วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Assassination

            การลอบสังหาร การสังหารบุคคลสาะารณะ โดยทั่วไปแล้วคำนี้หมายถึงการสั้งหารผุ้นำรัฐบาล
และบุคคลสำคัญอื่นๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง เช่นการยึดอำนาจ การก่อการปฏิวัติ การดึงความสนใจไปที่สาเหตุ การแก้แค้น หรือการบ่อนทำลายระบอบการปกครองหรือผุ้วิพากษ์วิจารณ์ การสังหารโดยมีแรงจูงใจทางการเมืองดัลกล่าวเกิดขึ้นในทุกสวนของโลกและในทุกช่วงของประวัติศาสตร์

           คำว่า "การลอบสังหารมาจากคำว่า "นิชารี อิสมาอิลียะห์ไ ขบวนการทางศาสนาและการเมืองที่เกิดขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 11-13 ในกลุ่มอสิมาอิลียะห์ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ ซึ่งเป็นขบวนการทางศาสนาและการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 11 ชาว นิชารี ซึ่งมีฐานอำนาจอยุ่ในเทือกเขา เอลบัรซ์ซึ่งปัจจุบันอยุ่ในบริเวณทางตอนเหนือของอิหหร่รานขาดกำลังทหารที่จะเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามในภูมิภาค เขาใช้วิธีการแทรกซึมเพื่อโจมตีบุคคลสำคัญทางทหารและการเมืองภายในจัรวรรดิทั้งสอง

         นักรบครูเสด ชาวยุโรปได้ยินและตีความตำแหน่งเหียวกับชาวนิซารีในยุคแรกอย่างผิดๆ แล้วนำเรื่องราวเหล่านี้กลับไปยังบ้านเกิดของพวกขา ความเข้าใจผิดสอบประการนี้ ซึ่งน่าจะมีต้นต่อมาจากศัตรูของชาวนิซารี คือ ชาวนิซารีเป็นพวกคลั้งไคล์ภายใต้การปกครองของ "ชายชราแห่งภูเขา" ผุ้ลักลับและพวกเขาใช้กัญชาเพื่อสร้างภาพนิมิตแห่งสวรรค์ก่อนจะออกเดินทางไปสุ่การพลีชีพ คำว่า hashishi ในภาษาอาหรับ ("ผุ้บริโภคกัญชา) ซึ่งเป็นคำ ที่ใช้ในการดูถูกเหยียดหยาม ชาวนิซารีกลายเป็นรากศัพท์ของคำ่า่มือสังหารในภาษาอังกฤษและคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันในภาษาอื่นๆ ของยุูโรป นักฆ่าได้รับความหมายว่าเป็นนักห่าที่ไม่ลดละ

เป้าหมายการลอบสังหาร หัวหน้ารัฐบาล เชน ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีและพระมหากษัตริย์ มักตกเป็นเป้าหมายของการลอบสังหาร ประธานาะิบดี สหรัฐฯ 4 คน ถูกลอบสังหาร และ 12 คนตกเป็นเป้าหมายของการลอบสังหารที่ไม่ประสบความสำเร็จ

          ในปี 1914 การลอยสังหารอาร์ชดยุค ฟรันซ์ เฟอร์ดิมานด์ รัชทายาทแห่งออสเตรีย-ฮังการี ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ภายหลังการลอบสังหารไม่กี่สัปดาห์

        เหยือการ่ลอบสังหารในศตวรรษที่ 20 กว่ายี่สิบคนทั่วโลก เหยื่อสังหารได้แก่ รัฐมนตรี สมาชิกสภานิติยัญญัติ ผุ้พิพากษา และเจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ สมาชิกของกองทหารหรือตำรวจ สมชิกของพรรคการเมืองและกลุ่มการเมือล และผุ้นำทางศาสนา และผุ้มีชื่อเสียงของขบวนการทางสังคมและการเมือง 

         แม้ว่าการฆาตกรรมจะถูกใช้น้อยลงในฐานะเครื่องมือทางการเมืองในศตวรรษที่ 21 แต่ก็ยังมีเหตุการณ์ที่มีความหมายบางประการ เช่น ในปี 2003 นายกรัฐมนตรีเซอร์เบีย ถูกสังหารโดยมือปืนที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอาชญากร และระบอบการปกครองของอดีตรัฐมนตรีของเลบบานอน "ราวิค อัล ฮารีรี่" ถูกสังหารด้วยระเบิดรถยนตืใสนปี 2005 เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าซีเรีย มีความรับผิดชอบต่อการบอลสังหาร ฮารีรี่ และในความไม่สงบที่เกิดขึ้้ตามมากองทหารซีเรียถูกบังคับให้ยุติการยึดครองเลบานอนที่กิเวบานานเกือบสามทศวรรษ, เบนาซิร บุโต อดีตนายกรัฐมนตรีของประกีสถาน ถุกสังหารในเหตุระเบิดฆ่าตัวตายปี  2007, ประธานาธิบดีเฮติ "โจวีนีล มอยซ์ ถูกยิงเสียชีวิตที่บ้านของเขา 2021 โดยทหารรับจ้าง โคลอมเบีย กรกฎาคม 2022 อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ ถูกยิงเสียชีวิตในงานหาเสียงของนักการเมืองพรรคเสรีนิยมประชาธิปไตย เช่นกัน

        ฝ่ายตรงข้ามของประธานาะิบดี "วลาติมีร์ ปูตินแห่ง รัสเซีย ตกเป็นเหยื่อของการลอบสังหารบ่อยครั้ง
ในปี 2006 นักข่าวสืบสวนสองสวน แอนนา โพลิคอฟสกายา ถูกยิงเสียชีวิตในอาคารอพาร์ตเมนต์ของเธอในมอสโกว เธอเป็นหนึ่งในนักข่าวกว่าสองโหลที่ถูกลอบสังหารในช่วงที่ปูตินดำรงตำแหน่ง ผุ้เสียชีวิตเกือบหนึ่งในสี่มาจาหนังสือพิมพ์อิสระ Novaya Gazeta ในปี 2021 ดมิทรี มุราดอฟ บรรณธิการบริหารหนังสือพิมพ์ดังกล่าว ได้รับรางวัง โนเบลสาขาสันติภาพ สำหรับ "ความพยายามในการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก"  นักการเมืองฝ่ายค้าน บอริส เนมต์ซอฟ ถุกยิงเสียชีวิตในจุดที่เครมลินมองเห็น ในปี 2015 และ อเล็กเซย์ นาวัลนี นักรณรงค์ต่อต้านการทุจริตถุกวางยาพิษ ปี 2020 ด้วย โนวิช็อก ซึ่งเป็นสารพิษที่โซเวียตคิดค้นขึ้น นาวัลนี ป่วยหนักและต้องใจ้เวบาหนึ่งเดือนในการพักฟื้นที่เยอรมัน แต่ถูกจำคุกทันทีเมือกลับถึงรัสเซีย นอกจากนักข่าวและผุ้นำฝ่ายค้านแล้ว เจ้าหน้าที่ข่าวกรองรัสเซียที่แปรพักตร์ไปอยู่กับตะวันตกก็ตกเป็นเป้าหมายด้วยเช่นกัน อดีต เจ้าหน้าที่ หน่วยข่าวกรองของรัฐบาลกลาง อเล็กซานเดอร์ ลิทวิเนนโก ถูกวางยาพิษโพโลเนียม-210 จะเสียชีวิต ในปี 2006 ขณะกำลังดื่มชาในดรงแรมในลอนดอน และอดีตเจ้าหน้าที่ หน่วยข่าวกรองทหารรัสเซียเชอร์เกย์ สคริปาล ถุกวางยาพิษ 2018 พร้อมกับลุกสาวของเขาในการโจมตีด้วย โนวิช็อก ที่เมือง ซอลส์บรี ประเทศอังกฤษแม้ว่าครอบครัวเขาจะฟื้นตัวได้ในที่สุด แต่หญิงชาวอังกฤษซึ่งสัมผัสกับภาชนะที่ใช้ขนส่งก็ล้มป่วยและเสียชีวิต 

แรงจูงใจในการลอบสังหารนั้นแตกต่างกันไป (และมักจะซับซ้อนและหลากหลาย) ในบางกรณี นักฆ๋าต้องการบัคับให้เกิดการเแลี่ยนแปลงในความเป็นผุ้นำหรือรุปแบบของรัฐบาล การลอบสังหารดังกล่าวมักเกิดขึ้นระกว่างการ รัฐประหารทางทหาร เช่นกรณีการโค่นล้มประานาธิบดี โง ดินห์ เดียม ในเวียดนามใต้ ปี 1963 และ โทมัส ซังการา ในบูร์กินาฟาโซปี 1987 นักฆ่าอาจต้องการอำนาจ หรือกาจมุ่งไปที่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในลักษณะที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคม (หรือทั้งสองอย่างป ในบางครัง ชาวกรีก และดรมันโบราณ ใช้การสังหารทรราชหรือการสังหารทรราชหรือเผด็จการเพื่อประโยชน์สาธารณะ 

          การสังหารอีกประเภหนึ่ง มักเรียกว่า "การโฆษณาชวนเชื่อโดยการกระทำ" ออกแบบมาเพื่อสร้างกระแสให้กับดลกทัศน์นักอนาธิปไตยบางคน ในศตวรรษทีี 19 เป็นผุ้สนบสนุนการฆาตกรรมเชิงสัญลักษณ์


ดังกล่าวซึ่งพวกเขาหวังว่่าจะแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของรัฐบาลและสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการกบฎ นักอนาธิปไตยสังหารผุ้ปกครองหลายคนในยุดรปในช่วงปลายศตวรรษทีี 19 (รวมทั้งในอิตาลี สเปน และฝรั่งเศส) ช่นเดียวกับประธานาะิบดี วิลเลียมแม็กคินลีย์แห่งสหรัฐอเมริกาสในปี 1901 องค์กร ก่อการร้ายและกึ่งทหารจำนวนหนึ่งใช้การลอบสังหารผเช่นเดียวกับการสังหาพลเมืองทั่วไป) เพื่อวัตถุประสงค์ในการโฆษณาชวนเชื่อ ในศตวรรษที่ 20 องค์กรดังกล่าวรวมถึงกองทัพแดงในเยอมันกองพลแดงในอิตาลี กองทัพสาะารณรัฐไอร์แลนด์ในไอร์แลนด์เหนือกุ่มแบงแยกดินแดนบาสก์ ในสเปน และกลุ่มกองดจรและหน่วยกึ่งทหารในหลายส่วนของโลก

       
 รัฐบาบเองก็ใช้การลอบสังหารเป็นอาวุธต่อต้านคู่แข่ง ผุ้เห็นต่าง และภัยคุกคามอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น ในหมู่พลเมืองของตนเองและของประเทศอื่นๆ ตัวอย่างที่โดดเด่น ของการปฏิบัติการคือ ปฏิบัติการ Wrath of God ซึ่งเป็นการลอบสังหารของอิสราเอลที่มุ่งแก้แค้นการลักพาตัวและสังหารนักกีฆาอิสราเอล 11 คน ดดยนักรบปาเลสไตน์ในปี 1972 ที่การแข่งขันกีฆาโอลิมปิกที่มิวนิกในบางกรณี นักฆ่าพยายามแก้แค้นการกระทผิดที่เกิดขึ้นจริงหรือที่คิดไปเอง การลอบสังหารประธานาธิบดี เจมส์ เอ. การ์ฟิลด์ แห่งสหรัฐอเมริกา ในปี 1881 เป็นตัวอย่างทั่วไปของการลอบสังหารเพื่อแก้แค้น การ์ฟิลด์ถุกชาร์ลส์ กีโด ผุ้แสวงหาตำแหน่งที่ขัดขวางไม่ให้เข้าดำรงตำแหน่ง ซึค่งเชื่อว่าเขาไปม่ได้รับคำตอบแทนทางการเมืองที่สมควรได้รับอย่างไม่ถูกต้อง การลอบสังหารประธานธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นแห่งสหรัฐอเมริกาในปี 1865 เป็นอีกตัวอย่างของการลอบสังหารเพื่อแก้แค้น นักฆ่าซึ่งเป็นผุ้สนับสนุนการมีทาสอย่างคลั่งไคล้ชื่อ จอห์น วิลค์ส บุธ พยายามแก้แค้นให้กับความพ่ายแพ้ของสมาพันธรัฐ ในสงครามกลางเมืองอเมริกา

        แรงจูงใจในการลอบสังหารไม่ชัดเจนเสมอไป ความไม่แน่นอนได้เกิดขึ้นรอบ ๆ สภานการณ์การลอบสังหารประะานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดีแหงสหรัฐอเมริกาในปี 1963 เป็นต้น คณะกรรมาะิการวาร์เรน ได้ค้นพบอย่างเป็นทางการวา่มือปืนคนเดียวชื่อ ลี อาร์วีย์ ออสวอลด์ สังหารเคนเนดี้ด้วยแรงจูงใจส่วนตัวบางอย่างที่ยังไม่ได้เปิดเผย อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีสมคบคิด จำนวนมาก กล่าวหาว่าออสวอลด์เป็นส่วนหนึ่งของแผนการบางอยางที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผย...https://www.britannica.com/topic/assassination

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Electoral System

            ระบบการเลือกต้้งหรือระบบการลงคะแนนเสียงเป็นชุดกฎที่กำหนดว่าการเลือกตั้งแลการลงประชา
มติจะำเนินไปอย่างไรและผลการลงคะแนนเสียงจะเป็นอย่างไร ระบบการเลือกต้้งสใช้ในทางการเมืองเพื่อเลือกรัฐบาล ในขณะที่การเลือกตั้งที่ไม่ใช่ทางการเมืองอาจเกิดขึ้ในะุรกิจองค์กรไม่แสวงหากำไรและองคกรทีไม่เป็นทางการกฎเหล่านี้ควบคุมทุ่กแง่มุมของกระบวนการลงคะแนนเสียง  และปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ ระบบการเลือกตั้งากงารเมืองถุกกำหนดโดยรัฐะรรมนูญและกฎมหายการเลือกตั้ง โดยทั่วไปดำินินการโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และสามารถใช้การเลือตตั้งประเภทต่างสำไรับตำแหน่งต่างๆ ได้

          ระบบเลือกตั้งบางะรบบจะเลือกผุ้ชนะเพียงคนเดียวให้ดำรงตำแหน่งพิเศษ เช่น นายกรัฐมนตรี ประานาธิบดี หรือผุ้ว่าการรัฐ ในขณะที่ระบบอื่น จะเลือกผุ้ชนะหลายคน เช่น สมาชิกรัฐสภาหรือคณะกรรมการบริหาร เมืองเลิกสภาพนิติบัญญัติพื้นที่อาจถุกแบ่งออกป็นเขตเลือกตั้งทีมีตัวแทนหนึ่งคนหรือมากกว่านั้น หรือผุ้มีสิทธิเลือกตั้งอาเลือกตัวแทนเป็นหน่วยเดียว ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งอาจลงคะแนนโดยตรงให้กับผุ้สมัครแต่ละคนหรือให้กับรายชื่อผุ้สมัครที่พรรคการเมืองหรือพันธมิตรเสนอชื่อระบบการเลือกตั้งมีหลายรูปแบบโดยรูปแบบที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ ระบบการเป็นตัวแทนตามสัดส่วนแบบบัญชีรายชือพรรค การลงคะแนนเสียงแบบ คะแนนเสียงข้างมาก การลงคะแนนเสยง แบบสองรอบ(การลงคะแนนเสียงรอบสุดท้ายป และการลงคะแนนเสียงแบบจัดอันดับ(STV หรือการลงคะแนนเสียงรอบสุดท้ายทันจที) ระบบแบบผสมและระบการเลือกตั้งอื่นๆ พยายามที่จะรวมข้อดีของระบบที่ไม่เป็นสัดส่วนและระบบตามสัดส่วนเข้าด้วยกัน

         สหรัฐอเมริการมีระบบการปกครองแบบประธานาธิบดี ซึ่งหมายคึวามว่าฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญัติได้รับการเลือกตั้งแกจากกัน มาตรา II ของรัฐธรมนูญสหรัญฯกำหนให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยคณะผ้เลือกต้องเกิดขึ้นในวันเดียวกันทั่วทั้งประเทศมาตรา I กำหนดว่าการเลือกตึ้งตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาสามารถจัดขึ้นในเวลาต่างกันได้การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาและประธานาธิบดีจะจัดขึันพร้อมกันทุกๆ สี่ปี และการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาระหว่างนั้นซึ่งจัดขึ้นทุกๆ สองปี เรียกว่าการเลือกตั้งกลางเทอม

        รัฐธรรมนูญระบุว่าสมาชิกสภาผุ้แทรราษำรของสหรัฐอเมริกาต้องมีอายุอย่างน้อย 25 ปี เป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกามาแล้วอย่างน้อย 7 ปี และเป็นอยุ่อาศัย(ถูกกฎหมาย) ในรัฐที่ตนเป็นตัวแทนวุฒิสมาชิกต้องมีอายุอย่างน้อย 30 ปี เป็นพลเมืองของสหรัฐที่ตนเป็นตัวแทน ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีต้องมีอายุอยางน้อย 35 ปี เป็นพลเมืองโดยกำเนิดของสหรัฐอเมริกา และเป็นผุ้อยุ่อาศัยในสหรัฐอเมริกามา


แล้ว14 ปี เป็นความรับผิดชอบของสภานิติบัญญัติของรัฐในการควบคุมคุณสมบัติของผุ้สมัครที่ปรากฎบนบัตรลงคะแนน แม้ว่าเพื่อที่จะได้ลงบัตรลงคะแนน ผุ้สมัครมักจะต้องรวบรวมลายเซ็นให้ได้จำนวนที่กำหนดตามกฎหมายหรือปฏิบัติตามข้อกำหนดเฉพาะของรัฐอื่นๆ 

          การเลือกตั้งประธานาธิบดี

          ประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีได้รับเลือกพร้อมกันในการเลือกตั้งประธานาะิบดีเป้นการเลือกตั้งทางอ้อม โดยผุ้ชนะจะถูกกำหนดโดยคะแนนเสียงที่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งจากคณะผุ้เลือกตั้งมอบให้ ในยุคปัจจุบัน ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละรัฐจะเลือกกลุ่มผุ้มีสิทะิเลือกตั้งจากรายชื่อกลุ่มผุ้มีสิทธิเลือกตั้งหลายกลุ่มที่กำหนดดดยพรรคการเมืองหรือผุ้สมัครที่แตกต่างกัน และผุ้มีสิทธิเลือกตั้งมักจะสัญญาล่วงหน้าวาจะลงคะแนนเสียงให้กับผุ้สมัครของพรรคของตน (ซึ่งโดยปกติชื่อของผุ้สมัครชิงตำแหน่งประถธานาธิบดีจะปรากฎบนบัตรลงคะแนนมากกวา่ชื่อผุ้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคน) ผุ้ชนะการเลือกตั้งคือผุ้สมัครที่มีคะแนนเสียงคณะผุ้เลือกต้งอยางน้อย 270 คะแนน ผุ้สมัครอาจชนะคะแนนเสียงเลือกตั้งและแพ้คะแนนนิยม(ทั่วประเทศ) (ได้รับคะแนนเสียงน้อยกวาผุ้สมัครอันดับสองทั่วประเทศ) เหตุการณืนี้เกิดขึ้น ห้าครั้งในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะมีการให้สัตยาบัน (การแก้ไขเพ่ิมเติมครั้งที่ 12 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ) ผู้ที่ได้ตำแหน่งรองประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปรธานาธิบดี ได้กลายมาเป็นรองประธานาธิบดี

            คะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้งจะมาจากแต่ละรัฐโดยกลุ่มผุ้เลือกตัง ดดยผุ้เลือกตั้งแต่ละคนจะลงะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้งหนึ่งเสียง จนกระทั่งมีการแก้ไขเพื่มเติมรัฐะรรมนูญสหรัฐฯครั้งที่ 23 พลเมืองจากเขาโคลัมเบียไม่มีตัวแทนและ/หรือผุ้เลือกตั้งในคณะผุ้เลือกตั้ง ในยุคปัจจุบัน ผุ้เลือกต้งมักจะมุ่งเน้นที่จะลงคะแนนเสียงให้กับผุ้สมัครจากพรรคการเมืองล่วงหน้า ผุ้เลือกตั้งที่ลงคะแนนเสียงไม่เห็นด้วยกับคะแนนนิยมในรัฐของตนจะถูกเรียกว่าผุ้เลือกตั้งที่ไม่ซื่อสัตย์และเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นน้อยมาก กฎหมายของรับควบคุมวิะีที่รัฐต่างๆ ลงคะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้ง ใสนรัฐทั้งหมดยกเว้นเมนและเนเบรสกา ผุ้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดในรัฐจะไดรับคะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้งทั้งหมาด(ระบบ"ผู้ชนะได้ทั้งหมด") ตั้งแตปี 1972 ในรัฐเมน และตั้งแต่ปี 1996 ในรัฐเนแรสกา คะแนนเสียงเลือกต้งสองคะแนนจะมองให้กับผุ้ชนะการเลือตั้งระดับรัฐ และคะแนนที่เหลือ (สองคะแนนในรัฐเมน และสามคะแนนในรัฐเนเบรสกา) มอบให้กับผุ้ชนะคะแนนเสียงสูงสุดในแต่ละเขตเลือกตั้งของรัฐ

            การเลือกตั้งวุฒิสภา

            วุฒิสภาแระกอบด้วยสมาชิก 100 คน ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง 6 ปี ในเขตเลือกตั้งที่ มีที่นั่ง 2 ที่
นั่ง (รัฐละ2 ที่นั่ง) โดยหนึ่งในสามจะได้รับการต่ออายุทุกๆ สองปี กลุ่มที่นั่งในวุฒิสภาที่ขึ้นสู่การเลือกตั้งในแต่ละปีเรียกว่า "คลาส" โดยทั่งสามคลาสจะสลับกันเพื่อให้มีการต่ออายุเพียงกลุ่มเดียวจากสามกลุ่มทุกๆ สองปี จนกระทั่งการแก้ไขเพิ่มเติม รัฐะรมนูญสหรัฐอเมริกาครั้งที่ 17 ในปี 1913 รัฐต่างๆ เป็นผุ้เลือกวิธีเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา และมักได้รับเลือกโดยสภานิติบัญญัติของรัฐ ไม่ใช้ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งของรัฐ

           สภาผุ้แทนราษำรมีสมาชิก 435 ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง 2 ปี ในเขตเลือกตั้ง ที่มีที่นั่งเดียวการเลือกตั้งสภาผุ่้แทนราษฎรจัดขึ้นุกๆ สองปี ในวันอังคารแรกหลังวันที่ 1 พฤศจิกายนในปี คู่ การเลือกตั้งสภาผุ้แทรราษฎรพิเศษสามารถเกิดขึ้นได้หากสมาชิกเสียชีวิตหรือลาออกระหว่าดำรงตำแหน่ง การเลือกตั้งสภาผุ้แทรราษฎรเป็นการเลือกตั้ง แบบคะแนนเสียงข้างมาก ซึ่งเลือกผุ้แทนจากเขตเลือกตั้งของสภาผุ้แทนราษฎร 435 เขตที่่ครอบคลุมสหรัฐอเมริกาผุ้แทนที่ไม่มีสิทธิออกเสียง เลือกตั้งจากวอชิงตัน ดี.ซี. และดินแดนของอเมริกันซาัว กวม หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียน เปอร์โตริโก และหมุ่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา ก็ได้รับการเลือกตั้งเช่นกัน

          การเลือกตั้งสภาผู้แทนราษำรจะเกิดขึ้นทุกๆ สองปี โดยสอดคล้องกับการเลือกตั้งปรธานาะิบดีหรือในขช่วงกลางวาระของประธานาธิบดีผุ้แทนสภาผุ้แทนราษฎรของเปอร์โตริโก ซึ่งเรียกอย่างเป็นทางการว่ากรรมาธิการประจำเปอร์โตริโกจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสี่ปี  ซึ่งตรงกับวาระของประธานาธิบดี

          เนื่องจากคณะกรรมการแบ่งเตเลือกตั้งของรัฐต่างๆ มักมีการแบ่งเขตเลือกตั้ตามพรรคการเมือง จึงมักมีการแบ่งเขตเลือกตั้งเพื่อให้ผุ้ดำรงตำแหน่งได้รับประโยชน์ แนวโน้มที่เพ่ิมขึ้นคือผุ้ดำรงตำแหน่งจะได้เปรียบอยางท่วมท้นในการเลือกต้งสภาผุ้แทนราษฎร และตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 1994 เป็นต้นมา จำนวนที่นั่งที่เปลี่ยนมือไปในแต่ละการเลือกตั้งมีจำนวนน้อยผิดปกติ เนืองจากการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบไม่เป็นธรรม ทำให้ที่นั่งในสภาผุ้แทนราษฎรไม่ถึง 10% ของที่นั่งทั้งหมดในแต่ละรอบการเือกต้ง สมาชิกสภาผุ้แทนราษฎรมากว่า 90% ได้รับการเลือกตั้งใหม่ทุกสองปี เนือ่งจากไม่มีการแข่งขันในการเลือกตั้ง การแบ่งเขตเลือกตังแบบไม่เป็นธรรมในสภาผุ้แทนราษฎร ร่วมกับข้อบกพร่องทั่วไปของ ระบบการลงคะแนนเสียง


แบบคะแนนเสียงข้างมากและการแบ่งแยกที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติในวุฒิสภและคณะผุ้เชือกตัง ส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างเปอร์เซ็นต์การสนับสนุนจากประชาชนต่อพรรคการเมืองต่างๆ กับระดับการเป็นตวแทนของพรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพบว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบไม่เป็นธรรมเป็นประโยชน์ต่อพรรครีพับลิกันมากกวาพรรคเดโมแครต

        การเลือกตั้งระดับรัฐ 

        กำหมายของรัฐและรัฐธรรมนูญซึ่งควบคุมโดยสภานิติบัญัติของรัฐจะควบคุมการเลือกตั้งในระดับรัฐและระดับท้องถ่ิน เจ้าหน้าที่ต่างๆ ในระดับรัฐได้รับการเลือกตั้งเนื่องจากการแบ่งแยกอำนาจมีผลใช้กับรัฐและรัฐบาลกลาง สภานิติบัญญัติของรัฐและฝ่ายบริหาร(ผุ้ว่าการรัฐ) จึงได้รับการเลือกตั้งแยกกันผุ้ว่าการรัฐ และรองผุ้ว่าการรัฐได้รับการเลือกตั้งในทุกๆ รัฐ ในบางรัฐ จะได้รับการเลือกตั้งแบบร่วมกัน และบางรัฐจะได้รับการเลือกตั้งแยกกัน บางแห่งจะได้รับการเลือกตั้งแยกกันในรอบการเลือกตั้ง ที่แตกต่างกัน ผุ้วา่ การรัฐในดินแดนอเมริกันซามัว กวม หมุ่เกาะนอร์เทิร์มาเรียนา เปอร์โตริโก และหมุ่เกาะเวอร์จินของสหรัฐฯ ก็ได้รับการเลือกตั้งเช่นกัน ในบางรัฐตำแหน่งผุ้บริหาร เช่นอัยการสูงสุดและเลขาะิการรัฐ ก็ไดัรบการเลือกตั้งเช่นกัน สมาชิก สภานิติบัญญัติของรับและสภานิติบัญญัติในเขตอำนาจศาลทั้งหมดได้รับการเลือกตั้ง ในบางรัฐ สมาชิกของศาลฎีกาของรัฐและสมาชิกคนอื่นๆ ของตุลาการของรัฐจะได้รับการเลือกตั้งข้อเสนอแก้ไขรัฐะรรมนูญของรับยังถุกนำไปลงคะแนนเสียงในบางรัฐด้วย 

         เพื่อความสำดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย การเลือกต้งสำหรับตำแหน่งระดับรัฐและระดับท้องถิ่นหลายแห่งจึงจัดขึ้นในเวลาเดีวยกันกับการเลือกตั้งประธานาะิบดีระดับกลางหรือการเลือกต้งกลางเทอมอย่างไรก็ตาม มีรัฐจำนวนหนึ่งที่จัดการเลือกตั้งใน "ปีคี่" แทน

          การเลือกตั้งท้องถ่ิน

          ในระดับท้องถ่ิน ตำแหน่งในรัฐบาล ระดับเทศมณฑล และเมืองมักถุกเติมเต็มโดยการเลือกตั้ง ดดยเฉาพะอยางยิ่งภายในฝ่ายนิติบัญญัติขอบเขตของตำแหน่งในฝ่ายบริหารหรือฝ่ายตุลาการได้รับการเลือกตั้งแตกต่างกันไปในแต่ละเทศมณฑลหรือแต่ละเมือง ตัวอยางบางส่นขอตำแหน่งที่ได้รับการเลือกตั้งในระดับท้องถ่ิน ได้แก่ นายอำเภอในระดับเทศมณฑลนายกเทศมนตรีและสมาชิก ๕ณะกรรมการโรงเรียน ในระดับเมือง เช่นเดียวกับการเลือกตั้งระดับรัฐ การเลือกตั้งสำหรับตำแหน่งในท้องถ่ินเฉพาะอาจจัดขึ้นในเวลาเดียวกันกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี การเลือกตั้งกลางเทอม หรือการเลือกตั้งนอกปี

           การเลือกต้งชนเผ่า

           ตำแหน่งในรัฐบาลของชนเผ่า พื้นเมืองอเมริกันหลายตำแหน่งรวมถึงตำแหน่งบริหารและนิติบัญญํติ มักจะได้รับการเลือกตั้ง ในบางกรณ๊พลเมืองของชนเผ่าจะเลือกสมาชิกสภาซึ่งจะเลือกหัวหน้าฝ่ายบริหาร


จากในองค์กรของตน จำนวนตำแหน่งและตำแหน่งที่ใช้แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐบาลของชนเผ่า แต่ตำแหน่งทั่วไปสำหรัีบตำแหน่งหัวหร้าฝ่ายบริหารของรับบาลของชนเผ่า ได้แก่ ประธานาธิบิดีผุ้ว่าการ หัวหน้าใหญ่ ประธาน และหัวหน้าเผ่า การเลือกตั้งเหล่านี้อาจจัดขึ้นร่วมกับการเลือกตั้งระดับรัฐบาลกลาง ระดับรัฐ หรือระดับท้องถิ่น แต่บ่อยครั้งที่จัดขึ้นดดยอิสระภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานการเลือกตั้งของชนเผ่า

            ชาวอเมริกันลงคะแนนเสียงให้กับผุ้สมัครรายหนึ่งโดยเฉพาะแทนที่จะเลือกพรรคการเมืองดดพรรคการเมืองเหนึ่งโดยตรงรฐะรรมฯุญของสหรัฐอเมริกาไม่เคยกล่าวถึงประเด็นของพรรคการเืองอย่างเป็นทางการบรรพบุรุษผุ้ก่อตั้งประเทศเช่น อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตันและเจมส์ เมดิสัน ไม่สนับสนุนกลุ่มการเมืองในประเทศ ในช่วงเวลาที่ร่างรัฐะรรมนูญ นอกจากนี้ ประธานาะิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา จอร์จ วอชิงตัน ไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใด ในช่วงเวลาที่ไดรับการเลือกต้งหรือตลอดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนอกจานี้ เขายังหวังว่าจะไม่มีการจัดตั้ง พรรคการเมืองขึ้นเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความขัดแย้งและความซบเซา อย่างไรก็ตารม จุดเริ่มต้นของระบบสองพรรค ของอเมริกา เกิดขึ้นจากกลุ่ม ที่ปรึกษาใกล้ชิดของเขา โดยแฮมิลตันและเมดิสันกลายเป็นผุ้นำหลักในระบบพรรคการเมืองที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่นี้ เนื่องจากกฎของดูแวร์เจอรืระบบสองพรรคจึงดำเนินต่ไปหลังจากการก่อตั้งพรรคการเมือง ดดยยังคงใช้ระบบการเลือกตั้งแบบคะแนนเสียงข้างมาก (กฎของดูแวร์เจอร์ ระบุว่าในระบบการเมืองที่มีผุ้ชนะเพียงคนเดียว เช่นในอเมริกา มีแนวโน้มทีจะมีพรรคการเมืองหลักสองพรรคเกิดขั้นดดยที่พรรคการเืองรองมักจะแบ่งคะแนนเสียงออกจากพรรคการเมืองหลักทีมีความคล้ายคลึงกัมากที่สุด ในทางตรงกันข้าม ระบบที่มีการเลือกตั้งตามสัดส่วนมักจะมีตัวแทนของพรรคการเมืองรองในรัฐบาลมากกว่า)

           https://en.wikipedia.org/wiki/Duverger%27s_law

          https://en.wikipedia.org/wiki/Electoral_system



วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

The assassination attempt "Trump"


        ชัยชนะหลังจากความพยายามลอบสังหาร

         เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผุ้ได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาะิบดีอย่างเป็นทางการของพรรครีพัลลิกันในการประชุมใหญ่แห่งชาติของพรรคที่วิสคอนซิน 

           ตัวทรัมปืเองได้รับกำลังใจอย่าเต็มเปี่ยมจากผุ้เข้าร่วมและวิทยากรในเมืองมิวอกี ขณะที่เขากำลังฟื้นตัวจากความพยายามบอลสังหารที่การชุมนุมหาเสียงในวันเสาร์ ในขณะที่หน่วยงานหนึ่งของกระทรวงยุติธรรมยังคงดำเนินการสืบสวนแรงจูงใจของชายก่อเหตุ ในเช้าวันจันทร์ผุ้พิพกาษาของรัฐบาลกลางไดอ้ออกามาประการสิ่งที่น่าตกตะลึกอีกครังนั้นคือ ผุ้พิพากษา Aileen Cannon ได้ยกฟ้องคดีของรับบาลกลางทังหมดที่ฟ้องอดีตประธานาะิบดีเกี่ยวกับการจัดการกับเอกสารลับของเขา คำตัดสินของแคนนอนทำให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะทากฎหมายที่สำคัญในวันแรกของการประชุม RNC 

            ทรัมป์แสดงความยินดีกับการเคลื่อไหวดังกล่าวและเรียกอร้งให้ยกฟ้องคดีอาญาอีก 3 คดีที่ตนถุ
กดำเนินคดี

            การพยายามลอบสังหาร FBI ระบุวา ดทมัส แมทธิว ครุกส์ ชายที่ถูกกล่าวหาว่ยิงทรัมปื ในการชุมนุมทางการเมืองที่เมืองบัตเลอร์ รับเพนซิลเวเนีย เมื่อวันเสาร์ เช่อว่าลงมือเพียงลำพัง เจ้าหน้าที่เปิดเผยกับสื่อเมื่อสุดสัปดาหืนี้ว่า ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าครุกส์ก่อเหตุดังกล่าว

           ทรัมป์กล่าวว่า กระสุนปืนเจาะเข้าที่หูขวาส่วนบนของเขา มีผุ้เสียชีวิต 1 ราย ซึ่งระบุในวันอาทิตย์ว่าชื่อ คอรี คอมเพอราทอรี อายุ 50 ปี จากการโจมตีครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีผุ้ได้รับบาดเจ็บอีก 2 ราย ก่อนที่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองจะสังหารคุกส์

           
ผู้สืบสวนกล่าว่าพ่อของเขาซื้ออาวุธที่ใช้ในการโจมตี ซึ่งเป็นปืน ไรเฟิลแบบ AR556 และตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังพยายามหาคำตอบว่า ครุกส์ เข้าถึงอาวุธนั้นได้อยางไร 

           แหล่งข่าวใกล้ชิดกับการสอบสวนซึ่งได้ได้รับอนุญาจให้เปิดเผยต่อสาธารณะ กล่าวว่า ปืนกระบอกดับกล่าวซื้อมาเมือประมาณ 6 เดือนที่แล้ว นอกจากนี แหล่งข่าวยังยืนยันด้วยว่าพบอุปกร์ระเบิดที่อาจใช้งานได้อย่าง้อย 1 ชิ่้น ในรถของผุ้ต้องสงสัยที่เสียชีวิต
           โรเบิร์ต เวลส์ ผุ้ช่วยผุ้อำนวยการฝ่ายต่อต้านการก่อการร้ายของ เอฟบีไอ กล่าวเมือวันอาทิตย์ว่า สำนักงานกำลังสืบสวนเหตุการณ์นี้ในฐานะ "การก่อการร้ายภายในประเทศ"


                  ที่มา : https://www.npr.org/2024/07/14/nx-s1-5039185/who-was-alleged-trump-rally-shooter-thomas-matthew-crooks

Party Factions

      กลุ่มการเมืองคือกลุ่มบุคคลที่มี จุดมุ่งหมาย ทางการเมือง ร่วมกั้นโดยเฉพาะกฃุ่มยอ่ยของรรคการเมืองที่มีผลประดยชน์หรือความคิดเห็นที่แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ ความขัดแย้งภายในกลุ่มระหวางกลุ่มต่างๆ อาจนำไปสู่การแตกแยกของพรรคการเมืองออกเป็นสองพรรคการเมือง ระบบการเลือกตั้ง เลย์ เดอ เลมัสส์ เป็นรูปแบบการเลือกตัวแทนตามสัทดส่วนแบบรายชื่อเป็น ซึงใช้หรือเคยใช้้ในการเลือกตั้งในอาร์เจนติน่า อุรุกวัย และฮอนดูรัส อนุญาตให้ผู้ลงคะแนนเสียงระบุในบัตรลงคะแนนว่าตนชอบกลุ่มการเมืองใดภายในพรรคการเมืองหนึ่ง หลุ่มการเมืองสามารถเป็นตัวแทนของกลุ่มผุ้ลงคะแนนเสียงได้ 



           จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิดบีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ได้เตือนถึงกลุ่มการเมืองต่างๆ ในคำอำลาที่่โด่งดังของเขา

           " โดยไม่ต้องมองไปข้องกหน้าถึงความสุดโต่งในลักษณะนี้(ซึ่งอย่างไรก็ตามไม่ควรจะหลุดลอยไปจากสายตาโดยสิ้นเชิง) ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั่วไปและต่อเนื่องของจิตวิญญาณแห่งพรรคก็เพียงพอที่จะทไใ้เป็นผลประดยชน์และหน้าที่ของประชาชนผุ้ชาญฉลาดทีจะขัดขวางและยับยั้งมัน(การก่อตัวและการภักดีต่อผลประโยชน์ของพรรคการเมือง มากเกินไปต่อหลักการหรือประเทศของตน)

           กลุ่มต่างๆ ในพรรครีพับลิกัน (สหรัฐอเมริกา)

           ประกอบด้วยกลุ่มต่างๆ หลายกลุ่ม ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 อาทิ กลุ่มฮาล์ฟบรีด ซึ่งสนับสนุนการปฏิรูประบราชการ กลุ่มเรดิคัลรีพับลิกัน สนับสนุนการยกเลิกทาสทันที่และโดยสิ้นเชิง และต่อมาสนับสนุนสิทธิพลเมืองของทาสที่ได้รับอิสรภาพในยุคการฟื้นฟู และกลุ่มสตัลวาร์ด ซึ่งสนับสนุนการเมืองแบบเครื่องจักร

          ในศตวรรษที่ 20 ได้แก่ พรรครีพับลิกันสายก้าวหน้า พรรคร่วมรัฐบาลของเรแกน และ พรรครีพับลิกันสายเสรีนิยมของร็อกกี้เฟลเลอร์

          ศตวรรษที่ 21 กลุ่มรีพับลิกันประกอบด้วกกลุ่มอนุรัษ์นิยม (ซึ่งมีตัวแทนในสภาผุ้แทนราษฎร โดยคณะกรรมการศึกษาพรรครีพับลิกัน และกลุ่มเสรีภาพ) กลุ่มสายกลาง (ซึ่งมีตัวแทนในสภา ผุแทนราษฎร โดยกลุ่มการปกครอง พรรครีพับลิกัน กลุ่มถนนสายหลักของพรรคริพับฃิกัน และสมาชิกกลุ่มแก้ปัญหาพรรครีพับลิกัน) และกลุ่มเสรีนิยม (ซึ่งมีตัวแทนในรัฐสภา ดดยกลุ่มเสรีภาพรรครีพับลิกัน กลุ่มที่สนับสนุนทรัมป์ และต่อต้านทรัมป์ 

        กลุ่มต่างๆ ในพรรคเดโมแครต (สหรัฐอเมริกา)

        เป็นพรรคการเมืองที่ประกอบด้วยกลุ่มต่างๆ กลุ่มเสรีนิยมสนับสนุนเสรีนิยมใหม่ที่เร่ิมต้นด่้วยนโยบาย นิวดีล ในช่วงทศวรรษที่ 1930 และดำเนินต่อไปด้วยนโยบาย นิวฟรอนเทียร์ และเกรทโซไซตี้ในช่วงทศวรรษท 1960 กลุ่มสายกลางสนับสนุนการเมือง แนวที่สาม ซึ่งรวมถึงนดยบายสังคมฝ่ายกลางซ้ายและนดยบายการคลังสายกลาง กลุ่มกาวหน้าสนับสนุนแนวคิดก้าวหน้า

          ในอเมริกาความผิดปกติทางการเมืองกระตุ้นให้เกิดความสนใจในการปฏิรูปพรรคการเมืองอีกครั้ง บางคนต้องการให้พรรคการเมืองกระจายอำนาจออกไปเพื่อให้มีระบบกลายพรรคการเมือง ในขณะที่บางคนต้องการให้พรรคการเมืองทั้งสองพรรคของรามีความเข้มแข็งและมีลำดับชั้นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการเปลียนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการเมือง อาจต้องหารวิธีที่จะทำงานภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยุ่ และในช่วงศตวรรษครั่งที่ผ่านมา กลุ่มต่างๆ ภายในพรรคได้บรรลุเป้าหมายหลายประการที่นักปฏิรูปหวังไว้ กลุ่มต่างๆ เหบ่านี้มีบทบาทสำคัญแต่ไม่ได้รับการยอมรับมากนักในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกา อย่างน้อยก็ตั้งแต่สงครามกลางเมือง

          การเน้นเฉพาะกลุ่มภายในพรรคการเมืองมากกวาพรรคการเมืองโดยรวมทำให้ระบบพรรคการเมืองของอเมริกามีมุมมองใหม่ และทำให้เราได้แนวคิดทีา่ชีดเจนเกี่ยวักบการปฏิรูปรรคการเมือง แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากในสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่แตกแยกและแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่การสร้างกลุ่มการเมืองที่มุ่งเน้นการบริหารที่เน้นในทางปฏิบัติ ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเืพ่อมิติของความหลากหลายในเชิงเนื้อหาให้กับระบบสองพรรคการเมือง ขณะเดียวกันก็เพ่ิมความแข็งแกร่งให้กับพรรคการเมืองในฐานะเครื่องมือในการบริหารการรวมกลุ่มดังกล่วอาจทำให้ความสามัคคีของพรรคการเมืองลดลง แต่ในทางกลับกัน กลุ่มการเมืองเหล่านี้อาจเพ่ิมความสมารถในการาบริหารของพรรคการเมืองได้เช่นกัน 

             พรรคการเมืองอเิมริกันทั้งสองพรรคเป็น "พรรคใหญ่" โครงสร้างพื้นฐานของระบอเมริกัน ซึ่งก็คือกฎที่ผุ้ชนะกินรวบในการเลือกต้้ง สมาชิกสภาพผุ้แทนราษฎร วุฒิสมาชิก และประธานาธิบดี (ผ่านคณะผุ้เลือกตั้ง) หมายความว่าการได้ที่สอง ไม่ต้องพูดถึงที่สามหรือที่สี่ ก็ไม่มีความหมายในแง่ของการปกครอง ในระบบที่ผุ้ชนะกินรวบ พรรคการเมืองที่สามเป็นเพียงผุ้ทำลาย ซึ่งเป็นเหตุว่่าทำไมพรรคการเมืองที่สามจึงมักอยุ่ได้ไม่เกินสองสามรอบการเลือกต้้ง แต่การที่พรรคการเมืองสองพรรคยังคงดำรงอยุ่ ไม่ได่้หมายความวว่าการเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ต้องมองภายในพรรคการเมืองแต่ละพรรคกในช่งหลายปีหลังสงครามกลางเมือง พรรครีพับลิกันแม้จะครองอำนาจอยุ่ แต่ก็ต้องต่อสู้ภายในอยางตอเนื่อง ระหวาง "พวกมักวัมพ์" "พวกหัวแข็ง" และ "พวกลูกครึ่ง" เมื่อถึงศตวรรษใหม่ พวกเขาถุกท้าทายโดยกลุ่มก้าวหน้า และต่อมาในช่วงทศวรรษ 1950 ก็ถูกท้่าทายโดยพรรครีพับลิกัน "ขวาใหม่" ขบวนการ "ทีปาร์ตี้" ยืนหยัดอยุ่ในแนวหน้าของการท้าทายภายในที่ยาวนานต่อผุ้ที่กุมอำนาจในพรรครีพับลิกัน

            เช่นเดียวกับพรรคเดโมแครต ซึ่งหลังจากสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลงพรรคได้เปลี่ยนมาเปฯพรรคประชานิยมที่เรียกว่า "ไม้กางเขนทองคำ" ในช่วผลายศตวรรษที่ 19 การเปลี่ยนแปลงพรรคดังกล่าวเป็นพรรคเพื่อสิทธิพลเมือง สิทธิสตรี และต่อมาเปนพรรคประชาธิปไตยใหม่เป็นผลจากการต่อสู้ภายในพรรคที่แบ่งแยกกัน

           ในการเมืองอเมริกันยุคใหม่ สถานที่ที่จะมองเห็นว่าเหตุใดและอย่างไรที่พรรคกาเรมืองจงเปลี่ยนแปลงไปก็คือการเลือกตั้งขั้นต้น ไม่เพียงแต่แค่การเลือกตั้งขั้นต้นของรัฐสภาพที่ "รอนแรง" เท่านั้น แต่รวมถึงการเลือกตั้งขั้นต้นของรับสภา ทุกครั้งที่มีการแข่งขันกัน แม้ว่าผุ้ท้าชิงจะไม่น่าจะชนะก็ตาม การต่อสุ้ภายในพรรคจะเกิดขึ้นดดยที่สาะารณชนไม่รับรุ้ การเลือกตั้งขั้ต้นเป็นเรื่องหใหม่ในวงการการเมืองอเมริกัน ตลอดประวัติศาสตร์ส่วนหใย่ ของอเมริกา การแข่งขันระหวางกลุ่มต่างๆ เพื่อชิงตำแหน่งผุ้นำพรรคและประเด็นที่พวกเขาจะเป็นตัวแทนนั้นเกิดขึ้นในห้องที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ตามสุภาษิตของการประชุมใหญ่พรรคการเมืองของรัฐ

        จากกาวิเคราะห์ในปี 2014 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มต่างๆ เป็นตัวขับเคลื่อแนวคิดภายในพรรคการเมือง  เช่น ความแตกแยกภายในกลุ่มต่างๆ ของพรรครีพัลลิกัน เกี่ยวกับการย้ายถ่ินฐาน ในขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันแทบทุกคนที่พุดถึงการย้ายถ่ินฐานคัดค้านการปฏิรุปการย้ายถ่ินฐานอยางครอบคลุม ผุ้สมัครพรรครีพัลลิกัน  41% กลับเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ ในบรรดาผุ้ที่พุดถึงเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีความสำคัญต่องพรรค "ที ปาร์ตี้" มากกว่ากลุ่มอื่นๆ ของพรรครีพับลิกัน เห็นได้ว่ากลุ่ม "ที ปาร์ตี้" จะพยายามขัดขวางการปฏิรูปการย้ายถ่ินฐานต่อไป

        เดโมแครต ผุ้สมัครเกือบครึ่งหนึ่งไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ แต่สำหรับผุ้ที่พุดนั้น เห็นได้ชัดจากสถิติว่า พรรคเดโมแครตที่ระบุตนเองว่าเป็น "ฝ่ายก้าวหน้า" กำังชับเคลื่อนประเด็นจี้ภายในพรคในระบบสองพรรคการเมืองซึ่งสนับสนุนโดยระบบการเลือกตั้งที่ผุ้ชนะได้ทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเืองพรรคการเมืองหนึ่งพรรคใดเปลี่ยนไปเป็นพรรคอื่นอัเป็นผลจากสงครามภายในระหวางกลุ่มของตนเอง

           มีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยวกับสภาแวดล้อมทางการเมืองในปัจจุบันของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเพื่อมขค้นและความแข็งแกร่งของกลุ่มการเมืองต่างๆ เนื่องจากผุ้ที่มีแนวคิดเหมือนกันมีความผูกพันกันอยางใกล้ชิดมากขึ้นในการผลักดันกฎหมายและการเปลี่ยนแปลง จึงมีแนวโน้มวาการทำงานร่วมกันในกลุ่มที่เหนียวแน่นจะมีอำนาจในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายผ่านรัฐสภา และยิ่งกลุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นก็จะยิ่งมีอำนาจมากขึ้น แต่เรืองนี้เป็นความจริงหรือไม่..

         เราได้ทำการวิเคราะห์เชิงคุณภาพตัวอยางขนาดใหญ่ของกลุ่มการเมืองภายในสภาผุ้แทรราษำรจำนวน 8 กลุ่มผ4 กลุ่มเป็นพรรครีพัลลิกัน 4 กลุ่มเป็นพรรคเดโมแครตป ซึ่งมีสมาชิกครอบคลุมกลุ่มอุดมการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ปี 1995-2016 และได้วิเคราะห์ว่าการสังกัดกลุ่มการเมืองของสมาชิกรัฐสภาเหล่านี้มีผลต่อคะแนนประสิทธิผลของนิติบัญัติหรือไม่

        เราพบหลังกฐานเชิงประจักษืว่าสมาชิกกลุ่มย่อยในพรรคการเมืองนี้มีประสิทธิผลมากกว่ากผุ้สมัครที่ไม่ได้อยุ่ในกลุ่มย่อย แต่ผุ้สมัคตที่อยุ่ในพรรคการเมืองเสียงข้างมากกลับไม่ประสบผลสำเร็จดังกล่าว ผลการศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่าการเป็นสมาชิกกลุ่มย่อยมในพรรคการเมืองเสียงข้างมากอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลของกฎหมายได้ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจย่ิงกว่าก็คือการวิจัยนั้น ขัดแย้งกับสมมติฐานสองข้อ คือ 1 ขนาดของกลุ่มมีผลกระทบต่ออำนาจและความสามัคคี และส่งผลต่อประสิทะิผลในการตรกกฎหมายและ 2 กลุ่มที่มีแนวทางสายกลางจะมีอิทธิพลมากกว่า

         กลุ่มพรรคกรเมืองต่างๆ สามารถมีอิทธิพลในกระบวนการออกกฎกหมายได้ แต่ไม่ใช่้ในลักษณะที่นักวิชาการและผุ้สังเกตุการณ์ทางการเมืองร่วมสมัยจะเข้าใจได้อย่างเ็มที่กล่าวอยางง่ายๆ ก็คือ ขนาดและจุดยืนทางอุดมการณ์ของกลุ่มพรรคการเมืองต่างๆ ไม่มีผลต่อประสิทธิผลในการออกกฎหมายของสมาชิกแต่กลุ่มต่างๆ มักจะมีอิทธิพลมากที่สุดเมื่อพรรคการเมืองที่พวกเขาสังกัดเสียเปรียบมากที่สุดในกระบวนการออกกฎหมายเนื่องจากสถานะของพวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อยในช่วงเวลาดังกล่าว สมาชิกกรรมาะิการเสนอโอกาสและหนทางให้นักกฎหมายก้าวไปข้งหน้า ซึ่งพวกเขาอาจไม่มีทางเลือกอื่น ผลการวิจัยเลห่รนี้มีความหมายสำคัญต่อความเข้าใจของเราเกี่ยวกับ รัฐสภา และมีความเกี่ยวข้องในทางปฏิบัติกับสมารชิกรัฐสภาที่อาจตึ้งคำถามถึงคุณค่าสัมพันธทของการเข้าร่วมกลุ่มการเมืองต่างๆ ในแง่ของประสิทธผลและความสำเร็จในการออกกฎหมายของตนเอง

              ที่มา : https://thelawmakers.org/legislative-research/how-effective-are-party-faction-members-in-congress

                       https://www.nationalaffairs.com/publications/detail/party-factions-and-american-politics

                       https://en.wikipedia.org/wiki/Democratic_Party_(United_States) 

                       https://en.wikipedia.org/wiki/Factions_in_the_Republican_Party_(United_States)

                       https://en.wikipedia.org/wiki/Political_faction

                        

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Political philosophy


           ปรัชญาการเมือง หรือ ทฤษำีการเมือง คือการ ศึกษาเชิงปรัชญาของรัฐบาลโดยจะกล่าวถึงประเด็น
ต่างๆ เกี่ยวกับธรรมชาติ ขอบเขต และความชอบธรรมของตัวแทรนแลสถาบันของรัฐ และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา หัวข้อต่างๆ ได้แก่การเมือง ความยุติธรรม เสรีภาพ ทรัพย์สิน สิทธิกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายโดยผุ้มีอำนาจสิงเหล่านี้คืออะไต จำเป็น หรือไม่ อะไรทำให้รัฐบาลมีความชอบธรรมสิทะิและเสรีถาำใดบ้าง ที่รัฐบาลควรปกป้อง ความีรุปแบบอย่างไร กฎหมายคืออะไร ละประชานมีหน้าทีใดบ้างต่อรัฐบาลที่มีความชอบธรรม และเมือใดที่รัฐบาลอาจถูกโค่นล้มโดยชอบธรรม หากเป็นไปได้

            ทฤษฎีการเมืองยังเกี่ยวข้องกับคำถามที่มี ขอบเขต กว้างขึ้น โดยเกี่ยวข้องกับ ธรรมชาติทางการเมืองของปรากฎการณืและหมวดหมุ่ต่างๆ เช่นอัตลักษณ์วัฒนธรรมเพศเช ้อชติความมั่งคั่งความสัมพันธืระหวางมนุษย์กับสิ่งอื่นๆ จริยะรรมศาสนาและอื่นๆอีกมากมาย

           รัฐศาสตร์ซึ่งเป็นการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเมืองมักใช้ในรูปเอกพจน์แต่ในภาษาฝรั่งเศสและสเปน จะใช้รูปพหุพจน์ ซึ่งอาจะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของสาขาวิชานี้

           ปรัชญาการเมืองเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา แต่ยังมีบทบาทสำคัญในรัฐศาสตร์ด้วยโดยมีการให้ความสำคัญอย่างมากกับประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมืองและทฤษฎีการเมืองรวมสมัย

          ปรัชญาการเมืองมีการศึกษากันมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ ทว่าตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี 1971 เมือจอห์น รอลส์ ตีพิมพ์ A Theory of Justice ปรัชญาการเมืองก็เสื่อมถอยลงในโลกวิชาการของอังกฤษ-อเมริกา เนืองจากนักปรัชญาเชิงวิเคราะห์แสดงความสงสัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ทีการตัดสินเชิงบรรทัดฐานจะมีเนือหาเชิงความรู้ และรัฐศาสตร์หันไปใข้วิธีการทางสถิติและพฤติกรรมนิยม ในทางกลับกัน ในยุโรปแผ่นดินใหญ่ ทศวรรษหลังสงครามได้เห็นการเจริญรุ่งเรืองของปรัชญาการเมืองอย่างมาก โดยมี ลัทธิมากซ์ครอบงำสาขานี้ โลกในยุคนั้นเป็นช่วงเวลาของ ฌอง-ปอล ซาร์ตร์และหลุยส์ อัลธู สเซอร์ และชัยชนะของเหมาเจ๋อตุง ในจีน และฟิเดล คสาดตรในคิวบา รวมถึงเหตุกาณ์ในเดื่อนพฤษภาคม 1969 ซึ่งนำไปสู่ความสนใจในอุดมการณืปฏิวัติที่เพ่ิมมากขึ้นโดยเแฑาะกลุ่ม นิวเลฟต์ ผุ้อพยพชาวยุโรปแผ่นดินหใญ่ไปยังบิรเตนและสหรัฐอเมริกา จึงมีการสนับสนุนให้มีการศึกษาปรัชญาการเมืองอย่างต่อเนื่องในโลกแองโกล-อเมริกา แต่ก็ยังคงมีความขัดแย้งกับสถาบันเชิงวิเคราะห์...

         ...ลัทธิคอมมิวนิสต์ยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงทศวรรษท 1950 และ 1960 ลัทะิล่าอาณานิคมและการเหยียดเชื้อชาติเป็นประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้น ดดยทั่วไปมีแนวโน้มที่ชัดเจนในการใช้แนวทางเชิงปฏิบัติต่อประเด็นทางการเมือง มากกว่าแนวทางเชิงปรัชญา การอภิปรายทางวิชาการจำนวนมากพิจารณาถึงหัวข้อเชิงปฏิยัติหนึ่งหรอืทั้งสองหัวข้อ ได้แก่ วิธี (หรือว่า) จะนำแนวคิดประดยชน์นิยม ไปใช้กับปัญหาของนดยบายการเมือง หรือ วิธี(หรือวา) จะนำแบบจำลองทางเศราฐกิจ (เช่นทฤษำีการเลือกที่มีเหตุผล)ไปใช้กับประเด็นทางการเมือง กาเพ่ิมขึ้นของบัทะิสตรีนิยมการเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่ม รักร่วมเพศ และการสิ้นสุดของการปกครองแบบอาณานิคมและการกีดกันทางการเมืองของชนกลุ่มน้อย เช่นชาวแอฟริกันอเมริกัน และชนกลุ่มน้อยทางเพศในโลกที่พัฒนาแล้ว ทำให้ความคิดของลัทะิสตรีนิยมหลังอาณานิคมและพหุวัฒนธรรมมีความสำคัญ สิ่งนี้ทำให้ชาร์ลส์ ดับเบิลยุ มิสส์ นักปรัชญา และ แคโรล เพตแมน ท้าทายสัญญาทางสังคมในหนังสือของเขาและเธอว่า สัญญาทางสังคมกัดกันบุคคลที่มีสีผิวและผุ้หญิงตามลำดับ

        ในปรัชญาการเมืองแบบวิชาการของแองโกล-อเมริกัน การตีพิม "อะ เธียรี ออฟ จัสติก" ของ จอห์น รอวลส์ ถือเป็นเหตุากรณืสำคัญ รอวลส์ ใช้การทดลองทางความคิด ซึ่งเป็นจุดยืนตั้งเดิมดดยที่พรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนเลือกหลักการแห่งความยุติะรรมสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของสังคมจาเหบื้องหลังม่านแห่งความไม่รู้ รอวลส์ ยังเสนอคำวิจารณืเกี่ยวกับแนวทางประโยชน์นิยมต่อคำถามเกี่ยวกับความยุติธรรมทางการเมืองอีกด้วย "โรเบิร์ต โนซิค ตอบสนองต่อ "รอวลส์" จากมุมมองของเสรีนิม ด้วยงานเขียนของเขาซึ่งได้ับรางวัลและความนับถือทางวิชาการสำหรับมุมมองเสรีนิยม

       ในเวลาเดียวกันกับที่จริยะรรมเชิงวิเคราะห์ให้ความคิดแบบแองโกล-อเมริกัน เร่ิมปรากฎขึ้นในยุโปร มีแนวปรัชญาใหม่หลายแนวที่มุ่งวิจารณืสังคมที่มีอยุ่  ส่วนใหญ่ใช้องค์ประกอบของการวิเคราะห์เศราฐกิจแบบมาร์กาซิสต์ แต่ผสมผสานเข้ากับการเน้นทางวัฒนะรรมหรอือุดมการ์มากขึ้น Guy Debord ได้นำการวิเคราะห์ของลัทะิมาร์กซิสต์เกี่ยวกับ การหลงไหลในสินค้าโภคภัณฑ์มาสู่ขอบเขตของการบริโภค และพิจารณาความสัมพันธ์ระหวางการบริโภคนิยมแลการก่อตัวของอุดมการณ์ที่ครอบงำ

       การอภิปรายอีกกรณีหนึ่ง อภิปราย ระหวางเสรีนิยมและชุมชนนิยม มักถุำมอง่ามีค่าในการสร้างปัญหาทางปรัชญาชุดใหม่ มากกว่าที่จะเป็นการปะทะกันของมุมอง ี่ลึกซึ้งและแจ่มแจ้ง ชุชนนิยมเหล่านี้และชุมชนนิยมอื่นๆ โต้แย้งว่า ขุมขนมีความสำคัยเหนือปัจเจกบุคคล ดังนั้นจึงควรเป็นศุนย์กลางของความสนใจทางการเมืองชุมใชนนิยมมักสนับสนุน การควบคุมในื้องถ่ินมากขึ้น รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจและสังคมที่ส่งเสริมการเติลโตของทุนทางสังคม

          มุมมองทางการเมืองทีทับซ้อนกันสองประการที่เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ได้แก่รีพับลิกันนิสม์ หรือ สาธารณชนแบใหม่หรือแบบพลเมืองป และแนวทางความสามารถ ขบวนการ สาธารณะที่ฟื้นคืนชีพมีเป้าหมายที่จะให้คำจำกัดความทางเลือกของเสรีภาพจาก รูปแบบเสรีภาพเชิงบวกและเชิงบลของ ไอเซย์ เบอร์บิน นั้นคือ "เสรีภพาในฐานะการไม่ครอบงำ" ซึ่งแตกต่างจากขบวนการเสรีนิยมอเมริกันที่เข้าใจเสรีภาพว่าเป็น "การไม่แทรกแซง" "การไม่ครอบงำ" หมายถึงปัจเจกบุคลที่ไม่ตกอยู่ภายใต้เจตจำนงตามอำเภอใจของบุคคลอื่น ...

           เสรีนิยม เป็นปรัชญาทางการเมืองและศีลธรรมที่ยึดตามสิทธิของปัจเจกบุคคลเสรีภาพความยินยอมของผุ้ปกครอง ความเสมอภาค ทางการเมือง สิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคล และความเสมอภาคทางกฎหมาย เสรีนิยมสนับสนุนมุมมองที่หลากหลายและมักขัดแย้งกันข้นอยุ่กับความเข้าใจของพวกเขาเกี่วกับหลักการเหล่านั้น แต่โดยทั่วไปสนับสนุนทรัพย์สินส่วนบุคคลเศรษฐกิจตลาดสิทธิส่วนบุคคล(รวมถึงสิทธิพลเมืองและสิทธิมนุษยชน) ประชาธิปไตยเสรีนิยมฆราวาสหลักนิติะรรม เสรีภาพทางเศรษฐกิจ และการเมือง เสรีภาพในการพุด เสรีภาพของสื่อ เสรีภาพในการชุมนุม และเสรีภาพในการนับถือศาสนา  เสรีนิยมมักถุกอ้างถึงว่่าเป็นอุดมการณืทีโดดเด่น ของประสวัติศาสตร์สมัยใหม่

           เสรีนิยมกลายเป็น กระแสหลักในยุคแห่การตรัสรุ้ซึ่งได้รับความนิยมในสหมุ่นักปรัชญาและนักเศรษฐศาสตร์ชาวตะวันตก เสรีนิยมพยายามแทนที่บรรทัดฐานของสิทะิิเศษทางกรรมพันนธุ์ ศาสนาประจำรัฐราชาธิปไตยสมบุรณาญาสิทะิราชย์ สิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์และการอนุรักษ์นิยมแบบดั้งเดิมด้วย ประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน หลักนิตะธรรทม และความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายเสรีนิยมยังได้ยุตินโยบาย การค้าขาย การผุกขาดของราชวงศ์ และอุปสรรคทางการค้าอื่นไ โดยส่งเสริมการค้าเสรีและการตลาดแทน นักปรัชญา จอห์น ล็อก มักไ้รับการยกย่องว่าเป็ฯผุ้ก่อตั้งเสรีนิยมในฐานะประเพณีเฉพาะที่อิงตาม สัญญาทางสังคม โดดยให้เหตุผลว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิตามธรรมชาติในการมีชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สิน และรัฐบาลจะต้องไม่ละเมิดสิทธิเหล่านี้ ในขณะที่ประเพณีเสรีนิยมของอังกฤษเน้นที่การขยายประชาธิปไตยโดยเสรีนิยมของฝรั่งเศสเน้นที่การปกิเสธอำนาจนิยมและเชื่อมโยงกับการสร้างชาติ

          ผุ้นำในการปกิวัติอันรุ่งดรจน์ของอังกฤษ การปกิวัติอเมริกา และการปฏิวัติฝรั่งเศส ใชัปรัชญาเสรีนิยมเพื่อเป็นเหตุผลในการ้มล้างอำนาจ อธิปไตยของราชวงศ์ ด้วยอาวุธ 

          ในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ลัทธิเสรีนิยมในจักรวรรดิออออตโตมันและตะวันออกกลางมีอิทธิพลต่อช่วงเวลาแห่งการปฏิรูป เช่นทันซิมัน และอัลนาห์ดา และการเพื่ิมขึ้นของรัฐะรรมฯูญชาตินิยมและลัทธิฆราวาส การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ช่วยสร้างความรุ้สึกถึงวิกฤตภายในศาสนอิสลาม ซงยังคงดำเนินต่อไปจนถึงทุกวันนี้ นำไปสู่การฟื้นฟุอ่ิสลามก้่อนปี 1920 ฝ่ายตรงข้ามทางอุดมการณ์หลักของเสรีนิยมคือลัทะฺคอมมิวนิสต์ลัทะิอนุรักษ์นิยมและลัทะิสัีงคมนิยม เสรีนิยมเผชิญกับความท้าทายทางอุดมการณ์ครั้งใหญ่จากลัทะิาสซิสต์ และลัทะิมาร์กซ์-เลนิน ในฐานฝ่ายตรงข้ามใหม่ ในช่วงศตวรรษที่ 20 แนวคิดเสรีนิยมแพร่หลายไปไกลย่ิงขึ้น โดยเฉพาะในยุโรปตะวันตก เนื่องจากประชาธิปไตยเสรีนิยมพบว่าตนเองเป็นผุ้ชนะในสงครามโลกทั้งสองครั้งและในสงครามเย็น

        เสรีนยิมแสงหาและจัดตั้งระเบียรัฐธรรมนูญให้ความสำคัญกัเสรีภาพส่วนบุคคลที่สำคัญ เช่นเสรีภาพในการพูดและเสรีภาพในการวมตัว ตุลากรอิสระแ ะลการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน และการยกเลิกสิทธิพิเศษของชนชั้นสูง คลื่นความคิดและการต่อสู้ของเสรีนิยมสมัยใหม่ในเวลาต่อมาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากความจำเป็นในการขยายสิทธิพลเมือง เสรีนิยมสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศและเชื้อชาติในการผักดันเพื่อส่งเสริมสิทธิพลเมือง และขบวนการสิทธิพลเมือง ทั่วโลก ในศตวรรษที่ 20 บรรลุวัตุประสงค์หลายประการเพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งสอง เป้าหมายอื่นๆ ที่เสรีนิยมมักยอมรับ ได้แก่สิทธิเลือกตั้งทั่วไป และการเข้าถึงการศึกษาทั่วไปในยุดรปและอเมริกาเหนือ การก่อตั้งเสรีนิยมทางสัังคม(มักเรียกง่ายๆ ว่า เสรีนิยมในสหรัฐอเมริกา)กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขยายรัฐ สวัสดิการ ปัจจุบันพรรคเสรีนิยมยังคงสช้พลังและอทิธิพลทั่วโลกองคืประกอบพื้นฐานของสังคมร่วมสมัย มีรากฐานมาจากเสรีนิยมคลื่อลูกแรกของลัทธิเสรีนิยมทำให้ลัทะิปัจเจกนิยมทางเศรษฐกิจเป็นที่นยมในขณ๖ะที่ขยายอำนาจการปกครองตามรัฐะรรมนูญและอำนาจ

            สังคมนิยมประชาธิปไตย ปรัชญาทางการเมืองสังคมและเศรษฐกิจในสังคมนิยม ที่สนับสนุน ประชาธิปไตยทางการเมืองและเศษฐกิจและสนับสนุนแนวทาง แบบค่อยเป็นค่อยไปปฏิรูปและประชาธิปไตย เพื่อบรรลุสังคมนิยมในทางปกิบัติ สังคมประชาธิปไตยมีรุปแบบหนึ่งของ ระบบทุนนิยมสวัสดิการ ที่บริหารจัดการโดยสังคม ซึ่บรรลุผลได้ด้วยการเป็นเจ้าของสาะารณะบางส่วน การแทรกแซง ทางเศรษฐกิจและนดยบายที่ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางสังคม

            ประชาธิปไตยแบบสังคมนิยมยึดมั่นในความมุ่งมี่นต่อประชาะิปไตยแบมีตัวแทนและแบบมีส่วนร่วม เป้าหมายร่วมกัน ได้แก่ การลดความไม่เท่าเทียมกันการขจัดการกดขี่กลุ่มผู้ด้อยโอกาส การขจัดความยากจนและการสนับสนุนบริการสาธารณะที่เข้าถึงได้ทัี่วไป เช่นการดุแลเด็กการศึกษาการดุแลผุ้สูงอายุการดุแลสุขภาพและ ค่าชดเชยแรงงาน ในทางเศราฐกิจ ประชาธิปไตยสนับสนุนการกระจายรายได้และการควบคุมเศราฐกิจใน ผลประโยชน์สาธารณะ

            ประชาธิปไตยทางสังคมมีความเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้กและยาวนานกับสหภาพแรงงานและขบวนการแรงงาน โดยรวมนอกจากนี้ยังสนับนุนมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการตัดสินใจที่เป็นประชาะิปไตยมากขึ้นในแวดวงเศรษฐกิจรวมถึงการ่วมกำหนด สิทธิในการต่อรองร่วมกันสำหรับคนงาน และการขยายความเป็นเจ้าของให้กับพนักงานและผุ้มีสวนได้ส่วนเสียอื่นๆ 

           สังคมประชาะิไตยย้อนกลับไปถึงขบวนการแรงงานในศตวรรษที่ 19 เดิมที่เป็นคำรวมสำหรับนักสังคมนิยมที่มีแนวโน้มแตกต่างกัน หลังจาการปฏิวัติรัสเซียคำนี้จึงหมายถึงนักสังคมนิยมปฏิรูปที่ต่อต้านรุปแบบ สังคมนิยม แบบเผด็จการและรวมอำนาจของสหภาพโซเวียตในยุคหลัสงคราม สังคมประชาธิปไตยยอมรับ เศรษฐกิจแบบผสม มี่มี ทรัพย์สินส่วนตัวเป็นหลัและสนับสนุนการควบคุมทุนนิยมแทรที่จะแทนที่ด้วยระบบเศรษฐกิจ สังคมนิยมที่มีคุณภาพต่างกัน ตั้งแต่นั้นมา สังคมประชาะิไตยมีความเกี่ยวกับเศราฐศาสตร์แบบเคนส์ โมเดลนอร์ดิกและรัฐสวัสดิการ

         สังคมประชาะิปไตยถุกอะิบายวว่าเป็นรุปแบบที่พบได้บ่อยที่สุดของสังคมนิยมตะวันตกหรือสมัยใหม่ ในหมู่ักสังคมประชาธิปไตย ทัศนคติต่อสังคมนิยมแตกต่างกันไปบางคนบังคงรักาาสังคมนิยมไว้เป็นเป้าหมายระยะยาว ในขณะที่บางคนมองว่าเป็นอุดมคติทางจริยะรรมในการขั้นำการปกิรูปในระบบทุนนิยม วิธีหนึ่งที่สามารถแยแยะสังคมประชาธิปไตยจากสังคมนิยมประชาธิปไตยได้ก็คือ สังคมประชาธิไตยมุ่งหวังที่จะสร้าสมดุลโดยสนับสนุนเศรษฐกิจตลาดผสม ที่ทุนนิยมได้รับการควบคุมเพื่อแก้ไขความไม่เท่าเทียมกันผ่านดครงการสวัสดิการสังคม โดยสนับสนุนการเป็นเจ้าของส่วนตัวด้วยกาเน้นย้ำอย่างหนักแน่นในตลาดที่มีการควคุมอย่างดี ในทางกลับกันสังคนิยมประชาธิปไตยเน้นย้ำมากขึ้นในการยกเลิการเป็นเจ้าของทรัพย์สินส่วนตัวอย่างไรก็ตาม ความแตกต่างยังคงไม่ชัดเขน และคำนี้มักใชัแทนกัน

            เสรีนิยมใหม่ เป็นคำที่ใช้เพื่อแสดงถึงการกลับมาปกรากฎของแนวคิดของศตวรรษที่ 19 ที่เกี่ยวกับทุนนิยมตลาดเสรีในทงการเมืองในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 คำนี้มีความหมายที่ขัดแย้งกันมากมายและมักใช้ในเชิงลบ ในการใช้งานทางวิชาการ คำนี้มักไม่มีการกำหนดความหายหรือใชัอะิบายปรากฎการณ์ที่หลากหลาย แต่ส่วนใหญ่ใช้เพื่ออธิายการเปลี่นแปลงของสังคมอันเนื่องมาจากการปฏิรุปที่อิงตามตลาด

            ในฐานะปรัชญาเศรษฐศาสตร์ ลัทะิเสรีนิยมใหม่เกิดขึ้นในหมู่นักวิชาการ เสรีนิยมยุโรปในช่วงทศวรรษท 1930 ดดยพวกเขาพยายามที่จะฟื้่นคือนและต่ออายุแนวคิดหลักของเสรีนิยมแบบคลาสสิกเนืองจากพวกเขาเห็นว่าแนวคิดเหล่รนี้ลดความนิยมลง ถุกแทนที่ด้วยความปรารถนาที่จะควบคุมตลาดหลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งหใญ่และแสดงออกมาในนดยบายที่ออกแบบมาเพื่อรับามือกับความผันผวนของตลาดเสรี แรงผลักดันประการหนึ่งในการกำหนดนดยบายเพื่อบรรเท่า ความผันผวนของตลาดเสรี แบบทุนนิยม คือความปรารถนาที่จะหลคกเลี่ยงการเกิดความ้ล้มเหลวทางเศราฐกิจซ้ำรอยในช่วงต้นทศวรรษ 1930 ซึ่งบางครั้งความล้มเหลวมักเกิดจากนโยบายเศรษฐกิจของเสรีนิยมแบบคลาสสิกเป็นหลักในการกำหนดนดยบาย ลัทะิเสรีนิยมใหม่นมักหมายถึงสิง่ที่เป็นสวนหนึ่งของการเลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ที่เกิดขึ้นหลังจากความล้มเหล่วที่รับรุ้ได้ของฉัทามติหลังสงครมมและเศรษบกิศาสตร์นีโอคีนส์ในการแก้ไขปัญหาภาวะเศรา.ฐกิจตกต่ำพร้อมภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงทศวรรษ 1970 การล่ามสลายของสหภาพโวเวียตและการสิ้นสุดของสงครามเย็นยังทำสให้ลัทะิเสรีนิยมใหม่ประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกอีกด้วย

           แนวทางที่สาม หรือที่รุ้จักกันในชื่อประชาธิปไตยสังคมสมัยใมห่ เป็นจุดยืนทางการเมืองที่เป็นกลาง อย่างโดดเด่น ซึ่งพยายามที่่ประสาน การเมือง ฝ่ายกลางขวา( กลุ่มอุดมการณืทางการเมืองฝ่ายขวาที่เอนเอียงไปทางการเมืองฝ่ายกลางมากขึ้น มักเกี่ยวข้องกับอนุรักษนิยมประชาธิปไตยคริสเตียนอนุรักษ์นิยม เสรีนิยมา และเสรีนิยมอนุรักษ์นิยม พรรคการเมือง ่ายกลางขวาอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยมมักประสบความสำเร้จมากกว่าในกลุ่มประเทศที่พุดภาษาอังกฤษ ในขณะที่ประขาะิไตยคริสเตียนเป็นอุดมการฝ่ายกลางขวาหลักในยุโรป) และ ฝ่ายกลางซ้าย (เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองฝ่ายซ้ายที่เอนเอียงไปทางการเมืองฝ่ายกาง และสอดคล้องกับแนวคิดก้าวหน้า อุดมการณ์ของฝ่ายกลางซ้ายได้แก่ประชาธิไตยสังคมเสรีนิยม สังคมและการเมืองสีเขียว แนวคิดที่ฝ่ายกลางซ้ายสนับสนุนโดยทั่วไปได้แก่ทุนนิยม สวัสดิการ ความยุติธรรม ทางสังคม เสรีนิยม ระหว่างประเทศและพหุวัฒนธรรมในทางเศราฐกิจ ฝ่ายกลางซ้ายสนับสนุนเศรษบกิจแบบผสมผสานในระบบ ทุนนิยมประชาธิปไตยซึ่งมักรวมถึงการแทรกแซงทางเศราฐกิจแารเก็บภาษีแบบก้ายหน้าและสิทธิในการวมตัวเป็นสหภาพการเมองฝ่ายกลางซ้ายมีความแตกต่างกับการเมืองฝ่ายซ้ายจัดที่ปฏิเสธทุนนิยมหรือสนับยสนุนการปฏิวัติ) เข้าด้วยกัน โดยผสมผสานนดยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมและประชาะิปไตยสังคมเข้ากับนะยบายสังคมวฝ่ายกลางซ้าย

              แนวทางน้เป็นการสร้างแนวคิดใหม่ให้กับประชาธิปไตยทางสังคมและจัดวางตำแหน่งไว้ทางขวาของฝ่าย กลาง-ซ้าย โดยสนับสนุนงาน สวัสดิการ แทนสวัสดิการโปรแกรมฝึกอบรมการทำงาน โอากสทางการศึกษา และโปรแกรมอื่นๆ ของรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนแทนการแจกเงิน แนวทางที่สามนี้ต้องการหาทางประนีประนอมระหว่างระบบเศรษฐกิจที่แทรกแซงน้อยลง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากลุ่มเสรีนิยมใหม่และนโยบายการใช้จ่ายตามแนวทางสังคมประชาธิปไตยแบบเคนส์ ซึ่งได้รับการสนับสนนุจ จากกลุ่มสังคมประชาธิปไตย และกลุ่มก้าวหน้า

              ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Political_philosophy

                       https://en.wikipedia.org/wiki/Political_philosophy

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Third Way

           พรรครีพับลิกันภายใต้การนำของ โรนัลด์ เรแกน มีความเจ้าแข็งมาก แม้เดโมแคต จะเสนอผุ้ชือผู้ชิงตำแหน่งประะานาธิบดี คือ วอลเตอร์ มอนเดล และ ไม่เคิล ดุคาดิส แต่ก็แพ้ให้กับเรแกร และจิร์จ เอช. ดับเบิลยู .บุช ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี 1984 และ 1988 ตามลำดับ เโมแคตรหลายคนฝากความหวังไว้กับ แกรี่ ฮาร์ต ผุ้ท้าทาย มอนเอลในการเลือกตั้งข้นต้น ปี 1984 โดยเสนอแนวคิดเรื่อง "แนวคิดใหม่" และในการเลือกตั้งขั้นต้นปี 1988 ต่อมา พรรคก็กลายเป็นตัวเต็งโดยพฤตินัยและ "ตัวเต็ง" สำหรับการเสนิชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ก่อนที่เรื่องอื้อฉาวทางเพศจะทำให้หาเสียงของเขาต้องยุติลง อย่างไรก็ตาม พรรคเร่ิมมองหาผุ้นำรุ่นใหม่ ซึ่งเช่นเดียวกับ ฮาร์ตมทีได้รับแรงบันดาลใจจากอุดมคติที่เน้นหลักปฏิบัติของ จอห์น เอฟ. เคเนดี้

        บิล คลินตัน ผุ้ว่าการรับอาร์คันซอ เป็นบุคลหนึ่งที่ได้รับเลือกเป็นปรธานาธิบดีในปี 1992 ในฐานะผุ้ได้
รับการเสนอชื่อจากพรรคเดโมแครต สภาพ(ู้นำพรรคเดโมแครต เป็นองค์การหารเสียงที่เชื่อมโยงกับคลินตัน ซึ่งสนับสนุนการจัดแนวและการแบ่งฝ่ายภายใต้ป้ายชื่อ "พรรคเดโมแครตใหม่"พรรคได้นำนธยบายเศราฐกิจแบบเสรีนิยม ใหม่มาผสมผสาน กับเสรีนิยมทางวัฒนธรรม ดดยฐานเสียงหลังจากเรแกนเปลี่ยนไปทางขวา อย่างมาก ในความพยายามที่จะดึงดูดทั้งเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมทางการคลัง พรรคเดโมแครตเร่ิมสนับสนุนงบประมาณที่สมดุลและเศรษฐกิจตลาด ที่ผ่านปรนด้วยการแทรกแซงของรัฐบาล(เศรษฐกิจแบบผสม) ควบคู่ไปกับการเน้นย้ำอย่างต่อเนื่องต่อความยุติะรรมทางสังคมและการดำเนินการเชิงบวก นดบายเศรษฐกิจที่พรรคเดโมแครตนำมาใช้ รวมถึงรัฐบาลของคลินตั้นในอดีต เรียกว่า "ทางที่สาม" คลินตันเป็นเป็นประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตคนแรกนับต้งแต่แฟรงลิน ดี. โรสเวลต์ ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งถึงสองสมัย

           "ทางที่สาม"ในทางการเมือง เป็นทางเลอก ที่เสนอขึ้น ระหว่างสองรูปแบบที่ยังคงมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน นั่นคื อกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายและขวา ในอดีต คำว่า ทางที่สามถุกใช้เืพ่อ้างถึงรูปแบบการปกครองที่หลากหลาย ตั้งแต่ประชาธิปไตยสังคมนิยมของ ชาวนอร์ติก ไปจนถึง ลัทธิฟาสซิสต์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 คำว่าทางที่สามได้รับความหายที่ีเเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเมือง แอนโธนี กิตเดนส์ นัก นักสังคมวิทยาชาวอังกฤษ ใช้คำนี้เพื่ออธิบายทางเลือกอื่นของลัทะิเสรีนิยามใหม่ และประชาธิปไตยสังคมนิยม ในยุคโลกาภิวัตน์ คำว่า ทางที่สามอาจใช้เพื่อ้างถึงแผนนโยบายใหม่และโดดเด่นเศรษฐศาสตร์การเมืองใหม่ แนวคิดใหม่เกี่ยวกับความยุติธรรมทางสังคม และนักวิจารณืหลายคนอาจหมายถึงการยอมจำนนของฝ่ายซ้ายกลางต่อโลกาภิวตน์แบบเสรีนิยมใหม่

             แนวทางที่สามนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างชัดเจนที่สุดกับการบริหารงานของโทนี่แบลร์ พรรคแรงงานใหม่ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสหรัาชอาณาจักรตั้งแต่ปี 1997-2007 นอกจากนี้ยังมีความเกี่ยวข้องโดยตรงไม่มากนักกับการบริหารงานของฝ่ายกลางซ้ายหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรธานาธิบดี บิล คลินตัน(1993-2001) และ เกอร์ฮาร์ต ชโรเดอร์ นายกรัฐมนตรีเยรมัน ( 1998-2005)

            แอนโธนี่ กิดเดนส์ เกิดเมือปี 1938 เป็นที่ปรึกษาทางการเมืองและนัการศึกษาชาวอังกฤษ เขาได้รับ
การฝึกฝนให้เป็นนักสังคมวิทยาและนักทฤษฎีสังคม โดยเขาเคยบรรยายที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ในยุโรป อเมริกาเหนือและออสเตรเลีย ก่อนที่จะร่่วมก่อตั้งสำนักพิมพ์วิชาการ ในปี 1985 และต่อมาในปี 1997 เขาได้เป็นผุ้อำนวยการของสำนักพิมพ์ LSE ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาดำรงอยุ่จนถึงปี 2003 และต่อมาได้เป็นศาสตราจารย์กิตติคุณในฐานะที่ปรึกษาผุ้ทรงอิทธิพลของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ "โทนี่ แบลร์" เขามีแนวคิดเรื่อง "แนวทางที่สาม" ซึ่งเป็นโครงการทางการเมืองที่ไม่จำกัดอยุ่เพียงการแบ่งซ้าย-ขวาตามแบบแผน ซึ่งถือเป็นรากฐานของรัฐบาล แรงงานของแบลร์ ในปี 2004 กิดเดนส์กลายเป็นสมาชิกสภาขุนนางและได้รับตำแหน่งขุนนางตลอดชีพในฐานะบารอนกิดเดนส์แห่งเซาท์เกตในเขตปกครองลอนดอนของเอนฟิลด์เขาเขียนหนังสือหลายเล่ม เช่น สังคมวิทยา..

           "แนวทางที่สาม" ในยุคของความทันสมัยและเศราฐกิจหลังภาวะขาดแคลนที่สะท้อนกลับศาสตร์ทางการเมืองกำลังถูกเปลี่ยนแปลง กิดเดนส์ตั้งข้อสังเกตว่ามีความเป็นไปได้ที่ "การเมืองแห่งชีวิต" (การเมืองแห่งการเติมเต็มตนเอง" อาจมองเห็นได้ชัดเจนกว่า "การเมืองเพื่อการปลดปล่อย"(การเมืองแห่งความไม่เท่าเที่ยมกัน และดครงการสะท้อนกลับของตัวตนและการเปลี่ยนแปลงในเรื่องเพศและความสัมพันธ์ทางเพศอาจนำทางผ่าน "การทำให้ประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตย" ไปสูสยุคใหม่ของ "ประชาธิปไตยเชิงสนทนาไ ของฮาเบอร์มาเซียน ซึ่่งความแตกต่างได้รับการยุติลงและการปฏิบัติถูกสั่งการผ่านวาทกรรมแทนความรุนแรงหรือคำสั่งของอำนาจ

             โดยอาศัยธีมทีคุ้นเคยในอดีตของเขาเกี่ยวักบการไตร่ตรองและการบูรณาการระบบ ซึ่งทำให้ผุ้คนมีความสัมพันธ์ใหม่แห่งความไว้วางใจและการพึ่งพากันและกับรํฐบาลของพวกเขา กิดเดนส์ โต้แย้งว่าแนวคิดทางการเมืองของฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวากำลังพังทลายลงเหนืองมาจากปัจจัยหลายประการ โดยปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือการไม่มีทางเลือกอื่นที่ชัดเจนสำหรับระบบทุนนิยมและโอกาสทางการเมืองที่หายไปตามชนชั้นทางสังคม เพื่อสนับสนุนทางเลือกด้านวิถีชีวิต

           กิดเดนส์ เลิกอธิบายวว่าสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไร และหันมาพยายามเรียกร้องมกขึ้นว่าสิ่งต่างๆ ควรเป็นอย่างไร ใน "บียอนด์ ลีฟ แอน ไรท์" (1994) กิดเดนส์ วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิสังคมนิยมแบบตลาดและสร้างกรอบแนวคิด 6 ประการสำหรับการเมืองแบบหัวรุนแรงที่ฟื้นคืนมา : 1 ซ่อมแซมความสสามัคคีที่เสียหาย 2. ตระหนักถึงความสำคัญของการเมืองชีวิต 3. ยอมรับว่าการไว้วางใจที่กระตือรือร้นบ่งบอกถึงการเมืองที่สร้างสรรค์ 4. ยอมรับประชาธิปไตยแบบมีการโต้ตอบ 5. คิดใหม่เกี่ยวกับรัฐสวัสดิการและ 6. เผชิญหน้ากับความรุนแรง 

          "แนวทางที่สาม : การฟืนฟูสังคมประชาธิปไตย (1998) นำเนอกรอบแนวคิดทางที่สาม ซึ่งกิดเดนส์ เรียกอีกอย่างว่า ศุนย์กลางที่หัวรุนแรง มีเหตุผลสับสนุน นอกจากนี้แนวทางที่สามยังเสนอนโยบายที่หลากหลายซึ่งมุ่งเป้าไปที่สิ่งที่กิดเดนส์เรียกว่า "ฝ่ายซ้ายกลายที่ก้าวหน้า" ในการเมืองอังกฤษ  ตามที่กิดเดนส์กล่าวไว้ว่า "เป้าหมายโดยรวมของการเมืองแนวทางที่สามควรเป็นการช่วยให้พลเมืองสามารถฝ่าฟันการปฏิวัติคร้้งใหญ่ในยุคของเราได้ ได้แก่ โลกาภิวัตน์ การเปลี่ยนแปลงในชีวิตส่วนตัว และความสัมพันธ์ของเรากับธรรมชาติ กิดเดนส์ยังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของมนุษยชาติ "ไม่มีตัวแทน กลุ่ม หรือขบงวนการใดที่สามารถแบกรับความหวังของมนุษยชาติได้ อย่างที่ชนชั้นกรรมมาชีพของมาร์กซ์ ควรจะทำได้ แต่มีหลายประเด็นในการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่เป็นสาเหตุที่ดีสำหรับการมองโลกในแง่ดี

          กิดเดนส์ ละท้ิงความเป็นไปได้ของอุดมการณ์หรือโครงการทางการเมืองที่เชืีอมโยงกันทั้งหมดและครอบคลุมโดยไม่มีดตรงสร้างแบบคู่ขนานแทนท่ี่จะเป็นเช่นั้น เขาสนับสนุนให้มุ่งไที่ภาพเล้กๆ ที่ผุ้คนสามารถส่งผลกระทบโดยตรงได้ที่บ้าน ที่ทำงาน หรือชุมชนท้องถ่ินสำหรับ กิดเดนส์ นี่คือความแตกต่างระหว่างอุดมคติ แบบไร้จุดหมาย และควาเมป็นจริงแบบอุดมคติที่มีประโยชน์ ซึ่งเขาให้คำจำกัดความว่าเป็นการจินตนาการถึง "อนาคตทางเลือกที่การแพร่กระจายอาจช่วยให้เกิดขึ้นจริงได้" (ผลที่ตามมาของความทันสมัยป โดยที่อุดมคติ เขาหมายถึงสิ่งใหม่และพิเศษ และเมือพูดว่าสมจริง เขาเน้นย้ำว่าแนวคิดนี้มีรากฐานมาจากกระบวนการทางสังคมที่มีอยุ่และสามารถมองได้ว่าเป็นการขยายความอย่างง่ายๆ อนาคตดังกล่าวมีศุนย์กลางอยุ่ที่ระเบียบโลกระดับโลกที่เป็นสังคมนิยมมากขึค้นปลอดทหารและห่วงใยโลก ซึ่งมีการแสดงออกอย่างหลากหลายภายในขบวนการสีเขียว สตรี และสันติภาพ และะภายในขบวนการ


ประชาธิปไตยที่กว้างขึ้น

            แนวทางที่สามนั้นไม่เพียงแต่เป็นผลงานทางทฤษฎีที่เป้นนามะรรมเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อพรรคการเมืองฝ่ายกลางซ้ายมากมายทั่วดลก ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป ละตินอเมริกา และออสเตรเลีย แม้จะใกล้เคียงกับพรรคแรงงานใหม่ในสหรัชอาณาจักร แต่กิดเดนส์ก็แยกตัวออกจาการตีความแนวทางที่สามหลายๆอย่างในแวดวงการเมืองประจำวัน สำหรับเขาแล้ว แนวทางที่สามนั้นไม่ได้หมายถึงการยอมจำนนต่อลัทธิเสรีนิยมหม่หรือการครอบงำของตลาดทุนนิยม ประเด็ก็คือการก้าวข้ามทั้งลัทะิตลาดนิยมพิ้นฐานและสังคมานิยมแบบลงล่าง แบบดั้งเดพิม เพื่อให้ค่านิยมของฝ่ายกลางซ้ายมีความสำคัญในโลก ที่กำลังโลกาภิวัตน์เขาโตแย้งว่า "การควบคุามตลาดการเงินเป็นประเด็นเร่งด้วยที่สุดในเะศราฐกิจโลก" และความมุ่งมั่นทั่วดลกต่อากรค้าเสรีขึ้นอยุ่กับการควบคุมที่มีประสิทธิปลมากว่าการลทิ้งความจำเป้นใสนกาควบคุม

          ในปี 1999 กิดเดนส์ ได้บรรยายเรื่อง รีท เลคเทอร์เรส ของ BBC ในหวข้อโลกที่หลุดลอยไป ซึ่ต่อมาได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อเดียวกัน วัตถุประสงค์คือเพื่อแนะนำแนวคิดและนัยของโลกาภิวัติน์ให้กับผุ้ังทั่วไป เขาเป็นวทิยากร คนแรกที่บรรยายในสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก และเป็นคนแรกทีีตอบกลับอีเมลที่ส่งมาโดยตรงในขณะที่เขากลังบรรยาย การบรรยายจัดขึ้นในลอดดอน วอชิงตัน นิวเดลี และฮ่องกง และมีผุ้ฟังในพื้นที่ตอบรับ.. กิดเดนส์ ได้รับรางวัล ออกเตเลียส ไพรซ์ สำหรับสาขาสังคมศาสตร์ปี 2002 รางวัลนี้ไพ้รับการขนานนามว่าเป็นรางวัลโนเบลของสเปน แต่รางวัลนี้ครอบคลุมไปไกลเกินกว่าขอบเขตของวิทยาศาสตร์ 

                 ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Anthony_Giddens

                           https://en.wikipedia.org/wiki/Democratic_Party_(United_States)

                           https://www.britannica.com/biography/Anthony-Giddens

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Iranian hostage crisis

          โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวีซาห์ แห่งอิหร่านเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ มาตั้งแต่การรัฐประารในอิหรานในปี 1953 ในช่วงหลายปีหลังการรัฐประหาร สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลืออิหร่านอย่างเต็มที่ ในขณะที่อิหร่รนเป็นแหล่งส่งออกน้ำมันแก่สหรัฐฯ ประธานาธิบดี คาเตอร์ แวนซ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ และ เบรซินสกี ที่ปรึกษา ต่่างมองว่าอิหร่านเป็นพันธมิตรที่สำคัญในช่วงสงครามเย็น ไม่เพียงเพราะน้ำมันที่ผลิตได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอิทธิพลในโอเปกและตำแหน่งทางยุทศาสตร์ระหวางหสภาพโซเียตและอ่านเปอร์เซียด้วย แม้จะมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน คาร์เตอร์ยังคงเดินทางเยือนอิหร่านในช่วงปายปี 1977 และอนุมัติการขายเครื่องบินรบสหรัฐฯ แก่อิหร่าน ในปีเดียวกัน เกิดการจลาจลในหลายเมือง และไม่นานก็แพร่กระจายไปทั่วประเทศ สภาพเศราฐกิจที่ย่ำแย่ ความไม่นยิมของ "การปกิวัติขาวไ ของราชวงศ์ปาห์ลาวี และการฟื้นฟูศาสนาอิสลามล้วนนำไปสู่ความดกระแค้นที่เพ่ิมมากขึ้นในหมู่ชาวอิหร่าน ซึ่งหลายคนยังคงดูถูกสหรัฐฯ ที่สนับสนุนราชวงศ์ปาห์ลาวีและมีบทบาทในการทำรัฐประหารในปี 1954 



         ปี 1978 การปฏิวัติอิหร่านได้ปะทุขึ้นเพื่อต่อต้านการปกครองของซาห์ รัฐมนตรีตางประเทศแวนซ์โต้แย้งว่าซาห์ควรจัดทำชุดการปฏิรูปเพื่อบรรเทาเสียงแห่งความไม่พอใจ ในขณะที่เบรซินสกีได้แย้งเพื่อสนับสนุนการปราบปรามผุ้เห็นต่าง ข้อความที่ไม่ชัดเจนที่ซาห์ได้รับจากแวนซ์และเบรซินสกีได้ก่อให้เกิดความสับสนและลังเลใจ ซาห์ลี้ภัยทิ้งให้รัฐบาลรักษาการเป็นผุ้ควบคุม อายาดอลเลาะห์ รูฮอลเลาะห์ โคมัยนี บุคคลทางศาสนาที่เป็นที่นิยม ได้กลับมาจาการลี้ภัย และได้รับการสนับสนุจากประชาชน ในขณะที่ความไม่สงบยังคงดำเนินต่อไป 

           คาร์เตอร์อนุญาตให้ปาหืลาวีเข้าสหรัฐอเมริกาเพื่อรับการักษาพยาบาล ในตอนแรก คอาร์เตอรืและิวนซ์ไม่เต็มใจจะรับปาห์ลาวีเนื่องจากังวลเกี่ยวกับปฏิกิรกยาในอิหร่าน แต่ผุ้นำอิหร่านรับรองกับพวกเขาว่าจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ 

         ไม่นานหลังจาก ปาห์ลาวีได้รับอนุญาติให้เข้าสหรัฐฯ กลุ่มมชาวอิหร่านได้บุกสภานทูตสหรัฐอเมริกา
ในกรุงเตหะรานและจับจตัวประกันชาวอเมริกัน 66 คน ทำให้เกิดวิกฤตการณืตัวประกันอิหร่าน นาบกรับมนตรีอิหร่น "เมห์ดี บาซาร์กัน" สั่งให้กลุ่มก่อการร้ายปล่อยตัวประกัน แต่เขาลาออกจากตำแหน่งหลังจากที่โคมันนีสนับสนุนการก่อการร้าย

           วิกฤตการณ์ดังกล่าวได้กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากนานาชาติและในประเทศอย่างรวดเร็ว และคาร์เตอร์ก็ให้คำมั่นสัญญาว่าจะปล่อยตัวประกันให้ได้ ขาปฏิเสธข้อเรียกร้องของอิหร่านฝในการส่งตัวปาห์ลาวีกลับประเทศเพื่อแลกกัการปล่อยตัวประกัน คะแนนนิยมของเขาพุ่งสูงขบึ้นเมือชาวอเมริกันสนับนุนการตอบสนองของเขา แต่วิกฤตตัวประกันกลับกลายเป็นปัญหาสำหรับรัฐบาลของเขามากขึ้นเรื่อยๆ 

             ศูนย์กลางของเรื่องนี้คือ ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ ว฿่งพยายามหาเสียงเลือกตั้งอีกครั้งในปี 1980 นั้นซึ่งมีปัญหาอยู่แล้วจากการท้าทายในการเลือกตั้งขั้นต้นของวุฒิสมาชิก คาร์เตอร์ได้ระงับการเดินทางต่างปรเทศและการณรงค์ทางการเมืองทันที่เพื่อมุ่งเน้นไปที่วิกฤตการณ์นี้ แต่ก็ไม่มีทางออกทางการทูตใดๆ ที่จะด้มาและส่ิงที่ต่อมารเรียกว่า "กลยุทธ์สวนกุหลาบ" (ซึ่งหมายถึงสวนกุหลาบในทำเนยยบขาวป กลับกลายเป็นกับดักสำหรับประธานาธิบดี ผุ้ช่วยคนหนึ่งและนักเขียนผู้ได้เคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับ คาร์เตอรณ์ เขียนไว้ว่า "กลยุทธ์สวนกุหลาบ มีผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจและแพร่กระจายอยางลึกซึ้งอีกประการหนั่ง กลยุทธ์นี้ทืำให้สื่ออเมริกัจมองเห็นวิกฤตการณ์ได้ชัดเจนย่ิงขึ้นด้วยการเน้นความรับผิดชอบไปที่ห้องทำงานรูปไข่ และแสดงให้ผุ้ก่อการร้ายเห็นว่าพวกเขาสามารถทำให้ตำแหน่งประธานาธิบดีของอเมริกาเกิดภาวะเสื่อมถอยได้" 

             ในต่้อนแรก คาร์เตอรื พยายามเจรจากับรัฐบาลอิหร่นที่ตกอยุ่ในความสับสนวุ่นวายจาการจับตัวประกัน แต่เนื่องจากคาร์เตอร์ เชิญซาห์เข้าไปในสหรัฐฯ นักศึกษาที่ควบคุมสถานการณ์จึงไม่เต็มใจที่จะป


ลอยให้เขารอดตัวไป นอกจากนี้ อายาดอลเลอะห์ รูฮอลเลอะห์ โคมัยนี ยังเป็ฯผุ้สั่งการ และเขาคัดค้านการยุติข้อพิพาทใดๆ ในรยะเร่ิมต้น ดังนั้น เดือนแล้วเดือนเล่า ขณะที่คาร์เตอร์ติดอยู่ในทำเนียบขาว การเจรจาก็ไม่มีความคือหน้า นี้คือสาเหตุที่ในฤดูใบไม้ผลิ เขาจึงตัดสินใจช่วยเหลือตัวประกันด้วยกำลังทหาร

            ปฏิบัติการอีเกิลคลอว์ เป็นหายนะที่จบลงด้วยการเสียชีวิตของชาวอเมริกัน เครื่องบินทหารที่พังพินาศ และตัวประกัน ที่ไม่สามารถเข้าใกล้อิสรภาพได้อีกต่อไป ซึ่งทำให้เห็นผลของการเลือกตั้งที่ยังไม่มาถึง และก็เป็นดังนั้นจริงๆ คาร์เตอร์พ่ายแพ้การเลือกตั้ง

           เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญมากในการหาเสียงเลือกตั้ง การต่อสู้ระหว่างคาร์เตอร์และคู่แข่งเป็นข่าวใหญ่และผู้มีสิทธิเลือกต้้งต่างก็ให้ความสนใจ ชาวอเมรกันต่างหลงใหลในเรืองราวการบุกดจมตี "เอนแทบเบ" ของอิสราเอลในปี 1976 ซึ่งเป็นหนึ่งในกภารกิจปฏิบัติการพิเศษครั้งแรกที่ได้รับความสนใจจากสาะารณชน การช่วยเหลือตัวประกันชาวอิสราเอลที่ถูกชาวปาเลสไตน์จับตัวไปในยูกันดา อย่างน่าตื่นเต้นและน่าตื่นตะลึงจึงได้จุดประกายจินตนาการของสาะารณชน สีปีต่อมา สหรัฐฯ ได้พยายามช่วยเหลือตัวประกันด้วยวิธีที่กล้าหาญแต่ก็ล้มเหลว ซึ่งเป็นสิ่งที่เลวร้ายสำหรับคาร์เตอร์ มีบางคนกล่าวว่า คาร์เตอร์แพ้การเลือกตั้งแต่คืนนั้นแล้ว

             ภารกิจที่ล้มเหลวถือเป็ฟางเส้นสดท้าย เมือเข้าสู่ปี 1980 จิมมี่ คาร์เตอร์ ถุกมองว่าเป็นปรธานาะิบดี
ที่อ่อนแอและไร้ความสามรถ เศรษฐกิจตกต่ำอย่างน่าตกใจ คะแนนนิยมของเขาตกต่ำมาก และการท้าทายจากเคนเนดี สิงโตแห่งพรรคเดโมแครต ถือเป็นการท้านทายการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แม้ คาร์เตอร์จะชนะการเสนอชื่อชิงประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตแต่เขากลับแพ้ไปเกือบทั้งหมดในการเลือกตั้งประธานาธิบดี นักศึกษาชาวอิหร่านได้นับตัวประกันไว้เป็นเวลานานกว่าที่ใครๆ จะคาดคิด และตัวประกันก็ได้รับการปล่อยตัวในวันที 20 มกราคม 1981 ซึ่งเป็นวันที่ "โรนัลด์ เรแกนเข้ารับตำแหน่ง...

            บันทึกความจำที่เปิดเผยในปี 2017 ซึ่งผลิตโดย CIA ในปี 1980 สรุปว่า "พวกหัวรุนแรงชาวอิหร่าน โดยเฉพาะ อายาดอลเลาะห์ โคมัยนี" มุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จากปัญหาตัวประกันเืพ่อให้ประธานาธิบดี "คาร์เตอร์" พ่ายแพ้ในการเลือตั้งเดือนพฤศจิกายน นอกจากนี้ ในปี 1980 เตหะรานต้องการให้ คนทั้งโลกเชื่อว่าอิหม่าม โคมันนี เป็นสาเหตุที่ทำให้ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ต้องล่มสลายและเสื่อมเสียชื่อเสียง...

           การปฏิวัติอิหร่านเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหวางแวนซืและเอบร์ซินสกีแตกร้ายเมื่อความปั่นป่วนทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งสองก็ก้าวไปสุ่จุดยืนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เยอรืซินสกีต้องการควบคุทการปฏิวัติและเสนอแนะให้ดำเนินการทางทหารมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ อะยาดอลเลาะห์ โคมัยนี ขึ้นสุ่อำนาจ ในขณะที่แวนซืต้องการตกลงกับสาะารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านแห่งใหม่ ผลที่ตามมาคือคารืเตอร์ไม่สามารถพัฒนาวิธีการจัดการสถานในอิหร่านได้อย่างสอดคล้องกัน การลาออกของแวนซืหลังจากภารกิจช่วยเหลือตัวประกันไม่ประสบความสำเร็จ โดยไม่สนใจคำคัดค้านของคาร์เตอร์ ถือเป็นผลลัทธ์ขึ้นสุดท้ายของความขัดแย้งอย่างลึกซึ้งระหว่างเบยอร์ซินสกีและแวนซ์...

              จากวิกฤตการณ์ตัวประกันอิหร่าน ส่งผลต่อการเลือกตั้ง "โรนัลด์ เรแกน ผุ้ได้รับการเสนแชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ได้รับชัยชนะอย่างถล่มถลาย ในปี 1980 ซึ่งส่งผลต่อไปทำให้ภูมทัศน์ทางการเมืองเปลี่ยนไป ผุ้สนับสนุนเดโมแครตหันไปสนับสนุนรีพับลีกันกันในอกีหลายปีข้องหน้า การหลังไหลเขามาของเดโมแครตสายอนุรักษ์นิยมในพรรครีพับลิกัน ถูกอ้างถึงว่าเป็นเหตุผลที่พรรครีพัลลิกันเปลี่ยนแปนวทางไปทางขวามากขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เช่นเดียวกับการย้ายฐานเสียงจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือและมิดเวสต์ไปทางใต้....

             ที่มา : วิกิพีเดีย

                        https://www.brookings.edu/articles/the-iranian-hostage-crisis-and-its-effect-on-american-politics/

                        

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...