องหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา ดัชนี้นี้เป็นหนึ่งในดัชนีหุ้นที่ติดตามกันมากที่สุดและรวมมูลค่าตลาด รวมประมาณ 80% ของบริษัท มหาชนในสหรัฐอเมริกา โดยมีมูลค่าตลาดรวมมากกว่า 43 ล้านล้านอดลลาร์ ณ เดือนมกราคม 2924
ดัชนี เอสแอนดืพี ห้าร้อยเป็นดัชนีถ่วน้ำหนักแบบลอยตัว ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ ณ วันที่ 30 กันยายน 2024 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด 9 แห่งในรายชื่อบริษัท เอสแอนด์พี ห้าร้อย คิดเป็น 34.6% ของมูลคาหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของตัชนี และเรียงตามลำดับน้ำหนักจากสุงสุดไปต่ำสุด ได้แก่ แอปเปิล, ไมโครซอฟต์, เอ็นวิเดีย, อเมซอน.คอม, เมตา แพลตฟรอร์ม , อัลฟ่าเบท(รวถึงหุ้นทั้งคลาส เอ และ ซี) แฮทอะเวย์, บรอดคอม และเทสล่า ส่วนประกอลบที่เพ่ิมเงินปันผลให้ 25 ปีติดต่อกันนั้นเรียกว่า เอสแอนพี 500 ดิวิเดด อริสโตคราทส์
ดัชนีเป็นหนึ่งในปัจจัยในการคำนวณดัชนีเศราฐกิจชั้นนำของ คอนเฟอเร้นท์ บอร์ด ซึ่งใช้ในการคาดการณ์ทีิศทางของเศราฐกิจ ดัชนีมีความเกี่ยวข้องกับสัฐลักษณ์หลายตัว เอสแอนด์พี 500 ได้รับการดุแลโดย เอสแอนด์พี ดาวโจห์น อินดิเซส ซึ่งเป็บริษัทร่วมทุนที่ เอสแอนด์พี 500 โกลบอล ถือหุ้นสวนใหญ่และสวนประกอบต่างฟ จะได้รับการคัดเลือกโดยคณะกรรมการ
ตั้งแต่ปี 1961 เป็นต้นมา ดัชนี เอสแอนด์พี 500 มีให้ผลตอบแทนเป็นบวกตลอดระยะเวลาดำรงตำแหน่งประธานาธิบด โดยริชาร์ด นิกสัน และจอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นเพียงสองข้อยกเว้นในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา
ผลงานในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันผลงานในอนาคต ข้อมุลรวมถึงผลตอบแทนจากราคาเพียงอย่งเดียวของ เอสแอนด์พี 500 ไม่รวมเงินปันผล การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของไบเดนจนถึงสิ้นไตรมาสแรกของปี 2024
นักวิเคราะห์หลายคนได้ระบุถึงวงจรประธานาธิบดี 4 ปี ที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งผลตอบแทนของตลาดหุ้นมักจะต่ำกว่าในช่วงครึ่งแรกของวาระการดำรงตำแหน่งปของประธานาธิบดี ก่อนที่ในปีที่สามและสี่จะแข็งแกร่งกว่าเมืองดำรงตำแหน่ง คำอะิบายทั่วไปคือ เมื่อเพิ่งดำรงตำแหน่ง มักจะเน้นที่การตำตามสัญญาหาเสียงที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจ และจะกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับการเลือกตั้งอีกครั้ง(หรือทำให้สมาชิกพรรคของเขาได้รับการเลือกตั้งอีกครั้ง)
แน่นอนว่าประธานาธิบดีไม่ใช่นัการเมืองคนสำคัญเพียงคนเดียวในประเทศการพิจารราว่าพรรคใดควบคุมรัฐสภาก็อาจเป็นขอ้มุลสำหรับนักลงทุนได้เช่นกัน อาจไม่แปลกใจที่ภายใต้ประธานาธิบดีจากเดโมแครตและรีพับลิกัน ผลตอบแทนรายปีที่ดีที่สุดสำหรับดัชนี เอสแอนพี 500 เกิดขึ้น-ายใต้รัฐสภาที่แบ่งแยกกัน โดยพรรคหนึ่งควบคุมสภาผุ้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา และอีกพรรคหนึ่งครองเสียงข้างมากในสภาที่สองในอดีต เอสแอนด์พี 500 ยังมีผลตอบแทนเฉลี่ยที่ลดลงในช่วงที่เดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผุ้แทนราษฎรและวุฒิสภา แม้ว่าโดยทั่วไแล้วตลาดจะเห็นผลตอบแทนเป็นพวกโดยไม่คำนึงถึงองค์ประกอบของรฐบาลก็ตาม
แม้ว่าการจดจำรูปแบบทางประวัติศาสตร์เหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ แตก่ารพิจารรเรื่องนโยบาย ภูมิรํฐศาสตร์ และการประเมินมูลค่าที่เร่งด่วนกว่ามักจะเป็นแรงผลักดันที่มีประสิทธิภาพมากกว่าสำหรับผลการดำเนินงานของตลาอหุ้น
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของหุ้นสหรัฐฯ มีประวัติอันน่าประหลาดใจในการคาดการณ์ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี ตั้งแต่ปี 1874 เอสแอนด์พี 500 ได้ชี้ให้ผุ้ชนะใน 20 จาก 24 การเลือกตั้ง ตามการวิเคระห์ของบริษัทให้บริการทางการเงิน แอลพีแอล ไฟแนลเชียล
เมื่อหุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้่นในช่วงสามเดือนก่อนวันเลือกต้ง พรรคการเมืองที่ดำรงตำแหน่งอยุ่สามารถรักษาทำเนยบขาวไว้ได้ 12 ครั้ง จากทั้งหมด 15 ครั้ งและพรรคการเมืองที่อยุ่ในอำนาจก็พ่ายแพ้ถึง 8 ครั้งจาก 9 ครังหลังสุดที่ตลาดอยุ่ในแดนลลก่อนการลงคะแนนเสียง ซึ่งเมื่อเทียบกับโมเดลพยาการณ์ถือว่าเป็นผลงานที่ดี
เหลือเวลาอีกไม่ถึง 1 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง ดัชนี เอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้นอย่างแ็งแกร่ง 11.8% นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม หากถือว่าหุ้นสหรัฐฯ ไม่ร่วงอย่างระเนระนาดในช่วงวันสุดท้ายของการรณรงค์ แนวโน้มในประวัติศาสตร์ก็ชัดเจนว่าเป็นไปในทางบวกต่อแฮร์ริส
ผุ้ลงคะแนนเสียงดูเหมือนจะไม่เชื่อมโยงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของตลาดหุ้นกับเศราฐกิจที่กำลังดี แม้ว่าชาวอเมริกันประมาณ 61% จะถือหุ้น แต่ผุ้มีสิทธิลงคะแนนเสียงจำนวนมากกลับไม่ได้รับความสนใจจากตลาด
จากการสำรวจของศุนย์วิจัยสาธารณะ แอสโซซิเอส เพลส-เอ็นโออาร์ซ๊ ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์นี้ พบว่าผุ้มีสิทธิลงคะแนนเสียงร้อยละ 52 ซึ่งรวมถึงผุ้สนับสนุนรีพับลิกันและผุ้ไม่สังกัดพรรคส่วนใหญ่ ให้คะแนนภาวะเศราฐกิจว่า "แย่" ด้านดีของเดโมแครตคื อผุ้ลงคะแนนแสดงความมั่นใจที่เพ่ิมมากขึ้นในความสามารถของพรรคในการจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งบ่งบอกว่าข้อได้เปรียบที่ชัดเจนของทรัมป์ในด้านเศราฐกิจนั้แทบจะหายไปทังหมด
แม้ว่าเมื่อพิจารณาจากตัวชี้วัดส่วนใหญ่รวมถึงการเติลโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และอัตราการว่างงาน พบว่าเศราฐกิจของสหรัฐฯ มีประสิทธิภาพในระดับที่ประทเศที่พัฒนาแล้วยังอิจฉา แต่ความรุ้สึกเชิงลลที่เกิดขึ้นก็คือ ผุ้บริโภครุ้สึกเบือหน่ายกับราคาที่สุงขึ้น แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อซึ่งเมือเดือนที่แล้วลดลงใกล้เคียงกับเป้าหมายของธนาคารสหรัฐฯแล้ว
แม้ว่าค่าจ้างจะเพ่มิข้นเร้ซกว่าอัตราเงินเฟ้อเปนเวลาหนึ่งปีเศษแล้ว แต่ก็ยังไม่เติบโตเพียงพอที่จะชดเชยค่าครองชีพที่สุงขึ้นับตั้งแต่เกิดโรคระบาดได้ทั้งหมด
แม้ว่าราคาจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20% ระหว่างเดือนมกราคม 2021 ถึงมิถุนายนปีนี้ แต่ค่าจ้างกลับเพ่ิมขึ้นเพียง 17.4% ตามการวิเคราะห์ของ แบงค์เรท โดยใช้สถิติของกระทรวงแรงงาน
แม้ว่าการเติลโตของค่าจ้างจะยังคงเอาชนะอัตราเงินเฟ้อตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดดยอยู่ที่ 4.2% เทียบกับ 2.6% ในช่วงเดือน กรกฎาคม-กันยายน แบงค์เรท คาดการณ์ว่าช่องว่างหลังการระบาดใหญ่จะไม่ปิดลงอย่งสมบูรณ์จนกว่าจะถึงไตรามาสทีสองของปี 2025
ไม่ว่าจะมีการเผยแพร่สภิติเศราฐกิจเชิงบวกมากมายเพียงใดเพื่อยกย่องบันทึกของรัฐาลชุมปัจจุบัน ผุ้บิรโภคก็ยังคงตระหนักได้ว่าราคาสินค้าในชีวิตประจำวันมีราคาแพงกว่าเมือก่อนมากทุกครังที่ไปจ่ายเงินที่ซูเปอร์มาร์เก็ต
แม้ว่าชัยชนะของทรัมป์ จะทำลายบรรทัดฐานมากมาย แต่ตำปน่งของทรัมป์ในบัตรลงคะแนนของพรรครีพับลิกัน แม้จะโดนตั้งข้อกล่าวหาทางอาญาถึงสี่ครั้ง เกิดเรื่องอื้อฉาวมากมาย และได้รับการรายงานข่าวในเชิงลบมาหลายปี ก็ยังเป็นการท้าทายต่อแนวคิดแบบเดิมๆ
อันที่จริง ครั้งสุดท้ายที่ เอสแอนด์พี 500 ไม่สามารถคาดการณืผุ้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปได้ก็คือการเลือกตังครั้งล่าสุด หลังจากครองส่วนแบ่งตลาดได้ 2.3% ทรัมป์ก็พ่ายแพ้ต่อประธานาธิบดี โจ ไบเดน
https://en.wikipedia.org/wiki/S%26P_500
https://www.investing.com/analysis/how-do-us-elections-impact-the-stock-market-200651831?utm_source=google&utm_medium=cpc&utm_campaign=18997415990&utm_content=636481528026&utm_term=dsa-1547773562090_&GL_Ad_ID=636481528026&GL_Campaign_ID=18997415990&ISP=1&npl=1&af_adset_id=146757837107&ppu=9801673&gad_source=1&gclid=CjwKCAjwyfe4BhAWEiwAkIL8sCrdK5DI4ywGfThBHIAsmhis6x4P1ZDM4VoxjRprlDqqCqbcKWOUchoC0ZUQAvD_BwE
https://www.aljazeera.com/economy/2024/10/24/want-to-know-who-will-win-the-us-election-take-a-look-at-the-stock-market