วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Communism

     ลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นขบวนการปฏิบัติสังคมนิยมเพื่อสถปนาระเบียบสังคมที่ปราศจากชนชั้น เงินและรัฐ โดยตั้งอยู่บนการเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตร่วมกัน เช่นเดียวกัยอุดมการณ์ทางสังคม การเมืองและเศรษฐกิจซึ่งมุ่งสถาปนาระเบียบสังคมนี้ ขบวนการดังกล่าว ในการตีความแบบลัท
ธิมากซ์-เลนิน มีอิทธพลอย่างสำคัญต่อประวัติศาสตร์ครอสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีการแข่งขันกันอุดเดือดระหว่าง “โลกสังคมนิยม” และโลกตะวันตก”
     ทฤษฎีลัทธิมาซ์ถือว่า คอมมิวนิสต์บริสุทธิ์หรือคอมมิวนิสต์สมบูรณ์เป็นขึ้นของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์โดยเจาะจงที่ถือกำเนิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากการพัฒนากำลังการผลิตซึ่งนำไปสู่ความมั่งคั่งทางวัตถุที่อุดมสมบูรณ์ เพื่อให้การแจกจ่ายยึดความต้องการและความสัมพันธ์ทางสังคมยึดตามปัจเจกบุคคลที่เกี่ยวข้องกันอย่างเสรี นิยมที่แน่ชัดของคอมมิวนิสต์แตกต่างกัน และมักถูกเข้าใจผิด ในวจนิพนธ์การเมืองทั่วไป ว่ามช้แทนคำว่า สังคมนิยมได้ อยางไรก็ดี ทฤษฎีลัทธิมากซ์ยืนยันว่า สังคมนิยมเป็นเพียงขั้นเปลี่ยนผ่านบนวิถีสู่คอมมิวนิสต์ ลัทธิเลนินเพ่มแนวคิดพรรคการเมืองแนวหน้าเพื่อนำการปฏิบัติโดยชนชั้นกรรมมาชีพและเพื่อยึดอำนาจทางการเมืองทั้งหมดหลังการปฏิวัติเพื่อชนชั้นกรรมกร เพื่อการพัฒนาความตระหนักของชนชั้นทั่งโลกและการมีส่วนร่วมของกรรมกร ในขั้นเปลี่ยนผ่านระหว่างทุนนิยมกับสังคมนิยม
     ปัจจุบัน คอมมิวนิสต์มัใช้เรียกนโยบายของรัฐคอมมิวนิสต์ นั้นคือ รัฐที่ถูกควบคุมเบ็ดเสร็จโดยพรคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าสาระของระบบเศรษฐกิจในทางปฏิบัติแท้จิรงแล้วเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น นโยบายของสาธารฯรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งระบบเศรษฐกิจรวมไปถึง “โด่ย เหมย” สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งระบบเศรษฐกิจเป็น “เศรษฐกิจตลาดสังคมนิยม” และระบบเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต ซึ่งอธิบายได้ว่าเป็น “ทุนนิยมโดยรัฐ”โดยนักสังคมนิยมที่มิใช่ลัทธิเลนิน และภายหลังโดยนักคอมมิวนิสต์ผู้คัดค้านแบบจำลองโซเวียตยุคหลังสตาลินมากขึ้น ตลอดช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20
     รากฐานความคิดที่นำไปสู่ลัทธิคอมมิวนิสต์มีมานานมากในตะวันตก นานกว่าแนวคิดมาร์กซ์และเองเกลส์ คือในยุคกรีกโบราณที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับตำนานเกี่ยวกับยุคทองของมนุษยชาติ ที่ ๆ สังคมอยู่ด้วยกันด้วยความสมัคคีปรองดองกันเสียก่อน จึงร่วมกันสร้างความงอกงามทางวัตถุในภายหลัง แต่บางคนก็แย้งว่า ตำราสาธารณรัฐ ของเพลโตและผลงานอื่น ๆ ของนักทฤษฎีรัฐศาสตร์ในยุคโบราณ เพียงแค่สนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ในด้านการอยู่รวมกันในสังคมอย่างปรองดองเท่านั้น รวมหลาย ๆ นิกายในศาสนาคริสต์สมัยเก่า และเน้นเป็นพิเศษในโบสถ์สมัยเก่า ดังที่บันทึกไว้ในบัญญัติแห่งบรรดาอัครสาวก อีกทั้งชนเผ่าพื้นเมืองแห่งทวิปอเมริกาอ่กนยุคโคลัมบัสบุกเบิก ก็ยังปฏิบัติตามแรวคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์ว่าด้วยการอยู่ด้วยกันเป็นสังคมและครอบครองวัตถุร่วมกัน รวมถึงอีกหลายๆ ชนชาติพยายามที่จะก่อตั้งสังคมคอมมิวนิสต์ได้แก่ นิกายเอซเซนแห่งยิว และนิกายยูดาทะเลทราย
      นักบุญ โทมัส มอร์ นักเขียนชาวอังกฤษกล่าวในหนังสือยูโทเปีย ในคริสต์ศตวรรษที่ 16  ว่า สังคมทุกสังคมมีรากฐานอยู่ที่การครอบครองวัตถุชิ้นใดๆ ร่วมกัน โดยมีหัวหน้าอยู่หนึ่งคนหรือหนึ่งคณะที่มีหน้าทที่นำมันไปใช้ตามหลักแห่งเหตุและผลที่เหมาะสม
     คริสต์ศตวยรรษที่ 17 แนวคิดคอมมิวนิสต์ผุดขึ้นมาอีกครั้งในประเทศอังกฤษ เมื่อ เอ็ดเวิร์ด เบิร์นสไตน์ กล่าวในผลงานแห่งปี 1895 ของเขา คอรมเวลล์และคอมมิวนิสต์ อย่างเผ็ดร้อนว่ามีหลายกลุ่มในสงครามกลางเมืองอังกฤษ โดยเฉพาะพวกนักขุดหรือผู้เผยเปลือกใน ที่แสดงการสนับสนุนแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน เน้นความสำคัญไปที่บรรดาชาวไร่ชาวนา ซึ่งทัศนคติของ โอลิเวอร์ ครอมเวล ต่อคนกลุ่มนี้มีเป็นความรำคาญ หรือแม้กระทั่งแสดงความเป็นศัตรูต่อคนกลุ่มนี่อย่างชัดเจน ความไม่เห็นด้วยต่อการครอบครองวัตถุแต่เพียงผู้เดียวยังคงถูกแย้งมาโดยตลอด
       ยุคแสงสว่าง The Age of Enlightenment แห่งคริสต์ศตวรรษที 18 นักวิชาการชื่อดัง เช่น ชอง-ชาก รุสโว รวมถึงนักเขียนสังคมนิยมยูโทเปีย เช่น โรเบิร์ต โอเวน ซึ่งบรรดาบุคคลเหล่านี้ก็ถูกขนานนามว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในบางครั้ง
       คาร์ล ไฮน์ริช มาร์กซ์ นักปรัชญา นักคอมมิวนิสต์ และนักปฏิวัติชาวเยรมัน ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของแนวคิดที่มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาคอมมิวนิสต์ สมัยใหม่  มาร์กซ์สรุปแนวคิดของเขาในบรรทัดแรกของ คำประกาศเจตนาคมอมิวนิสต์ ว่า “ประวัติศาสตร์ของสังคมทั้งหมดที่ผ่านมากระทั่งปัจจุบันล้วนแต่เป็นปรัวติศาสตร์แห่งการต่อสู้ทางชนชั้น”
      มาร์กซ์ไม่ใช้เป้นปค่นักทฤษฎีทางสังคมและการเมือง แต่เขายังเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการจัดตั้งสมาคมกรรมกรสากล “องค์กรสากลที่ 1 งานเขียนของเขาเป็แกนหลักของการเคลื่อนไหวในแนวทางคอมมิวนิสต์ สังคมนิยม ลัทธิเลนิน และลัทธิมาร์ก
     ความคิดของมาร์กซ์นั้นได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากทั้งแนวคิดวิภาษวิธีประวัติศาสตร์ของเกออร์ก วิลเฮล์ม ฟรีดริช เฮเกิล  และเศรษฐศาสตร์การเมืองของอดัม สมิท และเดวิด ริดคาร์โด เขาเชื่อในความเป็นไปได้ที่จะศึกษาประวัติศาสตร์และสังคมในลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึงจะทำให้เข้าใจแนวโน้มของประวัติศาสตร์รวมถึงผลลัพธ์ของข้อแย้งทางสังคมได้
     ปรัชญาของมาร์กซ์ นั้นได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากแนวคิดของเฮเกิลที่ว่าความจริง นั้นจะต้องพิจารณาแบบวิภาษวิธี โดยมองว่าเป็นการปะทะกันของแรงคู่ตรงข้ามหลายครั้งแนวคิดนี้ถูกเขียนย่อว่า ข้อวินิจฉัย +ข้อโต้แย้ง ไปสู่การประสม,การสังเคราะห์ เฮเกลเชื่อว่าทิศทางของประวัติศาสตร์นั้นสามารถพิจารณาได้เป็นช่วง ๆ ที่มีเป้าหมายไปสู่ความสมบูรณ์และจริงแท้ เขากล่าวว่าหลายครั้งพัฒนาการจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็อาจมีบางช่วงที่ต้องมีการต่อสู้และเลี่ยนแปลงผู้ทีอยู่ในอำนาจเดิม มาร์กซ์ยอมรับภาพรวมของประวัติศาสตร์ตามที่เฮเกลเสนอ อย่างไรก็ตามเฮเกลนั้นเป็นนักปรัชญาแนวจิตนิยม ส่นมาร์กซ์นั้นต้องการจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในรูปของวัตถุ เขาได้เขียนว่านักปรัชญาสายเฮเกลนั้นวางความเป็นจริงไว้บนหัวดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องจับมันให้วางเสียใหม่บนเท้าของตนเอง
     ในการยอมรับวิภาษวิธีเชิงวัตถุ ซึ่งเป็ฯการปฏิบเสธแนวคิดแบบจิตนิยมของเฮเกลนั้น มาร์กซ์ได้รับอิทธิพลมาจาก ลุควิก ฟอยเออร์บาค ในหนังสือ ฟอยเออร์บาคได้อธเบายว่าพระเจ้านั้น คือพลงานสร้างสรรค์ขอมนุษย์ และคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ผู้คนยกย่องพระเจ้า แม้จริงแล้วเป็นคุณลักษณะของความเป็นมนุษย์นั่นเอง มาร์กอธิบายว่า โลกวัตถุนั้นเป็นโลกที่แท้จริงส่วนแนวคิดต่าง ๆ เกียวกับโลกนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากโลกวัตถุ แม้ว่ามาร์กซ์จะเชื่อเช่นเดีวกับเฮเกิลและนักปรัชญาคนอื่นๆ ในการแบ่งแยกโลกที่ปรากฎกับโลกที่แท้จริง เขาไม่เชื่อว่าโลกวัตถุนั้นจะซ่อนโลกที่แท้จริงทางจิตเอาไว้ ในทางกลับกัน มาร์กซ์ยังเชื่อว่าอุดมการณ์ที่ถูกสร้างฝ่านทางประวัติศาสตร์และกระบวนการสังคมนั้น เป็นสิ่งทีปิดบังไม่ให้ผู้คนเห็นสถานทางวัตถุที่แท้จริงในชีวิตของพวกเขา
     ผลงานอีกชิ้น ที่มีส่วนสำคัญในการปรับปรุงแนวคิดของเฮเกลของมาร์กซ คือ หนังสือที่เขียนโดย ฟรีดริช เองิงิลส์ ชื่อว่า “สภาพของชนชั้นกรรมาชีพในอังกฤษในปี 1844 หนังสือเล่มนี้ทำให้มาร์กซมองวิภาษวิธีเชิงประวัติศสตร์ออกมาในรุ)ของความขัดแย้งระหว่างชนชั้น และมองเป็นว่าชนชั้นกรรมาชีพสมัยใหม่จะเป็นแรงผลักดันที่ก้าวหน้าที่สุดสำหรับการปฏิวัติ
     ปรัชญาของมาร์กซ แนวคิดหลักของมาร์กซวางอยู่บนความเข้าใจเกี่ยวกบ แรงงาน โดยพื้นฐานแล้ว มาร์กซกล่าวว่ามนุษย์มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบข้าง เขาเรียกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ว่าการ ใช้แรงงาน และความมีพลังในการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า กำลังแรงงานสำหรับมาร์กแล้ว การใช้แรงงานนี้นอกจากจะเป็นคามสามารถโดยธรรมชาติของกิจกรรมต่าง ๆ ทางกายภาพแล้ว แรงงานยังเกี่ยวช้องอย่างชักซึ้งกับความคิดและจินตนการของมนุษย์ด้วย
      “แมงมุมทำกิจกรรมที่ไม่ต่างไปจากช่างทอฟ้า และการสร้างรังของูงผึ่งก็สามรถทำให้สถาปนิกต้องอับอายได้ แต่ความแตกต่างระหว่างสถาปนิกที่แย่ที่สุดกับผึ้งที่เยียมยอมที่สุดก็คื อสถาปนิกนั้นวาดภาพโครงสร้างของเขาในจินตนาการ ก่อนที่จะสร้างมันขึ้นมาในโลกความเป็นจริง”
      นอกเหนือจากการที่อ้างว่าความสามารถของมนุษย์คือการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติแล้ว มาร์กซมิได้ใช้ข้ออ้างอื่น ๆ เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์อีกเลย
     มาร์กซอธิบายความเปลี่ยนแปลบางอย่างกับมนุษย์ โดยการเปรียบเทียบระหว่า “ธรรมชาติ”กับ “ประวัติศาสตร์”หลายครั้งพวกเขาจะกว่าวว่า “สภาพการมีอยู่นำหน้าสำนึก” นั่นคือใครคนหนึ่งจะเป็นอย่างใดนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งแห่งหนและเวลาที่เขาอยู่ สถาพทางสังคมมีอำนาจมากกว่าพฤติกรรมดั้งเดิม หรืออาจกล่าวได้ว่าลักษณะสำคัญของมนุษย์คือการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เขาอธิบายว่า การทำงานนั้นเป็นกิจกรรมทางสังคม และเงื่อนไขรวมถึงรูปแบบของการทำงานนั้นถูกกำหนดโดยสังคมและเปลี่ยนแปลงตามเวลา
     รูปแบบการผลิต การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ของมาร์กซนั้นว่างอยู่บนความแตกต่างระหว่าง ปัจจัยการผลิต และความสัมพันธ์เชิงสังคมของการผลิต โดยมาร์กซสังเกตว่าในสังคมหนึ่ง ๆ รูปแบบการผลิตนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย สำหรับสังคมทางยุโรปนั้นมีรูปแบบในการพัฒนาดดยเริ่มจากรูปแบบการผลิตแบบศักดินา ไปจนถึงรูปแบบการผลิตแบบทุนนิยม โดยทั่งไปแล้ว มาร์กซเชื่อว่าปัจจัยการผลิตนั้นเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วมากกว่าความสัมพันธ์ของการผลิต
      ในการพิจารณาความสัมพันธ์เชิงสังคมของการผลิตนั้น มาร์กซไม่ได้มองแค่ความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกแต่ละคน แต่ยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคน หรือกลุ่มชนชั้น มาร์กซมิได้นิยาม “ชนชั้น”ขึ้นมาโดยอาศัยใช้เพียงแคการบรรยายแบอัตวิสัย เท่านั้น หากแต่ว่าเขายังพยายามจะนิยามชนชั้นด้วยเงื่อนไขที่เป็นแบบวัตถุวิสัย ด้วยเช่นการเข้าถึงทรัพยากรในการผลิต
     มาร์กซให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับกำลังแรงงาน ซึ่งเป็นทรัพยากรพื้นฐานที่สุดของมนุษย์เอง ในการอธิบายความสัมพันธ์โดยละเอียด มาร์กซทำโดยผ่านทางปัญหารความแปลงแยก ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้ใช้แรงงาน กล่าวคือเมื่อกำลังแรงงานได้ถูกใช้ไปในการผลิตแต่เมือกิจกรรมนั้นสิ้นสุดลงกรรมสิทธิของผลลัพธ์ที่ได้กลับตกไปเป็นของนายทุน นั่งคือมองได้ว่าเป็นการละทิ้งกรรมสิทธ์ในกำลังแรงงานของตนเอง สภาวะเช่นนี้ก่อให้เกิดความแปลกแยกจากธรรมชาติของตนเอง และก่อให้เกิดความรู้สึกเสียครั้งยิงใหญ่ ภาวะเช่นนี้ก่อให้เกิดสภาพการคลั่งไคล้โภคภัณฑ์ ซึ่งผู้คนจะคิดว่าสิ่งสำคัญที่พวกเขาสร้างขึ้นก็คือสินค้า ความสำคัญทุกอย่งจะกถ่านโอนไปที่วัตถุรอบกายแทนที่จะเป็นผุ้คนด้วยกันเอง ปลังจากนันผู้คนจะมองเห็นและเข้าใจตนเองผ่านทางความสัมพันธ์กับทรัพย์สินหรือสินค้าที่ตนเองครอบครองไว้เท่านั้น
     การคลั่งไคล้โภคภัฒฑ์นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของสิ่งที่เองเงิลส์เรียกว่า สำนึกที่ผิดพลาด ซึ่งเกี่ยวกับความเข้าใจในเรื่องของอุดมการณ์ ซึ่งมาร์กซและเองเงิลส์ได้ให้ความหายว่าเป้นความคิดที่สะท้อนผลประโยชน์ของบางชนชั้นในบางช่วงเวลาในประวัติศาสตร์แต่กลับถูกแสดงว่าเป็นวามเชื่อที่ถูกต้องสำหรับทุก ๆ ชนชั้นและทุก ๆเวลา ในความคิดของพวกเขานั้น ความเชื่อดังกล่าวมิได้เป็นเพียงแค่สิ่งทีผิดพลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งท่ำหน้าที่สำคัญทางการเมืองด้วย หล่าวในอีกนัยหนึ่งได้ว่า การควบคุมที่ชนชั้นหนึ่ง ๆ กระทำฝ่านทางการครอบครองเครื่องมือการผลิตนั้นมิได้เกิดขึ้นเฉพาะกับการผลิตอาหารหรือสินค้าเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับการผลิตความคิดหรือความเชื่อด้วยเช่นกัน ความคิดนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่อธิบายว่าทำไม่สมาชิกของชนชั้นที่ถูกกดขี่จึงยังมีความเชื่อที่ขัดแย้งกับผลประโยช์ของตนเอง ดังน้นแม้ว่าความเชื่อบางอย่างจะผิดพลาดแต่มันก็ยงเผยให้เห็นความจริงบางอย่างที่ถูกซ่อนไว้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการเมือง ยกตัวอย่างเช่น ความเชื่อที่ว่าสิ่งของที่คนผลิตขั้นจั้นมีผลิตผลมากกวาคนที่ผลิตมันขึ้นมานั้นอาจฟังประหลาด แต่มันก็แสดงให้เห็น ว่าผุ้คนภายใต้ระบบทุนนิยมนั้นถูกทำให้ปลแยกจากกำลังแรงงานของตนเอง อีกตัวอย่างหนึ่งพบได้ในการทำความเข้าจเกี่ยวกับศาสนาโดยมาร์กซ ที่สรุปได้ในยอ่ห้ารทหนึ่งของ Contribution to the Critique of Hegel’s “Philosophy of Right”
     ความทุกข์ทางศาสนานั้นเป็นทั้งการแสดงออกของความทุกข์แท้จริงและการประท้วงไม่ยอมแพ้ต่อความทุกข์ที่แท้จริง ศาสนาคือเสียงกรีดร้องของสิ่งมีชีวิตที่ถูกกดขี่ หัวใจของโลกที่ไร้กัวใจและวิญญาณของสภาพไร้วิญญาณ มันคือฝ่นของมวลชน แม้ว่าในงานวิทยานิพนธ์ระดับเตรียมอุดมศึกษาเขาเคยอ้างว่าหน้าที่หลักของศาสนาคือการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ในที่นี้มาร์กซมองว่าศาสนานั้นเป็นเครื่องมือทางสังคมสำหรับการแสดงออกและจัดการกับความเหลื่อมลำนั้นเอง

วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

WWII:Nuclear

        หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาคพื้นยุโรปสิ้นสุดลง ทหารโซเวียตและทหารฝ่ายพันธมิตรตะวันตกต่างก็ขยายพื้นที่ของตนยไปสู่แนวแม่น้ำเอลเบอร์ ในขณะที่ทหารของฝรั่งเศสบางส่วนยังปักหลักอยู่ในเยอรมันตะวันตกเฉียงใต้
     ระหว่างวันที่ 17 มิถุนา-2 สิงหา 1945 ฝ่ายสัมพันธมิตรบรรลุข้อตกลงพอทสดัม ซึ่งกำหนดให้แบ่งเยอรมันออกเป็น 4 ส่วนโดยแต่ละส่วนจะถูกปกครองโดยชาติที่ครอบครองดินแดนในส่วนนั้นอยู่ก่อนหน้าสงครามจะยุติกรุงเบอร์ลินซึ่งเป็นเมืองหลวงของเยอรมันก็จะถูกแบ่ง 4 ส่วนโดยแต่ละส่วนจะถูกปกครองโดยชาติที่ครอบครองดินแดนในส่วนนั้นอยู่ก่อนหน้าสงครามจะยุติกรุงเบอร์ลินตั้งอยู่ในพื้นที่ของสหภาพโซเวียตทำให้กรุงเบอร์ลินส่วนที่เป็นของสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศสและอังกฤษ ถูกล้อมรอบด้วยทหารโซเวียต
    ญี่ปุ่นถูกโจมตีอย่างหนักที่เมืองนาโงย่า และ โยโกฮามา ซึ่งเป็นเมืองท่าและฐานทัพเรือที่สำคัญของญี่ปุ่น และที่เมืองโอซาก้า ญี่ปุ่นถอนทัพออกจากจีน พลเอกดักลาสแมคอาเธอร์ ปลดปล่อยฟิลิปปินส์
     สหรัฐแมริกา อังกฤษและแคนาดา ได้ร่วมมือกันตั้งโครงการลับ “ทูบอัลลอยด์”และสถานีวิจัยคลาด รีเวอร์” เพื่อออกแบบและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ลูกแรก ภายใต้โครงการที่เรียกว่า “โครงการแมนฮัตตัน”ภายใต้การค้นคว้าวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ และนักฟิสิกส์อเมริกัน ในวันที่ 10-11 พฤษภา ได้มีการคัดเลือกเป้าหมาย โครงการแมนฮัติตัน ได้แนะนำเป้าหมายสำหรับระเบิดลูกแรก คือ เกียวโต,ฮิโรชิม่า,โยโกฮามา โดยใช้เงื่อนไขที่ว่า เป้าหมายต้องมีพ้นที่ขนาดใหญ่เส้นฝ่าสูนย์กลางประมาณ 3 ไมล์และเป็นเขตชุมชนที่สำคัญขนาดใหญ่ ระเบิดต้องสามารถทำลายล้างความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป้าหมายมียุทโธปกรณ์และที่ตั้งของทหารต้องได้รับการระบุที่ตั้งแน่นอนเพื่อป้องกันหากการทิ้งระเบิดเกิดข้อผิดพลาด

  
  การทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิม่า และ นางาซากิ ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ โดยคำสั่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แฮรี่ เอส.ทรูแมน หลังการทิ้งระเบิดเพลิงตามเมืองต่าง ๆ 76 เมื่องอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาติดต่อกัน 6 เดือน สหรัฐอเมริกาจึงได้ทิ้ง “ระเบิดปรมณู”หรือ “นิวเคลียร์” โดยลูกแรก  Little boy ทิ้งที่เมืองฮิโรชิม่า ในวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 1945 และตามด้วย Fatman ลูกที่สองที่เมืองนางาซากิ โดยให้จุดระเบิดเหนือเมืองเล็กน้อย เป็นระเบิดนิวเคลียร์เพียง 2 ลูกเท่านั้นที่นำมาใช้ในการสงคราม
     การระเบิดทำให้มีผุ้เสียชีวิตที่ฮิโรชิมา 140,000 คนและที่นะงะซะกิ 80,000 คนโดยนับถึงปลายปี 1945 จำนวนคนที่เสียชีวิตทันทีในวันที่ระเบิดลงมีจำนวนประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนที่กล่าวนี้ และในระยะต่อมาก็มีผู้เสียชีวิตด้วยการบาดเจ็บหรือจากการรับกัมมันตภาพรังสีที่ถูกปลอปล่อยออกมาจาการระเบิดอีกนับหมื่อนคน ผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดในทั้ง 2 เมืองเป็นพลเรือน
     หลังการทิ้งระเบิดลูกที่สองเป็นเวลา 6 วัน ญี่ปุ่นประกาศตกลงยอมแพ้สงครามต่อฝ่ายพันธมิตร ในวันที่ 15 สิงหาคม 1945 และลงนามในตราสารประกาศยอมแพ้สงครามมหาสมุทรแปซิฟิกที่นังเป็นการยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กันยายน 1945
      "ฮิบะกุชะ"
ผู้รอดชีิวิตจากเหตุการณ์ระเบิดในครั้งนั้น เรียกจุดที่ระเบิดถูกทิ้งที่ฮิโรชิม่าว่า "ฮิบะกุชะ" ซึ่งมีความหมายว่า"จุดระเบิดที่มีผลกระทบต่อชาวญีี่ปุ่น" ด้วเหตุนี้ ญี่ปุ่น จึงมีนโยบายต่อต้านการใช้ระเบิดปรมณู ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และประกาศเจตนาให้โลกรู้ว่า ญี่ปุ่นมีนโยบายจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ ในวันที่ 31 เดือนมีนาคม 2008 "ฮิบะกุชะ" มีรายชื่อผุ้เสียชีวิตจากทั้งสองเมืองของญี่ปุ่นที่ถูกจารึกไว้ประมาณ 243,692 คน และในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน มีรายชื่อผู้เสียชีวิตที่ถูกจารึกไว้เพิ่มขึ้นมากกว่า 400,000 คน โดยแบ่งออกเป็น เมืองฮิโรชิมะ 258,310 คน และเมืองนางาซากิ 145,984 คน เป็นประชากรเกาหลีที่ญี่ปุ่นเกณฑ์แรงงานไปใช้มากกว่า 1ใน 7 ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด อย่างไรก็ตามผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้ได้รับการเยียวยาภายใต้กฎหมายปัจจุบัน





วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

WWII:Okinawa

                 “ซากุระลาต้นในวันนี้ จะบานซะพรั่งที่ คุดัน”

     (คุดันคือ พื้นที่หนึ่ในโตเกียวซึ่งเป็นที่ตั้งศาลเจ้าในศาสนาชินโต “ยาสุกุนิ” ซึ่งเป็นที่สถิตของป้ายชื่อเพื่อสักการะดวงวิญญาฯของทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในสงคราม ซึ่งเชื่อกันว่ายังคงเร่ร่อนอยู่ในบริเวณนั้น แม้ในปัจจุบันก็ยังมัการเคารพสักการะเช่นเก่าก่อน)

images
     โอกินาวา คือเกาะใหญ่หนึ่งในหมู่เกาะริวกิว ห่างจากโตเดียวผระมาณ  400  ไม่ล์ทะเล เป็นามรภูมิตสุดท้ายในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่ญี่ปุ่นจะถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณู
     ญี่ปุ่นในอดีตนั้น ชาตินิยมยูชาลัทธิทหารที่สืบทอดคติแบบซามูไร ที่เรียกว่า “บูชิโด”ไม่มีการยอมแพ้ การยึดถือในหมู่ทหารในการทำ “ฮาราคีรี”(การคว้านทองตนเอง) เพื่อราชพลี มีการปลูกฝั่งว่า จะต้องไม่ตกเป็นเฉลยไม่ว่ากรณีใดๆ ความเชื่อที่ว่าส่งผลให้เกิดความสูญเสียชีวิตกว่าแสนคนทั้งสองฝ่าย
       ยุทธการโอกินะวะ หรือชื่อรหัส ปฏิบัติการภูเขาน้ำแข็ง Operation Iceberg เป็นการสู้รบบนหมู่เกาะริวกีวของโอกินะวะและเป็นสงครามสะเทินน้ำสะเทินบกขนาดใหญ่ที่สุดในสงครามมหาสมุทรแปซิฟิก กว่า 3 เดือน การดำเนินการสู้รบแบบกระโดดไปทีละเกาะอันยาวนาน สัมพันธมิตรก็ได้เข้ามาใกล็ประเทศญี่ปุ่น สัมพันธมิตรวางแผนที่จะใช้โอกินะวะที่เป็นเกาะขนาดใหญ่เป็นฐานบินสำหรับปฏิบัติการตามแผนการบุกแผ่นดินใหญ่ญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อรหัส ดาวน์ฟอลซึ่งถูกยกเลิกเมื่อญี่ปุ่นยอมจำนนหลังการทิ้งระเบิดนิวเลียร์
    4 กองพลจากกองทัพสหรัฐและนาวิกโยธิน 2 กองพล ต่อสู้บนเกาะขณะที่นาวิกโยธินเป็นกองหนุนลอยลำแต่ไม่ยกพลขึ้นฝั่ง การบุกได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเรือ กำลังรบสะเทินน้ำสะเทินบก และกองทัพอากาศยุทธวิธี ยุทธการนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า Typhoon of steel (ไต้ฝุ่นเหล็ก)ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่ เทะสึ โนะอะเมะ “ฝนเหล็ก” เทะสค โนะ โบฟู “ลมเหล็กกรรโชก”เป็นชื่อเรียกที่มาจากความโหดร้าย กระสุนปืนที่ปลิวว่อนความรุนแรงของการโจมตีแบบกามิกาเซ่ และจำนวนเรือและยายพาหนะของฝ่ายสัมพันธมิตรที่จู่โจมสู่เกาะ เป็นการบที่มีจำนวนคนตายหรือได้รับบาดเจ็บสูงสุดสมรภูมิหนึ่งในสงครามมหาสมุทรแปซิฟก ญี่ปุ่นสูญเสียทหารกว่า แสนนาย สัมพันธมิตรสูญเสียทหารกว่า 50,000 นาย ประชาชนเสียชีวิตจากภัยสงครามมากกว่าแสนคน
     กองกำลังภาคพื้นดิน กองทัพที่ 10 มีกำลังพลทหาร 102,000 นาย และนาวิกโยธิน 91,000 นาย บังคับบัญชาโดยพลโท ซิมมอน โบลิเวอร์ บักเนอร์ จูเนียร์ มี 2 กองทัพน้อยใต้บังคับบัญชา
     กองกำลังภาคพื้นดินของญี่ปุ่น(กองกำลังป้องกันหลัก)ประกอบด้วยทหาร 67,000 นายจกากองทัพภาคที่ 32 และกองทหารของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่น อีก 9,000 นาย มีกองหนุนเป็นชาวริวกีวที่เกณฑ์มากว่า 40,000 คนกองหนุนส่วนหลังอี่ 24,000 คนและกรรมกรอีก 15,000 คน องค์กรเด็กชายมัธยมต้นชั้นปีสุดท้าย “หน่วยอาสาสมัครเหล็กและเลือด” 1,500 คนปฏิบัติการในแนวหน้า และมีการจัดตั้งนักเรียนฮิเมะยุริ 600 คนเป็นหน่วยพยาบาล
     เรือยามาโต้ ได้รับคำสั่งให้เข้าปฏิบัติการซึ่งเรียกว่า “ดอกเบญจมาศลอยน้ำ”โดยมีภารกิจให้ทำการล่อฝูงบินอเมริกันให้ออกจาน่านน้ำในเกาะโอกินาวา เพื่อเปิดโอกาสให้ฝูงบินกามิกาเซ่ซึ่งเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียวที่สร้างความเสียหายให้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นอย่างมากเข้าโจมตีกองทัพเรือสหรัฐ  ปฏิบัติการครั้งนี้เรียกว่า “วันเวย์ทิคเก็ต” คือมีน้ำมันเชื่อเพลิงเพียงแค่เทียวเดียว ! ทางเรือยามาโต้เองก็รู้ว่าการส่งเรือประจัญบานไปล่อเครื่องบินหลายร้อยลำก็เท่ากับส่งลูกเรือกว่า 3,000 กว่าคนไปตาย ซึ่งไม่ต่างจากฝูงบินกามิกาเซ่ที่บรรทุกระเบิดขนาดหนักเพื่อบินเข้าชนเรือรบอเมริกา เรื่อยามาโต้จึงได้รับฉายาว่า “ยักษ์ใหญ่แห่งกามิกาเซ่”
     สุดท้ายเรือยามาโต้เดินทางไปไม่ถึงโอกินาว่า สหรัฐอเมริกาสามารถจับสัญญาณวิทยุได้ส่งเครื่องบินกว่า 400 ลำรุมทิ้งระเบิดรือยามาโต้เป็นเวลาเกือบสองวัน และยามาโต้ก็จมลงสู่ก้นทะเลพร้อมลูกเรือเกือบ 2,500 นาย รอดชีวิตเพียง 269 คนเท่านั้น

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

WWII:Berlin



เบอร์ลินตั้งอยู่ยนแม่น้ำสปรี และฮาเฟลทางตะวันออกเฉยงเหนือของเยอรมันห้อมล้อมด้วยรัฐบราเดนบวร์ก มีพื้นที่ 891 ตารางกิโลเมตร ในสมัยก่อน เบอร์ลินเคยเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบรานเดนบวร์กก่อนจะแยกการปกครองออกเป็นนครรัฐต่างหากรัฐหนึ่งชื่อเบอร์ลินนั้นไม่ทราบที่มา แต่อาจเกี่ยวข้องกับหน่วยคำภาษาโปลาเบียนเก่า ซึ่งหมายความว่าหนองน้ำ สงครามสามสิบปีทำให้เบอร์ลินได้รับความเสียหายใหญ่หลวง บ้านเรื่อนหนึ่งในสามเสียหายประชากรลดเหลือครึ่งเดียว เฟรเดอริก วิลเลียม “เจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่”ซึ่งสืบอำนาจเป็นผุ้ปกครองต่อจาก จอร์จ วิลเลี ยม ผู้บิดา ได้ริเริ่มนโยบายส่งเสริมการอพยพย้ายถิ่นและเสรีภาพในการนับถือศษสนาด้วยกฤษฎีกาแห่งพอทสดัม เฟรเดอริกได้เสนอที่ลี้ภัยให้กับพวกฮิวเกอโนต์ซึ่งเป็นพวกโปตเตสแตนท์ชาวฝรั่งเศส ฮิวเกอโนต์กว่า หมื่นห้ามัน ได้มายังบรานเดนบวร์ก หกพันคนตั้งถ่นฐานในเบอร์ลิน ปีพ.ศ. 1700 ร้อยละยี่สิบของผู้อยู่อาศัยในเบอร์ลินเป็นชาวฝรั่งเศส และอิทธิพลทางวัฒนธรรมของนั้นมีต่อเบอร์ลินเป็นอย่างมาก   ผู้อพยพอื่นๆ จำนวนมากมาจาก โบฮิเมีย โปแลนด์ และซาลซ์บูร์ก…
     กองทัพแดงเข้าประชิดปรัสเซียภายใต้การบัญชาการของจอมพล จอร์จี้ ซูคอฟ เยรมันล่าถอยครั้งใหญ่กองทัพโซเวียตปลดปล่อยลิธัวเนีย ทัพโซเวียตข้ามแม่นำโอเดอร์เพื่อเข้าตีเยอรมัน เยอรมันในเบลเยี่มมล่าถอยแนวต้านทานแห่งสุดท้ายของเยอรมันที่แม่นน้ำไรน์แตก รัสเซียปลดปล่อยบูดาเปสต์ โดยเวียตฌจมตีเยอรมันในฮังการี กองทัพ
     การรบแห่งเบอร์ลินเป็นสมรภูมิสุดท้ายแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ในภาคพื้นยุโรปและเป็นหนึ่งในสมรภูมิที่สำคัญของสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพแดงขนาดมหึมาบุกขยี่กองทัพนาซีตอลดทางกระทั่งกรุงเบอร์ลิน
     เยอรมันโจมตีตอบโต้โดยใช้กองทัพที่สร้างขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่า วิสตูลา Army Group Vistura ภายใต้การบัญชาการของนายพลเฮนริก ฮิมเลอร์ ผู้บัญชาการของหน่วนเอสเอส แต่ก็ประสบความล้มเหลว นอกจากนี้กองทัพเยอรมันยังขาดน้ำมันในการต่อสู้และผลิตอาวุธ
     การสู้รบรอบๆ กรุงเบอร์ลินเปิดฉากขึ้น กองกำลังป้องกันเบอร์ลินประกอบด้วย ทหารจากกองทัพบกเยอรมัน ทหารในหน่วย SS ประจำกรุงเบอร์ลิน ยุวชนฮิตเลอร์ ตำรวจและประชาชนอาศัยอยู่ในกรุงเบอร์ลิน ความหวาดกลัวคอมมิวนิสต์และด้วยศักดิ์ศรีของชนชาติเยอรมัน เยอรมันจึงจำเป็นต้องต่อสู้ไปจนถึงที่สุด บ้างก็ถูกฆ่า บ้างก็ยกธงขาวยอมจำนน กองทัพแดงรุกต่อกระทั้งถึงศูนย์กลางกรุงเบอร์ลิน “อเล็กซานเดอร์พาซ”สถานที่ตรงนี้ในช่วงศตวรรษที่ 19 กษัตริย์ของรัสเซียพระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ได้มาเยือนกรุงเบอร์ลิน เยอรมันจึงตั้งชื่อสถานที่ที่กำลังก่อสร้างในขณะนั้นให้เป็นชื่อของพระองค์รวมทั้งตลาดสาธารณะ บริเวณนี้เป็นสถนีขนส่งมวลขนของกรุงเยอร์ลิน อยู่ใจกลางเมืองและใกล้ๆกับแม่น้ำสพรี เกิดการต่อสู้กันอย่างหนักที่สภาไรค์ชดาร์ก ฝ่ายเอยมันต้องรักษาสภาไว้ให้ได้เพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งอำนาจของพรรคนาซีและฮิตเลอร์ ฝ่ายโซเวียตก็ต้องการยึดไว้ให้ได้ เพื่อนำธงแดงของสหภาพโซเวียตไปโบกบนสภาเป้นการประกาศชัยชนะ และแสดงการล่มสลายของนาซีและฮิตเลอร์เช่นกัน การต่อสู้แบบประชิดตัวเป็นไปอย่างดุเดือด ทหารต่างด้าวในหน่วย SS มีฝีมือในการรบเพราะการกรำศึกมามากและเชื่อในลัทธิสงครามที่ว่าเยอรมันจะไม่มีวันแพ้
      นายพลเฮนิกซี่ถูกปลดออกจาตำแน่งผู้บังคับบัญชากากรป้องกันกรุงเบอร์ลิน เนื่องจากปฏิเสธคำสังที่ให้หยุดยั้งกองทัพแดงเนืองจากเห็นว่าไม่มีประโยชน์อีกต่อไปที่จะต้านทานกองทัพแดง ฮิตเลอร์แต่งตั้ง นายพล สติวเอนท์ เข้ารับตำแหน่งในวันต่อมา คือวันที่ 30 เมษายน ซึ่งเป็นวันเดียวกับฮิตเลอร์กระทำอัตวินิบาตกรรมในบังเกอร์ผู้นำพร้อมกับ เอวา บราวน์ ภรรยาของเขา ซึ่งพึ่งแต่งงานกอ่นหน้านี้เพียงวันเดียว
     ในที่สุดผุ้บัญชากากรป้องกันกรุงเบอร์ลินนายพลไวด์ลิงค์ ก็ยอมจำนนต่อกองทัพแดงและยกเมืองให้แก่สหภาพโซเวียตควบคุมในวันที่ 2 พฤษภาคม 1945
       Victory in Europe Day หรือ Ve Day คือวันที่ 7-8 พฤษภาคม 1945 วันที่ฝ่ายสัมพันธมิตรยอมรับการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของนาซีเยอรมัน หลังจากฮิตเลอร์ฆ่าตัวตายในวันที่ 30 เมษายน ตำแหน่งประธานาธิบดีเยอรมันตกเป็นของ คาร์ล เดอนิตช์ เขาลงนามในสนธิสัญญายอมจำนนในวันที่ 7 พฤษภาคม ในเมืองแรมส์ ฝรั่งเศสและวันที่ 8 พฤษภาคม ในกรุงเบอร์ลิน เยอรมัน
     การเฉลิมฉลอง ในวันนั้น ได้มีการจัการเฉลิมฉลองกันครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงลอนดอน ซึ่งประชาชนชาวอังกฤษกว่าล้านคนได้พากันมาเฉลิมฉลองกันในบรรยากาศการเล่นรืนเรองในการสิ้นสุดสงครามในทวีปยุโรป แม้ว่าการปันส่วนอาหารและเสื่อฝ้าจะยังคงกินเวลาต่อไปอีหลายปี และในความเป็นจริงแล้วการปันส่วนอาหารกินเวลายาวนานยิ่งกว่าช่วงเวลาของสงครามอีก ฝูงชนได้มารวมตัวกันที่จัตตุรัสทราฟัลการ์ ไปจนถึงพระราชวังบักกิงแฮม ที่ซึ่งพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชินีเอลิซาเบธและนายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิลล์และเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตได้รับอนุญาติให้เดินปะปนอยู่กับฝูงชนที่มาชุมนุมนั้น และมีส่วนร่วมในการเฉลิมฉลองด้วย
     ในสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมน ผู้ซึ่งจัดงานวันเกิดครบรอบ 61 ปีของเขาเอง ได้อุทิศชัยชนะเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีคนก่อนหน้าแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต เพราะว่าเขาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ยุติสงคราม โรสเวลต์ถึงแก่อสัญกรรมไม่กี่เดือนก่อนหน้าการยอมจำนนจะเกิดขึ้น ในวันที่ 12 เมษายน ฝูงชนจำนวนมากมารวมตัวกันที่ ชิคาโก ลอสแองเจิลลิส ไม่อามี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไทม์สแควร์ ในนครนิวยอร์ก
     สหภาพโซเวียตและประชาชนจำนวนมากได้จัดงานเฉลิมฉลองวันแห่งชัยชนะ ในมหาสงครามของผู้รักชาตอันยิ่งใหญ่ในวันที่ 9 พฤษภาคมแทน

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

WWII:Bertrayal Yalta

     เป็นคำที่ใช้กันในกลุ่มประเทศยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโปแลนด์และสาธารณรัฐเช็คซึ่งหมายความถึงนโยบายด้านการต่างประเทศของกลุ่มประเทศตะวันตกหลายประเทศซึ่งได้ละเลยสนธิสัญญาพันธมิตรและข้อตกลงหลายฉบับในสนธิสัญญาแวร์ซาย สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปจนถึงสมัยสงครามเย็นซึ่งมีสาเหตุจากการหลอกลวงและทรยศ ซึ่งเป้นผลมาจากความจริงที่ว่า ฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกซึ่งแม้จะได้รับการสนับสนุนให้เกิดระบอบประชาธิปไตย การลงนามในสนธิสัญญและก่อตั้งพันธมิตรทางการทหารทั้งก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กระนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกกลับทรยศพันธมิตรของตนในยุโรปกลางโดยการละเลยที่จะปฏิบัติตามข้อผูกมัดตามสนธิสัญญา อาทิ การไม่ช่วยป้องกนนาซีเยอรมันจากการึดครองเชโกสโลวาเกีย แต่กลับบกให้ในข้อตกลงมิวนิก หรือการทอดท้งโปแลนด์ให้รับมือกับเยอรมันและสหภาพโซเวียตตามลำพังระหว่างการบุกครองโปแลนด์ และการลุกฮือในกรุงวอร์ซอ ในปี 1944
     นอกจากนี้ สัมพันธมติรตะวันตกยังได้ลงนามในข้อตกลงยอลตา และภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองก็ไม่ให้การป้องกันหรือยื่นมือเข้ามาช่วยเลหือรัฐเลห่านี้จาการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและการควบคุมของสหภาพโซเวียตของสหภาพโซเวียตและระหว่างการปฏิวัติฮังการี 1956 ฮังการีก็ไม่ได้รับทั้งการสนับสนุนทั้งทางทหารและการสนับสนุนในด้านกำลังใจจากฝฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกเลยและทำให้การปฏิบัติถูกปราบปรามโดยกองทัพแดงในที่สุ สถานการณ์เดียกันเกิดขึ้นอีครั้งในปี 1968 เมื่อกองทัพร่วมของกลุ่มประเทศสนธิสัญญาวอร์ซอเพื่อกำจัดยุคฤดูใบไม้ผลิปรากในเชโกสโลวาเกียปละยุติการเปลี่ยนแปลงการปกครองกลัยสู่ระบอบคมอมิวนิสต์ดังเกิม ดังที่ได้เกิดความกังวลในการประชุมยอลต้า แนวคิดของมัก็ถูกโต้เถียงกันโดยนักประวัติศสตร์มองว่าการที่นายรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร วินสตัน เชอร์ชิลล์และปรธานาธิบดีแห่งสหรัฐแมริกา แผรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากยอมรับความต้องการของผู้นำโซเวียต โจเซฟ สตาลิน ทั้งในการประชุมเตหะรานและในการประชุมครั้งนี้ อย่างไรก็ตามฝ่ายสัมพันธ์มิตรตะวันตกเองก็ได้ประเมินอำนาจของสหภาพโซเวียตผิดไปบ้าง เช่นเดียวกับที่ประเมินนาซีเยอรมันผิดไปหนึ่งทศวรรษก่อนหน้านั้น  แต่ผู้สนับสนุนการประชุมยอลต้ามีแนวคิดว่าการประชุมในครั้งนี้เป็นการทรยศกลุ่มประเทศยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก โดยไม่มีการพิจารณาถึงชะตากรรมของโปแลนด์ในอนาคต
     กองกำลังโปแลนด์เป็นกองกำลังที่ต่อสู้นาซีเป็นเวลายาวนานกว่าประเทศอื่นใดในสงครามโลกครั้งที่สองและทำการรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกองกำลังสหรัฐอเมริกา อังกฤษและโซเวียตในการทัพที่สำคัญหลายครั้งรวมไปถึงในยุทธการแห่งเบอร์ลินครั้งสุดท้าย ซึ่งกองกำลังติดอาวุธโปแลนด์ทางตะวันตกมีกว่า 250,000นายและ กว่าแสนแปดนายทางตะวันออก อีกว่าสามแสนนายทำการรบใต้ดินหรือในกองกำลังกู้ชาติ ในตอนปลายสงครามโลกครั้งสอง  กองทัพโปแลนด์มีจำนวนกว่า 600,000นายโดยที่ไม่นับกองกำลังกู้ชาติ ซึ่งทำให้โปแลนด์มีกองกำลังขนาดใญ่เป้ฯอันดับสี่ในสงคราม
     แต่กระนั้นประธานาธิบดีโรสเวลต์ก็ยังนิ่งนอนใจเมื่อรัฐบาลโปแลนด์ถูกอทนที่ด้วรัฐบาลหุ่นของโซเวียตโดยได้มีข้อสังเกตว่าโรสเวลต์ได้วางแยนที่จะมอบโปแลนด์ให้กับสตาลิน นักประวัติศาสตร์คนอื่น ๆ เสนอว่า เชอร์ชิลล์กระตุ้นให้โรสเวลต์ดำเนินกิจการทางทหารต่อในทวีปยุโรปแต่ต่อต้านสหภาพโซเวียต เพื่อป้องกันการแสวงหาดินแดนเพิ่มเติมจากพรมแดนของตนรูสเวลต์ดูเหมือนว่าจะเชื่อใจในการับประกันของสตาลินและปฏิเสธที่จะสนับสนุนการเจจาของเชอร์ชิลล์ในการรักษาเสรีภาพโดยปราศจากการหนุนหลังของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรที่เหนื่อยอ่อน อดอยากและแทบจะสิ้นเนือประดาตัวจึงไม่สามารถดำเนินการตามที่ตั้งใจไว้

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

WWII:Auschwitz

     การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ คือ การกระทำอย่างเป็นระบบและไตรต่องไว้ก่อนเพื่อทำลายกลุ่มชาติพันธ์ กลุ่มเชื้อชาติ กลุ่มชนในชาติ หรือกุล่มชนทางศษสนาทั้งกลุ่มหรือส่วนใหญ่ “อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษความผิดอาญาฐานฆ่าล้าเผ่าพันธ์ หมายถึง “การกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำลายกลุ่มชาติพันธ์ กลุ่มเชื้อชาติ กลุ่มชนในชาติ หรือกลุ่มชนทางศษสนาทั้งกลุ่มหรือส่วนใหญ่ เป็นต้นว่า ฆ่าสมาชิกของกลุ่ม กระทำให้สมาชิกของกลุ่มถึงแก่พิกลพิการอย่างหนักทางกายภาพหรือจิตภาวะ กระทำโดยไตรตรองหรือโดยคากการณ์ไว้แล้วเพื่อให้เกิดแก่หรือนำพามาสู่สมาชิกของกบุ่มซึ่งทุกขเวทนาในสภาพความเป็นอยู่ กระทำโดยมาตรการใด ๆ เพื่อมิให้มีการถือกำเนิดของทารกภายในกลุ่ม หรือใช้กำลังนำพาผู้เยาว์ในกลุ่มไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง
     โดยในคำปรารภแห่งอนุสัยญาดังกล่าว ว่าได้เกิดกรณีตัวอย่างในการฆ่าล้างเผ่าพันูขึ้นแล้วหลายครั้งหลายคราในประวัติศาสตร์โลก แต่ที่จริงแล้วคำว่า “genocide”นั้นเพิ่งได้รับการประดิษฐ์โดยนายราฟาเอล เลมคิม นักนิติศาสตร์โปแลนด์ ยิว ปละประชาคมโลกเพ่งยอมรับนิยามของ “ฆ่าล้างเผ่าพันธ์” อย่างเป็นทางการภายหลังความหายนะที่นูเรมเบิร์ก
     ปัจจุบัน ความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอาญาระหว่างประเทศที่จะดำเนินกระบวนยุติธรรม แต่ก่อนหน้านี้ระหว่างที่ประชุคมโลกกำลังช่วยกันประดิษฐ์ศาลดังกล่าว เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะตุลาการของคณะตุลาการเฉพาะกิจระหว่างประเทศจนกระทั่งธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหวางประเทศมีผลใช้บังคับในวันที่ 1 กรกฏาคม 2002
      นอกจากนี้ นับแต่อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษความผิดอาญาฐานฆ่าล้างเผ่าพันูมีผลใช้บังคับในเดือนมกรตั้งแต่ปี 1948 เป็นต้นมา กว่า แปดสิบประเทศทังโลกใช้และปรับปรุงกฏหมายภายในเพื่ออนุวัติอนุสัญญาดังกล่าว
     ปัจจุบัน ความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอาญาระหว่างประเทศที่จะเเนนกระบวนยุติธรรม แต่ก่อนหน้านี้ระหว่งที่ประชาคมโลกกำลังช่วยกันประดิษฐ์ศาลดังกล่าว เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะตุลาการเฉพาะกิจระหว่างผระเทศกระทั้งธรรมนูญกรุงโรมวาด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศมีผลใช้บังคับในวันที่ 1 กรกฎาคม 2002
      ชาวยิวเป็นชนที่ไม่มีแผ่นดิน เป็นชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่แถบชายแดนของปาเลสไตล์ เมือประชกรยิวเพิ่มมากขึ้น จนเกิดปัญหาเรืองที่อยู่ บางประเทศจึงโอบอุ้มเข้าไปในประเทศ และประเทศที่รับเข้าไปมากที่สุดคือ เยอรมัน ฮิตเลอร์เริ่มรู้สึกว่าชาวยิวมุ่งเป้ามาที่เยอรมัน ซึ่งยิวแรกซึมอยู่ทั่งอยเรมัน และรอให้เยอรมันล่มสลาย คนยิวมีความฉลาดหลักแหลม เข้าทำงานในทุกธุรกิจของเยรมัน โดยเฉพาะธุรกิจรถยนต์ ซึ่งขณะนั้นเยอรมันเป็ฯผุ้ผลิดตายแรกที่ส่งรถยนต์ออกขาย เมื่อเวลาเนินนานชาวยิวเป็นเจ้าของทุกธุรกิจ ยกเว้นทางด้านการทหาร..
      ขบวนการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ยิวเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อฮิตเลอร์ขึ้นปกครองประเทศโดยชอบธรรมตามกฏหมาย ฮิตเลอร์โยนความผิดและปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดในเยอรมันในเวลานั้นว่าเป็นความผิดของชาวยิว พรรคนาซีไล่ต้อนชาวยิวไปอยู่อาศัยในบริเวณกักกัน ชาวยิวต้องมารับเคราะห์โดยไม่รู้ว่านาซีต้องการสิ่งใดกันแน่ ชาวยิวบางคนฆ่าตัวตายเพราะความหมดหวัง
     ในความเป็นจริงแล้วในครั้งที่ฮิตเลอร์ยังไม่ขึ้นครองอำนาจก็มีขบวนการต่อต้านชาวยิวอยู่ก่อนแล้ว ประเทศที่ร่วมเป็นพันธมิตรกับเยอรมัน โรมาเนียต้องรับผิดชอบในการตายของชาวยิวมากกว่าประเทศอื่น ที่เข้าร่วมกับเยอรมัน โรมันเนียสังหารชาวยิวร้อยละ 10 ที่เมืองเบสซาราเบีย ทางตอนเหนือของเมืองบูโกวิน และเมืองทรานสนิสเตรีย ส่วนการสังหารครั้งใหญ่อีกหลายครั้ง
     และอีกเหตุผลหนึ่งคือการแปรพักตร์ของชาวยิวไม่ส่งเสบียงให้กองทัพเยอมันในแนรบตะวันตกในสงครามโลกครั้งที่ 1เป็นเหตุให้เยอรมันแพ้สงคราม  และเหตุผลที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือเหตุทางการเมือง
     ชาวยุโรปเกลียดยิวอยู่ก่อนแล้ว จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ก่อนยุคกลางชาวยิวเมืออยู่ในประเทศไหนก็เกาะกลุ่มกันและกีอกันคนนอก สร้างสังคมปิดเล็กๆ ใของตนในสังคมใหญ๋ของประเทศอื่นๆ เป็นเพราะชาวยิวไม่ยอมรวมกับชนชาติอื่น การปล่อยเงินกู้ ศาสนาคริสต์หากคิดดอกเบี้ยจะผิดหลักศาสนามีเพียงชาวยิวที่ปล่อยเงินกู้และคิดดอก ชาวคริสต์บางกลุ่มยังเชื่อว่าชาวยิวคือกลุ่มคนที่สังหารพระเยซู โดยยืมมือโรมัน ความเกลียดชังยิวจึงเป็นแรงที่ฮิตเลอร์ใช้ปลุกระดมคนในชาติซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี
     เอาชวิทซ์ เป็นค่ายกักกันและค่ายมรณะที่ใหญ่ที่สุด หลังการบุกครองโปแลนด์ “ออซเฟียนชิม”ของโปแลนด์ก็ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของนาซีเยอรมันและเปลียนชือ่เป็นเอาชวิทซ์ ซึ่งเป็นชื่อในภาษาเยอรมัน ประชาการกว่า สามล้านคนเสียชีวิตที่ค่ายกักกันนี้ ร้อยละ 90 เป็นชาวยิวจากเกือบทุกประเทศในยุโรป วันปลดปล่อยค่ายกักกันคือวันที่ 27 มกราคม 1945 โดยกองทัพแดงของโซเวียต และเป็นวันที่รำลึกถึงเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธ์นานาชาติ

WWII:1945

     มกราคม
- กองทัพอเมริกายกพลขึ้นบกบนเกาะลูซอน ฟิลิปปินส์ ทัพอากาศสหรัฐอเมริกาโจมตีบนเกาะไต้หวัน .. กองทัพที่ 1 และกองทัพที่ 3 ของสหรัฐอเมริกาได้เชื่อมต่อกันหลังจากยุทธการแห่งรอยโป่งยุทการแห่งรอยโป่งจบลง กองทัพโซเวียตปิดล้อมกรุงบูดาเปสต์ ปลดปล่อยค่ายกักกันเอาชวิตช์และกรุงวอร์ซอว์ซึ่ง
ภาพหลังได้ก่อตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดโปแลนด์..รูสเวลต์ ได้รับเลือเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สามของสหรัฐแมริกา แฮรร์รี่เอส. ทรูแมนเป็นรองประธานาธิบดี..กองทัพโซเวียตรุกกรุงปรัสเซียตะวันออก ทัพเยอรมันต้องล่าถอยครั้งใหญ่ กองทัพโซเวียตปลดปล่อยลิธัวเนีย กองทัพโซเวียตข้ามแม่น้ำโอเดอร์เพื่อเข้าตีนาซีเยอรมัน ซึ่งห่างจากกรุงเบอร์ลินไม่เกิน 50 ไมล์
    
กุมภาพันธ์
- กองทัพสหรัฐเข้าสู่มะนิลา..กองทัพอเมริกันยกพลขึ้นบกที่เกาะอิโวจิมา..อเมริกาปลดปล่อยมะลิลาได้สำเร็จ
- การประชุมยอลต้า
- กองทัพเยอรมันล่าถอยจากเบลเยี่ยม..แนวต้านของเยอรมันแห่งสุดท้ายแตกจากแม่น้ำไรน์..โซเวียตปลดปล่อยบูดาเปสต์
      มีนาคม
- โซเวียตโจมตีเยอรมันในฮังการี..กองทัพเอเมริกันเดินเท้าข้ามสะพานเรมาเกนสู่แผ่นดินเยอรมัน..เยอรมันพ่ายในฮังการี…กองทัพสัมพันธมิตรชะลอการบุกของตน และให้กองทัพโซเวยตยึดกรุงเบอร์ลิน..โซเวียตเข้าประเทออสเตรีย และกองทัพพันธมิตรตะวันตกยึดเมืองแผรงก์เฟิร์ต โซเวียตตีได้เมืองดันชิก นายพลดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวน์ ออกอากาศและเรียร้องให้เปยรมันยอมแพ้
     เมษายน
- กองทัพโซเวียตเข้าโจมตีกรุงเวียนา..การรบที่ Konigsberg สิ้นสุดลงโดยโซเวียตเป็นฝ่ายชนะ..โซเวียตได้ชัยที่เวียนนา..ทัพโซเวียตกับทัพอเมริกาบรรจบกันที่แม่น้ำ เอลเบ
-เรือประจัญบายยามาโตะจม..ฝูงบินกามิกาเซ ของญี่ปุ่นบุกดจมตีกองเรือของสหรัฐที่โอะกินะวะอย่างต่อเนื่อง..โตเกียวถูกทิ้งระเบิดอย่างหนัก
- ประธานาธิบดีแฟลงกิน ดี. โรสต์เวลต์ แห่งสหรัฐอเมริกา ถึงแก่อสัญกรรม แฮร์รี่ เอส.ทรูแมนขึ้นเป้ฯประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา
-มุสโสลินีถูกจับกุมตัว โดยกองกำลังปาร์ติชานของพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลีในขณะพยายามหลบหนีออกจากอิตาลี มุสโสลินีถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยข้อหาทรยศต่อชาติโดยคำตัดสินลับหลังของคณะลูกขุนแห่งคณะกรรมการปลดแอกแห่งชาติ ร่างของมุสโสลินี และอนุภรรยาและผู้นิยมฟาสซิสต์ประมาณ 15 คนถูกแขวนประจานที่เมืองมิลาโน
- ฮิตเลอร์แต่งงานกับอีวาบราวน์ ฮิตเลอร์กับภรรยาฆ่าตัวตาย โดยใช้ทั้งยาพิษและปืน โจเซฟ เกบเบิลส์ได้ขึ้นเป็นมุขมนตรีแห่งไรซ์และพลเรือเอก คาร์ล เดอนิตช์ รับแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีแห่งไรซ์

 พฤษภาคม
- การรบในอิตาลีสิ้นสุด
-ย่างกุ้งเป็นอิสระ
-ทหารเยอรมันในเนเธอร์แลนด์ยอมจำนนอย่างเป็นทางการ..เดนมาร์คได้รับการปลดปล่อยโดยทัพสัมพันธมิตร..นาซีเยอรมันยอมจำนนอย่างไม่เป็นทางการโดยประธานาธิบดีคาร์ล เอนิต
ช์ การหยุดยิงเริ่มเมือง 0.01 น. และเป็นวันแห่งชับชนะในยุโรป และนาซีเยอรมันยอมจำนนอย่างเป็นทางการ  กองบัญชาการกองทัพกลุ่มกลางของเยอรมันในเชโกสโลวาเกียยอมจำนนสงครามโลครั้งที่สองในทวีปยุโรปยุติลง
- เมืองนะโงะยะ ในญี่ปุ่น ถูกโจมตีอย่างหนัก..การทิ้งระเบิดอย่างหนักที่เมือโยโกฮามา ซึ่งเป็นเมืองท่าและฐานทัพเรือที่สำคัญของญี่ปุ่น
     มิถุนายน
- กองทัพเรืออเมริกันถูกไต้ฝุ่นในแปซิฟิกไดรับความเสียหาย
- สัมพันธมิตรบรรลุข้อตกลงในการแบ่งเยอรมันออกเป็นสี่ส่วน
- เมืองโอชะกะ ในญี่ปุ่น ถูกโจมตีอย่างหนัก..ทัพญี่ปุ่นถอนกำลังออกจากประเทศจีน มีการลงนามในกฎบัตรสหประชาชาติที่ซานฟานซิสโก

กรกฎาคม
- พลเอก ดังลาส แมคอาเธอร์ ประกาศว่าฟิลิปปินส์ได้เป็นอิสระแล้ว..
- นอร์เวย์..อิตาลีประกาศสงครามกับญี่ปุ่น
-สหรัฐอเมริกาทำการทดสอบนิวเคลี่ยร์ที่นิวเม็กซิโก
-การประชุมที่พอตสดัมผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรตกลงร่วมกันในเจตจำนงให้ญี่ปุ่นยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข ประธานาธิบดีทรูแมนบอกเป็นัยให้ทุกฝ่ายทราบว่าสหรัฐอเมริกามีอาวุนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง
- เรือประจัญบานฮารุนะ ของญี่ปุ่นถูกจมโดยทัพอากาศสหรัฐฯ เรืออินเดียนาโปลิส ถูกจม โดยเรือดำน้ำญี่ปุ่น กองทัพอากาศสหรัฐโจมตีเมืองโคเบอะและนะโงะยะ
     สิงหาคม
- “ Little Boy” ถูกทิ้งที่ฮิโรชิมา
-สหภาพโซเวียตประกาศสงครามกับฐ๊ป่นและการโจมรีแมนจูเรียเริ่มต้นขึ้น
- “Fat Man”ถูกทิ้งที่เมืองนะงะซะกิ สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตทรงประกาศทางวิทยุถงการยอมจำนนของประเทศญี่ปุ่น กองทัพญี่ปุ่นในแมนจูเรีย ยอมจำนนต่อสหภาพโซเวียต.. นายพลแม็คอาเธอร์เข้าควบคุมการบังคับบัญชากองทัพญี่ป่นในกรุงโตเกียว
     กัยยายน
-  ผู้บัญชาการของกองทัพจักรวรรดิญี่ป่นทั่วไปยอมจำนนต่อกองกำลังฟิลิปินส์และอเมิรกันในภาคเหนือของฟิลิปปินส์..ญี่ปุนลงนามในสัญญายอมจำนน บนดาดฟ้าเรือรบมิสซูรี อ่าวโตเกียว  สิงคโปร์ ได้เป็นอิสระอย่างเป็นทางการโดยการปลดปล่อยขจองกองกำลังอังกฤษ

Renewed Trump era ( Again )

                        ไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า โดนัลด์ ทรัปม์ จะหลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง โดยเขาจะเข้าพิธีสาบานตนเืพ่...