วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2561

Renaissance literature

           เรอนาสซองส์ Renaissance แปลว่า เกิดใหม่ หรือคืนชีพ เป็นช่วงเวบาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในวทีปยุโรป ซึ่งเป็นจุดเร่ิมต้นของวัฒนธรรมยุคใหม่ สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาเป็นการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรม ตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 14-17 ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงทางวรรณกรรม
วิทยาศาสตร์ ศิลปะ ศาสนาและการเมือง
            ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เป้นช่วงเวลาเหนึ่งที่อยุ่ในช่วงปลายสมัยกลางถึงต้นสมัยใหร่ ซึ่งการเร่ิมต้นของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในช่วงปลายสมัยกลาง เป็นปัจจัยสำคัญที่ชันำโลกเข้าสู่สมัยใหม่ คือ ยวิทยาการต่างๆ จากโรมัน เริ่มถูกฟื้นฟูขึ้นมาและแผ่กระจายไปในแถบยุโรป
           วรรณกรรมใน ยุคฟื้นฟู
           จากลักษณะที่เคยอิงอยู่กับศาสนามาเป็นลักษณะของการแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ก็เป็นการแสดงออกซึ่งอารมณ์ ความรู้สึกซาบซึ้งในความงดงามของสิ่งธรรมชาติทั้งหลาย ละเมียดละไม่ มีความไพเราะเพราะพริ้งเสนาะโสตประสาทมากย่ิงขึ้น แสดงความเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น ลักาณะการเปลี่ยนแปลงฟื้นฟูด้านวรรณกรรมบุกเบิกแนวคิดด้านมนุษย์นิยมในแหลมอิตาลี ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งมนุษยนิยม ผู้ซึ้งชีให้เห็นถึงความงดงามของภาษาละตินและการใช้ ภาษาละตินท่ถภูกต้อง
            ฟรานเชสโก เปตรากา Francesco Petrarca หรือที่รู้จักในชื่อภาษอังกษว่า เป-ตราก เป็นกวีและนิกวิชาการชาวอิตาลี หนึ่งในบรรดานักวิชาการในช่วงแรกๆ ของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาเขาเป้นที่รุ้จักยอย่องในฐานะ "บิดาแห่งมนุษยนิยม จากงานเขียนของ เป-ตราก และส่วนอื่นๆ ของ Pietro Bemboได้สร้างรูปแบบของภาษาอิตาลี ในปัจจุบันขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16
          เป-ตราก ได้ชื่อว่าเป็นผุ้ประดิษฐ์ ซอนเน็ต ( รูปแบบ ฉัทลักษณ์ งานกวีนิพนธ์ ในภาษาอังกฤษ แบบหนึ่ง พบมาในงานกวีนิพนธ์ของประเทศยุโรป คำว่า "ซอนเน็ต" มาจากคำ sonet ในภาษาอ็อกซิตัน และ sonetto ในภาษาอิตาลี มีความมหายว่า "บทเพลงน้อยๆ " ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 เร่ิมมีการใช้ซอนเน็ตกับบทกวี 14 บรรทัด ซึ่งมีรูปแบบสัมผัสที่เคร่งครัดและมีโครงสร้งางพิเศษ ผู้เขียนโคลงซอนเน็ตมักมีคำเรียกเฉพาะว่า " soneteer" งานกวีนิพนธ์แบบซอนเน็ตทีมีชื่อเสียงมากที่สุดคือ ซอนเน็ตของเชกสเปียร์ ซึงได้ประพันธ์โคลงซอนเน็ตไว้ถึง 154 บท...) งานกวีนิพนธ์ซอนเน็ตของเขาได้รับยกย่องและเป็นที่รุ้จักทั่วไปในยุโรปตลอดยุคเรอเนซองส์ ซึ่งได้กลายเป็นเแบบมาตรฐานสำหรับงานกวีนิพนธ์ในยุคต่อมา...
       
 ในสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยานั้นมีนักคิด นักเขียน และผุ้ที่มีชื่อเสียงหลากหลายทั้งทางศิลปะ และวิทยาการ ในสมัยต่อมา แม้จะได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งรัฐศาสตร์ แต่ก็นับเป็นนักคิดนักเขียน และมีชื่อเสียง พร้อมกับไดัการยกย่องในปัจจุบัน อาทิ
           นิกโกเลาะ ดี แบร์นาโด เดย์ มาเกี่ยเวลลี Niccolò di Bernardo dei Machiavelli นักปรัชญา นักเขียนและนักรัฐศาสตร์ชาวอิตาลี นับเป็นหนึ่งในบบิดารัฐศาสตร์ยุคใหม่ มีชีวิตอยุ่ในยุคเรอเนซองส์ ซึ่งเขาเป้นนักวิชาการ นักปรัชญาการเมือง นักดนตรี กวี นักเขียนบทละคร แต่ที่คำํญคือเขาเป็นอาสาสมัครสาะารณกิจแห่งสาธารณะรัฐฟลอเรนไทน์ หลังจาก จิโรมาโม ซาโวนาโรลา ถูกไล่ออกและประหารชีวิต สภา เกรท คอนซิล ได้เลือกให้มาเกียเวลลีเป็นเลขานุการสถานทูตที่สองของสาะารณรัฐฟลอเรนซ์  ได้รับการยกย่องว่าเป็น บิดาแห่งรัฐศาสตร์สมัยใหม่
          มาเคียเวลลบี นับได้ว่าเป้นบุคคลตัวอย่างของยุคเรนอนซองส์ เช่นเดียวกับลีโอนาร์โด ดา วิชี เขามีชื่อเสียงจากงานเขียนเรื่องสั้นการเมืองเรื่อง เจ้าผุ้ปกครอง "เดอะ พรินต์" ซึ่งเล่าถึงทฤษฎีทางการเมืองแบบที่เป็นจริง แต่งานเขียนของมาเคียเวลลีไม่ได้ับการตีพิมพ์จนกรทั่งหลังจากเขาเสียชีวิตแล้ว โดยมากเขาจะส่งกันอ่านในหมู่เพื่อฝูงเท่านั้น ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เกิดระบบการเมืองแบบรัฐชาติ งานเขียนเพียงชิ้นเดียวที่ได้รับตีพิมพ์ในระหว่างที่เขามีชีวิตอยุ่คือ  The Art of War
          นามสกุลของเขา ได้กลายเป็นคำศัพท์ในทางการเมืองว่า "มาเคียวเวลลี" ผุ้เฉียบแหลมมีปฏิภาณ และ "มาเคียเวลเลียน" การใช้เลห์เหลี่ยมอุบายในการเมืองhttps://prezi.com/tz5pv3omj-ee/renaissance/
         

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2561

Fable

            นิทานเป็นวรรณกรรม ร้อยแก้ว หรือร้อยกรอง ซึ่งสมมุติ สัตว์ สิ่งมีชีวิตในตำนาน พืช วัตถุหรือกองกำลังของธรรมชาติ พูดภาษามนุษย์ได้ และนำไปสู่ ศีลธรรมอันดี
            นิทานเป็นเรื่องเล่าที่มนุษย์ทุกเผ่าพันธ์ุสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน เป็นจุดเร่ิมต้นในการสร้างงจินตนาการให้เด็ก ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง เป็นเครื่องมือบ่มเพราะคุณธรรม จริยธรรมมาแต่โบราณ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมขอวขนชาติ และเป็นตัวช่วยในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรมที่ได้ับความนิยมในหมู่ชนทุกระดับขั้น ในทุกวัฒนธรรมมัีนักเล่านิทาน ทั้เงที่เล่าเพื่อความบันเทิง เพื่อถ่ายทอดความรู้ หรือเพื่อเลี้ยงชีพ จนก่อเกิดนักเล่านิทานที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เช่น สุนทรภูมิ อีสป, ฌ็อง เดอ ลาฟนอเต ชาร์ล แปโร ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สันพี่น้องตระกูลกริมม์ และวอลเตอร์ อีเลียส ดิสนีย์ และยังต่อยอดเป็นธุรกิจใหญ่ระดับโลกได้อีกด้วย
     

  นิทานสัตว์ในยุโรปสมัยกลาง หรือ fable เป็นลักษณะของนิทานอีสป ที่มีชื่อเสียงคือ นิทาน ชุดโรมานซ์ออฟรีนาร์ด เนื้อหาล้อเลียนเสียดสีสังคมฝรั่งเศสในสมัยกลาง ประณามระบบฟิวดัง กระบวนการยุติธรรม และวงการศาสนา
            ฌ็อง เดอ ลา ฟอนเต มีผลงานชิ้นสำคัญที่ทำให้เขามีชื้อเสียงอย่างสูง นั้นคือการรวบรวม เรียบเรียงและตีพิมพ์นิทานขึ้นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิทานสัตว์ แรงบันดาลใจสำคํยของเขาก็คื อีสป นักเล่านิทานชาวกรีกโบราณ, นิโโคไล มาเคียวเวลลี นักปรัชญา นักเขีน และนักรัฐศาสสตร์ชาวอิตาลี, จิโอวานนิ โบคคาชโซ นักเขียน กวี และนักมานุษยวิทยาเรอเนสซองซืขาวอิตาลี เป้นต้น โดยเขาได้นำต้นเค้าเรื่องราวจากหนังสือ ของ Gilbert Gaulmin และผลงานนิทานเล่มแรกของเขาก็ตีพิมพ์ขึ้นเมือวัน ปี 16ุ68 ในชื่อ Fables Choisies
         
นิทานของฌ็อง เอด ลา ฟอนเตขึ้นชื่อในเรื่องของความช่างคิดในกระบวนการเสริ้มสร้างศีลธรรม การแผงความรู้ ตระหนักในธรรมชาติของมนุษย์ในสาระสำคัญของเรื่อง ซึ่งทำให้ลักษณะตัวละครในนิทานของเขานั้นดุโหดร้ายไม่เหมาะสมกับนิทานสำหรับเด็ก ซึ่งเขาต้องการให้นิทานมีลักาณะในเชิงเสียดสี วิพากษ์สังคม ศาสนา ความเชื่อของยุคสมัยนั้นมากกว่าอ่านเพื่อความบันเทิง จึงจำเป็นต้องทำให้มีเนื้อหาโหดร้าย ป่าเถื่อนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
           
            "มาเธอร์ กุส " หยิงชาวบ้านเป้นแม่ม่อารมณ์ดีคนหนึ่ง ๙่งเธอมีลูกติดสิบคนเธอโดงดังในฐานะนักเล่านิทานและลำนำจำนวนมากมายเหลื่อเฟือ ที่นำมาเล่าให้ลุกของเธอฟังอยบ่างไม่รู้กหมดสิ้น และเมื่อ ชาร์ลส์ เพอโรลท์ ยอดนักเขียนของฝรั่งเศส ได้ทำการรวบรวมนิทานและเรื่องราวปรัมปราที่นำมาเล่าใหม่ เพื่อจัดทำหนังสือรวมนิทานของเขาชื่อว่า "นิทานมาเธอร์ กูส"ซึ่งมีเรื่องเดนหลายเรื่อง อย่างเช่น เจ้าหญิงนิทรา หนูน้อยหมวกแดง ซินเดอเรลลา...https://sites.google.com/site/pattrasiriphorn11/bukhkhl-sakhay-haeng-lok-nithan/ch-xng-dex-la-fxn-te
           

วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2561

The Decameron

            Fabiau หรือ fabliaux เป็นเรื่องขนาดสั้น ทำให้เป็นที่นิยมในยุคกกลาง ใฝรั่งเศส ซึ่งจะมีควาาม
โดดเด่นด้วยรายละเอียดที่ชัดเจนจากการสังเกตจากประสบการณ์จริง และมักจะเป้นเรื่องหยาบคาย และเหยียดหยายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักนวลสงวนตัวของพวกผู้หญิง
          กว่า 150 เรื่อง ที่ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน  เมื่อได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง fabliaux เป็นตัวแทนของวรรณกรรมของชนชั้นกลาง บางเรื่องได้รับการยอมรับเวลา และได้แพร่หลายไปในประเทศต่างๆ 
          The Decameron  ตำนานสิบราตรี เป็นจุบนิยาย ร้อยเรื่องที่เขียนโดย โจวันนี บอกัชโช นักประพันะ์ชาวอิตาลี ที่อาจจะรเ่มราวผี ค.ศ. 1350 และจบลงในปี ค.ศ. 1353 "ตำนานสิบราตรี" เป็นหนังสือที่เขียนเป็นอุปมานิทัศน์ที่เป็นเรื่องราวของความรักแบต่างๆ ตั้งแต่รักที่ยั่วยวนไปจนถึงรักที่จบลงด้วยโศกนฎกรรม บางท่านก็เชื่อว่าบางส่วนองหนังสือได้รับอิทธิพลมาจาก "ตำราแห่งความรัก" (The Book of Good Love) โดย ฆวน ราอุส
        All's Well That Ends Well โดย เวิลเลียม เชกสเปียร์ ที่มีรากฐานมาจากเล่มสามเร่องที่เก้า หรือ โคลง "อสาเบลลาและกรถางใบโหระพา" Isabella, or the Pot of Basilโดย จิห์น คีตส์ ที่มาจากเรื่องของลิสาเบ็ตตา
 "ตำนานสิบราตรี" มีอิทธิพลต่องานปรพะันธ์และงานจิตรกรรมต่อมอีกมากเช่น "ตำนานแคนเตอร์บรี" โดยเจฟฟรีย์ ชอเซอร์ื หรือ "
          ชื่เอรืงมาจากคำภาษากรีกสองคำผสมกัน  เนื้อเรื่อง "ตำนานสิบราตรี" เป็นหนังสือที่เขียนโดยใช้ดครงสร้างแบลบที่เรียกว่า " เฟมส์ นาราทีฟ" และถือกันว่เป้นวนิยายเล่มแรกที่เขียนเสร็จโดย โจวันนี บอกกัชโช ในปี ค.ศ. 1353 บอกกัชโซเริ่มด้วยการบรรยายถึงกาฬโรค  (กาฬโรคระบาดในยุดรป) และนำไปสู่การแนะนำหลุ่มชายหนุ่มสามคนและหญิงสาวอีกเจ็ดคนที่เป้นตัวละรในเรื่อง ที่หลบหนีจากโรคระบาดในฟลอเรนซ์ ไปยังพำนักอยู่ที่คฤหาสน์ในเนเปิลส์ เืพ่อเป้นการฆ่าเวลา สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มก็จะเล่าเรื่องหนึ่งเื่องต่อแต่ละคือนที่พำนักอยุ่ในคฤหาสน์
          "ตำนานสิบราตรี" เป็นงานชิ้นสำคญตรงที่ให้คำบรรยายอย่างละเอียดถึงผลกระทบกระเทื่นทั้งทางกาย ทางใจ และทางสังคมของกาฬโรคต่อยุโรป และส่ิงที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องหลายเรือ่ง มาปรากฎใน "ตำนานแคนเตอร์บรี" โดยเจฟฟรีย์ ชอเซอร์ แต่ไม่เป้ฯที่ทราบแน่นอนว่าชอเซอร์รู้จัก "ตำนานสิบราตรี" หรือไม่
         
  แพรริเนีย ตัวละครสตรีคนหนึ่งได้รับเลือกให้เป็นราชินีของวันแรก แต่ละวันราชินีหรือราชาของวัก่อนหน้านั้นก็จะเลือกหัวข้อของวันต่อไป แต่ละวันก็จะเป็นหัวเรื่องใหม่ นอกจากวันแรกและวันที่เก้าหัวข้อต่างๆ ก็รวมท้งหัวข้อที่เีก่ยวกับเหตุกาณณ์ร้ายที่ในที่สุก็นำความสุขที่มิได้คาดหวังมาให้ ผุ้ที่ได้รับความสำเร็จตาที่หวังไว้หรือพบส่ิงที่หายไป เรื่องรักที่จบลงด้วยความไม่มความสุข เรื่องรักที่รอดจาภัยพิบัติอันร้ายแรง , ผุ้ที่สามารถรอดจาอนตราย, กลเม็ดของสรีที่ใช้กับสามี, กลเม็ดของทั้งชายและหญิงที่ใช้ต่อกัน และผุ้ที่ได้รับสิ่งต่างๆ อย่างมากไม่วาจะเป็นความรักหรืออื่นๆ
           บรรยากาศของเรืองที่บรรยายใน "ตำนานสิบราตรี" มีอทิะพลเป็นอย่างมากมาจากความเชื่อและความสำคํยของเลขศาสตร์ ของยุคกลาง เช่นเป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่าสตรีเจ็ดคนในเรื่องเป็นสัญลักษณ์ของคุณธรมสีประการ (ความรอบคอบ ความพอประมาณ ความอดทน และความยุติธรรม) และคุณธรรมสามประการของคริสต์ศาสนา (ความศรัทธา ความวหัง และความรัก) และมีผุ้เสนอต่อไปว่าชายสามคนเป้ฯสัฐลักษณ์ของการแบ่งสภาวะของกรีกสามอย่าง (ความมีเหตุผล ความโกรธ และความหลง)
          ชื่อตัวละครในเรื่องของสตรีเจ็ดคนก็ได้แก่ แพนพิเนีย ฟามเม็ตตา ฟิโลเมนา เอมิเลีย ลอเร็ตตา เนฟิเล และเอลิสสา ตัวละครชายก็ได้แก่ พานฟิโล ฟิโลสตราโต และดิโอเนโอ...https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5
         
                   

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2561

The Canterbury Tale

           Lyric คีตกานท์ เกิดจากนักร้องเร่ที่เรยกตัวเองว่า ตรูบาดูร์ จะแต่งบทกวี ขับร้องกับพิณ นิยม
บรรเลงกันในปราสาทของขุนนางและราชสำนัก เป็นเรื่องเกี่ยวกับควารักแบบเทิดทูนต่อสตรีสูงศักด์ ซึ่งได้รับอิทะิพลมาจากราชสำนักของพวกมุสลิม การเทิดทุนสตรีที่สูงศกด์ก่อให้เกิดระเบียบวิะีปฏิบัติที่บุรุษควรมีต่อสตรีเพศ หรือที่เรียกว่า ธรรมเนียมวีรคติ ซึ่งถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดในหมู่อัศวินมีคุณค่าและมีเกียรติยศยิ่งนัก
           Lyric คีตกานต์ เป้นวรรคดีประเภทหนึ่งเป็นที่นิยมในศตวรรษที่ 14 โดยมีความสนและการแสดงออกทางอารมร์ ดยปกติแล้วเนื้อเพลงจะกล่าวถึง "ช่วงเวลา" โดยปกติแล้วจะพุดหรือแสดงในบุรุษที่ หนึ่ง แม้ว่าเนื้อบางส่วนจะมีเรื่องเล่าก้ตาม แต่จะมีเพียงครั้งคราว เนื่องจากเนื้อร้องสะท้อนถึง
"คุณสมบัติชุน" และการระบุผุ้เขียนเป็นเรื่องยากมาก เนื้อเพลงส่วนใหญ่มักยกเลิกการจับยคุ่และปรากฎในคอลเล็กชันที่ไม่มีความเป็นเอกภาพในตัว มีหลายเพลงที่ยังคงดำรงมาถึงปัจจุบัน ได้รับการกล่าวขวัยกันอย่างแพร่หลายในหลายรูปแบบต่างๆ ก่อนที่จะถูกเขียนลงเป็นหลักฐาน ซึ่งปรากฎในบทกวีภาษอังกฤษ ยุคกลาง โดยเฉาพะเรื่อง The Canterbury Tale  ของ Geoffrey Chaucer..
         The Canterbury Tales ตำนานแคนเตอร์บรี เป้ฯวรรณกรรมที่เขียนโดย เจฟฟรีย์ ชอเซอร์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นเรื่องยอ่ยที่รวบรวมกันเป็น
หนังสือ (สองเล่เป็นร้อยแก้ว อีกยี่สิบสองเล่มเป็นร้อยกรอง( ทีเป็นตำนานที่เล่าดดยนักแสวงบุญแต่ละคนจากซัทเธิร์ด ในลอนดอนที่เินทางกันไปแสวงบุญที่ซาเปลของนักบุญทอมัส เบ็ดเค็ทที่มหาวิหารแคนเตอร์บรี ไตำนานแคนเตอร์บรี" เขียนเป็นภาษาอังกฤษสมัยกลาง เรื่องราวต่างถือกันว่าเป้นหนึงในมหาวรรณกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจาก "ตำนานสิบราตรี" ที่เขียนโดยกวีชาวอิตาลี จิโอวานนิ โบคคาชโช ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ที่กล่าวกันว่าชอเซอร์ได้อ่านเมื่อเดินทางไปท่องเที่ยวในอิตาลีก่อนหน้านั้น แต่ผุ้ที่เล่าเรื่องในตำนานของชอเซอร์เป็น "มนุษย์เดินดิน" แทนที่จะเป็นเรื่องของชนชั้นขุนนางเช่นใน "ตำนานสิบราตรี" ของโบคคาชโช
         https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B5
เรื่องย่อ ในวันหนึ่งในเดือนเมษายนกลุ่มนักแสวงบุญพบปะกันหน้าโรงแรมทาบาร์ดไม่ไกลจากลอนดอนพร้อมกับเจ้าของโรงแรม เืพ่อจะเดินทางจากลอนดอนไปยังแคนเอตร์บรี เพื่อจะไปสักการะหลุ่มศพของนักบุญทอมัส เบ็ดเค็ทที่มหาวิหารแคนเตอร์บรี ชอเซอร์บรรยายสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มอย่างละเอียดที่มาจากชนชั้นต่างๆ ทั้งชนชั้นสูง ชั้นกลาง และชั้นต่ำ ที่ีอาชีพต่างๆ กันทั้งนักบวช แม่ชี คนเรือ คนสีข้าว ช่างไม้ เจ้าหน้าที่ ผุ้ดีท้องถ่ิน อัศวิน และอื่นๆ แฮรี เลลีย์เจ้าของโรงแรมเสนอให้ทุกคนในกลุ่มเล่าเรื่องของตนเองระหว่างการเดินทางซึ่งก็เป็นที่ตกลงกันว่าแต่ละคนเล่าเรื่องคนละสีเรื่องสองเรื่องขาไปและอีกสองเรื่องขากลับผุ้ที่เล่าเรื่องที่น่าฟังที่สุดที่ตัดสินโดยเบบีย์ก็จะได้กินอาหารฟรีโดยสมาชิกช่วยกันจ่ายให้ ผุ้เล่าเรื่องคนแรกคือ ขุนนาง เื่องแต่ละเรื่องก็สะท้อนให้เห็นถึงฐานะทางสังคมของผุ้เล่า หรือบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่เล่าขึ้นเพ่อเสียดสีผ้อื่นในกลุ่ม แต่ในตอนจบก็ไม่มีเรื่องใดที่ได้รับเลือกว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด และนักแสวดงบุญก็ไม่ได้เล่าเรื่องกันทุกคน ในบทสุดท้ายชอเซอร์ก็กล่าวขอขมาถ้าเรื่องราวที่เล่าไปก้าวก่ายผุ้ใด...

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2561

Romance

            อัศวิน คือ บรรดาศักดิ์อย่างหนึ่ง พื้นฐานดั้งเดิมของพวกเขา "นักรบ" และไม่ใช่นักรบธรรแต่เปนนักรบบนหลังม้า ซึ่งในยุคสมันนั้นถือว่าเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันในสงคราม บรรดาอัสวินในยุคนั้นจะเป็น
เสมือนทหารรับจ้างไปประจำอยุ่ตามปราสาทต่างๆ ตามแต่จะถูกขุนนางคนไหนจ้างไป แต่ถึงจะบอกว่าเป้นนักรบบนหลังม้าแต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เก่งถ้าไม่มีม้า เพราะคนที่ต้องสวมเกราะเหล็กตั้งแต่หัวจรดเท้าสะพายดาบ รวมๆ หลานสิบกิโลออกไปฟาดฟันในสนามรบเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันๆ ได้ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เพียงแต่พวกเขาจะแข็.แกร่งมากเมืออยู่บนหลังม้า เรพาะนักรบและม้าติดเกราะในยุคสมัยนั้นไม่ต่างอะไรจากรถที่วิ่งชนคนให้กระเด็นได้ง่ายๆ เมื่ออัศวินได้รับชัยชนะจากการต่อสุ้ (ปบบมีชีวตกลับมา) ก็อาจได้รับเงินทองที่ดิน ตามแต่รางวัลที่ตกลง หรืออาจได้แต่งงานเข้าตระกูลขุนนาง เรพาะใครๆ ก็อยากมีนักรบที่เก่งกล้าไว้ใกล้ตัวในยามมีศึกสงคราม ทำให้มนักรบมากมายที่ใช้สงครามดันตัวเองจากการเป็นชนชั้นล่างขึ้นเป็นลกุ่มชนชั้นกลางในยุคสมัยนั้น ในภายหลังอัศวินจึงไม่ใช่แค่ทหารรับจ้าง แต่อาจเป้นได้ถึงขุนนางผุ้ครองที่ดินมีปราสาทมีเขตแดนของตัวเอง
           ระบบวีรคติ  อย่างที่เราทราบกันดีว่าแผ่นดินยุโรปในยุคสมัยนั้นมีสองสิ่งเป็นส่ิงยึดเหนียวของคนทั่วไป นั้นคือ ศาสนาคริสต์และสถาบันกษัตริย์ ซึ่งทั้สองอย่างต่างก็มีความสัมพันะ์กันอย่างใกล้ชิด และใช้อัศวินเป็นเครื่องมือในการทำสงครามเหมือนกัน อัศวินในสังกัดจึงเป็นทั้งหยาตาของกษัตริย์และศาสนาด้วย จึงต้งอมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อประชาชนทั่วไป ระบบวีรคติจึงถุกสร้างมา (แน่นอนว่ามันถุกใช้เพื่อควบคุมพฤติกรรมอัศวิน้วย) โดยอัศวินที่ดีจะต้องเก่่งกาจ กล้าหาญ เด็ดขาด มีวินัยในฐานะนักรบ แต่ก็ต้องมีความสุภาพ เมตตา เสียสละ ให้เกี่ยรติแก่ข้าศึกเมืองอีกฝ่ายยอมแพ้ ช่วยเหบลือเมือสตรีตกอยู่ในอัตราย ปกป้องคนชรา เด็ก หญิงหม้าย เป้ฯที่พึงพิงในแก่คนอ่อนแอ
         http://www.enter-books.com/chivalry_knight/
ด้วยเหตุนี้จึงมีบรรดาตำนานเรื่องเล่าต่าง ๆเกี่ยวกับอัศวินที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญอยู่เต็มไปหมด เพราะมันคือเงือนไขสำคัญในการเป้นอัศวินนันเอง และชุดเกราะกับม้ก็เป็นเครื่องแบบที่ทุกคนต้องมี จึงกลายเป้นภาพจำของทุกคนว่ากองทัพอัศวินขี่ม้าคือผุ้ผดุลคุณธรรมที่แสนกล้าหาญแต่ภายหลังการที่นักรบทั่วไปจะก้าวไปเป็นอัศวินด้ยตนเองจะไม่ง่ายอีกแล้ว เรพาะรรดาขุนนางจะให้ลูกหลานตนเองมาฝึกเป็นอัศวินตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบปี โดยให้ฝึกกับอัศวินตัวจริง และการห้าม้าและชุดเกราะที่ดีก็เกิดกำลังกว่าคนยากจนจะหาได้..
         
        Sir Gawain and the Green Knight  เป็นเรื่องของเซอร์กาเวน หลายชายของกษัตริย์อาเธอร์ ที่ประลองกับอัศวินมรกต ซึ่งว่ากันว่า "ดูลาฮาน" กำเนิดจากตำนานเรื่องนี้เช่นกัน
          อัศวินมรกตได้ทำการท้าเซอร์กาเวน หนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมหใ้ต่อสู้กันด้วยเงื่อไขที่ว่าใครก้ตามที่ตายในครั้งนี้จะถือว่าเป็นการตายเอง ไม่มีผุ้ใดสังหาร ด้วย กฎ "a year and one day " ซึ่งถ้าพ่ายแพ้จะหมายถึงการสูญเกี่ยติแห่งนักรบ แต่เซอร์การเวนก็ยังวรับยคำท้านี้ เซอร์กาเวนรับขวานมาจากอัศวินมรกต และต่อสุ้กันในเวลาไม่นาน เขาก็ฟันหัวอัศวิน
          มรกตขาดในฉับเดียว ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป้นการรักษาสัญญาที่ว่าผุ้แพ้จะต้องตายด้วยกฎ นี้ อัศวินมรกต จึงก้มลง ห้ิวหัวตอนเองแ ละควบทยาม้าออกไป
          เพื่อไม่ให้ใครรุ้ว่าตนสิ้นใจ้อวยคมดาบแห่งเซอร์กาเวน ทางด้านเซอร์การเวนก็ถึงกับทึ่งในสัจจะของอัศวินมรกต จึงเล่าเรื่องของอัศวินมรกต ให้กษัตริย์อาเธอร์ฟัง พอกษัตริย์ อาเธอร์ได้ผฟังจึงเล่าเรื่องี้ต่อๆ ไป เพื่อยกย่องเซอร์กาเวนในความเก่งกาจและความซื้อสัตย์ของอัศวินมรกต...https://sites.google.com/site/zakurakamisama/sir-gawain-and-the-green-knight
       หรืออีกเรื่องหนึ่ง  A Knight's Tale ซึ่งถูกนำมาทำเป็นภาพยนต์ในปี 2544
     
 " ถ้ามีความศรัทธา มนุษย์สามารถทำได้ทุกอย่าง" แธ๊ตเขอร์ผุ้ยากจนกล่าวกับบุตรชายเช่นนั้น "มนุษย์สามรถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้" แต่ในยุโรป ยุคสตวรรษ?ี่ 14 ชะตากรรมมีิอาจกำหนด เพราะชะตากรรมมนุษย์ได้ถุกกำหนดไว้แล้ว
          สำหรับวิลเลียม บุตรชายแธ๊ตเชอร์ที่ยากไร้ ผุ้มีชาติกำเินดแสนต่ำต้อย มันดุเป็นเาืองที่ยากจะเข้าใจที่เขาจะทำใจรับได้ว่าความฝันที่จะได้เป็นอัศวินนั้นเป็นเพียงความฝันล้มๆ แล้ง ๆในวัยเด็กในยุคสมัยที่การเลื่อนสถานะยังไม่ใช้แนวคิดที่ผุ้คนยอมรับได้ ชะตากรรมจึงมิอาจเปลียนแปลงในชั่วข้ามคือนผุ้คนต้องตายไปในสถานะเดิมกับเมืองถือกำเนิดมา นันคือข้อกำหนดแห่งธรรมชาติ ซึ่งในภายหลังวิลเลี่ยมก็สามารถยกระดับฐานนะของตนขึ้นสูงกว่าเดิม...https://www.siamzone.com/movie/m/410
         รายการ นิยายวิรคติในสมัยกลางของยุโรป อาทิ
         - Chrétien de Troyes, Lancelot-Grail, Perceforest, The Knight in the Panther's Skin, Valentine and Orson , King HornThe Squire of Low Degree,Roman de la Rose , เป็นต้นhttps://en.wikipedia.org/wiki/Chivalric_romance
         
       

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2561

Chanson de Roland

         
 อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีส่งิใดที่ยุดรปได้ประสบมาก่อนหน้านี้หรือภายหลังจากนั้นที่จะสามารถเรียบเทียบในความกระตือรือล้นได้เท่ากับสงครามครูเสดในครั้งแรก
           คลื่นแห่งความมัวเมาไหลยบ่าท่วมทั่วทั้งยุโรป นับเป้นความตราตรึงใจครั้งแรกที่พวกเขาสามารถก้าวพ้นกำแพงขวางกั้นระหว่างรัฐ ระหว่างเผ่าพันธ์และระหว่างชนชั้น ก่อนหน้านั้นพวกเขาแบ่งเป้นพวกแฟรก์ พวกแซกซอน และเยอรมัน เป็นเบอันเดียน และชิลีเซียน เป็นนอร์แมนและบลอมบาร์ การผสมผสานระหว่างเผ่าพันธ์และชาติพันธุ์เป็ส่ิงที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้ แต่มีข้อเท็จจริงที่
ว่าอาณาจักร
ฟิวดัลและแว่นแคว้นต่างๆ ของพวกเขาเกือบทั้งหมดเป้ฯเศษเสี้ยวหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน และพวกเขาทั้งหมดต่างยืนยันว่าพวกเขามีความเชื่อแบบคริสต์ แต่กรณีของครุเสดสายสัมพันะทางศาสนาถุกยกขึ้นสู่อีกระดับหนึ่ง เหตุผลที่เหมือนกันต่อชาวยุโรปทุกคนคือแนวคิดศาสนาว่าด้วยคริสจักร์ ซึ่งต่อมาได้ให้กำเนิดแนงคิดทางวัฒนธรรมของยุโรป เมื่อคำประกาศที่มีชื่อเสียงของโป๊ปเออร์บันที่ 2 ถูกประกาศออกไปที่เดลอมองค์ ในเดือนพฤศจิกายน 1095 เร่งเร้าให้คริสเตียนทำสงครามกบชนชาติดันชั่วร้ายที่ครอบครองดินแดน สักดิ์สิทธิ์ โป๊ปอาจจะไม่รู้ว่าคำประกาศของเขาได้กลายเป็นกฎบัตรของอารยธรรมตะวันตกในเวลาต่อมา
       
   ประสบการณือันบอบช้ำของสงครามครุเสดได้ทำให้ยุดรปตระหนักในวัฒนธรรมและเอกภาพของพวกเขา แต่ประสบการณ์เดียวกันนี้ด้นำไปสู่การเกียจชังอิสลาให้ปรากฎต่อ สายตาของตะวันตก สงครามครูเสดจึงมิไใช่เป็นเพียงแค่สงครามและการนองเลือด
            ในช่วงสงครามครุเสดนี้เองที่ความคิดในการเกียจชัวอิสลามได้กระพือขึ้นโดยการกล่าวหา และใส่ร้ายซึ่งความคิดดังกล่าวได้เข้าไปฝังในความเข้าใจของตะวันตกและยังไม่เคยลบเลือน( ดังความเกียจชังที่ถุกปลูกฝังจากผุ้มีอำนาจทำให้มโนคติที่มีต่อศาสนาอิสลามผิดแผกไป)
            จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มหากพย์ ของซอง เดอ โรลองค์ อัน เผ็ดร้อนที่กล่าวถึงวีรกรรมของชาวคริสเตียนที่สามารถเอาชนะมุสลิมพวกนอกรีต ในตอนใต้ของฝรั่งเศสจะถูกนำมาขับร้องไม่เพียงแต่ยุคดังกล่าวเท่านั้น แต่ถูกนำมาขับขานเรื่ยมา ก่อนหน้าสงครามครูเสดครั้งแรกเล็กน้อย เพลงร้องนี้ได้กลายมาเป็นเพลงชาติของยุโรป และไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีนั้นแหละที่มหากาพย์สงครามเรื่องนี้จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของวรรณกรรมยุโรป ซึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับวรรณกรรมท้องถ่ินก่อนหน้านี้เนื่องจากความเป็นปรกปักษ์อักบอิสลามได้ยืนตระหงาน ณ จุดเริ่มต้นของอารยธรรมยุโรป
            ความขุ่นเคื่องในอดีตของตะวันตกที่มีต่ออิสลามซึ่งมที่มาจากศาสนาจะยังคงผ้งแน่นอยู่ในจิตใต้สำนึกในยุคที่ศาสนาเกือบจะหมดความสำคัญไปจากจินตนาการของชาวตะวันตกไปแล้วแต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด เรารู้ว่าบุคคลหนึ่งอาจสูญเสียความศรัทธาที่ได้รับการปลูกฝังในตัวเขาขณะที่ยังเป้ฯเด็ก อย่างไรก็ตมอารมณ์พิเศษบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมโยงกับความศรทธาเหล่านั้นยังคงมีอยู่โดยปราศจาก เหตุผลยังคงวมีอิทธิพลกับชีวิตของเขาในเวลาต่อมา...https://web.facebook.com/permalink.php?story_fbid=123950937775682&id=116911551812954&substory_index=0&_rdc=1&_rdr
          https://my.dek-d.com/savage-devil/writer/viewlongc.php?id=664047&chapter=12
  มหากาพย์ ชองซองเดอโรลองด์ เป็นวรรกรรมสดุดีวีรกรรมของอัศวินของฝรั่งเศสในช่วงสมัยกลาง มหากาพย์เรื่องนี้มีต้นกำเนิดมาจากเหตุการ์ทางประวัติศาสตร์ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 8 ความสำคัญของวรรณกรรมเรืองมหากาพย์ ชอง ซอง เดอโรลองด์ ในฐานะหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ก็คือ ให้ข้อมุลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สังคมในกรอบความคิดและโลกทัศน์ของคนในยุโรปของคนในยุโรปใช่วงสมัยกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบฟิวดัล และความศรัทธาในคริสต์ศาสนา..
            มหากาพย์ ชองซองเดอโรลองด์ เป้นเรื่องราวการต่อสู่ของ โรลองค์ ทหากรคนสนิทของจัรกพรรดิชาร์เลอมาญกับกองทัพของพวกซาราเซ็นซึ่งเป็นมุสลิมที่เดินทัพมาจากสเปนเพื่อพิชิตยุโรปตะวันตก กองทัพของโรลองด์ถุกฝ่ายมุสลิมซุ่มโจมตีในเทือกเขาพิเรนีส โรลองด์เสียชีวิตในสนามรบ ของซองเดอโรลองด์เป็นที่นิยมของพวกชสชั้นสูงโดยเฉพาะยอ่างยิ่งพวกนักรบ เรพาะสะท้อนให้เก็นถึงทัศนคติ ความกล้าหาญ ความเสียสละของนักรบ อุดมกาณ์ จริยธรรมตลาอดจนความมีศรัทธาในคริสต์ศาสนาอย่างเด่นชัดhttps://sites.google.com/site/prawatisastrr/phathnakar-khxng-yurop-smay-klang/xary-thr-rm-smay-k
 
           

วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561

City of God (St. Augustine)

          วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ              วรรณกรรมทางโลก
          วรรณกรรมทางศาสนา ที่สำคัญ คือ เทวนคร โดยนักบุญออกัสติน เป็นเรื่องราวการสร้างโลกตามคติศาสนา มหาเทววิทยา โดยนักบุญทอมัส อะไควนัส เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความเชื่อ และศรัทธาในคริสต์ศษสนาอย่างมีเหตุผล ใช้สอนวิชาเทววิทยาในมหาวิทยาลัีย
           วรรณกรรมทางโลก แบ่งออกเป็น ๕ ประเภท ได้แก่
           1. มหากาพ epic หรือที่เรียกว่า ชาซอง เอด กาสต์ เป็นเรื่องราวของการสร้างวีนรกรรมขอววัรบุรุษในอดีต นิยมประพันธ์ด้วยโคลงกลอน วรรณกรรรมประเภทนี้ได้แก่ ชาซอง เอด โรลองด์ เป็นเรื่องราวของการต่อสู่ของโรลองค์ ทหารคนสนิทของพระเจ้าซาร์ลมาร์ลกับกองทัพมุสลิมที่เดิทัพมาจากสเปนเพื่อพิชิตยุโรปตะวันตก
           2 นิยายวีรคติหรือนิยายโรมานซ์ romance ประพันธ์เป็นคำกลอนขนาดสั้นยาว นิยายประเภทเพ้อฝันเป็นเรื่องราวความรักของคนหนุ่มสาวความจงรักภักดีของอัศวินต่อเจ้าและขุนนาง เวทมนตร์คาภา นิยายที่เป็นที่นิยมกันมาก ได้แก่ เรื่องเกี่ยวกับสงครามโทรจันในสมัยกรีก พรเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช โดยทั่วไปเป็นเรื่องราวความรักของคนหนุ่มสาวที่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ความรักสมปรารถนาส่วนใหย๋มักเป็นเรื่องชู้สาว
            3 คีตกานท์ lyric เกิดจากนักร้องเร่ที่เรียกตัวเองว่า ตูรบาดูร์ จะแต่งบทกวี ขันร้องกับพิณ นิยมบรรเลงกันในปราสาทของขุนนางและราชสำนัก เป็นเรื่องเีก่ยวกับความรักแบบเทิดทูนต่อสตรีสูงศักดิ์ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากราชสำนักของพวกมุสลิม การเทิดทูนสตรีที่สูงศักดิ์ก่อให้เกิดระเบียบวิะีปฏิบัติที่บุรุษควรมีต่อสตรีเพศ หรือที่เรียกว่า ธรรมเนียมวีรคติ ซึ่งถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด ในหมู่อัศวินนักรบของสมัยกลางในภายหบังซึงบุรุษชั้นสูงจะแสงหาความรักแบบเทิดทูนต่อสตรีผุ้สูงศักดิ์โดยไม่ ปรารถนาความรักตอบแทน เพราะถือว่า การทุอทิศตนเพื่อสตรีที่รักทำให้ชีวิตของการเป็นอัศวินมีคุณค่าและมีเกี่ยรติยศย่ิงนัก
       
4 นิทานฟาลิโอ เป็นวรรณกรรมของขาวย้านทั่วไป เป็นนิทานั้นๆ เขียนเป็นโคลงกลอน ซึ่งเป็นเรื่องเสียดสีสังคมชนชั้นสูง ตลกขบขันเล่ห์เหลี่ยม ความไม่ดีงามและบางครั้งค่อนข้างหยาบ งานประพันธ์ที่ได้รับอิทธิพล ได้แก่เรื่องเทอร์เบอรี เทลส์
          5 นิทานสัตว์ เป็นนิทานร้อยแก้วหรือร้อยกรองในลักาณะของนิทานอีสป เนื้อหาล้อเลียนเสียดสีสังคมฝรั่งเศสในสมัยกลางประณามระบบฟิวดัล กระบวนการยุติะรรม และวงการศาสนา.../sites.google.com/site/historythemiddleage/yukh-klang-txn-play/wrrnkrrm
           The city of god ออกัสตินแบ่งสังคมของมนุษย์ออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ครอบครัว เมืองพื้นโลกและมนุษย์บนโลก และจักรวาล จากคำว่าเมือง ออกัสตินแบ่งเป็น 2 ปรเภท ไ้แก่ครอบครัว เมืองพื้นโลกและมนุษย์บนโลก และจักรวาล จากคำว่าเมือง ออกอัสตินแบ่งเป็น 2 ประเภทคือเมืองของพรเจ้ากับเมืองมนุษย์ หัวใจของเรื่องคือ การเปรียบเทียบจักรวรรดิโรมันซึ่งเป็นอาณาจักรทางฆารวาส และ city of god หมายถึงถึงศาสนจักร  เคน เป้นผุ้ก่อตั้งเมืองแรก ดังนั้จึงเป็นเมืองชั่วร้าย ส่วน ซิตี ออฟ ก็อท เป็นอาณาจักรทางศาสนาของพระเจ้า ศาสนตักรมีรากฐานตากพระเจ้าและเป็นภาพสะท้อนขอ
อาณาจักรบนสวรรค์ เขาสรุปว่า โลกนีประกอบด้วยเมืองสัญลักษณ์ 2 เมือง คือเมืองแห่งความดีและเมืองแห่งความชั่ว โดยเมืองแห่งความดีคือตัวแทนแห่งพระเจ้า เมืองแห่งความชั่วคือมเืองขอปีศาจ
ประวัติศาสตร์ของมนุษย์เป็นตกาต่อู้ระหว่งอำนาจ 2 อย่าง จุดมุ่งหมายของการต่อสู้ก็เพ่อจะตัดสินว่ามนุษย์จะได้รับความรอดหรือการสาปแช่งชั่วนิรันดร์ จุดประสงค์ของชีวิตแต่ละคนคือ การมีความสัมพันะ์ที่เหมาะสมกับพระเจ้า จากทัศนคตินี้ประวัติศาสตร์ คือ บันทึกการติดต่อระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ ศูนย์กลางของประวัติศาสตร์ก็คือ ชีวิตของพระเยซูเจ้า แบ่งเป็นสมัยก่อนพระเยซู เร่ิมขึ้นตั้งแต่อดัมเกิดขึ้นถึงการประสูตรของพระเยซู
          ประวัติาสตร์ คือ การเตียนมตัวของมนุษย์มุ่งสร้าความรอดโดยผ่านพระเยซู เร่มขึ้นตั้งแต่อดัมเกิขึ้นถึงการประสูตรของพระเยซูประวัติศาสตร์คือ การเรียมตัวของมนุษย์มุ่งสร้างความรอดโดยผ่านพระเยซู ซึ่งอดัมเป้นคนที่ 2 การเรครยมการนี ออกัสตินได้แบ่งระยะเวลาประวัติศาสตร์ออกเป็ยุคต่างๆ ดังนี ยุคที่ 1 นับตั้งแต่พระเจ้าสร้างมนุษย์คนแรก คืออดัม ไปจนถึงน้ำท่วมโลกและเรื่องของโนอาห์ ยุคที่ 2 จากโนอาห์ถึงสมัยของอับราฮัม บรรพบุรุษของชาวยิว ยุคที่ 3 จากสมัยอับราฮัมถึงสมัยพรเจ้าเดวิด กษัตริย์ยิวทีทรงสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่ราชอณาจัร ยุคที่ 4 ากสมัยกษัตริย์เดวิดจนึงเมือถึงการเนรเทศครั้งใหญ่ ยุคที่ 5 จากสมัยเนรเทศครั้งใหญ่จนถึงกำเนิดของพระคริสต์ ยุคที่ 6 ยุคปัจจุบน ซึ่งออกัสตินเรียกว่า "มิลเลเนียม" ซึ่งแปลว่า หนึ่งพันปี แต่ออกัสตินไม่ได้หมายึวามว่าจะเป็นเวลา หนึ่ง
พันปี จริงๆ เพราะเขาให้เหตุผลว่า พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบ" ว่าจะยาวนาสสักเีพยงใด ยุคที่ 7 "วันสะปาโต"หรือวันหยุดของพวกยิว ออกัสตินหมายถึงสมัยที่พระผุ้เป็นเจ้าจะโปรดผุ้รอด หรือวันแห่งการตคัดสินครั้เงสุดท้าย ยุคที่ 8 ออกัสตินเรียกว่า วันของพระผุ้เป็น ถือว่า เป็นวันที่ 8 และวันอันยืนยาวชั่วกัลปาวสาน อันประกอบด้วยการตือพระชนม์ของพระคริสต์เจ้า การกลับคืนรูปจากการพักผ่นชั่วกัลป์ ไม่เพียงแต่ในรูปของจิตวิญญาณเท่านั้น หากในรูปของร่างกายด้วย ณ ที่นั้น เราจะได้พักผ่อนและชมและรักและสรรเสริญ นี้คคืออวสานที่ปราศจากอวสาน...
           นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ ได้สรุปการแบ่งยุคของออกัสติน คือ ในยุคต่างๆ ทั้งหมดนี้ ดดยเฉาพะยุคที่ผ่านมาแล้วจนถึงปัจจุบัน ออกัสตินถือว่าการกำเนิดของพระเยซูคริสต์เป็นเหตุการสำคัญที่สุด เหตุการณ์ในทุกยุคย่อมมีศูนย์กลาวที่ชีวิตของพระเยชู เหตุการณ์ก่อนหน้าพระเยซุก็เกิดขึ้นเพื่อทำให้โลกอยุ่ในสภาวะที่พร้อมจะรับการกำเนิดของพระมหาไถ่ เพื่อที่พระมหาไถ่สามารถปฏิบัติภาระกิจของพระองค์ได้สะดวก เหตุการณ์หลังจากชีวิตของพระเยซูก้ล้วนเป็นผลสืบเนื่องมาจากการไถ่บาปของพระองค์ เรื่องราวของมนุาย์หลังจากนันคอ เรื่องราวของการขยายตัวของคริสตศาสนา มีเหตุการณ์เด่น ๆ เช่น การรับศาสนามิได้ และการถือเอาเป็นเกิดของพระเยซูเป็นศุนย์กลางของประวัติศาสตร์ของมนุษย์อย่างแท้จริง ถ้าจะแบ่งยุคของประวัติศาสตร์อย่างชัดเจนที่สุดแล้ว ก็มีแต่ยุค ก่อนพระเยซูกำเนิด และยุคหลังจากพระเยซูกำเนิด แล้วเท่านั้น ตามความคิดของออกัสติน ประวัติศาสตร์ของมนุษย์มีเป้าหมาย เป้าหมายคือการได้รับความรอดชั่วนิรันดร์ พระเจ้าจะชขนะการต่อสู้ระหว่างความดีและความเลว เื่พอความอยุ่รอดของมนุษย์ พระองค์จะประทานรางวัลแก่มนุษย์ผุ้ยังมิได้เสื่อมศรัทธาต่อความสามารถของพรเจ้า จากทฤษฎีนี้แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จทางวัตถุไม่มีความสำคัญและโลกเป็นเพียงห้องสำหรับรอคอยเพื่อรอรับhttps://www.gotoknow.org/posts/422616
ความรอด ออกัสตินได้อธิบายเรื่องความดีความชั่วในตัวมนุษย์ไปในขณะเดียวกัน หรือการเป็น 2 นครในขณะเดียวกัน คือ เทวนครในขณะเดียวกัน คือ เทวนครคือนครที่ประกอบไปด้วยความดีงามอันสูงส่ง ส่วนมนุษยนครคื อกายที่ใฝ่ต่ำ วิญญาณที่เป็นของสูงแสดงออกได้ก็แต่กายใฝ่ต่ำลักษณะเช่นนนี้จึงทำให้การปลีกเลี่ยวไม่ทำความช่วของมนุษย์หรือการที่จะตออยู่ในมนุษย์นครนั้นเป็นสิ่งหลีเลี่ยงได้ยากแต่ออกัสตินได้เสนอแนะว่า ถ้ามนุษย์จงรักภักดีและเชื่อฟังต่อพรเจ้า สวดอ้อนวอนและระลึกถึงพระเจ้าทุกขณะจิตแล้วมนุษย์จะสามารถหลีกเลี่ยงการอยู่ในมนุษยนครได้  นอกจากนี้ออกัสตินยังได้อธิบยจุหมายปลายทางสูงสุดของ 2 นครไว้ว่า ความสุขใดไม่มีความทุกขืเจือปน ความสุขนั้นเป้นความสุขนิรันดร์ ไม่มีวันดับสูญ ความสุขนี้มิได้อยู่ในโลกแต่อยู่ในชีวิตนิรันดร์ บุคคลที่จะอยู่ในชีิวิตนิรันด์นี้ย่อมขึ้นอยุ่กับการตัดสินจองพระเจ้าใจครั้งสุดท้ย นั้นคือเมื่อวาระสุดท้ายของโลกมาถึง พรเจ้าจะเสด็จมายังโลกมนุษย์อี พระเจ้จะทรงฟื้นมนุษย์ทั่้งหลายที่เสียชีวิตไปหมดแล้วใหมีชีวิตขึ้นจมาใหา่ หลังจากนั้นพรเจ้าจะทรงพิพากษาแบ่งแยดว่าผุ้ใดที่จะได้ไปอยู่ในเทวนครคือชีวิตที่มีความเป็นนิรันด์กับพระเจ้า และผุ้ใดที่จะต้องถุกลงโทษโดยกรต้องไปทนทุกข์ทรมานกับซาตานในนคร เคน ได้เป็นผุ้ก่อตั้งเมืองแห่งปีศาจหรือมนุษยนคร ดังนั้น เมืองของปีศาจจึงเป้นเมืองแห่งความชั่วร้าย ส่วนเทวนครจึงเป้ฯอาณาจักรของพระเจ้า ศาสนจักรมีรากฐาน และเป็นภาพสะท้อนของอาณาจักรบนสวรรค์ นั่นคือ โลกนี้ประกอลด้วยเมืองสัญลักษณ์ 2 เมือง คือ เมืองแห่งความดีและเมืองแห่งความชั่ว เมืองแห่งความดีเป็นตัวแทนแห่งพระจเ้า เมืองแห่งความชั่วเป็นตัวแทนแห่งปีศาจ
       

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...