในระหว่างปี 1948 เชียง ไค เชค เริ่มที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ หลังจากที่เขาพยายามชักจูงใจให้ผุ้สนับสนุนเขาหันมาร่วมมือกันแก้ไขอีกครั้ง แม้จะล้มเหลวอีกก็ตาม
กลางปี 1947 เมื่อซีซีพีสามารถเข้าครอบครองพื้นที่รอบเมืองใหญ่ ๆ ได้ตั้งแต่แมนจูเรียเรื่อยลงมาถึงที่ราบเหนือลุ่มแม่นำ้ฮวงโห และอีก 1 ปีต่อมา สภานการณ์ของพรรคก๊กมินตั๋งยิงเลวร้ายลงอีกเมืองกองกำลังก๊กมินตั๋งหนีทัพและเข้าไปร่วมกับ พีแอลเอ ซึ่งในที่สุดกองทัพก๊กมินตั๋งตกอยู่ในวงล้ามของพีแอลเอ ซึ่งพร้อมที่จะเข้าทำลายได้ทุกเมือ แต่พีแอลเอ เลือกที่จะปล่อย ก๊กมินตั๋งลงทางภาคใต้เพื้อขยายพื้นที่ปลดปล่อยลงสู่ภาคใต้เหนือลุ่มแม่น้ำแยงซี เพื่อสร้างฐานกำลังให้แก่พีแอลเอ ในกรณีที่ตัดสินใจเข้าทำลาย ก๊กมินตั๋งที่เหลืออยู่ทางภาคเหนือ กองทัพดังกล่าวจะไม่สามรถหนีลงสูภาคใต้เพื่อขอความช่วยเหลือจากกองกำลงส่วนหใหญ่ทางภาคใต้ได้ นอกจากนี้ เมา เช ตุง ยังเห็นว่าการปิดล้อมไม่ให้กองกำลังทางเหนือติดต่อกับกองกำลังทางใต้ได้นานเท่าไรก็จะเป็นผลดีต่อซีซ๊พีเพราะจะทำให้กองทัพก๊กมินตั๋งขาดกำลังใจที่จะต่อสู้ และหาก เชียง ปล่อยให้กองกำลังของเขาตกอยู่ในวงล้อมโดยไม่เข้าช่วยเหลือ ย่อมได้ชัยชนะอย่างง่ายดาย
เมื่อเป็นที่ประัจักษ์แล้วว่ากองกำลังพีแอลเอเริ่มได้เปรียบในเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นในด้านการตัดตอนกองกำลังของก๊กมินตั๋งทางภาคเหนืออกจากภาคใต้ รวมทั้งชัยชนะในการรบย่อยแต่ละครั้ง ย่อมเป็นเครื่องประกันได้ว่าชัยชนะย่อมเป็นของพีแอลเออย่างแน่นอน
เชียง ไค เชค มีนโยบายที่จะคงกองกำลังไง้ทางเหนือเพื่อคุ้มครองเมืองสำคัญๆ โดยไม่สนใจที่จะให้มีการเคลื่อนย้าย แม้ในกรณีที่มีหน่วยรบอื่นขอความช่วยเหลือมาก็ตาม ทำให้กองกำลังแตกแยกและง่ายต่อการโจมตี
ชัยชนะขั้นเด็ดขาดของพีแอลเอเกิดในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 1948 เมื่อพีแอลเอสามรถทำลายกองทัพก๊กมินตั๋งทางภาคเหนือลงอย่างย่อยยับและอีกครั้งในการรบที่ฮัวไฮ ด้วยการพ่ายปพ้ทั้ง 2 ครั้งเป็นการยุติการสู้รบของก๊กมินตั้งอย่างสิ้นเชิง เวลาเพียง 4 เดือนครึ่ง ก๊กมินตั๋งสูญเสยกำลังพลไปมากกว่า 1 ล้านคนในขณะที่พีแอลเอสูญเสียเพียงเล็กน้อย
เมื่อเห็นวาไม่มีทางจะต้อนกำลังของพีแอลเอได้ เชียง ไค เชค ประกาศลาออกจาตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐจีน ในวันที่ 21 มกราคม 1949
ทันที่ที่เชียง จากไป พีแอลเอ ก็เิดินทัพข้ามแม่น้ำแยงซี ในเดือนเมษาปีเดียวกันนั้นเอง และยึดกวางโจว ในอีกในอีก 6 เดือนต่อมา ชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นการยุติสงครามกลางเมืองที่มีมากว่าสิบปี จีนทั้งหมดตกอยู่ใต้อำนาจการปกครองของพีแอลเอ (ยกเว้นไต้หวัน) และในวันที่ 1 ตุลาคม 1949 เมา เช ตุง ผู้นำคนใหม่ประกาศเรียกชื่อประเทศนี้อย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน หรือ พีอาร์ซี พร้อมเปลี่ยนชื่อจากเปยปิง เป็นเป่ยจิงประเทศจีนตกเป็นของพรรคซีซีพีนับจากวันนั้นเป็นต้นมา...
การยอมแพ้ของญี่ปุนส่งผลต่อจีนในทันที่ พรรค ccp และก๊กมินตั๋ง ขัดแย้งกันว่าใครจะมีอำนาจริบอาวุธและใครจะเป็นผู้มีสิทธิเข้าครอบครองดินแดนที่ญี่ปุ่นเคยยึดครองอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของประเทศ
เพื่อยุติปัญหาทั้งปวง และเพื่อการรวมประเทศโดยสันติตามแนวทางประชาธิปไตยวอชิงตันส่งนายพลจอร์จ ซี มาร์แชลเดินทางมาจีน โดยได้รับคำสั่งวางตัวเป็นกลางและให้ความยุติธรรมแก่ทั้ง พรรคคอมมิวนิสต์จีนและพรรคก๊กมินตั๋ง แต่เมือเขามาถึงจีนสถานการณ์กลับเป็นว่าสหรัฐอเมริกาเข้าไปพวพันอย่างเต็มตัวในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในจีน และสถานะการณ์นั้นสหรัฐฯเป็นฝ่ายได้เปรียบ
รัสเซียเองก็มีส่วนในความล้มเหลวครั้งนี้ กล่าวคือ ก่อนที่สหรัฐฯจะสามารถผลิตระเบิดปรมณูได้สำเร็จ สหรัฐอเมริกาได้ของร้องให้ผู้นำรัสเซียส่งกำลังเขาช่วยโดยเฉพาะในการรบขั้นสุดท้ายกับญี่ปุ่น แม้โซเวียตจะประกาศสงครามกับญี่ปุ่นสอดคล้องตรงตามวันเวลาที่ทำข้อตกลงกันไว้ในสัญญาที่ยัลต้า แต่ไม่มีความจำเป็นแล้ว เพราะประกาศหลังจากสหรัฐฯทิ้งระเบิดปรมณูที่ฮิโรชิม่าแล้ว
การเข้ายึดแมนจูเรียของรัสเซียให้ผลดีแก่พรรค ccp กล่าวคือ ทหารรัสเซียได้รับคำสั่งให้อนุญาตให้กองกำลัง ซีซีพี เดินทางเข้าแมนจูเรียได้โดยเสรี อย่างไรก็ดีสตาลินให้ความสนใจแมนจูเรียมากกว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีน สตาลินไม่มีความเชื่อว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะยึดแผนดินได้ในเวลาอันสั้น แมนจูเรียมีความสำคัญกับโซเวียตโดยเฉพาะเครื่องจักรที่ญี่ปุ่นทิ้งไว้ ซึ่งรัสเซียเองอาจจะนำกลับไปฟื้นฟูประเทศหรือใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองกับพรรคก๊กมินตั๋งในกิจการบางอย่าง ความช่วยเหลือต่อพรรคซีซีพีจึงค่อนข้างจำกัด คืออนุญาตให้เดินทางเข้าแมนจูเรียและให้เข้ายึดอาวุธยุทโธปกรณ์บางส่วนจากญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งตรงกันข้ามกับพรรค ซีซีพี ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างจริงจัง
ในวันที่ 14 สิงหาคม 1945 สหภาพโซเวียตได้ลงนามในสนธิสัญญากับเชียง คือสนธิสัญญาวาด้วยมิตรภาพลและความร่วมมือ และสตาลินประกาศให้การยอมรับรัฐบาลเชียงว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องรัฐบาลเดียวของจีน พร้อมทั้งสัญญาว่าจะให้ความช่วยเลหือและสนับสนุนรัฐบาลเชียงแต่เพียงรัฐบาลเดียวตลอดไป
เชียงพบว่าผู้นำรัสเซียหาได้มีความจริงใจต่อก๊กมินตั๋งโดยเฉพาะการยินยิมให้กองทัพเชียงเข้าสู่พื้นที่ยึดครองของรัสเซียก่อนการถอนกำลังออกไปไม่ ดังนั้นทุกครั้งที่กองทัพก๊กมินตั๋ง เดินทางมาถึงจะพบว่าดินแดนั้นตกอยู่ในความยึดครองของซีซีพีแล้ว
เชียง ไค เชค มีความเชื่อว่า หากรัสเซียยังคงกองกำลังไว้ในพื้นที่ พรรคมิวนิสต์จีนจะเข้าทำการยึดครองได้ลำบากความเชื่อนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่รู้เท่าทันของ เชียง เองและอีกส่วนหนึ่ง มาจากคำแนะนำของบรรดาที่ปรึกษาชาวอเมริกัน ทีวิเคราะห์ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จนและพรรคมิวนิสต์รัสเซียมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน จึงถือปฏิบัติต่อกันเสมือนหนึ่งเป็นองค์กรเอกเทศ และมีผลประโยชน์ที่ต่างกัน ซึ่งขัดต่อความเป็นจริงที่ผู้นับถือลัทธินี้เชื่อว่าองค์การของเขาเป็นองค์การสากล ไม่มีวันแตกแยกออกจากกันได้อย่างน้อยก็ชั่วเวลาหนึ่ง
รัสเซียได้พิสูจน์ให้เห็นในข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่ง เชียง ไค เชค เรียกว่า “เป็นการรุกรานจีนครั้งใหม่ของรัสเซีย” เชียง ไม่ได้รับการร่วมมือดังที่หวัง การถอนกำลังของรัสเซียล่าช้ากว่า 6 เดือน ทั้งนี้ก็เพื่อรอให้กำลังของ ซีซีพีพร้อมและเข้ายึดเมืองสำคัญ ๆ ไว้ ก่อนที่กองทัพก๊กมินตั๋งจะเดินทางไปถึง จากการจากไปของรัสเซีย ทำให้การเผชิญหน้ากันเริ่มรุนแรงยิ่งขึ้น
การลงนามหยุดยิงเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่ ทั้งก๊กมินตั๋ง และ ซีซีพีจำเป็นที่จะต้องแสดงเพื่อเอาใจนายพลมาแชลล์ และก็เหมือนครั้งก่อนๆ ที่ทั้งสองฝ่ายไม่ต่างก็ไม่มีความตั้งใจที่จะรักษาคำมั่นสัญญานั้นไว้
ก๊กมินตั๋งเห็นว่าการหยุดยิงและสภาพความสงบศึกนั้นผู้ได้เปรียบจากการณ์นี้เป็จะเป็นของพรรค ซีซีพี มากกว่าที่จะตกไปแก่พรรคก๊กมินตั๋ง เนื่องจากการยอมแพ้และวางอาวุธของญี่ปุ่นทำให้อิทธิพลของคอมมิวนิสต์เด่นชัดมากในบริเวณนั้นๆ หากเวลาเนินนานไปคอมมิวนิสต์จะสามารถสร้างอิทธิพลเหนือชาวพื้นเมือง การหยุดยิงจึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรในสายตา เชียง ไค เชค เชียงจึงเริ่มเกมรุกในขณะที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็พยายามประวิงเวลาเพื่อสร้างความพร้อม
ตุลาคม 1946 ข้อตกลงหยุดยิงล้มเหลวแม้ว่าสหรัฐฯจะพยายามใช้วิธีการทางการทูตแต่ก็ไม่สำเร็จ ไม่นานก๊กมินตั๋งก็ยึฐานที่สำคัญทีเมืองเยนานเมืองหลวงของซีซีพีก็ตกเป็นของก๊กมินตั๋ง แต่การสู้รบก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยวิธีการจรยุทธ์ วิธีการต่อสู้ที่ถนัดและใช้มาเป็นเวลานานของซีซีพี
ชัยชนะที่มีแต่ละครั้งทำให้ก๊กมินตั๋งเชื่อว่า ภัยจากคอมมิวนิต์คงจะจบสิ้นไปในเวลาไม่ช้า ซึ่งแตกต่างกับที่ปรึกษาอเมริกันที่ว่าจะต้องยืดเยื้อไปอย่างน้อยระยะหนึ่ง
สหรัฐอเมริกาอึดอัดเป็นอย่างมากที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาภายในของจีน โดยเฉพาะทางด้านการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่อาจประกาศตนให้ความช่วยเหลือแก่เชียง ไค เชค ผู้ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกามาเป็นเวลาหลายปีได้อย่างเต็มที่ และถึงแม้สหรัฐฯจะมีนโยบายที่เป้ฯปฏิปักษ์โดยตรงกับลัทธินี้ไม่ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์ประเทศใดๆ ก็ตาม โดยเฉพาะสงครามที่ดำเนินไปในทิสทางที่ขัดกับคำแนะนำของตน และในสงครามที่เห็นว่าไม่อาจชนะได้ เมื่อ เชียง ไค เชค ถาโถมเข้าสู่กับคอมมิวนิสต์ศัตรูที่มีกำลังมากกว่า สหรัฐอเมริกพยายามเรียกร้องให้เชียงชลอการสู้รบโดยให้หัสมาจัดตั้งรัฐบาลผสมทำการปฏิรูปี่ดิน และจัดระเบียบการปกครองในดินแดนที่ยึดมาได้ก่อนแต่เมือง เชียง ไค เชค ปฏิเสธและดำเนินการทางทหารต่อไป สหรัฐอเมริกาเรอ่มลดปริมาณความช่วยเหชือลงจนถึงขั้นไม่เพียงพอแม้แต่จะป้องกันรัฐบาลของเชียงให้รอดพ้นจาก เงื้อมมือของคอมมิวนิสต์ได้
เพื่อลดขอบเขตการเข้าไปเกียวข้องกับการสู้รบให้น้อยลง ในเดือนสิงหาคม 1946 นายพลมาแชลประกาศยุติการซื้อขายอาวุธให้แก่ เชียง ไค เชค อย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ดี เชียงยังคงได้รับความช่วยเหลือในกิจการอื่น อยู่รวมทั้งการคงกองกำลังนาวิกโยธินไว้ทางภาค เหนือของปรเทศเพื่อคุ้มครองกองกำลังของพรรคก๊กมินตั๋งจนถึงปี 1947 สุดท้ายมาตรการช่วยเหลือทางอาวุธถูกรื้อฟื้นมาอีก แต่ได้เฉพาะการซื้อขายเท่านั้น
ในปี 1947 กองกำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯ ทางภาคเหนือของจีนเพื่อคุ้มครองกองกำลังของพรรคก๊กมินตั๋ง ถอนกำลังจากจีนในระหว่างเดือน มีนาคม-พฤษภาคม ทั้งนี้ไม่ห้ามหน่วยนาวิกโยธินที่จะมอบอาวุธสงครามเหลือใช้ก่อนที่หน่วยรบดังกล่าวจะถอนกำลังออกจากจีน ซึ่งเป็นความช่วยเหลือครั้งสุดท้ายที่สหรัฐฯให้แก่จีน…
...............................................
ทันทีทีสงครามกลางเมืองครั้งใหม่เกิดขึ้น ซีซีพีนำนโยบายการต่อสู้ทางชนชั้นกลับมาใช้อีกโดยมุ่งไปที่การกำจัดอิทธิพลของนายทุนเจ้าของที่ดินและชาวนาผู้มั่งคั่ง การประกาศแนวทางนี้ เกิดขึ้นมาอย่างไม่ได้คาดคิดและไม่ไ้ด้วางแผนไว้ล่วงหน้า ซึ่งแม้แต่บรรดาผู้นำพรรคก็ไม่แน่ใจว่าผลจะออกมาแบบใด และดำเนินไปในทิศทางใด หรือขอบเขตของการปฏิรูปควรจะอยู่ที่ใด
ในช่วงเปิดศึกกับญี่ปุ่น พรรคซีซีพียังคงดำเนินนโยบายการต่อสู้ทางชนชั้นอยู่อย่างต่อเนือง ซึ่งการกำหนดค่าเช่าที่ดินในอัตราต่ำ การประกาศใช้วิธีการเก็บภาษีในอัตราที่เพ่ิมขึ้น รวมั่งการแต่างตั้งให้ชาวไร่ชาวนาขึ้นดำรงตำแน่างสูงในสังคม มีส่วทำลายโครงสร้างางสังคมดั้งเดิม อย่างไรก็ดีการ
เปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังไม่สามารถขุดรากถอนโคนบทบาทของอดีตผุ้นำในสังคมเดิมลงได้ นายทุนเจ้าของที่ดินและชาวนาผุ้มั่งคั่งก็บังคงยึดถือที่ดินแยู่ รวมทั้งค่านิยมของสังคมที่ยกย่องผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีกวา ด้วยเหตุนี้ ปี 1945-1946 แผนการกว่าล้างบุคคลเหล่านี้นเริ่มกำหนดขึ้น เริ่มต้นด้วยการสนับสนุนให้ชาวไรชาวนารวมตัวกัน เรียกตนเองว่า "สมาคมชาวไร่ชาวนาและกรรมกร" ต่อต้านผุ้ให้การช่วยเหชือแก่ญี่ปุ่น จากนันก็มุ่งไปที่นายทุนเจ้าของที่ดินผู้หากินกับการเก็บค่าเช่า หรือคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่สูง เกินกำหนด้วยมาตรการดังกล่าวทำให้ในปลายปี 1946 ซีซีพีสามารถกำจัดนายทุนได้ในหลายๆ พื้นที่ แต่การยึดที่ดินจากนายทุนและชาวนาผุ้มั่งคั่งมาแจกจ่ายให้แก่ชาวไรชาวนายากจน ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนและทำให้ชาวไร่ชาวนารอดพ้นจากความหิวโหยอดอาหารตายได้ ผู้นำพรรคเริ่มขยายขอบข่ายการยึดที่ดินกลางออกไปอีก คราวนี้รวมทั้งทรัพย์สินและสมบัติอื่น ๆ เท่าที่จะหาได้ เป้าหมายของการปฏิบัติการครั้งนี้นอกจากมุ่งไปที่การริบที่ดินของชาวนาผู้มั่งคั่ง ชาวนาชั้นกลางที่ครอบครองที่ดินเกินอัตรากำหนดยังรวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิต และสุดท้ายก้าวไปถึงบุคคลที่พอกินพอใช้ไม่ถึงกับขัดสน แต่อดีตเคยมีบิดามารดาที่เคยมีที่ดิน หรืออยุ่ในขั้นร่ำรวยมาก่อนและได้รับมรดกตกทอกันมา โดยอ้างวาเป็นทรัพย์สินที่แย่งมาจากคนจน
เมื่อดำเนินการมาถึงจุดนี้ บรรดาผุ้นำของพรรคเริ่มตั้งข้อสงสัยในความจริงใจและความบริสุทธิของเจ้าหน้าที่ในระดับล่างลงไป เพราะแม้มีการปฏิรูปมากเท่าไร แต่พรรคยังไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ ข้อสงสัยนี้มีส่วนถูก มีเจ้าหน้าที่บางคนยักยอกที่ดินเป็นของตน...
ช่วงกลางปี 1947 พรรคดำินินนโยบายปฏิรูปที่ดินค่อนข้างรุนแรงที่เคยประกาศใช้เป็นหลักการแต่กอ่นเข้ามาใช้ โดยเฉพาะในพื้ที่ครอบครองทางภาคเหนือทั้งนี่เพื่อสร้างความเท่าเียมกับชนชั้นอื่น ๆ ทางเศรษฐกิจแก่ชาวไร่ชาวนาที่ยากจน ตลอดจนผู้อยูในภาคเกษตรกรรมทางภาคเหนือ อันได้แก่การจัดสรรที่ิดน เครื่องมือ เกษตรกรรม สัตว์เลี้ยง เมล็ดพันธ์ข้าว ทุนทรัพย์ และอื่น ๆ ที่สำคัญต่อการผลิตในอัตราส่วนที่เท่า ๆ กันต่อไปจะไม่มีคนมั่งมี ไม่มีคนยากจน ทุกคนมีฐานะความเป็นอยุเท่ากันหมด ผุ้ที่ยังทีทรัพย์สินอยู่จะถูกยึด ถูกขับไล่ออไปจากสังคมหรือไม่ก็ถูกฆ่า และพรรคยังชักจูงให้ชาวไร่ชานาที่ยากจนโดยทั่วๆ ไป เข้าเป็นสมาชิกใหม่ของพรรค ปลดผุ้กระทำผิดต่อพรรค ตั้งชาวไร่ชาวนาขึ้นเป็นผู้พิพากษาพิจารณาความผิดฐานทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงเบียดบังทรัพย์สินที่ยึดมาได้มาเป็นของตนเอง และวิพากษ์วิจารณ์ พระนามผู้ทียังประพฤติตนเป็นดั่งศักดินา ..
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เกิดมาจากความขัดกันในด้านชีวิตความเป็นอยู่ของคนรุ่นเก่ากับความคิดเห็นทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ กล่าวคือ โดยธรรมเนียมแล้วสังคมจีนโบราณเป็นสังคมที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด สมาชิกแต่ละคนต่างยอมรับว่าสังคมหนึ่ง ๆ ต้องมีความแตกต่างกันโดยคนมั่งมีและมีอิทธิพลสามารถจะทำอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจกับคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งยากจนและไร้อำนาจ ในช่วงแรกๆ ชาวไร่ชาวนาก้าวขึ้นสู่อำนาจ บุคคลเหล่านี้ด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าการเป็นผุ้นำนั้นหมายถึงตนจะทำอะไรก็ได้ดังที่ผู้นำในอดีตเคยปฏิบัติกัน จึงเกิดการฉ้อราษฎรบังหลวงอย่างในระบอบการปกครองเดิม ในระดับผู้นำระดับสูงความประพฤติเช่นนี้เป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่มีโทษอย่างร้ายแรง และยังขัดกับอุดมการณ์ของพรรคที่เน้นความเสมอภาคกันทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคมและการเมือง และต่อต้านกรสืบทอดตำแหน่งตลอดจนความมั่งมีในแต่ละครอบครัว การยอมให้ถือปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีที่ไม่พึงปรารถนา หรือการปล่อยให้ชาวไร่ชาวนาที่กลายมาเป็นผู้นำในสังคมใช้ตำแหน่งหน้าที่แยกตัวเองออกจาสังคมเป็นคนอีกชนชั้นหน่ง หรือการดำรงตนเป็นผู้มีอภิสิทธิเหนือคนอื่นดังเช่นผู้นำในอดีต ซึ่งทั้งหมดย่อมเป็นการบ่อนทำลายหลักการแห่งการปฏิวัติทั้งสิ้น
บรรดาผู้นำระดับสูงพยายามปกปิดความผิดพลาดของพรรค เหมือที่เคยทำมาในอดีต แต่เมื่อไม่บรรลุผลก็หันไปโทษเจ้าหน้าที่ระดับล่าง โดยปราศากการให้คำแนะนำที่มีคุณค่าเพื่อเรียกร้องความร่วมือโดยสมัครใจ อันที่จริงปัญหาเช่นนี้ทางพรรคเพียงประวิงเวลาและให้การศึกษาในแนวทางแห่งการปฏิวัติที่ถูกต้อง ปัญหาต่าง ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น
ต้นปี่ 1948 พรรคเิริ่มผ่อนคลายนโยบายสร้างความเสมอภาคในสังคม ด้วยความจริงที่ว่า การสร้างความเสมอภาคกันในสังคมของกายึดถือที่ดินนั้น พรรคจำเป็นต้องยึดที่ดินเพิ่มอีก แม้จากผู้ที่มีที่ดินเกินมาตรฐานเพียงเล็กน้อย หรือแม้แต่จากชาวไร่ชาวนาผู้มั่งคั่งที่วิธีการผลิตของเขาไม่ได้เอารัดเอาเปรียบสังคมมากเกินไป เพราะผลผลิตของเขายังพอมีประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของชุมชนอยู่ หรือมีที่ดินในครอบครองที่ไม่มากเพียงพอต่อการจัดสรรให้แก่ชาวไร่ชาวนาผู้ยากจนอื่นๆ
แม้ว่าพรรคจะมีนโยบายปฏิรูปอยางค่อยเป็นค่อยไป แต่ทางพรรคยังคงดำเนินการปฏิรูปอย่างรุนแรงในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเฉพาะในหมู่บ้านที่คอมมิวนิสต์ยึดครองมาเป็นเวลานานแล้ว พรรคใช้นโยบายลงโทษอย่างรุนแรงต่อสมาชิกผู้ทำตนเป็นชนชั้นศักดินา หรือใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด เว้นแต่ในเขตที่เพิ่งถูกปลดปล่อยพรรคจะใช้วิธีการที่ประนีประนอม
.........................................
ก่อนที่สงครามกลางเมืองจะยุติลงโดยชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์นั้น เชียง ไค เชค ใช้ความพยายามขั้นสุดท้ายเพื่อพิชิตกองทัพซีซีพีที่เปิดฉากการรุกทางภาคตะวันออกของแมนจูเรียในปลายปี 1946 ด้วยการส่งกองทหารทีดีที่สุดที่มีอยู่ขึ้นสู่พื้นที่ทางภาคเหนือ และในแมนจูเรีย ยึดได้เมืองหลวงที่ว่างเปล่า ของซีซีพีที่เมืองเยนานรวมทั้งพื้นที่ตลอดแนวสองข้างทางรถไฟลึกเข้าไปในแมนจูเรีย แต่เชียง ไม่อาจปฏิบัิติการในเชิงรุกได้เพราะพื้นที่ถูกกองกำลังซีซีพีปิดล้อมเส้นทางเดิน นอกเสียจากการใช้กำลังตอบโต้เมืองถูกโจมตีจากหน่วยจรยุทธ์ของพรรคซีซ๊พี ที่รายล้อมกองทัพของเซียง ในวันที่ 4 กรกฎาคม 1947 เชียง ไค เชค ประการวาซีซีพีเป็นกบฏ และเรียกกองบัญชาการของเขาว่า "กองบัญชาการปราบโจร"พร้อมส่งกำลังหลักเข้าโจมตฐานที่มั่นของซีซีพีในแมนจูเรียอย่างต่อเนือง อย่างไรก็ดีการรบในครั้งนี้แม้กองทัพของเชียงจะมีจำนวนมากกวา อาวุธทันสมัยกว่าแต่ไม่ทำให้ เชียง ไค เชค เป็นฝ่ายชนะได้
ภายในรัฐบาลก๊กมินตั๋งไม่แตกต่างไปจากกองทัพมากนัก การฮ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นโดยทั่วไป ทุกคนต่างแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบใส่ตัว ปัญหาเงินเฟ้อ รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้ ทำให้ชนชั้นกลาง เร่ิมแสดงความไม่พอใจต่อการบริหารงานของรัฐบาลก๊กมินตั๋งที่ล้มเหลว นอกเหนือจากการเป็นรัฐบาลเผด็จการมากขึ้น ความพ่ายแพ้ทางทหารแต่ละครั้งของพรรคก๊กมินตั๋ง ต่อซีซีพีภายใต้การนำของหลินเปียว เป็ง เต-ฮุย และเชน ยี ในระหว่างปี 1948 เชียง ไค เชค เริ่มที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ หลังจากที่เขาพยายามชักจูงใจให้ผุ้สนับสนุนเขาหันมาร่วมมือกันแก้ไขอีกครั้ง แม้จะล้มเหลวอีกก็ตาม
กลางปี 1947 เมื่อซีซีพีสามารถเข้าครอบครองพื้นที่รอบเมืองใหญ่ ๆ ได้ตั้งแต่แมนจูเรียเรื่อยลงมาถึงที่ราบเหนือลุ่มแม่นำ้ฮวงโห และอีก 1 ปีต่อมา สภานการณ์ของพรรคก๊กมินตั๋งยิงเลวร้ายลงอีกเมืองกองกำลังก๊กมินตั๋งหนีทัพและเข้าไปร่วมกับ พีแอลเอ ซึ่งในที่สุดกองทัพก๊กมินตั๋งตกอยู่ในวงล้ามของพีแอลเอ ซึ่งพร้อมที่จะเข้าทำลายได้ทุกเมือ แต่พีแอลเอ เลือกที่จะปล่อย ก๊กมินตั๋งลงทางภาคใต้เพื้อขยายพื้นที่ปลดปล่อยลงสู่ภาคใต้เหนือลุ่มแม่น้ำแยงซี เพื่อสร้างฐานกำลังให้แก่พีแอลเอ ในกรณีที่ตัดสินใจเข้าทำลาย ก๊กมินตั๋งที่เหลืออยู่ทางภาคเหนือ กองทัพดังกล่าวจะไม่สามรถหนีลงสูภาคใต้เพื่อขอความช่วยเหลือจากกองกำลงส่วนหใหญ่ทางภาคใต้ได้ นอกจากนี้ เมา เช ตุง ยังเห็นว่าการปิดล้อมไม่ให้กองกำลังทางเหนือติดต่อกับกองกำลังทางใต้ได้นานเท่าไรก็จะเป็นผลดีต่อซีซ๊พีเพราะจะทำให้กองทัพก๊กมินตั๋งขาดกำลังใจที่จะต่อสู้ และหาก เชียง ปล่อยให้กองกำลังของเขาตกอยู่ในวงล้อมโดยไม่เข้าช่วยเหลือ ย่อมได้ชัยชนะอย่างง่ายดาย
เมื่อเป็นที่ประัจักษ์แล้วว่ากองกำลังพีแอลเอเริ่มได้เปรียบในเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นในด้านการตัดตอนกองกำลังของก๊กมินตั๋งทางภาคเหนืออกจากภาคใต้ รวมทั้งชัยชนะในการรบย่อยแต่ละครั้ง ย่อมเป็นเครื่องประกันได้ว่าชัยชนะย่อมเป็นของพีแอลเออย่างแน่นอน
เชียง ไค เชค มีนโยบายที่จะคงกองกำลังไง้ทางเหนือเพื่อคุ้มครองเมืองสำคัญๆ โดยไม่สนใจที่จะให้มีการเคลื่อนย้าย แม้ในกรณีที่มีหน่วยรบอื่นขอความช่วยเหลือมาก็ตาม ทำให้กองกำลังแตกแยกและง่ายต่อการโจมตี
ชัยชนะขั้นเด็ดขาดของพีแอลเอเกิดในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 1948 เมื่อพีแอลเอสามรถทำลายกองทัพก๊กมินตั๋งทางภาคเหนือลงอย่างย่อยยับและอีกครั้งในการรบที่ฮัวไฮ ด้วยการพ่ายปพ้ทั้ง 2 ครั้งเป็นการยุติการสู้รบของก๊กมินตั้งอย่างสิ้นเชิง เวลาเพียง 4 เดือนครึ่ง ก๊กมินตั๋งสูญเสยกำลังพลไปมากกว่า 1 ล้านคนในขณะที่พีแอลเอสูญเสียเพียงเล็กน้อย
เมื่อเห็นวาไม่มีทางจะต้อนกำลังของพีแอลเอได้ เชียง ไค เชค ประกาศลาออกจาตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐจีน ในวันที่ 21 มกราคม 1949
ทันที่ที่เชียง จากไป พีแอลเอ ก็เิดินทัพข้ามแม่น้ำแยงซี ในเดือนเมษาปีเดียวกันนั้นเอง และยึดกวางโจว ในอีกในอีก 6 เดือนต่อมา ชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นการยุติสงครามกลางเมืองที่มีมากว่าสิบปี จีนทั้งหมดตกอยู่ใต้อำนาจการปกครองของพีแอลเอ (ยกเว้นไต้หวัน) และในวันที่ 1 ตุลาคม 1949 เมา เช ตุง ผู้นำคนใหม่ประกาศเรียกชื่อประเทศนี้อย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน หรือ พีอาร์ซี พร้อมเปลี่ยนชื่อจากเปยปิง เป็นเป่ยจิงประเทศจีนตกเป็นของพรรคซีซีพีนับจากวันนั้นเป็นต้นมา...
วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556
coming..
ความสัมพันธ์ของสามมหาพันธมิตรเมื่อใกล้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมีปัญหาความขัดแย้งด้วยเรื่องผลประโยชน์ที่ยังไม่มีข้อยุติให้เป็นที่พอใจแก่อังกฤษและสหรัฐอเมริกาฝ่ายหนึ่ง ปละรุสเซียอีกฝ่ายหนึ่ง
ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ แสดงให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างการประชุมการรบเพื่อพิชิตฝ่ายอักษะ การประชุมที่เตหะราน 28 พฤศจิกายน 1943 การประชุมที่ยัลตา 4-11 กุมภาพันธ์ 1945 การประชุมที่พอตสมดัม กรกฎาคม 1945
ในระหว่างสงคราม สหรัฐอเมริกามุ่งมั่นที่จะปราบฝ่ายอักษะและสถาปนาสันติภาพ โดยจะจัดตั้งองค์การขึ้นเพื่อให้มีหน้าที่ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพโลก คือ องค์การสหประชาชาติ สหรัฐจึงต้องการรักษาความเป็นพันธมิตรไว้มิให้มีวามแตกแยก อันจะทำให้การรบรุกขากประสิทธิภาพ ความร่วมมือจากทุกฝ่ายจึงถือเป็นเรื่องหลักโดยเรื่องผลประโยชน์เป็นเรื่องรองลงมา และต้องเร่งแก้ไขให้ยุติเพื่อมิให้มหาพันธมิตรเกิดรอยร้าวได้ สหรัฐอเมริกาจึงมีทีท่าโอนอ่อนผ่อนปรนต่อรัสเซียในเรื่องต่าง ๆ
อังกฤษนั้นเฝ้าติดตามพฤติกรรมของรุสเซียตั้งแต่ปี 1943 มาแล้วอังกฤษมีความเห็นโดยทั่วไปเหมือนชาวยุโรปในสมัยนั้นว่า การที่รุสเซียรุกรบจนเข้ายึดครองยุโรปตะวันออกเกือบทั้งหมดนั้น มีเหตุมาจากความพยายามที่จะสร้างแนวป้องกันตนเองเพื่อความมันคงปลอดภัยของรุสเซีย ความได้เปรียบทางการทหารมีข้อเท็จจริงที่ชาวยุโรปต้องยอมรับ และเห็นว่าควรหาหนทางประสานผลประโยชน์กับรุสเซีย โดยนำหลักการรักษาดุลยภาพแห่งอำนาจมาใช้
สหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับหลักการนี้ เพราะถือว่าเป็นการดำเนินการทูตแบบเดิม ที่เคยเป็นบ่อเกิดของสงครามโลกครั้งที่ 1 มาแล้ว อีกประการหนึ่ง ถ้ามีการใช้หลักการดุลอำนาจ สหรัฐอเมริกาอาจจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องก่อเกิดภาระผูกพันทางการเมืองอันไม่พึงประสงค์ สหรัฐฯต้องการให้ยุติสงครามโลกและคืนสู่สภาวะปกตอโดยเร็ว
เมื่อสหรัฐสามารถโน้มนำให้อังกฤษคล้อยตามนโยบายสร้างความร่วมมือกับรุสเซียในระหว่างสงคราม รุสเซียย่อมมีโอกาสใช้เชิงการทูตให้เป็นประโยชน์และประสามนกับการปฏิบัติการทางทหารเพื่อเป็นพลังเสริมต่อรองในการทูต ซึ่งรัสเซียตระหนักดีว่าอเมริกามีทัศนะคติอย่างไรต่อตน
ตั้งแต่ปฏิวัติรุสเซียในปี 1917 บรรดามหาอำนาจตะวันตกแทรกแซงกิจการการเมืองภายในอันไม่นคงของรุสเซีย และร่วมปฏิบัติการแทรกแซงทางทหารเพื่อล้มล้างรัฐบาลบอลเชวิค พฤติกรรมเช่นนั้นย่อมทำให้เซียมีความหวาดระแวงไม่ไว้ใจบรรดามหาอำนาจตะวันตกตลอดมา ซึ่งสหรัฐฯและอังกฤษมีความรู้สึกผิดในเรื่องดังกล่าว จึงพยายามแสดงความอดทนและเพียรแสดงเจตนารมณ์อันดี่อรุสเซีย
รุสเซียได้ใช้ความรู้สึกผิดของฝ่ายสหรัฐฯเป็นข้อต่อรองของความเห็นใจที่รุสเซียจำเป็นต้องสร้างความมั่นคงของตน ผลของการปรุชุมที่เตหะรานเป็นมาล้วนเอื้ออำนวยผลประโยชน์ต่อรุสเซียสมประสงค์
สิ่งหนึ่งที่รุสเซียมุ่งมาดปรารถนาจากการประชุมคือ ผลประโยชน์ในยุโรปตะวันออกและในเอเซียตะวันออกในระยะยาว รุสเซียมีความอดทนในการเจรจาต่อรอง โดยเฉพาะสตาลินนั้น ได้ชื่อว่าเป็นนักการทูตผู้ชำนาญการคนหนึ่งของวงการทูต เขาเจรจาหว่านล้อมจนนักการเมืองและนักการทูตของสหรัฐอเมริกาอดมิได้ที่จะมีความเมตตาต่อความรู้สึกไม่มั่นคงของรุสเซีย และได้หยิบยื่นผลประโยชนจ์ให้แก่สตาลินมากมาย ซึ่งต่อมาตกเป็นที่วิพากษ์วิจารย์ว่าเป็นการโอนอ่อนเกินจำเป็นหรือไม่
ที่ยัลตา แลพอตสดัม รุสเซียแสดงบทบาทให้เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า รุสเซียพร้อมที่จะร่วมรบและร่วมสร้างสันติภาพโลก แต่เมื่อสงครามใกล้สิ้นสุด ทีท่าของรุสเซียก็ค่อยๆ ลดลงจาเดิม ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงวยท่าที ชัยชนะในแนวรบได้ทำให้ยุโรปเกิดความนิยมศรัทธารุสเซีย นับถือศักยภาพทางทหารของรุสเซีย และเห็นว่า รุสเซียเป็นมหาอำนาจที่มีเจตจำนงแน่วแน่มากที่สุดประเทศหนึ่งในการปราบฝ่ายอักษะและเป็นผู้ชุบชีวิตชาวยุโรป โดยเฉพาะยุโรปตะวันออก เกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่และศักยภาพทางทหารย่อมทำให้รุสเซียเริ่มดำนินการทูตที่แข.ขึ้น พร้อมด้วยอำนาจต่อรองที่สูงขึ้น
สหรัฐเชื่อว่าการปฏิบัติดีต่อรุสเซียเช่นนั้น รุสเซียจะมีไมตรีตอบสนอง เพราะสหรัฐเชื่อว่าชาวรุสเซียเป็นผู้มีเหตุผลมองการไกลพอที่จะประสานไม่ตรีโดยสันติเพื่อประโยชน์สุขร่วมกัน แต่การณ์กับไม่เป็นดังนั้น
ในปี 1950 ผู้นำรัสเซียได้บอกกล่าวแก่ประชาชนของตนว่า ศัตรูอันดับต่อไปคือ ลัทธิทุนนิยม และกล่าวหา สหรัฐฯและอังกฤษว่ามีเจตนาที่จะทำลายความเป็นรัฐของสหภาพโซเวียต และแสดงธาติแท้ของการต่างประเทศของตนออกมา โดยกล่าวถึงการพลิกฟื้นของการปฏิวัติโลกให้เป็นคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของรุสเซีย
เมื่อเกิดความขัดแย้งในส่วนของผู้นำ โดยสตาลินถือนโยบายสร้างสังคมนิยมในหนึ่งประเทศก่อน กับทรอตสกี ผู้ถือนโยบายปฏิวัติโลก สตาลินเน้นการแสวงหาความร่วมมือ กับบรรดามหาอำนาจตะวันตกเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาชาติและเพื่อความมั่นคงขอรุสเซีย “มีข้อคิดที่ว่า การพัฒนาสังคมนิยมในหนึ่งประเทศนั้นบรรลุผลแล้วหรือ จึงดำเนินนโยบายคลายความร่วมมือกับพันธมิตรของตน และมุ่งปฏิวัติโลก”
สถานการณ์ระหว่าง ปี 1945-1947 เอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายรุสเซีย ความสัมพันธ์ระหว่างรุสเซียกับพันธมิตรได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด บรรดามหาอำนาจตะวันตกได้ตระหนักแล้วว่า ภัยคอมมิวนิสต์นั้นร้ายแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภัยจาก ลัทธินาซี รัฐมนตรีการต่างประเทศรุสเซียได้ประกาศในปี 1946 ว่า “ปัจจุบัน ไม่มีประเด็นใดของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่จะสามารถยุติได้โดยปราศจากสหภาพโซเวียต หรือปราศจากาการฟังเสียงของปิตุภูมิของเรา”
ภัยคอมมิวนิสต์คืบคลานเข้าครอบงำยุโรป กว่ากึ่งหนึ่งในปี 1945 การแบ่งฝ่ายโดยปริยายได้ปรากฎแล้วระหว่างฝ่ายบรรดามหาอำนาจตะวันตกและสหรัฐอเมริกา เรียกกันโดยทั่วไปว่า
“โลกเสรี กับฝ่าย คอมมิวนิสต์”
ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ แสดงให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างการประชุมการรบเพื่อพิชิตฝ่ายอักษะ การประชุมที่เตหะราน 28 พฤศจิกายน 1943 การประชุมที่ยัลตา 4-11 กุมภาพันธ์ 1945 การประชุมที่พอตสมดัม กรกฎาคม 1945
ในระหว่างสงคราม สหรัฐอเมริกามุ่งมั่นที่จะปราบฝ่ายอักษะและสถาปนาสันติภาพ โดยจะจัดตั้งองค์การขึ้นเพื่อให้มีหน้าที่ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพโลก คือ องค์การสหประชาชาติ สหรัฐจึงต้องการรักษาความเป็นพันธมิตรไว้มิให้มีวามแตกแยก อันจะทำให้การรบรุกขากประสิทธิภาพ ความร่วมมือจากทุกฝ่ายจึงถือเป็นเรื่องหลักโดยเรื่องผลประโยชน์เป็นเรื่องรองลงมา และต้องเร่งแก้ไขให้ยุติเพื่อมิให้มหาพันธมิตรเกิดรอยร้าวได้ สหรัฐอเมริกาจึงมีทีท่าโอนอ่อนผ่อนปรนต่อรัสเซียในเรื่องต่าง ๆ
อังกฤษนั้นเฝ้าติดตามพฤติกรรมของรุสเซียตั้งแต่ปี 1943 มาแล้วอังกฤษมีความเห็นโดยทั่วไปเหมือนชาวยุโรปในสมัยนั้นว่า การที่รุสเซียรุกรบจนเข้ายึดครองยุโรปตะวันออกเกือบทั้งหมดนั้น มีเหตุมาจากความพยายามที่จะสร้างแนวป้องกันตนเองเพื่อความมันคงปลอดภัยของรุสเซีย ความได้เปรียบทางการทหารมีข้อเท็จจริงที่ชาวยุโรปต้องยอมรับ และเห็นว่าควรหาหนทางประสานผลประโยชน์กับรุสเซีย โดยนำหลักการรักษาดุลยภาพแห่งอำนาจมาใช้
สหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับหลักการนี้ เพราะถือว่าเป็นการดำเนินการทูตแบบเดิม ที่เคยเป็นบ่อเกิดของสงครามโลกครั้งที่ 1 มาแล้ว อีกประการหนึ่ง ถ้ามีการใช้หลักการดุลอำนาจ สหรัฐอเมริกาอาจจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องก่อเกิดภาระผูกพันทางการเมืองอันไม่พึงประสงค์ สหรัฐฯต้องการให้ยุติสงครามโลกและคืนสู่สภาวะปกตอโดยเร็ว
เมื่อสหรัฐสามารถโน้มนำให้อังกฤษคล้อยตามนโยบายสร้างความร่วมมือกับรุสเซียในระหว่างสงคราม รุสเซียย่อมมีโอกาสใช้เชิงการทูตให้เป็นประโยชน์และประสามนกับการปฏิบัติการทางทหารเพื่อเป็นพลังเสริมต่อรองในการทูต ซึ่งรัสเซียตระหนักดีว่าอเมริกามีทัศนะคติอย่างไรต่อตน
ตั้งแต่ปฏิวัติรุสเซียในปี 1917 บรรดามหาอำนาจตะวันตกแทรกแซงกิจการการเมืองภายในอันไม่นคงของรุสเซีย และร่วมปฏิบัติการแทรกแซงทางทหารเพื่อล้มล้างรัฐบาลบอลเชวิค พฤติกรรมเช่นนั้นย่อมทำให้เซียมีความหวาดระแวงไม่ไว้ใจบรรดามหาอำนาจตะวันตกตลอดมา ซึ่งสหรัฐฯและอังกฤษมีความรู้สึกผิดในเรื่องดังกล่าว จึงพยายามแสดงความอดทนและเพียรแสดงเจตนารมณ์อันดี่อรุสเซีย
รุสเซียได้ใช้ความรู้สึกผิดของฝ่ายสหรัฐฯเป็นข้อต่อรองของความเห็นใจที่รุสเซียจำเป็นต้องสร้างความมั่นคงของตน ผลของการปรุชุมที่เตหะรานเป็นมาล้วนเอื้ออำนวยผลประโยชน์ต่อรุสเซียสมประสงค์
สิ่งหนึ่งที่รุสเซียมุ่งมาดปรารถนาจากการประชุมคือ ผลประโยชน์ในยุโรปตะวันออกและในเอเซียตะวันออกในระยะยาว รุสเซียมีความอดทนในการเจรจาต่อรอง โดยเฉพาะสตาลินนั้น ได้ชื่อว่าเป็นนักการทูตผู้ชำนาญการคนหนึ่งของวงการทูต เขาเจรจาหว่านล้อมจนนักการเมืองและนักการทูตของสหรัฐอเมริกาอดมิได้ที่จะมีความเมตตาต่อความรู้สึกไม่มั่นคงของรุสเซีย และได้หยิบยื่นผลประโยชนจ์ให้แก่สตาลินมากมาย ซึ่งต่อมาตกเป็นที่วิพากษ์วิจารย์ว่าเป็นการโอนอ่อนเกินจำเป็นหรือไม่
ที่ยัลตา แลพอตสดัม รุสเซียแสดงบทบาทให้เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า รุสเซียพร้อมที่จะร่วมรบและร่วมสร้างสันติภาพโลก แต่เมื่อสงครามใกล้สิ้นสุด ทีท่าของรุสเซียก็ค่อยๆ ลดลงจาเดิม ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงวยท่าที ชัยชนะในแนวรบได้ทำให้ยุโรปเกิดความนิยมศรัทธารุสเซีย นับถือศักยภาพทางทหารของรุสเซีย และเห็นว่า รุสเซียเป็นมหาอำนาจที่มีเจตจำนงแน่วแน่มากที่สุดประเทศหนึ่งในการปราบฝ่ายอักษะและเป็นผู้ชุบชีวิตชาวยุโรป โดยเฉพาะยุโรปตะวันออก เกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่และศักยภาพทางทหารย่อมทำให้รุสเซียเริ่มดำนินการทูตที่แข.ขึ้น พร้อมด้วยอำนาจต่อรองที่สูงขึ้น
สหรัฐเชื่อว่าการปฏิบัติดีต่อรุสเซียเช่นนั้น รุสเซียจะมีไมตรีตอบสนอง เพราะสหรัฐเชื่อว่าชาวรุสเซียเป็นผู้มีเหตุผลมองการไกลพอที่จะประสานไม่ตรีโดยสันติเพื่อประโยชน์สุขร่วมกัน แต่การณ์กับไม่เป็นดังนั้น
ในปี 1950 ผู้นำรัสเซียได้บอกกล่าวแก่ประชาชนของตนว่า ศัตรูอันดับต่อไปคือ ลัทธิทุนนิยม และกล่าวหา สหรัฐฯและอังกฤษว่ามีเจตนาที่จะทำลายความเป็นรัฐของสหภาพโซเวียต และแสดงธาติแท้ของการต่างประเทศของตนออกมา โดยกล่าวถึงการพลิกฟื้นของการปฏิวัติโลกให้เป็นคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของรุสเซีย
เมื่อเกิดความขัดแย้งในส่วนของผู้นำ โดยสตาลินถือนโยบายสร้างสังคมนิยมในหนึ่งประเทศก่อน กับทรอตสกี ผู้ถือนโยบายปฏิวัติโลก สตาลินเน้นการแสวงหาความร่วมมือ กับบรรดามหาอำนาจตะวันตกเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาชาติและเพื่อความมั่นคงขอรุสเซีย “มีข้อคิดที่ว่า การพัฒนาสังคมนิยมในหนึ่งประเทศนั้นบรรลุผลแล้วหรือ จึงดำเนินนโยบายคลายความร่วมมือกับพันธมิตรของตน และมุ่งปฏิวัติโลก”
สถานการณ์ระหว่าง ปี 1945-1947 เอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายรุสเซีย ความสัมพันธ์ระหว่างรุสเซียกับพันธมิตรได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด บรรดามหาอำนาจตะวันตกได้ตระหนักแล้วว่า ภัยคอมมิวนิสต์นั้นร้ายแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภัยจาก ลัทธินาซี รัฐมนตรีการต่างประเทศรุสเซียได้ประกาศในปี 1946 ว่า “ปัจจุบัน ไม่มีประเด็นใดของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่จะสามารถยุติได้โดยปราศจากสหภาพโซเวียต หรือปราศจากาการฟังเสียงของปิตุภูมิของเรา”
ภัยคอมมิวนิสต์คืบคลานเข้าครอบงำยุโรป กว่ากึ่งหนึ่งในปี 1945 การแบ่งฝ่ายโดยปริยายได้ปรากฎแล้วระหว่างฝ่ายบรรดามหาอำนาจตะวันตกและสหรัฐอเมริกา เรียกกันโดยทั่วไปว่า
“โลกเสรี กับฝ่าย คอมมิวนิสต์”
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...