วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Third Way

           พรรครีพับลิกันภายใต้การนำของ โรนัลด์ เรแกน มีความเจ้าแข็งมาก แม้เดโมแคต จะเสนอผุ้ชือผู้ชิงตำแหน่งประะานาธิบดี คือ วอลเตอร์ มอนเดล และ ไม่เคิล ดุคาดิส แต่ก็แพ้ให้กับเรแกร และจิร์จ เอช. ดับเบิลยู .บุช ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี 1984 และ 1988 ตามลำดับ เโมแคตรหลายคนฝากความหวังไว้กับ แกรี่ ฮาร์ต ผุ้ท้าทาย มอนเอลในการเลือกตั้งข้นต้น ปี 1984 โดยเสนอแนวคิดเรื่อง "แนวคิดใหม่" และในการเลือกตั้งขั้นต้นปี 1988 ต่อมา พรรคก็กลายเป็นตัวเต็งโดยพฤตินัยและ "ตัวเต็ง" สำหรับการเสนิชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ก่อนที่เรื่องอื้อฉาวทางเพศจะทำให้หาเสียงของเขาต้องยุติลง อย่างไรก็ตาม พรรคเร่ิมมองหาผุ้นำรุ่นใหม่ ซึ่งเช่นเดียวกับ ฮาร์ตมทีได้รับแรงบันดาลใจจากอุดมคติที่เน้นหลักปฏิบัติของ จอห์น เอฟ. เคเนดี้

        บิล คลินตัน ผุ้ว่าการรับอาร์คันซอ เป็นบุคลหนึ่งที่ได้รับเลือกเป็นปรธานาธิบดีในปี 1992 ในฐานะผุ้ได้
รับการเสนอชื่อจากพรรคเดโมแครต สภาพ(ู้นำพรรคเดโมแครต เป็นองค์การหารเสียงที่เชื่อมโยงกับคลินตัน ซึ่งสนับสนุนการจัดแนวและการแบ่งฝ่ายภายใต้ป้ายชื่อ "พรรคเดโมแครตใหม่"พรรคได้นำนธยบายเศราฐกิจแบบเสรีนิยม ใหม่มาผสมผสาน กับเสรีนิยมทางวัฒนธรรม ดดยฐานเสียงหลังจากเรแกนเปลี่ยนไปทางขวา อย่างมาก ในความพยายามที่จะดึงดูดทั้งเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมทางการคลัง พรรคเดโมแครตเร่ิมสนับสนุนงบประมาณที่สมดุลและเศรษฐกิจตลาด ที่ผ่านปรนด้วยการแทรกแซงของรัฐบาล(เศรษฐกิจแบบผสม) ควบคู่ไปกับการเน้นย้ำอย่างต่อเนื่องต่อความยุติะรรมทางสังคมและการดำเนินการเชิงบวก นดบายเศรษฐกิจที่พรรคเดโมแครตนำมาใช้ รวมถึงรัฐบาลของคลินตั้นในอดีต เรียกว่า "ทางที่สาม" คลินตันเป็นเป็นประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตคนแรกนับต้งแต่แฟรงลิน ดี. โรสเวลต์ ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งถึงสองสมัย

           "ทางที่สาม"ในทางการเมือง เป็นทางเลอก ที่เสนอขึ้น ระหว่างสองรูปแบบที่ยังคงมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน นั่นคื อกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายและขวา ในอดีต คำว่า ทางที่สามถุกใช้เืพ่อ้างถึงรูปแบบการปกครองที่หลากหลาย ตั้งแต่ประชาธิปไตยสังคมนิยมของ ชาวนอร์ติก ไปจนถึง ลัทธิฟาสซิสต์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 คำว่าทางที่สามได้รับความหายที่ีเเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเมือง แอนโธนี กิตเดนส์ นัก นักสังคมวิทยาชาวอังกฤษ ใช้คำนี้เพื่ออธิบายทางเลือกอื่นของลัทะิเสรีนิยามใหม่ และประชาธิปไตยสังคมนิยม ในยุคโลกาภิวัตน์ คำว่า ทางที่สามอาจใช้เพื่อ้างถึงแผนนโยบายใหม่และโดดเด่นเศรษฐศาสตร์การเมืองใหม่ แนวคิดใหม่เกี่ยวกับความยุติธรรมทางสังคม และนักวิจารณืหลายคนอาจหมายถึงการยอมจำนนของฝ่ายซ้ายกลางต่อโลกาภิวตน์แบบเสรีนิยมใหม่

             แนวทางที่สามนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างชัดเจนที่สุดกับการบริหารงานของโทนี่แบลร์ พรรคแรงงานใหม่ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสหรัาชอาณาจักรตั้งแต่ปี 1997-2007 นอกจากนี้ยังมีความเกี่ยวข้องโดยตรงไม่มากนักกับการบริหารงานของฝ่ายกลางซ้ายหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรธานาธิบดี บิล คลินตัน(1993-2001) และ เกอร์ฮาร์ต ชโรเดอร์ นายกรัฐมนตรีเยรมัน ( 1998-2005)

            แอนโธนี่ กิดเดนส์ เกิดเมือปี 1938 เป็นที่ปรึกษาทางการเมืองและนัการศึกษาชาวอังกฤษ เขาได้รับ
การฝึกฝนให้เป็นนักสังคมวิทยาและนักทฤษฎีสังคม โดยเขาเคยบรรยายที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ในยุโรป อเมริกาเหนือและออสเตรเลีย ก่อนที่จะร่่วมก่อตั้งสำนักพิมพ์วิชาการ ในปี 1985 และต่อมาในปี 1997 เขาได้เป็นผุ้อำนวยการของสำนักพิมพ์ LSE ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาดำรงอยุ่จนถึงปี 2003 และต่อมาได้เป็นศาสตราจารย์กิตติคุณในฐานะที่ปรึกษาผุ้ทรงอิทธิพลของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ "โทนี่ แบลร์" เขามีแนวคิดเรื่อง "แนวทางที่สาม" ซึ่งเป็นโครงการทางการเมืองที่ไม่จำกัดอยุ่เพียงการแบ่งซ้าย-ขวาตามแบบแผน ซึ่งถือเป็นรากฐานของรัฐบาล แรงงานของแบลร์ ในปี 2004 กิดเดนส์กลายเป็นสมาชิกสภาขุนนางและได้รับตำแหน่งขุนนางตลอดชีพในฐานะบารอนกิดเดนส์แห่งเซาท์เกตในเขตปกครองลอนดอนของเอนฟิลด์เขาเขียนหนังสือหลายเล่ม เช่น สังคมวิทยา..

           "แนวทางที่สาม" ในยุคของความทันสมัยและเศราฐกิจหลังภาวะขาดแคลนที่สะท้อนกลับศาสตร์ทางการเมืองกำลังถูกเปลี่ยนแปลง กิดเดนส์ตั้งข้อสังเกตว่ามีความเป็นไปได้ที่ "การเมืองแห่งชีวิต" (การเมืองแห่งการเติมเต็มตนเอง" อาจมองเห็นได้ชัดเจนกว่า "การเมืองเพื่อการปลดปล่อย"(การเมืองแห่งความไม่เท่าเที่ยมกัน และดครงการสะท้อนกลับของตัวตนและการเปลี่ยนแปลงในเรื่องเพศและความสัมพันธ์ทางเพศอาจนำทางผ่าน "การทำให้ประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตย" ไปสูสยุคใหม่ของ "ประชาธิปไตยเชิงสนทนาไ ของฮาเบอร์มาเซียน ซึ่่งความแตกต่างได้รับการยุติลงและการปฏิบัติถูกสั่งการผ่านวาทกรรมแทนความรุนแรงหรือคำสั่งของอำนาจ

             โดยอาศัยธีมทีคุ้นเคยในอดีตของเขาเกี่ยวักบการไตร่ตรองและการบูรณาการระบบ ซึ่งทำให้ผุ้คนมีความสัมพันธ์ใหม่แห่งความไว้วางใจและการพึ่งพากันและกับรํฐบาลของพวกเขา กิดเดนส์ โต้แย้งว่าแนวคิดทางการเมืองของฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวากำลังพังทลายลงเหนืองมาจากปัจจัยหลายประการ โดยปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือการไม่มีทางเลือกอื่นที่ชัดเจนสำหรับระบบทุนนิยมและโอกาสทางการเมืองที่หายไปตามชนชั้นทางสังคม เพื่อสนับสนุนทางเลือกด้านวิถีชีวิต

           กิดเดนส์ เลิกอธิบายวว่าสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไร และหันมาพยายามเรียกร้องมกขึ้นว่าสิ่งต่างๆ ควรเป็นอย่างไร ใน "บียอนด์ ลีฟ แอน ไรท์" (1994) กิดเดนส์ วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิสังคมนิยมแบบตลาดและสร้างกรอบแนวคิด 6 ประการสำหรับการเมืองแบบหัวรุนแรงที่ฟื้นคืนมา : 1 ซ่อมแซมความสสามัคคีที่เสียหาย 2. ตระหนักถึงความสำคัญของการเมืองชีวิต 3. ยอมรับว่าการไว้วางใจที่กระตือรือร้นบ่งบอกถึงการเมืองที่สร้างสรรค์ 4. ยอมรับประชาธิปไตยแบบมีการโต้ตอบ 5. คิดใหม่เกี่ยวกับรัฐสวัสดิการและ 6. เผชิญหน้ากับความรุนแรง 

          "แนวทางที่สาม : การฟืนฟูสังคมประชาธิปไตย (1998) นำเนอกรอบแนวคิดทางที่สาม ซึ่งกิดเดนส์ เรียกอีกอย่างว่า ศุนย์กลางที่หัวรุนแรง มีเหตุผลสับสนุน นอกจากนี้แนวทางที่สามยังเสนอนโยบายที่หลากหลายซึ่งมุ่งเป้าไปที่สิ่งที่กิดเดนส์เรียกว่า "ฝ่ายซ้ายกลายที่ก้าวหน้า" ในการเมืองอังกฤษ  ตามที่กิดเดนส์กล่าวไว้ว่า "เป้าหมายโดยรวมของการเมืองแนวทางที่สามควรเป็นการช่วยให้พลเมืองสามารถฝ่าฟันการปฏิวัติคร้้งใหญ่ในยุคของเราได้ ได้แก่ โลกาภิวัตน์ การเปลี่ยนแปลงในชีวิตส่วนตัว และความสัมพันธ์ของเรากับธรรมชาติ กิดเดนส์ยังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของมนุษยชาติ "ไม่มีตัวแทน กลุ่ม หรือขบงวนการใดที่สามารถแบกรับความหวังของมนุษยชาติได้ อย่างที่ชนชั้นกรรมมาชีพของมาร์กซ์ ควรจะทำได้ แต่มีหลายประเด็นในการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่เป็นสาเหตุที่ดีสำหรับการมองโลกในแง่ดี

          กิดเดนส์ ละท้ิงความเป็นไปได้ของอุดมการณ์หรือโครงการทางการเมืองที่เชืีอมโยงกันทั้งหมดและครอบคลุมโดยไม่มีดตรงสร้างแบบคู่ขนานแทนท่ี่จะเป็นเช่นั้น เขาสนับสนุนให้มุ่งไที่ภาพเล้กๆ ที่ผุ้คนสามารถส่งผลกระทบโดยตรงได้ที่บ้าน ที่ทำงาน หรือชุมชนท้องถ่ินสำหรับ กิดเดนส์ นี่คือความแตกต่างระหว่างอุดมคติ แบบไร้จุดหมาย และควาเมป็นจริงแบบอุดมคติที่มีประโยชน์ ซึ่งเขาให้คำจำกัดความว่าเป็นการจินตนาการถึง "อนาคตทางเลือกที่การแพร่กระจายอาจช่วยให้เกิดขึ้นจริงได้" (ผลที่ตามมาของความทันสมัยป โดยที่อุดมคติ เขาหมายถึงสิ่งใหม่และพิเศษ และเมือพูดว่าสมจริง เขาเน้นย้ำว่าแนวคิดนี้มีรากฐานมาจากกระบวนการทางสังคมที่มีอยุ่และสามารถมองได้ว่าเป็นการขยายความอย่างง่ายๆ อนาคตดังกล่าวมีศุนย์กลางอยุ่ที่ระเบียบโลกระดับโลกที่เป็นสังคมนิยมมากขึค้นปลอดทหารและห่วงใยโลก ซึ่งมีการแสดงออกอย่างหลากหลายภายในขบวนการสีเขียว สตรี และสันติภาพ และะภายในขบวนการ


ประชาธิปไตยที่กว้างขึ้น

            แนวทางที่สามนั้นไม่เพียงแต่เป็นผลงานทางทฤษฎีที่เป้นนามะรรมเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อพรรคการเมืองฝ่ายกลางซ้ายมากมายทั่วดลก ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป ละตินอเมริกา และออสเตรเลีย แม้จะใกล้เคียงกับพรรคแรงงานใหม่ในสหรัชอาณาจักร แต่กิดเดนส์ก็แยกตัวออกจาการตีความแนวทางที่สามหลายๆอย่างในแวดวงการเมืองประจำวัน สำหรับเขาแล้ว แนวทางที่สามนั้นไม่ได้หมายถึงการยอมจำนนต่อลัทธิเสรีนิยมหม่หรือการครอบงำของตลาดทุนนิยม ประเด็ก็คือการก้าวข้ามทั้งลัทะิตลาดนิยมพิ้นฐานและสังคมานิยมแบบลงล่าง แบบดั้งเดพิม เพื่อให้ค่านิยมของฝ่ายกลางซ้ายมีความสำคัญในโลก ที่กำลังโลกาภิวัตน์เขาโตแย้งว่า "การควบคุามตลาดการเงินเป็นประเด็นเร่งด้วยที่สุดในเะศราฐกิจโลก" และความมุ่งมั่นทั่วดลกต่อากรค้าเสรีขึ้นอยุ่กับการควบคุมที่มีประสิทธิปลมากว่าการลทิ้งความจำเป้นใสนกาควบคุม

          ในปี 1999 กิดเดนส์ ได้บรรยายเรื่อง รีท เลคเทอร์เรส ของ BBC ในหวข้อโลกที่หลุดลอยไป ซึ่ต่อมาได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อเดียวกัน วัตถุประสงค์คือเพื่อแนะนำแนวคิดและนัยของโลกาภิวัติน์ให้กับผุ้ังทั่วไป เขาเป็นวทิยากร คนแรกที่บรรยายในสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก และเป็นคนแรกทีีตอบกลับอีเมลที่ส่งมาโดยตรงในขณะที่เขากลังบรรยาย การบรรยายจัดขึ้นในลอดดอน วอชิงตัน นิวเดลี และฮ่องกง และมีผุ้ฟังในพื้นที่ตอบรับ.. กิดเดนส์ ได้รับรางวัล ออกเตเลียส ไพรซ์ สำหรับสาขาสังคมศาสตร์ปี 2002 รางวัลนี้ไพ้รับการขนานนามว่าเป็นรางวัลโนเบลของสเปน แต่รางวัลนี้ครอบคลุมไปไกลเกินกว่าขอบเขตของวิทยาศาสตร์ 

                 ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Anthony_Giddens

                           https://en.wikipedia.org/wiki/Democratic_Party_(United_States)

                           https://www.britannica.com/biography/Anthony-Giddens

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Iranian hostage crisis

          โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวีซาห์ แห่งอิหร่านเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ มาตั้งแต่การรัฐประารในอิหรานในปี 1953 ในช่วงหลายปีหลังการรัฐประหาร สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลืออิหร่านอย่างเต็มที่ ในขณะที่อิหร่รนเป็นแหล่งส่งออกน้ำมันแก่สหรัฐฯ ประธานาธิบดี คาเตอร์ แวนซ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ และ เบรซินสกี ที่ปรึกษา ต่่างมองว่าอิหร่านเป็นพันธมิตรที่สำคัญในช่วงสงครามเย็น ไม่เพียงเพราะน้ำมันที่ผลิตได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอิทธิพลในโอเปกและตำแหน่งทางยุทศาสตร์ระหวางหสภาพโซเียตและอ่านเปอร์เซียด้วย แม้จะมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน คาร์เตอร์ยังคงเดินทางเยือนอิหร่านในช่วงปายปี 1977 และอนุมัติการขายเครื่องบินรบสหรัฐฯ แก่อิหร่าน ในปีเดียวกัน เกิดการจลาจลในหลายเมือง และไม่นานก็แพร่กระจายไปทั่วประเทศ สภาพเศราฐกิจที่ย่ำแย่ ความไม่นยิมของ "การปกิวัติขาวไ ของราชวงศ์ปาห์ลาวี และการฟื้นฟูศาสนาอิสลามล้วนนำไปสู่ความดกระแค้นที่เพ่ิมมากขึ้นในหมู่ชาวอิหร่าน ซึ่งหลายคนยังคงดูถูกสหรัฐฯ ที่สนับสนุนราชวงศ์ปาห์ลาวีและมีบทบาทในการทำรัฐประหารในปี 1954 



         ปี 1978 การปฏิวัติอิหร่านได้ปะทุขึ้นเพื่อต่อต้านการปกครองของซาห์ รัฐมนตรีตางประเทศแวนซ์โต้แย้งว่าซาห์ควรจัดทำชุดการปฏิรูปเพื่อบรรเทาเสียงแห่งความไม่พอใจ ในขณะที่เบรซินสกีได้แย้งเพื่อสนับสนุนการปราบปรามผุ้เห็นต่าง ข้อความที่ไม่ชัดเจนที่ซาห์ได้รับจากแวนซ์และเบรซินสกีได้ก่อให้เกิดความสับสนและลังเลใจ ซาห์ลี้ภัยทิ้งให้รัฐบาลรักษาการเป็นผุ้ควบคุม อายาดอลเลาะห์ รูฮอลเลาะห์ โคมัยนี บุคคลทางศาสนาที่เป็นที่นิยม ได้กลับมาจาการลี้ภัย และได้รับการสนับสนุจากประชาชน ในขณะที่ความไม่สงบยังคงดำเนินต่อไป 

           คาร์เตอร์อนุญาตให้ปาหืลาวีเข้าสหรัฐอเมริกาเพื่อรับการักษาพยาบาล ในตอนแรก คอาร์เตอรืและิวนซ์ไม่เต็มใจจะรับปาห์ลาวีเนื่องจากังวลเกี่ยวกับปฏิกิรกยาในอิหร่าน แต่ผุ้นำอิหร่านรับรองกับพวกเขาว่าจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ 

         ไม่นานหลังจาก ปาห์ลาวีได้รับอนุญาติให้เข้าสหรัฐฯ กลุ่มมชาวอิหร่านได้บุกสภานทูตสหรัฐอเมริกา
ในกรุงเตหะรานและจับจตัวประกันชาวอเมริกัน 66 คน ทำให้เกิดวิกฤตการณืตัวประกันอิหร่าน นาบกรับมนตรีอิหร่น "เมห์ดี บาซาร์กัน" สั่งให้กลุ่มก่อการร้ายปล่อยตัวประกัน แต่เขาลาออกจากตำแหน่งหลังจากที่โคมันนีสนับสนุนการก่อการร้าย

           วิกฤตการณ์ดังกล่าวได้กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากนานาชาติและในประเทศอย่างรวดเร็ว และคาร์เตอร์ก็ให้คำมั่นสัญญาว่าจะปล่อยตัวประกันให้ได้ ขาปฏิเสธข้อเรียกร้องของอิหร่านฝในการส่งตัวปาห์ลาวีกลับประเทศเพื่อแลกกัการปล่อยตัวประกัน คะแนนนิยมของเขาพุ่งสูงขบึ้นเมือชาวอเมริกันสนับนุนการตอบสนองของเขา แต่วิกฤตตัวประกันกลับกลายเป็นปัญหาสำหรับรัฐบาลของเขามากขึ้นเรื่อยๆ 

             ศูนย์กลางของเรื่องนี้คือ ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ ว฿่งพยายามหาเสียงเลือกตั้งอีกครั้งในปี 1980 นั้นซึ่งมีปัญหาอยู่แล้วจากการท้าทายในการเลือกตั้งขั้นต้นของวุฒิสมาชิก คาร์เตอร์ได้ระงับการเดินทางต่างปรเทศและการณรงค์ทางการเมืองทันที่เพื่อมุ่งเน้นไปที่วิกฤตการณ์นี้ แต่ก็ไม่มีทางออกทางการทูตใดๆ ที่จะด้มาและส่ิงที่ต่อมารเรียกว่า "กลยุทธ์สวนกุหลาบ" (ซึ่งหมายถึงสวนกุหลาบในทำเนยยบขาวป กลับกลายเป็นกับดักสำหรับประธานาธิบดี ผุ้ช่วยคนหนึ่งและนักเขียนผู้ได้เคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับ คาร์เตอรณ์ เขียนไว้ว่า "กลยุทธ์สวนกุหลาบ มีผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจและแพร่กระจายอยางลึกซึ้งอีกประการหนั่ง กลยุทธ์นี้ทืำให้สื่ออเมริกัจมองเห็นวิกฤตการณ์ได้ชัดเจนย่ิงขึ้นด้วยการเน้นความรับผิดชอบไปที่ห้องทำงานรูปไข่ และแสดงให้ผุ้ก่อการร้ายเห็นว่าพวกเขาสามารถทำให้ตำแหน่งประธานาธิบดีของอเมริกาเกิดภาวะเสื่อมถอยได้" 

             ในต่้อนแรก คาร์เตอรื พยายามเจรจากับรัฐบาลอิหร่นที่ตกอยุ่ในความสับสนวุ่นวายจาการจับตัวประกัน แต่เนื่องจากคาร์เตอร์ เชิญซาห์เข้าไปในสหรัฐฯ นักศึกษาที่ควบคุมสถานการณ์จึงไม่เต็มใจที่จะป


ลอยให้เขารอดตัวไป นอกจากนี้ อายาดอลเลอะห์ รูฮอลเลอะห์ โคมัยนี ยังเป็ฯผุ้สั่งการ และเขาคัดค้านการยุติข้อพิพาทใดๆ ในรยะเร่ิมต้น ดังนั้น เดือนแล้วเดือนเล่า ขณะที่คาร์เตอร์ติดอยู่ในทำเนียบขาว การเจรจาก็ไม่มีความคือหน้า นี้คือสาเหตุที่ในฤดูใบไม้ผลิ เขาจึงตัดสินใจช่วยเหลือตัวประกันด้วยกำลังทหาร

            ปฏิบัติการอีเกิลคลอว์ เป็นหายนะที่จบลงด้วยการเสียชีวิตของชาวอเมริกัน เครื่องบินทหารที่พังพินาศ และตัวประกัน ที่ไม่สามารถเข้าใกล้อิสรภาพได้อีกต่อไป ซึ่งทำให้เห็นผลของการเลือกตั้งที่ยังไม่มาถึง และก็เป็นดังนั้นจริงๆ คาร์เตอร์พ่ายแพ้การเลือกตั้ง

           เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญมากในการหาเสียงเลือกตั้ง การต่อสู้ระหว่างคาร์เตอร์และคู่แข่งเป็นข่าวใหญ่และผู้มีสิทธิเลือกต้้งต่างก็ให้ความสนใจ ชาวอเมรกันต่างหลงใหลในเรืองราวการบุกดจมตี "เอนแทบเบ" ของอิสราเอลในปี 1976 ซึ่งเป็นหนึ่งในกภารกิจปฏิบัติการพิเศษครั้งแรกที่ได้รับความสนใจจากสาะารณชน การช่วยเหลือตัวประกันชาวอิสราเอลที่ถูกชาวปาเลสไตน์จับตัวไปในยูกันดา อย่างน่าตื่นเต้นและน่าตื่นตะลึงจึงได้จุดประกายจินตนาการของสาะารณชน สีปีต่อมา สหรัฐฯ ได้พยายามช่วยเหลือตัวประกันด้วยวิธีที่กล้าหาญแต่ก็ล้มเหลว ซึ่งเป็นสิ่งที่เลวร้ายสำหรับคาร์เตอร์ มีบางคนกล่าวว่า คาร์เตอร์แพ้การเลือกตั้งแต่คืนนั้นแล้ว

             ภารกิจที่ล้มเหลวถือเป็ฟางเส้นสดท้าย เมือเข้าสู่ปี 1980 จิมมี่ คาร์เตอร์ ถุกมองว่าเป็นปรธานาะิบดี
ที่อ่อนแอและไร้ความสามรถ เศรษฐกิจตกต่ำอย่างน่าตกใจ คะแนนนิยมของเขาตกต่ำมาก และการท้าทายจากเคนเนดี สิงโตแห่งพรรคเดโมแครต ถือเป็นการท้านทายการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แม้ คาร์เตอร์จะชนะการเสนอชื่อชิงประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตแต่เขากลับแพ้ไปเกือบทั้งหมดในการเลือกตั้งประธานาธิบดี นักศึกษาชาวอิหร่านได้นับตัวประกันไว้เป็นเวลานานกว่าที่ใครๆ จะคาดคิด และตัวประกันก็ได้รับการปล่อยตัวในวันที 20 มกราคม 1981 ซึ่งเป็นวันที่ "โรนัลด์ เรแกนเข้ารับตำแหน่ง...

            บันทึกความจำที่เปิดเผยในปี 2017 ซึ่งผลิตโดย CIA ในปี 1980 สรุปว่า "พวกหัวรุนแรงชาวอิหร่าน โดยเฉพาะ อายาดอลเลาะห์ โคมัยนี" มุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จากปัญหาตัวประกันเืพ่อให้ประธานาธิบดี "คาร์เตอร์" พ่ายแพ้ในการเลือตั้งเดือนพฤศจิกายน นอกจากนี้ ในปี 1980 เตหะรานต้องการให้ คนทั้งโลกเชื่อว่าอิหม่าม โคมันนี เป็นสาเหตุที่ทำให้ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ต้องล่มสลายและเสื่อมเสียชื่อเสียง...

           การปฏิวัติอิหร่านเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหวางแวนซืและเอบร์ซินสกีแตกร้ายเมื่อความปั่นป่วนทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งสองก็ก้าวไปสุ่จุดยืนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เยอรืซินสกีต้องการควบคุทการปฏิวัติและเสนอแนะให้ดำเนินการทางทหารมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ อะยาดอลเลาะห์ โคมัยนี ขึ้นสุ่อำนาจ ในขณะที่แวนซืต้องการตกลงกับสาะารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านแห่งใหม่ ผลที่ตามมาคือคารืเตอร์ไม่สามารถพัฒนาวิธีการจัดการสถานในอิหร่านได้อย่างสอดคล้องกัน การลาออกของแวนซืหลังจากภารกิจช่วยเหลือตัวประกันไม่ประสบความสำเร็จ โดยไม่สนใจคำคัดค้านของคาร์เตอร์ ถือเป็นผลลัทธ์ขึ้นสุดท้ายของความขัดแย้งอย่างลึกซึ้งระหว่างเบยอร์ซินสกีและแวนซ์...

              จากวิกฤตการณ์ตัวประกันอิหร่าน ส่งผลต่อการเลือกตั้ง "โรนัลด์ เรแกน ผุ้ได้รับการเสนแชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ได้รับชัยชนะอย่างถล่มถลาย ในปี 1980 ซึ่งส่งผลต่อไปทำให้ภูมทัศน์ทางการเมืองเปลี่ยนไป ผุ้สนับสนุนเดโมแครตหันไปสนับสนุนรีพับลีกันกันในอกีหลายปีข้องหน้า การหลังไหลเขามาของเดโมแครตสายอนุรักษ์นิยมในพรรครีพับลิกัน ถูกอ้างถึงว่าเป็นเหตุผลที่พรรครีพัลลิกันเปลี่ยนแปนวทางไปทางขวามากขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เช่นเดียวกับการย้ายฐานเสียงจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือและมิดเวสต์ไปทางใต้....

             ที่มา : วิกิพีเดีย

                        https://www.brookings.edu/articles/the-iranian-hostage-crisis-and-its-effect-on-american-politics/

                        

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Vietnam War "Second Indochina War"

          การเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี 1960 จอห์น เอฟ.เคนเนดี จากแมสซาซูเซตส์ได้รับการเลือกตั้ง สะท้อนการเปลียนแปลง ในกรหาเสียงที่เคนเนดีสามารุครองใจผู้มีสิทธิเลือกตั้รุ่นใหม่ ในวาระที่เขาเรียกว่า "นิว ฟ
รอนเทีย" เคนเนดีเสนอโครงการทาสังคมและดครงการสาะารณูป๓คมากมาย พร้อมกับการสนับสนุนโครงการอวกาสที่เพิ่มขึ้น เขาผลักดันการิรเริมด้านสิทธิลเมืองและเสนอพระราชบบัญญัติสิทธิพลเมืองปปี 1964 แต่เมือเขาถุกลอบสังหารเมื่อ พฤศจิการยน 1963 เขาก็ไม่สามารถเห็นการผ่านพระราชบัญญัตินี้ได้ "ลินดอน บี.จอห์นสัน" สืบทอดตำกน่งของเคนเนดี สามารถดน้มน้าวให้สภาคองเกรสซึ่ส้วนใหญ่อนุรักษ์นิยมผ่านพระราชบัญญํติสิทธิพลเมืองปี 1964 และด้วยสภาคองเกรสที่ก้าวหน้ากว่าในปี 1965 จึงผ่าน "เกรท โซไซตี้" รวมถึง "เมดิแคร์" ซึ่งเประกอบด้วยโปรแกรมทางสังคมมากมาย ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือคนจน คนป่วย ผุ้สูงอายุ การสนับสนุนสิทะิพลเมืองของเคนเนดีและจอห์สันทำให้คนผิวดำสนับสนุนพรรคเดโมแครตมากขึ้น แต่มีผลทำให้คนผิวขาวทางใต้ไม่พอใจ ซึ่งในที่สุดจก็โน้มเอียงไปพรรครีพัลิกัน (หลังจากโรนัลด์ เรแกร ได้รับเลือกเป็นประะานาธิบดีในปี1980 พรรคเดโมแครตทางใต้ที่เป็นอนุรักษ์นิยมจำนวนมากได้เปลี่ยนมาเข้าพรรครีพับลิกัน ดดยเร่ิมตั้งแต่การผ่านพระราชบัญญํติสิทธิพพลเมืองปี 1964 และการเปลี่ยนแปลงของพรรคไปทางซ้ายโดยทั่วไป

          การที่สหรัฐฯเข้าไปมส่วร่วมในสงครามเวียดนามในทศวรรษที่ 1960 เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สร้างความแตกแขกให้กับแนวร่วมของพรรคเดโมแครต หลังจากมีมติอ่าวตังเกี๋ยในปี 1964 ประธานาธิบดีจอห์นสันได้สงกอกำลังรบจำนวนมากไปยังเวียดนามแต่การยกระดับความรุนแรงไม่สามารถขับไล่เวียดกงออกจากเวียดนามใต้ได้ ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ที่เลวร้าย มากขึ้น..ที่มา : วิกิพีเดีย

          หลังจาที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในต่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 ฝรั่งเศสก็ได้อาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ค่นมา อย่างไรก็ตาม อินโดจีนของฝรังเศสต้องการเอกราช ในขณะที่ขบวนการต่อต้านอาณานิคมที่เติบโตขึ้นได้แผ่ขยายไปทั่วแอฟริกาและเอเชีย ฝรั่งเสศได้ต่อสุ้เพื่อรักษาการควบคุมเวียดนามไว้ รวมึถงด้วยความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐฯ ..ความกลัวที่แพร่กล่ยต่ออาณานิคมนำไปสู่การขยาย


ตัวของลัทะิคอมมิวนิสต์ 

         ความพยายามกว่าทศวรรษของสหรัฐน ในการสร้างเวียดนาใต้เพราะทั้งดไวด์ไปเซนอาวร์ และ จอห์น เคนเนดี้ ต่างก็มองว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญต่อควมมั่นคงของสหรัฐฯ ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี  ประธานาธิบดี จอห์นสันรุ้สึกว่าจำเป็นต้องสานต่อันธกรณีของอเมริกาที่มีต่อภูมิภาคนี้ต่อไป โดยระหว่างปี 1963-1965 การตัดสินใจด้านนะยบายต่างประเศหลายครั้งนำมาซึ่งความขัดแย้งที่ีทวีความรุนแรง อย่างไรก็ตาม เขายังมองว่าเป็นการผลักดันการปฏิรูปสังคมครั้งใหญ่ด้วย เขากังวลว่าการทำสงครามขนาดใหญ่จะมีผลต่อคะแนนเสียงของเขาในการเลื่อกตั้งประธานาธิบดีในปี 1964 เขาตระหนังอย่างรวดเร็วว่า การรักษาสมดุลระหว่าผลประโยชน์ของอเมริกาฯในประเทศและต่างประเทศจะทดสอบทักษะทางการเมืองของเขา

           การมีส่วนร่วมของ สหรัฐฯ ในสงครมเวียดนาม เร่ิมขึ้นไม่นานหลังจากสิ้นสุดสงครามดโลกครั้งที่ 2 ในเอเชีย ด้วยปัจจัยหลายประการ อาทิ สงคราามของสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นในแปซิฟิก แรงกดดันภายในประเทศเพื่อให้ดำเนินการต่อต้านคอมมิวนิสต์ หลังจากชัยชนะของคอมมิวนิสต์ในสงครามกลางเมืองจีน คำมั่นสัญญาของ โจเซฟ สตาลิน และเหมาเจ๋อตุง ในปี 1950 ที่จะสนับสนุนกองกำลังกองโจรเวียดมินห์ ในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งเพื่อต่อต้านการปกครองอาณานิคมของฝรั่งเศส และข้อสรุปที่ไม่เด็ดขาดของ สงครามเกาหลี อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอการสนับสนุนเวียดมินห์ของสตาลินและเหมา ได้เปลี่ยนพลวัตของสนามรับและลักษณะทางภูมิรัฐศาสตร์จาการต่อสู้เืพ่อเอกราชให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็น 

           กันยายน 1950 สหรัฐฯ เร่ิมส่งเสบียงให้ฝรั่งเสศ ตั้งแต่ปี 1950-1954 ทุ่มเงินกมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์เข้าสุ่สงคราม โดยสนับสนุนมากกว่า 80% ของต้นทุนวัสดุ" ในช่วงเวลาสีปี ทฤษำีโดมิโนของภูมิรัฐศาสตร์มีความโดดเด่นในความคิดนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ จึงเกรงกันว่าลัทธิคอมมิวนิสต์จะแพร่กระจายไปยังประเทศเืพ่อนบ้าน หากไม่ได้รับการควบคุม โดยมีเป่าหมายโดยรวมคือากรป้องกันไม่ให้ลัทะิคอมมิวนิสต์เข้ามาครอบงำในเอเชียตะวันออกเฉียใต้

            สงครามเวียดนามเป็นความขัดแย้งในเวยดนามลาวและกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 1955 -การล่มสลายของไซง่อน 30 เมษายน 1975 เป็นสงครามอินโดจีน ครั้งที่ 2 (เรียกว่า สงครามเวียดนาม สหรัฐอเมริกา และสงครามเวียดนามของอเมริกา) เร่ิมตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่าง รัฐบาล เวียดนามใต้ ที่ได้รับการสนับสนุนจาหสรัฐฯ และฝ่ายตรงข้าม ซึ่งได้แก่ เวียดกง (แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติ) ซึ่งเป็นกลุ่มคอมมิวนิสต์ที่มีฐานอยู่ในเวียดนามเหนือ และกองทัพประชารชนเวียดนาม) ความขัดแย้งเร่ิมตั้งแต่ปี 1955-1975 เมื่อเวียดนามเหนือพิชิตเวียดนามใต้ สหรัฐฯ ซึ่งสนับสนุนฝรั่งเสสในช่วงสงครามอินโดจีนครั้ง สนับสนุนรัฐบาลสาะารณรัฐเวียดนามในการต่อต้านเวียดกงและ กองทัพประชาชนเวียดนาม ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ ภาคเหนือได้รับประดยชน์จาการสนับสนุนทางการทหาและการเงนิจากจีนและสหภาพโซเวียต ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ยังเกิดารสุ้รบระหว่างรัฐบาล กองทัพประชาชนเวียดนาม ที่ไดรับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และเขมรแดง ที่ได้รับการสนับสนุนจากคอมมิวนิสต์(หรือที่เรียกว่า สงครามกลางเมืองกัมพูชา 1967-1975) ในกัมพุชา และระหว่างรัฐบาล กองทัพประชาชนเวียดนาม ที่ได้รัยบการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และกองทัพ ประเทศลาวที่ได้รับการสนับสนุนจากคอมมิวนิสต์ (หรือที่เรียกว่า สงคราามกลฃางเมืองลาว หรือสงครามลับ 1959-1975) ในลาว

            หลังจากเหตุการณ์อ่าวตั๋งเกี๋ยในปี 1964 รัฐสภาสหรัฐได้ผ่านมติที่ให้ประธานาธิบดี จอห์นสัน มีอำนาจในการเพิ่มกำลังทหารโดยไม่ต้องประกาศสงคราม จอห์นสัน สั่งให้ส่งหน่วยรบและเพ่มิกำลังทหารสหรัฐฯ เป็น 1840,000 นาย กองกำลังสหรัฐฯ และเวียดนามใต้อาศัยอำนาจทางอากาศและอกนาจการยิงทีเหนือกว่ารในในการดำเนินการค้นหาและทำลายล้าง สหรัฐฯ ได้ดำเนินการทิ้งระเบิดเชิงยุทธศาสตร์ โจมตีเวียดนามเหนือ และเสริมกำลังแม้ว่าจะมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย ในปี 1968 

          เวียดนามเหนือเปิดฉาก "การรุกเต๊ต" ซึ่งเป็นความพ่ายแพ้ทางยุทธวิธี แต่เป็นชัยชนะเชิงยุทธศสตร์ เนื่องจากทำให้การสนับสนุนภายใรประเทศของสหรัฐลดน้อยลง ในปี 1969 เวยดนามเหนือประกาศจัดตั้งรัฐบาลปฏิวัติเฉพาะกาลแห่งสาะารณรับเวียดนามใต้ การปลดกษัตริย์กัมพุชาในปี 1970 ส่งผลให้กองทัพ
เวียดนามเหนือบุกเข้าประเทศและกองทัพเวียดนามใต้ก็เข้าโจมตีตอบโต้ทำให้สงครามกลางเมืองกัมพูชาทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังจาก ริชาร์ด นิกสัน ได้รับเลือกตั้งในปี 1969 นโยบาย "เวียดนามไนซ์" จึงเร่ิมขึ้น ดดยกองทัพเวียดนามใต้ที่ขยายตัวเข้าต่อสุ้ในสงคราม ในขณะที่กองทัพสหรัฐฯ ถอนทัพเนื่องจากฝ่ายต่อต้านภายในประเทศกองกำลังภาคพื้นดินของสหรัฐฯ ถอนทัพส่วนใหญ่ในปี 1972 ข้อตกลงสันติภาพปารัส ในปี 1973 กองกำลังสหรัฐฯ ทั้งหมดถอนทัพ และถูกทำลายเกือบจะในทันที การสุ้รบดำเนินต่อไปเป็นเวลา 2 ปี พนมเปญพ่ายแพ้ต่อเขมรแดง ในเดือนเมษายน 1975 ในขณะที่การรุกฤดูใบไม้ผลิในปี 1975 ส่งผลให้กองทัพเวียดนามและเวียดนามได้ถุกครองอีกครั้งในวันที่ 2 กรกฎาคมของปีถัดมา

           ความรุ้สึกต่อต้านสงครามพุ่งสุงขึ้นหลังจาการดจมตีในช่วงเทศกาลเต๊ด โดยชาวอเมริกาเพิ่มจำนวนมากขี้นเรื่อยๆ  ต่างมองว่าสงครามเวียดนามไม่มีท่างชนะได้ การต่อต้านสงครามเพ่ิมขึ้นยอ่างต่อเนืองเมืองความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น โดยการประท้วงทั่วประเทศครั้งแรกเกิดขึ้นใน เดือน ตุลาคม 1967 คนหนุ่มสาว โดยเฉพาะนักศึกษา ก็ต่อต้านการเกณฑ์ทหารเช่นกัน เพื่อเป็นการประท้วง ผุ้คนจะเผาบัตรเกณฑ์ทหารของตน นักศึกาาถุกเลือนการเกณฑ์ทหารออกไป ทำให้มีการลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลับเพ่ิมขึ้นในช่วงสงครามเวียดนามเพลงประท้วงกลายเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมในหมู่คนหนุ่มส่วจำนวนมาก การประท้วงต่อต้านสงครามและการเกณฑ์ทหารเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านวัฒนะรรมทั่วไปที่ผสานเข้ากับการเคลื่อนไหวทางสังคมอื่นๆ ที่มีอยุ่ เช่นชบวนการสิทะฺพลเมืองผุ้สนับสนุนสิทธิพลเมืองจำนวนมาวิพากษ์วิจารณ์สงครามเวียดนามและการเกณฑ์ทหารโดยอ้างว่าสงครามส่วนใหญ๋มักเกิดขึ้นดดยคนจนและคนกลุ่มน้อย ในปี 1967 แม้แต่ผุ้นำสิทธิพลเมืองที่สนับสนุน ประะานาธิบดีลินดอน จอห์นสันเป็นส่วนใหญ่ เช่น มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ก็เร่ิมออกมาพูดต่อต้านสงครา พวกเขาตำหนิการทวีควสามรุรแรงของสงครามที่ททำให้เงินที่สำคัญสำหรับดครงการสวัสดิการสังคมถุกยักย้าย และขัดขวางไม่ให้รัฐบาลกลางมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปที่ำจเป็นเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนกลุ่มน้อยโดยเฉพาในภาคใต้

             ปี 1968 เป็นปีแห่งความวุ่นวายที่สุดปี หนึง ในประวัติสาสตร์สหรัฐฯ สงผลให้ ประธานาธิบดี ลินดอน จอห์นสัน ไม่ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง พรรคเดโมแครตจึงต้องจัดการหาเสียงเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างดุเดือด ในระหว่างนั้น วุฒิสมาชิก ดรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี พี่ชายของอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ถูกลอบสังหารในเดือนมิถุนายน โศกนาำกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงสองเดือนหลังจากการชอบสังหาร มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ผุ้นำด้านสิทธิพลเมืองซึ่งทำให้ทั้งประเทศตกอยุ่ในภาวะตึงเครียด ในเดือนสงหาคม เกิดการจลาจลครั้งใหญ่ที่ชิคาโกในระหว่างการประชุมใหญ่แห่งชาติของพรรคเดโมแครต ส่งผลให้ตำรวจใช้ความรุนแรงและถ่ายทอดทางโทรทัศน์



          ชาวอเมริกันจำนวนมากเร่ิมเบื่อหน่ายกับสครามเวียดนามและการประท้วงที่เกี่ยวข้อง ริชาร์ด นิกสัน ผะ้ได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งปธน. จากพรรครีพัลลิกัน ประสบความสำเร็จในการหาเสียงโดยใช้นดยบายกฎหมายและระเบียบในฤดูใบไม่ร่วงปีนั้น ระหว่งการแชข่งชันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีระหวางนิกสันและฮิวเบิร์ต อัมฟรีย์ ผุ้ได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งปรธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต มีข่าวลืแพร่สะพัดว่ารัฐบาลของจอห์นสัน แห่งพรรคเดโมแครต จะประกาศข้อตกลงสันติภาพกับเวียดนามเหนือ "ความประหลาดใจในเดือนตุลาคมไ ครั้งนี้มีแนวดน้มว่าจะทำให้ เดโมแครต ได้รับชัยชนะในการเลื่อกตั้ง และในที่สุด ริชาร์ด นิกสันชนะการเลือกตั้งประะานาะิบดีในปี 1968 โดยเรียกร้องความปรรถนาของชาวอเมริกันชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่ต้องการกฎมหายและระเบียบ 

          เช่นเดียวกับผุ้ดำรงตำแหนงก่อหน้านี้  นิกสันยังคงดำเนินสงครามเวียดนามต่อไ เขาพยายามลดการประท้วงดดยเรียกร้อง "เสียงข้างมากที่เงียบงัน" ของอเมริกา ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มอนุรักษ์นิยมและสายกลาง โดยโต้แย้งว่าอเมริกาจะชนะสงครามได้ก็ต่อเมือ..สหรัฐฯแนวแน่ที่จะดำเนินสงครามต่อไป

         เมษายน 1970 นิกสันขยายสงครามไปยังกัมพูชา ซึ่ยิ่งทำให้เวียดนามเหนือและเวียกงมีกำลังใจมากขึ้น การขยายสงครามครั้งนี้ส่งผลให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ที่มหาวิทยาลัยเคต์สเตต ในวันที่ 4 พฤษภาคม นักศึกาษาหลายคนถุกสมาชิกกองกำลังป้องกันแห่งชาติโอไฮโอยิ่งเสียชีวิต เหตุการณ์สังหารหมู่ที่เคนต์สเตตเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสนทนาเกียวักบสงครามทั่วประเทศดดยมีฉันทามติที่สำคัญเห็นด้วยว่าสงครามเวียดนามควรยุติลงอย่างรวดเร็ว...

             ที่มา : วิกิพีเดีย

                        https://acsc.lib.udel.edu/exhibits/show/political-env/vietnam

                         https://www.thecollector.com/vietnam-war-political-effects/

         

        

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Liberalism

           ภาวะเศราฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 1929 ซึ่งเร่ิมขึ้นภายใต้การนำของประธานาธิบดี เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ แห่งพรรค รีพับลิกัน และรัฐสภาของพรรครีพับลิกันได้้สร้างเวทีสำหรับรัฐบาลเสรีนิยมมากขึ้น เนื่องจากพรรคเดโมแครตควบคุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างแทบไม่หยุดชะงักตั้งแตปี 1930 ถึงปี 1994 เป็นเวลา 44 ปี จากทั้งหมด 48 ปี  กระทั้งการมาถึงของ แฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ ได้รับเลือกเป้นปรธานาธิบดีในปี 1932 

           แฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ Franklin D. Roosevelt "FDR" เป็นนักการเมืองชาวอเมริกาที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 1933 กระทั้งเสียชีวิตในปี 1945 เป็นประธานาธิบดีที่่ำรงตำแนห่งยาวนานที่สุด และเป็นประธานาธิบดีเพียงคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งมากกว่า 2 วาระ  โดยสองวาระแรกเขา มุ่งเน้นไปที่การต่อสุ้กับภาวะเศราฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ในขณะที่วาระที่สามและสี่ของเขา เน้นไปที่การมีส่วนร่วมของอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่ 2 

            รูสเวลต์ เสนอนโยบาย นิวดีล เป็นนโยบายเสรีนิยมที่หมายถึงการควบคุมธุรกิจ (โดยเฉพาะการเงินและการธานาคาร) และการส่งเสริมสหภาพแรงงาน รวมถึงการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางเพื่อช่วยเหลือผุ้ว่างงาน ช่วยเหลือเกษตรกรที่เดือดร้อน และดำเนินโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่่ ซึ่งถือเป็นจุดเร่มต้นของรัฐสวัสดิการของอเมริกา ฝ่ายต่อต้านที่เน้นการต่อต้านสหภาพแรงงาน การสนับสนุนธุรกิจ และภาษีต่ำ เร่ิมเรียกตัวเองว่า "อนุรักษ์นิยม"

           กระทั่งช่วงทศวรรษท 1980 พรรคเดโมแครตเป็นแนวร่วมของพรรคการเมืองสองพรรคที่แบ่งแยกกัน


ตามแนวทาง เมสัน-ดิกสัน ได้แก่ พรรคเดโมแครตเสรีนิยมทางเหนือและผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อนุรักษ์นิยมทางวัฒนธรรมทางใต้ ซึ่งแม้จะได้รับประดยชน์จากโครงการสาธารณูปโภคของ นโยบายนิวดีลจำนวนนมาก แต่ก็คัดค้่าน การริเร่ม สิทธิพลเมือง ที่เพิม่มากขึ้น ซึ่งสนับสนุนโดยพรรคเสรีนิยมทางตะวันออกเฉียงเหนือ ความขัดแย้่งรุนแรงขึ้นหลังจากที่รูเวลต์เสียชีวิต พรรคเดโมแครตทางใต้เป็นส่วนสำคัญของแนวร่วมอนุรักษ์นิยม สองพรรค ในพันธมิตรกับพรรครีพับลิกัน ในแถบมิดเวสต์ส่วนใหญ่ ปรัชญาการเคลื่อหนไหวทางเศราฐกิจของ รูสเวลต์ ส่งอิทธิพลอย่างมาก ต่อ เสรีนิยมอเมริกัน ได้กำหนดวาระทางเศราฐกิจของพรรคเป็นส่วนใหญ่หลังปี 1932 ตั้งแต่ทศวรรษ 1930 ถึกลางทศวรรษท 1960 แนวรวมเสรีนิยมนิวดีล มักควบคุมตำแหน่งประะานาธิบดี ในขณที่แนวร่วมอนุรักษ์นิยมมักควบคุมรัฐสภา

           เสรีนิยมในสหรัฐอเมริกา มีพื้นฐานอยู่บนแนวคิดเรื่องสิทธิของปัจเจกบุคคลที่ไม่สามารถโอนให้ผุ้อื่นได้ อุดมคติเสรีนิยมพื้นฐานเกี่ยวกับเสรีภาพในการพุดเสรีถาพของสื่อ เสรีภาพในการนับถือศาสนาการ แยก ศาสนากับรัฐสิทธิในการดำเนินกระบวนการทาง กฎหมาย และความเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นรากฐานร่วมกันของเสรีนิยมซึ่แตกต่างจากเสรีนิยมทั้วโลกเนื่องจากสหรัฐอเมริกาไม่เคยมีชนชั้นสุง ที่สือบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษและหลีกเลี่ยงสงครามชนชั้นที่เกิดขึ้นในยุโรปได้มาก ตามที่นักปรชญาชาวอเมริกัน ได้กล่าวไว้ว่า "พรรคการเมืองทั้งหมดของสหรัฐฯ เป็เสรีนิยมและเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอดโดยพื้นฐานแล้วพรรคการเมืองเหล่านี้สนับสนุนเสรีนิยมแบบคลาสสิก ซึ่งเป็นรุปแบบหนึ่งของรัฐะรรมนูยแบบ "วิก" ( Whiggism หรือ Whiggeryเป็นปรัชญาการเมืองที่เติบโตมาจาก
กลุ่มฝ่าย รัฐสภาในสงครามสามก๊ก 1639-1651 กลุ่ม Whigs สนับสนุนอำนาจสูงสุดของรัฐสภา ตรงข้ามกับอำนาจของกษัตริย์ การยอมรับผุ้เห็นต่างที่เป็นโปรเตสเตนต์ และการต้ต้าน นิกายโรมันคาะอลิก บนบัลลังก์ โดยเฉพาะพรเจ้าเจมส์ที่ 2 หรือพระโอรสของพระองค์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมในยุคแรก  ) ที่ประชาธิปไตย บวกกับตลาดเสรี จุดที่แตกต่างกันนี้เกิดจากอิทธิพลของเสรีนิยมทางสังคมและบทบาทที่เหมาะสมของรัฐบาล

            ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930 เป็นต้นมา คำว่า เสรีนิยมมักใช้โดยไม่มีคำคุณศัท์ในสหรัฐฯ เพื่ออ้างถึงเสรีนยิมสมัยใหม่ ซึงเป็นเสรีนิยมประเภทหนึ่งที่สนับสนุน เศรษฐกิจ ตลาดที่มีการควบคุมและการขยายิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง โดยถือวาประดยชน์ส่วนรวมนั้นสอดคล้องหรือเหนือกว่าเสรีภาพของปัจเจกบุคคล ปรัชญาการเมืองนี้เป็นตัวอย่างจากนโยบาย 

          New Deeal  ของ "รูสเวลต์" โครงการสาะารณะการปฏิรุปทางการเงิน และกฎระเบียบ Great Society ของ Lyndon B. Johnson  เป้าหมายหลักคือการขจัดความจนและความอยุติะรรมทางเชื่อชาติโดยสิ้นเชิง และ WorksProgress Administration WPA เป็นการจ้างงานคนหางานหลายล้านคน ส่วนใหญ่เป็นผุ้ชายที่ไม่ได้รับการศึกษา เพื่อดพำเนินโครงการสาธารฯูปโภค รวมถึงการก่อสร้างอาคารสาธารณะและถนน Social Security Act of 1935 พระราชบัญญัติประกันสังคม ปี 135 เป็นกฎหมายที่บัญญัติโดยรัฐสภาชุดที่ 74 ของสหรัฐฯ และงนามเป็นกฎหมายโดยประธานาธิบดี รูสเวลต์ กฎหมายนี้สร้าง โตรงการประกันสังคมรวมถึงประกันการว่างงานกฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการในประเทศ ของ รูสเวลต์ ภายใต้นโยบายนิวดีล ตลอดจน Civil Right และ Vote Right เสรีนิยมประเภทนี้เรียกอีกอย่างว่า  "เสรีนิยมสมัยใหม่" เพื่อแยกความแตกต่างจากเสรีนิยมแบบคลาสิสิกซึ่งถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับอนุรักษนิยมแบบอเมริกันสมัยใหม่

            ปัจจุบัน เสรีนิยมอเมริกันสมัยใหม่ครอบคลุมประเด็นต่างๆ เช่นการแต่งงานของเพศเดียวกัน สิทะิของ บุคคลข้ามเพศการยกเลิกโทษประหารชีวิตสิทธิในการสืบพันธุ์และสิทธิสตรี อื่นๆ สิทธิในการลงคะแนนเสียงของพลเมืองผู้ใหญ่ทุกคน สิทธิพลเมืองความยุติะรรมด้านสิ่งแวดล้อมและการคุ้มครองสิทธิในการมีมาตฐานการครองชีพที่เหมาะสม ของรัฐบาล บริการสังคมแห่งชาติเช่น โอกาสทางการศึกาาที่เท่าเที่ยมกัน การเข้าถึงการดูแลสุขภาพ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนสง มีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบสนองต่อความรับผิดชอบในการส่งเสริมสวัสดิการทั่วไปของพลเมืองทุกคนตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาเสรีนิยมบางคนที่เรียกตัวเองว่า เสรีนิยมคลาสสิกอนุรักษ์ นิยมทางการเงินหรือ เสรีนิยมเห็นด้วยกับอุดมคติเสรีนิยมเพื้นฐาน แต่แตกต่างจากความคิดเสรีนิยมสมัยใหม่ด้วยเหตุผลที่ว่าเสรีภาพทางเศรษฐกิจ มีความสำคัญมากกว่าความเท่าเทียมทางสังคม...

                  ที่มา : ;วิกิพีเดีย



วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Populism..(elite)

          ประชานิยมและองคาพยพต่างๆ 

           The people ประชาชน 

            สำหรับประชานิยม "ประชาชน" ถูกมองว่าเป็นเนื้อเดียวกัน และยังมีคุณธรรมอีกด้วย แนวคิดเรื่อง "ประชาชน"นั้นคลุมเครือและยืดหยุนได้  ซึ่งความยืดหยุนเป้นประโยชน์ต่อนักประชานิยมา และสามารถ "ขยายหรือย่อ" แนวคิดให้เหมาะกับเกณฑ์ที่เลือกสำหรับการรวมหรือการกีดกัน ในเวลาใดก็ได้ ในการใช้แนวคิดเรื่อง "ประชาชน" นักประชานิยมสามารถส่งเสริมความรู้สึกถึงเอกลักษฒ์ร่วมกันระหว่างกลุ่มตางๆ ภายในสังคม และอำนวยความสะดวกในการระดมพลเพื่อมุ่งสู่จุดหมายร่วมกัน 

           วิธีหนึ่งที่นักประชานิยมใชความเข้าใจเรื่อง "ประชาชน" คือแนวคิดที่ว่า ประชาชนมีอำนาจสูงสุดในรัฐประชาธิปไตย การตัดสินใจของรัฐบาลควรขึ้นอยุ่กับประชาชนและหากพวกเขาถูกเพิกเฉย พวกเขาอาจระดมพลหรือกก่อกบฎ นี้คือความหมายของ "ประชาชน" ที่พรรคประชาชนใช้ในช่วงปลายศตควรรษที่ 19 ในสหรัฐอเมริกา และยังใช้โดยขบวนการประชานิยมในภายหลังในประเทศนั้นด้วย

               วิธีที่สอง ที่นักประชนิยมคิดว่า "ประชาชน" คือการรวมหมวดหมู่ตามสังคมเศราฐฏิจหรือชนชั้นเข้ากับหมวดหมู่ที่อ้างถึงประเพณีวัฒนธรรมและค่านิยมที่เป็นที่นิยมบางประการ แนวคิดนี้มุ่งหวังที่จะพิสุจน์ศักดิ์ศรีของกลุ่มสังคมที่มองว่าตนเองถูกกดขี่โดย "ชนชั้นสูง" ที่มีอำนาจ ซึ่งถูกกว่างหาว่าปฏิบัติต่อค่าานิยม การตัดสิน และรสนิยมของ "ประชาชน" ด้วยความสงสัยหรือดุถูก นักประชานิยมยังใข้คำว่า "ประชาชน" เป็นคำพ้องความหมายกับคำว่า "ชาติ" ไม่ว่าจะในแง่ ชาติพันธุ์ หรือ พลเมืองก็ตาม ในกรอบดังกล่าว บุคคลทุกคนที่ถือว่าเป็น "คนพื้นเมือง" ของรับใดรัฐหนึ่ง ไม่ว่าจะโดยกำเนิดหรือโดยชาติพันธุ์ ก็สามารถถือได้ว่เป็นส่วนหนึ่งของ "ประชาชน" 

           ประชานิยมโดยทั่วไปหมายถึงความ "การยกยองพวกเขาในฐานะประชาชน" ถ่ินที่อยุ่อาศัยของประชาชน ซึ่งถุกเสนอคำว่า "หัวใจ" แทนคำว่าที่อยู่อาศัย เพื่อสะท้อนความหายของนักประชานิยมในวาทศิลป์ของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น "หัวใจคือสถานที่ที่ในจินตนาการของนักประชนิยม ประชากรที่มีคุณธรรมและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอาศัยยอยู่ ดังนั้น หัวใจในหมุ่นักประชานิยม อาจแตกต่างกันไป แม้ในประเทศเดียวกัน มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า สำหรับนักประชานิยมแล้วว "ประชาชน" ไม่ใช่ทุกอย่าง แต่เป็นกลุ่มย่อยที่ถูกสร้างขึ้นจากประชากรทั้งหมด พวเกเขาเป็นชุมขนในจินตนาการที่ได้รับการโอบรัดและส่งเสริมโดยชาตินิยม

           นักประชานิยมมัพยายามเปิดเผยให้ "ประชาชน" ทราบว่าพวกเขาถูกกกอขี่อย่างไร ในการทำเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้พยายามเปลี่ยนแปลง "ประชาชน" แต่พยายามรักษา "วิถีชีวิต"ของประชาชนไ ไว้ในรูปแบบปัจจุบัน โดยถือว่าเป็นแหล่งที่มาของความดี สำหรับนักประชานิยม วิถีชีวิตของ "ประชาชน" ถูกนำเสนอว่ามีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์และประเพณี และเอื้อประโยยชน์ต่อสาธารณะ

            ประชานิยมยังแบ่งเป็นรูปแบบ "รวม" และ "แยก" ซึ่งให้ความหมาย "ประชาชน" แตกต่างกัน ประชนิยมแบบรวมมีแนวโน้มที่จะกำหนด "ประชานไ ในวงกว้างกว่า โดยยอมรับและสนับสนุนกลุ่มชนกลุ่มน้อยและกลุ่มที่ถูกละเลย ในขณะที่ประชานิยมแบบแยกจะกำหนด "ประชาชนไ ในความมหายทีแคบกว่า โดยทั่วไปจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มสังคมวัฒนะรรมเฉดพาะและต่อตจ้านกลุ่มชนกลุ่มน้อย อย่างไรก็ตามนักประชานิยมยังสามารถรวมผุ้ที่รู้สึกถูกละเลยจากสถานทางการเมืองได้หากเป็นประโยชน์ ในขณะท ี่นักประชานิยมแบบรวมกลุ่มอาจมีความแตกต่างกันย่างมากในแง่ของการรวมกลุ่มที่แท้จริง นอกจากนี้ ประชานิยมทุกรูปแบบล้วนมีลักษณะกีดกันโดยปริยาย เนื่องจากประชานิยมเหล่านี้กำหนดนิยามของ "ประชาชน" เที่ยบกับ "ชนชั้นสูง" นักวิชาการบางท่านจึงโต้แย้งว่า ความแตกต่างระหวางประชานิยมไม่ได้อยู่ที่ว่าประชนิยมรูปแบบใดจะกีดกันออกไป แต่อยุ่ที่วาประชนิยมรูปแบบใดจะกีอกันใครออกจากแนวคิดเรือ่ง "ประชาชน" ของประชานิยม

            The Elite "ชนชั้นสูง" 

            การต่อต้านชนชั้นสูงถือเป็นลักษระเด่นที่สำคัญของลัทะิประชนิยม แม้จะมีผู้โต้แย้งว่าไม่ใชัลักษณะของนักประชานิยมเพียงอย่างเดียว มีผุ้กล่าวว่า ในวาทกรรมของลัทะิประชนิยม "ลักษณะเด่นพื้นฐานของชนชั้นสูง คือการที่พวกเขามี ความสัมพันะ์ที่เป็นปฎิปักษ์กับประชาชน ในการกำหนดนิยมของ "ชนชั้นสูง" นักนิยมลัทะิประชานิยมมักจะประณามไม่เฉพาะสถาบันทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชนชั้นสูงทางเศราฐกิจ ชนชั้นสูงทางวัฒนธรรม ชนชั้นสูงทางวิชาการ และชนชั้นสูงทางสื่อ ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นกลุ่มเดียวกันที่ฉ้อฉล ในประชาธิปไตยเสรีนนิยม ประชนิยมมักจะประณามพรรคการเมืองที่มีอำนาจว่าเป็นส่วนหนึ่งของ "ชนชั้นสูง" แต่ในขณเดียกันก็ไม่ปฏิเสะระบการเมืองของพรรคโดยสิ้นเชิง แต่กลับเรียกร้องหรืออ้างว่าเพรรคประเภทใหม่ที่แตกต่างจากพรรคือ่น แม้จะประณามผุ้ที่มีอำนาจเกือบทั้งหมดในสังคมใดสังคมหนึ่ง จึงเกิดความย้องแย้งเมื่อพวกเขาขึ้นสมาอยุ่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ อาทิ ในออสเตลีย พรรคเสรีถาพแห่งออสเตรีย เป็นกลุ่มประชานิยมขวาจัด มักประฒาม "สื่อ" ในออสเรียที่ปกป้อง "ชนชั้นสูง" แต่ หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางซึ่งสนับสนุนพรรค และผุ้นำ กลับถูกกีดกันออกจากกลุ่มดังกล่าว

           เมื่อนักประชานิยมเข้ายึคดอำนาจรัฐบาล เขาต้องเผชิญกับความท้าทายเนื่องจากตอนนี้พวกเขาเป็นตัวแทนของชนชั้นผุ้นำกลุ่มให่ เช่น ชาเวซในเวเนวุเอลา และ วลาดิมีร์ เมเซียร์ในสโลวาเกี่ย นักประชนิยมยังคงใช้คำพูดต่อต้านการสถาปนารัฐโดยเปลี่ยนแปลงแนวคิดเรื่อง "ชนชั้นนำ" เพื่อให้เหมาะกับ


สถานการณ์ใหม่ ดดยอ้างว่าอำนาจที่แท้จริงไม่ได้ตกเป้นของรับบาล แต่เป็นพลังที่มีอำนาจอื่นๆ ที่ยังคงบ่อนทำลายรัฐบาลประชานิยมและเจตจำนงของ "ประชาชน" เอง ในกรณีเหล่านี้ รัฐบาลประชานิยมมักมองว่า "ชนชั้นนำ" เป็นผุ้มีอำนาจทางเศราฐกิจ  ในขณะที่ กรีซ นายกรัฐมนตรีฝ่ายซ้าอยของประชานิยมกล่าวหา "นักล้อบบี้และกลุ่มผุ้มีอำนาจในกรีซ"ว่าบ่อทำลายรัฐบาลของเขา ในกรณีของัทธิประชานิยมเช่นนี้ ผละประโยชน์ทางธุรกิจพยายามที่จะบ่อนทำลายการปฏิรูปเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นฝ่ายซ้าย 

         แม้ว่ากลุ่มประชานิยมใฝ่ายซ้ายที่ผสมผสามแนวคิดประชานิยมกับรูปแบบสังคมนิยมมักจะนำเสนอ "ชนชั้นสูง" ในแง่เศรษฐกิจ แต่กลุยัุทะเดียวกันนี้ยังใช้โดยกลุ่มระชานิยมฝ่ายขวาบางส่วนด้วย ในสหรัฐเมิรกาช่วงปลายทศวรรษท 2000 ขบวนการ "ที ปาตี้ร์ฺ" ซึค่งแสดงตนเป็นผุ้ปกป้อง ตลาดเสรี แบบทุนนิยม ได้โต้แย้งว่าธุรกิจขนาดใหญ่และพันะมิตรในรัฐสภาพยายามที่จะบ่อนทำลายตลาอดเสรีและทำลายการแข่งขันโดยการปิดกั้นธุรกิจขนาดเล็ก ในกลุ่มประชนิยมฝ่ายขวาในศตวรรษที่ 21 "ชนชั้นสูง" ถูกนำเสนอว่าเป็นพวกหัวรุนแรงฝ่ายซ้ายที่ยึดมั่นใความถูกต้องทางการเมือง ผุ้นำกลุ่มประชานิยมฝ่ายขวาชาวดัตช์เรียกกลุ่มนี้ว่า "คิรสตจักรแห่งฝ่ายซ้าย

          ในละตินอเมริกาและแอฟริกา "ชนชั้นสุง" ไม่พพียงแต่ถูกมองในแง่เศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในแง่ชาติพันธ์ด้วย ซึ่งเป็นตัวแทนของสิ่งที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่าประชนิยมทางชาติพันธุ์ ซึ่งไม่ได้มาพร้อมกับแนวทางการกีดกันทางเชื้อชาติ แต่มาพร้อมกับความพยายามที่จะสร้างพันะมิตรแบบรวมกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่ง"ชนชั้นสูง"ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป 

            ผุ้นำและขบวนการประชานิยมบางกลุ่ม คำว่า "ชนชั้นน" ยังหมายถึงสถาบันทางวิชาการหรือปัญญาชน และในความหมายนั้น หมายถึงนักวิชาการ ปัญญาชน ผุ้เชี่ยวชาญหรือวิทยาศาสตร์โดยรวม ผุ้นำและขบวนการดังกล่าวอาจวิพากษ์วิจารณ์ความรุ้ทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นส่ิงที่เป็นนามธรรม ไร้ประโยชน์ และมีอคติทางอุดมการณ์ และเรียกร้องสำมัญสำนัคความรู้จากประสบการณ์ และวธีแก้ปัญหาในทางปฏิบัติให้เป็น "ความรู้ที่แท้จริง"แทน

            ในหลายกรณี ผุ้สนับสนุนประชานิยมอ้างว่า ไกลุ่มชนชั้นนำ" กำลังทำงานที่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศ ตัวอย่างเช่น ในสหภาพยุโปร EU กลุ่มผุ้สนับสนุนประชานิยมต่างๆ อ้างว่ากลุ่มชนชั้นำทางการเมืองในประเทศของตนห้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของสหภาพยุโรปมากว่าผลประโยชน์ของรัฐชาติของตนเอง ในทำนองเดียวกัน ในละตินอเมริกา ผุ้สนับสนุนประชานิยมมักกล่าวหาวากลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเหนอืผลประดยชน์ของประเทศของตนเอง

            กลยุทธ์ทั่วไปอีกประการหนึ่งในหมุ่นักประชนิยม โดยเฉพาะในยุโรป คือการกล่าวหาว่า "กลุ่มคนชั้นสูง" ให้ความสำคัญกับผลประดยชน์ของผู้อพยพมากกว่าผลประโยชน์ของประชากรพื้นเมือง เช่นน นักประชนิยมชาวแซเบียได้แสดงท่าทีต่อต้านชาวต่างชาติระหว่างการณรงค์หาเสียง ดดยเน้นการวิพากษ์วิจารณืชนกลุ่มน้อยชาวเอเชียของประเทศโดยประณามการเป็นเจ้าของธุรกิจและเหมืองแร่ของชาวจีนและชาวอินเดีย ในดอินเดีย ผุ้นำฝ่ายขวาจัดของประชานิยมได้รวบรวมผุ้สนับสนุนต่อต้านผุ้อพยพชาวมุสลิมบังคลาเทศ โดยสัญญาวาจะเนรเทศพวกเขา ในกรณีนักประชนิยมต่อต้าน ชาวยิวด้วย เหตุการ "จ็อบบิก"ในฮังการีและเหตุการณ์โจมตีในลัลแกเลีย ชนชั้นนำจะุฏกล่าวหาว่าสนัีบสนุนผลประโยชน์ของอิสราเอลและของชาวยิวในวงกว้างมากกว่าผลประโยชน์ของกลุ่มชาติพันธุ์ นักประชานิยมต่อต้านชาวยิวมักกล่าวหาวา "กลุ่มคนชั้นสูง" ประกอบด้วยชาวยิวจำนวนมากเช่นกัน เมื่อนักประชนิยมเน้นย้ำถึงความเป็นชาติพันธุ์เป็นส่วนหนึงของการอภิปราย "ชนชั้นสูง" อาจถูกนำเสนอเป็น "ผู้ทรยศต่อชาติพันธุ์"อีกด้วย

            Genaral will เจตจำนงค์พื้นฐาน

            เจตจำนงค์ทั่วไปจากคำปราศรัยของ ซาเวซ ในปี 2007 เมื่อเขากล่าวว่า "บุคคลทุกคนอยุ่ภายใต้ข้อผิดพลากและการล่อลวง แต่ไม่ใช่ประชาชน ซึ่งมีความสำนึกในความดีของตนเองในระดับสุงและระดับคามเป็นอิสระของตนเอง ด้วยเหตุนี้ การตัดสินใจจึงบริสุทธิ์ เจตจำนงจึงเข้มแข็ง และไม่มีใครสามารถทุจริตหรือคุกคามมันได้ สำหรับนักประชานิยม เจตจำนงทั่วไปของ "ประชาชน" เป็นสิ่งที่ควรมีความสำคัญเหนือกว่าวความต้องการของ "ชนชั้นสูง" 

           แนวคิดประชานิยมเกี่ยวกับเจตจำนงทั่วไปนั้นเชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่องเสียงข้ามากและความแ้จริง


โดยเน้นย้ำว่านักประชานิยมดึงดูดอุดมคติของ "ความแท้จริงและความธรรมดา" อย่างไร เขาสังเกตว่าสิ่งที่สำคัีญที่สุดสำหรับนักประชานิยมคือ "การดึงดูดความคิดเกี่ยวกับประชาชนที่แท้จริง" และปลูกฝังความคิดที่ว่าพวกเขาเป็นตัวแทน "ที่แท้จริง" ของ "ประชาชน" และระยะห่างจาก "ชนชั้นสุง" มีผุ้ตั้งข้อสังเกตุว่า ในขณะที่นักประชานิยมมักจะใช้วาทกรรมที่เป็นประชาธิปไตย พวกเขามักจะละเลยหรือลดคุรค่าของพรรทัดฐานของประชาธิปไตยเสรีนิยม เช่น เสรรีภาพในการพูด เสรีภาพชของสือ เสรีภาพของฝ่ายค้านที่ถุกต้อง การแบ่งแยกอำนาจ และการจำกัดอำนาจของประธานาธิบดี

         ในการเน้นย้ำถึงเจตจำนงทัวไป นักประชานิยมหลายคนเห็นด้วยกับการวิจารณืรัฐบาลประาธิปไตยแบบมีตัวแทนซึงเคยได้รับการสนับสนุนดดยนักปรชญาชาวฝรั่งเศส แนวทางนี้ถือว่าการปกครองแบบมีตัวแทนเป็นระบบของชนชั้นสุงและชนช้นสุงซึ่งพลเมืองของประเทสถุกมองว่าเป็นหน่วนที่ไม่ทำอะไรเลย แทนที่จะเลือกฎหมายสำหรับตนเอง พลเมืองเหล่านี้จะถูกระดมพลเพื่อการเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งทางเลือกเดียวของพวกเขาคือการเลือกตัวแทนของพวกเขา แทนที่จะมีบทบาทโดยตรงมากขึ้นในการออกกฎหมายและการปกครอง นักประชานิยมมักสนับสนุนการใช้ มาตรการ ประชาธิปไตยตรงเช่น การลงประชามติ "อาจโต้แย้งได้ว่ามีความสัมพันธ์ในการเลือตั้งระหว่างลัทะิประชานิยมและประชาธิปไตยโดยตรง" แม้ว่า "การสนับสนุนประชาธิปไตยโดยตรงไม่ใช่คุณลักษณะที่จำเป็นของลัทธิประชนิยม" แนวคิดประชานิยมเกี่ยวกับ "เจตจำนงค์ทั่วไป" และความเชื่อโยงกับผุ้นำประชนิยมนั้น มักจะอิงตามแนวคิดเรื่อง "สามัญสำนึก" (ในช่วงศตวรรษที่ 18 คำศัพท์ทางปรัชญาเก่าแก่นี้ได้รับความหายในภาษาอังกฤษสมัยใหม่เป็นครคั้งแรกว่า "ความจริงที่ชัดเจนและชัดเจนหรือภูมิปัญญาแบบเดิมที่ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเพื่อเข้าใจและไม่จำเป็นต้องพิสุจน์เพื่อยอมรับ เพราะสิงเหล่านี้สอดคล้องกับความสามารถทางปัญญาพื้นฐาน(สามัญสำนึก)และประสบการณ์ของสังคมดดยรวมเป็นอย่างดี")

            Mobilisation การชุมนุม

            รูปแบบการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่นักประชานิยมใช้มีอยุ่สามรูปแบบ ได้แก่ ผุ้นำของนักประชานิยม พรรคการเมืองของนักประชานิยม และขบวนการทางสังคมของนักประชานิยม เหตุผลที่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งสนใจนักประชานิยมนั้นแตกต่างกันไป แต่ตัวเร่งปฏิกิริยาทั่วไปสำหรับการเพ่ิมขึ้นของนักประชนิยม ได้แก่ การตกต่ำทางเศราฐกิจอย่างรุนแรงหรือเรืองอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตอย่างเป็นระบบที่ทำลาย
พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้น  ตัวเร่งปฏิกิริยาอีกประการหนึ่งสำหรับการเติบโตของลัทธิประชานิยมคือการรับรุ้ที่แพร่หลายในหมุ่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งว่าระบบการเมืองไม่ตอบสนองต่อพวกเขา สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้เมื่อรับบาลที่ได้รับการเลือกต้งเสนอนดยบายที่ไม่เป็นที่นิยมในหมุ่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งของตน แต่ได้รับการนำไปปฏิบัติเพราะถือวานโยบายที่ไม่เป็นที่นิยมในหมุ่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งของตน แต่ได้รับการนำไปปฏิบัติเพราะถือว่านโยบายเหล่านั้น "มีความรับผิดชอบ" หรือถุกกำหนดโดยองค์กรเหนือชาติ

           Leader ผุ้นำ

           ลัทธิประชานิยมมักเกี่ยวข้องกับผุ้นำที่มีเสน่ห์และมีอำนาจเหนือกว่า และผุ้นำลัทธิประชนิยมคือ "รูป
แบบการชุนุมแลลลัทะิประชานิยมแบบสมบูรณืแบบ" บุคคลเหล่านี้หาเสียงและดึงดุการสนับสนุนโดยอาศัยอารอุทธรณ์ส่วนตัว จากนัน ผุ้สนับสนุนของพวกเขาจะพัฒนาความสัมพันธ์ส่วนตัวที่รับรุ้ได้กับผุ้นำสำหรับผุ้นำเหล่านี้ วาทกรรมของลัทะิประชานิยมทำให้พวกเขาอ้างได้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์โดยตรงกับ "ประชาชน" และในหลายๆ กรณี พวกเขาอ้างว่าตนเองเป็นตัวแทนของ "ประชาชนไ เอง โดยนำเสนอตัวเองว่าเป็น "เสียงของประชาชน" ผุ้นำประชานิยมสามารถแสดงตนเป็นผุ้กอบกู้ประชาชนได้เนื่องจากความสามารถและวิสัยทัศน์อันโดดเด่นของพวกเขา และด้วยการกระทำดังกล่าว ผุ้นำเหล่านี้จึงสามารถอ้างได้ว่าเสียสละตนเองเพื่อประโยชน์ของประชาชน เนื่องจากความภักดีต่อผุ้นำประชานิยมจึงถือเป็นตัวแทนของความภักดีต่อประชาชน ดังนั้น ผุ้ต่อต้านผุ้นำจึงสามารถถูกตราหน้าว่าเป็น "ศัตรูของประชาชน" ได้ ผุ้นำประชานิยมส่วนใหญ่ เป็นผุ้ชาย แม้ว่าจะมีผุ้หญิงหลายคนดำรงตำแหน่งนี้ ผุ้นำประชานิยมหญิงเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้ตำแหน่งอาวุโสจาการมีสายสัมพันะ์กับผุ้ชายที่เคยมีอำนาจเหนือกว่า 

            Rhetorical styles รูปแบบการพูด

            มีผุ้ตั้งข้อสังเกตว่า นักประชนิยมมักใช้ "ภาษาที่มีสีสันและไม่ใช่การทูตไ เพื่อแยกตัวเองออกจากชนชั้นปกครอง ในแอฟริกา ผุ้นำประชนิยมหลายคนโดดเด่นด้วยการพูดภาษาพื้นเมืองแทนที่จะเป็นภาษาฝรั่งเศสหรืออังกฤษ ผุ้นำประชนิยมมักแสดงตนว่าเป็นคนลงมือทำมากว่าจะพูด โดยพูดถึงความจำเป็นของ "การกระทำที่กล้าหาญ" และ "วิธีการแก้ปัญหาตามสามัญสำนึก" สำหรับปัญหาที่พวกเขาเรียกว่า "วิกฤต ผุ้นำประชานิยมชายมักแสดงออกโดยใช้ภาษที่เรียบง่ายและบางครั้งก็หยาบคารย เพื่อพยายามแสดงตนว่าเป็น "คนธรรมดา" หรือ "หนึ่งในเด็กผู้ชายไ เพื่เพ่ิมเสน่ห์แบบประชานิยม

           ผุ้นำประชนิยมมักจะแสดงตนเป็นคนนอกที่แยกตัวจาก "ชนชั้นสูง" ผุ้นำประชนิยมหญิงบางครั้งอ้างถึงเพศของตนเองเพื่อแยดตัวออกจาก "ชมรมชายชรา" ที่มีอำนาจเหนือกว่าในขณะที่ในละตินอเมริกา นักประชานิยมจำนวนหจนึ่ง เน้นย้ำถึงภูมิหลังทางชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่คนขาวของตนเพื่อแยกตัวออกจากชนชั้นสูงที่คนขาวครอบงำ นักประชนิยมคนอื่นๆ ใช้เสื้อผ้าเพื่อแยกพวกเขาออกจากกัน

             ที่มา : วิกิพีเดีย

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Populism is..

             ประชานิยมเป็นแนวคิดทางการเมืองที่เน้นย้ำถึงแนวคิดเรื่อง "ประชาชน" แและมักจะเปรียบเทียบกลุ่มนี้กับ "ชนชั้นสูง" มักเชื่อมโยงกับความรู้สึกต่อต้านสภาบันและต่อต้านการเมือง คำนี้ได้รับการพัฒนาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และภูกนำไปใช้กับนักการเมือง พรรคการเมือง และขบวนการต่างๆ ตั้งนั้นเป็นต้นมา โดยมักจะใช้เป็นคำที่มีความหมายเชิงลบ ในศาสตร์ทางการเมืองและสังคมศาสตร์ ศาตร์อื่นๆ มีการใช้คำจำกัดความของประชานิยมหลายแบบ โดยนักวิชาการบางคนเสอนว่าควรปฏิเสธคำนี้โดยสิ้นเชิง

             กรอบแนวคิดทั่วไปสำหรับการตีความประชานิยมเรียกว่า แนวทาง เชิงอุดมการซึ่งกำหนดให้ประชานิยมเป็นอุดมการณ์ที่นำเสนอ "ประชาชนไ ให้เป็นพลังที่มีคุณธรรม และเปรียบเทียบกับ "ชนชั้นสูง" ซึ่งถุกพรรณนาว่าทุจริตและห็นแก่ตัว 


            นักประชานิยมมีความแตกต่างกันในการกำหนด "ประชาชน" แต่สามารถอิงตามชนชั้น ชาติพันธ์ุ หรือชาติได้  โดยทั่วไป นักประชนิยมจะนำเสนอ "ชนชั้นสูง" ว่าประกอบด้วยสถาบัทางการเมือ งเศรฐกิจ วัฒนธรรม และสื่อ ซึ่งมักจะเอาผลประดยชน์ของกลุ่มอื่น เช่น บริษัทขนาดใหญ่ต่างประเทศ หรือผู้อพยพ ไว้เหนือผลประโยชน์ของ "ประชาชน" ตามแนวทางเชิงอุดมการณ์ ประชานิยมมัก จะถูกผสมผสานเข้ากับ อุดมการณ์อื่นๆ เช่น ชาตินิยม เสรีนิยม สังคมนิยม ทุนนิยม หรือบริโภคนิยม ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถพบนักประชนิยมได้ในหลายสถานที่ตลอดทั้ง การเมืองฝ่ายซ้าย และฝ่ายขวา และมีทั้งนักประชานิยมฝ่ายซ้าย และประชานิยมฝ่ายขวา

          คำว่า "ประชานิยม" มีที่มาที่คลุมเคลื่อ ครั้งแรกที่มีการใช้คำนี้ คือ สมาชิกของพรรคประชาชนทีเคลื่อนไหวในสหรัฐช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งในจักรวรรดิรัสเซียในชข่วงเวลาเดียวกันก็มีกลุ่มที่แตกต่างจากในอิมริกาใข้คำที่เรียกตวเองและเมืองแปลเป็นภาษาอังฤษ เป็น populist ซึ่งเพิ่มความสับสนให้กับคำนี้ ในช่วงทศวรรษ 1920 คำนี้เข้าสู่ภาษาฝรั่วเศส ซึ่งใช้เพื่อธิบายกลุ่มนักเขียนที่แสดงความเห็นอกเห็นใจคนธรรมดา ในสือต่างๆ มักถุกนำมาผสมกับแนวคิดอื่นๆ เช่นการปลุกปั่น และมักถูกนำเสนอว่าเป็นสิ่งที่ "น่ากลัวและสื้อมเสียชื่อเสียง" 

        กระทั่งปี 2016 โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นปรธานาะิบดีสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรลงมติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งทั้งสองเหตุการณืมีความเก่ยวข้องกับลัทธิประชานิยม คำว่าลัทธิประชานิยมจึงกลายเป้นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดโดยนักวิจารณืการเมืองระดับนานาชาติ ในปี 2017 พจนานุกรมเคมบิดจ์ ได้ประกาศให้คำนี้เป็นแห่งปี

          แนวทางทั่วไปในการกำหนดประชานิยมเรียกว่าแนวทางเชิงอุดมคติ ซึ่งเน้นนย้ำถึงแนวคิดที่ว่าประชานิยมควรได้รับการกำหนดตามแนวคิดเฉฑาะเจาะจงที่เป็นพื้นฐาน ตรงข้ากับนโยบายเศราฐกิจหรือรูปแบบความเป็นผุ้นำบางอย่างที่นักการเมืองประชานิยมอาจแสดงออกมา ในคำจำกัดความนี้ คำว่า



"ประชานิยม"ใช้กับกลุ่มการเมืองและบุคคลที่พยายาทดึวดูด "ประชาชน" จากนั้เปรียบเทียบกลุ่มนี้กับ "ชนชั้นสูง" โดยใช้แนวทางนี้ นักวิชาการให้คำจำกัดความของประชานยิมว่า "เป็นอุดมการณ์ที่ นำเอาคนดีและมีความเหมือนกันมาต่อสู้กับกลุ่มชั้นชั้นำและ "คนอื่น" ที่อันตรายซึ่งร่วมกันมองว่ากำลังกีดกัน(หรือพยายามกีดกัน) สิทธิ คุณค่า ความเริญรุ่งเรือง อัตลักาณ์ และเสียงของประชาชนที่มีอำนาจสูงสุด" ในทำนองเดียวกัน นักรัฐศาสตร์บางท่่านในคำจำกัดความว่าเป็น "วาทกรรมแบบมานิเคียนที่แบ่งแยกการเมืองและสังคมว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างสองค่ายที่ไม่อาจปรองดองและเป็นปฏิปักษ์กัน : ประชาชนและกลุ่มผุ้มีอำนาจ" และคำจำกัดความอื่นตามที่นักวิชาการและนักรัฐศาตร์ได้เสนอไว้ อาทิ "ประชานิยมมักเกี่ยวข้องกับการวิากษ์วิจารณ์สถาบันและการยกย่องคนทั่วไป" "ความสัมพันธ์ที่เป็นปฏิปักษ์ ระหว่าง "ประชาชน" และ "ชนชั้นสูง" และแผงอยู่ทึกที่ที่มีโอกาสเกิดการแบ่งแยกเช่นนี้" "คนในชุมชนที่เป็นเนื้อเดียวกัน" ซึ่ง "มองว่าตนเองเป็ผู้ถืออำนาจอธิปไตยของประชาชนโดยสมบูรณ์ และ แสดงทัศนคติต่อต้านสถาบัน" ด้วยความเข้าใจนี้ถือว่า "ประชานิยมเป็นวาทกรรมอุดมกาณ์หรือโลกทัศน์" คำจำกัดความเล่านี้ใช้ครั้งแรกในยุโรปตะวันตกเป็น่ส่วนใหญ่ และต่อมาได้รับความนิยมในยุดรปตะวันออกและอเมริกา

          ประชานิยมถูกมองว่าเป็น "thin ideology" ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้ว ถือว่าไม่ม่ีสาระพอที่จะเป็นแนวทางสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ ดังนั้น ประชานิยมจึงแตกต่างจากอุดมกาณ์ "thick-centred" หรือ อุดมการณ์เต็มรูปแบบ เช่น ฟาสซิสต์ เสรีนิยมและสังคมนิยม ซึ่งให้แนวคิดที่กว้างไกลกว่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในฐานะอุดมกาณ์เต็มรูปแบบ ประชานิยมจึงถุฏผูกติดกับอุดมกาณ์เต็มรูปแบบโดยนักการเมืองประชานิยมทำหใ้แน่ใจได้ว่าในทางปฏิบัติแล้ว ประชานิยมเป็นอุดมทการณ์ที่เสริมซึ่งกันและกัน ไม่เพียงแค่ทับซ้อนกับอุดมการณ์เต็มรูปแบบเท่านั้น

        นักวิชาการยังกล่าวว่า ประชานิยม "เป็นแผนที่ความคิดชนิดหนึ่งที่บุคคลใช้วิเคราะห์และทำความเข้าใจความเป็นจริงทางการเมือง และตั้งข้อสังเกตุว่า "เน้นเรื่องศีละรรมมากกว่าการวางแผน" ประชานิยม ส่งเสริมมุมองโลกแบบแบ่งขั่วซึ่งทุกคนแบ่งออกเป็น "มิตรและศัตรู" โดดยที่ศัตรูไม่ได้ถุกอมงว่าเป็นเพียงผุ้คนที่มี ลำดับความสำคัญและค่านิยมที่แตกต่างำัน เท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็น คนชั่วร้าย โดยพื้นฐาน การเน้นย้ำความบริสุทธิ์และไม่ถูกแตะต้อง ประชานิยมจะป้องกันการประนีประนอมระหว่างกลุ่มต่างๆ 

       การเพิ่มขึ้นของการวิจัยและอภิปรายเกี่ยวกับประชานิยม ทั้งในเชิงวิชาการและทางสังคม เกิดจากความพยายารมของนักวิชาการด้านแยวคิดที่จะให้ความสำคัญกับความสำคัญของการดึงดูดผุ้คน ให้อยู่เหนือความแตกต่างทางอุดการณ์ และเืพ่อสร้างแนวคิดเกี่ยวกับประชานิยมในฐานะ ประากฎการณ์ เชิงวาทกรรมอย่างไรก็ตาม แนวทางของสกนักอุดมกาณืต่อประชานิยมนั้นมีปัญหาเนื่องจากสมมติฐานเชิงเนื้อหาจำนวนมากทีกำหนดว่าประชานิยมทำงานอย่างไรในฐานะปรากธกาณ์เชิงวาทกรรมทั้งนี้ การให้คำนิยามอยางเป็นทางการและเป็นพื้นฐาน ได้ระบุว่า "ในการกำหนดลัทธิประชนิยมว่าเป็นรูปแบบของวาทกรรม ที่มีลักษณะเฉพาะคือการแบ่งแยกระหว่างประชาชนกับชนชั้นนำ และอ้างวาสามารถพูดในนามของ "ประชาชน"ได้

           ที่มา : วิกิพีเดีย

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Populism

           


          นักวิชาการด้านการศึกษาคนดำได้วิเคราะห์โดยเชื่อมโยงประเด็น white Supermacy กับการเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐฯ ว่ามีพื้นฐานมาจากการเกิดขึ้นของแรงงานทาศผิวดำที่เอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภายใต้ระบบทุนนิยมของสหรัฐฯ นำไสู่สังคมแห่งการแบ่งชนชั้นโดยมีเชื้อชาติเป็นปัจจัยหลัก ซึ่งในบทความวิชาการของ "คอลิต้า นิโคลส์ แฟร์แฟค" ได้ชี้ให้เห็นว่า ในยุคค้าทาสที่มีการใช้แรงงานทาสเพื่อประโยชน์ในการทำเกษตรกรรมในพื้นที่อาณานิคมของอังกฤษ ช่วยหล่อหลอมความคิดว่าคนผิวสีโดยพื้นฐานเป็นผุ้ที่อ่อนแอกว่าเพราะเป็นเพียงแรงงานไร้ซึ่งอำนาจ ต้องตกอยุ่ใต้การควบคุมของคนผิวขาว ทัศนคติลบต่อคนผิวสีจึงถูกปลูกฝังในสังคมอเมริกันและยุโรปมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแนวคิดยึดยุโรปเป็นศูนย์กลาง ได้นำไปสู่การใช้สถาบันหรือนโยบายตางๆ ทางการเมือง เศรษฐกิจและการค้า กฎหมาย สวัสดิการต่างๆ ตลอดจนการศึกษา เป็นเครื่องมือในการกีดกันคนผิวสีไม่ให้ได้รับสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกับคนผิวขาว

         นอกจากนี้ยงมีงานวิจัย ที่เสนอว่า กระแสการเหยียดเชื้อชาติ และ  "ไว้ท์ ซูเปอร์เมซี่" ดำเนินอยู่ภายใต้โครงสร้างอำนาจรัฐด้วยยกตัวอยางกรณีที่สภาคองเกรสพิจารณาเห็นชอบให้พระราชบัญญัติกีดกันชาวจีน ปี 1882 มีผลบังคับใช้เพื่อเป็นมาตรการปกป้องประโยชน์ของคนอเมริกันที่ได้รับผลกระทบจาการอพยพเข้ามาของกลุ่มแรงงานชาวจีนในยุคตื่นทาองตั้งแต่ช่วงปี 1848 พระรชบัญญัติดังกล่าวสะท้อนให้เห็นวาการแบ่งแยกทางเชื้อชาติและ "ไวท์ ซูเปอร์เมซี่" ในสังคมอเมริกัน ถุกขับเคลื่อนไปด้วยโครงสร้างอำนาจทางกฎหมายร่วมด้วย จึงเห็นได้ว่ารัฐได้บังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ที่ไม่จำกัดเพียงคนผิวสีเท่านั้น

              นอกจากปัญหาการเหยียดเชื้อชาติในอเมริกาจะเร่ิมต้นจากประวัติศสตร์สมัยอาณานิคมอังกฤษแล้ว ภูมิภาคยุโรปยัวมีอิทธิพลในการส่งต่อกระแสความเกลี่ยดชังทางชาติพันธุ์มายังสหรัฐฯ ด้วย ดดยในงานวิจัยของ พีท เซมิ และ โรเบิร์ต ฟัทรีล ได้อธิบายอิทธิพลของลัทะินาซีใหม่ที่ตกทอดมาจากระบอบนาซีเยอรมันในสมัยสงคราม ว่าได้นำไปสู่การสนับสนุนความคิดคนขาวเป็นใหญ่ภายใต้วามเชื่อเร่องความบริสุทธิ์ของเชื้อชาติอารยัน เนื่องจากชาวอเมริกันผิวขาวต่างต้องการกลับมาเป็นใหญ่เหนือชนชาติอื่นที่มิใช่อารยัน ในสภาวะที่โลกมีการแลเปลี่ยนทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างหลากหลาย นขาวจึงรู้สึกว่าตนถุกคุกคามจากชนชาติอืน รวมทั้งเชื้อชาติอารยันอันสูงส่งและบริสุทธิ์ของตนกำลังถุกลอทอนคุณค่าด้วยเช่นกัน ดังนั้น กระแสการเหยียดเชื้อชาติจึงกลับมามีความเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้นในอเมริกา ภายใต้การขับเคลื่อนลัทะินาซีใหม่โดยขบวนการเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐฯ ที่สั่งสมความเกลี่ยดชังในคนผิวสีจนนำไปสู่การก่อความรุนแรง เช่นกลุ่ม "คู คลัค แคลน" KKK ที่มีการเคลื่อนไหวทางสังคมด้วยการขับเคลื่อนและแพร่กระจายลัทะินาซีใหม่ในสหรัฐฯ ช่วงปลายศตวรรษที่ 20...


           ในบทความวิจารณ์ของ คาส มัดด์ ได้อธิบายที่มาของความนิยมในมวลชนต่อระบอบการปกครองแบบประชานิยมขวาจัด ในยุคหลังสงครามแย็นไวว่ากระแสฝ่ายขวาประชานิยมได้ปรากฎอย่างชัดเจนจึ้นในช่วงทศวรรษที่ 2010 ดดยมีสาเหตุหลักมาจากเหตุกาณ์ก่อการร้าย 9/11 การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและุสังคม การเพ่ิมขึ้นของจำนวนประชากรในประเทศ ซึ่งล้วนสืบเนื่องมาจากกระแสดลกาภิวัตน์และการอพยพย้ายถ่ินฐานหลายประเทศจึงเล็งเห็นวาปัฐหาเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อความมั่นคงของรัฐ ในช่วงทศวรรษดังกล่าวเราจึงเห็นผุ้นำหลายประเทศในยุดรปจากพรรคการเมืองฝ่ายขวาได้รับคะแนนนิยมและชนะการเลือกตั้ง ผุ้นำในยุคนี้ต่างมีทัศนคติเชิงลบต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม 

         ในศตวรรษที่ 21  สหรัฐฯเผชิญปัญหาการก่อความรุแแรงโดยกลุ่มขวาจัดที่เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งรายงานวิจัยหนึ่งระบุว่า กลุ่มหัวรุนแรงขวาจัดในสหรัฐฯ ได้ก่ออาชญากรรมเพ่ิมขึ้น "..ระหว่างปี 2007-2017 ในเกือบทุกมลรัฐ และการเคลื่อนไหวของลัทธินาซีใหม่ที่ได้แผ่อิทธิพลมากขึ้นในสังคมอเมริกัน ในต้นศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา นอกจากกระแสนิยมขวาจัดจะเกิดขึ้นจากความเกลียดกลัวคนต่างชาติจนนำไปสู่การก่ออาชญากรรมของกลุ่มหัวรุนแรงแล้ว ฝ่ายขวาประชานิยมยังก้าวขึ้นมาเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางสืบเนืองจากวิกฤติทุนนิยมที่สงผลให้ประชาชนหลายกลุ่มต้องเปชิญกับภาวะความไม่มั่นคงทางเศราฐกิจอีกดั้วย โดยตังแต่สิ้นสุดสงครามเย็น การล่มสลายขงอค่ายคอมมิวนิสต์ทำให้ระบบเศราฐกิจทุนนิยมกลายเป็นแนวทางหลักในการขับเคลื่อนการเมืองและเศรษฐกิจ จนนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในสังคมทั่วทุกมุมโลก


           ในการศึกษาของ "ไอแลน คาพัว" เกี่ยวกับการขึ้นมาของระบอบประชานิยมในการเมืองโลกได้
อธิบายว่า เนื่องจากระบอบการเมืองฝ่ายซ้ายไม่อาจแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเพื่อสร้างการกระจายรายได้อยางเป็นธรรมได้อย่างแท้จริง ทำให้มวลชนจำนวนมากหันมาหวังพึงระบอบอนุรัาษ์นิยมฝ่ายขวาซึ่งได้อาศัยความดกระและความเกลียดชังของกลุ่มประชาชนที่กำลังตกทุกข์ไ้ยากาสร้างเป็นวาทกรรมการเมืองเพื่อเป็นพื้นที่แบ่งปันความรู้สึกร่วมกันของมวลชนและผุ้นำทางการเมือง เห็นไ้จากในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา อุดมการณืประชานิยมขวาจัดที่ขึ้นมามีชัยชนะเหนือการเมืองฝ่ายเสรีในหลายภูมิภาค ล้วนแล้วแต่มีสาเหตะมาจาการดำเนินนดยบายเศราฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ที่นำไปสู่การแปลงทรัพย์สินของรัฐให้เป็นของเอกชน ทำให้กลุ่มนายทุนและทุนต่างชาติเข้ามามีส่วนได้ส่วนเสียในประเทศมากขึ้น และได้เข้ามาพรากความกินดีอยุ่ดีของประชาชนคนทั่วไปด้วย เพราะรัฐที่มีภาระหนี้่สินมหาศาลก็ไม่สามารถเข้ามาช่วยเยียวยาประชาชนให้ได้รับสวัสดิการอย่างทั่วถึงและเท่าเที่ยม "คาพัว" สรุปว่า วิกฤติทุนนิยมได้สร้างความโกธเคืองแก่ประชาชนขนานใหญ่ เพราะพวกเขารู้สึกว่าถูกทอดทิ้งจากการปกป้องคุ้มครองของรับที่มีนโยบายเื้อประดยชน์ต่อชนชาติอื่นที่อพยพเข้ามาในประเทศมากขึ้น ดังเช่นวิกฤติเศราฐกิจในสหรัฐฯ ปี 2008 

           การเข้ามามีบทบาทอย่างโดดเด่นของฝ่ยขวาอนุรักษ์นิยมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจึงสะท้อนความไม่พอใจของประชาชนต่อการพัฒนาเศรษกิจของรัฐแบบเสรีนิยมใหม่ทีททำให้พวกเขารุ้สึกลายเป็นคนชายขอบที่สูญเสียผลประดยชน์ไปจากสังคมแสหลัก อีกทั้งระบอบการเมืองฝ่ายซ้ายก็ไม่อาจแก้ปัญหาช่องว่างทางรายได้ที่เกิดขึ้น มวลชนจึงหันไปพึ่งพิงฝ่ายขวาประชานิยมที่มุ่งหมายจะเข้ามาลดบทบาทของชาวต่างๆ ชาติและขจัดอิทธิพลของทุนต่างชาติ ตามที่ สเลวอจ ซิซีค ได้วิเคราะห์การสร้างวาทกรรมของฝ่ายประชานิยมเพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามภายนอก ด้วยการสร้างตราบาปแก่ผุ้อพยพลี้ภัยต่างๆ ว่าได้เขามาแย่งงานที่ควรจะเป็นคนในชาติไป รวมทั้งเข้ามาก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศในกลุ่มสตรี "..วาทกรรมฝ่ายประชนิยมจึงเป็นการแบ่งแยกระหว่างพวกเราและพวกเขา เพื่อยกย่องความเป็นพวกพ้องเดียวกันของกลุ่มคนให้สุงส่งเหนือคนอื่น.." 

            ที่มา : https://digital.car.chula.ac.th/cgi/viewcontent.cgi?article=8355&context=chulaetd

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...