วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2564

minimalist 2

              เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า..หลักการของมินิมอลลิสต์นั้น..เป็นผลกระทบจากสังคมในแบบบริโภคนิยม..ซึ่งมินิมอลลิืสต์จะเป็นประเภทที่ใช้สอยน้อย..บริโภคน้อย..ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการตอบโจทก์และอุดลอยรั่วในสังคมบริโภคนิยม..ใดใดก็แล้วแต่..แนวทางของมินิมอลนิสต์นั้นมาความสอดคล้องกับปรัชญาการดำเนินชีวิตของพุทธศาสนาทางฝ่ายเภรวาทอยู่บ้าง..ไม่มากก็น้อย..ซึ่งในหลายๆ วัฒนธรรมที่เรานำเข้าจากตะวันตกนั้นบางอย่างไม่มีความสอดคล้องหรือหรือใกล้เคียงกับวัฒนธรรมทางฝากฝั่งตะวันออก..หรือสอดคล้องกับความเชื่อหรือแม้กระทังขั้นแย้งกับความเชื่อ..ก็ยังเคยมีมาและยังคงเป็นวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยมและแพร่หลายอีกด้วย..

            ที่นี้มาว่ากันถึงส่วนที่มีความคล้ายคลึงหรือสามารถนำมาปรับใช้่กับชีวิตพุทธศาสนิกชนดูบ้างว่าจะมีอะไรที่น่าสนใจ…ยกตัวอย่าง..หลักของมินิมอล คือลดละสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิตให้มากที่สุด..พื้นที่ว่างหรือ Space เป็นสิ่งที่สำคัญ..ที่นี้การจะลดละ(แม้จะเป็นเพียงแค่สิ่งของ) นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ..ลองนึกถึง..ผู้ที่รักการจับจ่ายใช่เงิน..ชอบซื้อของ อย่าเพียงว่าซื้อของที่จำเป็นเท่านั้นเลย..ส่วนใหญ่แล้วถูกไจซื้อๆ..แม้ว่าซื้อไปแล้วบ้างครั้งบางอย่างแทบจะไม่ได้ใช้ด้วยซ้ำ..ซึ่งห่างไกลจากคำว่า..ใช่สอยเฉพาะสิ่งจำเป็น..หรือลดทอนส่ิงที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิต..

            แล้วพุทธ่ศาสนิกชนละ..เมื่อเกิดความต้องการที่เกินพอดีควรทำอย่่างไร..แน้นอนว่าไม่ว่ารูปแบบในสังคมใดๆของชาวพุทธจะพบเจอคำว่า..กิเลส..กิเลส..ซึุ่งในส่วนนี้ทุกคนก็เข้าใจดีว่าเป็นกิเลส..แต่่มั้งจงใจจะเลือกให้เป็นกิเลสที่ได้รับการตอบสนอง…จึงมีคำที่ตามมาคือ..สนองกิเลส..สนองNeed 

            แน่นอนว่าพุทธศานิกชนที่ดีย่อมมีวิธีที่จะจัดการกับความต้องการเหล่านั้นในแบบวิธี..วิถีแห่งพุทธ..ในที่นี้ขอยกองค์ธรรมสักหนึ่งข้อ..อินทรีย์สังวร..ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าสิ่งใดใดในโลกนั้น..สิ่งที่ปุุถุชนสละได้ยากที่สุดคือ..กามคุณ หรือ ความสุขที่ได้จาสกสัมผัสทั้ง ๕ และ ธรรมารมณ์อีก ๑ เป็น ๖ หรือที่ เรียกว่า อาตคยนะ ๖ หรือสุขเวทนาในหมวด ขันธ์ ๕

            อินทรีย์สังวรจึงเป็นองค์ธรรมในลำดับต้นๆ ที่จะทำหน้าที่ในการที่จะเหนี่่ยวรังกุศลให้เกิดในจิตใจ..

           ยกตัวอย่าง..ของบางอย่าง อาทิ เสื้อผ้า กระเป๋า อาหาร ดนตรี รถยนต์ ที่อยู่อาศัย..หรือใดๆก็แล้วแต่..ซึ่งในบางครั้งเรารู้และเข้าใจแล้วว่า..สิ่งต่างๆเหล่านี้เราเกิดกว่าความจำเป็น..แต่เมื่อเห็น..สัมผัส..ครุ่นคิด..เกิดความอย่างได้..จึงเกิดกเป็นความทุกข์..(เราบางคนไม่รู้สึกตัว) ทั้งที่อินทรีย์สังวรเราทำหน้าที่อย่างเต็มความสา่มารถไม่นึก..ไม่คิด..ถึงสิ่งยั่วเย้าเหล่านี้..แต่ก็อดใจไม่ได้..ฮับๆๆๆๆ..อินทรีย์สังวรต้องทำหน้าที่่อย่างหนัก..กระทั่งได้มีเวลาได้ทบทวนไตร่ตรองอย่างรอบคอบ..แล้วจึงตัดสินใจโดยสติมิใช่..กิเลส..จึุงจะเป็นวิธี..วิถีแห่งพุทธ..

           อย่างไรก็ดีในชั้นต่อจากอินทรีย์สังวรก็คือการใช้ปัญญา..แล้วพิจารณาในสิ่้งต่างๆ แต่อย่างไรก็ดีหากถึงแม้ว่่าปัญญาจะหลักแหลมเพียงใดแต่ไม่ได้มีโดยการได้ใช้..หรือไม่มีความยับยั้งชั้งใจ..หรือไม่มีความสังวรในอินทรีย์แล้วก็จะกลับเข้าสู่วัฎฎะเดิมๆ..

          ทีึ่กล่าวมานั้นเป็นการนำเข้าสิ่งของที่ไม่จำเป็นต่างเข้ามาในชีวิต..แต่ มินิมอลลิสต์นั้น การกำจัด หรือการนำสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิตเป็นสิ่งที่บางคนเรียกว่า ขมขื่นกว่า..การละ..การสละ..เป็นส่ิงที่ทำได้ยากสำหรับบางคน..องค์ธรรมในข้อนี้ขอยก ปหาร เทียบให้กับเป็นการกำจัดต้นเหตุกิเลสกันเลยที่เดียว..หากมีโอกาสจะนไเสนอในโอกาสต่อไป…



minimalist..

           มินิมอล ในปัจจุบันได้กลายเป็นวิถีในการดำเนินชีวิตของใครบางคนไปแล้ว..หรือจะเป็นเพียงแค่กระสแและปฟชีั้นของใครอีกหลายคน ดังที่ทราบกันว่า มินิมอลเป็นเป็นแขนงใหนึ่งของงานศิลปะที่เกิดขึ้นที่นิวยอกช์ และพัฒนากลายเป็น ลัทธิ สไตล์ แนว หรืออะไรก็แล้วแต่..ซึ่ง..มินิมอลได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหลายประเทศ และในประเทศญี่ปุ่น ก็เป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่ได้รับรับความนิยม ซึ่งจะเห็นได้จากงานเขียนของ "กูรูทางมินิมอล" ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างมากทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลก..ความน่าสนใจของมินิมอลลิสต์ในญี่ปุ่นที่เผสมผสานเข้ากับ พุุทธศาสนาลัทธิ เซนต์..ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของพุทธศาสนาซึ่งในความเป็นจริงแล้ว..การบรรลุเซนนั้นมีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล..(หาอ่านได้ในคัมภีร์เซน) แนวๆ ทางในปรัชญาเซน คือการหาคำตอบในคำถามที่อยู่ข้างหน้า..ซึ่งจะสังเกตได้จาก คัมภีร์เซน หรือนิทานเซนในหลายๆ เรื่อง (โกอาน) ..ซึ่งจะจดจ่อเพียงปัญหาเดียว กระทั้งเกิดเป็นอภิปัญญา..(ผู้เขียนสรุุปเอง)..และที่นี้ มินิมอล  Less is More  น้อยคือมาก..(What's up อะไรหว่า อิหยังว่ะ.)..ห รือถ้าไม่ใช้หรือไม่มีความผูกพันกับมัน(สิ่งของ)ก็กำจัดทิ้งซะ..อืม...ค่อนข้างจะสอดคล้องกับหลักปรัชญาเซน..

            แนวทางและวิถีการดำเนินชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่จะสอดคล้องและสงสริมซึ่งกันและกับหลักความเชื่อที่มีมาแต่โบราณไม่ใช่ว่า พัฒนาการ วัฒนธรรม หรือภูมิปัญญาของแต่ละชนชาติจะเหมือนกัน..ทั้งประวัติศาสตร์และประเพณีวัฒนาธรรมของชาตินั้นๆ การผสมกลมกลืนทางวัฒนาธรรม ความเชื่อ ศรัทธา และก่อเกิดเป็นแนวทางในการดำเนิชีวิตของในรุ่นต่อไป..จึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะหาความลงตัวได้ยาก...





วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2563

White Butterfly II...(Butterfly effect)

           ทฤษฎี ผีเสื้อขยับปีก..เป็นทฤษฎีที่ค้นพบในปี 1976 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เอ็น ลอว์เร็นซ์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ที่ใช้ชีวิตกับการป้อนข้อมูลตัวเลขเข้าแบบจำลองคณิตศาสตร์ ตัวเลขดังกล่าวปรกติแล้ว มักประกอบด้วยตัวเลขหลังจุดทศนิยมหลายหลัก มีัวันหนึ่งเกิดขี้เกียจป้อนตัวเลขหลังจุดทศนิยมหลายๆหลัก เลยปัดเศษทศนิยมออก ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่สำคัญเลยในทางสถิติ เพราะที่ตัดออกเป็นหลักที่สี่หลังจุดทศนิยม ซึ่งก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในหมื่นที่น้อยมากๆ  แค่พอกลับมาดูผลการจำลองอากาศที่เกิดขึ้น กลับต้องตกใจ เพราะสภาพอากาศที่จำลองขึ้นมีความแตกต่างกันออกไป จากการพยากรณ์แบบเดิมที่เึคนใส่ตัวเลขหลังจุดทศนิยมทั้งหมดอย่างสุดขัุ้้ว สรุปได้ว่า แค่ผีเสื้อยับปีกในไทย อาจไปทำให้เกิดทอร์นาดโดในอเมริกาได้ ในทางตรงข้าม เราก็อาจหยุดทอร์นาโดที่กำลังก่อตัวได้ ด้วยการทำให้เกิดลมเล็กๆ ก็อาจตเป็นไปได้ที่จะทำให้ทอร์นาโดเปลี่ยนทิศ หรือลดวามรุนแรงลงได้
           ตัวอย่างในด้วนสังคมศาสตร์ ขอเร่ิมด้วยครู่ใหญ่ชขาวญี่ปุ่น ติดสมการชุดหนึ่งไว้หน้าห้องเรียนเป็นการเปรียบเทียบระหว่างผลคูณขจอง 0.99 กับ 1.01 ซึ่ีงตัวเลขต่างกันเพียง 0.02 ซึ่งต่างกันน้อยมาก แต่เมื่อคูณกันซ้ำๆ  365 วัน ผลลัพธ์กลับต่างกันอย่างสิ้นเชิืง ครูใหญ่ท่านนี้ กำลังพู๔ถึง "ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก" ที่เราตค้องพยายามทำ แต่ถ้าเราถอยแม้เพียงก้าวเล็กๆ เราอาจแพ้อย่างไม่เห็นฝุ่น แต่หากเราพยายามอีก และทำต่อเนื้องด้วยระยะเวลานาน ผลที่ได้อาจไปไกลกว่าอย่างคิดไม่ถึง
            การสะท้อนความจริงนี้เรื่องการเปลี่ยนแปลง อันเป็นผลพวงจากใครที่พยายามพัฒนาองค์กร ซึ่งมักพบคำถภามว่าเมื่อเราเริ่มแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเปลี่ยนแปลงรนะยะเวลาสั้นๆ จะไปทำอะไรได้ จริ์แล้วในทาง Organization Development-OD มีวิธีการสร้าง "Butterfly Effect ซึ่งทุกศาสตร์ ประยุกต์ใช้หลักการนี้ได้ กล่าวคือ
            Heard-of-it จะทำอะไรสักอย่างเพียงให้คนได้ยินก่อน เมื่อเคยได้ยินได้ฟังแล้ว....
            Try-it ลองทืำดู กล่าวคึอเมื่อได้ยินได้ฟังในสิ่งๆ หนึ่งใดๆ แล้ว กระทั้งเข้าใจในระดับหนึ่ง เพื่อจะให้แน่ใจในความคิดของตนจึงต้องเกิดการลองทำ ถึงจะรู้ผลลัพท์ฺ 
            Like-it แล้วจะเห็นว่ามีใครสัุกคนในกลุ่มนั้นชอบสิ่งที่กระทำอยู่
            Champion-it สุดท้ายก็จะมีใครสักคน สนับสนุนสิ่งที่ทำนั้น พอถึงจุดนี้ ก็นจะไม่ต้องพยายามาก เพราะคนทีสนับสนุนสิ่งที่ทำนั้นจะไปสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อๆไป..ทำให้สิ่งที่เกิดจากความคิดริเร่ิมนั้นขยายวงกว้างไปอย่างที่คิดไม่ถึง...
            แม้เราไม่ได้เป็นคนสำคัญอะไร เราเป็นเพียงผีเสื้อธรรมดาๆ เพียงเราคิดอะไรดีๆ แล้วลองกระพือปีกเล็กๆ ของเรา เราก็สร้างการเปลียนแปลงให้กับอนาคตของเราได้แล้ว มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ลอง "ขยับปีกผีสื้อ" ในตัวคุณดู...



                           "บางส่วนจาก ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก The Butterfly Effect โดย ภิญโญ รัตนาพันธุ์"


วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563

White Butterfly....

                            ผีเสื้อขาวออกบินตามปีกผัน

                           ฝนฟ้าควันหมอกไฟหม่นมืดหนทาง

                           โลกกว้างภูเขาสูงด้วยกำลังตนสู้แรงลม

                          ถาถมแรงลมปีกล้าเพียงความเชื้อแลศรัทธา

                                  ที่ตรวนี้ไม่ใช่สวนดอกไม้

                            ที่ตรงนี้ไม่ใ่ช่ที่ของเจ้า..เจ้าผีเสื้อ

                           เจ้าจงหลบอยู่หลังของข้า...อยู่ในที่ของเจ้า..

                           แล้วจะมีสวนดอกไม้ของเจ้าตลอดไป..

                                  วิถีทาง..ระยะทาง..หนทาง..และจุดหมาย

                           เจริญเติบโต วิเคราะห์ สังเคราะห์ สังยุต..

                           ร้อยรวม หนึ่ง อดีตสู่่ปัจจุบัน.และก้าวไป..

                           ตามแบบรูปรอยของครรลองที่เป็นมาและป็นไป

                                 เราจะผ่านมันๆ ผ่านมันไป ผ่านมันไป

                          เราจะลุกขึ้นสู้ใหม่..เราจะลุกขึ้นสู้

                          เราจะเติบโตก้าวไปขัางหน้าพร้อมๆ กัน

                         เราจะไปด้วยกัน..เติบโตไปด้วยกัน..เติบโตไปด้วยกัน...



                                

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2563

Wuhan...Economic Stratagy

           อู่ฮั่น เป็นเมืองหลวงของมณฑลหูเป่ย เมืองอุ่ฮั่นตั้งอยู่ตรงกลางของประเทศจีนค่อนมาทางตะวันออกตามประวัติศาสตร์จีนอู่ฮั่นเป็นหนึ่งในเมืองขนาดใหญ่ที่สุดในอดีต และมีประวัติความเป็นเมืองยาวนนมากที่สุดเมืองหนึ่ง ในช่วงปลายราชวงศ์ชิงและยุคต้นหลังจีนปฏิรูป อู่ฮั่นถือเป็นเมืองทันสมัยอยู่ในอันดับต้นๆ ของเอเซีย ในขณะนั้นเมืองอู่อั่นมีสมยานามว่า "ชิคาโกแห่งตะวันออก"
           
เนื่องจากอู่ฮั่นเป็นเมืองส่วนหลางที่เชื่อมต่อการคมนาคมรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่สำัญของจีนไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั้งจากเนหือไปใต้ จากตะวันออกไปตะวันตก  จากลักษณะพิเศษนี้ทำให้อู่ฮั่นกลายเป็นเมืองสำคัญของจีนที่มบทบาทเป็นศูนย์การพัฒนาและวิจัยถไฟฟ้าความเร็วสูง รวมทั้งยังมีศูนย์อบรมเกี่ยวกับวิชาชีพทางด้านรถไฟฟ้าที่สำคัญหลายแห่งอีกด้วย
            ไม่เพียงแต่ด้ารถไฟความเร็วสูงเท่าน้นที่เมืองอู่ฮั่นมีความโดดเด่น การคมาคมด้านอื่นๆ ก็ยัง
พัฒนามาก เช่นด้านการบินท่ี่มีเที่ยวบินตรงถึงเมืองต่างๆ สำคัญในจีนและบินตรงถึงเมืองสำคัญอื่นในต่างประเทศ ด้านการคมนาคมทางถนน มีเครือข่ายมอเตอร์เวย์จำนวนมากที่เชื่อมไปพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ การคมนาคมทางน้ำถึงแม้ว่าอู่ฮั่นจะไม่ได้อยู่ติดทะเล แต่อู่ฮั่นมีแม่น้ำสายสำคัญของจีนอย่างแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ไหลผ่าน ทำให้อุ่ฮั่นเป็นเมืองท่าน้ำจืดที่สำคัญ และแม่น้ำทนี้สุดท้ายเป็นทางออกไปสู่ทะเลอีกด้วย
         
 เมืองอู่ฮั่นถูกให้ความสำคัญตั้งแต่ปีที่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบสังคมนิยมและสถาปนาธาณรัฐประชาชนจีน (ปี 1949) ในช่วงต้น 1950 ผู้นำประเทศเริ่มออกแบบสะพานรถไฟและรถยน์ข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง จนถึงเดือนตุลาม 1957 สะพานแห่งนี้ได้ถูกเปิดใช้อย่างเป็นทางการ สะพานแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า สะพานใหญ่ข้ามแม่น้ำฉางเจียงอู่ฮั่น สะพานนี้ถือเป็นสะพานข้ามแมน้ำใหญ่แห่แรกของจีนที่เป็นสะพานแบบ 2 in 1 หมายถึงสะพานที่ข้ามทั้งรถยนต์และรถไฟ   
           ความเป็นอยู่ของผุ้คนในเมืองอู่ฮั่นจะเป็นลักษณะค่อนข้างเร่งรีบ เพราะฉะนั้นการกินก็จะค่อนข้างเรียบง่ายของกินท้องถ่ินอู่ฮั่นมีไม่กี่อย่างเท่านั้นที่ดังระดับประเทศ ไม่เหมือนกับอาหารเสฉวนหรืออาหารกวางตุ้งที่ดังไปทั่วประเทศ การสร้างบ้านเรือนของคนอู่ฮั่นจะนยมสร้างริมแม่น้ำสายเล็ก สายใหญ่ ด้วนั้นบ้านของคนที่นี่จะเป็นแบบวิวริมแม่น้ำ ก็มีเห็นได้ทั่วไป  ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนอู่ฮั่นสุขสบายเนื่องจากเป็นเมืองที่มีแม่น้ำสายหลักและสายเล็กๆ น้อยๆ ไหลผ่านทำให้บรรยากาศของเมืองน่าอยู่ ร่มรื่น คนอู่ฮั่นเองก็จะชอบเล่นกีฆาทางน้ำกันเป็นพิเศษ แม่น้ำฉางเจียงกลายเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ของขาวอูฮั่น


           อู่ฮั่น เป็นเมืองเอกของมณฑลหูเป่ย ในภาคกลางของจีน ถูกสร้างขึ้นตามแนวแม่น้ำแยงซีเกียง
นับเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 42 ของโลกและใหญ่อันดับ 7 ของจีน มีพืนที่โดยรวมใกล้เคีงกับกรุงลอดนดอนของอังกฤษ แต่ใหญ่กว่ากรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ของสหรัฐฯ มาก มีประชานประมาณ 11 ล้านคน เมืองแห่งนี้ถูกยกให้เป็น "ถนนสายหลักของจีน" เนื่องจากมีเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อไปสู่ 9 มณฑลทั้งทางบก ทางน้ำ แลทางอากาศ มีถนนเชื่อมไปยังพื้นี่ต่างๆ มีทั้งรถไฟและระไฟความเร็วสูงที่เดินทางไปเมืองสำคัญในภาคเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก รวมทั้งกรุงปักกิ่งกบนครเซี่ยงไฮ้ โดยใช้เวลาเพียง ภ ชั่วโมงเท่าั้น ทำให้ในแต่ละวันจึงมีผู้คนเข้าออกเมืองงอู่ฮั่นเป็นจำนวนมาก
           อู่ฮั่นยังมีท่าเรือขนาดใหญ่ที่สุดในแม่น้ำแยงซีเกียงตอนล่าง จนกลายเป็นศูนย์กลางการขนสินค้าในภูมิภาค และเป็นเสนทางออกสู่ทะเลได้อีกด้วยส่วนการเดินทางทางอากาศ เมืองแห่งนี้มีท่าอากาศยานนานาชาติอู่ฮั่นเทียนเหอ ซึ่งเชื่อม่อไปยังเมืองสำคัญทั่วโลกเช่น ลอนดอน ปารีส ดูไบ กรุงเทพ รองับผุ้โดยสรมากกว่า 20 ล้านคนทุกปี
           เมืองอู่ฮั่นยังมีเขตอุตสาหรรม 4 แห่ง มากกว่า 300บริษัทในกลุ่ม 500 บริษัทชั้นนำของโลกเช่น ไม่โครซอฟต์ เอสเอ บริษัทซอฟต์แวร์ของเยอรมนี และ เปเอสเช ผู้ผลิตรถยนต์ของฝรั่งเศส ล้วนมีสำนักงานในเมืองแห่งนี้
         
 ในช่วงไม่กีปีทีผ่านมา มีการลงทุนเพื่อทำใหอู่ฮั่นกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะในด้านอุตสหกรรมเลนส์กล้อง แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือการเป็น เมืองแห่งยานยนต์ของจีน จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสหกรรมยานยนต์ภายในเมือง และความเป็นศูนย์กลางโลจิสติกขนาดใหญ่ของอู่ฮั่น ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมาก่อการเติบโตทางเศราฐกิจของจีน
            เมืองอู่ฮั่นมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับต้นๆ ของจีน ตามข้อมูลซึ่งเปิดเผยโดยรัฐบาลท้องถ่ินในปี 2562 จีดีพีของเมืองอู่ฮั่นเติบโตถึ 7.8% มากกว่า จีดีพีเฉลี่ยทั่วประเทศ 1.7% มูลค่าการส่งออกและนำเข้าแต่ 2.44 แสนล้านหยวน นับเป็นสถิติใหม่และมากว่ามูลค่าในปีก่อนหน้านั้นถึง 13.7% คิดเป็น 61.9% ของมูลค่าการซี้อขายกับต่างชาติทั้งหมดของมณฑลหูเป่ยhttps://www.thairath.co.th/news/foreign/1758798
             เมื่อปี 2018 เมืองอู่ฮั่น มีฐานเป็นเมืองเอกของมณฑหูเป่ย ได้รับการจัดอันดับเมืองที่มีสัยภาพด้านกรวิจัยและพัฒนาอยู่ในอันดับที่ 19 ของโลกและอันดับที่ 4 ของจีน ทั้งนี้ เนื่องจากเมืองอุ่ฮั่นมีข้อได้เปรยบในด้านของภูมิศาสตร์ ทำให้อู่ฮั่นเป็นเมืองที่ผู้คนจากหลายพื้นที่ย้ายถ่ินฐานเข้ามาทั้งประกอบกิจการธุรกิจต่างๆ ช่างที่มีฝีมือ และผู้เชี่ยวชาญด้านการรถไฟ ท่าเรือ เป็นต้น และเมื่อผู้คนย้ายเข้ามาตั้งหลักปักฐานมากขึ้นเศรษฐกิจท้องที่ในด้านต่างๆ ก็ได้รับการผลักดันและเจริญเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันอู่ฮั่นมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP มากกว่า 14,845.29 พันล้านหยวน จัดอยู่ในอันดับ 9 ของประเทศจีน มีจำนวนประชากรประมาณ 11 ล้านคน...

             จุดเด่นของเมืองอู่ฮั่นประการหนึ่ง คือ การเป็นเมืองด้านการศึกษา จากการที่ใีจำนวนมหาวิทยาัยมากถึง 89 แห่ง และมีจำนวนนักศึกษาทั้งหมด 1 ล้านคน โดยถือเป็นเมืองที่มีนัำศึกษามหาวิทยาลัยมากที่สุดในโลก ทั้งนี้ เมืองอู่ฮั่นซึ่งมีที่ตั้งอยู่ตรกลางของประเทศจีนค่อนมาทางตะวันออก และจากประวัติศาสตร์ของจีน เมืองอู่ฮั่นเป็นหนึ่งในเมืองขนาดใหญ่ที่สุดในอดีตและมประวัติความเป็นเมืองมายาวนานมากที่สุดเืองหนึ่งโดยในช่วงปลายราชวงศ์ชิงและยุคต้นหลังจีนปฏิรูป เมืองอู่ฮั่นถือเป็นเมืองที่ีมีความทันสมัยอยูในอันดับต้นๆ ของเอเชีย..และจากกาที่เมืองอู่ฮั่นเป็นเมืองสวนกลางท่เชื่อมต่อการคมนาคมรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่สำคัญของจีนไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั้งจากเหนือไปใต้ จากตะวันออกไปตะวันตกทำให้อู่ฮั่นเป็นเมืองสำคัญของจีนที่มบทบาทเป็นศูนย์การพัฒนาและวิจัยรถไฟความเร็วสูง..https://www.thansettakij.com/content/world/420521
             อู่ฮั่น..ก่อนจะประสบกับวิกฤต ไวรัส โควิด 19 เป็นเมืองใหญ่ เมืองชั้นนำของโลก ซึ่งหลักจากเกิดวิกฤตการไวรัสโคโลน่าระบาด..ส่งผลกระทบต่อเมืองและชาวเมืองเป็นอย่างมาก..ทางการจีนประกาศปิดเมือง..ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อ เมืองอู่ฮั่นและประเทศจีนเป็นอย่างมาก..

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2563

Wuhan... Militaly Strategy

      อู่ฮั่นยังไม่ปรากฎชื่อ ในสมัยวสันทฤดู หรือในยุคสมัยเลียดก๊ก มีเพียงหูเป่ย ซึ่งเป็นเมืองเอกอยู่ในรัฐฉู่ ในยุคสมัยสามก๊ก ได้มีการทำยุทธนาวี ที่เรารู้จักกันในชื่อ ยุทธการเชกแพค หรือ ยุทธการผาแดง ซึ่งอยู่ที่ตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง ห่างจาก อู่ฮั่นในปัจจุบัน ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 32 กิโลเมตร ยุทธนาวีครั้งนั้น เป็น หนึ่งในสามยุทธการทางการสหารที่ใหญ่ที่สุดในยุคสามก๊ก และเป็นสงครามที่เปิดฉากก๊กทั้งสามให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนตั้งแต่จบสงครามครั้นนั้น..

       
           ยุทธการที่อู่ฮั่น เป็นที่รู้จักกันดีของชาวจีนว่า "การป้องกันอู่ฮั่น" และที่ญี่่ปุ่นได้เรียกขานว่า การยึดครองอู่ฮั่น เป็นการสุ้รบขนาดใหญ่ในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง การต่อสุ้รบครั้งนี้ได้เกิดขึ้นในบริเวณหลายพื้นที่ของมณฑล อันฮุย เหอหนาน เจียงซี เจ้อเจียง และหูเป่ย ซึ่งกินเป็นเวลานานกว่าสี่เดือนครึ่ง ยุทธการนี้เป็นการรบที่ยืดเยื้อยาวนาน ขนาดใหญ่ และสำคัญมากที่สุดในช่วงรยะยแรกในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ สอง ทหารของกาองทัพปฏิวัติแห่งชาติจีนจำนวนกว่า ล้านนาย จากเขตสงครามที่ 5 และ 9 ภายมต้การบังคับบัญชาโดยตรงจาก เจียงไคเชก เพื่อป้องกันอู่ฮั่น จาก กองทัพพื้นที่จีนตอนกลางของกองทัพจักรวรรดิญีุ่ป่น ภายมต้การนำของ ชุนโรกุฮาตะ ฝ่ายกองทัพจีนยังได้รับการสนับสนัดจากกลุ่มทหารอาสสมัครโซเวียด กลุ่มนักบินอาสาสมัคจากกองทัพอากาศโซเวียต..
        แม้การสู้รบได้จบลงด้วยการเข้ายึดครองอู่ฮั่นในที่สุดโดยกองทัพญี่ปุ่น แต่ก็ได้ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บและล้มตายอย่างมากต่อทั้งสองฝ่าย ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 1.2 ล้านนายที่ได้ีการรวมกันโดยประมาณ...

       
            อู่ฮั่น ตั้งอยู่ครึ่งทางต้นน้ำของแม่น้ำแยงซี เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของจีนมีประชากร 1.5 ล้านคนในปลายปี ค.ศ. 1938 แม่น้ำแยงซี และแม่น้ำฮันชุย ได้ไหลผ่านแบ่งเมืองเป็นสามเขตได้แก่ อู่ชาง,ฮั่นโจวและฮันหยาง อูชางเป็นศุนย์กลางทางการ เมืองฮันโข่วเป็นย่านการค้าและฮันยางเป็นเขตอุตสาหกรรม หลังจากเสร็จสิ้นการสร้างเส้นทางรถไฟเยว่ฮัน ความสำคัญของอู่ฮั่นในฐานะศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญในกิจการภายในของจีนได้รับการจัดตั้งขึ้น มันยังทำหน้าที่เป็นจุดผ่านแดนที่สำคัญสำหรับความช่วยเหลือจกต่างประเทศที่ย้ายเข้ามาจากท่าเรือทางใต้
          หลังจากที่ญี่ปุ่นได้ยึดครองเมืองหนานจิง หน่วยงานรัฐบาลจีนคณะชาติและกองบัญชาการกองทัพได้หนีไปตั้งอยุ่ในอู่ฮั่นแม้ว่าเมืองหลวงถูกย้ายไปยังฉฝชิ่ง อู่ฮั่นจึงกลายเป็นเมืองหลวงแห่งสงครามอย่างแท้จริงเมื่อเร่ิมภารกิจในอู่ฮ่น ความพยายามทำสงครามของจีนจึงมุ่งเน้นไปที่การปกป้องอู่ฮั่นจากการครอบครองโดยญี่ปุ่น จักวรรดิญีุ่ปุ่นและศูนย์บัญชาการใหญ่ของกองทัพญี่ปุ่นประจำจีนต่างคาดหวังว่าเมืองอุ่ฮั่นจะล่มสลายพร้อมด้วยการยอมแพ้ของชาวจีนภายในหนึ่งหรือสองเดือน..https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AE%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99
            ยุทธการเขื่อนแตก..เป็นหนึ่งในยุทธการที่จะป้องกันอู่ฮั่น
            ...รัฐบาลจีน ได้ระดมกลังทหาร มาจากกองพันทหารช่าง เครื่องจักรกลงานดินรวมทั้งเกณฑ์ประชาชนในพื้นที่เข้าทำลายคันกั้นน้ำของแม่น้ำเหลืองที่ตำบลเซ่าโค่ว เนื่องจากเป้นจุดที่คันกั้นน้ำม่ีความหนาน้อยที่สุด การขุดเกือบจะสำเร็จ แต่ต้องหยุดไปด้วยสาเหตุที่ไม่แน่ชัด เปลี่ยนที่ขุดใหม่าที่ตำบลฮั่วหยวนโคว่ หลังจากที่ได้รับอนุมัติการขุดก็เริ่มต้นอีกครั้ง และเพื่อไม่ให้ทหารญี่ปุ่นรู้ จึงใ้เพียงพลัวสนามของทหารดดยไมใช้เครื่องจักรช่วย จุดที่ถูกเลือกเป็นโค้งน้ำที่กระสแน้ำไหลเบียดริมฝั่งด้านทิศใต้ดังนั้นเมือถูกเจาะน้ำจะพุ่งตรงออกทางช่องที่เปิด ทางจีนไม่ได้ขุดช่องทางระบายน้ำเล็กๆ แต่ต้องการสร้างสภาวะเขื่อนแตกให้น้ำทะลักออกทันที่จำนวนมากเพื่อให้กระแสน้ำท่วมทำลายกองทัพญี่ปุ่น ดังนั้นจึงขุดดินเพื่อทำให้คันกั้นน้ำบอบบางลงเป็นแนวยาวประมาณ 300 เมตรพอได้ที่ก็เจาะช่องให้นำ้ออกสองจุดหัวท้าย พอน้ำเริ่มไหลก็จะกัดเซาะแนวคันกั้นน้ำที่ถูกทำให้บอบบางที่อยู่ระหว่างกลาง และเชื่อมต่อกันเป็นช่องทางน้ำขนาดใหญ่
           การขุดเจาะน้ำทำทั้งกลางวันและกลางคืนแข่งกับเวลาที่ทหารญี่ปุ่นกำลังรุกคืบใกล้เข้ามาทุกขณะ โดยกองบัญชาการที่อู่ฮั่นจะติตต่อสอบถามความคืบหน้าเกือบทุกชั่วโมง ในทีสุด ทหารช่างก็เร่ิมปล่อยน้ำผ่านช่องทางที่ขุด ในตอนแรกทางน้ำยังเล็ก แต่วันรุ่งขึ้นเกิดผนตกใหญ่บริเวณ้นน้ำ ระดับในแม่น้ำเหลืองสูงขึ้น ทำให้ช่องที่ถูกเจาะขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานแม่น้ำเหลืองก็ไหลทะลักออกทางคันกั้นน้ำที่ถูกทำลาย จนมวลน้ำของแม่น้ำเหลืองได้เปลี่ยนเส้นทางไปการไหลหลักเข้าสู่ที่ราบของมณฑลเหอหนานแทนท่จุไหลงงทะเลที่อาวไปไห่
           น้าท่วมได้แผ่ขยายพื้นที่ออกไป ทำให้การรุกของญี่ปุ่นต้องหยุดชะงักไปชั่วคราว อย่างไรก็ตามทิศทางการไหลของน้ำได้เป็นไปตามที่ทางจีนคาดการณ์ไว้ คือผ่ากลางมณฑ,เหอหนานไปลงแม่น้ำฮวย และทำให้แม่น้ำฮวยเอ่อล้นท่วมสองฝั่งไปจนถึงทะเลสาบหงเจ๋อในมณฑลเจียงซู โดยที่สุดแล้วน้ำท่วมได้ทำใหเกิดแถบที่ลุ่มหนองบึงที่ยาวมากกว่า 400 กิโลเมตร ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนกองทัพผ่าน ทำให้แผนการเข้าตีอู่ฮั่นจากทางด้านเหนือของญี่ปุ่นต้องยกเลิกไป
            ...เนืองจากทางการจีนไม่ได้ประกาศเตือนให้ประชาชทราบล่วงหน้า เพราะคาดหวังว่าน้ำท่วมจะสามารถทำลายกองทัพญี่ปุ่นได้บางส่วน โดยในระหว่าสงครามทางจีนเคยคาดว่ามีทหารญีุ่ป่นจมน้ำตายในอุทกภัยครั้งนี้ไม่ก่าหมื่นน แต่หลักฐานของทางญี่ปุ่นไม่มีบันทึกถึงความสูญเสีย ในปัจจุบันพบว่าตอนที่เกิดน้ำท่วมนั้นแนวหน้าของญี่ปุ่นยังเคลื่อมาไม่ถึงบริเวณที่จะถูกน้ำท่วม หรือมิฉะนั้นก็สามารถอยหนีได้ทัน จึงเชื่อว่าไม่มีทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น ส่วนทางด้านจีน เนื่องจากไม่มีการประกาศเตือนภัย จึงมีแต่คนในพื้นที่ใกล้เขื่อนเท่านั้นที่รู้ข่าวและเตรียมตัวได้ทัน ส่วนคนที่อยู่ไกลออกไปต้องเผชิญกับน้ำท่วมโดยไม่รู้ตัว ผู้คนพากันหนีน้ำขึ้นไปรอความช่วยเหลืออยู่บนหลังคา แต่เนื่องจากเป็นภาวะสงครามทำให้วมช่วยเหลือมีมาน้อย
ในบงพื้นที่ระดบน้ำค่อยๆ สูงๆ ขึนจนท่วมมิดหลังคาบ้านชนบทที่มักจะมีชั้นเดียว ทำให้มีคนจมน้ำตายเป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะถูกน้ำท่วมพื้นที่บริเวณนั้นมีคนอยู่อาศัยประมาณ 12 ล้านคน เราไม่รู้ว่าจำนวนผุ้เสียชีวิตที่แนนอน เพราะอยู่ในระหว่างสงครามจึไม่มีการสำรวจมาก ก่อนที่จะถูกน้ำท่วมพื้นที่บริเวณนั้นมีคนอู่อาศัยประมาณ 12 ล้านคน เราไม่รู้ว่าจำนวนผุ้เสียชีวิตที่แน่นอน เพราะอยู่ในะหว่างสงครามจึงไม่มีการสำรวจความเสียหาย อย่างไรก็ตาม หลังสงครามในปี 1948 ได้มีการสำรวจ ประเมินว่ามีผุ้เสียชีวิตประมาณ 800,000 คน..และในเหตุการน้ำท่วมครั้งนี้ปรากฎว่ามีทหารญี่ปุ่นได้นำเรือออกช่วยเหลือประชาชนชาวจีนผุ้ประสบภัยที่ติดอยู่ตามหลังคาบ้านด้วย...ผลกระทบจากเหตุการน้ำท่วมในครั้งมีตามอีกมากมาย..ที่ทำการเกษตรส่วนใหญ่ในเหอหนานถูกน้ำท่วมกลายเป็นที่ทำการเกษตรไม่ได้..ประชากรอดอยากถึงขั้นเกิดเหตุการคนกินเนื้อคน..ประชาชนชาวจีนที่อดอยากหนีไปเข้าฝ่ายญี่ปุ่น..และมีการกล่าวโทษกันว่าใครเป็นผู้ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนั้น..กระทั้งหลังสงครามความจริงจึงปรากฎ....https://pantip.com/topic/39298677

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2563

Wuhun

     อู่ฮั่น เป็นเมืองเอกของมณฑลหู่เป่ย์ สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นนครที่ใหญ่ที่สุดในมณฑล มีประชากรกว่า 11 ล้านคนทำให้เป็นนครที่มีประชากรมากที่สุดในภาคกลางของประเทศจีน และเป็นนครที่มีประชกรมากที่สุดอันดับ 7 ในประเทศจีน และเป็นหนึ่งในนครศูนย์กลางแห่งชาติทั้งเก้าแห่งของประเทศจีน


      ชื่ออู่ฮั่น มาจากการรวมกันของเมืองในประวัติศาสตร์ ได้แก่ เมื่องอู่ชาง ฮั่นโข่วและฮั่นหยาง ซึ่งทั้งสามเมืองรุ้จักกันในชื่อ "เมืองทั้งสามของอู่ฮั่น" นครอู่ฮั่นตั้งอยู่ในทางตะวันออกของที่ราบเจียงฮั่น ซึ่งเป็นที่บรรจบของแม่น้ำแยงซี กับลำน้ำสาขาที่ใหญ่ที่สุดของแม่น้ำแยงซีซึ่งก็คือ แม่น้ำฮั่น และนครอุ่ฮั่นรู้จักกันนชื่อ "ทางสู่มณฑลทั้งเก้า"...
       อู่ฮั่นถือเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศณาฐกิจ การเงิน การค้า วัฒนธรรมและการศึกษา ของภาคกลางของประเทศจีน เป็นศูนย์กลางการขนส่ขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยทางรถไฟ ถนน และทางด่วนจำนวนมากที่ผ่านตัวเืองและเชื่อมต่อกับเมืองใหญ่อื่นๆ เนืองจากมีบทบาทสำคัญในการขนส่งภายในประเทศ ทำให้บางครั้งอุ่ฮั่นถูกเรียกว่า "ชิคาโกของจีน" ในแหล่งข้อมูลต่างประเทศ "ปม่น้ำสายทองคำ"อย่าง แม่น้ำแยงซี และลำน้ำสาขาที่ใหญ่ที่สุดซึ่งก็คือ แม่น้ำฮั่น ไหลผ่านตัวเมืองเมืองและแบ่งอู่ฮั่นออกเป็น 3 เขต ได้แก่ อู่ชาง ฮั่นโขว่ และฮั่นหยาง มีสะพานข้ามแม่น้ำแยงซีภายในตัวเมือง และห่างออกไปทางตะวันตกของมณฑลหูเปย์ จะีเบื่อนซานเสียต้าป้า ซึ่งเป็นถานพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลกในแง่ของกำลังผลิตติดตั้งhttps://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AE%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99
       





      นานาชาติกำลังเผชิญภัยคุกคามทางสาธารณสุขครั้งใหญ่ จากการระบาดของเชื้อไวรัสดคโรนาสายพันธุ์หม่ที่เริ่มจากจีน องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น "การระบาดใหญ่" หรือ pandemic หลังจากเชื้อลุกลามไปอย่างรวดเร็วในกว่า 100 ประเทศและดินแดนทั่วโลก..(ปัจจุบันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ให่แพร่ระบาดไปแล้วใน 116 ประเทสและดินแดนทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อกว่า 126,000 คนทั้งได้คร่าชีวิตคนไปแล้วกว่า 4,600 คน,12 มีนาคม 2020 (ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอบกินส์ สหรัฐอเมริกา)
      โลกได้รับรู้เรื่องโรคติดต่อปรสศนา หลังจากทางการจีนยืนยันเมื่อ 31 ธันวาคม 2019 ว่าเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีประชากรกว่า 11 ล้านคน โดยหลังจากเก็บตัวอย่างไวรัสจากคนไข้นำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ในเวลาต่อมาจีน และองค์กาอนามัยโลก ระบุว่า ไวรัสชนิดนี้คือ "เชื้อไวรัสโคโรนา" ซึ่งก่อนหน้านี้ พบไวรัสโคโรนามาแล้ว 6 สายพันธ์ุ ที่เคยเกิดการระบาดในมนุษย์สำหรับไวรัสโคโคนาสายพันธ์ุใหม่ที่กำลังระบาดเป็นสายพันธ์ุที่ 7 
      โลกเคยรู้จักไวรัสในตระกูลนี้มาแล้วจากโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรงหรือ โรคซาร์ส ซึ่งมีสาเหตุจากเชื้อไวรัสโคโรนาเช่นกัน โดยพบการระบาดคร้งแรกปลายปี 2002 เริ่มจากพื้นที่มณฑลกวางตุ้งของจีน ก่อนที่จะแพร่กระนายไปในหลายประเทศ จนมีผุ้ติดเชื้อกว่า8,000 คน และมีผุ้เสียชีวิตไปเกือบ 800 คนทั่วโลก 

        องค์กรอนามัยโลก ประกาศชื่อที่เป็นทางการสำหรับใช้เรียกโรคทางเดินหาใจที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ว่า "โควิด-ไนน์ทีน (โควิด-19) ในขณะที่คณะกรรมการระหว่างประเทศด้วยอนุกรมวิธานวิทยาของไวรัส ได้กำหนดให้ใช้ชื่อไวรัสที่ทำให้เกิดโรค โควิด 19 ว่า SARS-CoV-2 หรือไวรัสโคโรนาโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงชนิดที่สอง เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมอย่างใกล้ชิดกับเชื้อไวรัสโรคซาร์ส
         ในขณะนี้ยังไม่มีใครทราบชัดเจนถึงแหล่งกำเนิดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ก่อนหน้าทนี้มีการสันนิษฐานว่า ไวรัสชนิดนี้อาจเิ่มติดต่อจากสัตว์ป่ามาสู่คน โดยมีต้นตอของการแพร่ระบาดจากงูเห่าจีน และงุสามเหลี่ยมจีน ที่นำมาวางจายจำหน่ายในตลาดสดเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นสถานที่พบผู้ติดเชื้อกลุ่มแรกๆ 
           ทีมผู้วิจัยสันนิษฐานว่า งูอาจเป็นสัว์ตัวกลางที่ส่งต่อเชื้อไวรัสโคโรลาสายพันธุ์ใหม่จากค้างคาวมาสู่คน เนื่องจากงูพิษที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติล่าค้างคาวในถ้ำเป็นอาหาร แต่ก็ยังคงมีข้อสงสัยว่า ไวรัสดคโนาสามารถปรับัวให้อยู่อาศัยและขยายพันธุ์ในร่างกายของทั้งสัตว์เลือดเย็นและสัตว์เลือดอุ่นได้อย่างไร
           ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า ตัวนิ่ม สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ชาวจีนเชื้อว่าม่สรรพคุณตามตำรายาแผนโบราณนั้น อาจเป็นพาหนะนำเชื้อไวรัสโคโตนาสายพันธ์ให่จากค้างคาวมาแพร่สู่คนที่ตลาดค้าสัตวป่าเมืองอู่ฮั่น..
           หากมีการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ กลุ่มคนที่มีโอากสเสียชีวิตมากกว่า ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และอาจจะรวมถึงผุ้ชายด้วย การวิเคราะห์ขนาดใหญ่ครั้งแรกในผู้ติดเชื้อมากว่า 44,000 ในประเทศจีน พบว่า อัตราการเสียชีวิตในผุ้สุงอายุต่ำกว่า 30 ปี ต่ำที่สุด โดยมีผุ้เสียชีวิต 8 คนในจำนวนผู้ติดเชื้อ 4,500 คน ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหว่า ความดันโลหิต โรคหัวใจ หรือปัญหาในการหายใจ มีโอกาศเสียชีวิตมากว่าคนปกติอย่างน้อย 5 เท่า และผู้ชายมีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงเล็กน้อย...https://www.bbc.com/thai/features-51734255
            ในการปฏิบัติตนต่อ การแพร่ระบาด ซึ่งไม่ทำให้ตนเข้าไปติดเชื้อโรคโดยการป้องกัน เช่นการใช้หน้ากากอนามัย การรักษาสุขอนามัย เช่น ล้างมือ ล้างเท้า หรือ หากพบว่าตนเองติดเชื้อโรคแล้ว ก็ไม่นำตนเองเข้าไปในที่มีผู้คนแออัด ไม่พยายามแพร่เชื้อโรคให้กับผู้อื่น ซึ่งในการแพร่เชื้อจากคน 1 คนสามารถแพร่เชื้อให้กับคนอื่นๆ ได้ถึง 4-5 คน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อกันได้ทางลมหายใจจึงเป็นการยากที่จะควบคุม อย่างไรก็ตาม ในหลายประเทศขณะนี้ได้มีการกำหนดมาตรการ ป้องกัน และรวมถึง การรวมแรงรวมใจกันต้อสู้กับ โควิด 19 กันแล้ว ก็ขอให้ในหลายๆ ประเทศรวมถึงประเทศไทย พ้นจาก วิกฤต และผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของ ไวรัสสายพันธ์ุใหม่ และหยุดตัวเลขของผู้เสียชีวิต และติดเชื้อโรคในเร็ววันนี้...
            

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...