ประชานิยมเป็นแนวคิดทางการเมืองที่เน้นย้ำถึงแนวคิดเรื่อง "ประชาชน" แและมักจะเปรียบเทียบกลุ่มนี้กับ "ชนชั้นสูง" มักเชื่อมโยงกับความรู้สึกต่อต้านสภาบันและต่อต้านการเมือง คำนี้ได้รับการพัฒนาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และภูกนำไปใช้กับนักการเมือง พรรคการเมือง และขบวนการต่างๆ ตั้งนั้นเป็นต้นมา โดยมักจะใช้เป็นคำที่มีความหมายเชิงลบ ในศาสตร์ทางการเมืองและสังคมศาสตร์ ศาตร์อื่นๆ มีการใช้คำจำกัดความของประชานิยมหลายแบบ โดยนักวิชาการบางคนเสอนว่าควรปฏิเสธคำนี้โดยสิ้นเชิง
กรอบแนวคิดทั่วไปสำหรับการตีความประชานิยมเรียกว่า แนวทาง เชิงอุดมการซึ่งกำหนดให้ประชานิยมเป็นอุดมการณ์ที่นำเสนอ "ประชาชนไ ให้เป็นพลังที่มีคุณธรรม และเปรียบเทียบกับ "ชนชั้นสูง" ซึ่งถุกพรรณนาว่าทุจริตและห็นแก่ตัว
นักประชานิยมมีความแตกต่างกันในการกำหนด "ประชาชน" แต่สามารถอิงตามชนชั้น ชาติพันธ์ุ หรือชาติได้ โดยทั่วไป นักประชนิยมจะนำเสนอ "ชนชั้นสูง" ว่าประกอบด้วยสถาบัทางการเมือ งเศรฐกิจ วัฒนธรรม และสื่อ ซึ่งมักจะเอาผลประดยชน์ของกลุ่มอื่น เช่น บริษัทขนาดใหญ่ต่างประเทศ หรือผู้อพยพ ไว้เหนือผลประโยชน์ของ "ประชาชน" ตามแนวทางเชิงอุดมการณ์ ประชานิยมมัก จะถูกผสมผสานเข้ากับ อุดมการณ์อื่นๆ เช่น ชาตินิยม เสรีนิยม สังคมนิยม ทุนนิยม หรือบริโภคนิยม ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถพบนักประชนิยมได้ในหลายสถานที่ตลอดทั้ง การเมืองฝ่ายซ้าย และฝ่ายขวา และมีทั้งนักประชานิยมฝ่ายซ้าย และประชานิยมฝ่ายขวา
คำว่า "ประชานิยม" มีที่มาที่คลุมเคลื่อ ครั้งแรกที่มีการใช้คำนี้ คือ สมาชิกของพรรคประชาชนทีเคลื่อนไหวในสหรัฐช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งในจักรวรรดิรัสเซียในชข่วงเวลาเดียวกันก็มีกลุ่มที่แตกต่างจากในอิมริกาใข้คำที่เรียกตวเองและเมืองแปลเป็นภาษาอังฤษ เป็น populist ซึ่งเพิ่มความสับสนให้กับคำนี้ ในช่วงทศวรรษ 1920 คำนี้เข้าสู่ภาษาฝรั่วเศส ซึ่งใช้เพื่อธิบายกลุ่มนักเขียนที่แสดงความเห็นอกเห็นใจคนธรรมดา ในสือต่างๆ มักถุกนำมาผสมกับแนวคิดอื่นๆ เช่นการปลุกปั่น และมักถูกนำเสนอว่าเป็นสิ่งที่ "น่ากลัวและสื้อมเสียชื่อเสียง"
กระทั่งปี 2016 โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นปรธานาะิบดีสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรลงมติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งทั้งสองเหตุการณืมีความเก่ยวข้องกับลัทธิประชานิยม คำว่าลัทธิประชานิยมจึงกลายเป้นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดโดยนักวิจารณืการเมืองระดับนานาชาติ ในปี 2017 พจนานุกรมเคมบิดจ์ ได้ประกาศให้คำนี้เป็นแห่งปี
แนวทางทั่วไปในการกำหนดประชานิยมเรียกว่าแนวทางเชิงอุดมคติ ซึ่งเน้นนย้ำถึงแนวคิดที่ว่าประชานิยมควรได้รับการกำหนดตามแนวคิดเฉฑาะเจาะจงที่เป็นพื้นฐาน ตรงข้ากับนโยบายเศราฐกิจหรือรูปแบบความเป็นผุ้นำบางอย่างที่นักการเมืองประชานิยมอาจแสดงออกมา ในคำจำกัดความนี้ คำว่า
"ประชานิยม"ใช้กับกลุ่มการเมืองและบุคคลที่พยายาทดึวดูด "ประชาชน" จากนั้เปรียบเทียบกลุ่มนี้กับ "ชนชั้นสูง" โดยใช้แนวทางนี้ นักวิชาการให้คำจำกัดความของประชานยิมว่า "เป็นอุดมการณ์ที่ นำเอาคนดีและมีความเหมือนกันมาต่อสู้กับกลุ่มชั้นชั้นำและ "คนอื่น" ที่อันตรายซึ่งร่วมกันมองว่ากำลังกีดกัน(หรือพยายามกีดกัน) สิทธิ คุณค่า ความเริญรุ่งเรือง อัตลักาณ์ และเสียงของประชาชนที่มีอำนาจสูงสุด" ในทำนองเดียวกัน นักรัฐศาสตร์บางท่่านในคำจำกัดความว่าเป็น "วาทกรรมแบบมานิเคียนที่แบ่งแยกการเมืองและสังคมว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างสองค่ายที่ไม่อาจปรองดองและเป็นปฏิปักษ์กัน : ประชาชนและกลุ่มผุ้มีอำนาจ" และคำจำกัดความอื่นตามที่นักวิชาการและนักรัฐศาตร์ได้เสนอไว้ อาทิ "ประชานิยมมักเกี่ยวข้องกับการวิากษ์วิจารณ์สถาบันและการยกย่องคนทั่วไป" "ความสัมพันธ์ที่เป็นปฏิปักษ์ ระหว่าง "ประชาชน" และ "ชนชั้นสูง" และแผงอยู่ทึกที่ที่มีโอกาสเกิดการแบ่งแยกเช่นนี้" "คนในชุมชนที่เป็นเนื้อเดียวกัน" ซึ่ง "มองว่าตนเองเป็ผู้ถืออำนาจอธิปไตยของประชาชนโดยสมบูรณ์ และ แสดงทัศนคติต่อต้านสถาบัน" ด้วยความเข้าใจนี้ถือว่า "ประชานิยมเป็นวาทกรรมอุดมกาณ์หรือโลกทัศน์" คำจำกัดความเล่านี้ใช้ครั้งแรกในยุโรปตะวันตกเป็น่ส่วนใหญ่ และต่อมาได้รับความนิยมในยุดรปตะวันออกและอเมริกา
ประชานิยมถูกมองว่าเป็น "thin ideology" ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้ว ถือว่าไม่ม่ีสาระพอที่จะเป็นแนวทางสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ ดังนั้น ประชานิยมจึงแตกต่างจากอุดมกาณ์ "thick-centred" หรือ อุดมการณ์เต็มรูปแบบ เช่น ฟาสซิสต์ เสรีนิยมและสังคมนิยม ซึ่งให้แนวคิดที่กว้างไกลกว่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในฐานะอุดมกาณ์เต็มรูปแบบ ประชานิยมจึงถุฏผูกติดกับอุดมกาณ์เต็มรูปแบบโดยนักการเมืองประชานิยมทำหใ้แน่ใจได้ว่าในทางปฏิบัติแล้ว ประชานิยมเป็นอุดมทการณ์ที่เสริมซึ่งกันและกัน ไม่เพียงแค่ทับซ้อนกับอุดมการณ์เต็มรูปแบบเท่านั้น
นักวิชาการยังกล่าวว่า ประชานิยม "เป็นแผนที่ความคิดชนิดหนึ่งที่บุคคลใช้วิเคราะห์และทำความเข้าใจความเป็นจริงทางการเมือง และตั้งข้อสังเกตุว่า "เน้นเรื่องศีละรรมมากกว่าการวางแผน" ประชานิยม ส่งเสริมมุมองโลกแบบแบ่งขั่วซึ่งทุกคนแบ่งออกเป็น "มิตรและศัตรู" โดดยที่ศัตรูไม่ได้ถุกอมงว่าเป็นเพียงผุ้คนที่มี ลำดับความสำคัญและค่านิยมที่แตกต่างำัน เท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็น คนชั่วร้าย โดยพื้นฐาน การเน้นย้ำความบริสุทธิ์และไม่ถูกแตะต้อง ประชานิยมจะป้องกันการประนีประนอมระหว่างกลุ่มต่างๆ
การเพิ่มขึ้นของการวิจัยและอภิปรายเกี่ยวกับประชานิยม ทั้งในเชิงวิชาการและทางสังคม เกิดจากความพยายารมของนักวิชาการด้านแยวคิดที่จะให้ความสำคัญกับความสำคัญของการดึงดูดผุ้คน ให้อยู่เหนือความแตกต่างทางอุดการณ์ และเืพ่อสร้างแนวคิดเกี่ยวกับประชานิยมในฐานะ ประากฎการณ์ เชิงวาทกรรมอย่างไรก็ตาม แนวทางของสกนักอุดมกาณืต่อประชานิยมนั้นมีปัญหาเนื่องจากสมมติฐานเชิงเนื้อหาจำนวนมากทีกำหนดว่าประชานิยมทำงานอย่างไรในฐานะปรากธกาณ์เชิงวาทกรรมทั้งนี้ การให้คำนิยามอยางเป็นทางการและเป็นพื้นฐาน ได้ระบุว่า "ในการกำหนดลัทธิประชนิยมว่าเป็นรูปแบบของวาทกรรม ที่มีลักษณะเฉพาะคือการแบ่งแยกระหว่างประชาชนกับชนชั้นนำ และอ้างวาสามารถพูดในนามของ "ประชาชน"ได้
ที่มา : วิกิพีเดีย