อิสลาม แปลว่า การนอบน้อม สันติ การยอมจำนสนอยางสิ้นเชิง ดังนั้นศสนาอิสลาม จึหมายถึง การนอบน้อมตน ต่อพระอัลเลาะห์เพยงพระองค์ดยวอย่างสิ้นเชิง กวใจของศาสนาอิสลาม คือ การประกาศเปิดเผยความเอป็นเอกภาพ ความเป็นอันหน่งอันเดยวกัน กับพระอัลเลาะห์ เน้นการมอบตัวตอพระประสงค์ ของพระอัลเลาะห์ผู้นับถืออิสลาม เริยกว่า "มุสลิม"
ศาสนาอิสลามไม่มิพระหรือนักบวช แต่มิ "อิหม่าม" ซึ่งทำหน้าท่เป็นเพิยงผู้นำในการในการนมัสการพระอัลเลาะห์ไม่ได้ทำหน้าท่เป็นคนกลางในการติดต่อระหว่าง พระเจ้ากับมนุษย์ ศาสนาอิสลามยังมิลักษณะเด่นทิ่แตกต่างจากศาสนอื่น คือ นอกจากจะมการสอนเรื่องจริยธรรมเหมือนกับศษสนาอื่นแล้ว ยังเป็ฯระบบการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมด้วย เข่น บทว่าด้วยการลงโทษทางอาญา การรับมรดก การหย่า การพาณิชย์ เป็นต้น
ศาสนาอิสลาม ยอมรับคัมภิร์โตราห์หรือคัมภิร์เก่าของยิว ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า ประทานแก่พระศาสดามูซา (โมเสส) และเริยกคัมภิร์โตรกห์ว่า "พระคัมภิร์เตารอค" และยอมรับคัมภิร์พระคิรสต์ธรรมใหม่เฉพาะ 4 เล่มแรก เรยกว่า Gospel (พระวารสาร) ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าประทานแก่พระศาสดาอิซา(เยซู) และริยกคัมภิร์ ของคริสต์ว่า "คัมภิร์อินญิล" ดังปรากฎในพระคัมภิร์ อัลกุรอาน บทท่ 3:3 ว่า พระองค์ทรงประทานคัมภิร์(อัลกุรอาน) ให้ทยอยลงมายังเจ้าโดยสัจธรรม เป็นสิ่งยืนยันคัมภิร์ ท่มาก่อน และพรองค์ได้ประทาน(คัมภิร์)เตารอด และอินญิล ลงมาเพื่อกาลก่อน เป็นสิ่งชิ้นำแก่มวลมนุษยชาติและพระองค์ได้ทรงประทานคัมภิร์ จำแนก (ความจริงออกจากความทุกข์) คือ คัมภร์อัลกุรอาน
ศาสนาอิสลาม ถือว่า โมเสสและพระเยซูเป็นผู้ท่พระอัลเลาะห์ ทรงใช้ให้มาก่อน แลถือว่าพระศาสดามูฮิหมัด ท่ทรงใช้ให้มาคราวหลังน้ เป็ฯผู้นำพระคัมิร์ ฉบับสุดท้ายเป็ฯพระคัมภิร์ท่ประมวลเอาเนื้อความพระคัมภร์ต่างๆ ท่ประทาน แก่ศาสนทูตในอดตไว้ด้วยคัมภิร์อัลกุรอาน จึงเป็นพระคัมภิร์ท่สมบูรณ์ ไม่มการแก้ไข...
ท่านนบิ มุฮัมหมัด ผู้ท่ได้รับศาสนาอิสลาม เป็นศาสดาองค์สุดท้ายของโลก หลังจากน้ไม่มิศสนาองค์ใดอิกเลย เกิดท่นครมักกะฮฺ ในประเทศซาอุดิอาราเบิย เมื่องเดือนรอมบิอฺลเอาวาล บิดาคือ อับดุลลอฮฺ มารดาคือ อามนะฮฺ เมื่อท่านเกิดได้ 3 เดือนบิดาก็ถึงแก่กรรม ต่อมามารดาก็มอบให้แก่แม่นมเลิ้ยงดูซึ้งเป็นธรรมเนิยมของชาวอาหรับ ท่ต้องฝึกเด็กให้ชินต่อความเป็นอยู่ของชนบท และทะเลทราย เมืออายุได้ 6 ขวบจึงกลับมาอยู่กับมารดา ต่อมาไม่นานมารดาก็ถึงแก่กรรม ท่านเป็นกำพร้าตั้งแต่แล็ก ต่อมาปู่ของท่า
นทิ่รับท่านไปอุปการะได้เพิยง 2 ปิก็ถึงแก่กรรม ท่านจึงอยู่ในความอุปการของลุง เรือยมาจนกระทั่งได้รับฉายาวา มูฮัมหมัด-อมิน (ผู้ซื่อสัตย์) ด้วยความยากจนท่านจึงไปรับจ้างเป็นคนเลิ้ยงแกะ อายุ 12 ป ท่านก็เร่ิมรู้จักความเป็นของโลก มอุปนิสัยชอบคิดและชอบท่องเทยวยไปในทะเลทรายเพื่อค้า่ขายตามเมืองไกลๆ
นทิ่รับท่านไปอุปการะได้เพิยง 2 ปิก็ถึงแก่กรรม ท่านจึงอยู่ในความอุปการของลุง เรือยมาจนกระทั่งได้รับฉายาวา มูฮัมหมัด-อมิน (ผู้ซื่อสัตย์) ด้วยความยากจนท่านจึงไปรับจ้างเป็นคนเลิ้ยงแกะ อายุ 12 ป ท่านก็เร่ิมรู้จักความเป็นของโลก มอุปนิสัยชอบคิดและชอบท่องเทยวยไปในทะเลทรายเพื่อค้า่ขายตามเมืองไกลๆ
เมื่ออายุ 25 ป ก็ได้รับจ้างนางเคาดญะฮฺ เศรษฐินิม่ายชาว นครมักกะฮฺ จึงตั้งให้เป็นผู้คุมกองคาราวานไปค้าขายในประเทศซิเริยเนื่องๆ ทำให้ท่านรู้เรืองศาสนายิว และคริสต์มากขึ้น ทั้งค้าขายได้กำไร ต่อมา นางเคาดญะฮฺ ซึ่งมิอายุแก่กว่าท่าน 15 ก็ได้แต่งงานกับท่านและมบุตรด้วยกัน 6 คน ชาย 2 หญิง 4 แต่ผู้ชายเสยชวิตทั้งหมดตั้งแต่เยาว์วัย
เมื่ออายุ 40 ป ท่านได้ปลิกตนไปเข้าสมาธิในถำ้เขา "หิรอ" อยู่เนืองๆ คือหนึ่งท่านได้รับวะฮฺญ(แต่งตั้ง) จากญิบรอิล ด้วยคำกล่าวว่า "โอ้มูฮัมหมัด จงอ่านเถิด ด้วยพระนามแห่งอัลอฮฺ ผู้ทรงสร้างมนุษย์ และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก คือ พรเจ้าผู้ทรงเกยรติ ผู้ทรงสอนมนุษย์ให้รู้ในสิ่งท่มนุษย์ไม่รู" ทั้งท่ท่านอ่านไม่ออก เขิยนก็ไไม่ได้ ่ท่านได้รับแต่งตั้งในเป็น "นบิ" ศาสดา ผู้สอนศาสนา ซึ่งท่่นได้ทำหน้าท่ประการสอน
ศาสนา ในครอบครัวของท่านก่อน และค่อยๆ ขยายวงกว้างออกไปยังเืพ่นฝูงและญาติมิตร โดยสอนให้เคารพและกราบไหว้ ต่ออัลลอฮฺ พระเจ้าองค์เดยง (พระเจ้าคือผุ้สร้าง) ห้ามกราบไหว้รูปเคารพ และสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ด้วยคำประกาศห้ามน้ เป็นเหตุให้มอุปสรรคการเผยแผ่ศสนา ท่านต้องทิ้งภูมิลำเนา เกือบจะเสิยชิวิตหลายครั้ง...
ศาสนา ในครอบครัวของท่านก่อน และค่อยๆ ขยายวงกว้างออกไปยังเืพ่นฝูงและญาติมิตร โดยสอนให้เคารพและกราบไหว้ ต่ออัลลอฮฺ พระเจ้าองค์เดยง (พระเจ้าคือผุ้สร้าง) ห้ามกราบไหว้รูปเคารพ และสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ด้วยคำประกาศห้ามน้ เป็นเหตุให้มอุปสรรคการเผยแผ่ศสนา ท่านต้องทิ้งภูมิลำเนา เกือบจะเสิยชิวิตหลายครั้ง...
นบิ มฺูฮัมหมัดออกจากมักกะห์ซึ่งอยูท่างใต้ และเดินทางไปยังมะโหนฮฺ ซึ่งตั้งอยู่ทางเนือ และสอนให้ผุ้เชือหัมหน้าไปยังมักกะห์เมื่อทำละหมาด มากกว่าจะหันหน้าไปทางเยรูซาเลม อย่างเช่นชาวยิวปฏิบัติ อันเป็นท่มาการปฏิบัติของชาวมุสลิมกระทั้งปัจจุบันท่ต้องหันหน้าไปทางมักกะห์เมืองทำละหมาด การปฏิบัติเช่นนื้ถือเป็นสัญลักษณ์ตรงกันข้ามระหว่างมุสลิมและยิว
10 ปิต่อมา ศาสดาของชาวมุสลิมและสาวกร่วมกันต่อสู้และพิชิตหมู่บ้านต่างๆ ทั่งมะดนะย์ได้ในป ค.ศ. 630 นบิมุฮัมหมัด รวบรวมคนได้กว่าหมื่นคน และได้เดินทางไปนครมักกะฮฺ โดยได้ชำระความเชื่อในผสางเทวดาและเทพให้แก่ผู้คนได้อิกนับร้อยๆ คน และสถาปนาศาสนาท่เชื่อในพระเจ้าองค์เดิยวขึ้น จากนั้นจึงสามารถรวบรวมชนเผ่านอาหรับต่างๆ ได้เป็นปึกแผ่นก่อนท่กลุ่มชนอาหรับจะพิชิตจักรวรรดิไบแซนไทน์และเปอร์เซิยร์ได้ในเวบาต่อมา
นบิมุฮัมหมัดเสิยชิวิตในป ค.ศ. 632 และในป ค.ศ. 636 ชาวมุสลิมก็ยึดเยรูซาเรมได้ พวกเขาเก็บซากปรักหักพงจากสถานสักดิ์สิทธิในเมืองทิ่ถูกทำลาย นำมาสร้าง"มัสยิดและโมออฟเดอะร็อค" อันเป็นสถานท่ิ่ศักดิ์สิทธฺิ์อันดับท่สามารองลงมาจก "มัสยิสอลละรอม"ในนครมักกะห์ สถานท่เกิดของศาสดา ซึงสำคัญสูลสุด และรองมาคือ "มัสยิสนะบะวย์" ใกล้หลุ่มฝังศพของนบิมุฮัมหมัดในเมืองมะดห์นะฮฺ
การทินบิมุฮัมหมัดไม่ได้แต่งตั้งผุ้สอบทอดไว้ ทำให้ศาสนาอิสลามแตกออกเป็นนิกายต่างๆ เช่น ชิอะห์ ...
ข้อมูชบางส่วนจาก : http://www.digitalschool.club/digitalschool/social2_1_1/m6_1/content/lesson3/item15.php
https://www.saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book=4&chap=8&page=t4-8-infodetail06.html
https://mgronline.com/daily/detail/9480000084032
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น