เป็นราชวงศ์ที่สองและราชวงศ์สุดท้ายของรัสเซียโดยราชวงศ์นี้ปกครองจักรวรรดิรัสเซียตั้งแต่ ค.ศ. 1613-1917 ปฐมกษัตริย์คือ พระเจ้าไมเคิลที่ 1 ได้รับแต่งตั้งภายหลังสมัยแห่งความยุ่งยาก ราชวงศ์นี้ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยตลอดโดยไม่ยินยิมให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ ที่จะเป็นการลดพระราชอำนาจของกษัตริย์แม้ว่าพระเจ้า นิโคลาสที่ 2 จะทรงตั้งสภาดูมาใน ค.ศ. 1905 ก็มิได้มีสิทธิในการออกกฎหมายอย่างเต็มที่ จนเกิดการปฏิวัติใหญ่ในรัสเซียพระเจ้าซาร์นิโคลัสต้องทรงสละราชสมบัติ และถูกปลงพระชนม์โดยกำลังของฝ่ายบอลเซวิค ซึ่งสาเหตุของการปลงพระชนม์เนื่องด้วย พระเจ้าซาร์นิโคลัสเข้าร่วมสงครามและทุ่มงบประมาณไปกับสงครามมากทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ ส่งผลให้ประชาชนก่อการปฏิวัติ และทางราชวงศ์ได้พยายามหลบหนีแต่ไม่สำเร็จได้ถูกนำมากักตัวและถูกลอบปลงพระชนม์
ซาร์นิโคลาสที่ 2 เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของรัสเซีย แกรนด์ดยุคฟินแลนด์ และพระมหากษัตริย์โปแลนด์โดยสิทธิ์เป็นพระโอรสของสมเด็จพระจักรพรรดิอเล็กซาเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย ราชวงศ์โรมานอฟ ทรงเสกสมรสกับเจ้าหญิงอลิกซ์แห่งเฮสส์และไรน์ ซึ่งต่อไม่ได้รับการเฉลิมพระนามเป็ฯ สมเด็จพระจักรพรรดินีอเล็กซานตราเฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย มีพระราชบุตรเวยกันห้าพระองค์ ได้รับการกล่าวขานวว่าเป็นจักรพรรดิที่อ่อนแด ทรงไม่สามารถจัดการกับความไม่สงบภายในประเทศ โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น และการที่ทรงบัญชาการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ไม่ทรงสามารถควบคุมกองทัพได้ อันเป็นชนวนให้ประชาชนชาวรัสเซียไม่พอใจและก่อการประท้วง นอกจากนี้ยังทรงปล่อยให้รัสปูตินเข้ามามีอิทธิพลเหนือราชสำนัก ต่อมาคณะปฏิวัติบอลเซวิค ได้บังคับให้ทรงสละราชสมบัติทรงถูกจำคุกและถูกปลงพรเชสม์อยางทารุณพร้อมด้วยพระราชวงศ์หลายพระองค์
รัสปูติน (เกรกอรี เอฟิโมวิช รัสปูติน) เป็นนักบวชผุ้มีพลังจิตพิเศษที่มีบทบาทในยุคปลายราชวงศ์โรมานอฟของประเทศรัสเซียแต่การมีบทบาทและอิทธิพลของเขานั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟ รัสปูติน เกิดในไซบีเรีย ในครอบครัวเกษตรกร สันนิษฐานว่าเขามีความเชื่อในนิกายคลีสติ ซึ่งเป็นนิกายนอกรีต กลุ่มศาสนิกชนผู้ยึดถือในนิกายนี้เชื่อว่ามนุษย์มีบาปมาแต่เริ่มแรกจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไถ่บาปในเวลาต่อมา พวกเขาประกอบพิธีหลายอย่างเกี่ยกับความวิตถารในทางกามารมณ์และการบูชายัญ รัสปูตินเร่ร่อนไปทั่งชนบทของรัสเซีย เพื่อประกอบการเยียวยารักษาโรค และชักชวนผู้ญิงให้เข้าร่วมพิธีกรรมเหล่าโดย การดื่มเหล้า ร้องเพลง การเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง และก็กิจกรรมทางเพศเป็นหมู่คณะ ในทุกๆ แห่งที่สะดวก ไม่ว่าจะเป็นป่า ยุ้งข้า หรือกระทอมของสาวก
รัสปูตินมีความสามารถพิเศษในการทำนายอนาคตได้ยอ่างค่อนข้างถูกต้อง ต่อมารัสปูตินเข้าถือพรตเป็นนักพรตในศาสนจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย ประกอบกับบุคลิกที่เงียบขรึม ผู้คนในเมือง ต่างนับถือแต่ต่อมา เมื่อผู้คนพบกับธาตุแท้ ต่างเรียกรัสปูตินว่า Icha หรือ “นักพรตวิปลาส”รัสปูตินแต่งงานกบหญิ่งผู้มีอายุมากว่าตน และมีลูกด้วยกัน 4 คน กระทั่งรัสปูตินเดินทางแสวงบุญไปยังกรีกและเยรูซาเลมเมื่อเดินทางกลับถึงรัสเซีย รัสปูตินอ้างตนว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษและรักษาโรคได้
เจ้าชายอะเลคดซย์พระราชโอรสองค์สุดท้องในพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียประสูติ แต่ทรงมีพระอาการประชวรด้วยโรคฮีโมฟีเลีย หรือพระโลหิตไหลออกง่ายและหยุดยากเนื่องจากพระโลหิตผิดปกติ ซึ่งในสมัยนั้นโรคนี้สามารถคร่าชีวิตคนได้พระเจ้าซาร์หาหมอมีมาหลายคนก็ไม่สามารถรักษาพระอาการได้
รัสปูตินเดินทางมาในพระราชวังและสามารถรักษาพระอาการป่วยของเจ้าชายอะเลคเซย์ได้ โดยใช้วิธีสะกดจิตและปล่อยให้ระบบในพระวรการเยียวยาอย่างเงียบๆ พระมเหสีในพระเจ้าซาร์ขอให้รัสปูตินเข้ามาอยู่ในวัง เพื่อทำการดูแลเจ้าชายต่อ ซึ่งทำให้ชีวิตของรัสปูติน เริ่มมีบทบาทและอำนาจขึ้นมา รัสปูตินใช้วิธีการจัดเลี้ยงเพื่อล้างบาป ซึ่งการจัดงานเลี้ยงเพื่อล้างบาปนั้นดูจะบ่อยและพร่ำเพื่อจนคนภายนอกมองว่ารัสปูตินต้องการเสวยสุขจากงานเลี้ยงมากกว่า อิทธิพลของรัสปูตินในวังหลวงเพิ่มมากขึ้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ซาร์นิโคลัสที่ 2 ไปบัญชาการรบด้วยตนเอง และเมือกลับมารัสเซีย รัสปูตินก็ปรนเปรอด้วยงานเลี้ยง กิจการบ้านเมืองจึงตกอยู่ภายใต้อิทธพลรัสปูติน
เจ้าชายเฟลิกซ์ยูสชูปอฟ เห้นว่ารัสปูตินจะเป็นภัยต่อชาติ จึงร่วมมือกับแกรด์ดยุคดมิทรี พัฟโลวิช ลวงสังหารรัสปูติน สามวันต่อมา ศพของรัสปูตินถูกพบ และถูกส่งไปชันสูตร ผลการชันสูตร พบสารไซยาไนด์และกระสุนปืนจำนวนมากในร่างของรัสปูติน รัสปูตินเสียชีวิตเพราะการจมน้ำ
ก่อนเสียชีวิต รัสปูตินสามารถทำนายอนาคตตนเองได้วากำลังจะเสียชีวิตเร็วๆ นี้ และได้พบกับคำทำนายบางสิ่ง จึงเขียนคำทำนายฉบับสุดท้ายฝากคนรับใช้ให้ไปส่งให้พระเจ้าซาร์ ฉบับนั้น เขียนไว้ในทำนองว่า ถ้าตัวเขาเองถูกฆ่าด้วยน้ำมือของสามัญชน ราชวงศ์โรมานอฟจะปกครองรัสเซียไปได้อีกหลายร้อยปี แต่ถ้าตัวเขาเองถูกฆ่าตายโดยเชื้อพระวงศ์ หรือบรรดาศักดิ์ ราชวงศ์จะถูกโค่นล้มในอีก 2 ปีข้างหน้า..
กระแสปฏิวัติในศตวรรษที่ 20 นั้นมีไปทั่วโลก จักรวรรดิรัสเซียเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนอดอยากทั่วรัสเซีย ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 เกิดการปฏิวัติ “การปฏิวัติเดือนกุทภาพันธ์” นำโดย วลาดิเมียร์ เลนิน ซึ่งพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงต้องสละราชบัลลังก์และถูกกักกันตัวไว้ หลังจากการปฏิวัติไม่นาน ราชวงศ์ทรงประทับอยู่ ณ พระราชวังอเล็กซานเดอร์ และระหว่างเมษายน และ พฤษภาคมปี ค.ศ.1918 ก็ทรงถูกย้ายจากพระราชวังอเล็กซานเดอร์มาประทับ ณ เมืองเยคาเทียรินเบิร์ก สิบหก กรกฎาคม เวลา หนึ่งนาฬิกาสามสิบนาที นิโคลัส อเล็กซานดร้า โอรสและธิดาถูกหลอกให้ลงมาชั้นใต้ดิน แต่เมือทั้งหมดลงมา ก็ถูกขังไว้ในห้องพร้อมกับทหารกลุ่มบอลเซวิค โดยทั้งหมดสิ้นพระชนม์จากการถูกยิงเป้าหมู่ ภายหลังได้มีการฝังพระศพทั้งหมดร่วมกัน เป็นการปิดฉากราชวงศ์โรมานอฟและจักรวรรดิรัสเซีย...
วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555
Russai Empire
ความเปลี่ยแปลงในรัศเซียเริ่มมีขึ้นในสมัยซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ซึ่งมีแนวความคิดเสรี นิยมกระทั่งคนของซาร์ ถูกลอบสังหาร จึงมีการเปลี่ยนนโยบายทั้งหมด พวกนักปฏิรูปจึงมีการรวมตัวกันอย่างลับๆ เป็นสมาคมอย่างรูปแบบคล้ายในอิตาลี กระทั้งซาร์อเล็กซานเดอร์ สิ้นพระชนม์ และไม่มีพระโอรส สิทธิจึงตกอยู่กับเจ้าชายคอนสแตนตินพระอนุชาซึ่งมีแนวความคิดเสรีนิยมพวกนักปฏิรูปจึงมีความหวังแต่พระองค์ไม่ทรงรับสิทธินั้น บัลลังก์จึงตกเป็นของนิโคลาสซึ่งเป็นพวกหัวปฏิกิริยา ซึ่งไม่เป็นที่พอใจกับพวกหัวปฏิรูป ในช่วงที่ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการพวกปฏิรูปจึงฉวยโอกาส ไปแสดงความเคารพเจ้าคอนสแตนติน การกระทำครั้งนี้ทำให้เจ้าชายนิโคลาสมีท่าทีปฏิกริยามากขึ้น ทรงสั่งกำจัดพวกก่อการทั้งสิ้น จึงทำใหแผนการของกลุ่มเสรีนิยมล้มเหลวในที่สุด
ในสมัยการปกครองซาร์นิโคลาสที่ 1 ทรงปกครองด้วยระบบเทวสิทธิ์ เชื่อในอำนาจสูงสุด ในยุคสมัยดังกล่าวได้เกิดมีนักเขียนที่มีชื่อเสียงหลายท่าน นักเขียนเหล่านี้ยังมีบทความโจตีสถาบันการปกครองรุสเซีย นักการศึกษารุ่นใหม่ถกเถียงกันถึงปรัชญาชองชิลลิงและเฮเกล นักการศึกษาแบ่งเป็น 2 กลุ่มทั่งสองกลุ่มถกเถียงกันถึงวิธีการศึกษาของรุสเซีย ยืนยันว่าวัฒนธรรมสลาฟเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมตะวันตะ ซึ่งหมายความว่ารุสเซียควรจะปรับปรุงตนเองตามแนวทางตะวันตกด้วย ถึงกับมีการเรียกร้องให้เลิกระบบซาร์และตั้งเป็นรัฐสังคมนิยม ส่วนอีกกลุ่ม ซึ่งจัดเป็นกลุ่มชาตินิยม ยืนยันว่าวัฒนธรรมรุสเซียนมีความพิเศษเนือหว่าพวกตะวันตก รุสเซียมีความเป็นตัวเองมีพลังที่จะเจริญได้เอง..
ซาร์นิดคลาสเป็นผุ้นำแบบระบบเก่า ป้องกันโดยเข้าแทรกแซงการปฏิวัติทุกรูปแบบ ในด้านการขยายอำนาจการหาทางออกทะเลยังเป็ฯนโยบายหลักของรุสเซีย ในด้านศาสนา รุศเซียถือว่าตนเป็นผู้นำของศาสนาคริสเตียนนิกายออร์ธอดอกซ์ จึงจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบต่อความเดือนร้อนที่ชนชาติต่าง ๆ ในแหลมบอลข่าน ในศตวรรษที่ 19 ขณะที่ความคิดโรแมนติคกำลังแพร่หลาย หากมองกันด้านยุทธศาสตร์หรือความมั่นคงของปะเทศ การที่ออกตโตมันคุมบอลข่าน เท่ากับว่าสุลต่านมีอำนาจที่ปิดหรือเปิดประตูหลังบ้านของรุสเซีย ซึ่งเป็นสิ่งไม่ปลอดภัย และเหตุทางด้านเศรษฐกิจ การขนส่งการแสวงหาวัตถุดิบ และความรู้สึกเรื่องชาตินิยม ในที่สุดสัญญาอาเดรียโนเปิล รุสเซียได้สิทธิพิเศษที่จะแล่นเรือผ่านช่องแคบดาร์ตะแนล และบอสโฟรัส และจากสัญญาอนเคียสะเกเลสสิ รุสเซียได้มีเสียงใหญ่ในการคุมเส้นทางเข้าทะเลดำ และรุสเซียยังทำการขยายสู่เส้นทางอื่นๆ อีก เช่นการทำสงครามกับเปอร์เซียและจีน และได้ดินแดนแถบแม่น้ำอามูร์อีกด้วย
การเข้ามาพัวดันกับสงครามไครเมีย นอกจากจะพ่านแพ้ทางด้านการทหารแลว รัฐบาลของพระองค์ต้องประสบปัญหาการเงิน การทารุณกับพวกชาวนาเพิ่มมากขึ้น รัชสมัยของพระองค์จึงสิ้นุดลงด้วยความวุ่นวาย
ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 แม้พระองค์จะไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงแต่ด้วยความเป็นจริงการปฏิรูปจึงจำเป็นต้องเกิดขึ้น เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ทรงเจรจาสงบศึก และพัฒนาประเทศ ประการแรกคือทรงประกาศเลิดทาสติดที่ดินแม้จะมีเสียงคัดค้านจากทุกฝ่าย ผลของการประกาศกฎหมายเลิกทาส คือการเพิ่มจำนวนคนยากจนในชนบท ชาวนาต้องกลบเข้าไปทำงานตามระบบเก่า หมดความอิสระเสรี เกิดความไม่พอใจสังคม และความรุนแรงต่าง ๆ จะเปลี่ยนแปลงสังคมจึงเป็นสิ่งที่ตามมา
การปฏิรูประบบการปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นงานชิ้นสำคัญของพระองค์ นอกจากกลุ่มขุนนาง แล้วพ่อค้า ชาวนาจะมีสิทธิเลือกตั้งผู้แทน หน่วยการบริหารระบบใหม่เรียกว่าเซ็มสโวส์ ซึ่งแบ่งเป็นหลายระดับ เป็นรูปจำลองเล็กๆ สอนให้ประชาชนได้รู้จกการปกครองระบบประชาธิปไตย ฝึกหัดให้ประชาชนได้รู้จักสิทธิในการเข้าร่วมการปกครองที่ตนเองเกี่ยวข้อง และยังปรับปรุ่งให้มีเทศบาลเมือง จัดตั้งศาลหลวงแก้ไขระบบยุติธรรมให้ดีขึ้น ซึ่งสมัยเดิมเจ้าของที่ดินทำหน้าที่ตุลาการด้วยตามระบบฟิวดัลซึ่งเป็นการไม่ยุติธรรมต่อผุ้นอ้ยและล้าสมัยในวิธีการสอบสวนลงโทษ.. การปฏิรูปกองทัพ ชายทุกคนเมืออายุ 20 ปีมีสิทธิจะเป็นทหารได้ ไม่จำกัดชั้นวรรณะ พระองค์ทรงพอใจหากการปฏิรูปจะมาจากพระองค์ มิใช่ประชาชนเรียกร้อง จึงทำให้เกิดเป็นการรวมกลุ่มแบบลับ ๆ มีการก่อกบฎ นักศึกษามหาวิทยาลัยพยายามจะลอบปลงประชนม์พระเจ้าซาร์ ทุกสิ่งจึงกลับไปหมือนเดิม รัฐบาลเข้าควบคุม หน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบต่างๆ ก็ ค่อย ๆ หมดความสำคัญลง
กลุ่มหัวรุนแรงและการปฏิวัติ
Nihilism (nothing) มีความคิดด้านทำลายเป็นสำคัญ เห็นพ้องต้องกันว่าสถาบันเก่าๆ ทุกสิ่งจะต้องถูกทำลาย ก่อนที่สังคมใหม่จะเกิดขึ้น สิ่งใดที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนเหตุผลและความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะต้องถูกทำลายเช่นกัน ซึ่งรวมถึงสถาบันซาร์และวัดออร์ธอดอกซ์ด้วย
Socialism ขบวนการสังคมนิยมมีจุดมุ่งหมยที่จะทำลายระบบซาร์ และก่อตั้งรัฐประชาธิปไตยแบบสังคมนิยมขึ้นในรุสเซีย โดยหวังจะเลียนแบบคอมมูนแห่งปารีส การทำงายของกลุ่มนี้กว้างขวางกว่ากลุ่มแรก มุ่งหาสมาชิกในชนบท (ชาวนา)และมีการติดต่อกับกลุ่มสังคมนิยมในต่างประเทศ ต้องการใช้วิธีละมุนละม่อม
Anarchist ทำการต่อต้านสังคมด้วยวิธีรุนแรง การลอบฆ่าข้าราชการ พระเจ้าซาร์ และการทำลายอื่น ๆ ด้วยหวังจะบีดทางอ้อมให้พระเจ้าซาร์ทำการปฏิรูปสังคมด้วยวิถีเสรีนิยมพระองค์ทรงตอบโต้ด้วยวิธีการรุนแรงเช่นกัน ระบบตำรวจลับถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง
ราชวงศ์โรมานอฟ
การลอบปลงพระชนม์พรเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ทำให้รัฐบาลพระจเอเล็กซานเดอร์ที่ 3 เป็นปฏิกิริยามากขึ้น มีนโยบายต่อต้านการปฏิรูปทุกอย่าง ใช้วิธีการรุนแรงและโหดเหี้ยมการสอนในมหาวิทยาลัยถูกกวดขัน อาจารย์กัวเสรีนิยมถูกไล่อก หนังสือพิมพ์ถูกเซ็นเซอร์ ยิ่งไปกว่านั้น พรเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 เริ่มใช้นโยบายกำจัดศาสนาอื่น ๆ ที่มิใช่กรีกออร์ธอดอกซ์ มณฑลต่าง ๆ ซึ่งนับถือลูเธอร์แรนถูกบังคับให้เปลี่ยนความเชื่อ ยิวก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน จากนโยบายต่อต้านยิว พวกยิวจำนวนมากถ้าไม่ถูกฆ่าตาย ก็จะถูกขับไล่ออกนอกประเทศ
ซาร์นิโคลาสที่ 2 ซึ่งไม่ต่างจากสมียซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 ทรงกล่าวไว้ว่า จะคงไว้ซึ่งระบบการปกครองแบบเอกาธิปไตยที่บรรพบุรุษของพระองค์ทรงทำมา จะไม่มีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลง
ทางด้านเศรษฐกิจเป็นระยะการพัฒนาทางเศรษฐกิจขั้นสุดท้าย เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นระยะปรับตัวของการปฏิรูปครั้งใหญ่ อุตสาหกรรมของรุสเซียเข้าสู่ขั้นเต็มที่ มีการสร้างทางรถไป ถึง 15,000ไมล์ การพัฒนาเครื่องจักรกลต่าง ๆ ซึ่งก็ยังล้ากว่ายุโรปชาติอื่นๆ และสหรัฐอเมริกา อาทิจำนวนการผลิตเหล็ก น้อยกว่าฝรั่งเศส 8 เท่า เยอรมัน 8 เท่า สหรัฐอเมริกา 11 เท่าและยิ่งไปกว่านั้นอุตสาหกรรมของรุสเซียตกอยู่ในมือพวกนายทุนเพี่ยงไม่กี่คน ทั้งนี้และทั้งนั้นระบบฟิวดัลของรุสเซียยังแรงมาก เจ้าของที่ดิน พยายามกีดกันระบบนายทุนแบบยุโรปเย้าไปแพร่หลายในรุสเซีย และการขาดชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของระบบนายทุน
ด้านการเกษตร ชาวนาสามารถขายสิทธิที่ดิน ชาวนาส่วนใหญ่เปลี่ยนฐานะเป็นลูกจ้าง ซึ่งแทบจะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
ในช่วงการทดลองการปกครองนระบบรัฐสภา รุสเซียเข้าพัพันธ์กับเหตุการณ์ในต่างประเทศมากขึ้นทุกขณะ และในที่สุดก็เข้าร่วมสงครามในปี 1914 และการพ่ายแพ้สงครามยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายมากขึ้น ..รัฐบาลของซาร์เข้าสู่ภาวะอันตราย การปฏิวัติเกิขึ้น โดยทำการขับซาร์นิโคลาสออกจากบัลลังก์ราชวงศ์โรมานอฟจึงสิ้นสุด และทำให้ระบบการปกครองของรัสเซียมาเป็นระบบคอมมิวนิสต์ในที่สุด มีผู้ให้ข้อคิดเห็นว่าการปฏิรูปการปกครองมิใช่สิ่งที่นำไปสู่การปฏิวัติ แต่เป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ทำให้เปลี่ยนการปฏิรูปมาเป็นการปฏิวัติ
Imperialism
มีการวางรากฐานของจักรวรรดิอังกฤษตั้งแต่อังกฤษและสกอตแลนด์ยังเป็นราชอาณาจักรที่แยกจากกัน หลังโปรตุเกศและสเปนประสบความสำเร็จในการสำรวจโพ้นทะเล ถึงกระนั้นอังกฤษก็ไม่มีความพยายามทีจะก่อตั้งอาณานิคมอังกฤษเพิ่มเติมอีกในทวีปอเมริกเรื่อยมากระทั้งรัชสมัย สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ในช่วงทศวรรษสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 16 การปฏิรูปโปรแตสแตนต์ทำให้อังกฤษทรงให้นักเดินเรือส่วนตัว จอห์น ฮิว์กินส์ และฟรานซิส เดรก ทำการโจมตีปล้นทาสตามเรือสเปนและโปรตุเกสซึ่งแล่นออกจกาชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายระบบการค้าแอตแลนตกิ ความพยายามดังกล่าวถูกยับยั้ง และเมื่อสงครามอังกฤษสเปนทวีความรุนแรงขึ้น สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ทรงอนุญาตให้ขยายโจมตีแบบโจรสลัดไปจนถึงเมืองท่าของสเปนในทวีปอเมริกาและการเดินเรือที่แล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกกลับมา ซึ่งเรือนี้เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติซึ่งขนกลับจากโลกใหม่ ขณะเดียวกัน นักเขียนที่มีอิทธิพล อาทิ ริชาร์ด ฮัคลุยต์ และจอห์นดี เป็นคนแรกที่ใช้คำว่า “จักรวรรดิอังกฤษ” และเริ่มผลักดันในมีการก่อตั้งจักรวรรดิที่เป็นของอังกฤษเอง ซึ่งในเวลานั้น สเปนได้สร้างถิ่นฐานอย่างมั่นคงในทวีปอเมริกา ส่วนโปรตุเกสได้สร้างสถานีการค้าและค่ายทหารจากชายฝั่งทวีปแอฟริกา และบราซิลถึงจีนและฝรั่งเศสเองก็ตั้งถิ่นฐานบริเวณแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์ ซึ่งต่อมาภายหลังกลายเป็นอาณานิคมนิวฟรานซ์ แม้วาอังกฤษจะมาที่หลังในการล่าอาณานิคมแต่อังกฤษก็เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยการตั้งถิ่นฐานในไอร์แลนด์ คล้ายกับการรุกรานของชาวนอร์มัน
ในปี ค.ศ. 1603 สมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ ได้ทรงสืบราชบัลลังก์อังกฤษต่อมา และได้ทรงเจรจาในสนธิสัญญาลอนดอน ในการยุติความบาดหมางกับสเปน หลังจากการสงบศึกกับคู่แข่งที่สำคัญ ความสนใจของอังกฤษเปลี่ยนจากการหาผลประโยชน์จากดครงสร้างพื้นฐานทางอาณานิคมของชาติอื่นมาเป็นกิจการการก่อตั้งอาณานิคมโพ้นทะเลเป็นของตนเอง จักวรรดิอังกฤษได้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในช่วงต้น คริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยการก่อตั้งนิคมของอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือและหมู่เกาะเล็กๆ แถบคาริบเบียน ตลอดจนการจัดตั้งบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ชื่อ บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ เพื่อทำการค้าขายกับทวีปเอเชีย ในช่วงนี้จนไปถึงการสูญเสียสิบสามอาณานิคม หลังจากการประกาศอิสรภาพสหรัชอเมริกา ไปจนถึงส้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้รับกล่าวถึงในเวลาต่อมาว่าเป็น “จักรวรรดิอังกฤษที่หนึ่ง”
“จักรวรรดิอังกฤษที่สอง” การปกครองอินเดียของบริษัท การดำเนินการ บริษัทอินเดียตะวัน ออกของอังกฤษให้ความสำคัญกับการค้ากับอนุทวีปอินเดีย เพื่อที่จะได้ไม่อยู่ในฐานะที่จะท้าทายอำนาจของจัรวรรดิโมกุลอันเกีรยงไกร บริษัทได้รับสิทธิการค้า ช่วงคริสตศตวรรษที่ 18 จักรวรรดิโมกุลเริ่มเสื่อมอำนาจและบริษัทอินเดียตะวันออกกำลังต่อสู้กับบริษัทคู่แข่วสัญชาติฝรั่งเศสในสงครามคาร์นาติก ซึ่งกองกำลังอังกฤษ ภายใต้การนำของโรเบิร์ต คลิฟ สามารถเอชนะฝรั่งเศสและพันธมิตรชาวอินเดีย บริษทัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษจึงปกครองอ่าวเบงกอล และเป็นอำนาจทางทหารและทางการเมืองทียิ่งใหญ่ของอินเดีย การยึดครองอินเดียของบริษัทประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์ การกบฎในอินเดีย ทำให้บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษยุติบทบาทลง และอินเดียถูกปกครองโดยตรงภายใต้บริติชราช
การสูญเสียสิบาสมอาณานิคม และความสัมพันธ์กับสหรับอเมริกา
ความสัมพันธ์ระหว่างสิบสามอาณานิคมและอังกฤษเริ่มตึงเครียดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอยางยิ่งความไม่พอใจในความพยายามของรัฐสภาอังกฤษที่จะปกครองและเก็ภาษีชาอาณานิคม โดยปราศจากความยินยอม โดยสรุปเป็นสโลแกนว่า “ไม่จ่ายภาษีหากไม่มีผู้แทน” ความไม่เห็นด้วยในการรับประกันสิทธิความเป็นชาวอังกฤษ ได้ทำให้เกิดการปฏิวัติอเมริก และประกาศอิสรภาพในเวลาต่อมา..
“ความมั่นคงของประชาชาติ” โดยอดัม สมิธ ได้โต้แย้งว่าอาณานิคมมีมากเกินไป และควรนำระบบการค้าเสรีเข้ามาแทนนโยบายพาณิชยนิยมแบบเก่า ซึ่งเป็นลักษณะของการขยายอาณานิคมในช่วงแรก ซึงย้อกลับไปจนถึงลัทธิคุ้มครอง ของสเปนและโปรตุเกส สมิธยืนยังมุมมองที่ว่า การควบคุมทางการเมือไม่จำเป็นต่อความสำเร็จในทางเศรษฐกิจ ความตึงเครียรระหว่างชาติทั้งสองทวีขึ้นระหว่างสงครามนโปเลียน อังกฤษพยายาที่จะขึดขวางการค้าระหว่างสหรัฐกับฝรั่งเศสและส่งคนขึ้นเรื่ออเมริกาเพื่อเกณฑ์ลุกเรือสัญชาติอังกฤษแต่กำเนิดให้เข้าสูราชนาวี สหรัฐจึงประกาศสงคราม ทั้งสองฝ่ายพยายามที่จะเพ่มค่าใช้จ่ายของฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด แต่ประสบความล้มเหลวทั้งสองฝ่าย สันธิสัญญาเก้นท์ จึงเกิดขึ้น เหตุการในทวีปอเมริกามีอิทธิพลต่อนโยบายของอังกฤษในแคนาดา พวกรอยังลิสต์ที่แพ้สงครามปฏิวัติได้อพยพออกจากอเมริกาภายหลังการประกาศอิสรภาพ รัฐบาลอังกฤษแบ่งนิบรันสวิกออเป็นอาณานิคมต่างหาก จัดตั้งมณฑลอัปเปอร์แคนาดา ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษ และโลว์เออร์แคนาดา ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาฝรั่งเศส เพื่อลดความตึงเครียดระหว่างประชาคมอังกฤษและฝรั่งเศส และรูปแบบการปกครองคล้ายคลึงกับที่ใช้ในอังกฤษ โดยมีเจตนาเพิ่มอำนาจของจักรวรรดิและ ไม่อนุญาตให้อยู่ภายมต้การปกครองของประชาชน ซึ่งได้นำไปสู่การปฏิวัติอเมริกา
แปซิฟิก หลังจากสูญเสียสิบสามอาณานิคม สภานการณ์บังคับให้มีการหาสถานที่ใหม่สำหรับขนส่งนักโทษ และรัฐบาลอังกฤษได้ให้ความสนใจไปยังดินแดออสเตรเลียซึ่งเพิ่งค้นพบใหม่ ชายฝั่งด้านตะวันตกของออสเตรเลีย เรื่อขนนักทษมายังนิวเซาท์เวลส์และในเวลาต่อมาอาณานิคมมีประชากรอาศัยอยูถึง 56,000 คน ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นนักโทษ อดีตนักโทษ หรือผู้สืบสกุลของนักโทษเหล่านี้ อาณานิคมออสเตรเลียได้กลายมาเป็นแหล่งส่งออกขนแกะและทองอันสร้างรายได้มหาศาล
ในระหว่างทางยังได้เดินทางไปถึงนิวซีแลนด์ ปฏิสัมพันธระหวางประชกรพื้นเมืองของมาวรี และชาวยุโรปจำกัดอยู่เพียงภารแลกเปลี่ยนสินค้าเท่านั้น บริษัทนิวซีแลนด์ประกาศแยนที่จะซื้อที่ดินขนาดใหญ่และก่อสร้างอาณานิคมในนิวซแลนด์และร่วมสงนามในสนธิสัญญาไวทังกิ โดยกับตันวิลเลียม ฮอบสัน และหัวหน้าชนเผ่ามาวรีอีกราว 40 คน ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเอกสารก่อตั้งนิวซีแลนด์ แต่ความแตกต่างในการตีความข้อความในเอกสารภาษามาวรีและภาษาอังกฤษ ซึ่งก็หมายความว่ามันจะยังคงเป็นที่มาของความขัดแย้งต่อไป
ในปี ค.ศ. 1603 สมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ ได้ทรงสืบราชบัลลังก์อังกฤษต่อมา และได้ทรงเจรจาในสนธิสัญญาลอนดอน ในการยุติความบาดหมางกับสเปน หลังจากการสงบศึกกับคู่แข่งที่สำคัญ ความสนใจของอังกฤษเปลี่ยนจากการหาผลประโยชน์จากดครงสร้างพื้นฐานทางอาณานิคมของชาติอื่นมาเป็นกิจการการก่อตั้งอาณานิคมโพ้นทะเลเป็นของตนเอง จักวรรดิอังกฤษได้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในช่วงต้น คริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยการก่อตั้งนิคมของอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือและหมู่เกาะเล็กๆ แถบคาริบเบียน ตลอดจนการจัดตั้งบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ชื่อ บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ เพื่อทำการค้าขายกับทวีปเอเชีย ในช่วงนี้จนไปถึงการสูญเสียสิบสามอาณานิคม หลังจากการประกาศอิสรภาพสหรัชอเมริกา ไปจนถึงส้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้รับกล่าวถึงในเวลาต่อมาว่าเป็น “จักรวรรดิอังกฤษที่หนึ่ง”
“จักรวรรดิอังกฤษที่สอง” การปกครองอินเดียของบริษัท การดำเนินการ บริษัทอินเดียตะวัน ออกของอังกฤษให้ความสำคัญกับการค้ากับอนุทวีปอินเดีย เพื่อที่จะได้ไม่อยู่ในฐานะที่จะท้าทายอำนาจของจัรวรรดิโมกุลอันเกีรยงไกร บริษัทได้รับสิทธิการค้า ช่วงคริสตศตวรรษที่ 18 จักรวรรดิโมกุลเริ่มเสื่อมอำนาจและบริษัทอินเดียตะวันออกกำลังต่อสู้กับบริษัทคู่แข่วสัญชาติฝรั่งเศสในสงครามคาร์นาติก ซึ่งกองกำลังอังกฤษ ภายใต้การนำของโรเบิร์ต คลิฟ สามารถเอชนะฝรั่งเศสและพันธมิตรชาวอินเดีย บริษทัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษจึงปกครองอ่าวเบงกอล และเป็นอำนาจทางทหารและทางการเมืองทียิ่งใหญ่ของอินเดีย การยึดครองอินเดียของบริษัทประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์ การกบฎในอินเดีย ทำให้บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษยุติบทบาทลง และอินเดียถูกปกครองโดยตรงภายใต้บริติชราช
การสูญเสียสิบาสมอาณานิคม และความสัมพันธ์กับสหรับอเมริกา
ความสัมพันธ์ระหว่างสิบสามอาณานิคมและอังกฤษเริ่มตึงเครียดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอยางยิ่งความไม่พอใจในความพยายามของรัฐสภาอังกฤษที่จะปกครองและเก็ภาษีชาอาณานิคม โดยปราศจากความยินยอม โดยสรุปเป็นสโลแกนว่า “ไม่จ่ายภาษีหากไม่มีผู้แทน” ความไม่เห็นด้วยในการรับประกันสิทธิความเป็นชาวอังกฤษ ได้ทำให้เกิดการปฏิวัติอเมริก และประกาศอิสรภาพในเวลาต่อมา..
“ความมั่นคงของประชาชาติ” โดยอดัม สมิธ ได้โต้แย้งว่าอาณานิคมมีมากเกินไป และควรนำระบบการค้าเสรีเข้ามาแทนนโยบายพาณิชยนิยมแบบเก่า ซึ่งเป็นลักษณะของการขยายอาณานิคมในช่วงแรก ซึงย้อกลับไปจนถึงลัทธิคุ้มครอง ของสเปนและโปรตุเกส สมิธยืนยังมุมมองที่ว่า การควบคุมทางการเมือไม่จำเป็นต่อความสำเร็จในทางเศรษฐกิจ ความตึงเครียรระหว่างชาติทั้งสองทวีขึ้นระหว่างสงครามนโปเลียน อังกฤษพยายาที่จะขึดขวางการค้าระหว่างสหรัฐกับฝรั่งเศสและส่งคนขึ้นเรื่ออเมริกาเพื่อเกณฑ์ลุกเรือสัญชาติอังกฤษแต่กำเนิดให้เข้าสูราชนาวี สหรัฐจึงประกาศสงคราม ทั้งสองฝ่ายพยายามที่จะเพ่มค่าใช้จ่ายของฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด แต่ประสบความล้มเหลวทั้งสองฝ่าย สันธิสัญญาเก้นท์ จึงเกิดขึ้น เหตุการในทวีปอเมริกามีอิทธิพลต่อนโยบายของอังกฤษในแคนาดา พวกรอยังลิสต์ที่แพ้สงครามปฏิวัติได้อพยพออกจากอเมริกาภายหลังการประกาศอิสรภาพ รัฐบาลอังกฤษแบ่งนิบรันสวิกออเป็นอาณานิคมต่างหาก จัดตั้งมณฑลอัปเปอร์แคนาดา ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษ และโลว์เออร์แคนาดา ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาฝรั่งเศส เพื่อลดความตึงเครียดระหว่างประชาคมอังกฤษและฝรั่งเศส และรูปแบบการปกครองคล้ายคลึงกับที่ใช้ในอังกฤษ โดยมีเจตนาเพิ่มอำนาจของจักรวรรดิและ ไม่อนุญาตให้อยู่ภายมต้การปกครองของประชาชน ซึ่งได้นำไปสู่การปฏิวัติอเมริกา
แปซิฟิก หลังจากสูญเสียสิบสามอาณานิคม สภานการณ์บังคับให้มีการหาสถานที่ใหม่สำหรับขนส่งนักโทษ และรัฐบาลอังกฤษได้ให้ความสนใจไปยังดินแดออสเตรเลียซึ่งเพิ่งค้นพบใหม่ ชายฝั่งด้านตะวันตกของออสเตรเลีย เรื่อขนนักทษมายังนิวเซาท์เวลส์และในเวลาต่อมาอาณานิคมมีประชากรอาศัยอยูถึง 56,000 คน ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นนักโทษ อดีตนักโทษ หรือผู้สืบสกุลของนักโทษเหล่านี้ อาณานิคมออสเตรเลียได้กลายมาเป็นแหล่งส่งออกขนแกะและทองอันสร้างรายได้มหาศาล
ในระหว่างทางยังได้เดินทางไปถึงนิวซีแลนด์ ปฏิสัมพันธระหวางประชกรพื้นเมืองของมาวรี และชาวยุโรปจำกัดอยู่เพียงภารแลกเปลี่ยนสินค้าเท่านั้น บริษัทนิวซีแลนด์ประกาศแยนที่จะซื้อที่ดินขนาดใหญ่และก่อสร้างอาณานิคมในนิวซแลนด์และร่วมสงนามในสนธิสัญญาไวทังกิ โดยกับตันวิลเลียม ฮอบสัน และหัวหน้าชนเผ่ามาวรีอีกราว 40 คน ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเอกสารก่อตั้งนิวซีแลนด์ แต่ความแตกต่างในการตีความข้อความในเอกสารภาษามาวรีและภาษาอังกฤษ ซึ่งก็หมายความว่ามันจะยังคงเป็นที่มาของความขัดแย้งต่อไป
วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555
Nationalism
ชาตินิยม คืออุดมการณ์ที่สร้างและบำรุงรักษาชาติในลักษณะที่เป็ฯมโนทัศน์ แสดงอัตลักษณ์ของกลุ่มของมนุษย์ บางทฤษฎี การรักษาลักษณะพิเศษของอัตลักษณ์ การเป็นอิสระในทุกๆเรื่องการกินดีอยู่ดี และการชื่นชมความยิ่งใหญ่ของชาติตนเอง ล้วนจักว่าเป็นคุณค่าพื้นฐานของความเป็นชาตินิยม..
เยอรมัน มีสภาพเช่นเดียวกับอิตาลี คือเป็นกลุ่มรัฐย่อยๆ ที่เข้ารวมกันในนามของสมรพันธรัฐเยอรมัน นโปเลียนยกเลิกอาณาจักรนี้ พร้อมกันนั้นได้รวมดินแดนภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเยอรมนีเป็นของฝรั่งเศส จัดตั้งดินแดนส่วนบริเวณตอนกลาง ตั้งขึ้นเป็นสมาพันธ์รัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ โดยอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศส และผลักดันออสเตรียออกจากเยอรมนีไปทางตะวันออก และโดดเดียวปรัสเซียให้อยู่ตามลำพัง ให้มีฐานะเป็นัฐกันชนภายใต้ร่มเงาเขตอิทธิพลรัสเซีย การกระทำของนโปเลียนก่อให้เกด การรวมตัวของพลังชาตินิยมขึ้นอย่างเงียบๆ
ศตวรรษที่ 19 ลัทธิโรแมนติคกับลัทธิชาตินิยมมีอิทธิพลเท่าเทียมกัน ในการพัฒราด้านความคิดของชาวเยอรมัน นักเขียน กวี นักแต่งเพลง ของสมัยโรมแมนติค ได้สอดใส่ความรู้สึกชาตินิยมไว้ในผลงานของตนอย่างเต็มที่ การเชิดชูวีรบุรุษที่จะสามรถรวมเยอมันเข้าไว้ด้วยกัน นักปรัชญาและนักเขียนพยายามวิพากษ์วิจารณ์ชี้ให้เห็นถึงวัฒนธรรมเยอรมันที่สูงส่งกว่าชาติอื่น ๆ Volk เฮเกลใช้กฎไดอาเลคติคอธิบายให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ที่จะมีพื้นฐานมาจากการไม่เป็นอันเหนึ่งอันเดียวกัน ความแข็งแกร่งจะเกิดขึ้นจากความอ่อนแด และ เฟรดริค ลิส ได้ชี้ให้เห็นถึงพลังทางเศรษฐกิจที่จะมีส่วนทำให้ความใฝ่ฝันของชาวเยอรมันเป็นจริงขึ้นมา
ความคิดเสรียิยมเป็นพลังสำคัญเช่นเดียวกับชาตินิยม ชนชั้นกลางชาวเยอรมันต้องการการปกครองแบบรัฐสภา และฐบาลยื่นมือเข้าช่วยเหลือตนบ้างด้านเศรษฐกิจ ต่างมีความเห็นต้องกันว่า การรวมเยอรมนีจะสนองความต้องการทั้ง 2 ประการได้ กลุ่มเสรีนิยมดำเนินการในสภาแฟรงเฟิร์ด การพ่ายแพ้ของกลุ่มเสรีนิยม ได้เปลี่ยนมาเป็นความคิดปฏิกิริยา และจะเห็ฯว่าลัทธิทหาร และลัทธิการเมืองที่แสดงอำนาจ เป็นทางเดียวที่จะทำให้ประเทศเป็นปึกแผ่นได้
ปรัศเซียแสดงท่าที่เป็นผู้นำของรัฐเยอรมันทั้งหมด ศตวรราที่ 19 เยอรมนียังเป็ฯประเทศกสิกรรมที่ล้าหลังจะมีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่บ้างก็เป็นจำนวนน้อย เยอรมันเคยได้รับการพัฒนามาบ้างโดยนโปเลียน แต่ทักอย่างหยุ่ดชงักลง มีเพียงปรัสเซียที่ก้าวไปข้าหน้า แผนการณ์ที่จะรวมเยอรมันของปรัสเซียถูกตระเตรียมไว้เป็นที่แน่นอแล้ว แต่ถูกขัดขวางโดยออสเตรีย แผนการณ์จึงถูกเลื่อนไปอีกระยะหนึ่ง
เกิดความไม่สงบในปรัสเซียการเพิ่มกำลังทหารทำให้สภาผู้แทนซึ่งมีกลุ่มเสรีนิยมคุมเสียช้างมาก เกิดการเผลิญหน้าระหว่างฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติและอาจนำมาซึ่งสงครามกลางเมือง บิสมาร์ค ๔กเรียกตัวมาแก้สถานการณ์ ข้ามราดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีปรัสเซีย บิสมาร์คเป็นอนุรักษ์นิยมพอๆกับแมทเทอนิค แต่วิธีการแตกต่างกัน แมทเทอนิคต่อต้ากการปฏิวัติ แต่บิสมาร์คเป็นผู้น้ำปฏิวัติ และใช้มันให้เป็นประโยชน์ บิสมาร์คสำนึกถึงสถานการณ์ที่แท้จรเง เขาเขียนจดหมายถึงภริยา โดยกล่าวว่า “ เวลาของระบบสมบูรณาญาสิทธิราชได้สิ้นสุดลงแล้ว และการปกครองโดยผู้แทนทของประชาชนจะต้องเป็นจริงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เราจะต้องพยายามดึงอำนาจให้อยู่กับพระมหากษัตริย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ..
บิสมาร์คอ้งเสมอว่าต้องการทำให้เยอรมรีเป็นปึกแผ่นรวมกัน แต่แท้จริงเป็นการแบ่งแยกเยอรมนีกับออสเตรีย และยังใช้กำลังทหารเอาชัยเหนือออสเตรียและฝรั่งเศสและยังทำให้อาณาจักรทั้งสองมีสภพจอมปลอมว่ายิ่งใหญ่และเป็นเอกราชต่อไปอีก เขาสนองความต้องการของคนเยอรมันเรื่องสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป แต่เพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นของตนเอง เท่านั้น แต่บิสมาร์คมีความสามารถควบคุมเยอรมันไว้มิให้ก่อความรุนแรงได้
บิสมาร์คเป็นคนหลอกลวง ไม่ว่าจะเรื่องส่วนตัว หรือนโยบายการเมือง ใช้วิธีการ blood and iron ในขณะที่พูดถึงสันติภาพ แสดงตนเป็นพลเรือน แต่ใช้วิธีการทางการทหาร รวมทั้งมีอิทธิพลเหนือนายพลเยอรมันอีกด้วย บิสมาร์คเป็นบุคคลแบบผู้ดียุงเกอร์(Junker คือผุ้ดีชนบท ปรัสเซีย ชอบดื่ม ชอบต่อสู้ แต่ก็ใช้มันสมอง) เป็นนักชาตินิยมปรัสเซีย แต่มิใช่ชาตินิยมเยอรมันใฝ่ฝันที่จะเห็นความยิ่งใหญ่ของปรัสเซีย
บิสมาร์คมีนโยบายแสวงหาความมั่งคงทังภายในและภายนอก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อป้องกันอันตราย นโยบายภายใน บิสมาร์คมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างความสมดุลทางการเมือง เขาใช้ทั้งกลุ่มเสรีนิยมและยุงเกอร์สนับสนุนซึ่งกันและกัน ดึงเสียงโรมันคาทอลิคด้วยลัทธิชาตินิยม แล้วกลับใช้กลุ่มคาทอลิคกำจัดพวกชาตินิยมหัวรุนแรง ด้านเศรษฐกิจเขาพยายามสร้างระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง กสิกรรมเพื่อกลุ่มยุงเกอร์ และอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของเยอรมันยุคใหม่ และเพื่อทำลายฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่บิสมาร์คก็กลัวทั้งพวกชาตินิยมและพวกสังคมนิยมในขณะเดียวกัน เขาจึงพยายามเพียงเลื่อนเหตุวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นไว้ชัวระยะยหนึ่ง ซึ่งก็ล้มเหลวและความล้มเหลวของบิสมาร์คก็คือความล้มเหลวของฝ่ายอนุรักษ์นิยม .. เยอรมันก้าวมาเป็นหนึ่งของมหาอำนาจของโลก โดยบิสมาร์คไม่สามารถจะยับยั้งได้อีกต่อไป
เยอรมัน มีสภาพเช่นเดียวกับอิตาลี คือเป็นกลุ่มรัฐย่อยๆ ที่เข้ารวมกันในนามของสมรพันธรัฐเยอรมัน นโปเลียนยกเลิกอาณาจักรนี้ พร้อมกันนั้นได้รวมดินแดนภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเยอรมนีเป็นของฝรั่งเศส จัดตั้งดินแดนส่วนบริเวณตอนกลาง ตั้งขึ้นเป็นสมาพันธ์รัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ โดยอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศส และผลักดันออสเตรียออกจากเยอรมนีไปทางตะวันออก และโดดเดียวปรัสเซียให้อยู่ตามลำพัง ให้มีฐานะเป็นัฐกันชนภายใต้ร่มเงาเขตอิทธิพลรัสเซีย การกระทำของนโปเลียนก่อให้เกด การรวมตัวของพลังชาตินิยมขึ้นอย่างเงียบๆ
ศตวรรษที่ 19 ลัทธิโรแมนติคกับลัทธิชาตินิยมมีอิทธิพลเท่าเทียมกัน ในการพัฒราด้านความคิดของชาวเยอรมัน นักเขียน กวี นักแต่งเพลง ของสมัยโรมแมนติค ได้สอดใส่ความรู้สึกชาตินิยมไว้ในผลงานของตนอย่างเต็มที่ การเชิดชูวีรบุรุษที่จะสามรถรวมเยอมันเข้าไว้ด้วยกัน นักปรัชญาและนักเขียนพยายามวิพากษ์วิจารณ์ชี้ให้เห็นถึงวัฒนธรรมเยอรมันที่สูงส่งกว่าชาติอื่น ๆ Volk เฮเกลใช้กฎไดอาเลคติคอธิบายให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ที่จะมีพื้นฐานมาจากการไม่เป็นอันเหนึ่งอันเดียวกัน ความแข็งแกร่งจะเกิดขึ้นจากความอ่อนแด และ เฟรดริค ลิส ได้ชี้ให้เห็นถึงพลังทางเศรษฐกิจที่จะมีส่วนทำให้ความใฝ่ฝันของชาวเยอรมันเป็นจริงขึ้นมา
ความคิดเสรียิยมเป็นพลังสำคัญเช่นเดียวกับชาตินิยม ชนชั้นกลางชาวเยอรมันต้องการการปกครองแบบรัฐสภา และฐบาลยื่นมือเข้าช่วยเหลือตนบ้างด้านเศรษฐกิจ ต่างมีความเห็นต้องกันว่า การรวมเยอรมนีจะสนองความต้องการทั้ง 2 ประการได้ กลุ่มเสรีนิยมดำเนินการในสภาแฟรงเฟิร์ด การพ่ายแพ้ของกลุ่มเสรีนิยม ได้เปลี่ยนมาเป็นความคิดปฏิกิริยา และจะเห็ฯว่าลัทธิทหาร และลัทธิการเมืองที่แสดงอำนาจ เป็นทางเดียวที่จะทำให้ประเทศเป็นปึกแผ่นได้
ปรัศเซียแสดงท่าที่เป็นผู้นำของรัฐเยอรมันทั้งหมด ศตวรราที่ 19 เยอรมนียังเป็ฯประเทศกสิกรรมที่ล้าหลังจะมีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่บ้างก็เป็นจำนวนน้อย เยอรมันเคยได้รับการพัฒนามาบ้างโดยนโปเลียน แต่ทักอย่างหยุ่ดชงักลง มีเพียงปรัสเซียที่ก้าวไปข้าหน้า แผนการณ์ที่จะรวมเยอรมันของปรัสเซียถูกตระเตรียมไว้เป็นที่แน่นอแล้ว แต่ถูกขัดขวางโดยออสเตรีย แผนการณ์จึงถูกเลื่อนไปอีกระยะหนึ่ง
เกิดความไม่สงบในปรัสเซียการเพิ่มกำลังทหารทำให้สภาผู้แทนซึ่งมีกลุ่มเสรีนิยมคุมเสียช้างมาก เกิดการเผลิญหน้าระหว่างฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติและอาจนำมาซึ่งสงครามกลางเมือง บิสมาร์ค ๔กเรียกตัวมาแก้สถานการณ์ ข้ามราดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีปรัสเซีย บิสมาร์คเป็นอนุรักษ์นิยมพอๆกับแมทเทอนิค แต่วิธีการแตกต่างกัน แมทเทอนิคต่อต้ากการปฏิวัติ แต่บิสมาร์คเป็นผู้น้ำปฏิวัติ และใช้มันให้เป็นประโยชน์ บิสมาร์คสำนึกถึงสถานการณ์ที่แท้จรเง เขาเขียนจดหมายถึงภริยา โดยกล่าวว่า “ เวลาของระบบสมบูรณาญาสิทธิราชได้สิ้นสุดลงแล้ว และการปกครองโดยผู้แทนทของประชาชนจะต้องเป็นจริงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เราจะต้องพยายามดึงอำนาจให้อยู่กับพระมหากษัตริย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ..
บิสมาร์คอ้งเสมอว่าต้องการทำให้เยอรมรีเป็นปึกแผ่นรวมกัน แต่แท้จริงเป็นการแบ่งแยกเยอรมนีกับออสเตรีย และยังใช้กำลังทหารเอาชัยเหนือออสเตรียและฝรั่งเศสและยังทำให้อาณาจักรทั้งสองมีสภพจอมปลอมว่ายิ่งใหญ่และเป็นเอกราชต่อไปอีก เขาสนองความต้องการของคนเยอรมันเรื่องสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป แต่เพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นของตนเอง เท่านั้น แต่บิสมาร์คมีความสามารถควบคุมเยอรมันไว้มิให้ก่อความรุนแรงได้
บิสมาร์คเป็นคนหลอกลวง ไม่ว่าจะเรื่องส่วนตัว หรือนโยบายการเมือง ใช้วิธีการ blood and iron ในขณะที่พูดถึงสันติภาพ แสดงตนเป็นพลเรือน แต่ใช้วิธีการทางการทหาร รวมทั้งมีอิทธิพลเหนือนายพลเยอรมันอีกด้วย บิสมาร์คเป็นบุคคลแบบผู้ดียุงเกอร์(Junker คือผุ้ดีชนบท ปรัสเซีย ชอบดื่ม ชอบต่อสู้ แต่ก็ใช้มันสมอง) เป็นนักชาตินิยมปรัสเซีย แต่มิใช่ชาตินิยมเยอรมันใฝ่ฝันที่จะเห็นความยิ่งใหญ่ของปรัสเซีย
บิสมาร์คมีนโยบายแสวงหาความมั่งคงทังภายในและภายนอก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อป้องกันอันตราย นโยบายภายใน บิสมาร์คมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างความสมดุลทางการเมือง เขาใช้ทั้งกลุ่มเสรีนิยมและยุงเกอร์สนับสนุนซึ่งกันและกัน ดึงเสียงโรมันคาทอลิคด้วยลัทธิชาตินิยม แล้วกลับใช้กลุ่มคาทอลิคกำจัดพวกชาตินิยมหัวรุนแรง ด้านเศรษฐกิจเขาพยายามสร้างระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง กสิกรรมเพื่อกลุ่มยุงเกอร์ และอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของเยอรมันยุคใหม่ และเพื่อทำลายฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่บิสมาร์คก็กลัวทั้งพวกชาตินิยมและพวกสังคมนิยมในขณะเดียวกัน เขาจึงพยายามเพียงเลื่อนเหตุวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นไว้ชัวระยะยหนึ่ง ซึ่งก็ล้มเหลวและความล้มเหลวของบิสมาร์คก็คือความล้มเหลวของฝ่ายอนุรักษ์นิยม .. เยอรมันก้าวมาเป็นหนึ่งของมหาอำนาจของโลก โดยบิสมาร์คไม่สามารถจะยับยั้งได้อีกต่อไป
Congress of Vienna
ออสเตรียเข้ามามีบทบาทสำคัญตั้งแต่การขัดแย้งระหว่างนโปเลียน และรัสเซีย-ปรัสเซีย ความเกรงกลัวการขยายอำนาจของอเล็กซานเดอร์ที่ 1 ซาร์แห่งรัสเซีย แมททอนิค ไม่เห็นทางใดที่พอจะสกัดอิทธิพลของรัสเซียได้ เขาพยายามสร้างระบบพันธมิตรขึ้นต่อสู้ด้วยมุ่งหวังจะสกัดกั้นอิทธิพลของรัสเซีย แมทเทอนิคทำทุกวิถีทางเพื่อดึงปรัสเซียและรัฐเยอรมันอื่น ไ ให้หลุดพ้นจากอิทธิพลของรุสเซีย และเขาสำนึกถึงความแข็งแกร่งของอังกฤษและอิทธิพลที่จะมีต่อที่ประชุมสันติภาพ เขาจึงตระเตรียมลู่ทางแม้แต่การใช้การเกี่ยวดองระหวางราชวงศ์แฮปสเบิร์กและนโปเลียนมาเป็นเครื่องมือ
กษัตริย์ปรัสเซียไม่สนพระทัยที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระเงค์เป็นบุคคลที่ไม่ทำสิ่งใดให้เด็ดขาดชอบนโยบายหลาง ๆ เข้ากับทั้งสองฝ่าย ทุกอยางขึ้นอยู่กับคณะผู้แทนมากกว่ากษัตริย์
อังกฤษเป็นประเทศที่ต้องจ่ายเงินเกือบทั้งหมดในการรบกับนโปเลียนจึงดูเหมือนเป็นเสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุมแต่การไม่เป็นดังนั้นท่าที่ของอังกฤษไม่แน่นอน ว่ากันว่าสัญญาได้เซ็นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อังกฤษมาเจรจาเพี่ยงเรื่องเงิน ผลประโยชน์ในสเปนชิชิลี แฮนโนเวอร์ และที่สำคัญคือปัญหาเบลเยี่ยมแทบจะไม่ได้พูดถึง
คาลเลย์รอง เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนของฝรั่งเศส เป็นผู้ร่วมกระทำการก่อตั้งสาธารณรัฐฝรั่งเศส สนับสนุนนโปเลียน และฟื้นฟูอำนาจบูร์บองขึ้นมาอีก คณะผู้แทนใช้ความพยายามเพื่อผลประโยชน์ของฝรั่งเศส และกว่าได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างยิงใหญ่
ผู้นำสำคัญอื่นๆ ซาร์แห่งรัสเซียเป็นบุคคลที่ลึกลับมากที่สุดและเป้นผู้กระตุ้นให้คิดถึงเสรีนิยมมากที่สุด แมททอนิคเป็นลักษณะของพวกปฏิกริยา ดื้อดึงจะทำลายความหวังทุกสิ่งถ้าเกี่ยวกับเสรีนิยม คาสิซิลรี แสดงบุคลิกของความต้องการประนีประนอมและการเดินสายกลามมากที่สุดเพราะผลประโยชน์ทางการค้าของอังกฤษขึ้นอยู่กับความสงบของยุโรป ตาลเลย์รองด์เป็นคนที่มีชั้นเชิงมากที่สุดและรู้จุดหมายปลายทางที่แน่นอนของตน พยายามทุกทางที่จะรักษาและแสวงหาผลประโยชน์เพื่อประเทศฝรั่งเศส
สนธิสัญญาโชมองด์ ชาติต่าง ๆ ที่ร่วมรบต่อต้านอำนาจของนโปเลียนได้ประชุมกันครั้งแรกที่โซมองด์ อังกฤษ ออสเตรีย รัสเซียและปรัสเซียได้ตกลงเซ็นสัญญากัน โดยให้คำมั่นสัญญาต่อกันและกันว่านโปเลียนเป็นมหาศัตรูของความสงบในยุโรป จึงจะรวมกันทำการรบต่อสู้กับนโปเลียนจนถึงที่สุดและจะคงไว้ซึ่งสัมพันธมิตรเป็นเวลาอีก 20 ปี จะมีการเจรจาเรื่องดินแดและการเมืองอื่นๆ หลังจากที่ชนะนโปเลียนได้แล้ว และตกลงกันจะฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บอง …
เมื่อกองทัพนโปเลียนพ่ายแพ้ สัมพันธมิตรเข้ายึดปารีส นโปเลียนสละบัลลังก์และถูกกุมขังที่เกาะเอลบา ฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งสี่จึงเซนสัญญาสงลศึกกับฝรั่งเศส การสืบราชสมบัติฝรั่งเศสในครั้งแรกมีความเห็นแตกแยกกันในหมู่สัมพันธฒิตร อังกฤษยินดีสนับสนุนพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 เพราะได้เสด็จลี้ภัยมาประทับในประเทศตน ส่วนนโปเลียนได้มอบราชสมบัริให้แก่พระโอรสคือราชาแห่งโรม และของให้พระราชินีมารีหลุยส์เป็นผุ้สำเร็จราชการ จึงเป็นที่แน่นอนว่าออสเตรียจะต้องเสนอราชาแห่งโรมเป็นกษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ซาร์อเล็กซานเดอร์ยังคงไม่ติดสินพระyทยแน่นอนว่าจะสนับสนุนผู้ใด แต่คาลเลย์รองด์เป็นจักรกลสำคัญในฐบาลชุดใหม่มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังซาร์แห่งรัสเซีย และเพราะท่าทีที่ไม่แน่ใจของออสเตรียจึงทำให้เพราะเจ้าหลุยส์ได้รับตำแหน่างพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสในที่สุด
จากสัญญาสงบศึกแห่งกรุงปารีสฉบับที่ 1 การเจรจาของดาลเลย์รองด์ได้ทำให้ฝรั่งเศสซึ่งอยู่ในฐานะผู้แพ้มิได้เสียดินแดนของตนเลย และยังกลับได้เพิ่มอีก 150 ตารางไมล์ และพลเมืองอีก 450,000 คน แต่ฝรั่งเศสจำต้องเสียดินแดนอื่นๆ ที่เคยอยู่ในอารักขาของอาณาจักรนโปเลียน ได้แก่ ฮอลแลนด์ เบลเยี่ยม และดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำไรท์ และรัฐต่าง ๆ ในแหลมอิตาลีและสวิสเซอร์แลนด์
สิ่งที่ควรสรรเสริญในความสามารถของตาลเลย์รองด์คือ ฝรั่งเศสจะไม่ต้องถูกปลดอาวุธไม่ถูกยึดครอ และไม่ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามอีกด้วย เมื่อสัญญาได้ตกลงกันถึงฐานะของฝรั่งเศสเรียบร้อยดังนี้แล้ว ปัญหาสำคัญที่จะต้องพูดถึงคือเรื่องดินแดนที่ได้กลับคืนมาจากฝรั่งเศส ควรจะแบ่งกลับคืนไปให้กับเจ้าของเดิมก็เป็นทางที่ง่ายดี แต่เมื่อถึงเวลาจะปฏิบัติเข้าจริงเป็นสิ่งลำบากมากเพราะนโปเลียนได้เปลี่ยนการแบ่งปันหลายครั้งด้วยกัน จนบางแห่งเหลือที่จะตกลงกันได้วาใครจะเป็นเจ้าของเดิมจึงนับเป็นการยุ่งเหยิงที่สุด จึงตกลงกันว่าจะต้องเปิดการประชุมที่กรุงเวียนนาให้พร้อมเพียงกัน
เมื่อมหาอำนาจทั้งสี่ตกลงเรียกบรรดาชาติต่าง ๆ มาประชุม ฝรั่งเศสนำโดย ตาลเลย์รองด์อ้างว่าฝรั่งเศสไม่สมควรจะถูกกีดกัน โดยข้อตัดสินทุกสิ่งจึงอยู่กับประเทศทั้งห้าหรือ The Big Five นั่นเอง
ในระหว่างเจรจานโปเลียนอาศัยโอกาศเสด็จหนีจากเกาะเอลบาที่เรียกว่าการกลับคืนสู่อำนาจร้อยวันและนโปเลียนก็แพ้สงครามอีกครั้ง ปารีสถูกยึด สัญญาปารีสฉบับที่ 2 ถูกเซ็นภายหลังการรบที่วอเตอร์ลู ฝรั่งเศสสูญเสียดินแดนที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ และค่าปฏิกรรมสงคราม จำนวน 700 ล้านฟรังส์
การปรับปรุงเรื่องอาณาเขต
สันติภาพอันถาวรเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ผุ้แทนขบปัญหาว่าจะทำอย่างไรจะป้องกันการรุกรานของฝรั่งเศสได้ ทำอย่างไรจะแบ่งดินแดนที่ได้มาจากการสงครามในหมู่มหาอำนาจโดยให้เป็นที่ยอมรับกันทั่งไป เพื่อจะให้ไปถึงจุดมุ่งหมายจะต้องคำนึงถคงดุลย์แห่งอำนาจ
แผนที่ใหม่ของยุโรปเท่ากับเป็นอนุสาวรีย์สำหรับการพ่ายแพ้ของฝรั่งเศส และเป็นผลจากการไม่ไว้วางใจในการคงอยู่ของฝรั่งเศสในยุโรป ทุกประเทศมั่นใจว่าจะจำกัดการขยายอำนาจของฝรนั่งเศสได้ และการเปลี่ยนแปลก็เกิดขึ้นจริงๆ แต่เป็นเหตุจากสิ่งภายนอกซึ่งจะมามีผลต่อประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสต่อไป..
ปัญหายุ่งยากของคองเกรศในเวียนนา คือปัญหาเยอรมนี เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ที่อยู่ระหว่างรุสเซียและฝรั่งเศส นอกจากสกัดการขยายอำนาจจากประเทศทั้งสองแล้วยังเป็นรัฐกันชนอีกด้วย
รัฐเยอรมันต้องการจะเป็นสาธราณรัฐแบบสหรัฐอเมริกา การรวมกันแบบหลวมๆ จะทำให้แต่ละรัฐมีอิสระในการปกครอง แต่ปรัศเซียและออสเตรียไม่ต้องการเช่นนั้น เพราะเกรงจะกลายเป็นพลังการเมืองอันที่สาม Third Germany ขึ้นมาแข่งขัน และในที่สุด ทั้งออสเตรียและปรัสเซียรวมกันแบบหลวมๆ โดยมีไดเอทของสหรัฐออสเตรียได้รับตำแหน่งนายก และมีศาลพิเศษขึ้นโดยไดเอทสำหรับพิจารณาความ..
ดุลแห่งอำนาจ นโยบายหลักของยุโรปในศตวรรษที่ 18 คือป้องกันมิให้ประเทศใดประเทศหนึ่งเข้ามาเป็นผู้บงการยุโรป ถ้าเมื่อใดดุลแห่งอำนาจถูกทำลายการร่วมมือกันของสัมพันธมิตรจะเกิดขึ้นเพื่อป้องกันมิให้ดุอำนาจนั้นเสียไป ซึ่งผลที่เกิดขึ้นก็คือในบางครั้งมิใช่ป้องกันสงครามแต่เป็นการนำไปสู่สงคราม..ความต้องการของแต่ละประเทศ และคการปกป้องผลประโยชน์ของแต่ละประเทศนำมาซึ่งความขัดแย้งและเกือบจะถึงขั้นแสดงออกอย่างชัดเจน วิธีการตกลงเรื่องดินแดนนี้มีผลทำให้ไม่มีผู้มีอำนาจเหนือยุโรปตะวันออกแต่โดยลำพัง หลักการดุลแห่งอำนาจที่เกิดขึ้นอีครั้งในคองเกรศแห่งเวียนนาจึงมีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
คองเกรสแห่งเวียนนาเป็นผลลัพธ์ที่สับสนของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความแตกแยกกัน หลักการเรื่องการสืบราชสมบัติซึ่งได้หลายมาเป็นพื้นฐานของระบบการปกครองของแต่ละประทเศก็เป็นสิ่งแสดงออกอีกครั้งหนึ่งในระบบสัมพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิของพระเจ้าซาร์ ที่ระบุถึงความคิดเรื่องราวความเป็ฯอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวคริสเตียน จะให้อยู่กันอยางฉันท์พี่น้องภายใต้การปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ในอีกแง่หนึ่งเพื่อจะรักษาดุลแห่งอำนาจด้วยการตัดแบ่งดินแดนทอนอำนาจซึ่งกันและกัน กลับมิได้คำนึงถึงจิตใจของกษัตริย์เหล่านั้นซึ่งผลลัพธ์เกิดในสิ่งตรงข้ามทำให้มีการแข่งขันกันเพิ่มขึ้นสัมพันธมิตรสี่เส้าซึ่งเป็นแผนการณ์ของมหาอำนาจที่จะปรับสถานะอำนาจให้เข้าสู่ดุลและเพ่แก้ปัญหาการขัดแย้งอันอาจจะเกิดขึ้น ได้แสดงออกเช่นเดียวกันในการจะจัดรูปแบบของดินแดนในอารักขาให้สมดุล แต่การละทิ้งปัญหาภายในทำให้เกิดเป็นช่องว่างขึ้น..
ภายหลังจากสงครามนโปเลียนอันยาวนานส้นสุดลงยุโรปต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก การกสิกรรมตกต่ำอย่างน่าใจหายทั้งในอังกฤษและยุโรปโดยทั่วไปผลของเศรษฐกิจตกต่ำได้แพร่ขยายมาถึงการอุตสาหกรรมและการค้า ธนาคารและบริษัทการค้ามากมายอยู่ในสภาพล้มละลายต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงลิบลิ่ว อัตราคนว่างงานสูงขึ้น ศ่งเหล่านี้ทำให้ประชาชนเสื่อมความนิยมในระบบใหม่ และทำให้เห็นความจำเป็ฯของขบวนการที่รุนแรงซึ่งระบบกษัตริย์ไม่กล้าพอที่จะนำมาใช้ระยะเวลาร้อยปีเป็นเวลาทีจะแสวงหาความความสมดุลย์ของพลังต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม และพลังดังกล่าวอยู่ในสภาพที่รุนแรงอาจเกิดเป็นการปฏิวัติได้ทุกระยะ/-ภ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...