มองโกลอยด์ เป็นหลุ่มเชื้อชาติที่ล้าสมัยของกลุ่มชนพื้นเมืองต่างๆ ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของเอเชียอเมริกาและบางภูมิภาคในยุโรปและโอเชียเนย คำนี้มาจากทฤษำีเกี่ยวกับเชื้อชาติทางชีววิทยาที่ปจจุบนพิสูจน์แล้วว่าผิด ในอดีตมีการใขช้คำศัพท์อื่นๆ เช่น "เผ่าพันธ์ุมองโกลอยด์" "ผิวเหลือง" เอเชียติก" และตะวันออก" เป็นคำพ้องความหมาย
แนวคิดเรื่องการแบ่งแยกมนุษยชาติออกเป็นเผ่าพันธุ์มองโกลอยด์ คอเคซอยด์ และนิโกร ได้รับการแนะนำในช่วงปี 1780 โดยสมาชิกของสำนักประวัติศาสตร์เกิททิงเงน แนวคิดนี้ ได้รับการพัฒนาเพื่อเติมโดยนักวิชาการตะวันตกในบริบทของ อุดมการณ์ "เหยียดเชื้อชาติในยุคอาณานิคม" ด้วยการเพื่อขึ้นของพันธุศาสตร์ สมัยใหม่ แนวคิดเรื่องเผ่าพันธุ์ มนุษย์ที่แตกต่างกันในเชิงชีววิทยาจึงล่าสมัยไปแล้ว ในปี 2019 สมาคมนักมานุษยวิทยาชีววิทยาแห่งอเมริกา ได้กล่าวว่า "ความเชื่อใน "เผ่าพันธุ์"ในฐานะองค์ประกอบทางธรรมชาติของชีววิทยาทยามนุษย์ และโครงสร้างของความไม่เท่าเที่ยมกัน)การเหยียดเชื้อชาติ) ที่เกิดขึ้นจากความเชื่อดังกล่าว คือเป็นองค์ประกอบที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประสบการณ์ของมนุษย์ทั้งในปัจจุบันและในอดีต
คำว่า "มองโกลอยด์"ได้ถูกนำมาใช้เป็นครั้งที่สอง โดยอ้างถึงผุ้ที่มีอาการดาวน์ซินโดรม ซึ่งปัจจุบันถือกันว่าน่ารังเกียจมาก ผุ้ที่ได้รับผลกระทบมักถูกเรียกว่า "มองโกลอยด์" หรือเรียกอีกอย่างว่า "ความโง่เขลาของชาวมองโกล"
คำว่า "มองโกลเลียในฐานะคำที่ใช้เรียกเชื้อชาติถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปี 1785 โดยคริสดอฟ ไมเนอร์ส นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกิททิงเงน ซึ่งทันสมัยในขณะนั้น ไม่เนอร์สแบ่งมนุษย์ออกเป็นสองเชื้อชาติ เขาเรียกว่า "ชาวตาตาร์-คอเคเซียน" และ "ชาวมองโกล" โดยเชื้อว่าเชื้อชาติแรกมีความสวยงามส่วนเชื้อชาติหลัง" มีร่างกายและจิตใจอ่อนแอ ไม่ดี และขาดคุณธรรม
โยอันน์ ฟรีดริช บลูเมนบัด เพื่อร่วมงานของเขาที่ เกิดททิงเงน นำไปใช้ในการแบ่งมนุษยชาติออกเป็น 5 เชื้อชาติ ซึ่งนำมาซึ่ง "ลัทธิเหยียดเชื้อชาติทางวิทยาศาสตร์ไ ในภายหลัง แต่ข้อโต้แย้งของเขานั้นต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติโดยพื้นฐาน เนื่องจากเขาเน้นย้ำวามนุษยชาติโดยรวมแล้วก่อตัวเป็นสายพันธุ์เดียวกัน และชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อชาติหนึ่งไปสู่อีกเชื้อชาติหนึ่งนั้นค่อยเป็นค่อยไปมาก จนทำให้ความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติที่เขาเสนอนั้น "ไม่แน่นอนอย่างมาก"
การอภิปรายเกี่ยวกับเชื้อชาติในหมู่นักวิชากรตะวันตกในช่วงศตวรรษที่ 19 เกิดขึ้นท่ามกลางการโต้เถียงระหว่างนักวิชาการที่เชื่อว่ามีเชื้อสายเดียวและนักวิชาการที่เชื่อว่ามีเชื้อสายหลายเชื้อชาติ โดยนักวิชาการที่เชื่อว่ามีเชื้อสายเดียวสนับสนุนให้มนุษยชาติทั้งหมดมีต้นกำเนิดเดียวกัน ส่วนนักวิชาการที่เชื่อวย่าแต่ละเผ่าพันธุ์มนุษย์มีต้นกำเนิดเฉพาะ นักวิชาการที่เชื่อว่ามีเชื้อสายเดียวสนับสนุนการโต้แย้งของตนโดยอาศยการตีความ เรื่องราว "ในพระคัมภีร์" เกี่ยวกับ อาดัมและเอวา ตามตัวอักษรหรือจาการศึกษาวิจัยทางโลกเนื่องจากนักวิชาการที่ เชื่อว่ามีเชื้อสายหลายเชื้อชาติเน้นย้ำถึงความแตกต่างที่รีบรู้ได้ จึงเป็นที่นิยมในหมุ่นักวิชาการ ที่เชื่อว่ามีเชื้อสายหลายเชื้อชาติเน้นย้ำถึวความแตกต่างที่รับรู้ได้ จึงเป็นที่นิยมในหมู่นักวิชาการ ที่เชื่อว่า คนผิวขาวเหนือกว่าโดยเฉพาะเจ้าของทาสในสหรัฐอเมริกา...
ในบทความ เกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันของผ่าพันธุ์มนุษยตีพิมในปี 1853-55 ซึ่งต่อมามอิทธิพลต่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ขุนนางฝรั่งเศส อาเธิร์ เดอ โกบิโน ได้นิยามเผ่าพันธุ์สามเผ่าพันธุ์ที่เขาเรียกว่า "ผิวขาว" ผิวดำ" และ "ผิวเหลือง" เผ่าพันธุ์ผิวเหลืองของเขาสอดคล้องกับ เผ่าพันธุ์มองโกลอยด์ ของนักเขียนท่านอื่นๆ แม้ว่าเขาจะมองว่า เผ่าพันธุ์ผิวขาว เหนือกว่า แต่เขาก็อ้างว่า "เผ่าพันธู์ผิวเหลือง นั้นะรรมดาทั้งทางร่างกายและสติปัญญา แต่มีลัทธิวัตถุนิยมที่เข้มแข็งมากซึ่งทำให้พวกเขาบรรลุผลบางอย่างได้...
เมื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ของสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ลีโอนาร์ด ลิเบอรืแมนกล่าว่าแนวคิดที่ว่าโลกทั้งใบประกอบด้วยเชื้อชาติที่แตกต่างกันสามเชื้อชาติ ได้แก่ คอเคซอยด์ มองโกลลอยด์ และนิโกร ดูเหมือนจะน่าเชื่อถือเนื่องจากประวัติศาสตร์การอพยพเข้าสู้สหรัฐอเมริกา โดยผุ้อพยพส่วนใหญ่มาจากสามพื้นที่ ได้แก่ จีนตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ และ แอฟริกาตะวันตก สิ่งนี้ทำให้มุมองของเชื้อชาติทั้งสามนี้ดู "เป็นจริง เป็นธรรมชาติและหลีกเลี่ยงไม่ได้"
ปี 1950 ยูเนสโก ได้เผยแพร่คำชี้แจงเรืองคำถามเรื่องเชื้อชาติ ซึ่งประณามการเหยยดเชื้อชาติทุกรูปแบบโดยระบุว่า "หลักคำสอนเรื่องความไม่เท่าเที่ยมกันระหว่างมนุษย์และเชื้อชาติ เป็นหนึ่งในสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 และเสนอให้แทนที่คำว่า "เชื้อชาติ" ด้วย "กลุ่มชาิตพันธุ์" เหนืองจาก ข้อผิดพลากร้ายแรง มักเกิดขึ้นเป็นประจำเมืองใช้คำว่า "เชื้อชาติ" ในภาษาพูดทั่วไป
"ภัยเหลือง" คำนี้บัญญัติขึ้นเพื่อใช้แทนความหวาดกลัวและการดุแคลนคนเอเชียในช่วงร้อยปีของประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา คำนั้เร่ิมใช้ครั้งแรกในปี 1868 เมื่อสหรัฐอนุญาตให้ชาวจีนหลายหมือนคนเข้ามาทำงานที่สเียงอันตราย เช่น การทำเหมืองแร่ เป็นแรงงานในการสร้างทางรถไฟ และอนุญาตให้คนเหล่านี้ขอสัญชาติและตั้งรกตากในสหรัฐอเมริกาได้ ตรมสนะิสัญญาเบอรลิงเกม และยังได้ออกกฎหมายเพจ เพื่อสนับสนุนชาวจีนเหล่านี้่ให้ตั้งรกรากในสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งก็เพราะสหรัฐฯ ต้องการแรงงานมหาศาลในการช่วยสร้างประเทศ
ช่วงนั้นมีคนจีนทะลักเข้าในสหรัฐฯ เป็นจำนวนมากหลังจากชาวจีนก็มีชาวญี่ปุ่นที่อพยพตามในช่วงปี 1907-1930 ทศวรรษที่ยาวนานนั้นเอง ก็เร่ิมมีกระแสความหวาดกลัวคนเอเชียเพื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ชนวน
ส่วนหนึ่งเป็นควาามไม่มั่นใจในความปลอดภัยของคนขาวเองเพราะในเวลาไล่เลี่ยกัน ญี่ปุ่นสามารถเอาชนะในการทำสงครามกับรัสเซีย ในปี 1905 กระแสความหวาดกลัวของคนยุโรปก็เร่ิมส่งมาถึงอเมริกา ท้ายสุดเกิดการต่อต้านและประท้วงโดยคนขาวซึ่งเป็นห่วงว่าคนเหล่านี้จะมาแย่งงานหรือสวัสดิการต่างๆ ที่พวกเขาพึงได้ และต่อต้านไม่ใหั้คนเอเชียได้รับสะทิธิในการถือสัญชาติอเมริกัน การต่อต้านบรรลุผลเมือมีการจำกัดจำนวนคนเอเชียเข้าประเทศภายหลังการสร้างทางรถไฟข้ามประเทศเสร็จสิ้น และมีการออกกฎหมายตั้งเขตที่อยุ่อาศัยเฉพาะคนเอเชียขึ้นมาตามเมืองต่างๆ ด้วย
คำว่า "ภัยเหลือง" มาสุ่จุดสุงสุดเมือสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญุี่ปุ่นถล่มฐานทัพเรือเพิร์ลฮาร์เบอตร์ของสหรัฐฯฯ และทวีความหวาดกลัวคนเอเซียของคนขาวทั้งหลายก็ว่าได้ จนเป็นที่มาของการตัดสินใจทิ้งระเบิดปรมาณูในเวลาต่อมา หลังสงครามโลกเมือสหรับควบคุมสภานะการณ์ได้ ความหวาดกลัวคนเอเชียจึงเร่ิมซาลง กระทั้งถูกปลุกให้ตื่อนอีกครั้งในสมัยประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ โดย ใช้เรียก covid 19 ว่า "ไวรัสคนจีน"
โควิด เปิดจุดอ่อนและด้านลบของปัญหาการเมืองในประเทสนั้นๆ ปรากฎออกมาเด่นชัดใน สหรัฐฯ ไม่มีเรื่องอะไรมากกว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำ กดขี่ เหยียดเชื้อชาติสีผิวที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น กรณีของสหรัฐฯ ในสมัยประะานาะิบดีทรัมป์ผุ้ประกาศคำขวัญว่า "อเมริกาก่อน"
ที่มา : วิกิพีเดีย
https://www.the101.world/us-covid19-war/