การเลือกตั้งประธานาะิบดี ปี 1860 ถือเป็นจุดสิ้นสุดของการครองอำนาจทางการเมืองในอเมริกาของฝ่ายใต้ เนื่องจาก 2 ใน 3 ของจำนวนประะานาะิบดีทั้งหมดล้วนมาจากภาคใต้ นับแต่จอร์จ วอชิงตัน ได้รับเลือกเป็น ปธนคนแรกในปี 1789 ความพ่ายแพ้นี้ทำให้รัฐฝ่ายใต้รุ้สึกุุกบีบคั้นอย่างมา และกลายเป็นจุดแตกหักทางการเมือง โดยเพียงสองเดือนหลังชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วประเทศ มลรัฐเซาท์แคโรไลน ซี่งเป็นตัวตั้งตัวตีที่สำคัญในการผลักดันประเด็นเรื่องสิทธิของมลรัฐที่จะปกครองและกำหนดตนเอง ก็ประกาศแยกตัวออกเป็นรัฐแรก ปลพมลรัฐเกษตรกรรมไร่ฝ่้ายอีกหกมลรัฐ ก็ทยอยประกาศแยกตัวออกตามในอีกสองเดือนถัดมา
อับราฮัม ลินคอล์๋น เข้าสาบานตนเป็นปรธานาะิบดีคนที่16 ของสหรับในวันที่ 4 มีนาคม 1861 ท่านกล่าวในสุทรพจน์เข้ารับตำแหน่งว่า ภายใต้รัฐะรรมนูญของสหรัฐฯ ความพยายามแยกรัฐออกเป็นอิสระย่อมเป็นโมฆะแต่ก็ให้คำยืนยันว่ารับบาลของตนจะไม่เร่ิมต้นสงครามกลางเมือง ดดยกล่าวต่อ "รัฐทางใไต้" ว่า "ข้าเจ้าไม่มีจุดหมายโดยตรงหรือโดยอ้อมที่จะแทรกแทรงสถาบันการครองทาสที่ยังมีอยุ่ในประเทศสหรัฐ เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าเจ้าไม่มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะทำเช่นนั้นไ ลินคอล์นทำอย่างดีที่สุดที่จะใช้สุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งในการหว่านล้อมเพื่อนร่วมชาติให้หันมาปรองดองกัน ให้เห็นความเป็นครอบครัวอเมริกันครอบครัวเดียวกัน...
"พวกเราไม่ใช่ศัตรุกัน เราเป็นเพื่อน เราจะเป็นศัตรูกันไม่ได้ ถึงความรุ้สึกจะบอบช้ำไปบ้าง แต่จะให้สิ่งนี้มาทำลายสายใยของมิตรภาพหาได้ไม่ สายพิณที่นาพิศวงของความทรงจำ ที่ดยงเอาทุกสมารภูมิรบและหลุมศพของวีรบุรุษ เข้าไว้กับทุกหัวใจที่ยังมใีชีวิตอยุ่ และหินหน้าเตาไฟของทุกครัวเรือน ทั่วดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ จะยังส่งเสียงประสานของความกลมเกลี่ยวแห่งสหาภาพอย่างแน่นอน ยามเมือมันถุกดีดให้ดังขึ้นอีครั้ง โดยเทวทูตที่ดีกว่าแห่งธรรมชาติของเรา.."- อับราฮัม ลินคอล์น, สุนทรพจน์เขารับตำแหน่งครั้งแรก 4 มีนาคม 1861
อับราอัม ลินคอล์น 12 กุมพาพันธ์ 1809-15 เมษายน 1865 เป็นทนายความนักการเมือง และรัฐบุรุษชาวอเมริกันที่ดำรงตำแหน่ง ประะานาะิบดีคนที่ 16 ของหสรัฐอเมริกตั้งแต่ปี 1861 กระทั้งถูกลอบสังหาร ปี 1865 ลินคอล์นเป็นผุ้นำสหรัญฯ ผ่านสงครามกลางเมือง อเมริกาปกป้องประเทศในฐานะสหภาพ ตามรัฐะรรมนูญ ปราบสมาพันธรัฐกบฎ มีบทบาทสำคัญในการยกเลิกทาส ขยายอำนาจของรับบาลกลางและปรับปรุงเศรษฐกิจสหรัฐฯให้ทันสมัย
ลินคอล์น เกิดในครอบครัวยากจน ในกระท่อมไม่ซุงในรัฐเคนตักกี้และเติบโตบนชายแดนโดยเฉพาะในรัฐอินเดียนาเขาศึษาด้วยตนเองและหลายมาเป็นทนายหัวหน้าพรรค "วิง" สมาชิกรัฐสภาอิลินอยซ์ และผุ้แทนสหรัฐฯจากอิลินอยส์ ในปี 1849 เขากลับไปประกอบอาชีพทหนายความที่ประสบความสำเร้๗ในเมืองสปริงฟิลด์ รัฐอิลลินอยส์ในปี 1854 เขาดกรธเคืองต่อพระราชบัญญัติเคนซัส เนแบรสกา ซึ่งเป็นพื้นที่ให้มีการค้าทาส เขาจึงกลับเข้าสุ่วงการเมืองอีกครั้งในไม่ช้าเขาก็กลายเป็นผู้นำของพรรครีพับลิกันใหม่ เขาได้รับความสนใจจากทั่วประเทศในการดีเบตหาเสยงในวุฒิสภาในปี 1858 เพื่อต่อต้านสติเฟน เอ. ดักลาส ลินคอล์นเองสมัครับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี 1860 และได้รับชัยชนะในภาคเหนือ กลุ่มสนับสนุนการมีทาสในภาคใต้มองว่าการเลือตั้งของเขาเป็นภัยคุกคามต่อการค้าทาส
สหพันธรัฐอเมริกา เป็นรัฐบาลแยกตัวออกซึ่งสถาปนาในปี 1861 ภายในดินแดนของสหรัฐโดยเจ็ดรับทาส คือ รัฐที่อนุญาตความเป็นทาสทางใต้ซึ่งประกาศแยกตัวออกจากสหรัฐหลังการเลือกตั้งเมื่อปี 1860 ซึ่ง อับราอัม ลินคอล์น ชนะเจ็ดรัฐเหล่านี้สถาปนาชาติใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ 1861 ก่อนลินคอล์นเข้าดำรงตำแหน่งในเดือนมีนาคม หลังสงครามเร่ิมขึ้นในเดือน เมษายน สี่รัฐอัปเปอร์เซาท์ ก็ประกาศแยกตัวออกและเข้าร่วมสาพันธรัฐเช่นกัน ภายหลัง สมาพันธรัฐยอมรับอีกสองรัฐเข้าเป็นสมาชิก คือ รัฐมิสซุรี และรัฐเคนทักกี แม้สองรัฐนี้ไม่ได้ประกาศแยกตัวออกหรือถูกกำลังสมาพันธ์รัฐควบคุมอย่างเป็นทางการ
รัฐบาลสหรัฐ (สหภาพ) ปฏิเสธการแยกตัวออกและมองว่าสมาพันธรัฐมิชอบด้วยกฎหมาย สงครามกลางเมืองอเมริกาเร่ิมขึ้นด้วยการเข้าตีค่ายซัมเทอร์ของสมาพันธรัฐ ปี 1861 ซึ่งเป็นค่ายทหารบนทาเรือชาร์ลสตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา ถึงปี 1865 หลังการสู้รบอย่างหนัก ซึ่งสวนใหญ่ในดินแดนสมาพันธรัฐกำลังสมาพันธรัฐปราชัยและสมาพันธล่มสลายลง ไ่มีรัฐต่างประเทศใดรับรองสมาพันธรัฐเป็นประเทศเอกราช แต่อังกฤษและฝรั่งเศสให้สภาพคู่สงคราม
สหรัฐฯ สู้รบกันในสงครามกลางเมืองระหว่างปี 1861-1865 โดยมีการสุ้รบกันใน 23 มลรัฐ และในพื้นที่ที่ขณะนั้นยังไม่มีสถานะเป็นมลรัฐ รวมไปถงพื้นที่ทางน้ำสงครามกลางเมืองอเมริกา สุ้รบกันในพื้นที่นับไม่ถ้วย ตั้งแต่ วาลเวอร์ด, รัฐนิวเม็กซิโก และ ตุลลาโฮมา, รัฐเทนเนสซี ไปจนถึง เซนต์อัลแบนส์, รัฐเวอร์มอนท์ และเฟอร์นานดินา ณ ชารรฝั่งรัฐฟลอลิดา สมารภูมิที่มีชื่อบันทึกอย่าเป้นทางการมีถึง 237 สมรภูมิ คนอเมริกันมากกวา่สามล้านคนเข้าร่วมสุ้รบในสงครามกลางเมือง และมีคนกว่าหกแสนคนล้มตายในสงครามนี้ หรือคิดเป็นร้อยละสอง ของประชากรอเมริกันทั้งหมด
ต้นปี 1864 ลินคอล์มอบอำนาจสั่งการกองทัพทังหมดให้กับ จอมพล ยูลิสซิส เอส. แกรนด์ โดยแกรนด์ใช้กองทัพโพโทแม็ค เป็นกองบัญชาการ และให้อำนาจบัญชาการกองกำลังทางแนวรบตะวันตกเกือบทังหมดแก่ พลตรี วิลเลียม ที.เชอร์แมน จอมพลแกรนด์มีความเข้าใจแนวคิดของสงครามเบ็ดเสร็จ ทั้งยังเห็นตรงกับลินคอล์นและเชอร์แมนว่า วิะีเดียวทีจะพิชิต่ายสมาพันธรัฐและยุติสงครามได้ ก็คือ การทำลายทังกองกำลัง และฐานทางเศราฐกิจของฝ่ายข้าศึกโดยสิ้นเชิง แต่เน้นย้ำว่าเป้าหมายไม่ใช่พลเรือนของฝ่ายตรงข้าม หากแต่เป็นการเข้ายึดเสบียงอาหาร และทำลายบ้าน เรือนเรือกสวนไร่นา และทางคมนาคมทางรถไฟซึ่งมิแะัั้นทรัพยากรเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ทงการสงครามโดยฝ่ายกบฎ
นายพลโรเบิร์ต อี. ลี ได้รับสารจากนายพลแกรนด์ขอให้ยอมจำนนเสียลียังพยายามสุ้ต่อ และพยายามจะฝ่ากองกำลงของเชอริเดอที่ปิดถนนใกล้กับแอพโพแมตท็อกซ์ คอร์ทเฮ้าส์ ไว้ แต่เมือพบว่าทางเหลือกเดียวที่เหลือคือต้องรบแบบกองโจรในป่า ลีจึงตัดสินใจยอมวางอาวุะ แล้วส่งสารถึงแกรนด์กงทัพเวรอืจิเนียเหนือว่าขอยอมจำนน สงครามกลางเมืองอเมริกาเป็นอันสิ้นสุดลงเมือวันที่ 9 เมษายน ปี 1865 ณ บ้านของ วิลเมอร์ แม็คลีน กองกำลังสมาพันธรัฐที่ยังไม่ยอมทิ้งอาวุธ ก็ทยอยกันยอมจำนนเมืองข่าวการยอมแพ้ของนายพลลีทราบไปถึง
ในวันที่ 14 เมษายน ปี 1865 ประธานาธิบดีลินคอล์น ถูกผุ้ฝักใฝ่ฝ่ายสมาพันธรัฐลอบยิง ลินคอล์นเสียชีวิตในรุ่งเช้าวันถัดไป และแอนดรุว์ จอห์นสัน กลายเป็นประธานาธิบดีแทนที่ และในวั้นที่ 23 มิถุนายน 1865 นายพลฝ่ายสมาพันธรัฐคนสุดท้ายก็ยอมจำนน
ราคาของสงคราม
สงครามกลางเมืองทำให้มีผุ้บาดเจ็บล้มตายไม่น้อยกว่า ล้านคน คิดเป็นร้อยละสามของประชากรทั้งหมด การสำรวจสำมะโนครัวปี 1860 พบว่าร้อยละ 6 ของชายอเมริกาผิวขาวในรัฐทางเหนือ อายุระหว่าง 13-43 ตายในสงคราม ในภาคใต้อัตรานี้สุงถึงร้อยละ 18 ทหารประมาณ 56,000 คนตายในค่ายนักโทษระหว่างสงครามและผุ้ที่พิการสูญเสียแขนขาประมาณ 60,000 คน
จากการสำรวจบันทึกโดย นักประวัติศาสตร์ ฝ่ายเหนือมีทหารรวม 359,528 นาย คิดเป็นร้อยละ 15 ของทหารกว่า 2 ล้านนายที่เข้ารับใช้ชาติ โดย
110,070 ตายในสนามรบ 67,000 หรือเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหว 43,000
199,790 ตายเพราะดรคภัยไข้เจ็บ (ร้อยละ 75 เกี่ยวข้องกับสงคราม)
24,866 ตายในค่ายกักกันนักโทษของฝ่ายสมาพันธรัฐ
15,741 ตายเพราะสาเหตุอื่นๆ
อย่างไรก็ดีนี่เป็นจำนวนที่ต่ำหว่าจำนวนผุ้บาดเจ็บ -เสียชีวิตอย่างเป็นทางการที่ประเมินโดย US Nation Park Service
สหภาพ 853,838
110,100 ตายในสนามรบ
224,580 ตายเพราะโรค
275,154 บาดเจ็บในการปฏิบัติหน้าที่
211,411 ถูกจับ(รวมถึง 30,192 นาย ที่ตายในฐานะเชลยสงคราม)
สมาพันธรัฐอเมริกา 914660
94,000 ตายในสนามรบ
164,000 ตายเพราะโรค
194,026 บาดเจ็บในกาปฏิบัติหน้าที่
462,634 ถูกจับผรวมถึง 31,000 นาย ที่ตายในฐานะเชลยสงคราม)
การประกาศเลิกทาศ เป็นคำสั่งของฝ่ายบริหารที่อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาะิบดีสหรัฐ ออกเมืองันที่ 1 มกราคม 1863 ในช่วงสงครมแลางเมืองอเมริกัน โดยใช้อำนาจยามสงครามของตน จึงมิใช่กฎหมายที่รัฐสภาสหรัฐอนุมัติ คำสั่งดังกล่าวประกาศให้เสรีภาพแก่ทาสในรัฐสิบแห่งซึ่งเป็นกบฎอยุ่ขณะนั้น ามีผลต่อทาศ 3.1 ล้านคน จากทั้งหมด 4 ล้านคน ในสหรัฐในเวลานั้น การประกาศดังกล่าวปลดปล่อยทาศทันที่ 50,000 คน และเกือบทั้งหมด จาก 3.1 ล้านคน ได้รับการปลกปล่อยเมืองกองทัีพสหภาพรุกหน้า คำประกาศดังกล่าวมิได้ให้เงินชดเชยแก่เจ้าของทาศ มิได้ประกาศให้สภานะทาสเป็นความผิดต่อกฎหมายและมิได้ทำให้อดีตทาสที่ได้รัยบการปลดปล่อยแล้วได้สถานพลเมือง
22 กันยายน 1862 ลินคอล์นออกการประกาศเบื้องต้นว่า จนจะสั่งการเลิกทาสในรัฐทุกแห่งของสมาพันธรัฐอเมริกาที่ไม่กลับคืนสุ่การควบคุมของสหภาพภายในวันที่ 1 มกราคม 1863 เนืองจากไม่มีรัฐใดกลับคืนสู่การควบคุมของสหภาพ คำสั่งซึ่งนามและอนุมัติเมือวันที่ 1 มกราคม 1863 จึงมีผลใช้บังคับ ยกเว้นในสถานที่ซึ่งฝ่ายสหภาพกลับเข้าควบคุมได้ป็นส่วนใหญ่แล้ว คำประกาศดังกล่าวทำให้การเลิกทาสตกเป็นเป้าหมายศูนย์กลางของสงคราม(นอกเหนือจากการรวมประเทศ) สร้างความดกระแก่ชาวใต้ยิวขาวซึ่งหวังทำสงครามเชื้อชาติ และนักประชาธิปไตยทางเหนือบางส่วน การะตุ้นกองกำลังที่ต่อต้านระบบทาส และทำให้กำลังในยุโรปที่ต้องการแทรกแซงโดยเข้าช่วยเหลือสมาพันธรัฐอ่อนแอลง
การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่สิบสาม ซึ่งมีผลใช้บังคับเมืองเดือนะันวาคม 1865 ทำให้ความเป็นทาสกลายเป็นความผิดทางกฎหมาย
ข้อมูล : ;วิกิพีเดีย