วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Black & White

             วิทยาศาสตร์การเหยียดเชื้อชาติ หรือการเหยียดเชื้อชาติทางชีววิทยารเป็น ความเชื่อทาง


วิทยาศาสตร์เทียม ที่ีว่ามนุษย์สามารถแบ่งย่อยออกเป็น taxon (เป็นกลุ่มของประชากรหนึ่งหรือมากกว่าของสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆ ซึ่งนักอนุกรมวิธานมองว่าเป็นหน่วยหนึ่ง แม้ว่าทั้งสองอย่างจะไม่จำเป็น อนุกรมวิธาน ที่แตกต่างกันทางชีววิทยา ที่เรียกว่า "เผ่าพันธ์ไ และมี หลักฐานเชิงประจักษ์ทีสนับสนุนหรือพิสูจน์การเหยีดเชื้อชาติ ความด้อยกวาทางเชื้อชารติห หรือเหนือกว่า ทางเชื้อชาติ ก่อนกลางศตวรรษที่ 20 การเหยียดเชื้อชาตริทางวิทยาศาสตร์ได้รับการยอมรับ การเเบ่งมหนุษย์ออกเป็นหลุ่มที่แยกจากันทางชีววิทยา พร้อมกับการหนดลักษณะทางกายภาพและจิตใจเฉพาะให้กันกลุ่มเหล่านี้ผ่านการสร้างและการใช้แบบจำลองเชิงอธิบาย ทีสอดคล้องกัน เรียกว่า การเหยียดเชื้อชาติความสมจริงทางเชื้อชาติ หรือวิทยาศาสตร์ด้านเชื้อชาติ โดยผุ้ทีสนับสนุนแนวคิดเหล่านี้ แันทามติทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปฏิเสธมุมองนี้ เนืองจากไม่สามารถประนีประนอมกับ การวิจัยทางพันธุกรรม สมัยใหม่ ได้

          การเเหยียดเชื้อชาติทางวิทยาศาสตร์ใช้ผิ ตีคามผิด หรือบิดเบื่อน มนุษยวิทยา (โดยเฉพาะมานุษยวิทยากายภาพ) การวัดกะโหลกศีรษะชีววิทยาวิวัฒนาการและสาขาวิชาอื่นๆ หรือสาขาวิชาเทียมผ่านการเสนอประเภท มานุษยวิทยา เพื่อจำแนกประชกรมนุษย์ออกเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แยกจากกันทางภายภาพ ซึ่งบางเผ่าพันธุ์อาจกล่าวได้ว่าเหนือกว่าหรือด้อยกว่าเผ่าพันธุ์อื่น การเหยียดเชื้อชาติทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องปกติในช่วงระหว่างปี 1600 ถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งสอง และโดเด่นเป็นพิเศษในงานเขียนทางวิชาการของยุโรปและอเมริกาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ตั้งแต่ครึงหลังของศตวรรษที่ 20 การเหยียดเชื้อชาติทางวิทยาศาสตร์ได้รับการวิพากษ์วิจารณืว่าล้าสมัย แต่ยังคงถูกนำามาใช้เืพ่อสนับสนุนหรือยืนยันมุมมองโลกที่เหยียดเชื้อชาติโดยอาศัยความเชื้อในการมีอยุ่และความสำคัญของหมวดหมู่เชื้อชาติและลำดับชั้นของเผ่าพันธุ์ที่เหนือกวว่าและด้อยกว่า

            หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง การเหยีอดเชื้อชาติทางวิทยาศาสตร์ทั้งในทางทฤษำีและการกระทถูกประณามอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคำแถลง "ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติของยูเนสโก ในช่วงแรก The Race Question 1950 ซึ่งระบุว่า "ข้อเท็จจริงทางชีววิทยาเกี่ยวกับเชื้อชาติและตำนานเรื่อง "เชื้อชาติ" ควรได้รับการแยกแยะออาจากกัน สำหรับวัตถุประสค์ทางสังคม ตำนานเรือง "เชื้อชาติ" ได้สร้างความเสียหายต่อมนุษย์และสงคมอย่างมหาศาล ในช่วงไม่กีปี ตำนานนี้ได้คร่ชีวิตมนุษย์ไปจำนวนมากและก่อให้เกิดควาททุกข์ทรามนอย่างไม่รู้จบ  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การพัฒนาในพันธุศาตร์วิวัมนาการของมนุษย์และมานุษย์วิทยากายภาพ ได้นไปสู่ฉันทามติใหม่ในหมู่บรรดานักมานุษยวิทยาว่า เชื้อชาติที่ว่า เชื้อชาติมนุษย์เป็นปรากฎการณ์ทางสังคมและการเมืองมากกว่าทางชีววิทยา

          คำว่า การเหยียดเชื้อชาติทางวิทยาศสตร์มักใช้ในเชิงลบเมือนำไปใช้กับทฤษฎีที่ทันสมัยกว่า เช่น ทฤษฎีใน "เดอะ เบล เคลิบ" 1994 นักวิจารณืไโต้แย้งว่าผลงานดังกล่าวต้งสมมติฐานข้อสรุปที่เหยียดเชื้อชาติ เช่น ความเชื่อมดยงทางพันธุกรรมระหว่างเชื้อชาติและสติปัญญาซึ่งไม่มีหลักฐานยืนยัน สื่อสิ่งทพิมพ) ที่คำนึงถึงเชื่อชาติมักถุกมองว่าเป็นแพลตฟอร์มของการเหยียดเชื้อชาติทางวิทยาศาสตร์นืองจากสิ่งพิมพ์เหล่านี้เผยแพร่การตีควาาที่แปลกแยกของวิวัฒนาการมนุษย์สติปัญญาชาติพันธุ์วิทยาภาษาตำนานโบราณคดีและเชื้อชาติ

           โทมัส เจฟเฟอร์สัน เป็นนักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ และเจ้าของทาสชาวอเมริกัน ผลงานของเขา
ต่อลั้ทธิเหยียดเชื้อชาติทางวิทยาศาสตร์ได้รับกรบันทึกดดยนักประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์  และนักวิชาการหลายคน ตามบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร "McGill Journal of Medicine: หนึ่งในนักทฤษำีเชื่อชาติก่อนยุคดาร์วินที่มีอิทะิพลมากที่สุด การเรียกร้องงของเจฟเฟอร์สัน ให้วิทยาศาสตร์กำหนด "ความต่อยกว่า" ที่ชัดเจนของคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งในวิวัฒนาการของลัทธิเหยียดเชื้อชาติทางวิทยาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ เขียนลงใน "เดอะ นิวยอร์ก ไทม์" ว่า ไนฐานะนักวิทยาศาสตร์ เจฟเฟอร์สันคาดเดาว่าความดำอาจมาจาก "สีของเลือด" และสรุปว่าคนดำ "ด้อยกวาคนขาวในด้านร่างกายและจิตใจ ในบันทึกเกี่ยวกับรัฐเวอร์จิเนียไ เจฟเฟอร์สันบรรยายถึงความดำดังนี้ อย่างไรก็ตาม ในปี 1791 เจฟเฟอร์สันต้องประเมินความสงคสัยก่อนหน้านี้ของเขาอีกครั้งว่าคนผิวสีมีความสามารถทางสติปัญญาหรอืไม่ เมือเขาได้รับจดหมายและปฏิทินจากเบนจามิน แบนเหนเกอร์ นักคณิตศาสตร์ผิวสีที่มีการศึกษา เจฟเฟอร์สันรู้สักยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ค้นพบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์การามีอยู่ของสติปัญญาของคนผิวสี จึงเขียนจดหมายถึง แบนเเนเกอร์ ดังนี้

           "ไม่มีใครอย่ากเห็นหลักฐานอย่างที่คุณแสดงให้เห้มากไปกวาแันวาะรรมชาติได้มอบพรสวรรค์ที่เท่าเทียมกับมนุษยืผิวสีอื่นๆ ให้แก่พี่น้องผิวสีของเรา และการขาดพรสวรรค์เหล่านี้ก็เป็นผลมาจากสภาพความเป็นอยู่ที่เสื่อมดทรมของพวกเขาทั้งในแอฟริกาและอเมริกาเท่านั้น แันสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่ไม่มีใครอยากเห็นระบบที่ดีเร่ิมต้นขึ้นเพื่อยกระดับสภาพร่างกายและจิตใจของพวกเขาให้สุงขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น เร็วเท่ากับความโง่เขลาของการดำรงอยู่ปัจจุบันของพวกเขาและสถารการณ์อื่นๆ ที่ไม่สามารถละเลยได้"

           ชาร์ลส์ ดาร์วิน 1809-1882 เป็นนักธรรมชาติวิทยานักะรณีวิทยาและนักชีววิทยา ชาวอังกฤษ เป็นที่รุ้จักกันอย่างกว้างขวางสำหรับผลงานของเขาในด้านชีววิทยาวิวัฒนาการข้อเสนอของเขาที่วาสิ่งมีชีวิต
ทุกสายพันธุ์สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปและถือเป็นแนวคิดทางวิทยาศาสตร์พื้้นฐานในปัจจุบัน ดาร์วินได้รับการอะิบายว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์และได้รับเกี่ยรติโดยการฝังศพในเวสต์มินสเอตร์แอป

         ดาร์วินเป้นคนสายกลางในการอภิปรายเกี่ยวกับเชื้อชาติในศตวรรษที่ 19 เขาไม่ใช่พวกเหยียดผิว เขาเป้นผุ้ต่อต้านการค้าทาสอย่างแข็งกร้าว แต่เขาคิดว่ามีเชื่อชาติที่แตกต่างกันซึ่งสามารถจัดลำดับขั้นได้

        นักประวัติศาสตร์ เขียนไว้ว่า แม้ว่าลัทธิดาร์วินจะไม่ใช่้แหล่งที่มาหลักของอุดมกาณ์อันก้าวร้าวและการเหยีดเชื้อชาติที่ยึดมั่นในหลักการในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แต่ก็กลายมาเป็นเครื่องมือของนักทฤษำีเกี่ยวกับเชื่อชาติและการต่อสู้...อารมณ์ของลัทธิดาร์วินช่วยรักษาความเชื่อในความเหนือกว่าทางเื ้อชาติของชาวแองโกล-แซซอน วึ่งเป็นสิ่งที่นักคิดขาวอเมริกันหลายคนหมุกมุ่นในช่วงครึ่งหลัีงของศตวรรษที่ 19 การวัดระดับการครอบครองโลกที่ "เผ่าพันธ์" บรรลุแล้วดูเหมือนจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเผ่าพันธุ์นี้เหมาะสมที่สุด"

          ชาตินิยมของลาปูแลเอร์เดอร์ 

          ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แนวคิดเรื่องเชื้อชาติทางวิทยาศาสตร์ได้รวมแนวคิดเร่องการปรับปรุงพันู์ของกรีก-โรมัน เข้ากับแนวคิดเรื่อง การแรับแรุงพันู์โดยสมัครใจของฟรานซิส กัลตันเพื่อผลิตดครงการของรัฐบาลที่บีบบังคับและต่อต้านผุ้อพยพ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากวาทกรรมและเหตุการณ์ทาง สังคม-การเมืองอื่นๆ การเหยียดเชื้อชาติในสภาบันดังกล่าวเกิดขึ้นผ่าน การศึกษา ลักษณะร่างกาย ซึ่งบอกลักษณะจากลักษณะทางกายภาพ การศึกษากะโหลกศีรษะจากลักษณะทางกายภาพ การศึกษากะโหลกศีรษะและธครงกระดูก ดังนั้น กะโหลกศีรษะและธครงกระดูกของคนผิวดำและคนผิว สีอื่นๆ จึงถุกจัดแสดงไว้ระหว่างลิงและคนผิวขาว

          ในปี 1906 คนแคระได้รับการจัดแสดงในฐานะ "ส่วนที่ขาดหายไป" ในสวนสัตว์บรองซ์ นครนิวยอร์ก ร่วมกับลิงและสัตว์ต่างๆ นักทฤษฎีที่มีอิทธิพลมากที่สุดได้แก่ นักมานุษยวิทยา ผุ้เสนอแนวคิดเรื่อง "สังคมวิทยาแบบมนุษยนิยม" และ "โจฮาน กอทเฟรน เฮอร์เดอร์" 1744-1803 ผุ้ซึ่งนำ "เชื้อชาติ"มาใช้กับทฤษฎี ชาตินิยม จึงทำให้เกิดแนวคิด "ชาตินิยมทางชาติพันธู์" ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1882 "เออเนส รีแนน" โต้แย้ง เฮอร์เดอร์ ด้วยลัทธิชาติพันธู์หรือเชื้อชาติ วาทกรรมทางวิทยาศาสตร์ทีเหยียดเชื้อชาติได้ตั้งสมมติฐานถึงการดำรงอยุ่ของ "เผ่าพันธุ์ประจำชาติ" เช่น Deutsche Volk ใน เยอรมัน และ "เผ่าพันธุ์ฝรั่งเศส" ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของ "เผ่าพันธ์อารยันไ ที่มีมายาวนานหลายพันปี เพื่อสนับสนุนให้มี
ขอบเขต ทางภูมิรัฐศาสตร์ ขนานไปกับขอบเขตทางเชื้อชาติ

          การเหยียดเชื่อชาติทางวิทยาศาตร์ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 และในไม่ช้าการทดสอบ IQ intelligence testing ก็กลายเป็นแหล่งข้อมุลใหม่สำหรับการเปรียบเทียบเชื้อชาติ ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง การเหยียดเชื่อชาติทางวิทยาศาสตร์ยังงเป็นเรื่องปกติ ในสาขา มานุษยวิทยาและถูกมช้เป็นข้ออ้างสหรับ การปรับปรุงพันธุ์ การบังคับทำหนัน กฎหมายต่อต้านการผสมข้ามพันธ์ และข้อจำกัดด้านการย้ายถ่ินฐาน ในยุดรป และสหรัฐอเมริกาอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติของนาซีเยอรมันทำให้การเหยียดเชื่อชาติทางวิทยศาสตร์เสื่อมถอยลง

         แม้แนวคิดเหยยดเชื้อชาติ จะถูกชุมชนวิทยาศาสตร์ปฏิเสธเป็นส่วนใหญ่ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่นักวิจัยบางคนยังคงเสนอทฤษำเกี่ยวกับความเหนือกว่าทางเชื้อชาติในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ผุ้เชียนเหล่านี้เองมองว่างานของตเป็นงานวิทยาศาสตร์ แต่ก็อาจโต้แย้งกับคำว่า เหยียดเชื้อชาติและอาจชอบใข้คำเข่น "ความสมจริงทางเชื้อชาติ" หรือไการเหยียดเชื้อชาติ"มากกวา ในปี 2018 นักข่าววิทยาศาสตร์และนักเขียนชาวอังกฤษ แสดงความกังวลอย่างมากเีก่ยวกับการกลับมาของแนคิดเหล่านี้ในกระแสหลัก 

          แถลงการณืของสมาคมพันธูศาสตร์มนุษย์แห่งอเมริกา ASHG ในปี 2018 แสดงความกังวลต่อไการกลับมาอีกครังของกลุ่มที่ปฏิสเะคุณค่าของความหลบากหลายทางพันธุกรรม และใช้แนวคิดทางพันธุกรรมที่เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือบิดเบือนเพื่อสนัีบสนุนข้ออ้างที่หลอกลวงเกี่ยวกับอำนาจสุงสุดของคนผิวขาว"สมาคมพันธุศาสตร์มนุษย์แห่งอเมริกาประณามเรื่องนี้ว่าเป็น ไการใช้พันธุกรรมในทางที่ผิดเพื่อหล่อเลี้ยงอุดมการณืเหยีดเชื้อชาติ" และเน้นย้ำถึงข้อผิดพลาดเชิงข้อเท็จจริงหลายประการที่เป็นพื้นฐานของข้ออ้างของอำนาจสุงสุดของคนผิวขาว คำชีแจงยืนยันว่าพันธุ์ศาสตร์ "แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ไม่สามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ย่อยทางชีววิทยาได้" และ "เผยให้เห็นว่าแนวคิดเรื่อง "ความบริสุทธ์ทางเชื้อชาติ" นั้นไม่มีความหมายทางวิทยาศาสตร์"



             ที่มา : wikipedia

          

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Midwest

            "มิดเวสต์" เป็นหนึ่งในสี่ภูมิภาคสำมะโนประชากรของสำนักงานสำมะโนประชากรแห่งสหรัฐอเมริกาเรียก ภุมิภาคนี้ว่า ภุมิภาคตอนกลา...