ศาสนา
ได้สิ่งที่ธรรมชาติของมนุษย์มีความต้องการอย่างลึกซึ้งภายในและขณะเดียวกันศาสนาก็มีอิทธิพลต่อชีวิตและสังคมของมนุษย์ทั้งด้านกี
และด้านร้าย สุดแต่สภานการณ์ ช่วงเวลา และสภาพสังคมในสภาพสังคมและการเปลนทำนองเดียวกันสภาพสังคมและการเปลี่นแปลงของสังคมก็มีอิทธิพลต่อศาสนาเช่นกัน
ในอดีที่ผ่านมาหลายพันปีจนถึงปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าบางครั้งศาสนาก็ช่วยแก้สภานการณ์ที่เลวร้าย
วิกฤตให้สงบลงได้ บางรั้งศาสนาก็เป็นสกเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการจราจล ฆาปันกัน
บางครั้งบุคคลในศาสนาก็เข้าไปเกี่ยวข้อง ก้าวก่ายต่อการเมือง
การปกครองเศรษฐกิจและสงครามเสียเอง ดังนั้นจึงอาจได้ว่า ศาสนามีอิทธิพลต่อสังคม
กละขณะเดียวกันสังคมก็มีอิทธพลต่อศาสนาเช่นกัน
บทบาทและอิทธิพลของสังคมต่อศาสนา
กล่าวคือ บุคคล สังคม
และภาพแวดลิ้มทางสังคม และทางภูมิศาสตร์ตอลดจนวัวัฒนธรรมและการเมืองการปกครอง
ล้วนมีส่วนสำคัญที่อาจสามารถเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงศาสนา
และมีอิทธิพลต่อศาสนาในด้านต่าง ๆ ได้
บทบาทและอิทธิพลของศาสนาต่อสังคมส่วนรวม
ความสัมพันธต่อบุคคล
บุคคลต่อบุคคล เริ่มจากครอบครัวขยายสู่ชุมชน และประทเศชาติในการจัดระบบของสังคมได้รอิทธิพลจากศาสนาเป็นส่วนมาก
กาจัดอัดับในรุปการปกครอง การจัดรูปแบบของสังคม เป็นต้นโดยความเชื่อที่ว่า
ผู้ปกครองหรือกษัตริย์นั้น มักจะจุติจาสวรรค์ กังทีเรียกันว่าสมมติเทพ
คือเป็นบุคคลอีระดับหนึ่งดำรงฐานลดหลั่นกนลงมาตามลำดับ ..การขจัดปัญหาเรื่องชนชั้น
ตามความเชื่อถือทางศาสนาในทุกสังคม
แม้จะแตกต่างทางชั้นวรรระอร่างไรก็ตามสามารถรวมกันได้
เพราะอาศัยศาสนาเป็นศูนย์กลางและศูนย์รวมทางสังคมโดยศาสนาอีกอย่างคือ
การประกอบพิธีสำคัญๆ ของสัคมนั้นๆ
ศาสนานำความจริญก้าวหน้าต่าง ๆ
ให้แก่มนุษยืมากมาย ทุกประเทศยอมรับว่า
ความก้าหน้าทางศิลปวิทยาการทุกชนิดเกิดจากศาสนา
เป็นบ่อเกิดแห่งการศึกษา
มนุษย์ได้รับประโยชน์ อันเกิดจาอิทธพลทธิพลของศาสนาของศาสนาในด้านต่าง
ๆ ศาสนาเป็นสิ่งช่วยจูงในเต้าใจ
ให้มนุษยืมีความมั่นคง เป็นอนหนึ่งอันเดียวกัน มีความสงบจิตใจ
สบายใจตามหลักธรรองศาสนาที่ตนนับถือ
ในเรื่องความเชื่อ
ศาสนาเป็นเสมือนความเร้นลับของมนุษยื โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วยนที่เป็นไสยศาสตร์
เวทมนต์ คาถา ซึ่งนักสังคมวิทยาลงความเห็นว่าเป็นเรื่องไม่มีเหตุผล
แต่ในแง่ของจิตวิทยาสังคม ต้องยอมรับในประสิทธิผลของอำนาจเร้นลั ไสยศาสตร์
และเวทย์มนต์คาถา
ในลักษณที่เป็นการต่อสู้ทางอารมณ์ในภาวะการณ์ที่มนุษย์ไม่สามารถจะช่วยตัวเองได้
จึงต้องดาศัสิ่งเหล่านี้เป็นที่พึ่ง เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวผูกพันทางใจ
ศาสนาเป็นเสมือนสายใยที่เชื่อมมนุษยืกับสังคมเข้าด้วยกันในฐานะที่ศาสาเป้นสถาบันทางสัฝคมที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเหนื่องมนุษย์ดับสังคมให้เข้าด้วยกันในฐานะที่ศาสนาเป็นสถาบันทางสังคมที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับสถาบันที่สำคัญอื่นๆ
ในสัคม ซึ่งสามารรถแทรกอยู่ในสังคมแทบทุกชนชั้น ทุกวงการ ทุกสถาบันสัคม
ชาวยิว ชาวคริสต์
ชาวมุสลิม
ศานายิวหรือศาสนายูดาห์
เกิดขึ้นในท่ามกลางสภาพสังคมที่ชาวยิวกำลังรับความทุกข์ ลำบาก
ตกเป็นทาสถูกดขี่ขมเหงใช้งานหนัก โดนรังแก ถูกฆ่า ตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจกครอง
ชาวยิวทุคนหวังว่าจะมีผู้มาช่วยให้พ้นทุกข์ พ้นสภาพการเป็นทาส ซึ่งมีสถานะในสังคมเป็นเพียงพลเมืองชั้นต่ำสุด
ยูดาห์เกิดมาเพื่อปลดป่อยชาวยิวจากทุกข์ยที่ถูกคุโทษ และภัยที่ถูกคุกคามทั้งปวง
หลักธรรมคำสอนของศาสนามีวัตถุประสงค์ให้ชาวยิวร่วมใจกันสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เพื่อการปลดแอกและสร้างชาติ สร้างประเทศบ้านเมืองที่เป็นอิสระเป็นหลักฐานมั่นคง
สภาพสังคมของชาวยิวก่อนเกิดศาสนายิวเป็นเช่นนี้
จึงทำให้เกิดศาสนายิว และทำให้ศาสูกปกครองนายิวเน้นหลักเรื่องชาตินยม การรวมชาติ
การช่วยกันสร้างชาติ
ดดยมีหลักธรรมคำสอนให้มีความเชื่อมั่นศรัทธาในพรจ้าองค์เดียวสูงสุด
และให้ความหวังและกำลังใจให้มีแรงบันดาลใจในการต่อสู้เพื่อชนชาติ
ว่าชนชาติยิวเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลื่อก(มีเพียงชาติเดียวในโลกที่พระเจ้าทรงงเลือก)
และจะให้ความช่วยเหลือให้ได้พบอินแดนอันอุดมสมบูรณ์ สงบสุข
ใช้ตั้งบ้านเมืองสร้างชาติ ซึ่งเรียกว่าดินแดนแห่งสัญญา
เป็นพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
จากหลักธรรมคำสอน
ซึ่งมีความเชื่อว่ามาจากพระเจ้าดดยตรงว่าพระเจ้าจะประทานความช่วยเหลื่อชนชาติตนอย่างแน่นอน
ซึ่งกำลังศรัทธาและความเชื่อมั่นนี้ในที่สุดชาวยิดจึงสามารถสร้างชาติและประเทศบ้านเมืองได้สำเร็จ
ศาสนายิงเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยชนชาติยิวโดยเฉพาะ
และชนชาติยิวก็มีความเชื่อแลศรัทธาในหลักธรรมคำสอนของศาสนาอย่างลึกซึ้ง
ศาสนาคริสต์เกิดขึ้นท่ามกลางสังคมของชาวยิวที่ถูกกดขี่โดยชาวโรมันโดยตกเป็นเมืองขึ้น
ถูกกดขี่ ขาดอิสระภาพ สภาพความเป็นอยุ่อัตคัตยากจน สภาพสังคมของชาวยิวขณะนั้นต้องการผุ้ช่วยเหลือ
ผู้สังสอนให้ประพฟติปฏิบัติในทางที่ถูก
ต้องการความรักความเมตตากรุณา ปลอบประดลมให้คลายจากความทุกข์ที่ได้รับอยุ่
ด้วยความเชื่อที่ว่าพระเจ้าะไม่ทอดทิ้งชาวยิว
พระเจ้าส่งผู้มรไถ่บาปเพื่อช่วยเหลือชาวยิว ซึ่งเรียกว่า Messiah ชาวยิวรอคอยผุ้ที่พระเจ้าจะส่งมาช่วยพวกเขาและเมือพระเยซูปรากฎตัวขึ้น
และประกาศว่าเป็นบุตรของพระเจ้าพระเยซูมาในขณะที่ประชาชนรอคอย
พระเยซุมาเพื่อให้ความหวังเป็นความจริง
ระยะเวลาที่พระเยซูได้รับการยอมรบจากผู้ศรัทธานับถือว่าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า
เป็นพระฟู้ไถ่บาปให้มวลมนุษย์นั้นมีอยุ่เพืยงไม่กีปีก็ตรึงกางเขนพระเยซูและสาวกออกเผยแพร่ศาสนาไปยังชนบท
ปราชนผู้ทุกขืยกาต้ต้อยในสังคมผู้เจ็บป่วยผู้อคอยความหวัง
พระองค์ทรงสั่งสอนและปลอบโยนแก่ผู้เศร้าโศก นำความหวังความเข้าใจมาสู่ผุ้สำนึกผิ
พระองค์ทำให้คำบาปกลับใจ มีผู้โจมตี ติเตียน พระองค์ว่าทรงคลุกคลีอยู่ท่ามกลางคนบาป
คนเลว คนจน คคนสกปรก ต่ำต้อย คนป่วยพิการ...
พระเยซูสอนให้มวลมนุษย์รกกันให้อภัยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ศาสนาคริสต์แตกต่างจากศาสนายิว
คือพระเยซูมีช่วงเวลาที่ประกาศศาสนาของพระอค์น้อยเหลือเกิดน เพี่ยงเวลา 3 ปี หากพระองค์มีอายุยืนนานดังเช่นศาสดาของศาสนาอื่น
ศาสนาคริสต์อาจแผ่ไพศาลในโลกมากกว่านี้ และความเชื่อของสาวกพระเยซู และมิชชั่นนารี ที่สืบกันมา ซึ่งยึดมั่นอุดมการณ์
ในการเผยแพร่
การเผยแพร่ศาสนาคริสต์เป็นขบวนการที่มีระบบและมีเงินทุนรองรับทำงานเป็นขั้นตอน
และร่วมมือร่วมแรงร่วมใจ ทังฝ่ายพระและผุ้แกครองประเทศ
ดดยเฉพาะในยุคล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก ในสมัยนั้นการเมือง
และการเผยแพร่ศาสนาคริสต์จะมาคู่กน
บางครั้งผู้ปกครองประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นก็ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือหรือบงหน้าแต่ถึงอย่างไรมิชชันารีก็เผยแพร่ศาสนาอย่างแท้จริง
โดยต้องการให้ประชาชนในประเทศต่าง ๆ หันมานบถือศาสนาคริสต์
ทั้งการเมืองและการศาสนาจึงต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
โดยปริยาย
จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาจะเห็นว่าประเทศที่ต้องตกเป็นอาณานิคมประเทศมหาอำนาจนั้น
ในเวลาต่อมาประชาชนจะหันไปนับถือศาสนาคริสต์มากขึ้น
ศาสนาอิสลาม เกิดขึ้นในสภาพสังคมที่แตกต่าง
การใช้ชีวิตของคนในสังคมอาหรับนั้นมีอิสระเสรีมกากว่าสภาพสังคมหละหลวม
ไม่มีกฎระเบียบ ไม่เคารพสิทธิ การรบลาฆ่าฟันเป็นเรื่องปกติ
การล้างแค้นเป็นหน้าที่ความเคารพนับถือ สิ่งลึกลับซ้อนเร้นเหนือธรรมชาติ
ผีสางเทวดา เวทย์มนต์จะคาภา ไสยศาสตร์เป็นสิ่งจำเปน
จากสภาพสังคมดังกลาศาสนาที่เกิดขึ้นในสังคมเช่นนี้ ต้องมีความเด็ดขาด
จริงจัง จึงจะควบคุมคนในสังคมนั้นได้ ศาสนาอิสลามจึงมีหลักธรรมคำสอนที่เป็นกฎหมาย
ระเบียบ วิธีปฎิบัติในการกำรงชีวิตเป็นศุนย์รวมจิตใจ เป็นธรรมนูญสูงสุดของชีววิต
ซึ่งมีคำสอนละเยดลึกซึ้ง ครอบคลุมการดำรงชีวิตตั้งแต่เกิดกระทั้งตายในทุกๆด้าน
ศาสดาผู้ก่อตั้งคือ พระมูฮัมหมัด
กว่าพระองค์จะประกาศศาสนได้สำเร็จ ต้องต่อสู้เพื่อให้ผุ้ต่ต้านยอมจำนน การเผยแพร่ศาสนาอิสลาม
ท่านศาสดาจะใช้วิธีนุ่มนวล สั่งสอนให้เชื่อฟังและศรัทธา และสำหรับผู้ไม่เชื่อฟัง
ต่อต้าน ท่าจึงจะใช้กำลัง คือ ใช้พระคุณตามด้วยพระเดช ใช้ทั้งธรรมะและกองทัพ เพราะอุปนิสัยการเป็นนักสู้และมีอิสระเสรีภาพมากมาเป็นเวลานานของชาวอาหรับ
จะสู้กระทั่งแพ้จึงจะรับฟัง การจะยอมใครง่ายๆ นั้นเป็นเรื่องยาก
แต่ถ้ายอมรับฟังแล้ว ยอมรับนับถือแล้วก็จะยอมตายถวายชีวิต ด้วยความเด็ดเดี่ยว
กล้าหาญ และสละแม้ชีวิต ของชาวอาหรับในการเผยแพร่ศาสนานี้เอง
ที่ทำให้ศาสนาอิสลามกลายเป็นศาสนาสำคญของโลก
เหตุบาดหมางในอดีตระหว่างชาวยิวและอิสลาม
กล่าวคือ ชาวยิวบางกลุ่มคื อผู้ลอบทพร้ายทรยศ หักหลัง ท่านศาสนดา มูฮัมหมัด อันเป็นเหตุให้อิสลามไม่ลงรอยกับยิวตลอดมา
กระทั่งปัจจุบัน ปัญหาในปาเลสไตต์ก็ยังไคงไม่สงบ และในเรื่อง เยรุซาเล็ม
และประวัติศาสตร์ของชาติยิวชาวอิสลามก็ไม่ยอมรับประวัติศาสตร์เยรูซาเล็มตั้งแต่ชาวยิวเข้ามาในดินแดนนี้
หรือตั้งแต่ยุคกำเนิดพระเยซู
โดยจะเห็นได้ว่าทั้งสามศาสนา
ต่างมีรากฐานและนับถือพรเจ้าองค์เดียวกัน คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่งเหมือนกัน ศาสนาคริสต์เข้ากันได้กับทั้ง คริสต์และ อิสลาม
ชาวคริสต์มีลักษณะประณีประนอม ไม่อ่อนหรือแข็งเกินไป คำสอนเน้นเรื่องความรัก
ความเมตตา และเสียสละแก่เพื่อนมนุษย์
ศาสนายูดาห์เหมาะสำหรัชาวยิว
โดยคำสอนมุ่งเน้นเรื่องความเชื่อ ศรัทาต่อพระเจ้า
และเชื่อว่าพระเจ้าได้เลือกชนชาวยิว และจะคอยช่วยเหลือชนชาวยิวตลอดไป
อันเป็นพลังให้ชาวยิวสร้างชาติก่อตั้งประเทศได้ เป็นการสร้างศรัทาสามัคคี
และความผูกพัจากความเชื่อ และแรงบันดาลใจจากศาสนา
ศาสนาอิสลามก็เหมาะกับชาวอาหรับ
และสภาพสังคมที่หลากหลาย เป็นการทำให้สังคมมีระเบียบ สงบสุข
และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และสามัคคีกัน
เป็นศาสนาที่มำสอนที่สามารถควบคุมสังคมได้อย่างดียิ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น