บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก มิถุนายน, 2012

อารยธรรม

รูปภาพ
   ในด้านประวัติศาสตร์ เป็นการศึกษาความซับซ้อนในระบบสังคม คือศึกษาให้เห็นความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างในระบบสังคมนั้นๆ โดยมุ่งเน้นให้เห็นเหตุปัจจัยการเกิดและการล่มสลายของอารยธรรมนั้น ๆ รวมถึงการมีอิทธิพลต่ออารยธรรมอื่นๆ  ความเจริญและ วิทยาการต่าง ๆบนโลกนี้ล้วนมีรากฐานมาจากอารยธรรมโบราณทั้งสิ้น    อารยธรรมจีน      ยุคหินเก่า จีนเป็นดินแดนทที่มนุษย์อาศัยเป็นเวลานานที่สุดในทวีปเอเซียหลักฐานที่พบคือมนุษย์หยวนโหม่ว มีอายุประมาน 1,700,000 ปี ล่วงมาแล้ว พบที่ยูนาน ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน และพบโครงกระดูกมนุษย์ปักกิ่ง       ยุคหินกลาง 10,000-6,000 ล่วงมาแล้ว ใช้ชีวิตกึ่งเร่ร่อน ไม่มีการตั้งหลักแหล่งถาวร มีกาพบเครื่องถ้วยชาม หม้อ มีการล่าสัตว์ เก็บอาหาร       ยุคหินใหม่ 6,000-4,000 ปีล่วงมาแล้ว  เริ่มตั้งเป็นแหล่งชุมชน รู้จัเพาะปลูกข้าวฟาง เลี้ยงสัีตว์ ทอผ้า ปลูกบ้านมีหลังคา ในยุคนี้มนุษย์ทำเครื่องปั้นดินเผา และเขียนลายสี       ยุคโลหะ  4,000 ปีล่วงมาแล้ว หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดคือ มีดทองแดง และยังพบเครื่่องสำริดเก่าที่สุด ซึ่งนำมาใช้ทำภาชนะต่าง ๆ ยุคโบราณ สมัยประวัติศาสตร์จีน    

ลาง

ความเชื่อเรื่องโชคลางมีมาแต่ครั้งบุราณกาล ซึ่งอยู่คู่วิถีชีวิตคนไทยมาช้านาน หากพิจารณาในเรื่องโชคลางนี้จะพบทั้งความกลัว ความเชื่อกระทั่งความศรัทธา หรือถ้ากว่านั้นก็กลายเป็นความงมงาย และความหวัง เป็นต้น      ต่อไปนี้เป็นลางบอกเหตุเมือครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒     คือดาวเดือนดินฟ้าจะอาเพศ              อุบัติเหตุเกิดทั่วทิศาน มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาฬ                เกิดนิมิตพิศดารทุกบ้านเมือง พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก           อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง   ผีป่าจะวิ่งเข้าสิงเมือง                           ผีเมืองนั้นจะออกไปอยู่ไพร   พระเสื้อเมืองจะเอาตัวหนี                   พระกาฬกลีจะเข้ามาเป็นไส้      พระธรณีจะตีอกไห้                          อกพระกาฬจะไหม้อยู่เกรียมกรม   ในลักษณะทำนายไว้บ่ห่อน ผิด              เมื่อพินิจพิศดูจะเห็นสม   มิใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงม                 มิใช่เทศกาลลมฝนก็อุบัติ   ทุกต้นไม้หย่อมหญ้าสารพัด                    เกิดวิบัตินานาทั่วสากล   เทวดาซึ่งรักษ์พระศาสนา                        จะรักษาแต่ฝ่ายอกุศล   สัปบุรุษจะแพ้แก่ทรชน     

บัณเฑะว์-บัณเฑาะก์

รูปภาพ
ขับไม้   ความเป็นมา พิธีกล่อมช้างเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย เป็นพิธีการที่กระทำกันมาตั้งแต่หลังพุทธกาล 250 ปี โดยเชื่อว่าเป็นการปัดรังควาญให้ช้างป่าที่จับมาได้   ในประเทศไทยพิธีกล่อมช้าง หรือทำขวัญนั้นมีมาตั้งแต่สุโขทัยเรื่อยมากระทั้งรัตนโกสิน ในสมัยรัชกาลที่ 2 วงขับไม้เริ่มมีบทบาทในพระราชพิธีกล่อมช้าง โดยมีปรากฎ บทคำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างที่มีกาพย์ขับไม้ในตอนท้ายของบทคำฉันท์สังเวยทุกๆ รัชกาลจนถึงปัจจุบัน  บัณเฑาะว์ เครื่องให้จังหวะในการบรรเลงประกอบ "ขับไม้" ในงานพระราชพิธี มาจากอินเดีย พบเห็นได้ในพระหัตถ์ขวาของ"พระศิวะ"     "เพลงขับไม้บัณเฑาะว์" เป็นทำนองเพลงเก่าสมัยอยุธยา มีอัตราจังหวะสองชั้น ใช้บรรเลงในวงขับไม้ อยู่ในตับเพลงเรื่องกระแตไต่ไม้ ซึ่งประกอบด้วยเพลงกระแตไต่ไม้ ขับนก และขับไม้บัณเฑาะว์ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปากร)   ได้แต่งขยายจากเพลงตับกระแตไต่ไม้สองชั้น เป็นสามชั้น กลายเป็นเพลงโหมโรงกระแตไต่ไม้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ พระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี) แต่งเป็นเพลงเดี่ยวสำหรับซอสามสาย ครูมนตรี ตราโมท แต่

ยักษ์

ยักษ์ในความเชื่อของสังคมไทยได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ ในขณะที่ความเชื่อในส่วนอื่นๆ ของโลกก็มีอยู่เช่นกัน คือ อมนุษย์ ที่ชอบกินของสดของความ ตัวโตใหญ่ ซึ่งเที่ยบได้กับความเชื่อเรื่องยักษ์ในสังคมไทย         ตามความเชื่อของศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ ยักษ์ มีหลายระดับขึ้นกับบุญบารมี มียักษ์ชั้นสูง มีวิมานเป็นทอง มีผิวพรรณและทรวดทรงดี มีบริวารรับใช้ ปกติจะไม่เห็นเคี้ยว เวลาโกรธจึงจะเห็น ยักษ์ชั้นกลาง ส่วนใหญ่คือยักษ์ที่รับใช้ยักษ์ชั้นสูง ยักษ์ชั้นต่ำคือยักษ์บุญน้อยรูปร่างน่าเกลียด นิสัยดุร้าย      ยักษ์เกิดได้ สามแบบ คือ โอปาติกะ เกิดแล้วโตเลย ชราพุทชะ เกิดในครรภ์ สังเสทชะ เกิดในเหงื่อไคล      พวกยักษ์จะอยู่ใต้ปกครองของท้าวเวสุวัณ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา เหตุที่เกิดเป็นยักษ์คือทำบุญด้วยความโกรธ มักหงุดหงิด      ในวรรณคดีกล่าวถึงยักษ์หลายเรื่อง อาทิ รามเกี่รณติ์ พระอภัยมนี สังข์ทองเป็นต้น ยักษ์ในสังคมไทย จึง มีลัษณะไปในทางดุร้าย มีอิทธิฤทธิ์ ต่อกรด้วยยาก มีกำลังมาก คือเป็นสิ่งที่น่ากลัว และมีพลังอำนาจ  และยังใช้ในความหมายถึงความยิ่งใหญ่ พลังอำนาจ เหนือวิสัยมนุษ

...จูง

อุดมการณ์ คือสิ่งที่เป็นสำนึกของสังคมในขณะนั้นอันหมายรวมถึงค่่านิยม-ความแชื่อ-ทัศนะคติที่ผนึกรวมเข้าด้วยกัน อุดมการณ์เป็นความเชื่อมีลักษณะชักจูงใจ  สามารถอธิบาย ตัดสิน สนับสนุน บังคับให้ความหวังแก่คนเรา ทำให้เข้าใจสังคมและแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ทางสังคมในลักษณะใดๆโดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าจริงหรือดี การชักจูง ต้องอาศัยการอบรม การสอน สื่อมวลชน การให้รางวัลและการลงโทษทางสังคม    ... การชักจูงเป็นลักษณะทีสำคัญยิ่งของอุดมการ กฎเกณฑ์ทางสังคมหาใช้อุดมการณ์ สิ่งที่ทำให้เป็นอุดมการณ์คืออำนาจชักจูง    ... ทฤษฎีและปรัชญาจะสัมพันธ์กับเรื่องความรู้ ความเข้าใจ แต่อุดมการณ์นั้นเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมทางสังคมและการเมือง      อุดมการณ์เป็นปัจจัยทีจะช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบการปกครองและสถาบันทางการเมืองที่ปรากฎอยู่  สร้างความเป็นปึกแผ่นและระดมคน  เป็นแรงกระตุ้นภายในให้บุคคลกระทำการใดๆ เป็นเสมือนภาษาเฉพาะ  ผู้มีอุดมการณ์เดียวกันจะมองเสมือนว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน     อุดมการณ์มักจะแฝงการวิพากษ์วิจารณ์สังคมอยู่ในตัวเอง การวิพากษ์วิจารณ์จะต้องเผชิญกับความเชื่อที่่่ดำรงอยู่  ซึ่งมุ่งหวังที่จ

เจ็บ...

- ทัศนะคติ มีมากมายหลายความหมาย อาจพอจะกล่าวโดยรวมได้ว่า "เป็นวิธีการมองสิ่งๆ หนึ่ง หรือเหตุการณ์ ๆ หนึ่ง และให้คุณค่า ว่าดี หรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ รวมถึงการปฏิบัติต่อสิ่งหรือเหตุการนั้นๆ  - ค่านิยม เป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติเป็นอย่างมาก รวมถึงเป็นเหตุหรือรากแห่งการเกิดทัศนะคติต่อสิ่งใด -วัฒนธรรม หมายถึง รูปแบบของกิจกรรมมนุษย์และโครงสร้างเชิงสัญลักษณ์ ที่ทำให้กิจกรรมนั้นเด่นชัดมีความสำคัญ ซึ่งเป็นพฤติกรรมและคนในหมู่สร้างขึ้น ด้วยการเรียนรู้จากกันและร่วมใช้อยู่ในหมู่พวกของตน     ...แน่นอนว่าในการบริหารพัฒนาประเทศย่อมมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยกันหลายฝ่าย โดยหลักการคานอำนาจ กล่าวย้อนไปเมื่อ พ.ศ. 2475 คณะราษฎร์ อันประกอบด้วย พลเรือน เสนา อำมาตย์ มีการกบฎจาำกกลุ่มอำนาจเก่า การแตกกันภายในคณะราษฎร์เอง กระทั่งเปลี่ยนชื่อประเทศจาก สยาม เป็นประเทศไทย เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองก็รอดตัวจากการเป็นประเทศที่แพ้สงครามมาได้อย่างหวุดหวิด เข้าสู่ยุคคณะรัฐประหารครองเมืองโดยมี พลโทผิน ชุณหะวัน ผลตรีแปลก (ป.)พิบูลสงคราม นาวาอากาศหลวง กาจสงคราม (เก่งระดมยิง) พันตำรวจตรี เผ่า ศรียานนท์ พันต

กลอน

                                                                                                                                       ศิลปะ-อำนาจ-ศรัทธา     การสรรสร้างผลงานอย่างศิลปะ   รุ้จังหวะหนักเบา  เฝ้าติดตาม สืออารมณ์ จินตการ ผ่านผลงาน ผู้เสพสาร สุนทรีย์ อิ่มเอมใจ     ความสามรถ อยู่เหนือฯ คืออำนาจ ผู้องอาจ ผู้นำ นั้นถามหา ต่างบากบั้น ต่อสู้เพื่อได้มา ซึ่งภาวะ บัญชา เหนือผู้ใด      แลศรัทธานั้น ช่างแน่นหนัก เป็นคำมัก ใช้ใ้น ศาสนา ต่างลัทธิต่างความเชื่อต่างศรัทธา ต่างคุณค่า ต่างทัศนะ  ต่างจิตใจ      

สาร

8 มิุถุนายน 2555   ชีวิตมนุษย์ไม่ยืนยาว ชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งเปราะบาง และสวยงาม ความเป็นจริงแห่งชีวิตย่อมปรากฎแก่สายตาผู้จดจ่อและมองหา ซึ่งความเป็นจริงแห่งชีวิต การเดินทางในครานี้ จุดหมายปลายทางคือที่แห่งเดี่ยวกัน หลุ่มศพ เชิงตะกอน ฯ เมื่อเข้าใจและทำความเข้าใจถึงปลายทางแห่งเ้ส้นทางชีวิต เหตุใดเล่า จึงลืมปลายทางนั้น ความประมาท! เป็นคำตอบสุดท้ายหรือ ? ฤมนุษย์เรารักความเสี่ยง ชอบความท้ัาทาย ฤไม่เห็นความสวยงามแห่งชีวิต การไม่เคารพชีวิต การไม่เคารพความจริงแห่งชีวิต นำมาซึ่งการทำร้ายทำลายชีวิต ซึ่งกันและกัน แม้ชีวิตตน เป็นการปกป้องตนเองหรือ เป็นการต่อสู้ที่ชอบธรรม ที่เกิดจากการยอมรับโดยตนเองและพวกพ้องหรือเป็นการปกปักรักษาตนเองและพวกพ้องโดยการห้ำหั่นผู้อื่นกระนั้นหรือ ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าย่อมเป็นผู้ชนะใช่ไหม?.... สร้างสิ่งใดไว้ในยุคนี้ ผู้คนยุคหลังย่อมเป็นผู้รับมรดก ทั้งทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด  มนุษย์ย่อมรักชีวิต มนุษย์ย่อมกลัวตาย และสิ่งใดเหล่า ที่แม้ความตายมนุษย์ย่อมยอมสละได้ ซึ่งมันเป็นคำถามที่แสดงนัยยะจากคำตอบของทุกผู้คน ว่าตีค่าราคาชีวิตแค่ไหน  คุณยอมตายเพื่