วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Party Factions

      กลุ่มการเมืองคือกลุ่มบุคคลที่มี จุดมุ่งหมาย ทางการเมือง ร่วมกั้นโดยเฉพาะกฃุ่มยอ่ยของรรคการเมืองที่มีผลประดยชน์หรือความคิดเห็นที่แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ ความขัดแย้งภายในกลุ่มระหวางกลุ่มต่างๆ อาจนำไปสู่การแตกแยกของพรรคการเมืองออกเป็นสองพรรคการเมือง ระบบการเลือกตั้ง เลย์ เดอ เลมัสส์ เป็นรูปแบบการเลือกตัวแทนตามสัทดส่วนแบบรายชื่อเป็น ซึงใช้หรือเคยใช้้ในการเลือกตั้งในอาร์เจนติน่า อุรุกวัย และฮอนดูรัส อนุญาตให้ผู้ลงคะแนนเสียงระบุในบัตรลงคะแนนว่าตนชอบกลุ่มการเมืองใดภายในพรรคการเมืองหนึ่ง หลุ่มการเมืองสามารถเป็นตัวแทนของกลุ่มผุ้ลงคะแนนเสียงได้ 



           จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิดบีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ได้เตือนถึงกลุ่มการเมืองต่างๆ ในคำอำลาที่่โด่งดังของเขา

           " โดยไม่ต้องมองไปข้องกหน้าถึงความสุดโต่งในลักษณะนี้(ซึ่งอย่างไรก็ตามไม่ควรจะหลุดลอยไปจากสายตาโดยสิ้นเชิง) ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั่วไปและต่อเนื่องของจิตวิญญาณแห่งพรรคก็เพียงพอที่จะทไใ้เป็นผลประดยชน์และหน้าที่ของประชาชนผุ้ชาญฉลาดทีจะขัดขวางและยับยั้งมัน(การก่อตัวและการภักดีต่อผลประโยชน์ของพรรคการเมือง มากเกินไปต่อหลักการหรือประเทศของตน)

           กลุ่มต่างๆ ในพรรครีพับลิกัน (สหรัฐอเมริกา)

           ประกอบด้วยกลุ่มต่างๆ หลายกลุ่ม ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 อาทิ กลุ่มฮาล์ฟบรีด ซึ่งสนับสนุนการปฏิรูประบราชการ กลุ่มเรดิคัลรีพับลิกัน สนับสนุนการยกเลิกทาสทันที่และโดยสิ้นเชิง และต่อมาสนับสนุนสิทธิพลเมืองของทาสที่ได้รับอิสรภาพในยุคการฟื้นฟู และกลุ่มสตัลวาร์ด ซึ่งสนับสนุนการเมืองแบบเครื่องจักร

          ในศตวรรษที่ 20 ได้แก่ พรรครีพับลิกันสายก้าวหน้า พรรคร่วมรัฐบาลของเรแกน และ พรรครีพับลิกันสายเสรีนิยมของร็อกกี้เฟลเลอร์

          ศตวรรษที่ 21 กลุ่มรีพับลิกันประกอบด้วกกลุ่มอนุรัษ์นิยม (ซึ่งมีตัวแทนในสภาผุ้แทนราษฎร โดยคณะกรรมการศึกษาพรรครีพับลิกัน และกลุ่มเสรีภาพ) กลุ่มสายกลาง (ซึ่งมีตัวแทนในสภา ผุแทนราษฎร โดยกลุ่มการปกครอง พรรครีพับลิกัน กลุ่มถนนสายหลักของพรรคริพับฃิกัน และสมาชิกกลุ่มแก้ปัญหาพรรครีพับลิกัน) และกลุ่มเสรีนิยม (ซึ่งมีตัวแทนในรัฐสภา ดดยกลุ่มเสรีภาพรรครีพับลิกัน กลุ่มที่สนับสนุนทรัมป์ และต่อต้านทรัมป์ 

        กลุ่มต่างๆ ในพรรคเดโมแครต (สหรัฐอเมริกา)

        เป็นพรรคการเมืองที่ประกอบด้วยกลุ่มต่างๆ กลุ่มเสรีนิยมสนับสนุนเสรีนิยมใหม่ที่เร่ิมต้นด่้วยนโยบาย นิวดีล ในช่วงทศวรรษที่ 1930 และดำเนินต่อไปด้วยนโยบาย นิวฟรอนเทียร์ และเกรทโซไซตี้ในช่วงทศวรรษท 1960 กลุ่มสายกลางสนับสนุนการเมือง แนวที่สาม ซึ่งรวมถึงนดยบายสังคมฝ่ายกลางซ้ายและนดยบายการคลังสายกลาง กลุ่มกาวหน้าสนับสนุนแนวคิดก้าวหน้า

          ในอเมริกาความผิดปกติทางการเมืองกระตุ้นให้เกิดความสนใจในการปฏิรูปพรรคการเมืองอีกครั้ง บางคนต้องการให้พรรคการเมืองกระจายอำนาจออกไปเพื่อให้มีระบบกลายพรรคการเมือง ในขณะที่บางคนต้องการให้พรรคการเมืองทั้งสองพรรคของรามีความเข้มแข็งและมีลำดับชั้นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการเปลียนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการเมือง อาจต้องหารวิธีที่จะทำงานภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยุ่ และในช่วงศตวรรษครั่งที่ผ่านมา กลุ่มต่างๆ ภายในพรรคได้บรรลุเป้าหมายหลายประการที่นักปฏิรูปหวังไว้ กลุ่มต่างๆ เหบ่านี้มีบทบาทสำคัญแต่ไม่ได้รับการยอมรับมากนักในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกา อย่างน้อยก็ตั้งแต่สงครามกลางเมือง

          การเน้นเฉพาะกลุ่มภายในพรรคการเมืองมากกวาพรรคการเมืองโดยรวมทำให้ระบบพรรคการเมืองของอเมริกามีมุมมองใหม่ และทำให้เราได้แนวคิดทีา่ชีดเจนเกี่ยวักบการปฏิรูปรรคการเมือง แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากในสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่แตกแยกและแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่การสร้างกลุ่มการเมืองที่มุ่งเน้นการบริหารที่เน้นในทางปฏิบัติ ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเืพ่อมิติของความหลากหลายในเชิงเนื้อหาให้กับระบบสองพรรคการเมือง ขณะเดียวกันก็เพ่ิมความแข็งแกร่งให้กับพรรคการเมืองในฐานะเครื่องมือในการบริหารการรวมกลุ่มดังกล่วอาจทำให้ความสามัคคีของพรรคการเมืองลดลง แต่ในทางกลับกัน กลุ่มการเมืองเหล่านี้อาจเพ่ิมความสมารถในการาบริหารของพรรคการเมืองได้เช่นกัน 

             พรรคการเมืองอเิมริกันทั้งสองพรรคเป็น "พรรคใหญ่" โครงสร้างพื้นฐานของระบอเมริกัน ซึ่งก็คือกฎที่ผุ้ชนะกินรวบในการเลือกต้้ง สมาชิกสภาพผุ้แทนราษฎร วุฒิสมาชิก และประธานาธิบดี (ผ่านคณะผุ้เลือกตั้ง) หมายความว่าการได้ที่สอง ไม่ต้องพูดถึงที่สามหรือที่สี่ ก็ไม่มีความหมายในแง่ของการปกครอง ในระบบที่ผุ้ชนะกินรวบ พรรคการเมืองที่สามเป็นเพียงผุ้ทำลาย ซึ่งเป็นเหตุว่่าทำไมพรรคการเมืองที่สามจึงมักอยุ่ได้ไม่เกินสองสามรอบการเลือกต้้ง แต่การที่พรรคการเมืองสองพรรคยังคงดำรงอยุ่ ไม่ได่้หมายความวว่าการเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ต้องมองภายในพรรคการเมืองแต่ละพรรคกในช่งหลายปีหลังสงครามกลางเมือง พรรครีพับลิกันแม้จะครองอำนาจอยุ่ แต่ก็ต้องต่อสู้ภายในอยางตอเนื่อง ระหวาง "พวกมักวัมพ์" "พวกหัวแข็ง" และ "พวกลูกครึ่ง" เมื่อถึงศตวรรษใหม่ พวกเขาถุกท้าทายโดยกลุ่มก้าวหน้า และต่อมาในช่วงทศวรรษ 1950 ก็ถูกท้่าทายโดยพรรครีพับลิกัน "ขวาใหม่" ขบวนการ "ทีปาร์ตี้" ยืนหยัดอยุ่ในแนวหน้าของการท้าทายภายในที่ยาวนานต่อผุ้ที่กุมอำนาจในพรรครีพับลิกัน

            เช่นเดียวกับพรรคเดโมแครต ซึ่งหลังจากสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลงพรรคได้เปลี่ยนมาเปฯพรรคประชานิยมที่เรียกว่า "ไม้กางเขนทองคำ" ในช่วผลายศตวรรษที่ 19 การเปลี่ยนแปลงพรรคดังกล่าวเป็นพรรคเพื่อสิทธิพลเมือง สิทธิสตรี และต่อมาเปนพรรคประชาธิปไตยใหม่เป็นผลจากการต่อสู้ภายในพรรคที่แบ่งแยกกัน

           ในการเมืองอเมริกันยุคใหม่ สถานที่ที่จะมองเห็นว่าเหตุใดและอย่างไรที่พรรคกาเรมืองจงเปลี่ยนแปลงไปก็คือการเลือกตั้งขั้นต้น ไม่เพียงแต่แค่การเลือกตั้งขั้นต้นของรัฐสภาพที่ "รอนแรง" เท่านั้น แต่รวมถึงการเลือกตั้งขั้นต้นของรับสภา ทุกครั้งที่มีการแข่งขันกัน แม้ว่าผุ้ท้าชิงจะไม่น่าจะชนะก็ตาม การต่อสุ้ภายในพรรคจะเกิดขึ้นดดยที่สาะารณชนไม่รับรุ้ การเลือกตั้งขั้ต้นเป็นเรื่องหใหม่ในวงการการเมืองอเมริกัน ตลอดประวัติศาสตร์ส่วนหใย่ ของอเมริกา การแข่งขันระหวางกลุ่มต่างๆ เพื่อชิงตำแหน่งผุ้นำพรรคและประเด็นที่พวกเขาจะเป็นตัวแทนนั้นเกิดขึ้นในห้องที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ตามสุภาษิตของการประชุมใหญ่พรรคการเมืองของรัฐ

        จากกาวิเคราะห์ในปี 2014 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มต่างๆ เป็นตัวขับเคลื่อแนวคิดภายในพรรคการเมือง  เช่น ความแตกแยกภายในกลุ่มต่างๆ ของพรรครีพัลลิกัน เกี่ยวกับการย้ายถ่ินฐาน ในขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันแทบทุกคนที่พุดถึงการย้ายถ่ินฐานคัดค้านการปฏิรุปการย้ายถ่ินฐานอยางครอบคลุม ผุ้สมัครพรรครีพัลลิกัน  41% กลับเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ ในบรรดาผุ้ที่พุดถึงเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีความสำคัญต่องพรรค "ที ปาร์ตี้" มากกว่ากลุ่มอื่นๆ ของพรรครีพับลิกัน เห็นได้ว่ากลุ่ม "ที ปาร์ตี้" จะพยายามขัดขวางการปฏิรูปการย้ายถ่ินฐานต่อไป

        เดโมแครต ผุ้สมัครเกือบครึ่งหนึ่งไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ แต่สำหรับผุ้ที่พุดนั้น เห็นได้ชัดจากสถิติว่า พรรคเดโมแครตที่ระบุตนเองว่าเป็น "ฝ่ายก้าวหน้า" กำังชับเคลื่อนประเด็นจี้ภายในพรคในระบบสองพรรคการเมืองซึ่งสนับสนุนโดยระบบการเลือกตั้งที่ผุ้ชนะได้ทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเืองพรรคการเมืองหนึ่งพรรคใดเปลี่ยนไปเป็นพรรคอื่นอัเป็นผลจากสงครามภายในระหวางกลุ่มของตนเอง

           มีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยวกับสภาแวดล้อมทางการเมืองในปัจจุบันของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเพื่อมขค้นและความแข็งแกร่งของกลุ่มการเมืองต่างๆ เนื่องจากผุ้ที่มีแนวคิดเหมือนกันมีความผูกพันกันอยางใกล้ชิดมากขึ้นในการผลักดันกฎหมายและการเปลี่ยนแปลง จึงมีแนวโน้มวาการทำงานร่วมกันในกลุ่มที่เหนียวแน่นจะมีอำนาจในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายผ่านรัฐสภา และยิ่งกลุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นก็จะยิ่งมีอำนาจมากขึ้น แต่เรืองนี้เป็นความจริงหรือไม่..

         เราได้ทำการวิเคราะห์เชิงคุณภาพตัวอยางขนาดใหญ่ของกลุ่มการเมืองภายในสภาผุ้แทรราษำรจำนวน 8 กลุ่มผ4 กลุ่มเป็นพรรครีพัลลิกัน 4 กลุ่มเป็นพรรคเดโมแครตป ซึ่งมีสมาชิกครอบคลุมกลุ่มอุดมการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ปี 1995-2016 และได้วิเคราะห์ว่าการสังกัดกลุ่มการเมืองของสมาชิกรัฐสภาเหล่านี้มีผลต่อคะแนนประสิทธิผลของนิติบัญัติหรือไม่

        เราพบหลังกฐานเชิงประจักษืว่าสมาชิกกลุ่มย่อยในพรรคการเมืองนี้มีประสิทธิผลมากกว่ากผุ้สมัครที่ไม่ได้อยุ่ในกลุ่มย่อย แต่ผุ้สมัคตที่อยุ่ในพรรคการเมืองเสียงข้างมากกลับไม่ประสบผลสำเร็จดังกล่าว ผลการศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่าการเป็นสมาชิกกลุ่มย่อยมในพรรคการเมืองเสียงข้างมากอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลของกฎหมายได้ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจย่ิงกว่าก็คือการวิจัยนั้น ขัดแย้งกับสมมติฐานสองข้อ คือ 1 ขนาดของกลุ่มมีผลกระทบต่ออำนาจและความสามัคคี และส่งผลต่อประสิทะิผลในการตรกกฎหมายและ 2 กลุ่มที่มีแนวทางสายกลางจะมีอิทธิพลมากกว่า

         กลุ่มพรรคกรเมืองต่างๆ สามารถมีอิทธิพลในกระบวนการออกกฎกหมายได้ แต่ไม่ใช่้ในลักษณะที่นักวิชาการและผุ้สังเกตุการณ์ทางการเมืองร่วมสมัยจะเข้าใจได้อย่างเ็มที่กล่าวอยางง่ายๆ ก็คือ ขนาดและจุดยืนทางอุดมการณ์ของกลุ่มพรรคการเมืองต่างๆ ไม่มีผลต่อประสิทธิผลในการออกกฎหมายของสมาชิกแต่กลุ่มต่างๆ มักจะมีอิทธิพลมากที่สุดเมื่อพรรคการเมืองที่พวกเขาสังกัดเสียเปรียบมากที่สุดในกระบวนการออกกฎหมายเนื่องจากสถานะของพวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อยในช่วงเวลาดังกล่าว สมาชิกกรรมาะิการเสนอโอกาสและหนทางให้นักกฎหมายก้าวไปข้งหน้า ซึ่งพวกเขาอาจไม่มีทางเลือกอื่น ผลการวิจัยเลห่รนี้มีความหมายสำคัญต่อความเข้าใจของเราเกี่ยวกับ รัฐสภา และมีความเกี่ยวข้องในทางปฏิบัติกับสมารชิกรัฐสภาที่อาจตึ้งคำถามถึงคุณค่าสัมพันธทของการเข้าร่วมกลุ่มการเมืองต่างๆ ในแง่ของประสิทธผลและความสำเร็จในการออกกฎหมายของตนเอง

              ที่มา : https://thelawmakers.org/legislative-research/how-effective-are-party-faction-members-in-congress

                       https://www.nationalaffairs.com/publications/detail/party-factions-and-american-politics

                       https://en.wikipedia.org/wiki/Democratic_Party_(United_States) 

                       https://en.wikipedia.org/wiki/Factions_in_the_Republican_Party_(United_States)

                       https://en.wikipedia.org/wiki/Political_faction

                        

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Midwest

            "มิดเวสต์" เป็นหนึ่งในสี่ภูมิภาคสำมะโนประชากรของสำนักงานสำมะโนประชากรแห่งสหรัฐอเมริกาเรียก ภุมิภาคนี้ว่า ภุมิภาคตอนกลา...