วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

Sun Wu : Lesson 10

             อันภูมิประเทศนั้น มีพื้นที่สะดวก มีพื้นที่ซับซ้อน มีพื้นที่ประจัน มีพื้นที่เล็กแคบ มีพื้นที่คับขัน มีพื้นที่ห่างไกล
- เราไปได้ เขามกได้ เรียกพื้นที่สะดวก พื้นที่สะดวกพึงยึดที่สูงโล่งแจ้งก่อน รักษาเส้นทางเสบียง ก็รบจักชนะ
- ไปได้ แต่ถอยกลับยาก เรียกว่าซับซ้อน พื้นที่ซับซ้อน หากข้าศึกไม่ระวัง ออกตีจะชนะ หาข้าศึกเตรียมพร้อม  ออกตีไม่ชนะ ถอยกลับลำบาก ไม่เป็นผลดี
- เราออกตีไม่ดี เขาออกตีก็ไม่ดี เรียกว่าประจัน พื้นที่เช่นนี้ แม้สภาพข้าศึกเป็นประโยชน์แก่เรา เราก็ไม่ออกตี พึงนำทัพแสร้งถอย ให้ข้าศึกรุกไล่มากึ่งหนึ่ง จึงหวนเขาตี เป็นผลดี
- พื้นที่เล็กแคบ เราพึงยึดก่อน วางกำลังหนาแน่นรอคอย ข้าศึกหาข้ศึกยึดก่อนวางกำลังหนาแน่นอย่าเข้าตี หากกำลังข้าศึกเบาบางก็จงเข้าตี
- พื้นที่ขับคัน เราพึงยึดก่อน เลื่อกที่สูงโล่งแจ้งรอคอยข้อศึก หากข้าศึกยึดก่อนให้ถอย อย่ารบด้วย
- พื้นที่ห่างไกลกำลังกล้ำกึ่ง ยากจะท้ารบ ฝืนรบไม่เป็นผลดี

   หาประการนี้ คือหลักแห่งการใช้ภูมิประเทศ ที่ควรพินิจพิเคราะห์ให้จงดี ความปราชัยของกองทัพ จึงมีที่เตลิดหนี มีที่หย่อนหยาน มีที่ล่มจม มีที่พังทลาย มีที่ปั่นป่วน มีที่ยับเยิน หกประกานี้ มิใช่ภัยจากฟ้า แต่เป็นความผิดของแม่ทัพ
- กำลังก้ำกึ่ง เอาหนึ่งรบสิบ ทัพจึงเตลิดหนี
- ไพร่พลแข็งแรงแต่นายกองอ่อน ทัพจึงหย่อนยาน
- นายกองแข็งแต่ไพร่พลอ่อน ทัพจึงล่มจม
- ขุนพลฉุนเฉียวไม่ฟังบัญชา เผชิญศึกก็ด้วยโทสะออกรบโดยพลการ แม่ทัพไม่รู้ความสามารถขุนพล ทัพจึงพังทลาย
- แม่ทัพอ่อนแอไม่เข้มงวด การฝึกอบรมไม่จะแจ้ง นายกองและไพร่พลมิรู้ที่จะปฏิบัติ การจัดกำลังก็สับสน ทัพจึงปั่นป่วน
- แม่ทัพคาดคะเนข้าศึกมิได้ เอาน้อยรบมาก เอาอ่อนตีแข็ง ไพร่พลมิเฟ้นที่กล้า ทัพจึงยับเยิน
หกประการนี้ คือหนทางแห่งความปราชัย เป็นหน้าที่สำคัญของแม่ทัพ จักไม่พินิจพิเคราะห์มิได้
          อันลักษณะภูมิประเทศนั้น คือสิ่งช่วยการศึก การคาดคะเนข้าศึกเพื่อชิงชัย การพิจารณาพื้นที่คับขันอันตรายหรือไกลใกล้จึงเป็นคุณสมบัติของแม่ทัพเอก ผู้รู้สิ่งเหล่านี้ออกรบจักขนะ ผู้ไม่รู้สิ่งเหล่านี้ออกรบจักแพ้
          เมืองวอถีการรบจักชนะ แม้เจ้านายห้ามรบ ก็พึงรบเมื่อวิถีการบจักไม่ชนะ แม้เจ้านายให้รบ ก็มิพึงรบ รุกไม่แสวงหาชื่อเสียง ถอยไม่หลบเลี่ยงอาญา มุ่งปกป้องซึ่งทวยราษฎร์เอื้อประโยชน์แดเจ้านาย นับเป็นดวงมณีของชาติ
          ใส่ใจไพล่พลดุจทารก ก็จักร่วมลุยห้วยเหว ใสใจไพร่พลดุจบุตรรัก ก็จักร่วมเป็นร่วมตาย  ถนอมแต่ใช้ไม่ได้ รักแต่สั่งไม่ได้ ผิดแต่คุมไม่ได้  ก็จะประดุจเด็กดื้อถือเอาแต่ใจ ใช้การมิได้
          รู้ไพล่พลเรารบได้ แต่ไม่รู้ข้าศึกตีไม่ได้ ชนะกึ่งเดี่ยว
          รู้ข้าศึกตีได้ แต่ไม่รู้ไพร่พลเรารบไม่ได้ ชนะกึ่งเดียว
          รู้ข้าศึกตีได้ แต่ไม่รู้ภูมิประเทศรบไม่ได้ ชนะกึ่งเดียว
ผุ้รอบรู้การศึกจะเคลื่อไหวได้ไม่หลง จะทำการได้ไม่อับจน จึงกล่าวว่า รู้เขารู้เรา จะชนะมิพ่าย รู้ฟ้ารู้ดิน จะชนะมิสิ้น

                                                                                                               ซุนวู

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

Kublai Khan

      ในการทำศึกกับราชวงศ์ซ่งครั้งนี้ มองเก้ ข่าน รู้ดีว่าจะเป็นไปด้วยความลำบากด้วยหนทางและ ปราการทางธรรมชาติทีหฤโหด แต่กระนั้น มองเก้ ข่าน เตรียมการในครั้งนี้เป็นอย่างดี อันดับแรกปิดทางหนีของราชวงศ์ซ่ง คือส่งเจ้าชายกุบิไล ทำการโจมตีอาณาจักรใกล้เคียงที่จะเป็นทางหนีของราชวงศ์ซ่งนั้น ได้แก่ ต้าหลี่ทางตะวันตกเฉียใต้ของราชวงศ์ซ่ง อาณาจักรอันนัม และทิเบต
     เมื่อเจ้าชายกุบิไลสามารถพิชิตดินแดนเหล่านี้ได้ทั้งหมดแล้ว มองเก้ ข่าน จึงเร่งจัดเตรียมทัพขนาดมหึมาซึ่งมีจำนวนทหารกว่า 600,000 นายบุกลงใต้มาสมทบกับทัพคุบไล เพื่อโจมตีราชวงศ์ซ่ง
      ทรงนำทัพตีตามป้อมต่าง ๆ ของราชวงศ์ซ่งอย่างหนักหน่วง แต่ด็เป็นไปด้วยความลำบาก สภาพภูมิอากาศแผ่นดินจีนตอนกลางมีความร้อนชื้นยิ่งกว่าทุ่งหญ้า มองโกลจึงทำให้ทหารมองโกลล้มป่วยมากมาย ทว่ามองเก้ ข่าน มิทรงย่อท้อ ที่เมืองเสฉวนทรงล้อมนานหว่า 6 เดือนก็ไม่สามารถพิชิตเมืองเข้าไปได้ ในที่สุดพระองค์ตัดสินพระทัยยกทัพหักเข้าเมืองโดยบุกโจมตีเมืองอย่างหนักเพื่อหมายจะพิชิตให้ได้ในคราวเดียว แต่ทว่าพระองค์เสด็จสวรรคตก่อนอย่างกระทันหัน
   เจ้าชายฮุเลกูในขณะนั้นเตรียมเพื่อจะบุกเยรูซาเล็ม จึงต้องเลิกทัพกลับมาช่วยเจ้าชายกุบิไล ขึ้นเป็นคาฆานองค์ต่อไป
         เจ้าชายฮูเลกูและบรรดาขุนศึกต่างๆ พากันสนับสนุน เจ้าชายกุบิไลขึ้นเป็นฆาข่านพระองค์ใหม่นามว่า “กุบไลข่าน” ณ เมืองไคผิง
        การครองราชย์ของกุลไลข่านนั้นสร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าชายอริก”บเคและบรรดาขุนศึกมองโกลรุ่นเก่า เหตุด้วยการสถาปนาข่านนั้นความทำในกรุงคาวาโครัม เจ้าชายอริโลเคจึงสภาปนาตนเองขึ้นเป็นคาฆานที่กรุงคาราโครัม เช่นกัน เจ้าชายทั้งสองพระองค์จึงทำสงครามกันเป็นเวลากว่า 13 ปี
       เจ้าชายฮูเรกูนำทัพกลับไปยังเปอร์เซียและสภาปนาอาณาจักรข่านที่นั้น อาณาจักรแห่งนนั้นมีนามวว่า “อิลข่าน” (ข่านผุ้เป็นรอง) และยกทัพขึ้นเหนือทำสงคามชิงอาเซอร์ไบจานจาก “เปอร์เกข่าน” ผู้ครองแคว้น โกลเด้นฮอร์น ต่อจากบาตู ข่าน
      กุบไลข่าน ทรงสถาปนาราชวงศ์มองโกลขึ้นเพื่อปกครองแผ่นดินจีนภายใต้อิทธิพลมองโกลขณะนั้น ก็คือ ราชวงศ์ “ หยวน” ซึ่งแปลว่า “ปฐมบท(แห่งความ)เกรีงไกร”
สุดท้ายแล้วกุบไลข่านทรงมีชัยเหนือเจ้าชายอริกโบเค กุลไลข่านทรงเว้นโทษพระอนุชา แต่บรรดาขุนศึกนั้นถูกประหารสิ้น เจ้าชายอริโบเค มีพระชนชีพต่อมาอีกหนึ่งปี จึงสวรรคต
          สมเด็จพระจักรพรรดิกุบไล ข่าน Kublai Khan หรือจักรพรรดิซื่อจูหวางตี้ หรือ จักพรรดิซีโจ๊วฮ่องเต้า เป็นข่านหรือจักรพรรดิ มองโกล และยังเป็นจักรพรรพิองค์แรกแห่งราชวงศ์หยวนของประเทศจีน
         ทรงเป็นพระราชนัดดาในจักรพรรดิเจงกิส ข่าน โดยจักรวรรดิมองโกลที่ เจงกิสข่านสร้างไว้ขึ้นถึงจุดสูงสุดในสมัยกุบไลข่าน  กุบไลข่านทรงเอาชนะ ราชวงศ์ซ่ง และยึดกรุงปักกิ่ง ปกครองประเทศจีน ต้าหลี่ ในยูนนาน เกาหลี
         มาร์โคโปโลนักเดินทางชาวตะวันตกได้เดินทางมาถึงดินแดนจีนในยุคสมัยกุลไลข่าน

พระบรมวงศานุวงศ์
พระอัยกา เจงกิสข่าน   พระอัยยิกา: บูร์ไต
พระราชบิดา: ตูลิ         พระราชมารดา:พระนางซอร์กัจตานิ เบกิ
พระเชษฐา: มองเก้ ข่าน  พระอนุชา:ฮูเลกู อริกโบเค
พระมเหสี:พระนางเตกูลัน,พระนางชาบิ,พระนางทารคัน,พระนางบายากูชิน
พระราชโอรส:องค์ชายเจนจิ้น,องค์ชายดอร์จี,องค์ชายแมงกาลา,องค์ชายนมูคัน,องค์ชายโตกอน
พระราชธิดา:องค์หญิงเมียวเยน,องค์หญิงจีลี่มีซี
พระนัดดา(โอรสขององค์ชายเจนจิ้น):องค์ชายกัมาลา,องค์ชายดารมาบาลา,องค์ชายเตมูร์ ข่าน

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

Last Stand


mamluks      ฮูลากูคาดหวังจะกำจัดฐานอำนาจสุดท้ายของมุสลิมที่หลงเหลืออยู่ นั้นคือราชวงศ์มัมลุกของอียิปต์ โดยก่อนหน้านั้น กองทัพมองโกลได้ถล่มเปอร์เซีย ยึดแบกแดด ล้มล้างจัรวาดิกาหลิบอับบาซิยธะ abbasid Caliphate และยุบราชวงศ์อัยยูบิยะฮ์ Ayyubid Dynasty


ดู mumluk   อัยบัค ซึ่งเป็นพวกมัมลุกและเป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์มัมลุ(หรือราชวงศ์ทาส)แห่งอียิปต์ ได้ปกครองอียิปต์ตั้งแต่ ค.ศ.1250-1257 หลังจากที่เกิสภาวะว่างผู้นำอยู่ระยะหนึ่ง กุตูช ซึ่งเป็นมัมลุกอีกคนหนึ่งก็ก้าวขึ้นมามีอำนาจ กูตุชเป็นคนกล้าหาญและเฉลียวฉลาด และได้รับการฝึกการอบรมมาจากโรงเรียทหารของ อัสซอลิฮ์ อัยยูบในสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำไนล์ นอกจากตัวเขาแล้ว หังกน้าที่ปรึกษาของเขาคือ บัยบัรฺ อัล - บันดุคดารี ซึ่งเป็นพวกมัมลู้กอีกคนหนึ่ง คนๆ ยิ่งมีความกล้าหาญและเหี้ยมเกรียมยิ่งกว่าเขา ทั้ง 2 คน ได้รับบรรดาพวกที่หนีภัยมาทั้งหมด เพราะพวกเขากำลังต้องการกำลังทหาร

           มองโกลมาไวกว่าที่คาดไว้ มองโกลส่งทูตมายื่นคำขาดให้พวกอียิปต์ยอมจำนน  กุตูชจึ้งเรียประชุมสภาขุนศึกทันที  นะซีรุดดีน คอยมารี ทหารชาวซีเรียเสนอให้ทำสงครามกับมองโกลเพราะเขารู้ดีว่าแม้จะยอมแพ้ก็ไม่พ้นความตาย บัยบัรเห็นด้วย หลังตกลงกันแล้ว กุตูซได้รับมองอำนาจเต็มในการที่จะจัดการกับทัพมองโกล หลังจากการประชุม ทัพมัมลู้กประกอบด้วยทหารจากซีเรีย จากอาณาจักรอิสลามอื่นๆ และทั้งจาก อาณาจักร โกลเด้นฮอร์น ซึ่งเข้ารับอิสลาม และทหารที่เป็นคริสต์บางส่วน จึงทำให้รู้กลุยุทธทางฝ่ายมองโกลเป็นอย่างดี
           เช้าวันรุ่งขึ้น ชาวเมืองไคโรก็ได้เห็นศพคนนำสารของมองโกล เป็นอันว่า ศึกนี้ไม่มีทางเลี่ยง นอกจากำลังทางทหารแล้ว เรื่องสมรรถนะทางร่างกาย การเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ความแข้งแกร่งของร่างกาย ความอดทน การเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ความมีวินัยในโลกนี้มีเพียงพวกมัมลุ้กเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่เทียบเคียงกับพวกมองโกลได้
189690_198106966883925_100000538688281_670382_354845_nsablija sandzak
images (2)           ทหารมองโกล มีความสามารถในการขี่ม้าได้อย่างคล่องแคล้ว ยิงธนูได้อย่างแม่นยำในเวลาเดียวกัน ระบบทหารของมองโกลเป็นแบบเรียบง่าย คล้ายการใช้ชีวิตในเวลาปกติ รางกายกำยำลำสั่น รู้จักการข้ามน้ำด้วยการใช้ถุงหนัง ยุทธศาสตร์ลักษณะประจำชาติง่าย ๆนี้ในการทำศึกมาครั้งตั้งแต่สมัยเจงกิสข่าน คือ เมือเกิดศึกสงคราม ชาวมองโกลก็จะกลายสภาพเป็นทหารภายใต้บังคับบัญชาในทันที พวกมองโกลมีความได้เปรียบทหารชาติอื่นๆ อีกอย่างคือ สามารถยิงธนูได้ไกลและแม่นยำกว่านักรบชาติใดๆ และม้าสำรองที่เป็นคลังแสงเคลื่อนที่และเสบี่ยงที่มีชีวิต หากอยู่ในภาวะฉุกเฉิน..
            ทหารมัมลู้ก แห่งอาณาจักรอัยยูบนั้น มีเชื่อสายเติร์ก และเป็นพวกเร่ร่อนอยู่ในทุ่งหญ้าเอเชียกลาง ทุกคนถนัดการขี่ม้าและรู้จักการใชธนูมาแต่เด็ก นอกจากนั้นยังได้รับการฝึกอบรมมาให้มีระเบียบวินัยเคร่งครัด แต่ทหารมัมลู้กเสียเปรียบมองโกลในเรื่องระยะธนู คือระยะยิงสั้นกว่าธนูของมองโกล ซึ่งกุตูซก็รู้ในข้อนี้ดี ดังนั้นในหุบเขาญะลูต แคบๆ จึงเป็นที่ชนสองเผ่าจากทุ่งหญ้าในเอเชียกลางได้มาเผลิญศึกซึ่งกันและกัน
mamluks (1) 
           ด้วยชัยภูมิที่ทางฝ่ายมัมลู้กเป็นผู้กำหนด จึงเป็นฝ่ายได้เปรียบทั้งในเรื่องขนาดกองทัพ (ใหญ่เล็กไม่สำคัญ) และการไม่ต้องกังวลเรื่องจะโดนจู่โจมจากปีกของมองโกล รวมถึงความต้องการและรีบร้อนจะเอาชนะของฝ่ายมองโกล

         จากการที่รู้จักทัพมองโกลเป็นอย่างดีในการจัดกำลังบัยบัรฺ และกุตูซจึงให้ทหารที่ไม่ใช่ชาวอียิปต์เป็นทัพหน้า ทั้งที่มีเสียงคัดค้านโดยกล่าวว่า หากทหารทัพหน้าไม่มีความเข้มแข็งจะทำให้ทัพโดยรวมเสียขบวนแต่บัยบัรฺ และกุตูซตกลงกันดีแล้ว และยังพอมีพื้นที่เพื่อให้ทหารแนวหน้าหนีทัพข้าศึก
         มองโกลเปิดฉากรบก่อนตามแบบฉบับ โดยใช้ทหารม้าขมังธนูควบม้าเข้ายิงธนูกองทัพมุสลิมระลอกแล้วระลอกเล่าแล้วก็ถอยไปก่อนที่จะเข้ามาถึงระยะรัศมีธนูของทหารฝ่ายมุสลิม ทหารแน่วหน้าระส่ำระสาย เมือเห็นทัพมุสลิมแตกพ่าย คิตบูกา นายทัพมองโกล ก็สั่งให้ทหารองตนตามตีทันที การโจมตีของมองโกลเป็นไปย่างหนักหน่วงและสร้างความเสียหายให้แก่ทหารซีเรียอยางหนัก คิตบูกาได้ใจ คิดว่าตนชนะศึก จึงนำทัพตามติดเข้ามาไม่ลดละ และต้องพบว่าตัวเองได้ติดกับอยู่ในวงล้อมพวกมัมลู้ก
       ปีกทั้งสองข้างของกองทัพมัมลู้กซึ่งมีภูเขาและแม่น้ำญาลูตเป็นแนวป้องกันยังคงตั้งมั่นอยู่อย่างไม่หวั่นไหว และแนวที่สองของทัพมัมลู้ก สามารถยับยั้งการบุกของทัพมองโกลได้  และทำการจัดทัพปิดล้อมทหารมองโกลอีกชั้นหนึ่ง การณ์ครั้งนี้นอกจากจะทำให้ทหารมองลู้กพ้นระยะยิงของมองโกลแล้วยังทำให้กองทัพม้าเคลื่อนที่เร็วเป็นอัมภาต เมือสภานการเปลี่นยแปลงไปเช่นนี้ มุสลิมซีเรียจึงรวมพลกลับเข้าสมรภูมิช่วยหนุนพวกมัมลู้กสู้กับฝ่ายมองโกล กระทั้งมองโกลล่าถอยไป
        บัยบัรเป็นคนดุดันโหดเหี้ยม เขาต้อนมองโกลให้ถอยร่นไปยังหนองบึงบัยซาน หลังจากนั้นก็สั่งทหารตามล่าชีวิตศัตรูให้ได้มากที่สุด พวกมองโกลที่หลบไปอยู่ในพงหญ้าถุเผาตายนับพัน อีกส่วนหนีไปก็ถูกไล่ต้อนไปจนมุมที่แม่น้ำจอร์แดน และถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมากบัยบัรฺไม่หยุดแค่นั้นจากแม่น้ำจอร์แดนเขาพากองทหารออกติดตามขับไลมองโกลเป็นระยะทางกว่า  300 ไมล์ มีแต่พวกที่ลอยข้ามแม่น้ำยูเฟรตีสไปได้เท่านั้นที่หลุดรอดจาการล่าสังหารของบัยบัรฺ อัล-บันดุคดารี และเขาก็ได้กลายเป็นสุลฎอนมัมลู้กที่มีชื่อเสียงที่สุดของอียิปต์



       คิตบูกา ถูกจับได้ในสนามรบ และถูกสังหาร     
                                                                                          
    








  สงครามอัยน์ ญาลูต

Abbasid Dynasty-The Ottoman Empire

  เคาะหฺลีฟะฮฺ Caliphate หรือ กาหลิป มาจากคำว่า “เคาะลีฟะฮ์ อัรเราะซูล” แปลว่าผู้แทนของท่านเราะซูล
         รัฐเคาะลีฟะฮ์ เป็นเขตการปกครองแบบหนึ่งในอาณาจักรมุสลิมที่มีประมุขเป็นเคาะลีฟะฮ์ที่มาจากปรัชญาว่าเป็นผู้สืบอำนาจมาจากนบีมุฮัมมั ศาสดาของศาสนาอิสลาม
al-musta-sim-person-photo-u1 (1)
         ซุนนีย์ระบุว่าเคาะลีฟะฮ์ควรจะเป็นผู้ที่ได้รับเลื่อก โดย Shura ผู้ได้รับเลือกโดยมุสลิมหรือผู้แทน ชีอะห์เชื่อว่าเคาะลีฟะห์คืออิมามผู้สืบเชื้อสายมาจากอะฮฺลุลบัยตฺ ตั้งแต่สมัยมุฮัมมัดมาจนถึงปี ค.ศ. 1924 เคาะลีฟะฮ์ ต่อมาและในปัจจุบันมาจาหลายราชวงศ์
         ระบบเคาะลีฟฮ์เป็นระบบการปกครองระบบเดียวที่ได้รับการอนุมัติจากเทววิทยาอิสลาม และเป็นปรัชญาการปกครองหลักของซุนนียธ โดยเสียงข้างมากของมุสลิมในต้นศตวรรษ
         พระโองการแห่งพระผู้เป็นเจ้าทีทะยอยลงมาในเวลา 23 ปี โดยศาสนทูตที่ไรบมองหมายให้สอนศาสนาอิลามแก่มนุษยชาติ และได้รวบรวมเป็นเล่มมีชื่อว่า “อัลกุรอาน” 
        สาส์นแห่งอิสลามที่ถูกส่งมาให้แก่มนุษย์ทั้งมวลมีจุประสงค์หลัก 3 ประการ คือ
1 เป็นอุดมการณ์ที่สอนมนษย์ให้ศรัทธาในอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว
2 เป็นธรรมนูญชีวิต อันครอบคลุมทุกด้าน ทั้งเรื่อง การปกครอง เศรษฐกิจ และกฎหมาย
3 เป็นจริยธรรมอันสูงสุ่งเพื่อการครองตนอย่างมีเกียรติ


       ในการโจมตีของมองโกล โดยการนำของเจ้าชายฮูเรกู เป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในสามครั้งของโลกมุสลิม ราชวงศ์แอบบาสิยะห์ สิ้นราชวงศ์ บ้านเมืองถูกเผาทำลาย วิทยาการต่าง ๆ ในนครแบกแดดถูกทำลายจนสูญสิ้น
         มูลากู ข่านนำทัพมองโกล ทำลายล้างอย่างที่ไม่มีใครหยุ่ดยั้งได้  เคาะลีฟะฮ์ อัล-มุสตะซิมบิลละฮ์ ถูกฆ่าและมุสลิมนับแสนคนถุฆ่าจนถนนในแบกแดดกองไปด้วยซากศพและถนนกลายเป็นแม่น้ำโลหิต  มองโกลเข้าแบกแดดในวันอาชูร และราชวงศ์อับบาซียะฮฺต้องสิ้นสุดไปลงไปด้วยเลือด กล่าวกันว่าแม่น้ำในแบกแดดกลายเป็นสีหมึกจากหนังสือในห้องสมุดซึ่งถูกทำลายหนังสือในห้องสมุดกรุงแบกแดดที่ถูกทำลายสามารถน้ำมาถมข้ามแม่น้ำได้อย่างสบาย และถนนต้องแดงฉานด้วยเลือดมุสลิม 
      หลังจากทำลายแบกแดดแล้ว กองทัพของฮูลากูก็บ่ายหน้าขึ้นเหนือโจมตีซีเรีย และยึดเมืองอามัสกัส เมืองหลวงของอาณาจักรมุสลิมถูกทำลาย กองทัพต่างๆ ต้อง พ่ายแพ้อย่างราบคาบให้แก่ความดุดันห้าวหาญของทหารม้าและทหารราบของมองโกล มุสลิมสิ้นหว้งในการที่จะต้านทาน ความโหดเหี้ยมของมองโกล
การทำลายล้างของมองโกล
- ห้องสมุดแกรนด์ของกรุงแบกแดด
- ประชากร ตั้งแต่ 200,000ถึงล้าน
- ปล้น ทำลายมัสยิและพระราชวังห้องสมุดโรงพยาบาล อาคารต่าง ๆ
-  การสังหารกาหลิบ
- ระบบชลประทาน


No1




    หลังจากอาณาจักเซลจุกเติร์กแห่งอนาโตเลียถูกกองทัพมองโกลรุกรานและล่มสลายในที่สุด  อาณาจักร ออตโตมานก็ถูกสถาปนาขึ้นโดย อุษมาน และประกาศตนเป็น ปาดีชะห์ปกครองออตโตมาน
          ปาดีชะห์ หรือ สุลต่าน เป็นตำแหน่งเดียและเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจเด็ดขาด เป็นประมุขของรัฐและของรัฐบาลของจักรวรรดิอย่างเป็นทางการ ในบางครั้งอำนาจที่แท้จริงจะตกอยู่ในมือของข้าราชสำนัก

Region




ศาสนา ได้สิ่งที่ธรรมชาติของมนุษย์มีความต้องการอย่างลึกซึ้งภายในและขณะเดียวกันศาสนาก็มีอิทธิพลต่อชีวิตและสังคมของมนุษย์ทั้งด้านกี และด้านร้าย สุดแต่สภานการณ์ ช่วงเวลา และสภาพสังคมในสภาพสังคมและการเปลนทำนองเดียวกันสภาพสังคมและการเปลี่นแปลงของสังคมก็มีอิทธิพลต่อศาสนาเช่นกัน
                ในอดีที่ผ่านมาหลายพันปีจนถึงปัจจุบัน ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าบางครั้งศาสนาก็ช่วยแก้สภานการณ์ที่เลวร้าย วิกฤตให้สงบลงได้ บางรั้งศาสนาก็เป็นสกเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการจราจล ฆาปันกัน บางครั้งบุคคลในศาสนาก็เข้าไปเกี่ยวข้อง ก้าวก่ายต่อการเมือง การปกครองเศรษฐกิจและสงครามเสียเอง ดังนั้นจึงอาจได้ว่า ศาสนามีอิทธิพลต่อสังคม กละขณะเดียวกันสังคมก็มีอิทธพลต่อศาสนาเช่นกัน
บทบาทและอิทธิพลของสังคมต่อศาสนา
                กล่าวคือ บุคคล สังคม และภาพแวดลิ้มทางสังคม และทางภูมิศาสตร์ตอลดจนวัวัฒนธรรมและการเมืองการปกครอง ล้วนมีส่วนสำคัญที่อาจสามารถเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงศาสนา และมีอิทธิพลต่อศาสนาในด้านต่าง ๆ ได้
                บทบาทและอิทธิพลของศาสนาต่อสังคมส่วนรวม
ความสัมพันธต่อบุคคล บุคคลต่อบุคคล เริ่มจากครอบครัวขยายสู่ชุมชน และประทเศชาติในการจัดระบบของสังคมได้รอิทธิพลจากศาสนาเป็นส่วนมาก กาจัดอัดับในรุปการปกครอง การจัดรูปแบบของสังคม เป็นต้นโดยความเชื่อที่ว่า ผู้ปกครองหรือกษัตริย์นั้น มักจะจุติจาสวรรค์ กังทีเรียกันว่าสมมติเทพ คือเป็นบุคคลอีระดับหนึ่งดำรงฐานลดหลั่นกนลงมาตามลำดับ ..การขจัดปัญหาเรื่องชนชั้น ตามความเชื่อถือทางศาสนาในทุกสังคม แม้จะแตกต่างทางชั้นวรรระอร่างไรก็ตามสามารถรวมกันได้ เพราะอาศัยศาสนาเป็นศูนย์กลางและศูนย์รวมทางสังคมโดยศาสนาอีกอย่างคือ การประกอบพิธีสำคัญๆ ของสัคมนั้นๆ

                ศาสนานำความจริญก้าวหน้าต่าง ๆ ให้แก่มนุษยืมากมาย ทุกประเทศยอมรับว่า ความก้าหน้าทางศิลปวิทยาการทุกชนิดเกิดจากศาสนา  เป็นบ่อเกิดแห่งการศึกษา  มนุษย์ได้รับประโยชน์ อันเกิดจาอิทธพลทธิพลของศาสนาของศาสนาในด้านต่าง ๆ  ศาสนาเป็นสิ่งช่วยจูงในเต้าใจ ให้มนุษยืมีความมั่นคง เป็นอนหนึ่งอันเดียวกัน มีความสงบจิตใจ สบายใจตามหลักธรรองศาสนาที่ตนนับถือ
                ในเรื่องความเชื่อ ศาสนาเป็นเสมือนความเร้นลับของมนุษยื โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วยนที่เป็นไสยศาสตร์ เวทมนต์ คาถา ซึ่งนักสังคมวิทยาลงความเห็นว่าเป็นเรื่องไม่มีเหตุผล แต่ในแง่ของจิตวิทยาสังคม ต้องยอมรับในประสิทธิผลของอำนาจเร้นลั ไสยศาสตร์ และเวทย์มนต์คาถา ในลักษณที่เป็นการต่อสู้ทางอารมณ์ในภาวะการณ์ที่มนุษย์ไม่สามารถจะช่วยตัวเองได้ จึงต้องดาศัสิ่งเหล่านี้เป็นที่พึ่ง เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวผูกพันทางใจ
                ศาสนาเป็นเสมือนสายใยที่เชื่อมมนุษยืกับสังคมเข้าด้วยกันในฐานะที่ศาสาเป้นสถาบันทางสัฝคมที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเหนื่องมนุษย์ดับสังคมให้เข้าด้วยกันในฐานะที่ศาสนาเป็นสถาบันทางสังคมที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับสถาบันที่สำคัญอื่นๆ ในสัคม ซึ่งสามารรถแทรกอยู่ในสังคมแทบทุกชนชั้น ทุกวงการ ทุกสถาบันสัคม



                                                ชาวยิว  ชาวคริสต์  ชาวมุสลิม
                ศานายิวหรือศาสนายูดาห์ เกิดขึ้นในท่ามกลางสภาพสังคมที่ชาวยิวกำลังรับความทุกข์ ลำบาก ตกเป็นทาสถูกดขี่ขมเหงใช้งานหนัก โดนรังแก ถูกฆ่า ตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจกครอง ชาวยิวทุคนหวังว่าจะมีผู้มาช่วยให้พ้นทุกข์ พ้นสภาพการเป็นทาส ซึ่งมีสถานะในสังคมเป็นเพียงพลเมืองชั้นต่ำสุด ยูดาห์เกิดมาเพื่อปลดป่อยชาวยิวจากทุกข์ยที่ถูกคุโทษ และภัยที่ถูกคุกคามทั้งปวง หลักธรรมคำสอนของศาสนามีวัตถุประสงค์ให้ชาวยิวร่วมใจกันสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อการปลดแอกและสร้างชาติ สร้างประเทศบ้านเมืองที่เป็นอิสระเป็นหลักฐานมั่นคง
                สภาพสังคมของชาวยิวก่อนเกิดศาสนายิวเป็นเช่นนี้ จึงทำให้เกิดศาสนายิว และทำให้ศาสูกปกครองนายิวเน้นหลักเรื่องชาตินยม การรวมชาติ การช่วยกันสร้างชาติ ดดยมีหลักธรรมคำสอนให้มีความเชื่อมั่นศรัทธาในพรจ้าองค์เดียวสูงสุด และให้ความหวังและกำลังใจให้มีแรงบันดาลใจในการต่อสู้เพื่อชนชาติ ว่าชนชาติยิวเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลื่อก(มีเพียงชาติเดียวในโลกที่พระเจ้าทรงงเลือก) และจะให้ความช่วยเหลือให้ได้พบอินแดนอันอุดมสมบูรณ์ สงบสุข ใช้ตั้งบ้านเมืองสร้างชาติ ซึ่งเรียกว่าดินแดนแห่งสัญญา เป็นพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
                จากหลักธรรมคำสอน ซึ่งมีความเชื่อว่ามาจากพระเจ้าดดยตรงว่าพระเจ้าจะประทานความช่วยเหลื่อชนชาติตนอย่างแน่นอน  ซึ่งกำลังศรัทธาและความเชื่อมั่นนี้ในที่สุดชาวยิดจึงสามารถสร้างชาติและประเทศบ้านเมืองได้สำเร็จ
                ศาสนายิงเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยชนชาติยิวโดยเฉพาะ และชนชาติยิวก็มีความเชื่อแลศรัทธาในหลักธรรมคำสอนของศาสนาอย่างลึกซึ้ง 


             ศาสนาคริสต์เกิดขึ้นท่ามกลางสังคมของชาวยิวที่ถูกกดขี่โดยชาวโรมันโดยตกเป็นเมืองขึ้น ถูกกดขี่ ขาดอิสระภาพ สภาพความเป็นอยุ่อัตคัตยากจน  สภาพสังคมของชาวยิวขณะนั้นต้องการผุ้ช่วยเหลือ ผู้สังสอนให้ประพฟติปฏิบัติในทางที่ถูก  ต้องการความรักความเมตตากรุณา ปลอบประดลมให้คลายจากความทุกข์ที่ได้รับอยุ่
                ด้วยความเชื่อที่ว่าพระเจ้าะไม่ทอดทิ้งชาวยิว พระเจ้าส่งผู้มรไถ่บาปเพื่อช่วยเหลือชาวยิว ซึ่งเรียกว่า Messiah ชาวยิวรอคอยผุ้ที่พระเจ้าจะส่งมาช่วยพวกเขาและเมือพระเยซูปรากฎตัวขึ้น และประกาศว่าเป็นบุตรของพระเจ้าพระเยซูมาในขณะที่ประชาชนรอคอย พระเยซุมาเพื่อให้ความหวังเป็นความจริง
                ระยะเวลาที่พระเยซูได้รับการยอมรบจากผู้ศรัทธานับถือว่าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นพระฟู้ไถ่บาปให้มวลมนุษย์นั้นมีอยุ่เพืยงไม่กีปีก็ตรึงกางเขนพระเยซูและสาวกออกเผยแพร่ศาสนาไปยังชนบท ปราชนผู้ทุกขืยกาต้ต้อยในสังคมผู้เจ็บป่วยผู้อคอยความหวัง พระองค์ทรงสั่งสอนและปลอบโยนแก่ผู้เศร้าโศก นำความหวังความเข้าใจมาสู่ผุ้สำนึกผิ พระองค์ทำให้คำบาปกลับใจ มีผู้โจมตี ติเตียน พระองค์ว่าทรงคลุกคลีอยู่ท่ามกลางคนบาป คนเลว คนจน คคนสกปรก ต่ำต้อย คนป่วยพิการ... พระเยซูสอนให้มวลมนุษย์รกกันให้อภัยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
                ศาสนาคริสต์แตกต่างจากศาสนายิว คือพระเยซูมีช่วงเวลาที่ประกาศศาสนาของพระอค์น้อยเหลือเกิดน เพี่ยงเวลา 3 ปี หากพระองค์มีอายุยืนนานดังเช่นศาสดาของศาสนาอื่น ศาสนาคริสต์อาจแผ่ไพศาลในโลกมากกว่านี้ และความเชื่อของสาวกพระเยซู   และมิชชั่นนารี ที่สืบกันมา ซึ่งยึดมั่นอุดมการณ์ ในการเผยแพร่ การเผยแพร่ศาสนาคริสต์เป็นขบวนการที่มีระบบและมีเงินทุนรองรับทำงานเป็นขั้นตอน และร่วมมือร่วมแรงร่วมใจ ทังฝ่ายพระและผุ้แกครองประเทศ ดดยเฉพาะในยุคล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก ในสมัยนั้นการเมือง และการเผยแพร่ศาสนาคริสต์จะมาคู่กน บางครั้งผู้ปกครองประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นก็ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือหรือบงหน้าแต่ถึงอย่างไรมิชชันารีก็เผยแพร่ศาสนาอย่างแท้จริง โดยต้องการให้ประชาชนในประเทศต่าง ๆ หันมานบถือศาสนาคริสต์
                ทั้งการเมืองและการศาสนาจึงต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยปริยาย จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาจะเห็นว่าประเทศที่ต้องตกเป็นอาณานิคมประเทศมหาอำนาจนั้น ในเวลาต่อมาประชาชนจะหันไปนับถือศาสนาคริสต์มากขึ้น


                ศาสนาอิสลาม  เกิดขึ้นในสภาพสังคมที่แตกต่าง การใช้ชีวิตของคนในสังคมอาหรับนั้นมีอิสระเสรีมกากว่าสภาพสังคมหละหลวม ไม่มีกฎระเบียบ ไม่เคารพสิทธิ การรบลาฆ่าฟันเป็นเรื่องปกติ การล้างแค้นเป็นหน้าที่ความเคารพนับถือ สิ่งลึกลับซ้อนเร้นเหนือธรรมชาติ ผีสางเทวดา เวทย์มนต์จะคาภา ไสยศาสตร์เป็นสิ่งจำเปน  จากสภาพสังคมดังกลาศาสนาที่เกิดขึ้นในสังคมเช่นนี้ ต้องมีความเด็ดขาด จริงจัง จึงจะควบคุมคนในสังคมนั้นได้ ศาสนาอิสลามจึงมีหลักธรรมคำสอนที่เป็นกฎหมาย ระเบียบ วิธีปฎิบัติในการกำรงชีวิตเป็นศุนย์รวมจิตใจ เป็นธรรมนูญสูงสุดของชีววิต ซึ่งมีคำสอนละเยดลึกซึ้ง ครอบคลุมการดำรงชีวิตตั้งแต่เกิดกระทั้งตายในทุกๆด้าน
                ศาสดาผู้ก่อตั้งคือ พระมูฮัมหมัด กว่าพระองค์จะประกาศศาสนได้สำเร็จ ต้องต่อสู้เพื่อให้ผุ้ต่ต้านยอมจำนน  การเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ท่านศาสดาจะใช้วิธีนุ่มนวล สั่งสอนให้เชื่อฟังและศรัทธา และสำหรับผู้ไม่เชื่อฟัง ต่อต้าน ท่าจึงจะใช้กำลัง คือ ใช้พระคุณตามด้วยพระเดช ใช้ทั้งธรรมะและกองทัพ เพราะอุปนิสัยการเป็นนักสู้และมีอิสระเสรีภาพมากมาเป็นเวลานานของชาวอาหรับ จะสู้กระทั่งแพ้จึงจะรับฟัง การจะยอมใครง่ายๆ นั้นเป็นเรื่องยาก แต่ถ้ายอมรับฟังแล้ว ยอมรับนับถือแล้วก็จะยอมตายถวายชีวิต ด้วยความเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ และสละแม้ชีวิต ของชาวอาหรับในการเผยแพร่ศาสนานี้เอง ที่ทำให้ศาสนาอิสลามกลายเป็นศาสนาสำคญของโลก
                เหตุบาดหมางในอดีตระหว่างชาวยิวและอิสลาม กล่าวคือ ชาวยิวบางกลุ่มคื อผู้ลอบทพร้ายทรยศ หักหลัง ท่านศาสนดา มูฮัมหมัด อันเป็นเหตุให้อิสลามไม่ลงรอยกับยิวตลอดมา กระทั่งปัจจุบัน ปัญหาในปาเลสไตต์ก็ยังไคงไม่สงบ และในเรื่อง เยรุซาเล็ม และประวัติศาสตร์ของชาติยิวชาวอิสลามก็ไม่ยอมรับประวัติศาสตร์เยรูซาเล็มตั้งแต่ชาวยิวเข้ามาในดินแดนนี้ หรือตั้งแต่ยุคกำเนิดพระเยซู

                โดยจะเห็นได้ว่าทั้งสามศาสนา ต่างมีรากฐานและนับถือพรเจ้าองค์เดียวกัน คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่งเหมือนกัน   ศาสนาคริสต์เข้ากันได้กับทั้ง คริสต์และ อิสลาม ชาวคริสต์มีลักษณะประณีประนอม ไม่อ่อนหรือแข็งเกินไป คำสอนเน้นเรื่องความรัก ความเมตตา และเสียสละแก่เพื่อนมนุษย์
             ศาสนายูดาห์เหมาะสำหรัชาวยิว โดยคำสอนมุ่งเน้นเรื่องความเชื่อ ศรัทาต่อพระเจ้า และเชื่อว่าพระเจ้าได้เลือกชนชาวยิว และจะคอยช่วยเหลือชนชาวยิวตลอดไป อันเป็นพลังให้ชาวยิวสร้างชาติก่อตั้งประเทศได้ เป็นการสร้างศรัทาสามัคคี และความผูกพัจากความเชื่อ และแรงบันดาลใจจากศาสนา
                ศาสนาอิสลามก็เหมาะกับชาวอาหรับ และสภาพสังคมที่หลากหลาย เป็นการทำให้สังคมมีระเบียบ สงบสุข และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และสามัคคีกัน เป็นศาสนาที่มำสอนที่สามารถควบคุมสังคมได้อย่างดียิ่ง

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

Masyaf

   เป็นราชวงศ์ในยุคที่ที่ขึ้นครองราชหลังจากราชวงศ์อุมัยยะฮ์ถูกโค่นล้ม ได้ย้ายเมืองหลวงจากจากเมือง “ชาม” (ดามัสกัส ซีเรียในปัจจุบัน)มาที่กรุงแบกแดด
  ดินแดนอิสลามในยุคนี้ จึงแบ่งออกเป็น ที่ดามัสกัสซึ่งราชวงศ์เดิมอ าศัยอยู่ และราชวงศ์ใหม่ที่กรุงแบกแดด และยังมีที่ อียิป กรุงไคโร พวกชีอะห์ได้ตั้งราชวงศ์ขึ้นมาคือ ราชวงศ์ “ฟาติมิดส์” อิสลามที่ไคโรนั้น มีกลุ่มที่น่ากลัวที่สุดของอิสลามคือ พวกAssasin หรือพวกนักฆ่าอันมีเมืองหลวงอยู่ที่เมือง Masyaf ซึ่งเป็นกลุ่มที่ชื่อเสียงขึ้นมาหลังจากทำการตีเมืองคืนจาก ซาลาดิน กล่าวคือ
    เมื่อ ซาลาดิน หรือ จีฮัทธ์ทำสงครามกับพวกครูเสด เสร็จสิ้นโดยการทำสัญญากับพระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ จึงเดินทางมาปราบพวกชีอะห์ตามบัญชา ของ เคาะห์ลีฟะห์แห่งแบกแดด  โดยมีตำนานหรือเรื่องเล่าขานกัน ว่า เมืองครั้งซาลาดีนยึดเมือง Masyaf ได้จากพวก Assasin ซึ่งต้องเป็นทางผ่านที่จะไปยังกรุงไคโร นั้น ขณะที่ ซาลาดิน นอนอหลับอยู่ในเมือง  Masyaf ภายใต้การป้องกันอย่างแน่นหนา พวกมือสังหารได้ส่งขนมเค้กใส่ยาพิษ ไปว่าไว้ในห้องของซาลาดีน และในที่สุดก็สามารถตีเมืองที่ยึดครองโดยซาลาดีนคืนได้ การณ์ครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของ Assasin เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง




ในการละมาดของชาวอิสลามนั้นผู้ละมาดต้องออกพระนามเคาะหฺลีฟะหฺของตน ซึ่งอิสลามในอียิปต์และอิสลามในกรุงแบกแดดนั้นต่างฝ่ายต่างมีเคาะหฺลีฟะห์ของตนเอง เมือครั้งซาลาดินเคายึดกรุงไคโร จึงบังคับให้ผู้ทำการสวดมนต์หรือละมาดนั้นทุกครั้งจะต้องออกพระนามเคาะห์ลีฟะหฺแห่งแบกแดด เป็นอันว่า ซาลาดีน จึงเป็นผุปกครอง อิสลามในกรุง ไคโรตั้งแต่บันนั้น และขึ้นตรงต่อเคาะหฺลีฟะห์แห่งแบกแดด
   มองโกลนั้นก็เช่นเดียวกัน ภายใต้การนำกองทัพของเจ้าชาย ฮุเลกูผุ้มีความสามารถในการทำสงครามนำทัพ ทหารมองโกล 150,000 นายเข้าตี เมืองหลวงของเหล่ามือสังหารแตกในครั้งเดียวและเดินทัพไปยังแบกแดด เพื่อทำการโจมตีกรุงแบกแดด

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

assassination

   soc4
  “การลอบสังหาร” เป็นรูปแบบของความรุนแรงทางการเมืองที่นักรัฐศาสตร์ไม่ควรมองข้าม สาเหตุแห่งการลอบสังหาร คือ แย่งชิงอำนาจ หนึ่ง ทำไปเพื่อนำสู่ผลประโยชน์ หนึ่ง และ เหตุผลอื่นๆ หนึ่ง เช่นการฆ่าด้วยความบ้า หรืออยากดังเป็นต้น
     assassin เป็นคำที่มีบ่อเกิดจากเปอร์เซียและซีเรีย ประมาณศตวรรษที่ 8-14 ในการลอบสังหารช่วงแรก ๆ เป็นการกรทำของพวกสมาชิกกลุ่ม Nizaris กลุ่มชาวมุสลิม ซึ่งใช้การฆ่าแบบจู่โจมโดยเจ้าหน้าที่ลับ ขณะที่ผู้คนมักมองว่า หลุ่ม Nizaris เป็นกลุ่มที่สังคมไม่ให้การยอมรับ และไม่มีใครคบหา จากทัศนคติ เช่นนี้จึงได้กลายมาเป็นหนึ่งในชื่อของกลุ่มว่า “Hashshashin” ที่รากศัพท์หมายถึง “ผู้เสพกัญชา”
   มีบางแหล่งระบุชัดว่า คำๆ นี้ถือกำเนิดนยุคศตวรรษที่ 11 เพื่อใช้อธิบายพฤติกรรมของ Hassan-i Sabbah ผู้นำกลุ่มชาวมุสลิมที่กุมอำนาจอยางมากในตะวันออกกลาง ผู้เน้นปกครองด้วยการใช้กำลังความรุนแรง ซึ่งการลอบสังหารก็จัดว่าเป็นหนึ่งในวิธีการที่ถูกเขานำมาใช้ เชื่อกันว่าชาวตะวันตกที่นำคำนี้มาใช้เป็นคนแรก คือ Benjamin of Tudela ช่วงศตวรรษที่ 12
    เมื่อตำนานเรื่อนี้แพร่ออกไป คำว่า “Hashshashin” ได้เดินทางผ่านชาวปรังเศสและ อิตาลีhashshashin_by_couvertoire-d4o7e0s 630px-ACR_STORY_11 กระทั่งถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในยุโรป จนปรากฎเป็นคำภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 16 ว่า Assasin และเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป สำหรับใช้เรียกขาน นักฆ่าคนทรยศ ในห้วงเวลานั้น
   ในทาง “ปรัชญาการเมือง” ยอมรับกันว่าการ “ฆ่า” เป็นคุณสมบัติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของธรรมชาติมนุษย์และชีวิตสังคม ยิ่งไปกว่านั้นคือ “รัฐศาสตร์แบบจารีต”ยังนับสนุนความรุนแรงบางชนิดให้มีความชอบธรรม เช่น การปฏิวัติ รัฐประหาร ต่อต้านระบอบอการปกครองที่เลวร้าย…
   การลอบสังหารเป็น “ความรุนแรงทางตรง” ซึ่งจัดเป็นรูปแบบหนึ่งของความรุนแรงทางการเมืองข้างน้อย ในแง่ที่เป็น “การก่อความรุนแรงโดยปัเจกบุคคล” ขณะที่ความรุนแรงทางการเมืองส่วนใหญ่ที่เป็นที่สนใจในทางวิชาการด้านรัฐศาสตร์มากกว่า มักได้แก่ “การใช้ความรุนแรงรวมหมู่”  ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงโดยรัฐ การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ สงครามกลางเมือง การก่อการจราจล ตลอดจนความรุนแรงโดยกลุ่มองค์กรที่ไม่ใช่รัฐ
    assasin
ผู้ลอบสังหาร ตำนานนักฆ่ามีมาตั้งแต่สมัยสงครามครูเสดครั้งที่ 3 หลังจากซาลาดินสงบศึกกับพรเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ แล้วกลับมาพักที่ดามัสกัส ซาลาดินผู้นำนักรับที่เกรียงไกร มาเกี่ยวข้องกับนักฆ่า หรือ Assasin ได้อย่างไร กล่าวคือ เมือง Masyaf ประเทศซีเรีย ดินแดนแห่งนักลอบสังหาร ป้อมแห่งนักล่าสังหาร และเหล่าบรรดานักฆ่านั้นได้สร้างความปวดร้าวแก่ซาลาดิน กล่าวคือ masyaf_castle1
   Rachid ad-Din Sinan ผู้มีฉายานามว่า The old man of the Mountain ท่านเป็นสาวกของกลุ่ม Hashshashi ในวัยเด็กได้เดินทางมายังเมือง Alamut in Iran ศูนย์หลางของบรรดาเหล่า Assassin และได้รับการฝึก และในปี 1162 จึงเดินทางไปยังซีเรียและทำการยึดเมืองทางตอนเหนือของซีเรียมากมาย จากนั้นในปี 1176 ก้เป็นผู้นำกองทัพในการสู้รบกาบซาลาดินที Masyaf และได้รทำการยึดครอง และปกครองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งการต่อสู้กับกองทัพซาลาดินเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเหล่า assasin

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...