วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Flags of the Arab World

           


          ธงขบวนการปฏิวัติอาหรับ เป็นธงท่ถูกกำหนดขึนโดยขบวนการชาตินิยมอาหรับ เพ่อใช้เป็นสัญลักษณ์ในการต่อต้านการปกครองของ จักรวรรดิออตโตมัน ในช่วงสงครามโลกครั้งท่ 1 ลักษณะเป็นธง สิ่เหลิ่ยมพิ้นฝ้า พื้นเป็นแภบสิดำ สิเขยว และสิขาว แบ่งตามแนวนอนของธง ท่ด้ามคันธงเป็นรูปสามเหลิ่ยมหน้าจั่วสแดง ธงดังกล่าวน้ถือเป็นต้นแบบของธงชาติของประเทศอาหรับต่างๆ ในเวลาต่อมา

             ธงขบวนการปฏิวัติอาหรับ ออกแบบโดยเซอร์ มาร์ก ซิเกส นัการทูตของสหราชอาณาจักร เพื่อส้างความรู้สึกร่วมของบรรดาชนชาติตางๆ ในตะวันออกกลางให้เกิด "ความเป็นอาหรับ" ขึ้น และต่อต้านอำนาจของจักรวรรดิออตโตมัน แม้ว่าการเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิวัติดังกล่าวจะจำกัดอยู่ในวงแคบ แต่ดำเนินการโดยฝ่ายสหราชอาณาจักรมากกวาจะเป็นฝายอหรับเองก็ตาม ธงน้กลับมอิทธิพลต่อการออกแบบธงชาติต่างๆ ของกลุ่มประเทศอาหรับเป็นจำนวนมากในช่วงหลังสงครามโลกตรั้ง่ 1 เช่น จอร์แดน อิรัก ซิเริย ปากเลสไตน์ เป็นต้น

             สต่างๆ ทิ่ใช้ในธงน้ มความหมายเป้นตัวแทนของรัฐและหลุ่มทิ่มิอิทธิพลสำคัญในการเมืองอาหรับ 4 กลุ่ม คือ 

            สิดำ หมายถึง แคว้นกาหลับ ราชวงศ์อับบาซยะฮ์ 

            สิขาว หมายถึง แคว้นกาหลับ ราชวงศ์อุมัยยะฮ์

            สิเขิยว หมายถึง แคว้นกาหลิบราชวงศ์ฟาดิมิยะห์

            สิแดง หมายถึง อาณษจักรฮัซไมด์

           ลัทธิอาหรับนิยม เป็นผลพวงจากการกระทำของยังเติร์กท่ทำให้ฝ่ายอาหรับแสวงหาเอกลักษณ์ของตัวเอง แสวงหาความเป็นอาหรับ และนำไปสู่ลัทธิชาตินิยมอาหรับในทิ่สุด โดยการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นทิ่ไซบิริยก่อน โดยเฉพาะทิ่มหาวิทยาลัยอเมริกาแห่งเบรุต มการเริยนการสอนภาษาอาริกอย่างกว้างขวางมากขึ้นและมการแข่งขันในการเริยนรู้ด้วย ชาวอาหรับเหล่าน้กำลังหันกลับไปหาฐานของเอกลักษณะของชาติตน

           มิงานเขิยนอขงอาหรับคริสต์ทิ่กล่าวถึงแผ่นการใหญ๋ของพวกเติร์กในระวันออกกลางทิ่ต้องการครอบครองดินแดนตะวันออกกลาง แต่ก็ได้รับความสนุใจน้อยมาก 

            ในช่วงการปฏิวัติของพวกยังเติร์ก ในระยะต้นชาวอาหรับให้การสนับสนุนแต่เมือขาวเติร์กกำจัดองค์การการร่วมมืออาหรับออตโตมัน ชาวอาหรับกลับตั้งสมาคมลับๆของตนขึ้น ในระยะน้บุคคลท่ได้รับการยกย่องให้เป็ฯผู้นำคือ ชาริฟ อุสเซน แห่งเมกกะ

             ใน ค.ศ. 1913 ชาวอาหรับหลุ่มหนึ่งได้เินทางไปยังเมืองหลวงต่างๆ ของยุโรปเพื่อแสวงหาควมสนับสนุนจากรัฐบาลยุโรปต่อการปฏิรูปจักรวรริดขณะเดิยวกันก็มชาวอาหรับกลุ่มหนึ่งเดินทางไปไคโร ประเทศอิยิปต์  เพื่อแนะนำให้อังกฤษซึ่งมอิทธิพลอยู่ในอิยิปต์ให้แยกซเรยออกจากออตโตมัน สิ่งสำคัญกว่านั้คือการท่ อามณ์ อับดุลลาห์ บุตรชายของชาระิฟแห่งเมกกะ ได้ติดต่อข้อหลวงชาวอังกฤษ ประจำไคโร และมกรวางพื้นฐานสำรับสัญญาระหว่างอังกฤษกับอาหรับ

           สัญญาท่อังกฤษทำกับอาหรับ ตลอดจนสัญญษอื่นๆ อกทิ่พวกอาหรับทำกับฝรั่งเศสนั้น ได้ทำให้พวกเติร์กไหวตัวเตือนข้อหลวงทหารประจำซเรยให้ระมัดระวังการปฏิวัติ 

            การทำงานของชาวอาหรับสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดิยวกัน มิประมาณ 10 กลุ่มท่ขัดขวางการ "ทำให้เป็นตุรกิ"ของพวก "ยังเติร์ก" มการจลาตลเกิดขึ้นในหมู่ชาวอาหรับในเมืองอิสตัสบูล ดามัสสกัส เบรุต อเลปฏป แบกแดด และเมืองอาหรับอื่นๆ บางกลุ่มก็ทำอย่างลับๆ บางกลุ่มก็แสดงออกอย่างเปิดเผย

            มิการประชุมสภาอาหรับสภาแรกของกลุ่มนักชาตินิยมขึ้นในปาริสในป ค.ศ. 1919 โดย อัล ฟาตัท บรรดาผู้แทน 24 คนได้ร้องทุกข์ในการมสิทธิองหาหรับถูกปฏิเสธ ซึ่งทำให้จังหวัดตางๆ ท่มิได้เป็นเตอร์กเกิดการจลาจล และเกิดอันตรายจาการแทรกแซงของต่างประเทศ จำนวนผู้แทนท่เข้าร่วมประชุมครึ่งหนึ่งเป็นมุสลิมอาหรับ อิกครึ่งหนึ่งเป็นคริสเติยนอาหรับ ส่วนใหญ่จาจากซิเริย และ 2 คน จากอิรัก และอิก 3 คนเป็นผู้แทนชุมชนอาหรับในอเมริกา คณะกรรมการปฏิรูปแห่งเบรุตได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมด้วย 

          กาประชุมไม่มการกล่าวถึงการสืบสันติวงศ์ เพิยงแต่กล่าวถึงการสนับสนุนการปฏิรูปซึ่งเริยกร้องโดยองค์การต่างๆ ในไคโรและเบรุต โดยมวัตุถุประสงค์ จัดตั้งรัฐบาลออตโตมันทิ่เติร์กและอาหรับมสิทะิหน้าทิ่เท่าเทิ่ยมกัน ไม่ว่าผุ้นั้นจะเป็ฯอาหรับ เตอร์ก อาร์มิเนยน เคอร์ด มุสิม คริสเติยน ยิว หรือ ดรุส ก็ตาม

           ทางฝ่ายรัฐบาลออตโตมันต้องการกำจัดสภาดังกล่าว แต่รัฐบาลฝรั่งเสศไม่เห็นด้วย จึงตัดสินใจเจรจากับสภาเอง และเมือทั้งสองเห็นพ้องต้องกันจึงได้กำหนดเงือนไขเก่ยวกับกรปฏิรูปอย่างกว้างขวาง แต่อย่างไรก็ดิ พระราชกฤษฎกาของจักรวรรดิ์ในป 1913 ได้เปลิ่ยนแปลงแห้ไขคำสัญญาและกำหนดว่า ให้ใช้ภาษาอรบิกทั้งในโรงเรยนประถมศึกษาและมัธยมศึกาษ แต่ในโรงเริยนมัธยมศึกษาต้องสอนภาษาตุรกด้วย ไม่มการกล่าวถึงการใช้ภาษาอารบิกเป็นภาษาทางราชการหรือการกล่าวถึงการใหตำแหน่งทิ่มิอิทธิพล่ในรัฐบาลแก่ชาวอาหรับเลย

             ซึ่งนักชาตินิยมส่วนใหญ่มความเห็นว่าเป็นการทรยสต่อชาวอาหรับ อย่างไรก็ตาม ฮามิด อัล ซาห์ราวิ ซึ่งเคยเป็นประธานปาริสคองเกรสก็ยังคงเต็มใจประนิประนอม อัล ซาห์ราว ได้รับรางวัลจกรัฐบาลออตโตมัน ได้ทิ่นั่งในสภาสูงของออตโตมัน เขาอธิบายว่านโยบายประนิประนอมของเขาว่าเป็นการเคลื่อนไหวทิมิกลไก ซึ่งจะช่วยให้เขามตำแหน่งและอาจชักชวนสภาให้เสริถาพแก่สภาอาหรับ


            ในบรรดานักชาตินิยมอาหรับมบุคคลท่สำัญท่สุดคนหนึ่ง คือ อะซิซ อัล มาสริ เป็นข้าราชการอิยิปต์ แรกเริ่ม เขาเห็นใจฝ่ายเติร์ก แต่เมื่อเขาเห็นว่าเติร์กมุ่งไปเรื่องลัทธิชาตินิยมตุรกมากเกินไป เขาจึงเข้าร่วมกับขบวนการอาหรับ เขาเป็นผุ้บัญชากกองทัพออตโตมันซึ่งได้ต่อสู้กับกองทัพอิตาลในลิเบิย ในป ค.ศ. 1912 

            เมื่อเขาเข้าร่วมกับสมาคมใต้ดินอาหรับและการกระทำของเขาถูกเปิดเผย ผู้มิอำนาจในออตโตมันจึงลงโทษเขาแต่เนื่องจาก อัล มาสริ เป็นวิรบุรุษทิ่มิชื่อเสิยง จึงมการเดินขบวนใหญ่และมิการแทรกแซงในรูปแบบต่างๆ บังคับให้รัฐบาลลดโทษให้แก่เขาและให้อภัยโทษด้วย มิการแทรกแซงจากหนังสือไทม์แห่งลอนดอนหรือแม้แต่กระทรางการต่างประเทศอังกฤษเอกก็ตาม 

            อัล มาสริ ปรารถนาจะฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของอาหรับโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของตะวันตก สมาคมลับนั้นคือ อัล คาห์ตานิยา ซึ่งสนับสนุนจัรวรรดิออตโตมันทิ่มิกรปกครองร่วมกันระวห่างเติร์กและอาหรับ จังหวัดอาหรับหลายแห่งจะกลายเป็นอาณาจักรหนึ่ง โดยมรัฐบาลของตนเองและสถาบันต่างๆ ท่เป็นอาหรับเอง แต่ความหวังดังกล่าวสิ้นสุดลงเพราะพวกยังเติร์กพยายามทำให้จักรวรรดิกลายเป็นตุรกิทั้งหมด อัล มาสริ ได้จัดตั้งสมาคมลับขึ้นใหม่ชื่อ อัล อัดช์ โดยมวัตถุประสงค์แบบเดิยวกัน สมาชิกส่วนใหญ่เป็นข้าราชการอาหรับซึ่งอยู่ในกองทัพออตโตมัน และมจำนวนมากท่เป็นชาวอิรัก 

             ภายหลัง อัล มาสริ พ้นโทษแล้ว เขาไปตั้งหลักแหล่งในอิยิปต์ ต่อมาเขาก็ได้เป็นหัวหน้ากลุ่มในกองทัพของพรเจ้าฟารุค(ระหว่างสงครามโลกครั้งท่ 2 เขาร่วมกับกลุ่มข้าราชการอิยิปต์หนุม่ซึ่งต่อมาได้กำจัดราชบัลลังก์อิยิปต์ลง)....

              

                                              แห่ล่งทิ่มา : วิกิพิเดิย

                                                                 http://old-book.ru.ac.th/e-book/h/HI390(47)/hi390(47)-2-1.pdf

            

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ํYoung Turk Revolution

           เติร์กหนุ่ม เป็นกลุ่มทหารชั้นกลางท่มการศึกาาและค่อนข้างหัวรุนแรงไม่พอใจสุลต่านอับดุล ฮามิดท่ 2 แห่งจักรวรรดิออตโตมันท่มอำนาจมากเกินไป พวกเติร์กหนุ่มทำการปฏิวัติล้มอำนาจสุลต่าน และทำการสำเร็จทำให้สุลตามปราศจากอิทธิพลทางการเมืองแม้จะยังอยู่ในตำแหนง  เติร์กหนุ่มทำการบริหารรัฐบาลเอง โดยจัดตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่ง ขื่อ คณะกรรมการแห่งความเป็นอนหนึ่งอันเดยวกันและความก้าวหน้า...หรือ CUP ซึ่งประกอบด้วยคนหนุ่มชาวเติร์กทำหน้าท่บริหารงานของรัฐบาลอย่างแท้จริง ขณะเดยกันพวกอาหรับและนักชาตินิยมอื่นๆ ก็เชื่อว่าเป็นสมัยของความก้าวหน้าและความเท่าเทิยมกัน ทั้งน้เพราะมเหตุการณ์ท่แสดงว่าเป้นเชนนั้น คือได้มการฝื้นฝูความรักกันฉันท์พิ่น้องของอาหรับออตโตมัน โดยเฉพาะในอัสตันบูล ชนทุกขาติมความสามัคคกันภายใต้ความจงรักภักดต่อสุลต่าน จุดประสงค์ท่สำคัญ การสเริมสร้างการกินดอยู่ดของประชาชนในจังหวัดอาหรับ อุปภัทการศึกาษภาษาอารบิกและสนับสนุนวัฒนธรรมอาหรับ และเนื่องจากชาวอาหรับมความซื่อสัตย์ พวกเตอร์จึงยืนยันว่าสุลต่านจะ เป็นผู้แต่างตั้งข้าหลวงประจำฮิยาซในคาบสมุทรอาหรับ อย่างไรก็ตามบรรกาศของความสามานฉันท์มอยู่ได้ไม่นาน คนหนุ่มชาวเติร์กให้สอบสวนเรื่องราวประวัติศสตร์ของตนเพื่อทิ่จะได้รู้และเข้าใจว่าอะไรคือ"ชาวตุรกิ"ซ่ึงความจริงความรู้สึกเช่นน เกิดขึนมานานแล้ว และเป็นสาเหตุอันหนึ่งของการนำไปสุู่การปฏิวัติ ของยังเติร์กนั้นเอง

          ความไม่พอใจท่แอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ภายในใจของเติร์กหนุ่มได้เติบโตขึ้นประกอบกับความคิดว่าเหตุใดจักรวรรดิออตโตมันน้จึงเป็นท่รวมของชนหลายเชื้อชาติ หลายภาษา ในคริสต์ศตวรรษท่ 19 ชาวอาร์เมินยม ซึ่งอยู่กระจัดกระจายบริเวณทิ่ราบสูงอาร์เมเนยตะวันออกของตุรกิ เป็นผู้นำทางความคิดของลัทธิชาตินิยมมาสู่ใจกลางของจักรวรรดิออตโตมัน หรือบริเวณท่เริยกว่า อนาโตเลย เป้นความคิดท่เก่ิ่วกับความรู้สุึกของตนเอง ซึ่งเป็นความรู้สึกใหม่ แต่ก็ถูกสนับสนุนและผลักดันโดยความไม่พอใจท่ซ่อนอยู่ในใจของขาวเติร์กโดยไม่รู้ตัว

          ดังนั้นเมื่อยังเติร์กได้บัยชนะมอไนาจในการปกครองพวกยังเติร์กจงพยายามทำให้จักวรรดิกลายเป็นตุรกิ อย่างท่ไม่เคยถูกกระทมาก่อนโดยรัฐบาลออตโตมันชุดก่อนๆ คณะกรรมการแห่งความเป็นอนหนึ่งอันเดิยวกันและความก้าสวหน้า ได้ละทิ้งความคิดทุกอย่างเก่ยวกับความอิทนและความร่วมมือกันภายหลังการปราบการปฏิวัติซ้อนในป 1909 ได้สำเร็จ และจากนั้นคณะกรรมการดังกล่าวก็คาดว่าทุกกลุ่มจะต้องกลายเป็นเตอร์หมดภายใต้รัฐบาลออตโตมนท่มควาสามัคคิเป็นอันหนึ่งอันเดิยวกัน งานอันดับแรกของคณะกรรมการคือการกำจัดสงคมบางแห่งท่มิได้เป็นเตอร์ก และความสัมพันะ์บางอยางกับอาหรับออตโตมันด้วย

          รัฐบาลยังเติร์ก ซึ่งตั้งโดยคณะกรรมการแห่งการรวมกันและความก้าวหน้า ได้อำนาจเหนือกลุ่มเชือชาติอื่นในจักวรรดิ โดยการปลกข้าราชการสวนท้องถ่ิน ออก อย่างไรก็ตามพวกหัวรุนแรงในคณะกรรมการบางคนบัง้องการแม้แต่การกำจัดภาษาอารบิกและแปลคัมภิ์กุรอานให้เป็นภาษาตุรกด้วย พวกหัวรุนแรงท่สุดจึงได้เริ่มขบวนกาฟื้นฟูอารยธรรมสมัยก่อนอิสลาม อ้วยการสรรเสริญวรบุรุษตาาร์ และมองโกลโบราณ เสมือนเป็นดาบท่ทำให้ลัทธิิอาหรับเสื่อมลง....

            ทิ่มา  hi390(47)-2-1 PDF (old-book.ru.ac.th)

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Riligion in middle east III

           ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาท่มผู้นิยมนับถือมากสุดศาสนาหนึ่ง เป็นศาสนาท่ิแพร่หลายในเอเชยตะวันตก หรือตะวันออกกลางมลักษณะเป็นศาสนาเอกเทวนิยม ซึ่งนับถือพระเจ้าเพยงองค์เดยว เป็นศาสนาสายเดยวกับศาสนายิว (ยิดาห์) และศาสนาคริสต์ 
           อิสลาม แปลว่า การนอบน้อม สันติ การยอมจำนสนอยางสิ้นเชิง ดังนั้นศสนาอิสลาม จึหมายถึง การนอบน้อมตน ต่อพระอัลเลาะห์เพยงพระองค์ดยวอย่างสิ้นเชิง กวใจของศาสนาอิสลาม คือ การประกาศเปิดเผยความเอป็นเอกภาพ ความเป็นอันหน่งอันเดยวกัน กับพระอัลเลาะห์ เน้นการมอบตัวตอพระประสงค์ ของพระอัลเลาะห์ผู้นับถืออิสลาม เริยกว่า "มุสลิม"
          ศาสนาอิสลามไม่มิพระหรือนักบวช แต่มิ "อิหม่าม" ซึ่งทำหน้าท่เป็นเพิยงผู้นำในการในการนมัสการพระอัลเลาะห์ไม่ได้ทำหน้าท่เป็นคนกลางในการติดต่อระหว่าง พระเจ้ากับมนุษย์ ศาสนาอิสลามยังมิลักษณะเด่นทิ่แตกต่างจากศาสนอื่น คือ นอกจากจะมการสอนเรื่องจริยธรรมเหมือนกับศษสนาอื่นแล้ว ยังเป็ฯระบบการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมด้วย เข่น บทว่าด้วยการลงโทษทางอาญา การรับมรดก การหย่า การพาณิชย์ เป็นต้น
         
 ศาสนาอิสลาม ยอมรับคัมภิร์โตราห์หรือคัมภิร์เก่าของยิว ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า ประทานแก่พระศาสดามูซา (โมเสส) และเริยกคัมภิร์โตรกห์ว่า "พระคัมภิร์เตารอค" และยอมรับคัมภิร์พระคิรสต์ธรรมใหม่เฉพาะ 4 เล่มแรก เรยกว่า Gospel (พระวารสาร) ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าประทานแก่พระศาสดาอิซา(เยซู) และริยกคัมภิร์ ของคริสต์ว่า "คัมภิร์อินญิล" ดังปรากฎในพระคัมภิร์ อัลกุรอาน บทท่ 3:3 ว่า พระองค์ทรงประทานคัมภิร์(อัลกุรอาน) ให้ทยอยลงมายังเจ้าโดยสัจธรรม เป็นสิ่งยืนยันคัมภิร์ ท่มาก่อน และพรองค์ได้ประทาน(คัมภิร์)เตารอด และอินญิล ลงมาเพื่อกาลก่อน เป็นสิ่งชิ้นำแก่มวลมนุษยชาติและพระองค์ได้ทรงประทานคัมภิร์ จำแนก (ความจริงออกจากความทุกข์) คือ คัมภร์อัลกุรอาน
           ศาสนาอิสลาม ถือว่า โมเสสและพระเยซูเป็นผู้ท่พระอัลเลาะห์ ทรงใช้ให้มาก่อน แลถือว่าพระศาสดามูฮิหมัด ท่ทรงใช้ให้มาคราวหลังน้ เป็ฯผู้นำพระคัมิร์ ฉบับสุดท้ายเป็ฯพระคัมภิร์ท่ประมวลเอาเนื้อความพระคัมภร์ต่างๆ ท่ประทาน แก่ศาสนทูตในอดตไว้ด้วยคัมภิร์อัลกุรอาน จึงเป็นพระคัมภิร์ท่สมบูรณ์ ไม่มการแก้ไข...
          ท่านนบิ มุฮัมหมัด ผู้ท่ได้รับศาสนาอิสลาม เป็นศาสดาองค์สุดท้ายของโลก หลังจากน้ไม่มิศสนาองค์ใดอิกเลย เกิดท่นครมักกะฮฺ ในประเทศซาอุดิอาราเบิย เมื่องเดือนรอมบิอฺลเอาวาล บิดาคือ อับดุลลอฮฺ มารดาคือ อามนะฮฺ เมื่อท่านเกิดได้ 3 เดือนบิดาก็ถึงแก่กรรม  ต่อมามารดาก็มอบให้แก่แม่นมเลิ้ยงดูซึ้งเป็นธรรมเนิยมของชาวอาหรับ ท่ต้องฝึกเด็กให้ชินต่อความเป็นอยู่ของชนบท และทะเลทราย เมืออายุได้ 6 ขวบจึงกลับมาอยู่กับมารดา  ต่อมาไม่นานมารดาก็ถึงแก่กรรม ท่านเป็นกำพร้าตั้งแต่แล็ก ต่อมาปู่ของท่า

นทิ่รับท่านไปอุปการะได้เพิยง 2 ปิก็ถึงแก่กรรม ท่านจึงอยู่ในความอุปการของลุง เรือยมาจนกระทั่งได้รับฉายาวา มูฮัมหมัด-อมิน (ผู้ซื่อสัตย์) ด้วยความยากจนท่านจึงไปรับจ้างเป็นคนเลิ้ยงแกะ อายุ 12 ป ท่านก็เร่ิมรู้จักความเป็นของโลก มอุปนิสัยชอบคิดและชอบท่องเทยวยไปในทะเลทรายเพื่อค้า่ขายตามเมืองไกลๆ
          เมื่ออายุ 25 ป ก็ได้รับจ้างนางเคาดญะฮฺ เศรษฐินิม่ายชาว นครมักกะฮฺ จึงตั้งให้เป็นผู้คุมกองคาราวานไปค้าขายในประเทศซิเริยเนื่องๆ ทำให้ท่านรู้เรืองศาสนายิว และคริสต์มากขึ้น ทั้งค้าขายได้กำไร ต่อมา นางเคาดญะฮฺ ซึ่งมิอายุแก่กว่าท่าน 15 ก็ได้แต่งงานกับท่านและมบุตรด้วยกัน 6 คน ชาย 2 หญิง 4  แต่ผู้ชายเสยชวิตทั้งหมดตั้งแต่เยาว์วัย
           เมื่ออายุ 40 ป ท่านได้ปลิกตนไปเข้าสมาธิในถำ้เขา "หิรอ" อยู่เนืองๆ คือหนึ่งท่านได้รับวะฮฺญ(แต่งตั้ง) จากญิบรอิล ด้วยคำกล่าวว่า "โอ้มูฮัมหมัด จงอ่านเถิด ด้วยพระนามแห่งอัลอฮฺ ผู้ทรงสร้างมนุษย์ และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก คือ พรเจ้าผู้ทรงเกยรติ ผู้ทรงสอนมนุษย์ให้รู้ในสิ่งท่มนุษย์ไม่รู" ทั้งท่ท่านอ่านไม่ออก เขิยนก็ไไม่ได้ ่ท่านได้รับแต่งตั้งในเป็น "นบิ" ศาสดา ผู้สอนศาสนา ซึ่งท่่นได้ทำหน้าท่ประการสอน
ศาสนา ในครอบครัวของท่านก่อน และค่อยๆ ขยายวงกว้างออกไปยังเืพ่นฝูงและญาติมิตร โดยสอนให้เคารพและกราบไหว้ ต่ออัลลอฮฺ พระเจ้าองค์เดยง (พระเจ้าคือผุ้สร้าง) ห้ามกราบไหว้รูปเคารพ และสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ด้วยคำประกาศห้ามน้ เป็นเหตุให้มอุปสรรคการเผยแผ่ศสนา ท่านต้องทิ้งภูมิลำเนา เกือบจะเสิยชิวิตหลายครั้ง...
              นบิ มฺูฮัมหมัดออกจากมักกะห์ซึ่งอยูท่างใต้ และเดินทางไปยังมะโหนฮฺ ซึ่งตั้งอยู่ทางเนือ และสอนให้ผุ้เชือหัมหน้าไปยังมักกะห์เมื่อทำละหมาด มากกว่าจะหันหน้าไปทางเยรูซาเลม อย่างเช่นชาวยิวปฏิบัติ อันเป็นท่มาการปฏิบัติของชาวมุสลิมกระทั้งปัจจุบันท่ต้องหันหน้าไปทางมักกะห์เมืองทำละหมาด การปฏิบัติเช่นนื้ถือเป็นสัญลักษณ์ตรงกันข้ามระหว่างมุสลิมและยิว
            10 ปิต่อมา ศาสดาของชาวมุสลิมและสาวกร่วมกันต่อสู้และพิชิตหมู่บ้านต่างๆ ทั่งมะดนะย์ได้ในป ค.ศ. 630 นบิมุฮัมหมัด รวบรวมคนได้กว่าหมื่นคน และได้เดินทางไปนครมักกะฮฺ โดยได้ชำระความเชื่อในผสางเทวดาและเทพให้แก่ผู้คนได้อิกนับร้อยๆ คน และสถาปนาศาสนาท่เชื่อในพระเจ้าองค์เดิยวขึ้น จากนั้นจึงสามารถรวบรวมชนเผ่านอาหรับต่างๆ ได้เป็นปึกแผ่นก่อนท่กลุ่มชนอาหรับจะพิชิตจักรวรรดิไบแซนไทน์และเปอร์เซิยร์ได้ในเวบาต่อมา
           
 นบิมุฮัมหมัดเสิยชิวิตในป ค.ศ. 632 และในป ค.ศ. 636 ชาวมุสลิมก็ยึดเยรูซาเรมได้ พวกเขาเก็บซากปรักหักพงจากสถานสักดิ์สิทธิในเมืองทิ่ถูกทำลาย นำมาสร้าง"มัสยิดและโมออฟเดอะร็อค" อันเป็นสถานท่ิ่ศักดิ์สิทธฺิ์อันดับท่สามารองลงมาจก "มัสยิสอลละรอม"ในนครมักกะห์ สถานท่เกิดของศาสดา ซึงสำคัญสูลสุด และรองมาคือ "มัสยิสนะบะวย์" ใกล้หลุ่มฝังศพของนบิมุฮัมหมัดในเมืองมะดห์นะฮฺ
             การทินบิมุฮัมหมัดไม่ได้แต่งตั้งผุ้สอบทอดไว้ ทำให้ศาสนาอิสลามแตกออกเป็นนิกายต่างๆ เช่น ชิอะห์ ...

            ข้อมูชบางส่วนจาก : http://www.digitalschool.club/digitalschool/social2_1_1/m6_1/content/lesson3/item15.php
https://www.saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book=4&chap=8&page=t4-8-infodetail06.html
https://mgronline.com/daily/detail/9480000084032

             
 

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Riligion in middle east II

           ศาสนาคริสต์ถือกำเนิดโดยพระเยซู เป็นศสนาที่สำคัญของโลก คริสตชนกว่า พันล้านทั่วโลก พระเยซุู เกิดที่เมืองเบธเลเฮม แขวงยูดาย กรุงเยรูซาเล็ม เป็นบุตรคนเดียวของโยเซฟและมาเรีย เป็นคนเชื้อสายยิวในตระกูลช่างไม้ เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านนาซาเรธ แขวงทะเลกาลิลี ทางเหนือของประเทศอิสราเอลปัจจบัน ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า พระเยซู เป็นเด็กเฉลียวฉลาด ท่านได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในวิหารของชาวยิว ในกรุงเยรูซาเล็ม มีชีวิตอยุ่อยางคนธรรมดาสามัญ อาจเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมที่มีแต่เรื่องเกี่ยวกับศาสนา ธรรมะ และนักบวชจึงทำให้ท่านมีใจฝักใฝ่อยู่ในธรรมะ และการสั่งสอนคนจน

            เมื่ออายุ 12 ปี มีเหตุการณ์ที่สำคัญในชีวิตที่จะเป็นนิมิตบอกว่าท่านจะได้เป็น ศาสดาต่อไปในภายหน้า ทั้งนี้เพราะท่านเป็นผู้ที่พูดจามีเหตุผลต้งแต่เป็นเด็ก เมื่อใครถามปัยหาอะไรกับท่าน ท่านก็มักจะตอบว่าประเดี๋ยวก่อน ฉันจะถามบิดาฉันดูก่อน ซ่งคำว่า "บิดา"ในที่นี้ท่านหมายถึง "พระเจ้า

ในระหว่างอายุ 12-18 ปี ท่านได้ท่องเที่วหาความรฝุ้อยู่ และได้มอบตัวเป็นศิษย์ของจอห์นผู้เผยแฝ่ศาสนายูดาห์ ซึ่งเป็นผุ้ให้ศีลจุ่มแก่ท่าน แล้วท่านก็ออกเทศนาสั่งสอนให้คนมความรักใคร่ เมตคากัน และคำสอนที่มีชื่อมากก็คือ คำสอนที่ว่า "ถ้าใครมาตบหน้าทางแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาตอบอีกที่หนึ่ง" นอกจากนั้นท่านก็สอนให้คนทั้งหลายมีความสำนึกชอบ เสียสละ และไม่พยาบาท จนกระทั่งพวกที่มีปัญญาทั้งหลายเป็นว่า ท่านเป็นผู้มาช่วยโลกในนามของพระเป็นเจ้า แต่อีกพวกหนึ่งก็เห็นว่าท่านมาก่อกวนพลเมืองให้แข็งข้อต่อผู้ปกครองชาวโรมัน ในที่สุดก็หาทางกำจัดท่าน แต่พระเยซูก็ไม่ท้อถอย เมื่อท่านไปถึงหมู่บ้านใด เด็กๆ ในหมู่บ้านน้นจะเข้ามาห้อมล้อม เด็กๆ รักท่านมากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองก็เกลี่ยดชังมากด้วยเช่นกัน นักพรตยิว เกรงว่า จะชิงเอาสาวกของตนไปจนหมด จึงกล่าวหาว่า เป็นกบฎ ซ่องสุมผุ้คน เพื่อคิดคด ทรยศบ้านเมืองและพยายามฟ้องต่อผู้ปกครองชาวโรมันหลายครั้งหลายหน ในที่สุดท่านก็ถูกจับ และศาลโรมันมีคำสั่งให้ประหารชีวิต โดยให้ตรึงไม้กางเขน

           การที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนเช่นนี้ ลัทธิโรมันคาทอลิกถือว่ พระยะโฮวาผู้ทรงพระมหากรุณาแก่สัตว์โลก ได้ประทานพระบุตร คือ พระเยซู ลงมา เพื่อสละชีวิตเป็นการไถ่บาปองมนุษย์ ท่านได้มีโอกาสประกาศคำสอนอยู่เพียง 3 ปีเท่านั้น ก็ถูกตรึงไม้กางเขน เมืออายุ  33 ปี

           เมื่อพระเยซูถูกตรึงกางเขนแล้ว สานุศิษย์คนสำคัญคือ เซนต์ปอล และ เซนต์ปีเตอร์ ทั้งสองท่านนี้ ได้เป็นผู้ช่วยเผยแผ่ศาสนา อุทิศชีวิตให้แก่ศาสนาจนกระทั่งถูกจักรพรรดิโรมัน ที่ไม่นับถือคำสอนของพระเยซูสั่งจับ และประหารทั่งสองคน

            คริสตศาสนามีนิกายที่สำคํยอยู่ 2 นิกายคือ คาทอลิกและโปแตสแตนด์

            คาทอลิก เป็นองค์กรใหญ่ในคริสต์ศาสนา โดยอาศัยแรงดันทางการเมืองสับสนุน และศาสนจักรมีอำนาจเหนือนักากรเมืองมาแต่สมัยต้น และสมัยกลางแห่งประวัติศสตร์ยุโรป 

            ความเป็นมาของนิกายโรมันคาทอลิกมประวัติวคามเป้ฯมาตั้งแตนักบุญเปโตร ได้รับการสถาปนาจากพระเยซูให้เป็นผู้ดูแลพระศาสนจักร อาจกล่าวได้ว่า ท่านเป็นสันตะปาปาคนแรกท่ทุกคนต้องยอมรับนับถือและมิศรัทธาเชื่อฟังในฐานะ "ผู้ดูแลผูงแกะ" ของพระเจ้า ความคิดแบบน้ได้สืบอดกันต่อมาจนปัจจุบัน พระสันตะปาปาจึงมิได้อยุ่ในบานะนักบชเท่านั้น แต่เป็นประมุขสูงสุดของศาสนจักรท่ทุกคนต้องปฏิบัติตคามคำสั่ง นิกายโรมันคาทอลิกจึงเป็นนิกายทุ่่งมั่นให้สัตบุรุษมศรัทธา และปฏิบัติตามพระศสนจักร เพราะศาสนจักรท่ทุกคนต้องปฏิบัติตามคำสั่ง นิกายโรมันคาทอลิกจึงเป็นนิกายท่มุ่งมั่นให้สัตบุรุษมศัทธา และปฏิบัติตามพระศาสนจักร เพราะศาสนจักรเป็นส่วนหน่งของอาณาจักรแห่งสวรรคื และเป็นองค์การท่สามารถนำประชาชนไปสู่การบรรลุเป้าหมายามภารกิจ ท่พระเจ้าได้มอบไว้

            เดิมท่ิศาสนาคริสต์ยังไ่แบ่งแยกเป็นนิกาย ต่อมเืองเกิดการแยกตัวของนิกายให่ ผุ้ปฏิบัติสนแนวทางเดิม (ท่ผ่านการเติบโตและดัดแปลงจากสมัยนักบุญเปโตร) จึงเห้รับการแยกแยะว่าเป็นนิกายดั้งเดิม แตกต่างจากนิกายใหม่ เหตุการณ์แบ่งแยกครั้งแรกเกิดในรัชสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนตินท่ 1 เมื่อทรงตั้งราชธานิแห่งใหม่ในภาคตะวันออก แถบประเทศตุรกในปัจจุบันนามว่า "คอนสแตนติโนเปิล" หรือโรมันตะวันออก ซ่ึ่งเป็นศูนย์กลาง แต่เมือนานวันอาณาจักรโรมันตะวันออกมความเข้มแข็งและเป็นอิสระในทุกด้าน จึงแยกการปกครองเป็นเอกเทศ ทั้งทางอาณาจักรและศาสนจักรเป็นเอกเทศจากกรุงโรม ไม่ยอมรับในพระราชอำนาจของพระสันตะปาปา จึงทำให้เกิดการแตกแยกออกเป็นนิกาย กลาวคือ อาณาจักรโรมันตะวันตกได้รับอิทธิพลจากสำนักวาติกัน ซึ่งการศาสนามบทบาทกลมกลืนกับสังคมและการเมืองนับถือนิกายโรมันคาทอลิก สวนอาณาจักรโรมันตวะันออกได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเอเซยนับถือนิกายอิสเทิร์นออร์ทอดอกซ์..

           นิกายนี้มุ่งเอาคำสอน และกรปฏิบัติของเซนต์ปีเตอร์เป็นหลัก ถือว่า เซนต์ปีเตอร์เป็นผู้สืบต่อจากพระเยซูโดยตรง ในสมัยตอมาเมืองจักรพะะดิดรมันทรงรับเอาลัทธิคาทอลิกเป็นศาสนาอย่างเป็นทางการแล้ว จึงได้ทรงประกาศให้โปปลิโอที่ 1 เป็นใหญ่เหนือ

คริสต์สาสนิกชนทั่วโลก และโปปองค์ต่อๆมา ก็ดำรงอำนาจใหญ่ในโลกแห่งคริสต์ศาสนาจนปัจจุบัน

            โปรเตสแตนด์ เกิดในภายหลัง มาตินลูเทอร์ เป็นผุ้ให้กำเนิด ลูเทอร์ มีความเห็ฯว่า การที่โปปในกรุงโรม หรือคณะนักบวชฝ่ายคาทอลิกจะแปลความหมายของศาสนาเอาตามใจชอบนั้นไม่ได้ จำเป็นต้องดำเนินตรงตามคัมภีร์ และอย่างมีเหตุผล นักบวชจะมาฟูกขากการสั่งสอนอย่างแต่ก่อนไม่ได้ นอกจากนั้นนิกายนี้ไม่นิยมนับถือ "แม่พระ" คือ พระนางมาเรีย ว่าเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ เห็นควรนับถือเฉพาะพระเยซูองค์เดี่ยวเท่านั้น...



                                                ข้อมูลจาก : สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๔ / เรื่องที่ ๘ การศาสนา / ศาสนา 

 คริสต์http://www.digitalschool.club/digitalschool/social1_1_1/social1_5/more/page09.php


วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Riligion in middle east

           ชาวยิวมีลักาณะนีสัย ฉลาด อดทน มัทธยัต รักพวกพ้อง เมื่อครั้งอพยพไปอยู่อิยิปต์ได้สร้างความเจริญให้แก่อียิปต์เป็นอันมาก ความเติบโตอยางรวดเร็วของชาวฮิบูร ผู้เข้าไปอยู่ในอียิปต์ในฐานะทาส กลายเป็นเรื่องที่าโห์ตะหนักว่า สักวันจะเกิดการแย่งชิงอำนาจทรงดำริที่จะตัดไฟแต่ต้นลม โดยการจำกัดเขให้พวกฮิบรู ห้ามปะปนกับชาวอียิปต์ แต่ไม่ได้ผลกลับกลายเป็ฯการเพิ่มประชากรชาวฮิบรูเข้าไปอีก ฟาโรห์จึงทำการด้วยความโหดเหี้ยมคือ สั่งให้จับเด็กชาชาวฮิบรูที่เกิดให่ไปประหาร ทำให้เด็กชาวชาวฮิบรูเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

            โมเสส เป็นทารกชาวฮิบรูที่เกิดในช่วงมีการฆ่าทางรกชาวฮิบรู แม่ของโมเสสช่วยชีวิตลูกตนด้วยการนำตัวทารกลอยใส่กระจาดไปตามแม่น้ำไนท์และอธิฐานฟ้าดินให้ช่วยลูกของตน กระจาดลอยไปจนถึงท่าน้ำหลวงเป็นที่ลงสรงของพระธิดากษัตริย์ฟาโรห์ ในขฯะนั้น พระธิดากำลังสรงน้ำพอดี เมือทอดพระเนตรเห็น จึงให้คนไปเก็บขึ้นมา ทรงเห็นเด็กน่ารักยังมีชีวิตอยู่ จึทรงนำไปเล้ยงไว้โดยประทานชื่อว่า โมเสส แปลว่า ผู้รอดจากสายน้ำ


           พระธิดาทรงรับโมเสสเป็นบุตรบุญธรรม และมอบหมายให้หญิงคนสนิทซึ่งเป็นชาวฮิบรูไปเลั้ยงไว้อย่างลับๆ ให้ได้รับการศึกษาอยางดีกระทั้งโต เมื่อโมเสสเติบโตเจ้าหญิงก็พากโมเสสจากแม่เล้ยงเข้าไปอยุู่ในวัง  แต่โมเสสบอกว่าตนมีเลือนชาวฮิบรู ไม่ใช้ชาวอียิปต์ 

           ประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า วันหนึ่งโเสสออกจากวังไปดูชาวฮิบรูทำงานให้ชาวอียิปต์ ได้เห็นทาสฮิบรูถูกผู้คุมงาน ทำทารุณเฆี่ยนตีจนถงาย ก็บันดาลโทสะฆ่า ผุ้คุมงานชาวอียิปต์คนนั้นแล้วหนีออกจากอียิปต์ไปอยู่ที่เมืองมิเดียน ในอาหรับ บวชเป็นพระและเปลี่นชื่อเป็น โฮบัน ต่อมาได้แต่งงานกับลูกสาวของนักบวชที่เมืองนั้น หลังจากนั้นได้ลักลอบเดินทางเข้าประเทศอียิปต์เพื่อหาทางช่วยพวกฮิบรู เมื่อไปถึงปรากำว่า ฟาโรห์องค์ก่อนสิ้นพะชนม์แล้ว ฟาโรห์องค์ใหทรงยกโทษให้โมเสส แต่โมเสสจะต้องลดฐานะตัวเองเป็นาส มีฐษนะเหมือนชาวฮิบรูทั้งหลาย ตั้งแตนั้นมาโมเสสได้เป็นหัวหน้าทาสฮิบรู ระหว่างนี้เองโมเสสได้รวบรวมชาวฮิบรูก่อตั้งเป็นสมาคมก่ออิฐ เพื่อเป็นศูนย์กลางรวบรวมชาวฮิบรู

           โมเสสเคยทูลขออฟาโรห์ ให้เลิกบังคับชาวฮิรูเป็นา และทูลขออนุญาตพาพี่น้องชาวฮิบรูออกจากประเทศ แต่ไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาเกิดโรคระบาดที่ฟาโรห์แห้ไขไม่ได้ขึ้นทั่วประเทศ ฟาโรห์ทรงเข้าใจว่าพระเจ้าของชาวฮิบรูทรงพิโรธจึ้งอนุญาติให้โมเสสพาพวกฮิบบรูออกจากประเทศ

            ก่อนโมเสสจะพาชาวฮิบบรูออกจากอียิปต์ได้ออกบัญญัติให้ทุกคนนับถือพระเจ้า เป็นที่พึงเพียงองค์เดียว เืพ่อเป็นศูนย์กลางแห่งความกลมเหลียวของหมู่คณะและบังคับ ให้ชายทุกคนชลิบหนังห้มปลายอวัยวะเพศออกให้หมดก่อน เพื่อสะดวกแก่การทำความสะอาดในการเดินทางไกล (มุสลิมรับพิธีกรรมนี้มาเป็นของตนในภายหลัง) ช่วงที่โมเสสพาชาวฮิบรูออกจากอียิปต์ เขามีอายุ 80 ปี เขาให้สัญญาแก่ชาวฮิบรูว่า พระเจ้าดลใจ เขาให้พาชาฮิบรูไปสู่ดินแดนอุดมสมบูร์ที่พระเจ้าทรงมอบหมายเป็นของชาวฮิบรู เรียกว่า ดินแดนแห่งพันธสัญญา (The Promised Land)

           เมื่อพวกฮิบรูออกเดินทางไปกล้ว ทางอียิปต์เกิดความกังวลว่า ชาวฮิบรูจะกลับมาทำร้าย ฟ้าโรจึงสั่งทหารออกติดตามและถ้าทันให้ฆ่าให้หมด กองทัพทหารอียิปต์ตามทันในขณะที่ชาวฮิบรูกำลังข้ามทะเลแดง พอชาวฮิรูข้ามไปหมด น้ำทะเลก็ท่วมทหารอียิต์ตายกลื่อนกลาด ข้อความในคัมภีร์กล่าวอธิบายเป็นเชิงปฏิหาร

           การเดินทางของชาวฮิบรูประสบกับความลำบากฝ่านควาททุรกันดาร กระทั้งใกล้ถึงภูเขาซีเนล ชาวฮิบรูที่ทนความลำบากไม่ได้ก็พากันเร่ิมคิดว่า โมเสสจะพาให้พวกเรามาตาย ความเลื่อมใสศรัทธาที่มีต่อโมเสส เร่ิมเสลื่อมคลายลง ศรัทะาที่เคยมีเร่ิมถดถอยลง บางคนต้องการจะตามโมเสสไป บางคนต้องการจะกลังอียิปต์ ในที่สุดชาวฮิบรูก็แตกความสามัคคี แบ่งออกเป็นหลายพวกหลายฝ่าย

       


  เมื่อคนทั้งหลายแตกความสามัคคีกัน โมเสสเห็นอวสานของชาวฮิบรูใกล้เข้ามา จึงตัดสินใจ ปล่อยชาวฮิบรูไว้ และตนรีบขึ้นไปอาศัยอยู่บนภูเขา และกลับลงมาหลังจากนั้น 40 วันพร้อมแผ่นหินที่จารึกบัญญัติ 10 ประการ 2 แผ่น แผ่นละ 5 บัญญัติ และบอกวาพระเจ้าไ้แสดงแก่ตนบนภูเขา พระองค์บอกให้ทราบว่า ที่ชาวฮิบรูต้องรับทุกขทรมานเพราะมีผู้ประพฤติชั่วกันมากและทางประทานบัญญัติ 10 ประการ ให้มาแจ้งแกชาวฮิบรูเพื่อรับไปประพฤติปฏิบัติ ผู้ใดยอมรับนับถือและปฏิบัติตามจะได้รับความคุ้มครองจากพระเจ้า ผุ้ใดไม่เชื่อและไม่ปฏิบัติตามจะถูกลงโทษ

           ทั้งนี้ โมเสสยังได้หาวิธีการที่จะรักษา ความสามัคคี และวิฝะีที่จะกระชับความสามัคคีให้แน่นแฟ้นมากยิงขึ้น โดย การประกาศยืนยันว่า บัญญัติ 10 ประการ  เป็นบัญญัติของพระเจ้าที่พระองค์ได้ประทานลงมาเพื่อชาวฮิบรูทั้งหลาย บัญญัติที่เป็นเสมือนเครื่องผูกพันแห่งชาติและวงศ์ตระกูล ให้ชาวฮิบรูแต่งงานกันเองในหมู่ของตน ไม่ยอมให้คนชาติอื่นพวกอื่นมาปะปน  การจัดให้มีค่ายบริสุทธิ์ Holy Tent เป็นที่ประกอบพิธีศษสนา ดโดยโมเสสเองเป็นผุ้นำในพิธีและให้โยชัว อัครสาวกเบ้องขวาเป็นทายาทสืบต่อตำแหน่งผู้นำค่ายบริสุทธิ์ ต่อมากลายเป็นศษสนปูชนียสถานสำหรับชาวฮิบรู กลายเป็นสถานที่รวมคน สถานที่รวมศรัทธา ช่วยให้เกิดความสามัคคีเป็นปึกแผ่นกลุ่มก้อน ต่อมา สถานที่ดังกล่าวกลายเป็นรูปวิหารหรือโบสถ์จนกระทังปัจจุบัน

          ให้มีหีบบัญญํติ Box of Convenant of Yahweh ภายในหีบบรรจุหินศักดิืสิทะิืจารึกบัญญัติไว้ 2 แผ่น แผ่นละ 5 บัญญัติ จะไปไหนก็ช่วยกันแบกหีบไปด้วย ก็จะเท่ากับพระยะโฮวาห์ ได้เสด็จรวมสุขร่วมทุกข์ คอยปกป้องคุ้มครองรักษา ชาวฮิบรูไปด้วย เพื่อช่วยผูกพันหมู่คณะให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...

           โมเสสพาชาวฮิบรูเร่รอ่นต่อไป ถึงละ่มแม่น้ำจอร์แดนอันเป็นถืนอุดมสมบูร์ และได้ต่อสู้กับชาวคานาอันเจ้าของถิ่น โมเสสเสียชีวิตลง โยซัวขึ้นเป็นผู้นำต่อมา ใและในที่สุดขาวฮิบรูก็สามารถยึดดินแดนแถบนี้ได้ จึงมีอาชีพเป็นหลกแหล่งไม่ต้องเร่รอนอย่างแต่ก่น ในสมัยต่อมาฮิบรูชาวฮิบรูเผ่าต่างๆ ก็ได้รวมกันเป็นปึกแผ่น มีลักษณะเป็นประเทศ มีกษัตริย์ปกครอง คือ โซล Saul เป็นปฐมกษัตริย์ ประมาร 100 ปีก่อนพุทธศักราช ต่อมาพระเจ้าเดวิดได้เป็นกษัตริย์และได้สถาปนาอาณาจักรยูดาห์ กษํตริย์โซโลมอนซึ่งเป็นพระโอรสขึ้นครองราชสมบัติ ทรงได้โปรดให้สร้างโบสก์ใหญ่ที่งดงามขึ้นที่ กรุงเยรูซาเลม เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประกอบพิธีทางศาสนาของชาวฮิบรู สมัยของพระเจ้าโซโลมอนเป็นสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาวฮิบรู


                                                           ข้อมูล: บางส่วนจาก"DF 404 ศาสนศึกษา "ศาสนายิว"


           

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Ethnicity in Middle East : IV

ตะวันออกกลางปัจจุบัน
ตะวันออกกลางปัจจุบัน

             อัสซีเรีย เป็นอารยะรรมหลักในเมโสโปเตเมียโบราณที่เร่ิมต้นในฐานะนครรัฐในศตวรรษที่ 21 ก่อนคริสต์ศักราช ถึงศตวรรษที่ 14 ก่อนคริสต์กาล แล้วพัฒนาเป็นรัฐอาณาเขต และกลายเป็นจักวรรดิในศตวรรษ?ี่ 14 ก่อนคริสต์ศักราช ถึงศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล

            นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่แบ่งประวัติศาสตร์อัสซียเรียโบราณในยุคสัมฤทธิ์ตอนต้นถึงยุคเหล็กตอนปลายตามเหตุการณ์ทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปของภาษา ซึ่งแบ่งออกเป็นสมัยอัสซีเรียตอนต้น(2600-2025 ปีก่อนคริสต์กาล) สมัยอัสซีเรียเก่า ( ประาณ 2025-1364 ก่อนคริสตา) สมัยอัสซีเรียกลาง (ประมาณ 1363-912 ปีก่อนคริสต์กาล) สมัยอัสซ๊เรียใหม่ (ประมาณ 911-609 ปีก่อนคริสต์กาล) และอัสซ๊เรียสมัยหลังจักวรรดิื( 609 ปีก่อนริสกาล - ประมาณค.ศ. 240)

           อัสซูร์ เป็นเมืองหลวงแรกของอัสซีเรีย ได้รับการจัดตั้งขึ้น ประมาณ 2600 ปีก่อนคริสตกาล แต่ไม่มีหลักฐานว่านครนี้กลายเป็นเอกราชจนกระทั่ง ราชวงศ์อูร์ที่ 3 ล่มสลาย ในศตวรรษที่ 21 ก่อนคริสตกาล อำนาจอัสซีเรียมีจุดศูนย์กลางในใจกลางในใจกลางอัสซีเรีย ในเมโสโปเตเมียตอนเหนือผันผวนตามกาลเวลา นครนี้ตกอยู่ภายใต้ดินแดนและการปกครองของต่างชาติมาหลายช่วงก่อนที่อัสซีเรียจะรุ่งเรืองชค้นในศตวรรษที่ 14 ก่อนคริสต์กาล ในสมัยอัสซีเรียกลาง ในสมัยอัสซีเรียกลางและใหม่ อัสซีเรียถือเป็นหนึ่่งในสองอาณาจักรหลักในเมโสโปเตเมีย ร่วมกับ บาบิโลนเนีย บริเวณตอนใต้ และในเวลานั้นถือเป็นมหาอำนาจในตะวันออกใกล้โบราณ อัสซ๊เรียอยู่ในช่วงสูงสุดในสมัยอัสซีเรียใหม่ โดยกองทัพอัสซีเรียเคยเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก และถือเป็นหนึ่งในจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก กินนพื้นที่ในอิหร่านทางตะวันออกถึงอียิปต์ทางตะวันตกในปัจจุบัน

         
 จักรวรริอัสซ๊เรียล่มสลายปลายศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสต์กาล โดยถูกพิชิตจากพันธมิตรของบาบิโลนและมีดส์ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของอัสซีเรียมากว่าศตวรรษหนึ่ง วัฒนธรรมและธรรมเนียมอัสซีเรยโบราณยังคงดำรงอยู่หลายศตวรรษ อัสซีเรียได้รับการฟื้นฟูในสมัยจักรวรดิ ซิลูซิดและพาร์เธีย แม้ว่าภายหลังเสื่อมสลายอีกครั้งในสมัยจักรวรรดิซาเซเนียนที่ปล้นสดมหลายเมือง รวมถึงอัสซูร์ด้วย ชาวอัสซีเรียที่เหลือในเมโสโปเตเมียตอนเหนือหันไปนับถือศาสนาคริสต์ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 เป็นต้นมา ศาสนาเมโสโปเตเมียโบราณ ยังคงอยู่ในอัสซูร์จนกระทั่งการปล้มสดมครั้งสุดท้ายในคริสต์ศตวรรษที่ 3 และในกลุ่มคนที่ยึดมั่นบางส่วนในหลายศตวรรษ่ถัดมา

          ความสำเรจของอัสซเรียโบราณไม่ได้มาจกกษัตริย์ นักรบที่พลังอย่งเดียว แต่ยังมีความสามารถในการรวมและปกครองดินแดนที่ถูกยึดครองอย่างมีประสิทธิภาพฝ่านระบบการบริหารที่ซับซ้อน นวัตกรรมในสงครามและการบริหารที่บุกเบิกในอัสซีเรยโบราณถงูกนำมาใช้ในจักรวรรดิและรัฐในสหัสวรรษถัดมา อัสซีเรียโบราณบังทิ้งมรดกที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมอันย่ิงใหญ่ โดยเฉพาะในจักวรรดิิัสซีเรียใหม่สร้างความประทับแก่อัสซีเรียยุคหลัง รวมถึง กรีก-โรมัน และวรรณกรรมกับะรรมเนียมทางศาสนาในภาษาฮิบรู

          เอกราชอัสซีเรีย เป็นขบวนการทางการเมืองและลัทธิสนับสนุนการสร้างดินแดนอัสซียเสำหรับชาวคริสต์อัสซีเรียที่พูดภาษาแอราเมอิกในภาคเหนือของอิรัก การต่อสู้ของขบวนการเอกราชอัสซีเรียเร่ิมตั้งแตสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงปัจจุบัน บริเวณที่ชาวอัสซีเรียอาศัยอยู่คือบริเวณเนินนาว-โมซูล ซึ่งเป็นที่ตั้งของนินเนเวห์ เมืองหลวงของอัสซีเรียในคัมภีร์ไบเบิล บริเวณนี้เป็นที่รู้จักในชื่อสามเหลี่ยนมอัสซีเรีย

          ชาวอีรักเชื้อสายเติร์เมน บางครั้งเรียกเป็น เตอร์โกแมน มีอีกชื่อว่า ชาวอีรักเชื่อสายเติร์ก ชาวอิรัก-ตุรกี หรือชนกลุ่มน้อย อิรัก-เติร์ก เป็นชาวอิรักที่มีต้นกำเนิดเป็นชาวเติร์ก ซึ่งยึดมั่นในมรดกและอัตลักษณ์ของเติร์ก พวกเขาเป็นลูกหลานของทหาร พ่อค้า และข้าราชการออตโตมันที่เดินทางมาจากอานาโตเลียในสมัยจักรวรรดิออตโตมัน ชาวอิรักเชื้อสายเติร์กเมนมีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมและภาษากับชาวตุรกีในประเทศตุรกีและชาวซ๊เรียเชื้อสายเติร์กเมน แต่ไม่ระบุตนเองเป็นชาวเติร์กเมน ในเคิร์กเมนิสถานและเอเชียกลาง ชาวอิรักเชื้อสายเติร์กเมนเป็นกลุ่มชาติพันธ์ที่ที่มีมากเป็นอันดับสามของประเทศอิรัก ซึ่งเป็นรองจากชาอาหรับและชาวเคิร์ต

อาณาจักรอัสซีเรีย


ข้อมูลจาก : วิกกิพีเดีย

วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Ethnicity in Middle East : III

            ยิว หรือที่เรียกว่าชาวยิวเป็นชนชาติและ " กลุ่มศาสนาพันธุ์" หน่ึ่ง ซึ่งมีเชื้อสายมาจากวงศ์วานอิราเอลหรือชนเผ่าฮิบรูในแผ่นดินตะวันออกใกล้ยุคโบราณ ซึ่งคัมภีร์ฮิบรู ระบุวา ชาวยิวเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่จะอุปถัมป์ค้ำชูไว้เหนือชาติอืนๆ ด้วยความเชื่อว่ายิวเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงค้ำขูและมีศาสนายูดาห์เป็นเคร่องยึดเหนี่ยวนี้เองทำให้แม้ชาวยิวจะกระจัดกระจายไปในหลายดินแดน แต่ก็ยังคงวามเป็นกุ่มก้อนและมีการสืบทอดความเป็นยิวจากรุ่นสู่รุ่นอย่างไม่มีเสื่อมถอย ปัจจุบันบุคคลเชือสายยิวทั้งโลกมีกว่า สิบสี่ ถึง สิบเจ็ดล้านคน ซึงส่วนใหญ่อาศัยอูยู่ในประเทศอิสราเอลและสหรัฐอเมริกา

          คัมภีร์โตราห์ของศสนายูดาห์ (พระคริสธรรมคัมภีร์เดิม)ซึ่งเป็นคัมภีร์ศษสนาของชาวยิวหรือชาวฮิบรู กล่าว่าประวัติศาสตร์ของชาวยิวและศาสนานี้เร่ิมต้นที่ชายชื่อ อับราฮัม(นบีอิบรอฮีม) ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองคลาเดียบาบิโลน ณ ขณะนั้นเมืองสำคัญต่างๆ มีการนับถือรูปเคารพ และเทพเจ้าของตนเอง แต่อับราฮัมคิดว่าพระเจ้าที่แท้จริงจะมีเพียงพระองค์เดียว เขาได้พบพระเจ้าและพระอง๕ืทางให้อัมบราฮัมและครอบครัวออกเดินทางไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญาที่พระองค์จะประทานให้เขาและเชื้อสายของเขา จึงเป็นุจุดเร่ิมต้นของเชื้อชาติอิสราเอล และศษสนาให่ที่รู้ว่ามีพระเจ้าพระองค์เดียว

          ไบเบิลและอัลกุรอานได้บอกเล่าเรื่องของชาวยิวหรือลูกหลานของอิสราเอลซึ่งเป็นบุตรของยิดซ์ฮาก(นบีอิสฮาก) บุตของอับราฮัมเรเ่ิมจากอับราฮัมได้ลูกชายตามที่พระเจ้าทรงประทานให้ที่กำเนิดกับนางซาร่าชื่อว่า อิสอัค(ไอเซค)ซึ่งต่อมาได้มีบุตร 2 คน คือ เอซาว และจาขอบ โดยเฉพาะจาขอบ (นบียะห์กูบ) ผู้เป็นน้องได้พบชายคนหนึ่งที่เปนีเอล เขามองไม่เห็นใบหน้าแต่ปลุ้ำสู้จนเกือบรุ่งสาง และจาขอบได้ถามชื่อบบุรุษผู้นั้นไม่ตอบ แต่เขาได้บอกว่าแต่นี้ต่อไปจาขอบจะได้ชื่อใหม่ว่า อิสราเอล ซึ่งมีความหมายว่าผู้ที่ปล้ำสู้พระเจ้า และก่อนที่จาขอบจะปล่อยชายคนนั้นไปจาขอบบอกว่า "โปรดอวยพรให้เขาก่อนและ้วจึงจะปล่อย" ซึ่งจาคอบมั่นใจว่าเขาได้พบพระเจ้า

 เชื้อสายจาขอบมี 12 คน หนึ่งในนั้นคือโยเซฟ(นบียูซุฟ) ไปอาศัยอยู่อาณาจักรของชาวอียิปต์ ต่อมาสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนแปลงไปลูกหลานของจาขอบ(อิสลาเอล)ได้ถูกกขี่จนกระทั่งต้องกลายเป็นทาสรับใช้ถึง 400 ปี ช่วนั้นจะเรียกเชื้อสายอิสราเอลว่า "ฮิบรู" จนกระทั้ง "โมเสส"(นบีมูซา) ลูกชาวฮิบรูที่ได้รับการเลื้ยงดูโดยภรรยาของฟาโรห์จนกลายเป็นเจ้าชายแห่งอียิปต์ ได้รับบัญชาจาเกพระเจ้าให้ปลดแอกชาวยิวในอียิปต์โดยให้พาชาวอีสราเอลแหรืฮิบรู ออกเดินทางจากเมือง เพื่อกลับไปยังปาเลสไตน์แผ่นดินแห่งพันธสัญญา....

           ชนชาติอิสราเอลได้ก่อสร้างชาติจาชนเผ่าเชื้อสายของจาขอบหรืออิสราเอลทั้ง 12 เผ่า ช่วงนั้นจะเรียกว่า เลวี เบนยามิน และยูดาห์ กษัตริย์เดวิดก็กำเนิดในชนเผ่านี้ ชนชาติฮิบรูในช่วงที่มีกษัตริย์ได้ตกเป็นทาสของบาบิโลน และเปอร์เซ๊ย และหลังจากถูกับเป็นเชลยอยู่หลายปีได้เดิินทางกลับไปสร้างชาติอีกครั้ง จนมาถึงสมัยพันธสัญญาใหม่ กองทัพโรมหมาอำนาจของโลกได้เข้ายึดกรุง "เยรูซาเลม" ช่วงสุดท้ายก่อนอิสราเอลจะสิ้นชาติ พระคริสต์ได้ประสูติ และบอกว่าพระองค์คือบุตรของพระเจ้า จนนำไปสู่การตรึงกางเขนโดยสาวกของพระองค์ที่ชื่อว่า ยูดัส เอสคาริโอ

 ซึงในตอนนั้นก่อนที่ชนชาติอิสราเอลจะสิ้นชาติในปีคริสต์ศํกราช 70 ชาวอิสราเอล หรือ ฮิบรู ที่เชื่อในพระคริสจะถูกแยกออกจากชาวอิสราเอลที่นับถือลัทธิยูดาย ชาวอิสราเอลในตอนจนั้นเขาเชื่อว่าเขาคือชนชาติี่พระเจ้าเลือก และรู้จักพระเจ้า ชาวต่างชาติไม่สควรที่จะรู้พระเจ้าผู้สร้างผู้ยิ่งใหญ่ คำว่า "ยิว" จึงน่าจะเร่ิมมีการถูกเรียกกันในช่วงนั้น ซึ่งหมายเป็นเชิงต่อต้านพวกอิสราเอลใใในด้านความเชื่อ สังคม และอะไรๆหลายๆ อย่าง 

           หลังจากโรมทำลายกรุงเยรูซาเลมพังพินาศแล้ว ชาวอิสราเอลได้กระจัดกระจายไปสู่ที่ต่างๆ ซึ่งตรงตามพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ดาบจะไล่ตามหลังพวกยิว ส่วนดินแดนคานาอันแผ่นดินน้ำยึ่งและน้ำนมบริบูรณ์จะแห้งแล้ง และถูกเปลี่ยนมือหลายครั้งหลายคราไม่ว่า อาณาจักรโรม อาณาจักรคอนสแตนติน และกองทัพมุลิมเข้ายึดครอง สงครามแยงชิงแผ่น


ดินศักดิ์สิทธิ์นี้ผุ้ที่ตกเป็นเหยื่อจะเป็นชาวยิว เช่น สงครามครูเสด ในแต่ละครั้งชาวยิวได้ตกเป็นเชลยและถูกฆ่า และอพยพไปอยู่ในประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรป เอเซีย และทวีปอเมริกา แต่ชาวยิวก็ยังยึดมั่นในพันธสัญญาระหว่างพวกเขาและพระเจ้า ว่า พระจเ้าจะนำพวกเขากลับไปยังดินแดนที่พระเจ้าเลือก คือ อิสราเอล

          ชาวยิวในประวัติศษสตร์ได้รับควาทุกข์ทรมารจากสงครามมากมายหลายครั้ง  ไม่ว่าจากกองทัพบาบิโลน เปอร์เซีย กองทัพโรม สงครามครูเสด แต่ครั้งที่สำคัญและโลกไม่สามารถชลืมความโหดร้ายได้คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โอยฮิตเลอร์ และพรรคนาซี ซึ่งยิวถูกฆ่าไปทั้งหมดประมาณ 6.6 ล้านคน

       
  ในที่สุดความพยายามของชาวยิวที่จะก่อตั้งรัฐอิสระ ก็ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอังกฤษซึ่งในตอนนั้นอังกฤษอิทธิพลในดินแดนปาเลสไตน์ อนุญาตให้ชาวยิวได้กลับเข้าไปในปาเลสไตน์อีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งก็คือ ประเทศ"อิสราเอล"ในปัจจุบัน พวกเขาได้ใช้ข้อความในพระคัมภีร์ มาอ้างความเป็นเจ้าของซึ่งชนพื้นเมืองที่มีอยู่ก่อนคือชาวปาเลสไตน์และชาวอาหรับในละแวกนั้นไม่เห็นด้วย จนเกิดความรุนแรงทุกรูปแบบในการต่อสู้ให้ได้มาซี่งแผ่นดินแห่งนี้

           ที่น่าทึ่งคือพวกเขาก่อร่างสร้างเมือง เปลี่ยนทะเลทรายทีแห้งแล้งให้เป็นพื้นที่การเกษตรเขียวชะอุ่มตรงตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่บกว่าพวกเขาจะกลับมารวมชาติและทำให้ดินแดนนี้มีชีวิตอีกครั้ง ...


                                                                       ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย

                                                                       

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...