วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

First Crucade

        สงครามครูเสดครั้งแรกเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1095 ci2009crusade first.jp

UrbanIIPreaches-s


                       “ Let the truce of god be observed at home and let the arms of the Christians be direct to congue tring the infidels.”
                          “ด้วยบัญชาของพระเจ้า ให้เจ้าหยุดยั้งการทำสงครามกันเอง และให้เขาเหล่านั้นหันมาถืออาวุธมุ่งหน้าไปทำลายผู้ปฏิเสธ(มุสลิม)”
         

        


  ประกฎว่าโป๊ปรวบรวมคนได้ถึง 150,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝรั่งเศสไปร่วมทำสงครามครูเสด จะเห็นว่าในบรรดาชายชาวยุโรปที่กระเหี้ยนกระหือรือในการทำสงครามครูเสดมาที่สุดก็คือชาวฝรั่งเศษ


          ในขณะที่ทัพครูเสดกำลังจะยกมารบกับอิสลาม ก็ได้มีกองทัพของประชาชนผู้มีศรัทธาแรงกล้าเดินทัพมาก่อนแล้วในปี ค.ศ. 1094 ตามคำชักชวนของ ปีเตอร์ นักพรต (Peter of Amines) เขาผู้นี้ได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วยุโรป เพื่อป่าวประกาศเรื่องราวการกดขี่ของชาวเติร์กต่อชาวคริสเตียนในปาเลสไตน์ ซึ่งหาได้เป็นความจริงไม่
           นักรบครูเสดชาวนา ผู้รณรงค์ประการชวนเชื่อเรื่องครูเสดสามารถกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกศรัทธาแท้จริงได้ ความศรัทธานี้เริ่มมาจากการปฏิรูปศาสนจักรในศตวรรษก่อน ประชาชนจำนวนมากได้ก้าวออกจากสภาพแวดล้อมชีวิตที่คุ้นเคย และเดินทางแสวงบุญไกลๆ ไปยังสุสานของนักบุญเปโตรในโรม สุสานนักบุญยากอบในคอนพอสเทลา และนักบุญมาระโกในเวนิส หลายคนได้เดิดทางต่อไปยังแผ่นดินศักดิ์ ปสานกับความร้อรในการแสงบุญ การประกาศชวนเชื่อได้เร้าใจชาวคริสต์ตะวันตกถึงจุดที่เร้าร้อน ในขณะที่คนในเมืองและพวกชนชั้นสูงกำลังวางแผนที่จะส่งกองทหารเป็นทางการ ประชาชนธรรมดาก็ลุกฮือขึ้นด้วยตัวเอง

          ปีเตอร์นับเป็นเลิศในฐานะผู้จุดไฟ บรรดาชาวไร่ชาวนาทั่งทั้งผรั่งเศสและไรน์แลนด์ ทิ้งคราดไถออกรวมตัวกัน ในไม่ช้ากลุ่มชาวนาผรั่งเศส 2 กอง และเยอรมัน 3 กอง ก็เริ่มหลั่งไหลไปยังหุบเขาดานูบกองทัพชาวนานี้นังรวมเกือบ 50,000 คนรวมทั้งวคนในครอบครัวของพวกเขาทั้งหมด พวกเด็กเล็กๆ ในกลุ่มจะถามอย่างซื่อๆ เมื่อเดินทางไปถึงเมืองแต่ละเมืองว่า ใช่กรุงเยรูซาเล็มหรือเปล่า
           ในหมู่ชาวเยอรมัน ความฝังใจที่จะฆ่าคนนอกศาสนาทุกคนได้เกิดขึ้นก่อนที่ขบวนจะออกจากแผ่นดินของพวกเขา พวกยิวแห่งสเปเออร์ เมนซ์ วอร์ม และมืองอื่นๆต่างเป็นเป้าหมาย  อาร์คบิชอบแห่งโคโลนจ์ ให้ที่ลีภัยแก่ชาวยิวนับพันๆ แต่พวกนักรบครูเสดชาวนาพังประตูเข้าไปและสังหารคนจำนวนมาก ไกลออกไปทางตะวันออก นับรบครูเสดชาวนาอีกกลุ่มมุ่งสายตาความโกรธแค้นไปยัคลังเก็บข้าวสาลีที่บุลกาเรีย และพวกเขาตัดสินใจว่าชาวบุลกาเรียก็เป็นคนเลวร้าย ทว่า หลังจากทนถูกสัหารหมู่และปล้นสดมภ์ พวกบุลกาเรียก็โจมตีกลับ พวกเขาเข่นฆ่า พวกมาจากตะวันตกเหล่านนี้ขณะที่นอนหลับอยู่ข้างแคมป์ไฟ และทำให้บ่อน้ำทั้งหลายไม่สามารถดื่มได้ ด้วยการโยนซากแกะเน่าลงไป
ChildrensCrusade03-l[3]           กล่าวกันว่ากองทัพนี้เป็นกองทัพของประชาชนมากกว่ากองทัพของทหารที่จะไปทำสงคราม เพราะมีผู้นำที่เป็นบาทหลวงและสามัญชนธรรมดาปราศจากความรู้ในการรบ และมิได้มีอาวุธที่ครบครัน ปรากฎว่ากองทัพที่เป็นกองทัพนี้ส่วนใหญ่มาถึงเพียงฮังการี เพราะเมือขาดอาหารลงก็จะทำการปล้นสะดม

          ทางฝ่ายทหาร ต้นปี 1097 กำลังทหาร 4 กองทัพ ได้มาบรรจบกันที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลโดยทางภาคพื้นดินและเดินเรือ ในจำนวนนี้มีทั้งชาวฝรั่งเศส โปรวังซาล เฟลมิงก์ เยอรมัน ซิซีเลียน และที่น่าเกรงขามที่สุดก็คือพวกนอร์มัน พวกเขาเป็นสัญจรและนักต่อสู้โดยสัญชาตญาณ…กองทัพครูเสดได้ยึดเอเชียไมเนือร์กลับมา และพวกเขาได้โจมตีต่อไปทางใต้เพื่อชัยชนะของพวกเขาเอง พวพิชิตได้เมืองใหญ่ๆ ของเอเดสซา ในอาร์เมเนีย อันทีโอค และทริโพลีในซีเรีย แล้วภายหลังการล้อมตีอยู่ห้าสัปดาห์ กองทัพครูเสดก็บรรลุถึงชัยชนะขั้นสุดท้ายคือกรุงเยรูซาเล็ม มีการรบสู้อย่างดุเดือด ถนนสายต่างๆ แดงฉานไปด้วยเลือด นักรบครูเสดพนมมือลคุกเข่าภาวนาที่สุสานอันเคยวางพระวรกายของพระคริสต์ พวกเขาสะอื้นไห้ด้วยความปีติ..

ottoman02-3
          นับแต่นั้นมานามนักรบครูเสดก็ให้มโนภาพที่น่ายกย่อง เรื่องความกล้าหาญของพวกเขาไม่เป็นที่กังขา แต่ทว่า นักรบครูเสดมาจากดินแดนที่มีความเจริญน้อยกว่า รุปลักษณ์อัศวินที่อุ้ยอ้าย และไม่องอาจ ประกอบกับความประพฤติของพวกครูเสดไม่ใช่แบบอย่างที่ควรยึดถือ พลเมืองของกรุงคอนสแตนติโนเปิลรังเกียจนิสัยโง่ทึ่มของพวกเขา  พวกนักรับครูเสดตื่นตะลึงกับเมืองคอนสแตนติโนเปิลอันอลังการ ความมั่งคั่งของคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งเป็นสิ่งล่อใจอย่างยิ่ง และพวกครูเสด ก็ไม่ระงับใจที่จะปล้นและขโมย พระธิดาของจักรพรรดิ ตราหน้าผู้มาสู่เมืองของเธอว่าเป็นพวกผมสีทองที่โหดเหี้ยม และ หิวเงินเสมอ
           จักรพรรดิ รู้สึกถึงอันตรายของพวกอนารยชนร่วม 50,000 คนที่มาถึงเมืองของพระองค์ พระองค์บังคับให้พวกผู้นำของพวกเขาปฏิญาณตนจงรักภักดีและปฏิญาณที่จะให้พระองค์เป็นผู้ครอบครองดินแดนที่พวกเขาอาจยึดได้
           แต่ในไม่ช้า จักรพรรดิอาเล็กซีอุสก็กระทำสิ่งซึ่งพวกครูเสดถือว่าเป็นการทรยศ ในการล้อมรบที่เมือนิเชอา พวกเติร์กกำลังจะยอมแพ้แตะพระจักรพรรดิ์ได้ตกลงกับอย่างลับๆ กับศัตรูให้ยุติการสู้รบ จากนั้น พระอง๕ก็สั่งให้กองทัพครูเสดเคลื่อนทัพต่อไป จริงๆแล้ว ความคิดเรื่องสงครามศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งแปลกประหลาดในความคิดของพวกไบเซนไทน์ เมือพวกครูเสดสำนึกถึงความจริงเช่นนี้
           พวกครูเสดจึงเป็นอิสระที่จะดำเนินการตามจุดมุ่งหมายที่ฝั่งใจพวกเขา คือ สร้างอาณาจักรของพวกเขาเองในตะวันออก….


     ครูเสดนอร์เวย์ : Norwegian Crusade เมือสงครามครูเสดครั้งที่ 1 ผ่านไปพระเ้จ้าซิเกิร์ดที่ 1 แห่งนอร์เวย์พระเจ้าซิเกิร์ดที่ 1 ทรงเป็นมหากษัตริย์ยุโรปองค์แรกที่เข้าร่วมสงครามครูเสดที่เสด็จไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์และมิได้พ่ายแพ้ในยุทธการใดๆ ทั้งสิ้น ลักษณะการต่อสู้แบบกองโจร ปล้นสดมและทำลายทรัพย์สินของไวกิ้งก่อนหน้นี้นแตก่การกระทำครั้งนี้เป็นการกระทำเพื่อครุสต์สาสนาฉะนั้นจึงถือกันว่าเป็นสิ่งที่ "ควร"

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

There'noting inside



how can you see into my eyes
like open doors
leading you down into my core
where I’ve become so numb
without a soul
my spirit sleeping
somewhere cold
until you find it there
and lead it back home

(Wake me up)
Wake me up inside
(I can’t wake up)
Wake me up inside
(Save me)
call my name
and save me from the dark
(Wake me up)
bid my blood to run
(I can’t wake up)
before I come undone
(Save me)
save me from
the nothing I’ve become

now that I know
what I’m without
you can't just leave me
breathe into me
and make me real
bring me to life

(Wake me up)
Wake me up inside
(I can’t wake up)
Wake me up inside
(Save me)
call my name
and save me from the dark
(Wake me up)
bid my blood to run
(I can’t wake up)
before I come undone
(Save me)
save me from
the nothing I’ve become

Bring me to life
(I've been living a lie,
there's nothing inside)
Bring me to life

frozen inside
without your touch
without your love darling
only you are the life
among the dead

all this time
I can't believe
I couldn't see
kept in the dark
but you were there
in front of me
I’ve been sleeping
a thousand years it seems
got to open my eyes
to everything
without a thought
without a voice
without a soul
don't let me die here
there must be something more
bring me to life

เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาฉัน
เหมือนประตูที่เปิดอยู่ได้อย่างไรกัน
นำเธอดิ่งลงสู่ใจกลางฉัน
ที่ซึ่งฉันไม่มีความรู้สึกใด
ไร้ซึ่งวิญญาณ
จิตของฉันหลับไหล
อยู่ที่ที่เยือกเย็นที่ไหนสักแห่ง
จนกว่าเธอจะหามันเจอ
และนำมันกลับบ้าน

(ปลูกฉันให้ตื่น)
ปลุกฉันที่ถูกจองจำไว้ภายในให้ตื่นขึ้นมา
(ฉันตื่นเองไม่ได้)
ปลุกฉันที่ถูกจองจำไว้ภายในให้ตื่นขึ้นมา
(กอบกู้ฉันขึ้นมา)
เรียกชื่อฉัน
และช่วยฉันไว้จากความมืด
(ปลูกฉันให้ตื่น)
ทำให้เลือดฉันไหลเวียน
(ฉันตื่นเองไม่ได้)
ก่อนที่ฉันจะล่มจม
(กอบกู้ฉันขึ้นมา)
ช่วยฉันจาก
การกลายเป็นคนไร้ซึ่งตัวตน

เพราะฉันเพิ่งรู้ว่า
ฉันอยู่โดยปราศจากอะไร
เธอทิ้งฉันไม่ได้
หายใจเข้ามาในตัวฉัน
และทำให้ฉันมีตัวตน
นำฉันไปสู่ความมีชีวิตชีวา

(ปลูกฉันให้ตื่น)
ปลุกฉันที่ถูกจองจำไว้ภายในให้ตื่นขึ้นมา
(ฉันตื่นเองไม่ได้)
ปลุกฉันที่ถูกจองจำไว้ภายในให้ตื่นขึ้นมา
(กอบกู้ฉันขึ้นมา)
เรียกชื่อฉัน
และช่วยฉันไว้จากความมืด
(ปลูกฉันให้ตื่น)
ทำให้เลือดฉันไหลเวียน
(ฉันตื่นเองไม่ได้)
ก่อนที่ฉันจะล่มจม
(กอบกู้ฉันขึ้นมา)
ช่วยฉันจาก
การกลายเป็นคนไร้ซึ่งตัวตน

นำฉันไปสู่ความมีชีวิตชีวา
(ฉันมีชีวิตอยู่แบบแสแสร้งแกล้งทำอยู่เรื่อยมา,
ภายในไม่มีความหมายใด)
จงนำฉันไปสู่ความมีชีวิตชีวา

ข้างในถูกแช่แข็ง
ปราศจากสัมผัสของเธอ
ปราศจากความรักจากเธอ ที่รัก
เธอเท่านั้นคือสิ่งมีชีวิต
อยู่ท่ามกลางคนตาย

ตลอดเวลานี้
ฉันไม่สามารถเชื่อ
ฉันมองไม่เห็น
อยู่ในความมืดมน
แต่เธออยู่ตรงนั้น
อยู่ตรงหน้าฉัน
ฉันหลับไหลเรื่อยมา
ราวกับว่าเป็นพันปี
ต้องเปิดตาฉันขึ้นมา
สู่ทุกสิ่งทุกอย่าง
ปราศจากความคิด
ปราศจากเสียง
ปราศจากวิญญาณ
อย่าปล่อยให้ฉันตายอยู่ตรงนี้
ต้องเป็นบางอย่างที่มากกว่านั้น
จงนำฉันไปสู่ความมีชีวิตชีวา






วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Crusade

           สงครามครูเสด หรือ อัลฮุรุบอัศศอลีบียะหฺหรือ อัลฮัมลาส อัศศอลีบียะหฺ แปลว่า สงครามไม้กางเขน คือสงครามระหว่างศาสนา ซึ่งอาจหมายถึงสงครามระหว่าชาวคริสต์ต่างนิกายด้วยกันเอง แต่โดยส่วนใหญ่มักหมายถึงสงครามครั้งสำคัญระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์ ในช่วงศตวรรษที่ 11-13
           ชาวเติร์ก เป็นคนส่วนใหญ่ของตุรกีในปัจจุบันมีพื้นเพดั้งเดิมเป็นชนเผ่าเร่ร่อนแบ่งเป็นหลายเผ่าเป็นหลายเผ่าด้วยกัน เดิมที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขาอัลไตในเอเซียกลาง กระทั่งในราวศตวรรษที่ 6 เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติและการเมือง ทำให้ชาวเตร์กต้องเร่ร่อนไปในดินแดนต่าง ๆ
           ชาวเติร์กเผ่าหนึ่งคือเผ่าเซลจุก เลือกอพยมายังพื้นที่”อนาโตเลีย”(ดินแดนตะวันตกเฉียงใต้ของเอเซียที่เชื่อมต่อระหว่างเอเซียกับยุโรป ปัจจุบันคือพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศตุรกี)  และได้พยายามเข้าตีเมืองเมืองอิซนิก ที่อยู่ใกล้กรุงคอนสแตนโนเปิล แห่งอาณาจักรไบแซนไทน์ เพื่อยึดเป็นเมืองหลวง แต่ว่าไม่สามารถตีเมืองได้จึงถอยไปปักหลักอยู่ในอานาโตเลียตอนกลาง พร้อมสถาปนาอาณาจักแห่งแรกของตนขึ้น โดยเลือกเอาเมืองคอนยาเป็นราชธานี
 
91629ad0
images (1)จุดเริ่มต้นของสงครามครูเสด คือ หลังจากพระเยซูครัสต์สิ้นพระชนม์ แผ่นดินที่พระเยซูคริสต์มีชีวิตอยู่ คือ เมืองเบธเลเฮม เมืองนาซาเธ และเยรูซาเล็มถูกเรียกว่าเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ชาวคริสเตียนจะเดินทางไปแสวงบุญที่เมืองเหล่านี้อย่างไรก็ตามเมืองเหล่านี้บางเมืองก็เป็นสถานที่สำคัญของชาวซัลจู๊ค(มุสลิม)ด้วยเช่นกัน เมื่อมุสลิมเข้ามามีอำนาจ ครอบครองซีเรีย และเอเชียไม่เนอร์ของไบแซนไทน์ ชัยชนะของซัลจูค(มุสลิม)ในการยุทธที่นามซิเคอร์ทเป็นการขับไล่อำนาจของไบแซนไทน์ออกจากเอเชียไมเนอร์ และไม่กี่ปีต่อมาซัลจู๊ล(มุสลิม)ก็ตีเมืองนิคาเอจากไบแซนไทน์ได้อีก
           ชนวนเหตุของสงครามครูเสดคือการคุกคามทางทหารต่อเมืองคอนสแตนติโนเปิลปราการทางตะวันออกของชาวคริสต์ เมืองนี้ตั้งขึ้นโดยคอนสแตนติน จักรพรรดิโรมันองค์แรกที่กลับใจมาเป็นคริสต์ ผู้สืบราชสมบัติต่อจากคอนสแตนติน บนบังลังก์ปห่งไบเซนไทน์ต้องรับมือกับผุ้รุกรานทุกพวกจากเอเชีย พวกไผเซนไทน์เรียกผู้รุกรานเหล่านี้ว่า ซาราคีโนส(Sarakeaos)แปลว่า ชาวตะวันออก และคำว่า ซาราเซ็น (Sarasen)ก็ได้กลายเป็นคำที่ทำให้เกิดมโนภาพถึงนักรบที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง พวกผู้รุกรานเหล่านี้พวกหลังสุด ดุร้ายที่สุดและเป็นมุสลิมผู้มีศรัทธา คือพวกเซลจุก เติร์ก พวกเขาตีชาวไบเซนไทน์นับพันๆ แตกพ่ายในการรบใกล้แมนซีเคอร์ท พวกเซลจุก เติร์กได้ยึดเอาดินแดนของอาณาจักรไบเซนไทน์ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง
         จักรพรรดิแห่งไบแซนไทน์ทรงตื่นตระหนกเพราะอิสลามกำลังเข้าใกล้กรุงคอนสแตนติโนเปิล จึงได้ขอความช่วยเหลือไปยังโป๊ปเกรกอรี่ที่ 7 แห่งกรุงโรม ให้ชาวคริสเตียนช่วยปราบเติร์ก ซึ่งสันตะปาปาก็ตอบรับการของความช่วยเหลือ เพราะนั้นเท่ากับว่า ศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ยอมรับอำนาจของสันตะปาปา ซึ่งเป็นผู้นำของนิกายโรมันคาทอลิกโดยสิ้นเชิง อันเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครูเสด
   (คริสตจักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ เรียกโดยย่อว่า คริสจักรออร์ทอดอกซ์ หรือ คริสตจักรไบแซนไทน์ เป็นคริสจักณที่ใหญ่เป็นที่สองของคริสต์สาสนาในโลก คริสตจักรนี้ปฏิบัติตามหลักการทางเทววิทยาอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยศาสนาคริสต์ยุคแรก โดยแบ่งเป็นคริสจักรย่อย ๆ แต่ละคริสตจักรมีอัครบิดรหรือมุขนายกเป็นของตนเอง ผู้มีหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ประเพณีของศาสนจักร และสามารถสืบสายกลับไปได้ถึงอัครทูตของพระเยซูโดยเฉพาะนักบุญแอนดรูย์)
        แรงจูงใจที่สำคัญ คือ กษัตริย์ผรังเศสและเยอรมันต้องการดินแดนเพิ่ม อัศวันและขุนางต้องการผจญภัยแสดงความกล้าตามอุดมคติ ทาสต้องการเป็นอิสระ เสรีชนต้องการความรำรวยและแสดงศรัธทาต่อศาสนา รวมทั้งความพยายามของพระสันตะปาปาในอันทีจะรวมคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกซ์ให้เข้ากับนิกายโรมันคาทอลิก ภายใต้การบัคับบัญชาของตนผู้เดียว
       พระสันตะปาปาเกรกกอรี่ที่ 7 ได้เรียกร้องร้องให้ทำสงครามครูเสด กล่าวถึงควมจำเป็นที่จะต้องทำเพราะเป็นคำสั่งของพระเจ้า แต่ทว่าได้สิ้นพระชนม์ก่อน จักรพรรดิแห่งไบแซนไทน์ได้ขอร้องทำนองเดียวกันไปยังพระสันตะปาปาคนใหม่ คือ เออร์บานที่ 2 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทรงเรียกร้องให้ประชาชนทำสงครามครูเสดเพื่อกอบกู้สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ คือ กรุง เยรูซาเล็มคืนจากอิสลาม…  คำปราศัยของประสันตะปาปา..
   “ด้วยพระบัญชาของพระเจ้า ให้เจ้าหยุดยั้งการทำสงครามกันเอง และให้เขาเหล่านั้นหันมาถืออาวุธมุ่งหน้าไปทำลายผู้ปฏิเสธ(มุสลิม)


              เมือเริ่มสงครามนั้นชาวมุสลิมได้ครอบครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ ผู้นำโลกอิสลามได้เข้ายึดครองดินแดนแห่งนี้ซึ่งเป็นยุคของเคาะหฺลีฟะหฺอุมัร อาณาจักรอิสลามทีเป็นสถานที่สำคัญของสามศาสนาได้แก่ อิสลาม ยูได และคริสต์ ในปัจจุบันคือ ประเทศ “อิสราเอล” ชาวมุสลิมครอบครอง เมืองนาซาเรธ เลธเลเฮม และเมืองสำคัญทางศาสนาอีกหลายเมือง










วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อายะฮฺ



 







 "การสู้รบนั้นได้ถูกกำหนดแก่พวกเจ้าแล้ว ทั้งๆ ที่มันเป็นที่รังเกียจแก่พวกเจ้า


    และอาจเป็นไปได้ว่าการที่พวกเจ้ารังเกียจสิ่งหนึ่ง ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีแก่พวกเจ้า


    และก็อาจเป็นไปได้ว่าการที่พวกเจ้าชอบสิ่งหนึ่ง ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เลวร้ายแก่พวกเจ้า


    และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดีแต่พวกเจ้าไม่รู้"


                 
                                                             อัล-บะกอเราะฮ.2:216






        สำหรับการเผยแพร่ศาสนาอิสลามเป็นไปอย่างยากลำบากในเพาะต้องหลบๆ ซ่อนๆ จากพวกปฏิเสธศรัทธาชาวมักกะฮฺ พวกกุเรซ(ตระกูลเครือญาติของท่านนบีในนครมักกะฮฺ)พยายามทำทุกวิถีทางที่จะขัดขว้างการเติบโตของอิสลามแทนความเชื่อเดิมๆ ที่พวกตนยึดถือ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงถูกปองร้าย กลั่นแกล้ง กล่าวหา หรือแม้กระทั่งลอบสังหาร
       ช่วงเวลาเดียกันบรรดาอัครสาวกก็ได้รับการทารุณกรรม ด้วยวิธีที่ไร้มนุษยธรรมเพื่อบังคับในละทิ้งอิสลาม และกลับสู่ศาสนาเดิม
      เหตุการณ์เป็นดังนี้ตลอดระยะเวลา 13 ปี แต่ อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ยังไม่ทรงอนุมัติให้มีการตอบโต้ ต่อสู้ใดๆ แต่ยังคงให้สนองตอบด้วยการอดทนอดกลั้น และ้ให้เชื่อมั่นและยำเกรงพระเจ้า การครั้งนี้ยิ่งกลับทำให้จำนวนมุสลิมเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ
      กระทั่ง ท่านร่อซูล ศ็อลลััลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ได้รับคำสั่งให้ทำาการลี้ภัย อพยพ จากนครเมกกะฮฺ สูนครมาดีนะฮฺ
      อายะฮฺ(บัญญัติ) จึงถูกประทานลงมาซึ่งเป็นอายะฮฺแรกที่อนุญาตให้ทำการต่อสู้กับการถูกข่มเหงรับแก
















วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Opium Wars

   13.-popy001
      ฝิ่นเป็นยาเสพย์ติดที่ชาวจีนติดกันอย่างงอมแงมและติดกันมานาน ใน สมัยราชวงศ์ชิง รัชกาลจักรพรรดิหย่งเจิ้น เคยมีดำริที่จะทำการปราบปรามฝิ่นแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ชาวจีนส่วนใหญ่ยังติดฝิ่นเรื่อยมา
      ฝิ่นนำเข้ามาขายในประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ชิงโดยอังกฤษนำเข้าในนามบริษัทอีสต์อินเดีย จำกัดแต่ด้วยวิธีทางเมืองของจีน ทำให้อังกฤษค้าขายกับจีนลำบาก อังกฤษขาดดุลการค้ากับจีน จังหาวิธีด้วยการนำข้าฝิ่นมาขายโดยอ้างว่าฝิ่นเป็นยา ต่อมาชาวจีนจึงติดฝิ่นงอมแงม ประเทศที่ค้าฝิ่นกับจีน ได้แก่ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และรัฐเซีย โดยมีการนำเขาอย่างมโหราฬ ทั้งที่ทางการประกาศห้ามจำหน่ายและสูบฝิ่น แต่ราษฎรทั่งประเทศติดฝิ่น เงินทองหมดไปกับการสูบฝิ่น วิธีการของอังกฤษคือ ใช้กำลังทหารคือกองเรือข่มจีน และติดสินบนพวกขุนนางกังฉินชั้นสูง
      รัชสมัยจักรพรรดิเต้ากวง พรองค์มีเจตนารมณ์อย่างแรงกล้าที่จะทำการปราบฝิ่น ทรงแต่งตั้งหลินเจ๋อสวีเป็นตรวจราชการ สอง มณทฑ เป็นผู้นำในการกวาดล้างฝิ่นจากแผ่นดินจีย หลิน’รู้ว่าอังกฤษปลูกฝิ่นที่อินเดียมานานแล้ว แต่การปราบปรามการค้าฝิ่นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก จึงต้องใช้กฎหมายของประเทศ ประกาศให้ชุมชนตางชาติทราบว่า การค้าฝิ่นเป็นการผิดกฎหมายของจีน ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย พวกพ่อค้าจีนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับต่างชาติรู้ถึงการประกาศของหลิน..พวกเขาจึงระมัดระวังตัว
    ขณะนั้น กับตันเรืออังกฤษ ชาล์ส เอลเลียต และนายวิลเลียม จอร์ดีน อยู่ที่มาเก๊าได้ประกาศลาออกจากบริษัทเพื่อเดินทางกลับอังกฤษ
     เอเลียตพยายามทุกวิถีทางทั้งติดสินบนและใช้กำลังข่มขู่แต่ไม่เป็นผล
     หลินบีบบังคับทางอังกฤษโดยการดึงคนงานทั้งหมดของจีนออกจาโรงงานของอังกฤษ แต่ทางอังกฤษก็ไม่ยอมออกจากโรงงาน
     เมือเอเลียตถูกบีบบังคับ จึงแสดงความรับผิดชอบ แต่เห็นจะเป็นการตอบโต้ที่หลินก็คาดไม่ถึงโดยการรับซื้อฝิ่นทั้งหมดจากพ่อค้าชาวอังกฤษที่อยู่ในกวางตง และทำหนังสือไปบอกแก่หลิน แจ้งจำนวนฝิ่นทั้งหมดที่มีอยู่ คือ 20,283 หีบ ราคา กว่า สองล้านปอนด์ ส่งมอบให้หลินเพื่อนำไปทำลาย แต่การนี้เอเลียต ได้ทำการโอนฝิ่นทั้งหมดเป็นของรัฐบาลอังกฤษ
     หลินทำการทำลายฝิ่น หลินพยายามกวาดล้างให้ถึงต้นต่อคือแหล่งปลูกฝิ่นหรือที่อินเดีย พยายามหาแหล่งข่าวการขนฝิ่น และมีหนังสือถึงพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งอังกฤษ เพื่อให้อังกฤษยุติการค้าและโรงงานผลิตฝิ่น แต่จดหมายไม่ถูกเปิดอ่าน
      เอลเลียต หลังจากที่ทำสัญญาส่งฝิ่นแล้วเขาออกคำสังให้ชาวอักฤษรวมทั้งคนในบังคับอังกฤษออกจากกว่างตงทั้งรวมทั้งให้นำรือสินค้าทั้งหมดออกจากแม่น้ำเพิร์ลรวมทั้งมาเก๊า และฮ่องกง ด้วย ทั้งนี้เพื่อให้พ่อค้าชาวจีนเห็นเป็นจริง และรอคำตอบจากลอนดอน
     เมื่ออังกฤษถอนตัวออกไปแล้วราคาฝิ่นถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้มีการลักลอบขนฝิ่นมาขาย
     เกิดเหตุการณืลูกเรืออังกฤษชกต่อยกับคนจีน ทำให้คนจีนถึงแก่ความตาย ซึ่งกามกฎหมายกว่างตงต้องขึ้นศาลจีน แต่เอลเลียตไม่ยอม เอลเลียตได้พิพากษาโดยใช้กฎหมายอังกฤษ ให้จำคุกตามโทษานโทษทั้งหกคนและสุดท้ายได้รับการปล่อยตัว พ้นผิดทังหมด ทำให้หลิน..ไม่พอใจ
     จากกรณีนี้หลินจึงนำเอามาเป็นขอ้อ้างเพื่อจะควบคุมชาวต่างชาติ เชาสั่งให้ชาวอังกฤษหยุดทำการค้าขายที่กว่างตง …
    หลังจากเหตุการนี้เกิดการปะทะทางเรื่อระหว่างจีนกับอังกฤษ การกล่าวอ้างของเอลเลียตที่เป็นฝ่ายเปิดฉากยิง คือนาทหารจีนไม่มีอำนาจที่จะอนุญาตให้ซื้ออาหารและน้ำได้นอกจากหลินคนเดียว .. การเปิดศึกครั้งนี้จึงกลายเป็นสงครามฝิ่นไปในที่สุด    
      ในปี พ.ศ. 2385 กองทัพอังกฤษบุกเข้ายึดเมืองนานกิงได้ กระทั้งในทีสุดจีนจำเป็นที่ต้องเจรจาสงบศึกกับอังกฤษ ที่เมือนานากิงนั้เอง และยอมเซ็นสันธิสัญญาที่ชาวจีนถือเป็นความอัปยศที่สุด คือ สนธิสัญญานานกิง 
    เนื้อหาในสนธิสัญญาฉบับนี้ อังกฤษบังคับให้จีนเปิดเมืองท่าตามชายทะเลเพื่อค้าขายอับอังกฤษ รวมทั้งขอสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหนือดินแดนจีน คนที่ถือสัญชาตอังกฤษ จะไม่ต้องขึ้นศาลจีน รวมทั้งสิทธิใดๆ ที่อังกฤษได้ ต่างชาติอื่นๆ ก็ต้องได้ด้วยแม้ว่าเนื่อหาของสนธิสัญญานี้ จีนจะเสียเปรียบอย่างมาก แต่จีนก็จำต้องเซ็นสัญญา..


Cold War


 สงครามเย็น เป็นการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มประเทศ 2 กลุ่มที่มีอุตมการณ์ทางการเมืองและระบอบการเมืองต่างกัน เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายหนึ่งคือ สหภาพโซเวียต เรียกว่า ค่ายตะวันออก ซึ่ง ปกครองด้วยระบอบคอมมิงนิสต์ อีกฝ่ายหนึ่ง คือ สหรัฐอเมริกา และกลุ่มพันธมิตร เรียกว่า ค่ายตะวันตก ซึ่งปกครองด้วยระบอบเสระประชาธิไตย ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวทั้งสองฝ่ายได้แข่งขันในด้านการสะสมอาวุธ เทคโนโลยีอวกาศ "การจารกรรม" เศรษฐกิจ และ “สงครามตัวแทน”




         จารกรรม คือการล้วงความลับจากคู่แข่งหรือศัตรูเพื่่อให้เปรียบทางการทหาร การเมือง หรือเศรษฐกิจ
          จารชน คือ บุคคลที่รัฐส่งไปล้วงความลับจากศัตรูหรือฝ่ายที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นศัตรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งความลับทางการทหาร แต่แาจรวมถึงการล้วงความลับจากตางบริษัท เรียกว่า จารกรรมทางอุตสาหกรรม..
     โดยทั่วไป จารกรรมกระทำโดยพลเมืองของประเทศเป้าหมาย ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการกบฎ หลายประเทศถือว่าจารกรรมเป็นความผิดอาญา ต้องได้รับโทษประหารชีัวิตหรือจำคุตลอดชีวิต  เช่น สหรัฐอเมริกากำหนดห้จารกรรมเป็นความผิดอาญาขั้นอุกฤษฎ์โทษ  สหราชอาณาจักร จาชนต่างชาติจะได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 14 ปีภายใต้ พระราชบัญญัติความลับของราชการ..
     ในระหว่างสงครามเย็น มีความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับจารกรรมบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับความลับด้านอาวุธนิวเคลียร์ ปัจจุบันใช้สายลับกับการค้ายาเสพติดโดยผิดกฎหมาย และ การก่อการร้าย
   การจารกรรม เป็นกิจกรรมทางการข่าวที่มีอันตรายต่อชาติที่ถูกกระทำทั้งในยามปกติและยามสง
คราม ฝ่ายที่ถูกระทำจังต้องใช้ความพยายามอยางเต็มที่ในการต่อต้าน ทำลายล้างข่ายงานจารกรรมนั้นให้หมดสิ้นไป ซึ่งเป็นสายงานด้านการต่อต้านข่าวกรอง
     

สงครามเกาหลี
  เป็นความขัดแย้งทางทหารระหว่างสาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี(เกาหลีเหนือ)กับสาธารณรัฐเกาหลีใต้ โดย เกาหลีเหนือได้รับการสนับสนุนทางการทหารจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหภาพโซเวียต ส่วนเกาหลีใต้ได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนจกาองค์การสหประชาชาติ
     สงครามครั้งนี้เป็นผลมาจากการแบ่งแยกประเทศเกาหลีงการเมืองด้วยข้อตกลงของฝ่ายสัมพันธมิตรในการปลดอาวุธกองทัพญี่ปุ่นเมือสิ้นสุดสงครามมหาเอเซียบุรพา กล่าวคือ บริเวฯคาบสมุทรเกาหลีอยู่ภายใต้กาปกครองของจักรวรรดิญีปุ่น กระทั้งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญีปุ่นประกาศยอมจำนนต่อสหรัฐอเมริก คณะผู้บริหารญีปุ่นฝ่ายอิมริกได้แบ่งให้กองทัพสหรัฐอเมริกาเข้าปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในเขตตั้งแต่เส้นขนานที่ 38 องศาเหนือลงมาส่วนบริเวฯที่อยู่เหนืเส้นขนานที่ 38 องศาเหนือนั้นอยู่ในความควบคุมของสหภาพโซเวียต
       ความล้มเหลวในการจัดการเลือกตั้งอยางเสรีในคาบสมุทรเกาหลีทำให้ความแตกแยกของประเทศเกาหลีทั้งสองฝั่งร้าวลึกผระเทศเกหลีฝั่งเหนือได้จัดตังรัฐบาลคอมมิวนิสต์ เส้นขนานที่ 38 องศาเหนือ ได้กลายเป็นเส้นแย่งแดนระหว่างเกาหลีโดยปริยาย…


สงครามเวียดนาม
      ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการเวียดมินห์ ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยโฮจิมินห์ เป็นผู้นำระยะแรก การดำเนินการนั้น เพียงเพื่อหวังว่าจะขับไล่ญี่ปุ่นออกจากประเทศไปเท่านั้น แต่ในปีค.ศ. 1944 พวกเวียดมินห์ตังกองปัฐชาการกองโจรขึ้นได้โดยได้รับการสนับสนุนกำลังและอาวุธจากสหรัฐฯ
   เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน คือ ญี่ปุ่นได้ปลดอาวุธและขังทหารฝรั่งเศสประจำอินโดจีน จึงเป็นเหตุทำให้ฝรั่งเศสนั้นเสียศักดิ์ศรีมาก เพราะขณะเกิดเรื่องนี้ ญี่ปุ่นกำลังจะแพ้สงคราม ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ขาวเวียนามกลุ่มต่างๆ ดิ้นรนเพื่อเอกราช…
        กลุ่มเวียดมินห์นั้นได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น ได้ผลดีมากในทางภาคเหนือของประเทศ โดยมีเจตนาแอบแฝงคือป้งกันไม่ให้ฝรั่งเศสกลับมามีอำนาจในเวียดนามอีก จัรพรรดิเบาไต๋ได้สละตำแหน่งประมุข แล้วจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว และวประกาศเอกราชในเวลาต่อมา ความสำเร็จในการยึดอำนาจในครั้งนี้ทำให้พวกคอมมิวนิสต์ที่ปะปนอยู่ในหมู่ชาตินิยมเวียนามสามารถตั้งตนในหมู่คณะชั้นนำของขบวนการปฏิวัติได้อีก
       มหาอำนาจผู้ชนะสงครามได้เข้ายึดครองเวียดนาม โดยมีอังกฤษเข้ายึดครองภาคใต้ของเวียดนาม จีนคณะชาติยึดครองทางภาคเหนือของเวียดนาม สำหรับฝรั่งเศษมีทหารเล็กน้อยได้มาถึงไซง่อน แล้วไปยึดตึกที่ทำการของรัฐบาล รื้อฟื้นอำนาจของฝรั่งเศสใหม่
      โฮจิมินห์พยายามที่จะเอาชนะฝรั่งเศส โดยเล็งเห็นความเสียเปรียบ จึงได้ทำการรวบรวมชาวเวียดนามที่มีหัวชาตินิยมไปเป็นพวก และเพื่อเป็นการปกปิดการหนุนหลังคอมมิวนิสต์ พร้อมกับแสดงให้ประชาชนเห็นว่าเป็นขบวนการผู้รักชาติโดยสั่งยุบพรรคคอมมิวิสต์อย่างเปิดเผย และจัดตั้ง แนวแห่งชาติ ขึ้นแทน ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์นั้นได้กลายเป็นองค์กรใต้ดิน ดำนินการอย่างลัลๆ ต่อมาเป็นเวลานาน…





วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Three Kingdom

     กวนอูแทนคุณ
เมือครั้งโจโฉยกทัพเรือเพื่อจะมาตีเกงจิ๋ว ในครั้งนั้นซุนกวน และจิ่วยี่รวมถึงขุนนางทั้งหลายจะไม่ทำการสู้รบ ยังตกลงความมิได้ ทางฝ่ายเล่าปี (จ๊กก๊ก) เห็นว่าหากซุนกวนยอมสวามิภักดิ์แผ่นดินย่อมตกเป็นของโจโฉ  จึงสงขงเบ้งไปหาซุนกวนและจิวยี่

     ขงเบ้งต้องเจรจาและเกลี้ยกล่อมพร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าหากสวามิภักดิ์ต่อโจโฉเท่ากับยกแผ่นดินในโจโฉ กระนั้นก็ไม่เป็นผล ขงเบ้งจึงว่าแก่ซุนกวนและจิวยี่เป็นทำนองว่า ถ้าเช่นนั้นก็ยก แม่นางเกี้ยวทั้งสอง ซึ่งมีรูปงามและเป็นเมียของซุนกวนและจิวยี่ให้โจโฉจึงหมดเรื่อง กล่าวต่อว่าอันที่จริงโจโฉต้องการแผ่นดินเกงจิ๋ว ที่ยกทัพมาหมายจะได้แม่นางสองเกี้ยวเท่านั้น เมือซุนกวนและจิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงตัดสินใจทัพสงครามกับทัพโจโฉ…
  
      เมือกองทัพเรือโจโฉ   บุกเข้ามาจิวยี่เป็นแม่ทัพเข้าต่อสู้กับทัพโจโฉ ด้วยทัพโจโฉมีลี้พลจำนวนมากและมีทหารเอกเป็นจำนวนมากจึงมิหาวิธีที่จะไปรบอย่างไร จึงผูกอุบายเชิญขงเบ้งว่าจะปรึกษาการสงครามแก่โจโฉ โดยให้พี่ชายขงเบ้ง คือ จูกัดกิ๋นมาเชิญโจโฉไปยังกองทัพ
       โจโฉรู้ว่าการครั้งนี้ร้ายมากว่าดี แต่จำต้องไป โจโฉบอกวิธีการเอาชนะกองทัพเรือแก่จิวยี้ว่า ไฟและลม ให้เตรียมไฟไว้ด้วยขงเบ้งได้ทำอุบายให้ทัพเรือโจโฉโยงเรือติดกัน หากลำหนึ่งไหม้ไฟก็จะลามไปยังลำอื่นๆ ที่นี้ก็เหลือเพียงลมซึ่งต้องทำพิธีเรียกลม อันที่จริงขงเบ้งมีความรู้ทางภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ และพยากรณ์ศาสตร์จึงรู้ว่าเดือนใด ปีใด และวันใดลมสลาตันจะพัดมา เมือใกล้ถึงวันทีลมสลาตันจะมา จึงให้จัดทำพิธีและหาทางหนีทีไล่ …
      เมือเหตุการณ์เป็นไปดังนี้ทัพเรือโจโฉจึงแตกพ่ายให้แก่จิวยี่
ซุนกวนซึ่งมาตั้งทัพอยู่ ครั้นเห็นแสงเพลิงไหม้ทัพโจโฉจึงรู้ว่าจิวยยี้ชนะกองทัพโจโฉ จึงให้ลกซุนจุดเพลิงขึ้นเป็นสัญญาณ โจโฉและทหารน้อยใหญ๋พากันหนี พอเห็นว่าไกลจากแสงไฟแล้วจึ่งรู้สึกโล่งใจ
     โจโฉหัวเราะ สามครั้ง เหตุที่โจโฉหัวเราะ คือ เมื่อถึงที่ที่จะให้ทหารมาซุ่มโจมตี หรือที่คับขันโจโฉมิเห็นทหารจึงหยันความคิดของขงเบ้งและจิวยี่ แต่เมื่อสิ้นเสียงหัวเราะของโจโฉคราใดทหารฝ่ายตรงข้ามจำต้องมาล้อมจับโจโฉทุกทีไป
     ในครั้งที่ หนึ่ง จูล่งเป็นผู้มาทำการดักจับโจโฉหนีไปได้
     ในครั้งที่ สอง เตียวหุยทำการจับตัวโจโฉ และโจโฉหนีไปได้ ทหารทั้งปวงแตกหนีไป
     ในครั้งที่ สาม กวนอูจับตัวได้ และหลีกทางให้โจโฉทำการหลบหนี
“ฝ่ายกวนอูครั้นเปิดทางให้โจโฉแล้ว จึงคุมทหารกลับมาถึงหน้าค่ายแฮเค้าพร้อมกันกับเตียวหุย จูล่ง ในขณะนั้นเตียหุย จูล่งได้ทหารแลม้ากับเครื่องศัสตราวุธสิ่งทของต่างๆ เข้าไปให้ขงเบ้ง ขงเบ้งครั้นรู้ว่ากวนอูมาถึงหน้าค่ายจึพาเล่าปี่ทำเป็นออกไปรับ แล้วว่าแก่กวนอูว่า
ขงเบ้ง: ตัวเราว่าท่านผู้มีน้ำใจช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินไปได้ศีรษะโจโฉซึ่งเป็นศัตรูราชสมบัติมา เราออกมารับท่านสด้วยความยินดี (กวนอูได้ฟังดับนั้นก็นิ่งอยู่ )
ขงเบ้ง: ท่านน้อยใจเราหรือว่าไม่ไปรับถึงกลางทาง แล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เหตุใดจึงไม่บอกข่าวให้เรารู้ก่อนจะได้ไปรับกวนอู ..
กวนอู: ข้าพเจ้าจะมารับโทษขงเบ้งแกล้งถามว่า ท่านไปไม่พบโจโฉ จะกลับมาเอาศีรษะเราหรือ ..
กวนอู :ข้าพเจ้าไปนั้นพบโจโฉเหมือนคำท่าน แต่ข้าพเจ้าหามีผีมือไม่ โจโฉจึงหนีไปได้
ขงเบ้ง(หัวเราะ): อันตัวโจโฉหนีไปได้นั้นก็ตามทีเถิด แต่ท่านยังจับทหารมาได้บ้างหรือไม่
กวนอู: ถึงทหารโจโฉนั้นข้าพเจ้าก็จับไม่ได้
ขงเบ้ง(ทำเป็นโกรธ):ตัวท่านไปพบโจโฉแล้ว หากคิดถึงคุณเขาอยู่ จึงมิได้เอาศรีษะมานั้นโทษท่านใหญ๋หลวงนัก ซึ่งสัญญาไว้แก่เรานั้นลืมเสียแล้วหรือ
กวนอู:ข้าพเจ้าสัญญาไว้ว่า ถ้าพบโจโฉแล้วมิได้เอาศีรษะมานั้นก็จะให้ศรีษะข้าพเจ้าแทนตามสัญญา
   แล้วชักกระบี่ออกมาจะตัดศรีษะให้ขงเบ้ง  ขงเบ้งเห็นกวนอูดังนั้นก็เข้ายุคมือไว้แล้ว
ขงเบ้ง:ซึ่งเราใช้ทานไปทั้งนี้ปรารถนาจะให้ท่าแทนคุณโจโฉ มิได้คิดจะเอาโทษท่าน  ซึ่งท่านจะให้ศีรษะเราตามสัญญานั้นก็ขอบใจที่มำได้เสียความสัตย์ สมเป็นชาติทหาร …”


Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...