วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Populism..(elite)

          ประชานิยมและองคาพยพต่างๆ 

           The people ประชาชน 

            สำหรับประชานิยม "ประชาชน" ถูกมองว่าเป็นเนื้อเดียวกัน และยังมีคุณธรรมอีกด้วย แนวคิดเรื่อง "ประชาชน"นั้นคลุมเครือและยืดหยุนได้  ซึ่งความยืดหยุนเป้นประโยชน์ต่อนักประชานิยมา และสามารถ "ขยายหรือย่อ" แนวคิดให้เหมาะกับเกณฑ์ที่เลือกสำหรับการรวมหรือการกีดกัน ในเวลาใดก็ได้ ในการใช้แนวคิดเรื่อง "ประชาชน" นักประชานิยมสามารถส่งเสริมความรู้สึกถึงเอกลักษฒ์ร่วมกันระหว่างกลุ่มตางๆ ภายในสังคม และอำนวยความสะดวกในการระดมพลเพื่อมุ่งสู่จุดหมายร่วมกัน 

           วิธีหนึ่งที่นักประชานิยมใชความเข้าใจเรื่อง "ประชาชน" คือแนวคิดที่ว่า ประชาชนมีอำนาจสูงสุดในรัฐประชาธิปไตย การตัดสินใจของรัฐบาลควรขึ้นอยุ่กับประชาชนและหากพวกเขาถูกเพิกเฉย พวกเขาอาจระดมพลหรือกก่อกบฎ นี้คือความหมายของ "ประชาชน" ที่พรรคประชาชนใช้ในช่วงปลายศตควรรษที่ 19 ในสหรัฐอเมริกา และยังใช้โดยขบวนการประชานิยมในภายหลังในประเทศนั้นด้วย

               วิธีที่สอง ที่นักประชนิยมคิดว่า "ประชาชน" คือการรวมหมวดหมู่ตามสังคมเศราฐฏิจหรือชนชั้นเข้ากับหมวดหมู่ที่อ้างถึงประเพณีวัฒนธรรมและค่านิยมที่เป็นที่นิยมบางประการ แนวคิดนี้มุ่งหวังที่จะพิสุจน์ศักดิ์ศรีของกลุ่มสังคมที่มองว่าตนเองถูกกดขี่โดย "ชนชั้นสูง" ที่มีอำนาจ ซึ่งถูกกว่างหาว่าปฏิบัติต่อค่าานิยม การตัดสิน และรสนิยมของ "ประชาชน" ด้วยความสงสัยหรือดุถูก นักประชานิยมยังใข้คำว่า "ประชาชน" เป็นคำพ้องความหมายกับคำว่า "ชาติ" ไม่ว่าจะในแง่ ชาติพันธุ์ หรือ พลเมืองก็ตาม ในกรอบดังกล่าว บุคคลทุกคนที่ถือว่าเป็น "คนพื้นเมือง" ของรับใดรัฐหนึ่ง ไม่ว่าจะโดยกำเนิดหรือโดยชาติพันธุ์ ก็สามารถถือได้ว่เป็นส่วนหนึ่งของ "ประชาชน" 

           ประชานิยมโดยทั่วไปหมายถึงความ "การยกยองพวกเขาในฐานะประชาชน" ถ่ินที่อยุ่อาศัยของประชาชน ซึ่งถุกเสนอคำว่า "หัวใจ" แทนคำว่าที่อยู่อาศัย เพื่อสะท้อนความหายของนักประชานิยมในวาทศิลป์ของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น "หัวใจคือสถานที่ที่ในจินตนาการของนักประชนิยม ประชากรที่มีคุณธรรมและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอาศัยยอยู่ ดังนั้น หัวใจในหมุ่นักประชานิยม อาจแตกต่างกันไป แม้ในประเทศเดียวกัน มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า สำหรับนักประชานิยมแล้วว "ประชาชน" ไม่ใช่ทุกอย่าง แต่เป็นกลุ่มย่อยที่ถูกสร้างขึ้นจากประชากรทั้งหมด พวเกเขาเป็นชุมขนในจินตนาการที่ได้รับการโอบรัดและส่งเสริมโดยชาตินิยม

           นักประชานิยมมัพยายามเปิดเผยให้ "ประชาชน" ทราบว่าพวกเขาถูกกกอขี่อย่างไร ในการทำเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้พยายามเปลี่ยนแปลง "ประชาชน" แต่พยายามรักษา "วิถีชีวิต"ของประชาชนไ ไว้ในรูปแบบปัจจุบัน โดยถือว่าเป็นแหล่งที่มาของความดี สำหรับนักประชานิยม วิถีชีวิตของ "ประชาชน" ถูกนำเสนอว่ามีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์และประเพณี และเอื้อประโยยชน์ต่อสาธารณะ

            ประชานิยมยังแบ่งเป็นรูปแบบ "รวม" และ "แยก" ซึ่งให้ความหมาย "ประชาชน" แตกต่างกัน ประชนิยมแบบรวมมีแนวโน้มที่จะกำหนด "ประชานไ ในวงกว้างกว่า โดยยอมรับและสนับสนุนกลุ่มชนกลุ่มน้อยและกลุ่มที่ถูกละเลย ในขณะที่ประชานิยมแบบแยกจะกำหนด "ประชาชนไ ในความมหายทีแคบกว่า โดยทั่วไปจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มสังคมวัฒนะรรมเฉดพาะและต่อตจ้านกลุ่มชนกลุ่มน้อย อย่างไรก็ตามนักประชานิยมยังสามารถรวมผุ้ที่รู้สึกถูกละเลยจากสถานทางการเมืองได้หากเป็นประโยชน์ ในขณะท ี่นักประชานิยมแบบรวมกลุ่มอาจมีความแตกต่างกันย่างมากในแง่ของการรวมกลุ่มที่แท้จริง นอกจากนี้ ประชานิยมทุกรูปแบบล้วนมีลักษณะกีดกันโดยปริยาย เนื่องจากประชานิยมเหล่านี้กำหนดนิยามของ "ประชาชน" เที่ยบกับ "ชนชั้นสูง" นักวิชาการบางท่านจึงโต้แย้งว่า ความแตกต่างระหวางประชานิยมไม่ได้อยู่ที่ว่าประชนิยมรูปแบบใดจะกีดกันออกไป แต่อยุ่ที่วาประชนิยมรูปแบบใดจะกีอกันใครออกจากแนวคิดเรือ่ง "ประชาชน" ของประชานิยม

            The Elite "ชนชั้นสูง" 

            การต่อต้านชนชั้นสูงถือเป็นลักษระเด่นที่สำคัญของลัทะิประชนิยม แม้จะมีผู้โต้แย้งว่าไม่ใชัลักษณะของนักประชานิยมเพียงอย่างเดียว มีผุ้กล่าวว่า ในวาทกรรมของลัทะิประชนิยม "ลักษณะเด่นพื้นฐานของชนชั้นสูง คือการที่พวกเขามี ความสัมพันะ์ที่เป็นปฎิปักษ์กับประชาชน ในการกำหนดนิยมของ "ชนชั้นสูง" นักนิยมลัทะิประชานิยมมักจะประณามไม่เฉพาะสถาบันทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชนชั้นสูงทางเศราฐกิจ ชนชั้นสูงทางวัฒนธรรม ชนชั้นสูงทางวิชาการ และชนชั้นสูงทางสื่อ ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นกลุ่มเดียวกันที่ฉ้อฉล ในประชาธิปไตยเสรีนนิยม ประชนิยมมักจะประณามพรรคการเมืองที่มีอำนาจว่าเป็นส่วนหนึ่งของ "ชนชั้นสูง" แต่ในขณเดียกันก็ไม่ปฏิเสะระบการเมืองของพรรคโดยสิ้นเชิง แต่กลับเรียกร้องหรืออ้างว่าเพรรคประเภทใหม่ที่แตกต่างจากพรรคือ่น แม้จะประณามผุ้ที่มีอำนาจเกือบทั้งหมดในสังคมใดสังคมหนึ่ง จึงเกิดความย้องแย้งเมื่อพวกเขาขึ้นสมาอยุ่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ อาทิ ในออสเตลีย พรรคเสรีถาพแห่งออสเตรีย เป็นกลุ่มประชานิยมขวาจัด มักประฒาม "สื่อ" ในออสเรียที่ปกป้อง "ชนชั้นสูง" แต่ หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางซึ่งสนับสนุนพรรค และผุ้นำ กลับถูกกีดกันออกจากกลุ่มดังกล่าว

           เมื่อนักประชานิยมเข้ายึคดอำนาจรัฐบาล เขาต้องเผชิญกับความท้าทายเนื่องจากตอนนี้พวกเขาเป็นตัวแทนของชนชั้นผุ้นำกลุ่มให่ เช่น ชาเวซในเวเนวุเอลา และ วลาดิมีร์ เมเซียร์ในสโลวาเกี่ย นักประชนิยมยังคงใช้คำพูดต่อต้านการสถาปนารัฐโดยเปลี่ยนแปลงแนวคิดเรื่อง "ชนชั้นนำ" เพื่อให้เหมาะกับ


สถานการณ์ใหม่ ดดยอ้างว่าอำนาจที่แท้จริงไม่ได้ตกเป้นของรับบาล แต่เป็นพลังที่มีอำนาจอื่นๆ ที่ยังคงบ่อนทำลายรัฐบาลประชานิยมและเจตจำนงของ "ประชาชน" เอง ในกรณีเหล่านี้ รัฐบาลประชานิยมมักมองว่า "ชนชั้นนำ" เป็นผุ้มีอำนาจทางเศราฐกิจ  ในขณะที่ กรีซ นายกรัฐมนตรีฝ่ายซ้าอยของประชานิยมกล่าวหา "นักล้อบบี้และกลุ่มผุ้มีอำนาจในกรีซ"ว่าบ่อทำลายรัฐบาลของเขา ในกรณีของัทธิประชานิยมเช่นนี้ ผละประโยชน์ทางธุรกิจพยายามที่จะบ่อนทำลายการปฏิรูปเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นฝ่ายซ้าย 

         แม้ว่ากลุ่มประชานิยมใฝ่ายซ้ายที่ผสมผสามแนวคิดประชานิยมกับรูปแบบสังคมนิยมมักจะนำเสนอ "ชนชั้นสูง" ในแง่เศรษฐกิจ แต่กลุยัุทะเดียวกันนี้ยังใช้โดยกลุ่มระชานิยมฝ่ายขวาบางส่วนด้วย ในสหรัฐเมิรกาช่วงปลายทศวรรษท 2000 ขบวนการ "ที ปาตี้ร์ฺ" ซึค่งแสดงตนเป็นผุ้ปกป้อง ตลาดเสรี แบบทุนนิยม ได้โต้แย้งว่าธุรกิจขนาดใหญ่และพันะมิตรในรัฐสภาพยายามที่จะบ่อนทำลายตลาอดเสรีและทำลายการแข่งขันโดยการปิดกั้นธุรกิจขนาดเล็ก ในกลุ่มประชนิยมฝ่ายขวาในศตวรรษที่ 21 "ชนชั้นสูง" ถูกนำเสนอว่าเป็นพวกหัวรุนแรงฝ่ายซ้ายที่ยึดมั่นใความถูกต้องทางการเมือง ผุ้นำกลุ่มประชานิยมฝ่ายขวาชาวดัตช์เรียกกลุ่มนี้ว่า "คิรสตจักรแห่งฝ่ายซ้าย

          ในละตินอเมริกาและแอฟริกา "ชนชั้นสุง" ไม่พพียงแต่ถูกมองในแง่เศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในแง่ชาติพันธ์ด้วย ซึ่งเป็นตัวแทนของสิ่งที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่าประชนิยมทางชาติพันธุ์ ซึ่งไม่ได้มาพร้อมกับแนวทางการกีดกันทางเชื้อชาติ แต่มาพร้อมกับความพยายามที่จะสร้างพันะมิตรแบบรวมกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่ง"ชนชั้นสูง"ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป 

            ผุ้นำและขบวนการประชานิยมบางกลุ่ม คำว่า "ชนชั้นน" ยังหมายถึงสถาบันทางวิชาการหรือปัญญาชน และในความหมายนั้น หมายถึงนักวิชาการ ปัญญาชน ผุ้เชี่ยวชาญหรือวิทยาศาสตร์โดยรวม ผุ้นำและขบวนการดังกล่าวอาจวิพากษ์วิจารณ์ความรุ้ทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นส่ิงที่เป็นนามธรรม ไร้ประโยชน์ และมีอคติทางอุดมการณ์ และเรียกร้องสำมัญสำนัคความรู้จากประสบการณ์ และวธีแก้ปัญหาในทางปฏิบัติให้เป็น "ความรู้ที่แท้จริง"แทน

            ในหลายกรณี ผุ้สนับสนุนประชานิยมอ้างว่า ไกลุ่มชนชั้นนำ" กำลังทำงานที่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศ ตัวอย่างเช่น ในสหภาพยุโปร EU กลุ่มผุ้สนับสนุนประชานิยมต่างๆ อ้างว่ากลุ่มชนชั้นำทางการเมืองในประเทศของตนห้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของสหภาพยุโรปมากว่าผลประโยชน์ของรัฐชาติของตนเอง ในทำนองเดียวกัน ในละตินอเมริกา ผุ้สนับสนุนประชานิยมมักกล่าวหาวากลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเหนอืผลประดยชน์ของประเทศของตนเอง

            กลยุทธ์ทั่วไปอีกประการหนึ่งในหมุ่นักประชนิยม โดยเฉพาะในยุโรป คือการกล่าวหาว่า "กลุ่มคนชั้นสูง" ให้ความสำคัญกับผลประดยชน์ของผู้อพยพมากกว่าผลประโยชน์ของประชากรพื้นเมือง เช่นน นักประชนิยมชาวแซเบียได้แสดงท่าทีต่อต้านชาวต่างชาติระหว่างการณรงค์หาเสียง ดดยเน้นการวิพากษ์วิจารณืชนกลุ่มน้อยชาวเอเชียของประเทศโดยประณามการเป็นเจ้าของธุรกิจและเหมืองแร่ของชาวจีนและชาวอินเดีย ในดอินเดีย ผุ้นำฝ่ายขวาจัดของประชานิยมได้รวบรวมผุ้สนับสนุนต่อต้านผุ้อพยพชาวมุสลิมบังคลาเทศ โดยสัญญาวาจะเนรเทศพวกเขา ในกรณีนักประชนิยมต่อต้าน ชาวยิวด้วย เหตุการ "จ็อบบิก"ในฮังการีและเหตุการณ์โจมตีในลัลแกเลีย ชนชั้นนำจะุฏกล่าวหาว่าสนัีบสนุนผลประโยชน์ของอิสราเอลและของชาวยิวในวงกว้างมากกว่าผลประโยชน์ของกลุ่มชาติพันธุ์ นักประชานิยมต่อต้านชาวยิวมักกล่าวหาวา "กลุ่มคนชั้นสูง" ประกอบด้วยชาวยิวจำนวนมากเช่นกัน เมื่อนักประชนิยมเน้นย้ำถึงความเป็นชาติพันธุ์เป็นส่วนหนึงของการอภิปราย "ชนชั้นสูง" อาจถูกนำเสนอเป็น "ผู้ทรยศต่อชาติพันธุ์"อีกด้วย

            Genaral will เจตจำนงค์พื้นฐาน

            เจตจำนงค์ทั่วไปจากคำปราศรัยของ ซาเวซ ในปี 2007 เมื่อเขากล่าวว่า "บุคคลทุกคนอยุ่ภายใต้ข้อผิดพลากและการล่อลวง แต่ไม่ใช่ประชาชน ซึ่งมีความสำนึกในความดีของตนเองในระดับสุงและระดับคามเป็นอิสระของตนเอง ด้วยเหตุนี้ การตัดสินใจจึงบริสุทธิ์ เจตจำนงจึงเข้มแข็ง และไม่มีใครสามารถทุจริตหรือคุกคามมันได้ สำหรับนักประชานิยม เจตจำนงทั่วไปของ "ประชาชน" เป็นสิ่งที่ควรมีความสำคัญเหนือกว่าวความต้องการของ "ชนชั้นสูง" 

           แนวคิดประชานิยมเกี่ยวกับเจตจำนงทั่วไปนั้นเชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่องเสียงข้ามากและความแ้จริง


โดยเน้นย้ำว่านักประชานิยมดึงดูดอุดมคติของ "ความแท้จริงและความธรรมดา" อย่างไร เขาสังเกตว่าสิ่งที่สำคัีญที่สุดสำหรับนักประชานิยมคือ "การดึงดูดความคิดเกี่ยวกับประชาชนที่แท้จริง" และปลูกฝังความคิดที่ว่าพวกเขาเป็นตัวแทน "ที่แท้จริง" ของ "ประชาชน" และระยะห่างจาก "ชนชั้นสุง" มีผุ้ตั้งข้อสังเกตุว่า ในขณะที่นักประชานิยมมักจะใช้วาทกรรมที่เป็นประชาธิปไตย พวกเขามักจะละเลยหรือลดคุรค่าของพรรทัดฐานของประชาธิปไตยเสรีนิยม เช่น เสรรีภาพในการพูด เสรีภาพชของสือ เสรีภาพของฝ่ายค้านที่ถุกต้อง การแบ่งแยกอำนาจ และการจำกัดอำนาจของประธานาธิบดี

         ในการเน้นย้ำถึงเจตจำนงทัวไป นักประชานิยมหลายคนเห็นด้วยกับการวิจารณืรัฐบาลประาธิปไตยแบบมีตัวแทนซึงเคยได้รับการสนับสนุนดดยนักปรชญาชาวฝรั่งเศส แนวทางนี้ถือว่าการปกครองแบบมีตัวแทนเป็นระบบของชนชั้นสุงและชนช้นสุงซึ่งพลเมืองของประเทสถุกมองว่าเป็นหน่วนที่ไม่ทำอะไรเลย แทนที่จะเลือกฎหมายสำหรับตนเอง พลเมืองเหล่านี้จะถูกระดมพลเพื่อการเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งทางเลือกเดียวของพวกเขาคือการเลือกตัวแทนของพวกเขา แทนที่จะมีบทบาทโดยตรงมากขึ้นในการออกกฎหมายและการปกครอง นักประชานิยมมักสนับสนุนการใช้ มาตรการ ประชาธิปไตยตรงเช่น การลงประชามติ "อาจโต้แย้งได้ว่ามีความสัมพันธ์ในการเลือตั้งระหว่างลัทะิประชานิยมและประชาธิปไตยโดยตรง" แม้ว่า "การสนับสนุนประชาธิปไตยโดยตรงไม่ใช่คุณลักษณะที่จำเป็นของลัทธิประชนิยม" แนวคิดประชานิยมเกี่ยวกับ "เจตจำนงค์ทั่วไป" และความเชื่อโยงกับผุ้นำประชนิยมนั้น มักจะอิงตามแนวคิดเรื่อง "สามัญสำนึก" (ในช่วงศตวรรษที่ 18 คำศัพท์ทางปรัชญาเก่าแก่นี้ได้รับความหายในภาษาอังกฤษสมัยใหม่เป็นครคั้งแรกว่า "ความจริงที่ชัดเจนและชัดเจนหรือภูมิปัญญาแบบเดิมที่ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเพื่อเข้าใจและไม่จำเป็นต้องพิสุจน์เพื่อยอมรับ เพราะสิงเหล่านี้สอดคล้องกับความสามารถทางปัญญาพื้นฐาน(สามัญสำนึก)และประสบการณ์ของสังคมดดยรวมเป็นอย่างดี")

            Mobilisation การชุมนุม

            รูปแบบการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่นักประชานิยมใช้มีอยุ่สามรูปแบบ ได้แก่ ผุ้นำของนักประชานิยม พรรคการเมืองของนักประชานิยม และขบวนการทางสังคมของนักประชานิยม เหตุผลที่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งสนใจนักประชานิยมนั้นแตกต่างกันไป แต่ตัวเร่งปฏิกิริยาทั่วไปสำหรับการเพ่ิมขึ้นของนักประชนิยม ได้แก่ การตกต่ำทางเศราฐกิจอย่างรุนแรงหรือเรืองอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตอย่างเป็นระบบที่ทำลาย
พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้น  ตัวเร่งปฏิกิริยาอีกประการหนึ่งสำหรับการเติบโตของลัทธิประชานิยมคือการรับรุ้ที่แพร่หลายในหมุ่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งว่าระบบการเมืองไม่ตอบสนองต่อพวกเขา สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้เมื่อรับบาลที่ได้รับการเลือกต้งเสนอนดยบายที่ไม่เป็นที่นิยมในหมุ่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งของตน แต่ได้รับการนำไปปฏิบัติเพราะถือวานโยบายที่ไม่เป็นที่นิยมในหมุ่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งของตน แต่ได้รับการนำไปปฏิบัติเพราะถือว่านโยบายเหล่านั้น "มีความรับผิดชอบ" หรือถุกกำหนดโดยองค์กรเหนือชาติ

           Leader ผุ้นำ

           ลัทธิประชานิยมมักเกี่ยวข้องกับผุ้นำที่มีเสน่ห์และมีอำนาจเหนือกว่า และผุ้นำลัทธิประชนิยมคือ "รูป
แบบการชุนุมแลลลัทะิประชานิยมแบบสมบูรณืแบบ" บุคคลเหล่านี้หาเสียงและดึงดุการสนับสนุนโดยอาศัยอารอุทธรณ์ส่วนตัว จากนัน ผุ้สนับสนุนของพวกเขาจะพัฒนาความสัมพันธ์ส่วนตัวที่รับรุ้ได้กับผุ้นำสำหรับผุ้นำเหล่านี้ วาทกรรมของลัทะิประชานิยมทำให้พวกเขาอ้างได้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์โดยตรงกับ "ประชาชน" และในหลายๆ กรณี พวกเขาอ้างว่าตนเองเป็นตัวแทนของ "ประชาชนไ เอง โดยนำเสนอตัวเองว่าเป็น "เสียงของประชาชน" ผุ้นำประชานิยมสามารถแสดงตนเป็นผุ้กอบกู้ประชาชนได้เนื่องจากความสามารถและวิสัยทัศน์อันโดดเด่นของพวกเขา และด้วยการกระทำดังกล่าว ผุ้นำเหล่านี้จึงสามารถอ้างได้ว่าเสียสละตนเองเพื่อประโยชน์ของประชาชน เนื่องจากความภักดีต่อผุ้นำประชานิยมจึงถือเป็นตัวแทนของความภักดีต่อประชาชน ดังนั้น ผุ้ต่อต้านผุ้นำจึงสามารถถูกตราหน้าว่าเป็น "ศัตรูของประชาชน" ได้ ผุ้นำประชานิยมส่วนใหญ่ เป็นผุ้ชาย แม้ว่าจะมีผุ้หญิงหลายคนดำรงตำแหน่งนี้ ผุ้นำประชานิยมหญิงเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้ตำแหน่งอาวุโสจาการมีสายสัมพันะ์กับผุ้ชายที่เคยมีอำนาจเหนือกว่า 

            Rhetorical styles รูปแบบการพูด

            มีผุ้ตั้งข้อสังเกตว่า นักประชนิยมมักใช้ "ภาษาที่มีสีสันและไม่ใช่การทูตไ เพื่อแยกตัวเองออกจากชนชั้นปกครอง ในแอฟริกา ผุ้นำประชนิยมหลายคนโดดเด่นด้วยการพูดภาษาพื้นเมืองแทนที่จะเป็นภาษาฝรั่งเศสหรืออังกฤษ ผุ้นำประชนิยมมักแสดงตนว่าเป็นคนลงมือทำมากว่าจะพูด โดยพูดถึงความจำเป็นของ "การกระทำที่กล้าหาญ" และ "วิธีการแก้ปัญหาตามสามัญสำนึก" สำหรับปัญหาที่พวกเขาเรียกว่า "วิกฤต ผุ้นำประชานิยมชายมักแสดงออกโดยใช้ภาษที่เรียบง่ายและบางครั้งก็หยาบคารย เพื่อพยายามแสดงตนว่าเป็น "คนธรรมดา" หรือ "หนึ่งในเด็กผู้ชายไ เพื่เพ่ิมเสน่ห์แบบประชานิยม

           ผุ้นำประชนิยมมักจะแสดงตนเป็นคนนอกที่แยกตัวจาก "ชนชั้นสูง" ผุ้นำประชนิยมหญิงบางครั้งอ้างถึงเพศของตนเองเพื่อแยดตัวออกจาก "ชมรมชายชรา" ที่มีอำนาจเหนือกว่าในขณะที่ในละตินอเมริกา นักประชานิยมจำนวนหจนึ่ง เน้นย้ำถึงภูมิหลังทางชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่คนขาวของตนเพื่อแยกตัวออกจากชนชั้นสูงที่คนขาวครอบงำ นักประชนิยมคนอื่นๆ ใช้เสื้อผ้าเพื่อแยกพวกเขาออกจากกัน

             ที่มา : วิกิพีเดีย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Midwest

            "มิดเวสต์" เป็นหนึ่งในสี่ภูมิภาคสำมะโนประชากรของสำนักงานสำมะโนประชากรแห่งสหรัฐอเมริกาเรียก ภุมิภาคนี้ว่า ภุมิภาคตอนกลา...