ของผุ้บิรโภค ในกาทดลอง กลุ่มอนุรักษณ์นัิยมและกลุ่มรีพับลิกันขอบอ่านรายงานข่าวมทีมาจาก Fox News และหลักเลี่ยงข่าวจาก CNN และ NPR เท่าๆ กัน แต่หลีกเลี่ยง "ฟ็อกนิวส์" รูปแบบการเปิดรับข่าวแบบเลือกเฟ้นตามความขอบของพรรคการเมืองนี้ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นกับการรายงานข่าวงในประเด็นที่ถกเถียงกันเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับหัวข้อที่ค่อนข้าง "ไม่เหนักแน่น" นอกจากนี้ แนวโน้มในการเลือกตับข่าวตามความเห็นพ้องต้องกันยังเพ่ิมขึ้นในกลุ่มผุึ้สนับสนุนทางการเมืองอีกด้วย โดยรวมแล้วผลลัพธ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการแพร่กรจะายของสื่อใหม่และการมีทางเลือกของสื่อที่มากขึ้นอาจส่งผลต่อากรแบ่งขั่วของผุ้ชมข่าวมากขึ้น https://academic.oup.com/joc/article-abstract/59/1/19/4098357?redirectedFrom=fulltext
ภฺมิทัศน์ข่าวของอเมริกาแตกแยกและแตกแยก โดยไม่มีช่องทางใดที่จะดึงดูดความสนใจหรือความไว้วางใจจากสาะารณชนได้อย่างชัดเจน การระบุพรรคการเมืองและสในระดับหนึ่ง อายุเป็วแบ่งการบริโภคสือของอเมริกา ผุ้ใหญ่ส่วนใหญ่กล่าวว่าการบริโภคข่าวอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของพวกเขาเกี่ยวข้องกับการเมือง และแหล่งข่าวหลักส่วนใหญ่ถุกมองว่าเป็นฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวาในสายตาชาวอเมริกัน
พรรคเดโแมครตมีแนวด้มที่จะเชื่อถือข่าวทั่วไปมากว่าพรรครีพับลิกัน รวมถึงเชือ่ถือสื่อเฉพาระส่วนใหญ่ด้วย พรรครีพับลิกันและชาวอเมริกันโดยทั่วไปมักจะจัดประเภทแหล่งข่าวว่าเป็นแนวเสรีนิยมมากกวาแนวอนุรักษ์นิยม แม้วาจะมีข้อยกเว้นก็ตามพรรคเดโแมครตและพรรครีัีพัลิกันต่างก็มีจุดร่วมบางประการเมืองพูดถึงแหล่งข่าวด้านการเงิน แต่มีความเห็นที่แตกตางกันอยางมากเีก่ยวักบแหล่งชข่าวอื่นๆ รวมถึงสองแหล่งที่ใช้ย่อยที่สุด ได้แก่ CNN และ Fox News
ในการสำรวจล่าสุดของเราเราถามชาวอเมริกันเกี่ยวกับแหล่งข่าวแต่ละแห่งจากทั้งหมด 52 แหล่ง รวมถึงการใช้งานในแต่ละแหล่งในช่วงเดือนที่ผ่านมา ความนาเชื่อถือ และแนวคิดเชิง อุดมคติของแหล่งข่าวนั้นๆ ในการสำรวจดังกลาว เราจะทบทวนคำถามที่ถามในแบบสำรวจที่คล้ายกันซึ่งดำเนินการเมืองประเมาณหนึ่งปีก่อนในเดือนเมิษายน 2023 โดยมีการเพิ่มและลบบางส่วนผลลัพธ์ดังกล่าวสะท้อนถึงมุมมองของชาวอเมริกันเกี่ยวกับสื่อและแหล่งชข่าวเฉพาะ ซึ่งรวมถึวความคิดเห็นของผุ้คนจำนวนมากที่ไม่ได้รับข่าวสารจากสำนักข่าวดังกล่าวในช่วงไม่นานมานี้สำนักข่าวบางแห่งถุกใช้หรือได้รับความคิดเห็นจากชาวอเมริกันมากกว่า และสำนักข่าวเหล่านี้มักจะอยู่ในอันดับต้นๆ และอันดับท้ายๆ ของชาร์ตเหล่านี้
เช่นเกียวกัยการสำรวจเมือปีที่แล้เราถามชาวอเมิรกันใปี 2024 ว่าพวกเขาพบว่าร้านค้ามากว่า 50 แห่งมีความน่าเชื่อถือมา น่าเชื่อถือ ไม่น่าเชือ่ถือ ไม่น่าเชื่อถือเลย หรือไม่น่าเชือ่ีถือเลย โดยใช้ผลลัพธ์เหล่านี้ เาคำนวณคะแนนความน่าเชื่อถือสุทธิของร้านค้าแต่ละแห่ง นั่นคือ ชาวอเมริกันมีแนวโน้มที่จะบอกว่าแหล่งที่มาน่าเชื่อถื่อหรือน่าเชื่อถือมากเพียงใด มากกว่าไม่น่าเชื่อถือหรือไม่น่าเชื่อถือเลย
จากการวัดนี้ "เดอะ วินเทอร์ ชาแนล" ยังคงเป็นแหล่งข่าวที่เชือ่ถือได้มากที่สุ ดเช่นเดียวกับในปี 2022 และ 2023 โดยชาวอเมริกันมีแนวโน้มี่จะเรียก "เดอะ วินเทอร์ ชาแนล" วาน่าเชื่อถือมากว่า 43 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่พวกเขาเรียกมัว่าไม่น่าเชื่อ "เดอะ วินเทอร์ ชาแนล" ตามมาด้วยสถานี้โทรทัศน์สาธารณะสองแห่ง ได้แก่ BBC ( +25) และ PBS (+22) The Wall Street Journal (+22) เสมอ กับ PBS ในอันดับที่สาม และเป็นองค์กรเดียวที่จัดพิมพ์หนังสือที่ติดอันดับอยู่ใน 10 แหล่งช่าวที่เชื่อถือได้มากที่สุด
สำนักข่างทั้ง 5 แห่งได้รับการจัดอันดับให้เป็น 5 สำนักข่าที่น่าเชื่อถือที่สุดในปีนี้เช่นเดียวกับปีทาี่แล้วในปี 2023 โดยในครั้งนี้ BBC แซงหน้า PBS เล็กน้อย ความเชื่อมั่นสุทธิต่อสำนักข่าวส่วนใหญ่ลดลงเลห็น้อยในปีนี่้ หลังจากปรับตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามเมือปีที่แล้วตั้งแต่ปี 2022 โดยรวมแล้ว ความเชื่อมั่นต่อสำนักข่าวที่สำรวจในทั้งสมปีนั้นแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย เช่นเดียวกับตำแหน่งสัมพันธ์ของความน่าเชื่อถือ
พรรคเดโมแครตมีแนวดโน้มที่จะเชื่อถือข่าวทั่วไปมากว่าพรรคีัพลฃิกัน และความเชื่อใจต่อสื่อข่าวเฉพาะก็เป็นจริงเช่นเกียวกันจาการสำรวจแหล่งข่าว 52 แห่ง พบว่าพรรคเดโมแครตไว้วางใจแล่งข่าวเหล่านี้มากว่าไม่ไว้วางใจ ดดยมีเพียง 25% ของแหล่งข่าวในกลบุ่มรีพับลิกันเท่าน้นที่เชื่อใจ
แม้วาโดยทั่วไปแล้วทังพรรคเดโแมครตและรีพัลลิกันจะไว้วางใจเครือข่ายโทรทัศน์มากกว่าสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่ออนไลน์แต่ทั้งสองพรรคก็มีความแตกต่างกันในเรื่องของเครือข่ายที่พวกเขาไว้วางใจ พรรคเดโแมครต ไว้วางใจ PBS, ABC, CBS, NBC, และ CNN มากที่สุด ขณะที่พรรครีพัลิกันไว้วางใจ "ฟ็อกนิวส์" ฟ็อก ชาแนล" และ นิวส์แมค" เป็นพิเศษ
แหล่งข่าวที่พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันมองว่าน่าเชื่อถือที่สุดนั้นแทบจะไม่มีการทับซ้อนกันเลย นอกเหนือไปจาก "เดอะ เวทเทอร์ ชาแนล" ซึ่งเป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ทั้งสองฝ่ายมีเพียง 13% ของแหล่งข่าวเท่านั้นที่สามชิกพรรคทั้งสองพรรคไว้วางใจได้มากกว่าไม่ไว้วางใจ และแหล่งข่าวที่ค่อนข้างเป็นกลางนั้นก็มัีกจะเน้นไปที่ข่าวเศรษฐกิจหรือการเงินอย่างน้อยก็ในชื่อ ซึ่งรวมถึง "บิวซิเนท อินไซเดอร์" ไฟแนนเชีล ไทม์" "ฟรอบส์ อีโคโนมิสท์" และ "วอลล สตรีท เจอร์นอล"
CNN เป็นสือที่ทำให้มีการขัดแย้งทางการเมืองมากทีุ่ดโดยมีคะแนนความน่าเชื่อถือสุทธิที่แตกต่างกันระหวางพรรคเดโมแครตและ รีพับลิกันถึง 96 คะแนน เครือ่ายอื่นๆ ที่ได้รับควาาไว้วางใจด้านข่ายอื่นๆ ที่ได้รับความไว้วางใจด้านข่าวจากพรรคเดโแมครมากกว่าพรรครีพับลิกัน ได้แก่ MSNBC, NBC, CBS, และ ABC ในทางกลับกัน พรรครีพัลิกันมีคะแนนความน่าเชื่อถือสุทธิสุงกว่าพรรคเดโแสมครตสำหรับ Fox News และสูงกว่า ฟ็อก บิวซิเนท ชาแนลแม้ว่าชาวแเมริกันจำนวนมากจะบอกว่าพวกเขาบริโถคบข่าวสารจากโซเชียลมีเดีย แต่กลับมีหบายคนเชื่อว่มันไม่น่าเชื่อถือมากกว่าน่าเชือถือ แม้ว่า "ยูทูบ" และ "ลิงค์คิดดิน" จะถือว่าดีกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ เล็กน้อยก็ตาม แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่น่าเชื่อถือน้อยที่สุดคือ "ติกต็อก" "เฟสบุค" และ "สแนปแชท ทรัสท์ โซเชียล" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นแพลตฟอร์มที่มีความแตกแยกมากที่สุด ดดยพรรครีพับลิกันมีแนวโน้มที่จะเชื่อถือมากวาพรรคเดโแมครต ในบรรดาพรรครีพับลิกัน "ทรัสท์ โซเชียล" เป็นแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือที่สุด แต่ในบรรดาพรรคเดโแมครต แพลตฟอร์มนี้กลับได้รับความไว้วางใจน้อยที่่สุด พรรคเดโแมครตมีแนวโ้มที่จะเชื่อถือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ มากกว่าพรรครีพับลิกัน ยกเว้น X ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจาการสำรวจเมือปีที่แล้วซึ่งพบว่าพรรคเดโมแครตไว้วาใจ "ทวิตเตอร์" มากว่าพรรครีพัลลิกัน ในปีที่ผ่านมา ความไว้วางใจของพรรคเดโมแครตทีมีต่อข่าวสารจาก "ทรัสท์ โซเชียล" และ "ติกตอก" ก็ลดลงเช่นกัน https://today.yougov.com/politics/articles/49552-trust-in-media-2024-which-news-outlets-americans-trust