ยุทธศาสตร์ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
ในสังคมที่มีเสถียภาพทางการเมือง การขัดแย้งระหว่างฝ่ายขวา และฝ่ายซ้อยไม่รุนแรงถึงขั้นมีวิกฤติการณ์โครงสร้างและวิกฤติการณ์ความเชื่อ ลูกต้อมการเมืองจะไม่เหวี่ยงจากขวาไปซ้ายหรือซ้ายไปขวาอย่างเต็มี่ท แต่จะเหวี่ยง ไปจากตอนกลางของทางขวาไปยังตอน กลางของทางซ้าย การต่อสู้ทางการเมืองจะเป็ฯการต่อสู้ด้วยยุทธศาสตร์รนนิยมสายกลาง ดังนั้นทั้งสองฝ่ายขวาซ้อนจึงต้องวางแนวนโยบายสู่สายกลาง ภายในแต่ละค่ายฝ่ายหัวรุนแรงจะต้องยอมให้ฝ่ายหัวอ่อนควบคุม เพื่อให้ผู้ออกเสียงส่วนใหญ่เลือกพรรคของตน ทั้งพรรคขวาและพรรคซ้ายต่างก็แสดงท่าทีว่าอยู่สายกลาง จากท่าทีดังกล่าวทำให้กลุ่มปฏิรูปมีอิทธิพลเหนือกลุ่มปฏิวัติในค่ายฝ่ายซ้ายและในทำนองเดีวกันกลุ่มขวาอ่อนก็จะมีอิทธิพลเหนือกลุ่มขวาจัดด้วยเหตุผลเช่นนี้ทำให้การต่อสู้ระหว่างขวากับซ้ายลดความรุนแรงลงมาก
การเป็นพันธมิตรระหว่างกลุ่มอนุรักษณ์นิยมสายกลาง กับกลุ่มปฏิรูปของฝ่ายซ้ายเป็นสิ่งที่น่าเป็นไปได้ เพราะต่างฝ่ายก็มีขอบเขตการยอมรับร่วมกันได้ คือการยอมรับการปฏิรูปแต่สำหรับการปฏิรูปมีความแตกต่างกันอยู่ที่ว่าฝ่ายขวาอ่อนเห็นว่าควรมีการจำกัดขอบเขตการปฏิรูป แต่สำหรับการปฏิรูป มีความแตกต่างกันอยู่ที่ว่าฝ่ายขวาอ่อนเห็นว่าควรมีการจำกันขจอบเขตการปฏิรูปส่วนฝ่ายซ้ายกลับมีความเห็นว่าการปฏิรูปเป็นความจำเป็น ดังนั้นจึงควรปรับปรุงให้ขยายออกเรื่อย ๆ ด้วยเหจุที่จุดประสงค์และความคิดพื้นฐานแตกต่างกัน เพื่อประโยชน์ทางการเมืองด้านปฏิบัติ ทั่งฝ่ายขวาอ่อนและซ้ายอ่อนอาจจะร่วมมือกันได้บางประการคือ อาจกำหนดจุดมุ่งหมายปลายทางอย่างเดียวกันได้ แต่วิธีที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางย่อมต่างกัน กล่าวคือภายในพันธมิตรของฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายที่นิยมสายกลางแต่ละฝ่ายก็พยายามที่จะสร้างชัยชนะให้แก่ฝ่ายของตนเองความพยายามนี้ในบางครั้งจงมคีความจำเป็นที่แต่ละฝ่ายจะต้องของความสนับสนุนจากพวกหัวรุนแรงในค่ายของตน เพื่อให้มีกำลังภายในเพ่มขขึ้นสามารถมีอทิธิพลเหนือพันธมิตรที่อยุ่ในค่ายตรงกันข้าม ด้วยเหตุมาตราการบางอย่างหรือกร๊บางกรณีสายสัมพันธ์ของซ้ายปฏิรูปกับซ้ายปฏิวัติ และสายเชื่อมโยงของขวาอ่อนและขวาจัดก็ยังคงมีอยู่ตลอดเวลา แต่จะปรากฎขึ้นให้เห็นชัดเมือใดนั้นก็แล้วแต่สถานะการณ์แต่ละครั้งไป
อย่างไรก็ดี การที่ฝ่ายหัวรุนแรงต้องถูกจำกัดบทบาทเป็นเพียงกำลังเสริมเพื่อประโยชน์ทางการเมืองภาคปฏิบัติเท่านั้น ทให้พวกหัวรุนแรงซึ่งมีแนวโน้มทางธรรมชาติเป็นพวกรุนแรงอยู่แล้วถูกเพิ่มความกดดันมากยิ่งขึ้น นาน ๆ ก็จะระเบิดขึ้นมาที่หนึ่ง ดังที่เราจะเห็นตัวอย่างได้ว่าแม้แต่ในประเทศที่ระบอบการเมืองมีเสถียรภาพอย่างอังกฤษก็ดี สหรัฐอเมริกาก็ดี ฝรั่งเศสอิตาลี ญี่ปุ่น พวกหัวรุนแรงทั่งขวาและซ้ายก่อความวุ่นวายรุนแรงในที่สาธารณะขึ้นบ่อย ๆ เพราะเขาเห็นว่าพวกนิยมสายกลางไม่มีหลักการ ที่เห็นได้ยอ่างชัแจ้ง ไสมารถแก้ปัญหาของแต่ละฝ่ายได้อย่างจริงจัง ฝ่ายหัวรุนแรงจึงมีแนวโน้มที่จะแยกการเมืองในอุดมคติ บริสทุธิ์ แต่ปฏิบัติไม่ได้ไปสู่การเมืองที่เห็นผลทัน มากกว่าการประนีประนอม ดังนั้นเพื่อต่อสู้กับพวกนิยมสายกลางพวกหัวรุนแรงสุดขั้ยขงองทั้งสองค่ายก็มีอยู่วิธีเดียวคือร่วมมือกันโค่นล้มพันธมิตรนิยมสายกลาง แต่ทั้งสองฝ่ายต่องก็ยืนอยู่บนฐานที่มีจุดมุ่งหมายต่ากันสุดกู่ พันธฒมิตรในรูปนี้ ไม่อาจก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางการเมืองแก่ตัวเอง เพราะจะทำได้ แต่เพียงขัดขวางการดำเนินงานของรัฐบาล แต่ไม่สามรถเข้าแทนที่เป็นรัฐบาลเองได้ ถ้าพวกหัวรุนแรงทั้งสองค่ายมีกำลังแข็งกว่าพวกนิยมสายกลางและสามารถรวมกันได้รัฐบาลในรุ)แบบใดก้อยู่ไม่ได้ทั้งสิ้น
การปิดบังซ่อนเร้น
ยุทธศาสตร์ที่ใช้วิธีปิดบังซ่อนเร้นจุดมุ่งหมายที่แท้ริงของพฤติกรรมทางการเมืองไว้เบื้องหลังสิ่งที่โฆษณาออกมาให้เป็นที่นิยมของประชาชนส่วนมากเพื่อหาเสียงสนับสนุน เป็นวิธีที่นำใช้กับรัฐบาลทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยหือรัฐบาลเผด็จการ เพราะทุกรัฐบาลย่อมต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจากประชาชนเป็นสำคัญ
เทคนิคของการปิดบังซ่อนเร้นที่ใช้กันบ่อย ๆ คือการปิดบังจุดมุ่งหมายที่มีการยอมรับน้อย เทคนิคการปิดบังคุณค่าที่ด้อยกว่าไว้เบื้องหลังคุณค่าที่เหนือกว่าถูกนำมาใช้อย่างมากมาย ตัวอย่างเช่น เจ้าของปัจจัยการผลิตจะไม่ยอมรับเป็นอันขาดว่า ระบบกรรมสิทธิของเอกชนในเครืองมือการผลิตเป็นหลักประกันให้เจ้าของได้แสวงหากำไรมากที่สุด แต่จะยืนยันว่าระบบกรรมสิทธิของเอกชนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประกัน เสรีภาพส่วนบุคคล หรือจะใช้คำว่า การลงทุนเสรีแทน คำว่า กรลงทุนของเอกชน สรุปฝ่ายนายทุนจะย้ำเรื่อง “สรีภาพ” แทนที่ “ทรัพย์สิน” ฝ่ายเสรีนิยมใช้ประโยชน์จากเสรีภาพทางการเมืองเพื่อสะสมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจได้ แต่ถ้ารัฐบาลเข้ากำหนดราคาขายเพื่อควบคุมราคาสินค้าไม่ให้สูงเกินไป ฝ่ายเสรียนิยมจะต่อต้าน แต่ในการต่อต้านนั้นเขาจะไม่พูดว่ารัฐทำให้กำไรเขาลดลง เขาจะพูดว่าขาดทุนและหว่างหารัฐบาลว่าการแทรกแซงของรัฐเป้นการจำกัดเสรีภาพ การกล่าวหาเช่นนี้ก็จะทำให้มวลชนไม่พอใจด้วยเช่นดียวกัน
เทคนิคของการปิดบังซ่อนเร้นขึ้นอยู่กับ “ค่านิยม” ของสังคมเป็นสำคัญ การวัดค่านิยมจะต้องทำเป็นหลาระดับ ระดับหนึ่งคือการจัดระบบค่านิยมส่วนรวม หรือที่เรียกว่าค่านิยมของชาติ ต่อจากนี้ก็วัดจากกรอบอค่านิยมของชนั้นหนึ่ง ๆ หรือกลุ่มหนึ่ง ๆ ที่ทำการต่อสู้กับชนชั้นอื่น ๆ หรือกลุ่มอื่น ๆ โดยการพิจารณาดูว่ามีความแตกต่างกันในเนื้อหาอย่างไรบ้าง ในยุทธศาสตร์การเมืองนั้น ค่านิยมของแต่ละชนชั้นหรือพรรคหรือกลุ่มจะถูกซ่อนเร้นสิ่งซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของตนไว้ให้ทันแต่เพียงภายใน และจะแสดงตัวว่ามีค่านิยมเหมือนกับค่านิยมของสังคมส่วนรวมหรือของชาติไว้เสมอ การวิเคราห์หาค่านิยมส่วนรวมจึงต้องประเมินกันอยู่เสมอ เพื่อหาทางดึงดูดพลังสนับสนุนและร่วมกันต่อสู้ฝ่ายตรงกันข้ามอย่างจริงจัง ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันฝ่ายตรงข้ามทุกฝ่ายก็จะใช้วิธีเดียวกัน เทคนิคของการปิดบังซ่อนเร้นที่ถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่สำคัญ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่า ฝ่ายของตนกำลังทำเพื่อผลประโชน์ของประเทศชาติ แต่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงหรือที่แอบแฝงอยู่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เทคนิคอีกย่างอนึ่งของการปิดบังซ่อนเร้นคือการทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่า ผลประโยชน์ของเขากำลังอยู่ในอันตรายทั่ง ๆ ที่ความจริงสิ่งนั้น ไ เป็นเพียงผลประโยชน์ของคนส่วนน้อยที่กำลงเป็นอันตรายเท่นนั้น วิธีที่ทีกันส่วนมากและบ่อย ๆ คืการสร้าง “ศึตรู” มี่มีทั้งจริง และไม่มีจริง ด้วยการเพี่มความสำคัญแลอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากศัตรูนั้น ๆ มากขึ้น เมื่อหาข้ออ้างเพีมารตรกาการป้องกัน มาตราการต่อต้านให้สมเหตุสมผล แต่กำลังที่เพี่มขึ้นนั้นก็ใช้เป็นเกราะป้องกันผลปรโยชน์ของชนชั้นที่กำลังคุมอำนาจอยูด้วย เหมือนกับกาตะโกนดัง ๆ ว่า เสือมาแล้ว คนเดินทางพะวงดูเสือและหาทางป้องกันตัว คนตะโกนก็สามารถขโมยกระเป๋าเดินทางไปได้ ฉันใดก็ฉันนั้น การใช้ยุทธศาสตร์เบนความสนใจประชาชนออกไปจากปรากฎการณ์ความขัดแย้งต่าง ๆ ภายในประทืศด้วยการสร้างศัตรูภายนอกประเทศ เพื่อตัดกำลังของฝ่ายตรงข้ามภายในและเพื่อเตรียมการยึดอำนาจรัฐล้วนแต่เป็นยุธศาสตร์ที่รัฐบาลหลายประเทศใช้แล้วนานนับร้อยๆ ปี และบางที่ก็ถึงนำประเทศเข้าสู่สงครามเพื่อทำให้การต่อสู้ภายในลดความรุนแรง
ยุทธศาสตร์การปิดบังซ่อนเร้นจะถูกนำมาใช้มากน้อยอย่างไรนั้น ขึ้นอยูกับระดับของการพัฒนาทางเทคนิคในสังคมหนึ่ง ๆ การปิดบังซ่อนเร้นจะมีมากที่สุดในระยะกลางระหวางสังคมด้อยพัฒนาและสังคมที่พัฒนาแล้ว
ในสังคมล้าหลัง ประชาชนส่วนใหญ่ มีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น ขาดอาหาร ขาดการศึกษาถูกกดขี่บีบบังคับ ดังนั้นจึงถูกกันออกไปจากการแข่งขันทางการเมือง การเมืองจึงเป็นเรื่องของคนกลุ่มน้อยที่มีความชำนาญและในการต่อสู้ช่วงชิงำนาจ ยุธศาสตร์การปิดบังซ่อนเร้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร ผู้อยู่ในเวทีการเมืองยอ่มมองออกทั้งนั้นว่าอะไรเป็นอะไร เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า อย่าสอนหนังสือสงฆราช นักการเมืองในสังคมแบบนี้ล้วนเป็นสัฆราชทั้งสิ้น
เทคนิคของการปิดบังว่อนเร้นจะใช้กันอย่างแนแน่นในสังคมกึ่งพัฒนา ในระยะนี้ประชาชนส่วนใหญ่เร่มจะตืนตัวทางการเมืองผู้กุมอำนาจทางการเมืองไม่สามารถกันให้มวลชนเหล่านี่ออกไปจากเวทีการเมืองได้ และในขณะเดียวกันส่วนใหญก็ยังขาดการศึกษา ไม่มีความรอบรู้เลห์เหลี่ยมของนักการเมืองเพียงพอ สังคมแบบนี้ยุทธศาสนการเมืองแบบปิดบังซ่อนเร้นนับว่ามีประสิทธิภาพมาก
การต่อสู้แบบเปิดเผยและการต่อสู้อย่างแอบแฝง
การต่อสู้ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ในทางทฤษฎีแล้วย่อมเป็นการต่อสู้อ่างเปิดเผยมากกว่าการเมืองของระบอบเผด็จการ การแบ่งพรรคการเมืองออกจากกลุ่มอิทธพลก็เป็นเครื่องชี้อย่างหนึ่งให้เห็นว่ามีการต่อสู้โดยตรงและเปิดเผยระหว่างพรรคการเมืองด้วยกัน ส่วนกลุ่มอิทธิพลคือการต่อสู้ทางอ้อมหรือย่างแอบแฝง อย่างไรก็ตามถ้าวิคราะห์ให้ลึกลงไปอีก จะเห็นว่าสถานะการณ์บางอยร่างของระบอบประชาธิไตยก็มีบางส่วนที่กลับกันกับสถานะการณ์ของเผด็จการกล่าวคือ ที่ว่าการต่อสู่โดยตรงเพื่อชวงชิงอำนาจในระบอบเผด็จการจะทำได้ในระดับตำแหน่งตำ ๆ แต่ในระบอบประชาธิไตยตำแหน่งกุมอำนาจระดับตำลงมาส่วนมากแล้วจะอยู่ในกำมือของข้าราชการประจำ ซึงอยู่ในระบบข้าราชการประจำที่มีหลักประกันความมั่นคงถาวรที่อำนาจฝ่ายการเมืองไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้วด้วยพลการ ด้วยเหตุนี้การต่อสู้โดยตรงและเปิดเผยเพื่อให้ได้อำนาจระดับต่ำในระบอบประชาธิไตยจึงมีขีดจำกัด หรือทำแทบไม่ได้ นนอกจากนี้ด้วยสถนะภาพที่ถาวรของระบบข้าราชการประจำก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การเปลี่ยนกล”กการเมืองในระดับสูงมีขอบเขตจำกัด ส่วนข้อแตกต่างของระบอบเผด็จการนั้น ผุ้มีอำนาจสูงสุดสามรถแต่งตั้งถอดถอนผู้ครองตำแหน่งต่าง ๆ ในระดับตำลงมาตามความพอใจของตน การต่อสู้เพื่อครองอำนาจในระดับต่าง ๆ จึงเป็นเพียงการต่อสู้อย่างเปิดเผยเพื่อให้ได้ความไว้ใจจากผู้กุมอำนาจสูงสุดเท่านั้น การเปลี่ยน “คนโปรด” ในระบอบเผด็จการเป็นการเผลี่ยนที่ได้ผลแน่นอนเด็ดขาด มากกว่าการเปลี่ยนมือครองอำนาจด้วยผลของการเลือกตั้ง
ข้อสังเกตุอีกอย่างหนึ่งคือ การต่อสู้ทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยนั้นมีลักษณะหมุนเป็นวงกลม การเลือตั้วทั่วไปจึงเป็นระยะที่การต่อสู้ทางการเมืองพุ่งถึงขีดสุงสุด เมื่อพ้นระยะนี้การเมืองจะดำเนินไปเป็นจังหวะปกติ 4 หรือ 5 ปี ฝ่านไป การต่สู่จะหลับมาคุกคักอีกหมุนวนไปย่างนี้เรื่อยๆ
เมื่อการเลื่อกตั้งทั่วไปฝ่านไปแล้วและก่อนจะถึงระยะเวลาที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหญ่ การต่อสู้ทางการเมืองจะดำเนนินไปอย่างปกติเช่น การอภิปรายในรัฐสภาข่าวและบทความต่าง ๆ ในหน้าหนังสือพิพ์ การชุมนุมการเจรจาต่อรอง การแสดงออกของพรรคการเมืองสหพันธ์ต่างๆ และองค์การต่าง ๆ การต่อสู้ในกลุ่มดังกล่าวเป็นไปอย่างเปิดเผย แม้กระนันลักษณะของการต่อสู้ทางการเมืองนั้น ไม่ว่าจะดำเนินไปในกรอบของระบอบการเมืองแบบใกตาม การต่อสู้อย่างเปิดเผย บริสุทธิ ยุติธรรม ย่อมเป็นไปได้ยาก ตัวอย่างเช่น ในระบอบประชาธิปไตยการที่จะได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่า พรรคการเมืองนั้น หรือพรรคการเมืองนี้ได้รับเงินอุดหนุนการเลือกตั้งมาจากไหน หรือบริษัทธุรกิจการค้าของใครใช้อิทธิพลกับรัฐบาลหรือข้าราชการเหล่านี้เป็สิ่งยากมากหรือทำไม่ได้เลย
การต่อสู้อย่างไม่เปิดเผยหรืออย่างแอบแผงเป็นวิธีการที่ทำได้หลายแบบ เช่น สถาบันต่าง ๆ ถึงแม้จะเห็นหน่วยราชการของรัฐก็อาจกลาย เป็นกล่มที่แสดงออกแทนชนชั้นได้ ถ้าหน่วยราชการแต่ละหน่วยแสดงตนว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มสังคม และมีแนวโน้มที่จะป้องกันทรรศนะของตนจากการโต้แย้งของฝ่ายอื่น การแข่งขันระหว่างหน่วยราชการ หรือระวห่างกระทรวงต่าง ๆ ก็อาจกลายเป็นกาต่อสู้ทางกาเทือได้ ในประเทศที่ปกครองโดระบบเผด็จการ บางครั้งจะได้ข่าวออกมาว่าสหพันธ์แรงงาน ทำการต่อต้านพรรคการเมืองดังนั้จึงเห้ฯไดว่สถาบันที่เห็นภายนอกว่ามีเอกภาพก็อาจจะหลายเป็นเครื่องมือการแบ่งแยกได้ การต่อสู้อย่างแอบแผงด้วยการซ่อนจุดมุ่งหมายทางการเมืองไว้เบื้องหลังจุดมุ่งหมายที่ไม่ใช้การเมือง ดังที่อธิบายมาข้าต้น ไม่เหมือนกับเทคนิคการปิดบังซ่อนเร้น ซึ่งเป็นธีที่คู่ต่อสู้ใช้จุดมุ่งหมายทางการเมืองที่ดูดีกว่มีน้ำหนักกว่าไว้บังหน้าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของตน กล่าวคือทุกชนชั้น ทุกกลุ่มของสังคมที่ทำการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์เฉพาะของตนจะต้องแสร้ง ว่าตนกำลังต่อสู้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของสังคม คือเพื่อชาติ เพื่อความเป็นธรรม เพื่อสัจจธรรม เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยก่อให้เกิดความน่าสงสัยแก่ฝ่ายตรงข้ามที่การโฆษณาไม่แข็งพอ แต่การซ่อนจุดมุ่งหมายทางการเมืองไว้เบ้องหลังจุดมุ่งหมายที่ไม่ใช่การเมืองนั้น สาเหตุมาจากการแสดงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงทางการเมืองถูกสกัดกั้นไว้ด้วยกฎหมายของสังคมนั้น ๆ
การต่อสู้ในระบอบกับการต่อสู้นอกระบอบ
ในระบอบประชาธิปไตย แม้ว่าการต่อสุ้ทางกาเมืองอย่างเปิดเผยจะเป็นหลักการฟื้นฐานก็ตาม แต่ก็มิใช่ว่าจะทำได้โดยไม่มีขีดจำกัด ด้วยเหตุนี้ทำให้การต่อสู้มีลักษณะแตกต่างกันอย่างสำคัญ 2 แบบคือ การต่อสู้ในระบอบ และการต่อสู้นอกระบอบ อาทิ
อังกฤษ กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย เนเธอร์แลนด์ ทุกๆ พรรคการเมืองยอมรับกติกาของระบอบที่ใช้อยู่คอยึดถือระบอบเสรีประชาธิปไตยรัฐสภาเป็นพื้นฐาน ด้วยการที่ไม่มีพรรคการเมืองใดจะทำการพลิกแพลงให้ออกไปนอกกติกา การต่อสู้ทางการเมืองในกลุ่มประเทศเหล่านี้จึงดำเนินอยู่ในระบอบอยางเคร่งครัดแต่ในฝรั่งเศสก็ดีหรืออิตาลีก็ดี ต่างมีกลุ่มฟาสซิสม์ ซึ่งเป็นกลุ่มขวาจัดและพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นพรรคที่ตั้งได้ตามกฏหมาย ต่างก็ไม่ยอมรับกติกาของระบบรัฐสภาและระบอบประชาธิปไตยหลายฝ่ายกาต่อสู้ทางการเมืองของทั้งสองประเทศดังกล่าวนี้ จึงมีส่วนที่ต้องทำกันนอกระบอบ ในกรณีแรกทุก ๆ พรรคการเมือพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะและได้รับอำนาจนำแนวทางในการบริหารประเทศให้เป็นไปตามความต้องการของชนชั้นหรือกลุ่มสังคม ที่พรรคนั้น ๆ เป็นตัวแทน ด้วยวิธีที่ยอมรับสถาบันและกฏเกณฑ์ของการต่อสู้ที่ทุกกลุ่มร่วมกันวางไว้แล้ว ส่วนในกรณีที่สอง พรรคการเมืองบางพรรคมีความเห็นว่าผลประโยชน์ของชนชั้นและกลุ่มต่าง ๆ ที่ตนเป็นตัวแทนอยู่นั้นไม่อาจเป็นไปได้ภายในกรอบวงของระบอบที่วางไว้นั้น เรพาะฉะนั้นพรรคเหล่านี้จึงต้องการเปลี่ยนของเก่าและหาของใหม่มาแทน
การต่อสู้นอกระบอบมีอยู่ 2 แบบที่แตกต่างกันอย่างมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายและวิธีการ กล่าวคือในสังคมหนึ่ง ๆ จะต้องมีประชาชนส่วนหนึ่งไม่ยอมรับสถาบันที่มีอยุ่และต้องการหาสถาบันอื่นมาแทนที่ จุดประสงค์ของการต่อสู้นอกระบอบจึงมีความจำเป็นไปในตัวของมันเองต้องเป็นการปฏิวัติ แต่เพื่อการล้มล้างที่หวังไว้จะมีผลสำเร็จได้ เขาอาจจะทำทั้งปฏิเสธกฎเกณฑ์ที่มีอยู่และต่อต้านด้วยวิธีใช้กำลังรุนแรงอย่างผิดกฎหมาย หรือบางทีก็ใช้กฎเกณฑ์ที่มีอยู่นั้นเองเพื่อให้ได้อำนาจมาก่อนแล้วจึงล้มล้างระเบียบที่เป็นอยู่เพื่อสร้างะเบียบใหม่ วิธีหลังนี้มีส่วนใกล้เคียงมากกับพรรคอมมิวนิสต์ในประเทศที่ยอมให้พรรคนี้มีบทบาททางการเมืองอย่างถุกกฎหมาย เช่นในฝรั่งเศสและอิตาลี พรรคคอมมิวนิส์เลิกใช้วิธีผิดกฎหมาย และยุติวิธีการใช้กำลังรุนแรงในการแข่งขันทางการเมือง และยอมรับกฎเกฑณ์ของระบอบเสรีประชาธิปไตย แต่ด้วยอุดมการของพรรค แน่นอนว่าถ้าพรรคคอมมิวนิสต์ได้รับความสำเร็จโดยชนะการเลือตั้งและสามารถกุมอำนาจรัฐเป็นรัฐบาลพรรคนี้ก็อาจใช้อำนาจทำลายระเบียบของระบอบเสรีประชาธิปไตยได้
ในระบอบเผิด็จการ การต่อสู้นอกระบอบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยไม่ว่าใครย่อมไม่อาจแสดงออกอย่างเปิดเผยที่จะทำลายสถาบันที่เป็นอยู่ นอกเสียจากทำโดยลักษณะผิดกฎหมาย และการใช้กำลังรุนแแรงเท่านั้น ส่วนสถานะการณ์ของระบอบประชาธิปไตยนั้นแตกต่างออกไปในแง่ที่ว่า ระบอบนี้ ีลักษณะธรรมชาติที่สำคัญคือการยอมให้ฝ่ายตรงข้ามาแสดงความคิดแนวทางออกมาได้อย่างเปิดเผยลักษณะนี้เองที่ยอมใ้ห้การต่อสู้นอกระบอบเกิดขึ้นได้ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นก็คือว่า ระอบอบประชาธิปไตยต้องจำนนและวางอาวุธท่ามกลางศัตรูหรือไม่ การที่ได้ให้เสรีภาพจะทำใ้ห้เสรีภาพถูกทำลายหรือไม่คำตอบสำหรับปัญหานี้ก็คือ "ระบอบประชาธิปไตยยอมให้ศัตรูของระบอบนี้ได้มีโอกาสแสดงออกในความคิดและอุดมการของตนได้ "ระบอบประชาธปไตยยอมให้ศัตรูของระอบบนี้ได้มีโอกาสแสดงออกในการนับถือคามคิดของผู้อื่นมิได้หมายความเป็นอย่างเดียวกับการสนับสนุนความคิดในการใช้กำลังรุนแรงบังคับ ระบอบประชาธิปไตยย่อมมีสิทธิำและหน้าที่เต็มที่ที่จะห้ามและทำลายการต่อสู้ทางการเมืองที่มีจุดมุ่งหมายล้มล้างระบอบประชาธิปไรขด้วยกำลังรุนแรง