"นี่อาจเป็นข้อเท็จจริงที่น่าตกละลึงที่สุด คือการเลือกตั้งที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องยาวนานนี้
อย่างน้อยก็ในคะแนนนิยม ซึ่งด
ุเหมือนจะไม่ได้สะท้อนใวห้เห็นถึงอำนาจการปกครองที่แท้จริงในลักษณะที่เราคาดหวังจะเห็น" พอล เพียร์สัน นักรัฐศษสตร์จากมหาวิทยาลัเแคลิฟอรืเนีย เบิร์กลีย์และผุ้เขียนร่วมหนังสือ พาร์ติสัน เนชั่น ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับรัฐและการเลือกตั้งของอเมริกา
แฮร์ริสไม่ได้รับประกันว่าจะคว้าคะแนนนิยมไ้ ทรัมป์กลังไลตามเธอในโพลสำรวจระดับชาติส่วนใหญ่มากกว่าที่เขาทำได้กับ โจ ไบเดนในช่วงนี้ในปี 2020 และรัฐสำคัญทั้ง 7 รัฐล้วนไล่ตามกันมาอย่างสุสีทำให้บรรดานักยุทธศาสตร์ของทังสองพรรคมองว่ามีโอกาสจริงที่ทรัมป์จะชนะคณะผุ้เลือกตั้งได้ แม้ว่าเขาจะแพ้คคะแนนนิยมอีกครั้งก็ตาม เช่นเดียวกับที่เขาทำในปี 2016 แม้ว่าแฮร์ริสจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่พรรคเดโมแครตก็มีโอกาสน้อยมากที่จะได้ครองวุฒฺิสภาซึ่งขณะนี้พวกเขาเกาะติดเสียงข้างมากที่ 51:49
คลีย์ คอนดิค บรรณาธิการบริหารของจดหมายข่างการเลือกตัง คริสตอล บอล ของ ซาบาโต้ ซึงจัดพิมพ์โดยศุนย์การเมืองแห่งมหาวทิยาลับเวอร์จิเนย ชี้ให้เห็นว่า หากพรรคเดโแมครตได้รับเสียงข้างมากในวุฒิสภา (และอาจรวมถึงสภาผุ้แทนราษฎรด้วย) ร่วมกับชัยชนะของแฮร์ริส เธอจะถือเป็นประธานาธิบดีคนแรกจากเดโมแครต นับตั้งแต่ โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ชนะการเลือกตังในปี 1884 ที่เข้ารับตำแหน่งโดยที่ไม่อาจควบคุมสภาทั้งสองสภาได้รวมกัน นั่นจะจำกัดวาระที่ประธานาธิบดีแฮร์ริสสามารถดำเนินการได้อย่างมาก ซึ่งอสจช่วยอธิบายได้อีกครั้งว่าพรรคเดโมแครตในยุคใหม๋นั้นยากลำบากกว่ายุคก่อนๆ มากเพียงใดในการเปลีบยนความสำเร็ขของคะแนนนิยมให้เป็นอำนาจในการผ่านวาระที่พรรคร่วมรัฐบาลลงคะแนนสนับสนุนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เดโมแครตสมัยใหม่ไม่เพียงแต่จะแพ้การเลือกตั้งประะานาธิบดีถึงสองครั้งในชขณะที่ได้รับคะแนนนิยมในช่วงเวลาดังกล่าวเท่านัน แต่ยังควบคุมสภาทั้งสองสภได้เพียง 6 สภา จากทั้งหมด 20 ปีนับตั้งแต่ 1992ที่ครองทำเนียบขาว(บิล คลินตัน, บารัค โอบามา และไบเดน ต่างก็ควบคุมรัฐสภาได้เพียงสองปีแรกของการดำรงตำแนห่งประะานาธิบดี ก่อนที่จะสุญเสียการควบคุมในการเลือกตั้งกลางเทอมครั้งแรก) พรรครีพับลิกันควบคุมรัฐบาลได้สำเร็จในการเลือกตั้ง 2 ครั้งเมือเดโมแครตชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีทั่วไปรเทศด้วยคะแนนเสียงข้างมาก
"รีพับลิกัมีหนทางที่จะได้ที่นั่งส่วนใหญ่โดยไม่ต้องมีคะแนนเสียงช้างมาก" ลี ครุตแมน นักวิจัยอาวุโสในโครงการปฏิรูปการเมืองของสถาบันวิจัยนิวอเมริกาซึ่งเป็นองค์กรกลางๆ กล่าว" เป็นไปได้ที่ในการเลือกตังครั้งนี้ รีพับลิกันอาจแพ้คะแนนเสีงในวุฒิสภา แพ้คะแนนเสียงนิยมของประะานาธิบดี แพ้คะแนนเสียงนิยมของสภผุ้แทนราษฎรแต่ยังคงควบคุมทั้งสามสภาได้"
เนื่องจากการควงคุมรัฐสภาของเดโมแครตสั้นกว่ามา เดโมแครตจึงไม่สามารถดำเนินการตามวาระของตนได้มาเท่ากับที่พรรคร่วมรัฐบาลซ.ึ่งเคยครองเสียงข้างมากทำได้ ความแกต่งนี้เห็นได้ชัดโดยเฉพาะในกลไกสำคัญอีกปะการหนึงของอำนาจรัฐบาล นั่นคือ การแต่งตั้งผุ้พิพกาษาศาลฎีกา เมือยุคที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมากในปี 1932 สิ้นสุดลงประะานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันได้แต่งตั้งผุ้พิพากษาศาลฎีกา 7 คนจากทั้งหมด 9 คน เมื่อการครองเสียงข้างมากของพรรคเดโแมครของพรรค FDR สิ้นสุดลงในปี 1968ประธานาธิบดีจากพรรคเดโแมครตได้แต่งตั้งผุ้พิพากาาศาลฎีกา 5 คนจากทังหมด 9 คนและจำนวนดังกล่าวก็ยังต่ำกว่าขอบเขตอิทธิพลของพรรคเดโมแครตในช่วงเวลาดังกล่าว เนือ่งจากศาลในปี 1968 มีผุ้พิพกาษา 4 คนที่ได้รับการแต่งตั้งโดย ดไวท์ เอลเซนฮาวเวอร์ เมือ เข้ารับตำแหน่งในปี 1953 FDR และ ทรูแมน ได้แต่งตั้งผุ้พิพากษาศาลฎีกาทั้ง 9 คน
ในปัจจุบัน ประะานาะิบดีพรรคเดโมแครตได้แต่งตั้งผุ้พิพากษาศาลฎีกาเพียง 3 คนจากทังหมด 9 คน "ผมคิดว่าบรรดาผุ้ร่งรัฐะรรมนูญคงจะลำบากใจไม่น้อยที่พรรคการเมืองหนึ่งบชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีด้วยคะแนนเสียงนิยม 7 ใน 8 หรือ 8 ใน 9 ครั้ง และพรรคการเมืองอีพรรคหนึ่งได้ที่นั่งในศาลฎีกา 6 ใน 9 ที่นี่ง" เพียร์สันกล่าว
ชัยชนะของการลงคะแนนเสียงนิยมของแอร์ริสในเดือนพฤศจิกายนจะเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญ ซึ่งจะป็นการเลือกตังครั้งที่ห้าติดต่อกันที่เดโมแคตรได้รับชัยชนะจากการลวคะแนนเสียงนิยม วึ่งเป็นความสำเร็จที่เคยมีมาก่อนในยุคพรรคสมัยใหม่โดยพรรคเดโมแครต รองจากแผรงคลิน รูสเวลต์ และแฮร์ริส ทรูแมน ตังแต่ปี 1932 จนถึง ปี 1948 พรรคเดโมแครตในวันนี้ได้สร้างสถติใหม่ด้วยการชนะีะแนนเสียงนิยมในการเลือตกังประธานาธิบดีถึง 7 ครั้งจากทังหมด 8 ครั้งที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ สภิติสูงสุดในการเลือกตั้ง 8 ครั้งสำหรับเดโมแครตคือ 6 ครั้ง ผลลัพธ์ของการเลือกตั้งใปีนี้จะมีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับการเปรียบเทียบในประวัติศาสตร์ เพราะไม่เคยมีพรรคการเมืองใดรักษาความได้เปรียบในการได้คะแนนเสียงนิยมประะานาธิบดอย่างต่อเนื่องได้นานเกินกว่า 9 ครั้ง ก่อนที่พรรคอื่นจะเร่ิมดำเนินการเลือกตั้งของตัวเองแม้ว่าคะแนนนิยมของเดโมแครตจะสมำ่เสมอไม่มีใครเทียงได้แต่ในด้านอื่นๆ พรรคก็ดูด้อยว่าพรรคก่อนหน้ามาก นี่เป็นเหตุผลนึงที่พรรคนี้มีอำนาจในการปกครองน้อยลง
พรรครีพับลิกันได้รับเสียงข้าบงมากเพ่ิมขึ้นในชข่วงทีี่ครองอำนาจสุงสุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 การที่พรรครีพับลิกันได้รับะแนนนิยม 7 ใน 9 คะแนน เร่ิมขึั้นเมือวิลเลียม แมคินลีย์ชนะการเือกตงประธานาธิบดีในปี 1896 และ 1900 ต่อด้วยชัยชนะอย่งถล่มทลายของเท็ดดี้ รูสเวลด์ ในปี 1904 และชนะของวิลเลียม โอเวิร์ต แทฟต์ ในปี 1908 และต่อเนื่องมาจนถึงชัชนะหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยวาร์เรน ฮาร์ดิง(ในปี 1920) แคลวิน คูลิดจ์ (ในปี 1924) และเฮร์เบิร์ต ฮูเวอร์ (ในปี 1928)
ในการเลือกตั้งเก้าครั้งนี้้ ผุ้สมัครชิงตำแนห่งประธานาธิบดีจารีพับลิกันได้คะแนนเสียงนิยมเกิน 50% ถึงเจ็ดครั้ง ได้ 58% สองครั้ง และสุสสุดที่ 60,3% โดยป็นของฮาร์ดิงในปี 1920
พรรคร่วมรัฐบาลเสียงข้างมากในช่วงแรกยังแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุที่กว้างขวางย่ิงขึ้นในคณะผุ้เลือกตั้งอีกด้วย ในชัยชนะการลงคะแนนเสียงนิยมทั้งเจ็ดครั้ง พรรครีพับลิกันในยุค TR ได้รับคะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้งที่ม่ีอยุ่71% ส่วนพรรคเดโมแครตในยุค FDR ได้รับคะแนนเสีียงคณะผุ้เลือตกังที่มีอยุ่ถึง 80% จากชัยชะการลงคะแนนเสียงนิยมทั้งเจ็ครั้ง นับตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา พรรคเดโมแครตได้รับคะแนนเสียงคณะผู้เลือกต้้งที่มีอยู่ประมาณ 58%
ที่สำคัญที่สุด พรรคเดโมแครตชนะคะนนนิยมและแพ้การเลือกตังประธานาธิบดีถึงสองครั้งในช่วงเวลานี้ โดยแพ้บุชใปปี 2000 และแพ้ทรัมป์ในปี 2016 ทังพรรครีพับลิกันในยุค TR และพรรคเดโมแครตในยุค FDR ต่างก็ไม่เคยแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งไหนๆ เมื่อพวกเขาชนะคะแนนนิยม แท้จริงแล้ว จนกระทั่งถึงปี 2000 ความแตกต่างดังกล่าวเกิดขึ้นเพรียงสามครั้งเท่านั้นในช่วงกว่า 200 ปีที่ผ่านมาของการเลือกตั้งประะานาธิบดีของอเมริกา ตอนนี้มีโอกาสจริงที่คะแนนเสียงของปรธานาธิบดีและคณะ(ุ้เลือตกั้งอาจแตกต่างกันเป็นครั้งที่สามในช่วง 24 ปีที่ผ่านมา...
...แม้ว่าการแพ้คะแนนนิยมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะเป็นปัญหา "อย่างน้อยก็ในเชิงสัญลักษณ์" แพบริก รัฟฟินี นักสำรวจความคิดเห็นของพรรครีพับลิกันกล่าวว่า "ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ในพรรคยอมรัีบความจริงที่ว่าทรัมป์มีเพดานคะแนนเสียงเสียงที่ประมาณ 47% แต่ได้รับการปรับให้เหมาะสมอย่างมากสำหรับคณะผุ้เลือตกั้ง ดังนั้น สภานการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด(สำหรับเขา) คือกาชฯะโดยไม่มีคะแนนนิยม
เดโมแครตต่างหากที่แสดงความกังวลต่อรูปแบบผลการเลือกตั้งในปัจจุบันมากกว่า ผุสนับสนุนพรรคการเมืองสายกลางหลายคนโต้แย้งว่าแม้พรรคจะชนะการเลือกตั้งปรธานาธิบดีอย่างไม่เคยมีมาก่อนแต่การตอ่สู้ดิ้นรนในคณะ(้ืุเลือตกั้งและวุฒิสภาแสดงให้เห็นว่า "พรรคเดโมแมครตจะนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่การต่อสู้ดิ้นรนในคณะผุ้เลือกตั้งและวุฒิสถภาแสดงให้เห็นว่า "พรรคเดโมแครตต้องสามารถแข่งขันได้ในพื้นที่ต่างๆ มากขน ้องเชื่อมโยงกับผุ้คนในพื้นที่ต่างๆมากขัน" ดังที่จิม เคสส์เลอร์ รองประะานาบริหารฝ่ายนโยบายของ เทริดเวย์ ซึ่งเป็นกลุ่มเดโมแครตสายกลางกล่าว...
รัพฟินี่โต้แย้งว่าแม้จะมีโอกาสแพ้คะแนนนิยมอีกครั้ง แต่การจะเรียกพรรครีพับลิกันว่าเป็นพรรคเสียงข้างน้อยก็คงไม่ยุตะรรม หากพรรคนี้ชนะคะแนนเลือกตั้งและชนะอย่างน้อยหนึ่งสภาในสภาคองเกรส "ทุกคนแข่งขันกันภายใต้กฎเดียกัน" เขากล่าว "และระบบนี้ได้รับการปรับให้เหมาะสมเพื่อชัยชนะที่สูสี ซึ่งในคณะผุ้เลือกตั้งและวุฒิสภ อาจหมายถึงชัยชนะที่เสียงข้างน้อยไม่เข้าข้างใคร"แต่หากทรัมป์แพ้ทัี้งคะแนนนิยมและคะแนนเลือกตั้งในช่วงเวลาที่ชาวอเมริกันจำนวนมากไม่พอใจกับผลงานของไบเดน และทิศทางของประเทศ "ฉันคิดว่าจะมีช่วงเวลาแห่งการชดใช้" รัพฟินี้ ผุ้เขียนหนังสือ "ปาร์ตี้ ออฟ เดอะ พีเพิล" ซึ่งตีพิมพ์เมือไม่นานนี้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแสนวรวมของพรรครีพับลิกันกล่าว ไนั่นจะเป็นปัญหาที่ร้ายแรง ร้ายแรงกว่าตอนที่เขาทำรายงานชันสุตรศพในปี 2012 มาก เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับ บารัค โอบามา นัการเมืองที่มีความสามารถหลากหลาย ซึ่งจะทำให้เกิดคำถามถึงความสามารถในการทำสิ่งพื้นฐานที่สุดในระดับชาติ"
ในทางกลับกัน หากทรัมป์ชนะการลงคะแนนเลือกตั้งอีกครั้งในขณะที่ล้มเหลวในการโหวตนิยม ผุ้แพ้จะรวมถึงไม่เพียงแต่แฮร์ริสและพรรคเดโมแครตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสมมติฐานในหนังสือวิชาพลเมืองพื้นฐานที่ว่าในระบอบประชาธิปไตยแบบอเมริกัน เสียงข้างมากจะปกครอง...https://edition.cnn.com/2024/10/08/politics/democrats-popular-vote-kamala-harris-analysis/index.html