กองทัพภายใต้การนำของจูหยวนจางบุกเข้ายึดจี๋ซิ่ง (นานกิงในปัจจุบัน) และเปลี่ยชื่อเป็นอิ้งเทียนฝู่ จากนั้นก็ค่อย ๆ ขยายกองำลังเรื่อย ๆ สามารถพิชิตกองทัพของเฉินโหย่วเลี่ยง เอาชนะกองกำลังจางซื่อเฉิง กระทั้งชนะกองกำลังตามแนวชายฝั่งเจ้อเจียงของฟังกั๋วเจิน ได้ จึงตั้นตนเป็นฮ่องเต้
ในการปฏิบัติต่อขุนนางนั้น แม้ในช่วงต้นของการสถาปนาราชวงศ์ จะมีกาปูนบำเหน็จและพระราชทานตำแหน่งให้กับขุนนางที่มีผลงาน ทว่าเพื่อที่จะรวบอำนาจให้รวมศูนย์ไว้ที่องค์ฮ่องเต้ และการมีนิสัย ขี้ระแวง ทำให้ในรัชกาลหงอู่มีการประหารฆ่าขุนนางผู้มีคุณูปการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในกรณีสำคัญเช่นกรณี หูเหวยยง กับหลันอี้
หูเหวยยงเป็นทหารในกองทัพติดตามจูหยวนจางที่เหอโจว เป็นที่ปรึกษาที่สำคัญตั้งแต่ก่อนจะครองราชย์ กระทั่งได้ดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดีในเวลาต่อมา หูเหวยยงได้รับความโปรดปราฯจากมิงไท่จู่เป็นอย่างยิ่ง และเริ้มมีอิทธิพลและกุมอำนาจต่าง ๆ ไว้ในมือ มีขุนนางจำนวนมากที่มาเป็นสมัครพรรคพวกมากมาย จนมักทำการโดยพลการเสมอ อาทิ ฎีกาที่เหล่รขุนนางเขียนถวายฮ่องเต้ หากมีฎีกาใดที่ไม่เป็นประโยชน์กับตนก็จะไม่ยอมถวายขึ้นไป
หูเหวยยงถูกกล่าวหาว่ามีความคิดเป็นกบฎ หมิงไท่จู่รับสั่งให้ประหารหูเหวยยงพร้อมทั้งถือโอกาสใหนการกวาดล้างวงศ์ตระกูลและสมัครพรรคพวกทั้งหมด นอกจากนั้นภายหลังยังมักจะอาศัยข้ออ้างการเป็นพรรคพวกของหูเหวยยงเป็นอาวุธในการปกคีอง คือ เมื่อระแวงสงสัยผู้ใด ทั่คาดว่าอาจจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ ก็จะถูกประหารด้วยข้อกล่าวหาดังกล่าว
หลันอี้ เป็นแม่ทัพที่สร้างผลงานในการศึกอย่างมากมาย จนได้รับการพระราชทานบรรดาศักดิเป็นเหลียงกั๋วกง แต่ด้วยความถือดีที่มีผลงาน จึงใช้อำนาจบาตรใหญ๋ ไม่รักษากฎหมาย และไม่รักษาธรรมเนียมจารีตของความเป็นขุนนางกับฮ่องเต้ ภายหลังถูกจับตัวในข้อหาเตียมก่อการกบฎ โดยการลงโทษในครั้งนี้มีผู้ถูกประหารกว่า หมื่นห้าพันคน
จากความระแวงนั้น หลังจากเกิดเหตุการทั้งสองแล้ว จูหยวนจางจึงสั่งยกเลิกระบบอัครเสนาบดี แล้วแบ่งอำนาจการปกครองออกเป็น 6 กระทรวงแต่ละทรวงมีเจ้ากระทรวง หนึ่งคน กับผู้ช่วยอีก สองคน และทั้ง6 กระทรวงขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ และจากความระแวงนี้ ทำให้กิดการจัดตั้งหย่วยงานสำคัญในการตรวจสอบ คือ สำนักงานตรวจการ และหย่วยงานองครักษ์เสื้อแพรา เพื่อให้เป็นหย่วยงานพิเศษในการตรวจสอบขุนนางในราชสำนักและราษฎรทั่วราชอาณาจักร จากนั้นทรงแต่งตั้งพระโอรสให้ไปเป็นเจ้ารัฐประจำอยู่ในหัวเมืองต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายหนึ่งเพื่อเพิม่ความแข็งแกร่งและศักยภาพในกาป้องกันชาวมองโกลจาทางเหนือ และอีด้านหนึ่งเป็นมาตรการป้องกันการร่วมมือระหว่างเหล่าองค์ชายกับขุนนางกังฉินในชสำนักเพื่อชิงราชบัลลังก์ และมีการป้องกันการใช้อำนาจบาตรใหญ่ขององค์ชายต่างๆ จึงบัญญัติไว้ว่า หากมีความจำเป็นให้สามารถถอดถอนจากเจ้ารัฐเหล่านี้ได้
มาตรการต่างๆ นี้ เป็นการสร้างระบบรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จขึ้น โดยเฉพาะการยกเลิกตำแหน่งเสนาบดี ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบสังคมการปกครองจีน
วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555
Ottoman
อาณาจักรอุษมานียะฮ์หรือออตโตมานเติร์กเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1299 สถาปนาโดย อุษมาน และ ท่านอุษมานประกาศตนเป็นปาชะห์ปกครองอาณาจักรออตโตมานที่แค้วนโซมุตทางทิศตะวันตกของอนาโตเลีย จึงเป็นสุลต่านองค์แรกแห่งราชอาณาจักรออตโตมาน
ในช่วงเซจจุกเติร์กเสือมอำนาจ ชาวเติร์กกลุ่มหนึ่งอพยพเปอร์เซีย ในกลางทศวรรษที่ 13 Ertugrul ได้รพาเผ่าของตนอพยพหลัหนีการโจมตีของพวก “มองโกล” เมื่ออพยพมาถึงอนาโตเลีย แล้ว Ertugrul เสียชีวิตบุตรชายคือ ออสมัน ขึ้นเป็นผู้นำแทน และเมือเซลจุกเติร์กเสื่อมอำนาจจึงสถาปนาอาณาจักรออสโตมันขึ้น
อาณาจักรไบแซนไทน์ กำลังเสื่อมอำนาจลงในขณะที่อาณาจักรออตโตมัน กำลังเข้มแข็งขึ้น กำแพงกรุงสแตนติโนเปิลเป็นสิ่งเดียวที่ขวางการโจมตีของออตโตมัน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้นาน เดือน พฤษภา ปี ค.ศ. 1453 อาณาจักรโรมันตะวันออก จึงปิดฉากลง หลังอยู่มาเป็น เวลากว่า 1,123 ปี มีจักรพรรดิปกครองรวม 82 พระองค์ จากหลายราชวงศ์ จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 11 เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้าย ทรงสิ้นพระชนม์ในวันที่เสียกรุงคอนสแตนติโน เปิล
ชัยชนะ ได้เปิดโอกาสในชนเชื้อสายเติร์กจากเอเชียกลางหลั่งไลเข้าสู่อาณาจักอนาโตเลีย และเปิดทางสูจักรวรรดิออตโตมันอันยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา
สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ทรงได้รับการขนานนามว่า ฟาติ เมห์เมต “ฟาติ” หมายความว่า “ผู้พิชิต” ทรงโปรดให้ย้ายเมืองหลวง มายังกรุงสแตนติโนเปิล และเปลี่ยนชื่อเป็น อิสลามบูล ภายหลังมีการสถาปนาสาธารณรัฐตุรกี นครอิสลามบูลเปลี่ยนชื่อเป็น “อิสตันบูล”
ในระยะเวลาไม่ถึง 100 ปี นับตั้งแต่สุลต่านเมห์เมตที่ 2 ทรงสามารถยึดเมืองคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จ อาณาจักรออตโตมันแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกมุสลิมในเวลาต่อมา จักรวรรดิออตโตมันขยายอำนาจครอบคลุมถึง 3 ทวีป ได้แก่ ตะวันออกกลาง (เอเซีย) แอฟริกาเนือ และยุโรบบอลข่าน
สุลต่านสุไลมาน จักรวรรดิออตโตมันเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด อาณเขตได้แผ่ขยายออกไปอยางกล้างใหญ่ไพศาล ทิศตะวันตกจรดดินแดนออสเตีย ทิตะวันออกจรด คาบสมุทรเรเบีย ทิศเหนือจรดค่บสมุทรไครเมีย ทิศใต้จระซูดานในแอฟริกาเหนือ ชาวตะวันตกขนานนามพระองค์ว่า “สุไลมาน ผู้ยิ่งใหญ๋” ในตุรกีท่านได้รับสมัญญานามวา “สุไลมาน ผู้พระราชทานกฎกหมาย” สุไลมานสิ้นพระชนม์ในระหว่าทำสงครามในฮังการี ในปี ค.ศ. 1566 รวมสิริมายุ 74 พรรษา ครองราช 46 ปี “สุไลมาน ผู้ยิ่งใหญ่”เป็น 1 ใน3 สิ่งที่ชาวตุรกีภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตริย์ชาติตน
หลังสิ้นยุคสุลต่านสุไลมาน จักรวรรดิออตโตมัน ก็เสื่อมลงเป็นลำดับ กินเวลาถึง 300 ปีก่อนจะล่มสลายภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
ในศตวรรษที่ 18 ชาติมหาอำนาจในยุโรป เริ่มตระหนักถึงความอ่อนแอของจักรรวรรดิออตโตมัน และตั้งคำถามว่า ควรจะดำเนินการอย่างไรกับดินแดนภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน โดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อ “ดุลยอำนาจในยุโรป”
ในศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิออตโตมันได้รับฉายาว่า “คนป่วยแห่งยุโรป” โดยพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 แห่งรัสเซีย เป็นผุ้ตั้งในเชิงดูหมิ่น ออตโตมาน เมือครั้งเข้าร่วมสงคราม ไครเมีย กับอังกฤษและฝรั่งเศษ ต่อต้านรัสเซียน ในปี ค.ศ. 1854
ในช่วงเซจจุกเติร์กเสือมอำนาจ ชาวเติร์กกลุ่มหนึ่งอพยพเปอร์เซีย ในกลางทศวรรษที่ 13 Ertugrul ได้รพาเผ่าของตนอพยพหลัหนีการโจมตีของพวก “มองโกล” เมื่ออพยพมาถึงอนาโตเลีย แล้ว Ertugrul เสียชีวิตบุตรชายคือ ออสมัน ขึ้นเป็นผู้นำแทน และเมือเซลจุกเติร์กเสื่อมอำนาจจึงสถาปนาอาณาจักรออสโตมันขึ้น
อาณาจักรไบแซนไทน์ กำลังเสื่อมอำนาจลงในขณะที่อาณาจักรออตโตมัน กำลังเข้มแข็งขึ้น กำแพงกรุงสแตนติโนเปิลเป็นสิ่งเดียวที่ขวางการโจมตีของออตโตมัน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้นาน เดือน พฤษภา ปี ค.ศ. 1453 อาณาจักรโรมันตะวันออก จึงปิดฉากลง หลังอยู่มาเป็น เวลากว่า 1,123 ปี มีจักรพรรดิปกครองรวม 82 พระองค์ จากหลายราชวงศ์ จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 11 เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้าย ทรงสิ้นพระชนม์ในวันที่เสียกรุงคอนสแตนติโน เปิล
ชัยชนะ ได้เปิดโอกาสในชนเชื้อสายเติร์กจากเอเชียกลางหลั่งไลเข้าสู่อาณาจักอนาโตเลีย และเปิดทางสูจักรวรรดิออตโตมันอันยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา
สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ทรงได้รับการขนานนามว่า ฟาติ เมห์เมต “ฟาติ” หมายความว่า “ผู้พิชิต” ทรงโปรดให้ย้ายเมืองหลวง มายังกรุงสแตนติโนเปิล และเปลี่ยนชื่อเป็น อิสลามบูล ภายหลังมีการสถาปนาสาธารณรัฐตุรกี นครอิสลามบูลเปลี่ยนชื่อเป็น “อิสตันบูล”
ในระยะเวลาไม่ถึง 100 ปี นับตั้งแต่สุลต่านเมห์เมตที่ 2 ทรงสามารถยึดเมืองคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จ อาณาจักรออตโตมันแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกมุสลิมในเวลาต่อมา จักรวรรดิออตโตมันขยายอำนาจครอบคลุมถึง 3 ทวีป ได้แก่ ตะวันออกกลาง (เอเซีย) แอฟริกาเนือ และยุโรบบอลข่าน
สุลต่านสุไลมาน จักรวรรดิออตโตมันเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด อาณเขตได้แผ่ขยายออกไปอยางกล้างใหญ่ไพศาล ทิศตะวันตกจรดดินแดนออสเตีย ทิตะวันออกจรด คาบสมุทรเรเบีย ทิศเหนือจรดค่บสมุทรไครเมีย ทิศใต้จระซูดานในแอฟริกาเหนือ ชาวตะวันตกขนานนามพระองค์ว่า “สุไลมาน ผู้ยิ่งใหญ๋” ในตุรกีท่านได้รับสมัญญานามวา “สุไลมาน ผู้พระราชทานกฎกหมาย” สุไลมานสิ้นพระชนม์ในระหว่าทำสงครามในฮังการี ในปี ค.ศ. 1566 รวมสิริมายุ 74 พรรษา ครองราช 46 ปี “สุไลมาน ผู้ยิ่งใหญ่”เป็น 1 ใน3 สิ่งที่ชาวตุรกีภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตริย์ชาติตน
หลังสิ้นยุคสุลต่านสุไลมาน จักรวรรดิออตโตมัน ก็เสื่อมลงเป็นลำดับ กินเวลาถึง 300 ปีก่อนจะล่มสลายภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
ในศตวรรษที่ 18 ชาติมหาอำนาจในยุโรป เริ่มตระหนักถึงความอ่อนแอของจักรรวรรดิออตโตมัน และตั้งคำถามว่า ควรจะดำเนินการอย่างไรกับดินแดนภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน โดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อ “ดุลยอำนาจในยุโรป”
ในศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิออตโตมันได้รับฉายาว่า “คนป่วยแห่งยุโรป” โดยพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 แห่งรัสเซีย เป็นผุ้ตั้งในเชิงดูหมิ่น ออตโตมาน เมือครั้งเข้าร่วมสงคราม ไครเมีย กับอังกฤษและฝรั่งเศษ ต่อต้านรัสเซียน ในปี ค.ศ. 1854
Ilkhanate
อิลข่าน หรือ อิลคาเนธ เมื่อเปอร์เซียตกเป็นอยู่ใต้อำนาจ อาณาจักรมองโกล ฮูลากูจึงแยกตัว ออกมาตั้งอาณาจักรเพื่อปกครองบริเวณในเขตเปอร์เซีย โดยที่เรียกว่า House of Hulagu ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของมองโกลในเปอร์เซีย ในช่วงศัตวรรษที่ 13 มีอาณาเขตตั้งแต่ อาเซอร์ไบจาน และตอนกลาง และตะวันออกส่วนหนึ่ง ของตุรกีในปัจจุบัน และบริเวณที่เป็น Khwarezmid Empire ทั้งหมด ซึ่งเริ่มสู้รบตั้งแต่สมัยเจงกิสข่าน และฮูเลกูเป็นผู้พิชิตอาณาจักรนี้
อาณาจักรอิลข่านคือทั้งหมดของ อิรัก อิหร่าน เติร์กเมนิสถาน อัมม์เมเนีย อาร์เซอไบจาร จอร์เจีย ตุรกี และ ตะวันออกของ อัฟกานิสถาน ทางใต้ของปากีสถาน
อิลข่าน ประกอบด้วยศาสนาต่างๆ มากมาย ส่วนใหญ่ จะนับถือ ศาสนาพุทธและ คริสต์ และหลังจากนั้น อิสลามจึงเข้ามาเผยแพร่ในอาณาจักรอิลข่าน
อาณาจักรอิลข่านคือทั้งหมดของ อิรัก อิหร่าน เติร์กเมนิสถาน อัมม์เมเนีย อาร์เซอไบจาร จอร์เจีย ตุรกี และ ตะวันออกของ อัฟกานิสถาน ทางใต้ของปากีสถาน
อิลข่าน ประกอบด้วยศาสนาต่างๆ มากมาย ส่วนใหญ่ จะนับถือ ศาสนาพุทธและ คริสต์ และหลังจากนั้น อิสลามจึงเข้ามาเผยแพร่ในอาณาจักรอิลข่าน
Chagatai Khanate
จักรวรรดิข่าน จักกาไทย เป็นอาณจักรหนึ่งในจักวรรดิมองโกล ต่อมาเปลี่ยนเป็นเตอร์กิก จักรวรรดิข่านปกครองโดย ข่านจักกาไทย โอรสองค์ที่สองของเจงกิส ข่าน ซึ่งแยกตัวเป็นรัฐอิสระ
ช่วงที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดคือปลายศตวรรษที่ 13 จักรวรรดิข่านมีอาณาบิรเวณตั้งแต่ อมูดาร์ยา Amu Draya ทางใต้ของทะเลอารับ จนถึงเทือกเขาอัลไต บริเวณเขตแดนที่ปัจจุบันคือมองโกเลียและจีน
จักรวรรดิข่าน จักกาไทย รุ่งเรืองมาตั้งแต่คริสทศวรรษที่ 1220 กระทั้งปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 แม้ว่าอาณาจักรครึ่งหนึ่งทางตะวันตกจะตกอยู่ใต้จัวรรดิตีมูร์ แต่ยังคงปกครองในดินแดนที่เหลืออยู่ที่ตะวันออก ความสัทพันธ์กับอาณาจักรตีมูร์ นั้น บางครั้งก็ทำสงครามกันบางครั้งก็เป็นพันธมิตรกัน ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 อาณาจักรที่ยังคงเหลืออยู่นั้นก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองระบบเทวาธิปไตยของ Apaq Khoja และผู้สืบเชื้อสาย โคจินั้น ผู้ครงอเติร์กสถานตะวันออก ภายใต้ดซุงการ์ และในที่สุดประมุขของแมนจู
ช่วงที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดคือปลายศตวรรษที่ 13 จักรวรรดิข่านมีอาณาบิรเวณตั้งแต่ อมูดาร์ยา Amu Draya ทางใต้ของทะเลอารับ จนถึงเทือกเขาอัลไต บริเวณเขตแดนที่ปัจจุบันคือมองโกเลียและจีน
จักรวรรดิข่าน จักกาไทย รุ่งเรืองมาตั้งแต่คริสทศวรรษที่ 1220 กระทั้งปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 แม้ว่าอาณาจักรครึ่งหนึ่งทางตะวันตกจะตกอยู่ใต้จัวรรดิตีมูร์ แต่ยังคงปกครองในดินแดนที่เหลืออยู่ที่ตะวันออก ความสัทพันธ์กับอาณาจักรตีมูร์ นั้น บางครั้งก็ทำสงครามกันบางครั้งก็เป็นพันธมิตรกัน ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 อาณาจักรที่ยังคงเหลืออยู่นั้นก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองระบบเทวาธิปไตยของ Apaq Khoja และผู้สืบเชื้อสาย โคจินั้น ผู้ครงอเติร์กสถานตะวันออก ภายใต้ดซุงการ์ และในที่สุดประมุขของแมนจู
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555
Moscow
ซาร์อีวาที่ 3
ในสมัยของพระเจ้าอีวานที่ 3 แห่งรัสเซีย หรือ พระเจ้าอีวานมหาราช ในยุคของพระองค์ไ้ทรงราบรวมดินแดนให้กลับเป็นปึกแผ่นอีกครั้งในปี ค.ศ. 1480 ทรงขับไล่กองทัพตาตาร์ของพระเจาบาตูข่านออกจากรัสเซียจนหมดสิ้นและทรงทำลาย โกลเดนฮอร์ด Golden Horde ซึ่งประกอบด้วย 3 อาณาจักร ใหญ่ของชาวมองโกล ได้แก่ อาณาจักรไวท์ฮอร์ด ที่ก่อตั้งโ่ดย อ็อกโตไก ข่าน อาณาจักรบบูฮอร์ด ที่ก่อตั้งโดยพระเจ้า บาตูข่าน และอาณาจักรเกรทฮอร์ด ที่ก่อตั้งโดย พระเจ้าเคอชุก มุฮัมหมัด ปิดฉากสองศตวรรษภายใต้การปกครองของมองโกล
ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 อาณาจักรรัสเซียได้ฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ หลังจากพวกมองโกลระส่ำระสาย ผู้นำแป่งอาณาจักรมอสโค ทรงตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์แห่งชาวรัฐเซียทั้งปวง พระเจ้าอีวานที่ 3 ทรงสภาปนากรุงมอสโกเป็นราชธานี ชาวรัสเซียสมัยนั้นถือว่าพวกตนเป็นทายาทอันชอบธรรมของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์
พระเจ้าอีวานที่ 3 ทรงอภิเษก 2 ครั้ง มเหสีองค์แรกสิ้นพระชนม์เมืองพระองค์ครองราชย์ได้ 5 ปี การอภิเษกในครั้งที่ 2 นั้น ทรงสมรสกับ เจ้าหญิงโซเฟียแห่งไบแซนไทน์ พระเจ้าหลานเธอของจักรพรรดิแป่งอาณาจักรไบแซนไทน์องค์สุดท้าย (จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 11 พาลาโอโลกอสซึ่งสวรรคตเมืองครั้งการเสียกรุงคอนสแตนติโนเปิล)
แต่ละส่วนของเมืองแยกออกจากกันโดยมีป้อมปราการล้แมรอบ มีแม่น้ำมอสควาไหลผ่าน พวกช่างฝีมือและกรรมกร อาศัยอยู่ในบริเวณเมืองที่สร้างด้วยไม้ พวกพ่อค้าและพวกขุนนางอาศัยอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าเมืองสีขาว (สิ่งอ่กสร้างด้วยหินสีขาว White City) ถัดมาจะเป็นเป็นส่วนที่เรียกว่า Kitatgrod
ซาร์อีวา ทางนำช่างชาวอิตาลีมาออกแบบสร้างพระราชวังป้อมปราการต่าง ๆ และพระวิหารในพระราชวังเครมลินและที่อื่นๆ ด้วยเช่น ทรงให้สร้างมหาวิหาร เป็นที่สำหรับซาร์ ทำพิธีบรมราชาภิเษกในพระราชวังเครมลินในกรุงมอสโก โปรดให้สร้างวังที่ประทับ และมหาวิหารนอาร์คันเกล มิคาอิล ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นที่ฝั่งพระศพซาร์กษัตริย์แห่งรัสเซียในเวลาต่อมา
ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 อาณาจักรรัสเซียได้ฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ หลังจากพวกมองโกลระส่ำระสาย ผู้นำแป่งอาณาจักรมอสโค ทรงตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์แห่งชาวรัฐเซียทั้งปวง พระเจ้าอีวานที่ 3 ทรงสภาปนากรุงมอสโกเป็นราชธานี ชาวรัสเซียสมัยนั้นถือว่าพวกตนเป็นทายาทอันชอบธรรมของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์
พระเจ้าอีวานที่ 3 ทรงอภิเษก 2 ครั้ง มเหสีองค์แรกสิ้นพระชนม์เมืองพระองค์ครองราชย์ได้ 5 ปี การอภิเษกในครั้งที่ 2 นั้น ทรงสมรสกับ เจ้าหญิงโซเฟียแห่งไบแซนไทน์ พระเจ้าหลานเธอของจักรพรรดิแป่งอาณาจักรไบแซนไทน์องค์สุดท้าย (จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 11 พาลาโอโลกอสซึ่งสวรรคตเมืองครั้งการเสียกรุงคอนสแตนติโนเปิล)
แต่ละส่วนของเมืองแยกออกจากกันโดยมีป้อมปราการล้แมรอบ มีแม่น้ำมอสควาไหลผ่าน พวกช่างฝีมือและกรรมกร อาศัยอยู่ในบริเวณเมืองที่สร้างด้วยไม้ พวกพ่อค้าและพวกขุนนางอาศัยอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าเมืองสีขาว (สิ่งอ่กสร้างด้วยหินสีขาว White City) ถัดมาจะเป็นเป็นส่วนที่เรียกว่า Kitatgrod
ซาร์อีวา ทางนำช่างชาวอิตาลีมาออกแบบสร้างพระราชวังป้อมปราการต่าง ๆ และพระวิหารในพระราชวังเครมลินและที่อื่นๆ ด้วยเช่น ทรงให้สร้างมหาวิหาร เป็นที่สำหรับซาร์ ทำพิธีบรมราชาภิเษกในพระราชวังเครมลินในกรุงมอสโก โปรดให้สร้างวังที่ประทับ และมหาวิหารนอาร์คันเกล มิคาอิล ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นที่ฝั่งพระศพซาร์กษัตริย์แห่งรัสเซียในเวลาต่อมา
วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555
Yaon Dynasty II
การปกครองในราชวงศ์หยวน
ราชวงศ์หยวนเป็นยุคสมัยที่ต้องปกครองผู้คนหลากหลายชนชาติหลายเผ่าพันธ์ โดยมีประชาการเป็นชาวฮั่นมากที่สุด โดยยึดชาวมองโกลเป็นกลุ่มชนหลักในการบริหารประเทศ
ชนชั้นวรรณะในสังคม ก็แบ่งตามชาติพันธ์ โดยชาวมองโกลมีฐานะทางสังคมสูงสุด รองมาเป็นพวกชาวต่างชาติ ต่อมาก็คือ ชาวซ่งเหนือและ ฐานะทางสังคมที่ต่ำที่สุดคือซ่งใต้ ในทั่งนี้ไม่มีการแบ่งฐานะทางสังคมอย่างชัดเจนแต่สะท้อนออกมาทางกฎหมาย ข้อบังคับ สิทธิหน้าที่ต่าง ๆ ของพลเมืองในชาติ
นอกจากนั้นยังมีการแบ่งความสูงต่ำทางอาชีพกระทั่งมีการล้อเลียน ในยุคสมัยนั้นว่า “หนึ่งขุนนางสองข้าราชการ” “เก้าบัณฑิตสิบของทาน” ซึ่งบัณฑิตในสมัยนี้ถูจัดลำดับอาชีพซึ่งอยู่ตำกว่ากระทั้งโสเภณี
มองโกลหลังจากยุคกุบไลข่าน มีการแก่งแย่งอำนาจกันอย่างรุนแรงและหนักหน่วง ระยะเวลาเพียง 25 ปี ราชวงศ์หยวนมีจักรพรรดิถึง 8 พระองค์ บางพระองค์ครองราชเพียง ปีเดียว
การกดขี่ ขมเหงและขูดรีดประชาชน โดยเก็บภาษีในอัตราสูงกว่าต้นราชวงศ์กว่ายี่สิบเท่าตัว รายรับไม่พอกับรายจ่าย คลังหลวงจึงต้องพิมพ์ธนบัตรออกมาอย่างมากมาย ค่าเงินจึงลดลง เกิดปัญหาเงินเฟ้อ เป็นเวลาเดียวกับการเกิดอุทกภัย เขื่อนแม่น้ำฮวงโหไม่ได้รับการบูรณะหลายปี ประชาชนมีความทุกข์ยาก ตกอยู่ในสภาพ“ผู้คนอดตายเกลื่อนถนน คนเป็นก็ไม่พ้นใกล้เป็นผี”
ราชสำนักต้าหยวนได้ส่งทหาร ไปบังคับเกณฑ์แรงงานชาวฮั่น เรื่อนแสน เพรือขุดลอกคลอง แม่น้ำ และซ่อมเขื่อนที่พัง และขุนนางยังถือโอกาสโกงเงินค่าแรงจาก มวลชนมีความเจ็บแค้นต่อราชสำนัก ในเวลานั้น จึงเกิดลัทธิดอกบัวขาว ในการรวบรวมเป็นกองทัพชาวนา
และด้วยกลวิธีที่ผนวกับเชื่อของมนุษย์ในยามแร้งแค้น ลัทธิดอกบัวขาว ให้คนออกไปปล่อยข่าวลือว่า “ เมือใดที่มนุษย์หินตาเดียวปรากฎ ก็จะมีการพลิกฟ้าผลัดแผ่นดิน” หลังจากนั้นก็ลอบส่งคนไปทพรู้ปั้นหินมนุษย์ตาเดียวแล้วนำไปฝังบริเวณที่มีการขุดลอกแม่น้ำ เมือชาวบ้านขุดพบรู้ปั้นหิน การต่อต้านมองโกลจึงลุกลามเป็นไฟลามทุ่ง
หลังจากนั้นลัทธิบัวขาวจึงตั้งเป็นกองทัพโพกผ้าแดง และทำศึกกับราชสำนัก กองทัพโพกผ้าแดงเสือมสลายไป จากการเสียชีวิตของผุ้นำ เป็นช่วงเวลาเดียวกับอีกกองกำลังทาใต้ นำโดย “จูหยวนจาง”กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม่จะเป็นเยงลูกชาวนาเกิดในครอบครัวที่ยากจนแต่ได้รับการสนับสนุนทั้งจากกุนซือผุ้ชาญฉลาด และเศรษฐีผู้มั่งคั่ง จึงทำให้กองทัพเติบโตอย่างรวดเร็ว
ปี ค.ศ. 1368 ทั่วทั้งแดนใต้ตกเป็นของจูหยวนจาง จึงสภาปนาตนเองเป็นฮ่องเต้ “ราชวงศ์หมิง” ตั้งเมือง อี๋เทียน และไคฟง เป็นเมืองหลวงต่อมาอีกห้าเดือน จูหยวนจางบุกตี ต้าตู อันเป็นราชธานีราชวงศ์หยวน กระทั้ง หยวนซุ่นตี่ ต้องลี้ภัยไปทางเหนือจึงเป็นกาลอวสานของราชวงศ์หยวน
รวมทั้งสิ้นราชวงส์หยวนปกครองแผ่นดินจีน เป็นเวลา 97 ปี จักรพรรดิ์ 11 พระองค์ ทั้งที่เป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งและยกว้างใหญ่ แต่การขูดรีด การกดขี่ และการแบ่งชนชั้น ทำให้เกิดการล่มสลายอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นอุทาหรณ์ต่อชนชั้นปกครองในราชวงศ์ต่อๆมา ราชวงศ์หยวนเป็นช่วงเวลาที่กำหนดอาณาเขตการปกครองของแผ่นดินจีนในเวลาต่อมา กล่าวคือหลังจากราชวงศ์หยวนถึงราชวงศ์ชิง อาณาเขตของแผ่นดินจีนไม่มีการเปลี่ยแปลงมากนัด
ราชวงศ์หยวนเป็นยุคสมัยที่ต้องปกครองผู้คนหลากหลายชนชาติหลายเผ่าพันธ์ โดยมีประชาการเป็นชาวฮั่นมากที่สุด โดยยึดชาวมองโกลเป็นกลุ่มชนหลักในการบริหารประเทศ
ชนชั้นวรรณะในสังคม ก็แบ่งตามชาติพันธ์ โดยชาวมองโกลมีฐานะทางสังคมสูงสุด รองมาเป็นพวกชาวต่างชาติ ต่อมาก็คือ ชาวซ่งเหนือและ ฐานะทางสังคมที่ต่ำที่สุดคือซ่งใต้ ในทั่งนี้ไม่มีการแบ่งฐานะทางสังคมอย่างชัดเจนแต่สะท้อนออกมาทางกฎหมาย ข้อบังคับ สิทธิหน้าที่ต่าง ๆ ของพลเมืองในชาติ
นอกจากนั้นยังมีการแบ่งความสูงต่ำทางอาชีพกระทั่งมีการล้อเลียน ในยุคสมัยนั้นว่า “หนึ่งขุนนางสองข้าราชการ” “เก้าบัณฑิตสิบของทาน” ซึ่งบัณฑิตในสมัยนี้ถูจัดลำดับอาชีพซึ่งอยู่ตำกว่ากระทั้งโสเภณี
มองโกลหลังจากยุคกุบไลข่าน มีการแก่งแย่งอำนาจกันอย่างรุนแรงและหนักหน่วง ระยะเวลาเพียง 25 ปี ราชวงศ์หยวนมีจักรพรรดิถึง 8 พระองค์ บางพระองค์ครองราชเพียง ปีเดียว
การกดขี่ ขมเหงและขูดรีดประชาชน โดยเก็บภาษีในอัตราสูงกว่าต้นราชวงศ์กว่ายี่สิบเท่าตัว รายรับไม่พอกับรายจ่าย คลังหลวงจึงต้องพิมพ์ธนบัตรออกมาอย่างมากมาย ค่าเงินจึงลดลง เกิดปัญหาเงินเฟ้อ เป็นเวลาเดียวกับการเกิดอุทกภัย เขื่อนแม่น้ำฮวงโหไม่ได้รับการบูรณะหลายปี ประชาชนมีความทุกข์ยาก ตกอยู่ในสภาพ“ผู้คนอดตายเกลื่อนถนน คนเป็นก็ไม่พ้นใกล้เป็นผี”
ราชสำนักต้าหยวนได้ส่งทหาร ไปบังคับเกณฑ์แรงงานชาวฮั่น เรื่อนแสน เพรือขุดลอกคลอง แม่น้ำ และซ่อมเขื่อนที่พัง และขุนนางยังถือโอกาสโกงเงินค่าแรงจาก มวลชนมีความเจ็บแค้นต่อราชสำนัก ในเวลานั้น จึงเกิดลัทธิดอกบัวขาว ในการรวบรวมเป็นกองทัพชาวนา
และด้วยกลวิธีที่ผนวกับเชื่อของมนุษย์ในยามแร้งแค้น ลัทธิดอกบัวขาว ให้คนออกไปปล่อยข่าวลือว่า “ เมือใดที่มนุษย์หินตาเดียวปรากฎ ก็จะมีการพลิกฟ้าผลัดแผ่นดิน” หลังจากนั้นก็ลอบส่งคนไปทพรู้ปั้นหินมนุษย์ตาเดียวแล้วนำไปฝังบริเวณที่มีการขุดลอกแม่น้ำ เมือชาวบ้านขุดพบรู้ปั้นหิน การต่อต้านมองโกลจึงลุกลามเป็นไฟลามทุ่ง
หลังจากนั้นลัทธิบัวขาวจึงตั้งเป็นกองทัพโพกผ้าแดง และทำศึกกับราชสำนัก กองทัพโพกผ้าแดงเสือมสลายไป จากการเสียชีวิตของผุ้นำ เป็นช่วงเวลาเดียวกับอีกกองกำลังทาใต้ นำโดย “จูหยวนจาง”กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม่จะเป็นเยงลูกชาวนาเกิดในครอบครัวที่ยากจนแต่ได้รับการสนับสนุนทั้งจากกุนซือผุ้ชาญฉลาด และเศรษฐีผู้มั่งคั่ง จึงทำให้กองทัพเติบโตอย่างรวดเร็ว
ปี ค.ศ. 1368 ทั่วทั้งแดนใต้ตกเป็นของจูหยวนจาง จึงสภาปนาตนเองเป็นฮ่องเต้ “ราชวงศ์หมิง” ตั้งเมือง อี๋เทียน และไคฟง เป็นเมืองหลวงต่อมาอีกห้าเดือน จูหยวนจางบุกตี ต้าตู อันเป็นราชธานีราชวงศ์หยวน กระทั้ง หยวนซุ่นตี่ ต้องลี้ภัยไปทางเหนือจึงเป็นกาลอวสานของราชวงศ์หยวน
รวมทั้งสิ้นราชวงส์หยวนปกครองแผ่นดินจีน เป็นเวลา 97 ปี จักรพรรดิ์ 11 พระองค์ ทั้งที่เป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งและยกว้างใหญ่ แต่การขูดรีด การกดขี่ และการแบ่งชนชั้น ทำให้เกิดการล่มสลายอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นอุทาหรณ์ต่อชนชั้นปกครองในราชวงศ์ต่อๆมา ราชวงศ์หยวนเป็นช่วงเวลาที่กำหนดอาณาเขตการปกครองของแผ่นดินจีนในเวลาต่อมา กล่าวคือหลังจากราชวงศ์หยวนถึงราชวงศ์ชิง อาณาเขตของแผ่นดินจีนไม่มีการเปลี่ยแปลงมากนัด
Yaon Dynasty I
ราชวงศ์หยวน คือหนึ่งในราชวงศ์ของจักรวรรดิจีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1271-1387 ก่อตั้งขึ้นเมือกุบไลข่านโค่นอำนาจราชวงศ์ซ่ง แล้วตั้งราชวงศ์ของชาวมองโกล โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่ปักกิ่ง(ต้าตู) ทรงเป็นฮ่องเต้พระองค์เดียวที่ชาวจีนยอมรับ
จักรพรรดิราชวงศ์หยวน
การปกครองประเทศจีนของมองโกล แม้มองโกลจะใช้ระบบการปกครองของจีน แต่ชาวจีนฮั่นก็รับรู้ถึงความไม่ยุติธรรม ในทางสังคมและการเมือง ตำแหน่งสำคัญๆ ต่าง ๆ ในส่วนกลางและภูมิภาคจะผูกขาดโดยชาวมองโกล และจางชาวต่างชาต มาทำหน้าที่ในตำแหน่างที่หาชาวมองโกลทำไม่ได้ และในทางกลับกันก็จ้างชาวจีนเข้าไปทำงานในดินแดนที่ไม่ใช่ประเทศจีน
ในช่วงที่หยวนปกครองจีน วัฒนธรรมมีการพัฒนาแบบปสมปสานในด้านต่าง ๆ การติดต่อสัมพันธ์กัลเอเซียตะวันตก ยุโรป เพ่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เครื่องดนตรีตะวันตกถูกนำมาใช้ในศิลปะการแสดงของจีน ศาสนาต่าง ๆ เข้าสู่ประเทศจีนและเปลี่ยนแปลงศาสนาของชาวจีนจำนวนมาก แต่ถึงอย่างไร ลัทธิขงจื้อและระเบียบการสอบเข้ารับราชการ ก็ถูกฟื้นฟูนำมาใช้ใหม่ด้วยความหวังว่าจะสามารถรักษาความเป็นระเบียบในสังคมชาวฮั่นได้
จากการค้าที่รุ่งเรือง และการเดินทางกล้างไกล ชาวมองโกลริเริ่มคิดทำธนบัตรขึ้นใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งในและนอกประเทศ
ดินปืนหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ๋ของจีน หลักฐานของจีนกล่าวว่า การประดิษฐ์ดินปืนนั้นมาจากประทัดที่ใช้ขัยไล่ภูตฝี โดยการนำดินประสิวและกำมะถันมาห่อรวมกันในกระดาษ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการใช้ดินปืน สมัยซ่งมีการนำดินปืนมาประดิษฐ์อาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะซ่งใต้มีการนำมาใช้มากขึ้น
กวอโส่วจิ้ง (ยั่วซือ) นักดาราศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ และนักชลประทาน
กุบไลข่านทรงมีราชโองการให้กวอโส่วจิ้งกับหวังสุน (นักคณิตศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงอีกผู้หนึ่งในสมัยนั้น) แก้ไขปรับปรุงปฏิทินเสียใหม่ให้ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น กวอโส่วจิ้งจึงเสนอให้จัดสร้างหอดูดาวที่เมืองหลวงต้าตู และจุดสังเกตการโคจรของดาวตามสถานที่ต่าง ๆ อีก 26 แห่งทั่วประเทศจีน และก็เริ่มลงมือสังเกตุการด้วยตัวเอง เขาใช้เวลา 4 ปีในการรวบรวมข้อมูล และก็สามารถจัดทำปฏิทินฉบัยใหม่ได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1280 โดยความแม่นยำของปฏิทินฉบับนี้คือ กำหนดว่า 1 ปี สุริยคติเท่ากับ 365.2425 ซึ่งผิดไปจากการคำนวฯของนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเพียง 26 วินาที
ในปี ค.ศ. 1292 กวอโส่วจิ้งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผุ้รับผิดชอบหอดูดาวและการชลประทานของเขตเมืองหลวง เขาทำข้อเสนอเกียวกับการสร้างคอล “ต้ายวิ่นเหอ” และออกแบบแนวคลองที่ถูต้องตามหลักวิชาการ งานขุคอลเสร็จสิ้นลุล่วงภายในเวลาเพียงปีครึ่ง และได้ชื่อว่า “แม่น้ำทงฮุ่ยเหอ” สามารถเชื่อมต่อระหว่างหางโจวภาคใต้ถึงปักกิ่งในภาคเหนือเป็นระยะทางเกือบ 1,800กิโลเมตร
The travels of Marco Polo
Niccolo และ Maffeo ผุ้เป็นบิดาและลุงของมาร์โคโปโล เดินทางมายังประเทศจีน และได้รับการต้อนรับด้วยไมตรีจิตจากกุบไลข่าน และในการเดินทางครั้งต่อมาเขาจึงพาบุตรชาย มาร์โค โปโล บุตรชายของเขาติดตามมาด้วย
มาร์โคโปโลเดินทางมาถึงเมืองจีน เมื่ออายุ 21 ปี และรับราชทานจัดงานเลี้ยงในวังหลวง จากนั้นจึงให้ตระกูลโปโลอยู่ถวายงานในชสำนัก ช่วงเวลา 17 ปีที่มาร์โคโปโลอาศัยอยู่ในจีนจึงได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ มากมาย
ในหนังสือของมาร์โคโปโล บันทึกถึงรูปร่างของแผ่นดิน สัตว์ พืชพันธ์ต่าง ๆ รวมถึงสิ่งประดิษฐ์ ถ่านหินและนำมัน เขาพรรณาอารยธรรมจีนว่ามีความเจริญเหนือกว่าวัฒนธรรมและเทคโนโลยีของชาวยุโรป เขาระบุว่าแหล่งพลังงานที่ยิ่งใหญ่มีอยู่ 2 อย่างคือ “ดินปืนและบะหมี่”
จักรพรรดิราชวงศ์หยวน
พระนามแต่งตั้ง | พระนามข่าน | พระนามเดิม | ปีครองราชย์(ค.ศ.) |
ไท่จู่ | เจงกิส ข่าน | เตมูจิน | 1206-1227 |
รุ่ยจง | โตลุยข่าน | โตลุย | 1228 |
ไท่จง | วอเคอไต ข่าน | วอเคอไต | 1229-1241 |
ติ้งจง | กูยุก ข่าน | กูยุก | 1246-1248 |
เสียนจง | มองเก้ ข่าน | มองเก้ | 1251-1259 |
ซื่อจู | กุบไล ข่าน | กุบิไล | 1260-1294 |
เฉินจง | เตมูร์ ข่าน | เตมูร์ | 1294-1307 |
หวู่จง | คูลุก ข่าน | Qayshan | 1308-1311 |
เหรินจง | อายูบาร์ดา ข่าน | อายูบาร์ดา | 1311-1320 |
อินจง | ชิดิบาลา จีจิน ข่าน | ชิดิบาลา | 1321-1323 |
จินจง(ไท่ติงตี้) | เยซุน เตมูร์ ข่าน | เยซุน เตมูร์ | 1323-1328 |
____(เทียนซุนตี้) | ราจิบาก ข่าน | ราจิบาก | 1328 |
เหวินจง | จายาตู ข่าน | Toq Temur | 1328-1329,1329-1332 |
หมิงจง | คูบุกตู ข่าน | Qosghila | 1329 |
หนิงจง | รินชินบาล ข่าน | รินชินบาล | 1332 |
ฮุ่ยจง(Shundi) | อูคานตู ข่าน | Toghan-Temur | 1333-1370 |
การปกครองประเทศจีนของมองโกล แม้มองโกลจะใช้ระบบการปกครองของจีน แต่ชาวจีนฮั่นก็รับรู้ถึงความไม่ยุติธรรม ในทางสังคมและการเมือง ตำแหน่งสำคัญๆ ต่าง ๆ ในส่วนกลางและภูมิภาคจะผูกขาดโดยชาวมองโกล และจางชาวต่างชาต มาทำหน้าที่ในตำแหน่างที่หาชาวมองโกลทำไม่ได้ และในทางกลับกันก็จ้างชาวจีนเข้าไปทำงานในดินแดนที่ไม่ใช่ประเทศจีน
ในช่วงที่หยวนปกครองจีน วัฒนธรรมมีการพัฒนาแบบปสมปสานในด้านต่าง ๆ การติดต่อสัมพันธ์กัลเอเซียตะวันตก ยุโรป เพ่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เครื่องดนตรีตะวันตกถูกนำมาใช้ในศิลปะการแสดงของจีน ศาสนาต่าง ๆ เข้าสู่ประเทศจีนและเปลี่ยนแปลงศาสนาของชาวจีนจำนวนมาก แต่ถึงอย่างไร ลัทธิขงจื้อและระเบียบการสอบเข้ารับราชการ ก็ถูกฟื้นฟูนำมาใช้ใหม่ด้วยความหวังว่าจะสามารถรักษาความเป็นระเบียบในสังคมชาวฮั่นได้
จากการค้าที่รุ่งเรือง และการเดินทางกล้างไกล ชาวมองโกลริเริ่มคิดทำธนบัตรขึ้นใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งในและนอกประเทศ
ดินปืนหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ๋ของจีน หลักฐานของจีนกล่าวว่า การประดิษฐ์ดินปืนนั้นมาจากประทัดที่ใช้ขัยไล่ภูตฝี โดยการนำดินประสิวและกำมะถันมาห่อรวมกันในกระดาษ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการใช้ดินปืน สมัยซ่งมีการนำดินปืนมาประดิษฐ์อาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะซ่งใต้มีการนำมาใช้มากขึ้น
กวอโส่วจิ้ง (ยั่วซือ) นักดาราศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ และนักชลประทาน
กุบไลข่านทรงมีราชโองการให้กวอโส่วจิ้งกับหวังสุน (นักคณิตศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงอีกผู้หนึ่งในสมัยนั้น) แก้ไขปรับปรุงปฏิทินเสียใหม่ให้ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น กวอโส่วจิ้งจึงเสนอให้จัดสร้างหอดูดาวที่เมืองหลวงต้าตู และจุดสังเกตการโคจรของดาวตามสถานที่ต่าง ๆ อีก 26 แห่งทั่วประเทศจีน และก็เริ่มลงมือสังเกตุการด้วยตัวเอง เขาใช้เวลา 4 ปีในการรวบรวมข้อมูล และก็สามารถจัดทำปฏิทินฉบัยใหม่ได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1280 โดยความแม่นยำของปฏิทินฉบับนี้คือ กำหนดว่า 1 ปี สุริยคติเท่ากับ 365.2425 ซึ่งผิดไปจากการคำนวฯของนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเพียง 26 วินาที
ในปี ค.ศ. 1292 กวอโส่วจิ้งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผุ้รับผิดชอบหอดูดาวและการชลประทานของเขตเมืองหลวง เขาทำข้อเสนอเกียวกับการสร้างคอล “ต้ายวิ่นเหอ” และออกแบบแนวคลองที่ถูต้องตามหลักวิชาการ งานขุคอลเสร็จสิ้นลุล่วงภายในเวลาเพียงปีครึ่ง และได้ชื่อว่า “แม่น้ำทงฮุ่ยเหอ” สามารถเชื่อมต่อระหว่างหางโจวภาคใต้ถึงปักกิ่งในภาคเหนือเป็นระยะทางเกือบ 1,800กิโลเมตร
The travels of Marco Polo
Niccolo และ Maffeo ผุ้เป็นบิดาและลุงของมาร์โคโปโล เดินทางมายังประเทศจีน และได้รับการต้อนรับด้วยไมตรีจิตจากกุบไลข่าน และในการเดินทางครั้งต่อมาเขาจึงพาบุตรชาย มาร์โค โปโล บุตรชายของเขาติดตามมาด้วย
มาร์โคโปโลเดินทางมาถึงเมืองจีน เมื่ออายุ 21 ปี และรับราชทานจัดงานเลี้ยงในวังหลวง จากนั้นจึงให้ตระกูลโปโลอยู่ถวายงานในชสำนัก ช่วงเวลา 17 ปีที่มาร์โคโปโลอาศัยอยู่ในจีนจึงได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ มากมาย
ในหนังสือของมาร์โคโปโล บันทึกถึงรูปร่างของแผ่นดิน สัตว์ พืชพันธ์ต่าง ๆ รวมถึงสิ่งประดิษฐ์ ถ่านหินและนำมัน เขาพรรณาอารยธรรมจีนว่ามีความเจริญเหนือกว่าวัฒนธรรมและเทคโนโลยีของชาวยุโรป เขาระบุว่าแหล่งพลังงานที่ยิ่งใหญ่มีอยู่ 2 อย่างคือ “ดินปืนและบะหมี่”
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...