วิกฤตการณ์ก่อนสงครามโลกคร้งที่ 1
จากการก่อตั้งกลุ่มไตพันธมิตร Triple Ententeและกลุ่มไตรภาคี Triple Alliaanceได้ก่อให้เกิดความตึงเครียดในยุโรปและก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ ดังนี้
วิกฤตการณ์โมร็อกโกครั้งที่
หลังจากอังกฤษกับฝรั่งเศสทำความเข้าใจแล้ว จึงได้สร้างความกังวลให้กับเยอรมันนีเป็นอย่างมาก เมื่อเยอรมนีรู้ว่าฝรั่งเศสพยายามเข้ามามาบทบาทในโมร็อกโกทั้งทางการทหารและทางการคลังจักพรรดิไกเซือร์ที่ 2 จึงเสด็จไปเยือนโมร็อกโกและประกาศยอมรับสถานภาพองค์สุลต่านแห่งโมร็อกโกและทรงยืนยันความเป็นเอกราชของโมร็อกโก นอกจากนี้พระองค์ทรงประกาศไม่ยอมรับการทำสัญญาใดๆ ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศษในกรณีที่เกี่ยวกับโมร็อกโก
รัฐบาลเยอรมนีเรียกร้องให้มีการจัดประชุมนานาชาติเพื่อพิจารณาถึงปัญหาโมร็อกโก รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสคัดค้านอย่างรุนแรง รัฐบาลฝรั่งเศสเองไม่แน่ใจว่าหากทำสงครามกับเยอรมนีอังกฤษจะเข้าข้างไหนจึงตัดสินใจหาทางออกโดยการบังคับให้รัฐมนตรีต่างประเทศลาออกจากตำแหน่งซึ่งเท่ากับเป็นชัยชนะของเยอรมนี
ในเวลาต่อมาได้มีการประชุมนานาชาติที่เมืองอัลเจซิรัสประเทศสเปนเพื่อแก้ปัญหาในโมร็อกโกโดยฝรั่งเศสมีอังกฤษให้การสนับสนุนและเยอรมนีได้รับการสนับสนุนจากออกเตรีย-ฮังการี ผลการประชุมดูเหมือนเยอรมนีจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะแต่ผลประโยชน์กลับตกอยู่กับฝรั่งเศส กล่าวคือ ที่ประชุมยอมรับว่าโมร็อกโกเป็นประเทศเอกราช แต่ต้องเปิดประเทศติต่อค้าคาย และให้สเปนกั่บฝรั่งเศษควบคุมตำรวจในโมร็อกโก โมร็อกโกจะต้องสร้างธนาคารแห่งชาติขึ้นดดยให้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนีและสเปน ผลที่ตามมาจากการประชุมคือความสัมพันธ์อันดีระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษ
ตุรกี
อังกฤษสามารถตกลงทำความเข้าใจกับรัศเซียได้ส่งผลให้เกิดความหวาดกลัวในหมุ่ชาวเติร์ก เพราะการทำข้อตกลงดังกล่าวมีผลต่อความอยู่รอดของตุรกี ในอดีตตุรกีสามารถรักษาอำจาจไว้ได้เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างอังกฤษและรัสเซีย ดังนั้นเมืองประเทศทั้งสองตกลงกันได้กลุ่มยังเติร์กจึงก่อการปฏิวัติ
กลุ่มยังเติร์ก Young Turksเป็นขบวนการเสรีนิยมที่เคยถูกเนรเทศไปอยู่ต่างประเทศมีจุดมุ่งหมายล้มการปกครองของสุลต่านอับดุล ฮามิดที่ 2 โดยวิการปฏิรูปและส่งเสริมการใช้รัฐธรรมนูญ กลุ่มยังเติร์กทำการติดต่อประสานงานกับบรรดาชนกลุ่มน้อยชาตินิยมที่อาศัยอยุ่ในอาณาจักรตุรกีโดยเฉพาะที่มาซิโดเนียและอาร์เมเนียให้มีโอกาศปกครองตนเอง
ความแตกแยกในกลุ่ม ยังเติร์ก 24 กรกฎาคม ค.ศ.1908 สุลต่านอับดุล ฮามิดที่ 2 ทรงยอมมอบอำนาจให้แก่กลุ่มนายทหารและพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ชาวเติร์ก รัฐสภาเปิดประชุมในปีเดียวกันแต่เกิดความขัดแย้งในรัฐสภาระหว่างกลุ่มเติร์กหนุ่มเสรีนิยมดั้งเดิมที่เคยถูกเนรเทศและกลุ่มเติร์กนายทหารซึ่งมีนโยบายชาตินิยมรุนแรงซึ่งไม่ต้องการเห็นอาณาจักรตุรกีเกิดการแตกแยก จึงต่อต้านขบวนการชาตินิยมและต่อต้านการปกครองตนเองของพวกชนกลุ่มน้อย หลังสงครามบอลข่านกลุ่มเติร์กนายทหารมีอำนาจมากขึ้นเกิดมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างตุรกีกับเยอมนี ถึงแม้กลุ่มเสรีนิยมจะนิยมอังกฤษกับฝรั่งเศษ แต่ผู้นำฝ่ายทหารนิยมเยอมนี
วิกฤตการณ์บอสเนีย ปี ค.ศ. 1908-1909
จากข้อตกลงสนธิสัญญาเบอร์ลินในปี78 บอสเนียและเฮอร์เซดกวินาได้กลายเป้นอินแดนที่อยุ่ภายใต้การปกครองของออสเตรีย-ฮังการีแต่ก็ยังคงมีสถานภาพเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรตุรกี ออสเตรีย-ฮังการีพยายามที่จะกำจัดอิทธิพลของตุรกีออกจากดินแดนส่วนนี้
เมื่อตุรกีตกอยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มนายทหารซึ่งมีนโยบายชาตินิยมรุนแรงออสเตรีย-ฮังการีเกรงว่าจะเกิดผลต่อการปกครองภายในบอสเนียจึงเตรียมแผนการผนวกดินแดนทั้งสองเข้าเป้นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออสเตรีย-อังการี ซึ่งในขณะเดียวกันรัสเซียซึ่งเกรงว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองในตุรกีจะส่งผลมาถึงรัศเซีย จึงหาทางหาทางทำความตกลงกับออสเตรีย-ฮังการีโดยรัสเซียจะให้การสนับสนุนในการผนวกบอสเนียโดยทางออสเตรีย-ฮังการีจะให้การสนับสนุนรัสเซียในการนำเรื่อรับผ่านช่องแคบ ซึ่งรัสเซียไม่แน่ใจว่าจะทำได้เพราะเป็นการละเมิดข้อตกลงเรื่องช่องแคบโดยไม่ให้เรื่อรบชาติใดผ่านช่องแคบในภาวะปกติ เมื่อออสเตรีย-ฮังการีไม่สามารถตอบสองจึงไมมีผลในทางปฏิบัติ
ในวันที่ 5 ตุลาคม 1908บัลแกเรียได้ประกาศเอกราชแยกตัวออกจากตุรกี ในวันที่ 7 เดือนเดียวกันออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาสผนวกบอสเนียและเฮอร์ดซโวนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร จึงเท่ากับเป็นการละเมิดสนธิสัญญาเบอร์ลินยังผลให้อังกฤตเกิดความไม่พอใจจึงให้การสนับสนุนรัสเซียแต่รัสเซียกลับขอให้อังกฤษเปิดช่องแคบให้เรื่อรบรัสเซียผ่านจึงทำให้อังกฤษไม่พอใจ
ในขณะที่ฝรั่งเศสก็ไม่พอใจรัสเซียเช่นกัน ซึ่งเป็นพันธมิตรแต่กลับทำสัญญากับออสเตรีย-ฮังการีโดยที่ทางฝรั่งเศสไม่รู้ ทางออสเตรีย-ฮังการีสวนท่าทีและไม่ต้องการประชุมใดๆ ซึ่งในที่สุดก็สามารสผนวกบอสเนียได้สำเร็จในขณะที่รัสเซียไม่ได้อะไรเป็นการตอบแทนและเพื่อเป็นการลดความกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศ บัลแกเรียจึงเสนอเงินชดเชยในตุรกี ซึ่งต่อมารัสเซียได้เสนอจ่ายเงินชดเชยแทนบัลแกเรียความสัมพันธ์ระหว่างบัลแกเรียกับรัสเซียจึงดีขึ้น
เยอรมนีขานรับการรวบบอสเนียเข้ากับออสเตรีย-บัลแกเรียและขู่รัสเซียในสนับสนุนและพร้อมจะทำสงครามกับรัสเซียหากไม่สนับสนุน รัสเซียจึงต้องยอมรับรองการกระทำของออสเตรีย-ฮังการี
ผลจากวิกฤตครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะของกลุ่มไตรภาคีที่มีต่อไตรพันธมิตร หลังจากที่เคยพ่ายแพ้จากวิกฤตโมร็อกโก จึงไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบกัน แต่การแข่งขันที่เกิดได้ก่อให้เกิดความตรึงเครียดในการเมืองระหว่างประเทศในยุโรป
วิกฤตโมร็อคโคครั้งที่ 2
ปีค.ศ. 1908 สุลต่านอับเดล อาชิสที่ 4 ถูกโค่นอำนาจอับเดล ฮาฟิช ผู้เป็นอนุชา สุลต่านองค์ใหม่ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนจึงเกิดความวุ่นวายเรื่อยมา สุลต่านจึงขอความช่วยเหลือไปยังฝรั่งเศส ฝรั่งเศสจึงส่งเรือรบไปยังเมืองเฟซ เมืองหลวงโมร็อกโก เยอรมนีตอบโต้ฝรั่งเศสโดยการกล่าวหาฝรั่งเศสละเมิดข้อตกลงอัลเจซิรส ต่อมาเยอรมนีส่งเรือของตนเข้าไปยังเมือท่าอากาเดียร์ ซึ่งตั้งอยูบนฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกโมร็อกโกโดยอ้างว่าเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาวเยอมนีในโมร็อกโก ส่งผลให้อังกฤษไม่พอกับการกระทำของเยอรมนี อังกฤษคิดว่าเอยรมนีมีจุดประสงค์จะตั้งฐานทัพเรือบนชายฝั่งของโมร็อกโก อังกฤษกล่าวว่าทางฝ่ายอังกฤษจะต้องรับทราบก่อนที่จะมีการตัดสินใจทำสิ่งใดลงไปในโมร็อกโก ความสัมพันธ์ของอังกฤษกับเยอรมันกำลังอยู่ในภาวะตรึงเครียด
เมื่อเยอมันเห็นท่าทีอันแงข็งกร้าวของอังกฤษจึงหัมาเจรจากับผรังเศส
ในขณะที่เกิดวิกฤตฯการนั้นอิตาลีถือโอกาสเข้ารุกรานทริโปลี(ลิเบีย)ซึ่งเป็นดินแดนในอาณัติของตุรกี โดยอิตาลีได้รับการยินยอมจากฝรั่งเศสซึ่งเป็นผลจากอังกฤษและอิตาลียอมรับการเข้าไปแสวงหาปร่ะโยชน์ของฝรั่งเศสในโมร็อกโกในขณะที่ก่อนหน้านี้อังกฤษได้รับการยอมรับจากฝรั่งเศสในการเข้าไปแสวงหาประโยชน์ในอียิปต์
การที่ฝรั่งเศสสามารถสร้างข้อผูกมัดกับทั้งอังกฤษและอิตาลีจึงทำให้ฝรั่งเศสสามารถดำเนินนโยบายต่างประเทศให้เป็นประโยชน์ต่อฝรั่งเศสเอง
ตุรกีเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และยอมยกทริโปลีให้อิตาลีตามสนธิสัญญาโลซานน์
ในขณะเดียวกันรัสเซียไดแสดงท่าทีที่จะผนวกเตหะราน อังกฤษเกิดความไม่พอใจ ฝ่ายฝรั่งเศสเกรงว่าท่าทีของรัสเซียจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหวางรัสเซยกับอังกฤษจึงเข้าแทรกแซงจนทำให้รัสเซียต้องเลิกล้มแผนการนี้ไป แต่หันไปเรียกร้องขอเดินทางเข้าออกบริเวณช่องแคบได้อย่างเสรีจากตุรกี ซึ่งตุรกีได้รับการยืนยันจากทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสว่าไมได้ให้การสนับสนุนในเรื่องดังกล่าว ตุรกีจึงปฏิเสธ ผลจากเหตุการนี้จึงำให้ตุรกีต้องหันเข้าหาเยอมนีมากยิ่งขึ้นโดยหวังว่าจะได้เยอมนีมาเป็นพันธมิตรในกรณีที่ตุรกีถูกคุกคามจากมหาอำนาจ
สงครามบอลข่านครั้งที 1
รัศเซียสามารถชักจูงบัลแกเรียและเซอร์เบียซึ่งเป็นศัตรูกันให้หันมาทำสัญญาเป็นพันธมิตรกัน โดยรัสเซียมีจุดประสงค์ที่จะให้สองประเทศร่วมมือกับรัสเซียในกรณีที่ต้องทำสงครามกับออสเตรีย-ฮังการี แต่จากสาระสำคัญของสนธิสัญญาที่สองประเทศได้ทำไว้คือการร่วมมือกันทำสงครามกับตุรกีเพื่อแบ่งดินแดนมาซิโดเนีย ต่อมา กรีซ แบมอนเตนิโกเข้าร่วมจึงเกิดการก่อตั้งเป็นกลุ่มสันนิบาตบอลข่านขึ้น
โดยสรุปกลุ่มประเทศมหาอำนาจต่างไม่สนับสนุนกลุ่มสันนิบาติบอลข่านเพราะเกรงว่าการกระทำของกลุ่มนี้อาจทำลายดุลย์แห่งอำนาจและสถานภาพเดิมของคาลสมุทรบอลข่าน
มอนเตนิโกรเห็นเป็นโอกาสดีจึงฉวยโอกาสประกาศสงครามกับตุรกีเนื่องจากตุรกีเพิ่งแพ้สงครามกับอิตาลีโดยไม่ปรึกษาประเทศที่ร่วมเป็นพันธมิตร หลังจากนั้นบัลแกเรีย กรีซ และเซอร์เบียจึงเข้าร่วมประกาศสงครามกับตุรกี
กองทัพบัลแกเรียเคลื่อนทัพมุ่งตรงสู่อิสตันบูล ส่วนเซอร์เบียกับมอนเตนิโกรเข้ายึดอาเดียโนเปิล สถานการเข้าสู่ภาวะตรึงเครียดเมือเซอร์เบียเข้ายึดครองอัลบาเนีย ซึ่งเป็นดินแดที่อยุ่ติดกับทะเลยังผลให้เซอร์เบียหาทางออกทะเลได้สำเร็จ ออสเตรีย-ฮังการีซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอิตาลีได้คัดค้านและยื่นคำขาดต่อการยึดครองดังกล่าว เซอร์เบียจึงจำต้องยอมทำตาม
ประเทศมหาอำนาจประชุมสันติภาพที่กรุ่งลอนดอนและมีกรลงนามในสนธิสัญญาลอนดอน ซึ่งมีผลตามมาคือ การยุติสงครามบอลข่านครั้งที่ 1 ตุรกีเสียดินแดนส่วนใหญ่ในยุโรปยกเว้นรอบๆ กรุงอิสตันบูล บัลแกเรียได้รับดินแดนส่วนใหญ่ของมาซิโดเนีย เซือร์เบียไม่พอใจที่ไม่มีทางออกทะเล
หลังจากยุติสงครามบอลข่านได้ไม่นานความแตกแยกในกลุ่มสันนิบาตบอลข่านซึ่งได้กลายเป็นชนวนนำไปสู่การเกิดสงครามบอลข่านครั้งที่2 ระหว่างบัลแกเรียกับ เซอร์เบียและกรีซ โรมาเนียหันมาเข้าทางฝ่ายเซอร์เบียและกรีซ บัลแกเรียพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว จึงยังผลให้มีการทำสนธิสัญญาสงบศึกบูคาเรส ซึ่งมีสาระสำคัญคือ โรมาเนียได้ครอบครองดินแดนตอนเหนือของดอบรูดจา เซอร์เบียและกรีซได้ครอบครองมาซิโดเนียในส่วนที่บัลแกเรียได้มาจากสงครามครั้งที่ 1 ตุรกีได้อาเดรียโนเปิลคืน
ผลจากสงคราม ทำให้เกิดประเทศอัลบาเนียที่อ่อนแอและก่อให้เกิดความบาดหมางระหว่างเซอร์เบียกับออสเตีย-ฮังการี กรีซกลายมาเป็นประเทศทีมีบทบาทสำคัญในทะเลอีเจียนเพราะได้เข้าครอบครองซาโลนิกา ซึ่งเป็นดินแดนส่วนที่ออสเตรีย-ฮังการีหวังที่จะผนวก และที่สำคัญเกิดความตรึงเครียดขึ้นในยุโรปเหตุด้วยบัลแกเรียแค้นเคืองต่อเซอร์เบียกรีซและโรมาเนีย ซึ่งในเวลาต่อมาบัลแกเรียจึงเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 กับเยอรมนีเพราะไม่พอใจรัสเซียที่สนับสนุนเซอร์เบีย
วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556
วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556
Victorian era
สมัยวิกตอเรีย หรือ ยุควิคตอเรีย ของสหราชอาณาจักรเป็นจุดสูงสุดของกาปฏิวัติอุตสาหกรรมและเป็นยุคสูงสุดของจักรวรรดิอังกฤษซึ่งตรงกับสมัยการปกครองของสมเด็จพระราชินีนาถ วิกตอเรีย อังกฤษได้ปฏิรูปตนเองในหลายด้าน ที่เห็นได้ชัดก็คือการเปลี่ยนจากรัฐบาลขุนนางมาเป็นรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และจากระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมมาเป็นการเริ่มต้นรูปหนึ่งของสังคมนิยม กล่าวกันว่าสมัยวิคทอเรียนเป็นเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นยุคของขุนนาง ยุคของความอุดมสมบูรณ์ ยุคของการเริ่มต้นอารยธรรมเมืองและเป็ยยุคการปฏิรูปภายในอันยิ่งใหญ่
การพัฒนาทางด้านการเมือง การปกครองของอังกฤษภายใต้หน้ากากระบบรัฐสภา อังกฤษมีความปกครองระบบคณาธิไตยผ่านทางระบบการเลือกตั้งผู้แทนที่ไม่มีความยุติธรรม และการคอรับชั้นอย่างไร้ยางอาย ระบบการเลือกผู้แทนก่อนปี ค.ศ. 1832 เรียกว่า Rotten Borough System ซึ่งจะมีผลให้สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่เป็นคนของพวกขุนนาง คนร่ำรวยและกลายเป็นตำแหน่งที่ขายต่อกันได้ในหมู่คนรวยที่ต้องการจะยกฐานะทางสังคมของตน ในเรื่องสิทธิออกเสียงเลือกตั้งก็เป็นสิทธิพเศษที่ขึ้นอยู่กับทรัพย์สิน(ที่ดิน)การจ่ายภาษี และชาติกำเนิดของบุคคล ตามสถิติที่ปรากฎ มีประชาชนเพียงประมาณ ห้าเปอร์เซ็นเท่านั้นที่มีสิทธิออกเสียงได้
ระบบรัฐบายยังเหมือนเช่นปัจจุบัน คือมีพระมหากษัตริย สภาสูง และสภาต่ำ หลังจากสมัยพระเจ้ายอร์จที่ 3 แล้ว พระมหากษัตริย์มีสภาพเป็นเพียงหุ่นเชิด คณะรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีต้องคุมเสียข้างมากในรัฐสภา และจะต้องรับผิดชอบต่อสภาต่ำ ซึ่งก็เป็นเรื่องง่ายที่จะทำได้
สมาชิกสภาสูงประกอบด้วยบุคคลทีสืบเชื้อสายมาจากพวกขุนนางชั้นสูง สมาชิกสภาต่ำมาจากการเลื่อกตั้งทั่วไปและจะอยู่ในตำแหน่งวาระ 7 ปี แต่อาจยุบสภาได้โดยพระปรมาภิไธยจาพระมหากษัตริย์ ส่วนระบบ 2 พรรค คือทอรี่ กับ วิก ก็มิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐายของระบบพรรคการเมืองเช่นปัจจุบัน แต่เป็นามคมของพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ 2 ตระกูล และจะเข้ามาทำงานเพื่อสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น ในระหว่างที่ยังไม่มีการปฏิรูป พวกชนชั้นสูงคุมสภาสูงดดยตรงด้วยอภิสิทธิ์เรื่องชาติตระกูล และคุมสภาต่ำโดยทางอ้อมฝ่านทางระบบเลือกตั้ง ตลอดจนคุมตำแหน่างสูง ๆ ทั้งทางราชการและศาสนา สรุปได้ว่าก่อนปี ค.ศ. 1832 ระบบการเมืองของอังกฤษเป็นแบบ “รัฐบาลของประชาชน โดยขุนนางและเพื่อขุนนาง”
มีความพยายามจะออกพรบ.หลายต่อหลายครั้งแต่ถูกยับยั้งจากสภาสูงกระทั่งปี ค.ศ. 1832 พระราชบัญญัติปฏิรูป จึงผ่านกฎหมายปฏิรูปออกมา ซึ่งผลลัพธ์ก็เรียกว่ายุติธรรมขึ้น พระราชบัญญัติฉบับนี้ทำให้เกิดความคิดว่าการปฏิวัติเป็นของไม่จำเป็น และถึงแม้ว่าพระราชบัญญัติปฏิรูปจะมิได้ทำให้อังกฤษมีการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จเรง แต่ก็เปิดช่องทางการเมืองให้กับชนชั้นกลาง ตลอดจนชนชั้นอื่น ๆ ก็จะเข้ามามีส่วนในการบริหารประเทศต่อไป
หลังจากปฏิรูปชันชั้นกลางขึ้นมาควบคุมการปกครองของประเทศ การพัฒนาอุตสาหกรรมจึงเป็นไปยางกว้างขวาง การค้าเป็นหลักการสำคัญของนโยบายของประเทศทั้งภายในและภายนอก แต่การปฏิรูปประเทศยังก้าวหน้าต่อไป ทว่าเป็นไปเพื่ผลประโยชน์ของชนชั้นกลางเช่นการออกเสียเลือกตั้งก็เพื่อชนชั้นกลางจะได้เข้าไปคุมรัฐสภา เสนอระบบเท่าเทียมกับพวกแองกลิตัน แต่จะไม่มีการปฏิรูปความเป็อยู่ของกรรมกร พระราชบัญญัติปฏิรูปปี ค.ศ. 1832 ได้มีผลทำให้ระบบพรรคการเมืองของอังกฤษเปลี่ยนไปบ้าง พรรควิกและทอรี่เปลี่ยนชื่อพรรคใหม่ตลอดจนได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ ทอรี่เปลี่ยนชื่อม่เป็นพรรคอนุรักษ์นิยม ในขณะที่พรรวิกได้ชือเสรีนิยม อย่างไรก็ตามชื่อของพรรคยังคงมีความหมายแต่เพี่ยงชื่อ ในทางปฏิบัติพรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งตามความเข้าใจเดิมเป็นของพวกชนชั้นสูงได้ปรับตัวเองให้เข้าได้กับภาวะใหม่ แต่โดยสรุปไมมีผูต้องการจะก้าวไน้ต่อไปให้ถึงประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ทว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ชนชั้นกรรมชีพได้รับความผิดหวังจากพระราชบัญญัติปฏิรูปที่ยังไม่ยอมให้มีการเลือกรตั้งทั่วไป และพวกชนชั้นกลางที่เคยร่วมมือกับกรรมกรต่อสู้กับพวกชนชั้นสูงเมื่อได้อำนาจก็ทำการกดขี่พวกกรรมกรเช่นพวกชนชั้นสูง กรรมกรจึงคิดว่าตนถูกโกง และคิดว่าพวกชนชั้นกลางฉวยโอกาสจากผลงานของตน ทั้งพรรคเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมต่างต่อต้านที่จะขยายสิทธิออกเสียงเลือกตั้งให้กว้างไกลต่อไป พวกกรรมกรจึงรวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธดังกล่าว กลุ่มชนได้มาพบปะกันและได้ร่างกฎบัตรขึ้น แม้ว่าลักษณะจะเป็นรูปการเมือง แต่ก็มีจุดมุ่งหมายปฏิรูปสังคมด้วยเหมือนกัน จึงได้รับความร่วมมอจากสมาคมกรรมกรอื่น ๆ อีก ดังนั้นการเรียกร้องจึงเพิ่มความรุนแรงขึ้น ทางรัฐบาลถึงกับเตียนกำลังต่อต้านถ้ามีเหตุการณ์รุนแรงขึ้นซึ่งเหตุการณ์ไปตามที่คาดหมาย เมือกฎบัติถูกปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง การจลาจลก็เกิดขึ้น และตามมาด้วยการใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาล
ถึงแม้ขบวนการ Chartist จะถูกกำจัดไป แต่หลักการยังคงอยู่ในใจของชาวอังกฤษ กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ยังคงมีความต้องการขยายสิทธิการเลือกตั้งออกไปอีก ฝ่ายพรรคเสรีนิยมซึ่งมีแกลดสโตนและไบร์ท ได้เสนอว่า ไม่ควรจะหยุดยังการปฏิรูปเพียงแค่พระราชบัญญัติปี 1832 ดิสรารี ซึ่งเป็นผู้นำของพรรคอนุรักษ์นิยมกลายเป็นแชมป์เปี้ยนของประชาชนเพราะร่วมต่อสู้กลุ่มชนชั้นกลางที่บริหารประเทศอยู่ การเรียกร้องให้ปฏิรูประบบการเลือกตั้งจึงเริ่มขึ้น ในระยะทศวรรษที่ 1860’sแต่ในครั้งนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างผุ้ต่อต้านและผู้สนับสนุนของแต่ละพรรค
รัฐบาลในช่วงค.ศ. 1867-1914 ระบบการปกครองเป็ฯแบบรัฐสภา ยังคงมีกษัตริย์ ตามทฤษฎีพระองค์ทรงมีอำนาจสูงสุด ปกครองประชานโดย grace of god แต่ในทางปฏิบัติพระมหากษัตริย์จะไม่แทรกแซง หรือใช้อิทธิพลต่อการดำเนินงานของคณะรัฐบาล ไม่มีสิทธิยับยั้งกฎหมาย หรอแต่งตั้งคณะผูบริหารประเทศ เป็นเพียงหุ่นเชิดไม่มีอำนาจแต่อย่างใดในระบบการเมืองอังกฤษ ดดยที่สถาบนกษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ที่รวมความเป็ฯอันหนึ่งเดียวกันของประเทศและของจักรวรรดิเอาไว้
คณะรัฐบาลมีลักษณะเป็น ปาร์ตี้ คอรป์เวอเม้นต์ ระบบพรรค นายกรัฐมนตรีผุ้ดำรงตำแหน่างหัวหน้าคณะรัฐบาลได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์โดยการที่สามารถคุมเสียงข้ามมรากในรัฐสภาไว้ได้ คณะรัฐมนตรีจะเป็นบุคคลผุ้สังกัดพรรคการเมืองเยวกัน ระบบคณะรัฐมรจรีของประเทศังกฤษจะมีสภาพเป็น union of power ในขณะที่อเมริกาเป็ฯแบบ separation power คณะรับบาลใช้อำนาจบริหาร ดวยการวางนโยบายการปกครอง แต่งตั้งบุคคลสำคัญในการบริหารประเทศพร้อมกันนั้นก็ใช้อำนาจนิติบัญญัติด้วยการฝ่านกฎหมายฉบับสำคัญ ๆ ออกมาใช้ รัฐสภามีสิทธิจะออกเสียงไม่ไว้วางใจคณะรัฐลบาล หรือำม่ผ่านกฎหมายทีรัฐบาลเสนอมาได้ แต่พระมหากษัตริย์ก็มีสิทธิจะให้ทั้งรัฐบาลลาออกและยุบสภาล่างได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามเมือมีการเลือกตั้องทั้งไปกันใหม่และสมาชิกใหม่ที่เข้ามามีสิทธิลงคะแนนเลือกรัฐบาลชุดก่าอีกก็ได้
รัฐสภาประกอบด้วยสภาสูง และสภาล้าง สภาสูงมีบทบามทากในอดีตแต่ได้เสื่อความสำคัญลงเรื่อยๆ สภาล่างเริ่มต้นจากการเป้ฯคณะบุคลที่ใกล้ชิดพระมหากษรัติย์กลับมีความสำคัญเพิ่มขึ้น จนในที่สุดมาเป็คณะผุ้คุมการเงินของประเทศ จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขัดขวางหรือสนับสนุนการบริหารของคณะรัฐบาล ได้ทำลายอำนาจสมบูรณาญาสิทธราชย์ของราขชวงศ์สจ๊วต เป็นสภาบันที่ถ่วงอำนาจฝ่ายปริหารและเป็นกลุ่มผุ้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ สมาชิกสภาล่างจะมาจากากรเลือตั้งทั่วๆ ไปและอยู่ในตำแหน่างได้คราวละ 5 ปี อาจถูกยุบสภาก็ได้ด้วยคำสั่ง ของรัฐบาลโดยพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ ..เรียกได้ว่าสภาล่างเป็นสถาบันที่อำนาจสูงสุดในประเทศเพียงแต่ใช้อำนาจผ่านคณะรัฐมนตรี
องกฤษไม่มีรัฐธรรมนูญที่จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร การตัดสิใจขึ้นอยู่กับเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งมีพื้นฐานอยู่กับกฎหมาย ประเพณีและข้อตกลงเก่า ๆ เช่น Magna Carta,Bill of Rights,Reform bills เป็นต้น ..
การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคม เมื่อเริ่มแรกที่อังกฤษเปลี่ยนสภาพมาเป็นประเทศ อุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบพาณิชย์นิยมพ่อค้าต้องประสบกับปัญหาเรื่องกำแพงภาษี การแทรกแซงของรัฐบาล การแทรกแซงของัฐบาล ยิ่งกว่านั้นพวกเจ้าของที่ดินเข้ามาคอยควบคุมรัฐสภาได้ออก กฎหมายซึ่งห้ามการสั่งข้าวเข้าประเทศยกเว้นกรณ๊ที่เกิดขาดแคลนภายใน หรือเมือ่ราคาได้ถีบตัวสูงมากพอที่ชาวนามีรายได้มั่นคงแล้ว แม้ต่อมาได้ปรับปรุงเป็นว่าให้สินค้าต่างประเทศเข้ามาได้ โดยจะเก็บภาษีต่ำถ้าราคาขายภายในสูง และจะเก็บภาษีสูงถ้าราคาภายในต่ำ แต่ก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังคงไม่ดีขึ้น
ปี 1845 อังกฤษเผชิญกับการอดอยาก เนื่องจากการปลูกมันในไอร์แลนด์ล้มเหลวและการปลูกข้าวของอังกฤษก็ตกต่ำ ค่าครองชีพจึงสูงขึ้น ข้อเรียร้องให้ซื้ออาหารจากต่างประเทศจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น จึงมีการยกเลิกกำแพงภาษี
ปี 1870 เศรษฐกิจของอังกฤษอยู่ในสภาที่ดี ประชาชนมีชีวิตอย่างสมบูรณ์ แต่ขณะเดียวกันเป็นระยะที่ความเจริญด้านการอุสาหกรรมมาถึงจุดสูงสุดและกำลังเป็นช่วงของขาลง การอุตสาหกรรมบางชนิดหยุชงัก ลางแห่งลกการผลิต และยังมีคู่แข่งทั้งเยอรมน และ อเมริกา
นอกจากด้านการเมือง การค้า การอุตสาหกรรม และสภาพสังคมกรรมกรแล้วนักปฏิรูปยังก้าวลึกเข้าไปด้านอื่น ๆ อีก เช่นการศึกษา ศาสนา และด้านอื่นๆ แม้แต่วรรณกรรม
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในศตวรรษที่ 19 อังกฤษมีปัญหาอยู่ 3 เรื่องได้แก่การหาสมดุลย์ในเรื่องสังคมและการเมือง ซึ่งจะเห็นได้จากใจความของกฎหมายปฏิรูปต่าง ๆ ปัญหาต่อมาได้แก่การปฏิรูปสังคมและเสณษฐกิจ และปัญหาความมั่นคงของชาติและความสัมพันธ์กับต่างประเทศ นโยบายโดดเดี่ยว หรือ Splendid isolation ที่อังกฤษอ้างมาใช้เพื่อสนองผลประโยชน์ซึ่งได้ผลดีมาโดยตลอด อังกฤษสามารถหลีกเลี่ยงสงครามยุโรปได้ทั้งหมด(ยกเว้นสงครามไครเมีย) แต่ในสถาการปี 1900 อังกฤษเริ่มไม่แน่ใจกับการไม่มีเพื่อน อังกฤษจึงพยายามผู้สัมพันธ์กับหลายประเทศ อาทิ เยอรมนี แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ การร่วมือกับญีปุ่นเพื่อสกัดรุสเซียด้านมหาสมุทรแปซิฟิค หรือการขัดขวางมิให้รุสเซียแบ่งจีน นอกจากนั้นยังมีสัญญาความเป็นมิตรกับฝรั่งเศสและรุสเซียอีก ซึ่งบิสมาร์คผผู้ถูกวิจารณ์ว่า “ระบบพันธมิตรที่บิสมาร์คสร้างขึ้นเป็นการเริ่มต้นที่ว่าสงครามในอนาคตไม่ใช่สงครามท้องถิ่น” แต่อังกฤษกลับดำเนินรอยตามและที่สำคัญในช่วงศตวรรษแห่งวิกฤตด้วย
ท่าทีของอังกฤษต่อวิกฤตกาลซาราเจโว ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ต่อท่าทีที่ลังเลอย่างเห็ได้ชัด กล่าวคือ Asguit (แอสควิท)ผุ้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขณะนั้นไม่ต้องการสงครามเพราะอังกฤมีเรื่องภายในมากอยู่แล้ว การตัดสินใจอาจจะทำให้เกิดการแตกแยกภายในประเทศได้ทุกเมือ รัฐมนตรีต่างประเศได้รับการวิจารณ์ว่ามีแนวโน้มสนับสนุนการเข้าสงครา โดยพูดในที่ประชุม ครม.ว่าถึงเวลาแล้วที่อังกฤษจะต้องตัดสินใจเป็น หรือจะเข้าช่วยฝ่ายพันธมิตร และเห็นว่าอังกฤษควรเข้าช่วยฝรั่งเศสตามสหพันธสัญญา ..และถึงแม้ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศขู่จะลาออกหากอังกฤษประกาศตังเป็นกลาง รัฐสถาและรัฐบาลอังกฤษก็ยังคงไม่ตัดสินใจ..
อังกฤษเข้าสงครามเพราะกลัวเสียดุลย์แห่งอำนาจ เนื่องจากตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความผู้พันที่มีกับฝรั่งเศสเรื่องป้องกันเส้นทางการค้า เรื่องเบลเยียม อังกฟษก็ยังตัดสินใจลงไปแน่นอนไม่ได้
การพัฒนาทางด้านการเมือง การปกครองของอังกฤษภายใต้หน้ากากระบบรัฐสภา อังกฤษมีความปกครองระบบคณาธิไตยผ่านทางระบบการเลือกตั้งผู้แทนที่ไม่มีความยุติธรรม และการคอรับชั้นอย่างไร้ยางอาย ระบบการเลือกผู้แทนก่อนปี ค.ศ. 1832 เรียกว่า Rotten Borough System ซึ่งจะมีผลให้สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่เป็นคนของพวกขุนนาง คนร่ำรวยและกลายเป็นตำแหน่งที่ขายต่อกันได้ในหมู่คนรวยที่ต้องการจะยกฐานะทางสังคมของตน ในเรื่องสิทธิออกเสียงเลือกตั้งก็เป็นสิทธิพเศษที่ขึ้นอยู่กับทรัพย์สิน(ที่ดิน)การจ่ายภาษี และชาติกำเนิดของบุคคล ตามสถิติที่ปรากฎ มีประชาชนเพียงประมาณ ห้าเปอร์เซ็นเท่านั้นที่มีสิทธิออกเสียงได้
ระบบรัฐบายยังเหมือนเช่นปัจจุบัน คือมีพระมหากษัตริย สภาสูง และสภาต่ำ หลังจากสมัยพระเจ้ายอร์จที่ 3 แล้ว พระมหากษัตริย์มีสภาพเป็นเพียงหุ่นเชิด คณะรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีต้องคุมเสียข้างมากในรัฐสภา และจะต้องรับผิดชอบต่อสภาต่ำ ซึ่งก็เป็นเรื่องง่ายที่จะทำได้
สมาชิกสภาสูงประกอบด้วยบุคคลทีสืบเชื้อสายมาจากพวกขุนนางชั้นสูง สมาชิกสภาต่ำมาจากการเลื่อกตั้งทั่วไปและจะอยู่ในตำแหน่งวาระ 7 ปี แต่อาจยุบสภาได้โดยพระปรมาภิไธยจาพระมหากษัตริย์ ส่วนระบบ 2 พรรค คือทอรี่ กับ วิก ก็มิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐายของระบบพรรคการเมืองเช่นปัจจุบัน แต่เป็นามคมของพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ 2 ตระกูล และจะเข้ามาทำงานเพื่อสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น ในระหว่างที่ยังไม่มีการปฏิรูป พวกชนชั้นสูงคุมสภาสูงดดยตรงด้วยอภิสิทธิ์เรื่องชาติตระกูล และคุมสภาต่ำโดยทางอ้อมฝ่านทางระบบเลือกตั้ง ตลอดจนคุมตำแหน่างสูง ๆ ทั้งทางราชการและศาสนา สรุปได้ว่าก่อนปี ค.ศ. 1832 ระบบการเมืองของอังกฤษเป็นแบบ “รัฐบาลของประชาชน โดยขุนนางและเพื่อขุนนาง”
มีความพยายามจะออกพรบ.หลายต่อหลายครั้งแต่ถูกยับยั้งจากสภาสูงกระทั่งปี ค.ศ. 1832 พระราชบัญญัติปฏิรูป จึงผ่านกฎหมายปฏิรูปออกมา ซึ่งผลลัพธ์ก็เรียกว่ายุติธรรมขึ้น พระราชบัญญัติฉบับนี้ทำให้เกิดความคิดว่าการปฏิวัติเป็นของไม่จำเป็น และถึงแม้ว่าพระราชบัญญัติปฏิรูปจะมิได้ทำให้อังกฤษมีการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จเรง แต่ก็เปิดช่องทางการเมืองให้กับชนชั้นกลาง ตลอดจนชนชั้นอื่น ๆ ก็จะเข้ามามีส่วนในการบริหารประเทศต่อไป
หลังจากปฏิรูปชันชั้นกลางขึ้นมาควบคุมการปกครองของประเทศ การพัฒนาอุตสาหกรรมจึงเป็นไปยางกว้างขวาง การค้าเป็นหลักการสำคัญของนโยบายของประเทศทั้งภายในและภายนอก แต่การปฏิรูปประเทศยังก้าวหน้าต่อไป ทว่าเป็นไปเพื่ผลประโยชน์ของชนชั้นกลางเช่นการออกเสียเลือกตั้งก็เพื่อชนชั้นกลางจะได้เข้าไปคุมรัฐสภา เสนอระบบเท่าเทียมกับพวกแองกลิตัน แต่จะไม่มีการปฏิรูปความเป็อยู่ของกรรมกร พระราชบัญญัติปฏิรูปปี ค.ศ. 1832 ได้มีผลทำให้ระบบพรรคการเมืองของอังกฤษเปลี่ยนไปบ้าง พรรควิกและทอรี่เปลี่ยนชื่อพรรคใหม่ตลอดจนได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ ทอรี่เปลี่ยนชื่อม่เป็นพรรคอนุรักษ์นิยม ในขณะที่พรรวิกได้ชือเสรีนิยม อย่างไรก็ตามชื่อของพรรคยังคงมีความหมายแต่เพี่ยงชื่อ ในทางปฏิบัติพรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งตามความเข้าใจเดิมเป็นของพวกชนชั้นสูงได้ปรับตัวเองให้เข้าได้กับภาวะใหม่ แต่โดยสรุปไมมีผูต้องการจะก้าวไน้ต่อไปให้ถึงประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ทว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ชนชั้นกรรมชีพได้รับความผิดหวังจากพระราชบัญญัติปฏิรูปที่ยังไม่ยอมให้มีการเลือกรตั้งทั่วไป และพวกชนชั้นกลางที่เคยร่วมมือกับกรรมกรต่อสู้กับพวกชนชั้นสูงเมื่อได้อำนาจก็ทำการกดขี่พวกกรรมกรเช่นพวกชนชั้นสูง กรรมกรจึงคิดว่าตนถูกโกง และคิดว่าพวกชนชั้นกลางฉวยโอกาสจากผลงานของตน ทั้งพรรคเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมต่างต่อต้านที่จะขยายสิทธิออกเสียงเลือกตั้งให้กว้างไกลต่อไป พวกกรรมกรจึงรวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธดังกล่าว กลุ่มชนได้มาพบปะกันและได้ร่างกฎบัตรขึ้น แม้ว่าลักษณะจะเป็นรูปการเมือง แต่ก็มีจุดมุ่งหมายปฏิรูปสังคมด้วยเหมือนกัน จึงได้รับความร่วมมอจากสมาคมกรรมกรอื่น ๆ อีก ดังนั้นการเรียกร้องจึงเพิ่มความรุนแรงขึ้น ทางรัฐบาลถึงกับเตียนกำลังต่อต้านถ้ามีเหตุการณ์รุนแรงขึ้นซึ่งเหตุการณ์ไปตามที่คาดหมาย เมือกฎบัติถูกปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง การจลาจลก็เกิดขึ้น และตามมาด้วยการใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาล
ถึงแม้ขบวนการ Chartist จะถูกกำจัดไป แต่หลักการยังคงอยู่ในใจของชาวอังกฤษ กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ยังคงมีความต้องการขยายสิทธิการเลือกตั้งออกไปอีก ฝ่ายพรรคเสรีนิยมซึ่งมีแกลดสโตนและไบร์ท ได้เสนอว่า ไม่ควรจะหยุดยังการปฏิรูปเพียงแค่พระราชบัญญัติปี 1832 ดิสรารี ซึ่งเป็นผู้นำของพรรคอนุรักษ์นิยมกลายเป็นแชมป์เปี้ยนของประชาชนเพราะร่วมต่อสู้กลุ่มชนชั้นกลางที่บริหารประเทศอยู่ การเรียกร้องให้ปฏิรูประบบการเลือกตั้งจึงเริ่มขึ้น ในระยะทศวรรษที่ 1860’sแต่ในครั้งนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างผุ้ต่อต้านและผู้สนับสนุนของแต่ละพรรค
รัฐบาลในช่วงค.ศ. 1867-1914 ระบบการปกครองเป็ฯแบบรัฐสภา ยังคงมีกษัตริย์ ตามทฤษฎีพระองค์ทรงมีอำนาจสูงสุด ปกครองประชานโดย grace of god แต่ในทางปฏิบัติพระมหากษัตริย์จะไม่แทรกแซง หรือใช้อิทธิพลต่อการดำเนินงานของคณะรัฐบาล ไม่มีสิทธิยับยั้งกฎหมาย หรอแต่งตั้งคณะผูบริหารประเทศ เป็นเพียงหุ่นเชิดไม่มีอำนาจแต่อย่างใดในระบบการเมืองอังกฤษ ดดยที่สถาบนกษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ที่รวมความเป็ฯอันหนึ่งเดียวกันของประเทศและของจักรวรรดิเอาไว้
คณะรัฐบาลมีลักษณะเป็น ปาร์ตี้ คอรป์เวอเม้นต์ ระบบพรรค นายกรัฐมนตรีผุ้ดำรงตำแหน่างหัวหน้าคณะรัฐบาลได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์โดยการที่สามารถคุมเสียงข้ามมรากในรัฐสภาไว้ได้ คณะรัฐมนตรีจะเป็นบุคคลผุ้สังกัดพรรคการเมืองเยวกัน ระบบคณะรัฐมรจรีของประเทศังกฤษจะมีสภาพเป็น union of power ในขณะที่อเมริกาเป็ฯแบบ separation power คณะรับบาลใช้อำนาจบริหาร ดวยการวางนโยบายการปกครอง แต่งตั้งบุคคลสำคัญในการบริหารประเทศพร้อมกันนั้นก็ใช้อำนาจนิติบัญญัติด้วยการฝ่านกฎหมายฉบับสำคัญ ๆ ออกมาใช้ รัฐสภามีสิทธิจะออกเสียงไม่ไว้วางใจคณะรัฐลบาล หรือำม่ผ่านกฎหมายทีรัฐบาลเสนอมาได้ แต่พระมหากษัตริย์ก็มีสิทธิจะให้ทั้งรัฐบาลลาออกและยุบสภาล่างได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามเมือมีการเลือกตั้องทั้งไปกันใหม่และสมาชิกใหม่ที่เข้ามามีสิทธิลงคะแนนเลือกรัฐบาลชุดก่าอีกก็ได้
รัฐสภาประกอบด้วยสภาสูง และสภาล้าง สภาสูงมีบทบามทากในอดีตแต่ได้เสื่อความสำคัญลงเรื่อยๆ สภาล่างเริ่มต้นจากการเป้ฯคณะบุคลที่ใกล้ชิดพระมหากษรัติย์กลับมีความสำคัญเพิ่มขึ้น จนในที่สุดมาเป็คณะผุ้คุมการเงินของประเทศ จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขัดขวางหรือสนับสนุนการบริหารของคณะรัฐบาล ได้ทำลายอำนาจสมบูรณาญาสิทธราชย์ของราขชวงศ์สจ๊วต เป็นสภาบันที่ถ่วงอำนาจฝ่ายปริหารและเป็นกลุ่มผุ้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ สมาชิกสภาล่างจะมาจากากรเลือตั้งทั่วๆ ไปและอยู่ในตำแหน่างได้คราวละ 5 ปี อาจถูกยุบสภาก็ได้ด้วยคำสั่ง ของรัฐบาลโดยพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ ..เรียกได้ว่าสภาล่างเป็นสถาบันที่อำนาจสูงสุดในประเทศเพียงแต่ใช้อำนาจผ่านคณะรัฐมนตรี
องกฤษไม่มีรัฐธรรมนูญที่จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร การตัดสิใจขึ้นอยู่กับเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งมีพื้นฐานอยู่กับกฎหมาย ประเพณีและข้อตกลงเก่า ๆ เช่น Magna Carta,Bill of Rights,Reform bills เป็นต้น ..
การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคม เมื่อเริ่มแรกที่อังกฤษเปลี่ยนสภาพมาเป็นประเทศ อุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบพาณิชย์นิยมพ่อค้าต้องประสบกับปัญหาเรื่องกำแพงภาษี การแทรกแซงของรัฐบาล การแทรกแซงของัฐบาล ยิ่งกว่านั้นพวกเจ้าของที่ดินเข้ามาคอยควบคุมรัฐสภาได้ออก กฎหมายซึ่งห้ามการสั่งข้าวเข้าประเทศยกเว้นกรณ๊ที่เกิดขาดแคลนภายใน หรือเมือ่ราคาได้ถีบตัวสูงมากพอที่ชาวนามีรายได้มั่นคงแล้ว แม้ต่อมาได้ปรับปรุงเป็นว่าให้สินค้าต่างประเทศเข้ามาได้ โดยจะเก็บภาษีต่ำถ้าราคาขายภายในสูง และจะเก็บภาษีสูงถ้าราคาภายในต่ำ แต่ก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังคงไม่ดีขึ้น
ปี 1845 อังกฤษเผชิญกับการอดอยาก เนื่องจากการปลูกมันในไอร์แลนด์ล้มเหลวและการปลูกข้าวของอังกฤษก็ตกต่ำ ค่าครองชีพจึงสูงขึ้น ข้อเรียร้องให้ซื้ออาหารจากต่างประเทศจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น จึงมีการยกเลิกกำแพงภาษี
ปี 1870 เศรษฐกิจของอังกฤษอยู่ในสภาที่ดี ประชาชนมีชีวิตอย่างสมบูรณ์ แต่ขณะเดียวกันเป็นระยะที่ความเจริญด้านการอุสาหกรรมมาถึงจุดสูงสุดและกำลังเป็นช่วงของขาลง การอุตสาหกรรมบางชนิดหยุชงัก ลางแห่งลกการผลิต และยังมีคู่แข่งทั้งเยอรมน และ อเมริกา
นอกจากด้านการเมือง การค้า การอุตสาหกรรม และสภาพสังคมกรรมกรแล้วนักปฏิรูปยังก้าวลึกเข้าไปด้านอื่น ๆ อีก เช่นการศึกษา ศาสนา และด้านอื่นๆ แม้แต่วรรณกรรม
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในศตวรรษที่ 19 อังกฤษมีปัญหาอยู่ 3 เรื่องได้แก่การหาสมดุลย์ในเรื่องสังคมและการเมือง ซึ่งจะเห็นได้จากใจความของกฎหมายปฏิรูปต่าง ๆ ปัญหาต่อมาได้แก่การปฏิรูปสังคมและเสณษฐกิจ และปัญหาความมั่นคงของชาติและความสัมพันธ์กับต่างประเทศ นโยบายโดดเดี่ยว หรือ Splendid isolation ที่อังกฤษอ้างมาใช้เพื่อสนองผลประโยชน์ซึ่งได้ผลดีมาโดยตลอด อังกฤษสามารถหลีกเลี่ยงสงครามยุโรปได้ทั้งหมด(ยกเว้นสงครามไครเมีย) แต่ในสถาการปี 1900 อังกฤษเริ่มไม่แน่ใจกับการไม่มีเพื่อน อังกฤษจึงพยายามผู้สัมพันธ์กับหลายประเทศ อาทิ เยอรมนี แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ การร่วมือกับญีปุ่นเพื่อสกัดรุสเซียด้านมหาสมุทรแปซิฟิค หรือการขัดขวางมิให้รุสเซียแบ่งจีน นอกจากนั้นยังมีสัญญาความเป็นมิตรกับฝรั่งเศสและรุสเซียอีก ซึ่งบิสมาร์คผผู้ถูกวิจารณ์ว่า “ระบบพันธมิตรที่บิสมาร์คสร้างขึ้นเป็นการเริ่มต้นที่ว่าสงครามในอนาคตไม่ใช่สงครามท้องถิ่น” แต่อังกฤษกลับดำเนินรอยตามและที่สำคัญในช่วงศตวรรษแห่งวิกฤตด้วย
ท่าทีของอังกฤษต่อวิกฤตกาลซาราเจโว ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ต่อท่าทีที่ลังเลอย่างเห็ได้ชัด กล่าวคือ Asguit (แอสควิท)ผุ้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขณะนั้นไม่ต้องการสงครามเพราะอังกฤมีเรื่องภายในมากอยู่แล้ว การตัดสินใจอาจจะทำให้เกิดการแตกแยกภายในประเทศได้ทุกเมือ รัฐมนตรีต่างประเศได้รับการวิจารณ์ว่ามีแนวโน้มสนับสนุนการเข้าสงครา โดยพูดในที่ประชุม ครม.ว่าถึงเวลาแล้วที่อังกฤษจะต้องตัดสินใจเป็น หรือจะเข้าช่วยฝ่ายพันธมิตร และเห็นว่าอังกฤษควรเข้าช่วยฝรั่งเศสตามสหพันธสัญญา ..และถึงแม้ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศขู่จะลาออกหากอังกฤษประกาศตังเป็นกลาง รัฐสถาและรัฐบาลอังกฤษก็ยังคงไม่ตัดสินใจ..
อังกฤษเข้าสงครามเพราะกลัวเสียดุลย์แห่งอำนาจ เนื่องจากตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความผู้พันที่มีกับฝรั่งเศสเรื่องป้องกันเส้นทางการค้า เรื่องเบลเยียม อังกฟษก็ยังตัดสินใจลงไปแน่นอนไม่ได้
Troisième République Française:สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3
สาธารณะรัฐที่ 1 และ 2 ของฝรั่งเศสเป็นผลจากการปฏิวัติแต่สาธารณรัฐที่ 3 กำเนิดจากความพ่ายแพ้สงครามต่อเยอรมนี
สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย หรือ สงครามฝรั่งเศส-เยอรมัน”หรือ “สงครามปี ค.ศ.1870” เป็นความขัดแย้งกันระหว่างอาณาจักรฝรั่งเศสที่ 2 และราชอาณาจักรแห่งปรัสเซีย ในสงครามนี้ฝ่านปรับเซีย และเยอรมันได้รับชัยชนะที่นำมาซึ่งการรวมเยอรมันภายใต้กษัตริย์วิลเฮมที่ 1 แห่งปรัสเซีย และการล่มสลายของจักรพพดินโปเลียนที่ 3 สิ้นสุดอาณาจักรฝรั่งเศสที่ 2 และแทนที่ด้วย “สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 ตามข้อตกลงที่ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายแพ้สงครามนี้ ทำให้เขตแดนบางส่วนของลอเรน-อัลสาซ ต้องตกเป็นของปรัศเซีย(ซึ่งอุดมด้วยทรัพยากรถ่านหินฯ)และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเยอมัน ซึ่ง่ยังคงสภาพนั้นกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้ง 1 เมื่อสองแค้วนได้กลับคืนสู่ฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาแวร์ไซย์
เป็นสมัยแห่งความยุ่งยากวุนวาย โดยในครั้งแรกเนื่องจากสงครามกับต่างประเทศ และต่อด้วยการจลาจลภายในของคอมมูนแห่งปารีส ความขัดแย้งกันจะมีอยู่เกือบทุกสถาบัน กลุ่มนิยมกษัตริย์ขัดแย้งกับกลุ่มนิยมรัฐสภานักแสวงหาอาณานิคึมขัดแย้งกับผู้ไม่เห็นด้วย ความไม่ลงรอยกันระหว่างรัฐและสถาบันศาสนาหรือนายทุนกับกรรมกร เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สาธารณรัฐี่ 3 ประเทศฝรั่งเศสก็มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจจนเป็นที่สังเกตได้
สภาพทั่วไปปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20
หลังจากสมัยของจูลส์ เฟอรี สภาพการเมืองในฝรั่งเศษยิ่งวุ่นวายมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะทำให้พรรคการเมืองสังคมนิยมเข้ามาจัดตั้องคณะรัฐบาลในที่สุด เหตุการณ์แรกเป็นการกระทำของรัฐมนตรีสงครามนายพลบูลองเช่ ผู้ต้องการจะทำรัฐประเหารเช่นเดียวกับที่หลุยส์โบนาปาตเคนทำสำเร็จ ซึ่งความพยายามแม้จะไม่ประสบผลแต่ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกทางการเมือง เหตุการณ์ที่สำคัญอีกเหตุการณ์คือ การคอรัปชั่นในการขุดคลองปานามา เงินหลวงจำนวนมากตกอยู่ในกระเป๋สยีกกสนเทอ
มราเป็นทั้งคนของรัฐบาลและสมาชิกสภา มติมหาชนเริ่มแสดงความไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกต่อต้านพวกยิว เพราะนักการเงินชาวยิวได้เกี่ยวพันอยู่มากในการคอรัปชั้นครั้งนี้ ซึ่งในที่สุดความรู้สึกเหล่านี้ก็กลายเป็นขบวนการที่จะล้มการปกครองแบบสาธารณรัฐ
เหตุการณ์อีกเหตุการณ์ที่เป็นการบั่นทอนกำลังใจคนในชาติคือนายทหารเชื้อชาติยิวในกองทัพฝรั่งเศสถูกกล่าวว่าทำกาลลักลอบนำอาวุธไปขายให้กับฝ่ายเยอรมัน ซึ่งถือว่าเป็นศัตรูของชาติ นายทหารถูกตัดสินว่าผิดจริงแต่เรื่องไม่จบเพียงเท่านั้นมีผุ้ตั้งข้อสังเกตการตัดสินดังกล่าว โดยสรุปว่าฝ่ายซ้ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพวกหัวรุนแรง รีพับลิกัน และสังคมนิยมให้ความสนับสนุนนายทหารผู้นั้น ในขณะที่กลุ่มขวาฝ่ายทหารและฝ่ายแคธอลิคต่อต้าน ในที่สุด เอกสารต่าง ๆ ที่ปรักปรำนายทหารนั้นเป็นของปลอม และผุ้ที่เกี่ยวข้องฆ่าตัวตาย จึงเป็นที่แน่ชัดว่าไม่มีความผิดดังถูกกล่าวหา แต่เป็นเพียงแพะรับบาปจากการคอรับชั้นของักการเมืองและนายทหารบางคน แม้คดีจะปิดไปแล้ว ชาวฝรั่งเศสยังคงเกิดความรู้สึกไม่เชื่อถือกองทัพ ไม่ไว้วางใจนักการเมืองฝ่ายขวาตลอจนประธานธิดี ถึงกับมีการวางแผนจะลอบสังหารประธานาธิปดี โดยพวกสมาคมรักชาติโดยมีผลทำให้กลุ่มซ้ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกสังคมนิยมได้รับเสียงสนับสนุนมากขึ้น ถึงกับสมาชิกกลุ่มสังคมนิยมได้เข้าร่วมในคณะรัฐบาล และเมื่อรัฐบาลเริ่มมีกลุ่มซ้ายที่ม่ชอบพวกแคธอลิค ได้ออกกฎหมายต่อต้านวัดแคธอลิค ที่ระบุให้แบ่งแยกระหว่างวัดกับรัฐออกจากกันเด็ดขาด รัฐยกเลิกความช่วยเหลือที่เคยให้กับวัด พร้อมทั้งจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษ ทำการจัดการด้านทรัพย์สมบัติของวัด เป็นต้น
สภาพของฝรั่งเศสหลังจากพ่ายแพ้สงครามกับปรัสเซียอย่างย่อยยับ ได้รับการดูถูกทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตนอยู่ในฐานะประเทศมหาอำนาจ เคยมีอาณานิคมไพศาล สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อจิตใจของประชาชนมากอยู่แล้ว และยังต้องมาเผลิญกับภัยวิบัของการจลาจลภาใน สภาพการคอรับชั่น ของรัฐบาล กรณีขุดคลองปานามา จนถึงความหัวเก่ากรณีนายทหารตกเป็นแพะ ชาวฝรั่งเศสแทบจะสิ้นหวัง เริ่มเกิดความสงสัยในอนาคตของประเทศชาติ ตลดอถึงมนุษยชาตโดยทั่วไ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของคนฝรั่งเศส
ความก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจเป็นปัจจัยอีกอันหนึ่งที่ทำให้แนวโน้มทางการเมืองของฝรั่งเศสเปลี่ยนไป ฝรั่งเศสต่างไปจากอังกฤษและเยอรมนี ในขณะที่ประเทศทั้งสองเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมฝรั่งเศสยังคงวางพื้นฐานชีวิตอยู่บนการเกษตร อุตสาหกรรมหลักของฝรั่งเศสได้แก่ฝ้าไหมและเหล้าไวน์ซึ่งก็ไม่ให้ผลประโยชน์แก่ประเทศมากมายนัก และเมื่อมีคลองสุเอช สินค้าจากจีนไหลทะลักเข้าสู่ยุโรป และอิตาลี ได้พัฒนาสิ้นค้าประเภทนี้ขึ้นมาแข่งขัน เมืองลียองศูนย์กลางอุตสาหกรรมผ้าไหมก็ยิ่งซบเซา และสุดท้ายเมื่อมีการผลิตฝผ้าใยเทียนขึ้นได้ ตลาดค้าผ้าของฝรั่งเศสจึงต้องตกต่ำลงอีกเช่นเดียวกับไวน์ อัตราการผลิตเริ่มตกต่ำลง เพราะสินค้าเหล้าไวน์จากประเทศอื่น มีราคาถูกกว่าและหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดยุโรป แต่ถึงอย่างไรฝรั่งเศษก็ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยในขณะนั้น
ขบวนการกรรมกรของฝรั่งเศสมีลักษณะแปลกกว่าประเทศอื่น ๆ สหพันธ์กรรมกรเป็นเรื่องราวของความก้าวหน้าและปฏิกิริยาทางการเมือง รัฐบาลฝรั่งเศสออกกฎหมายการรวมตัว ห้ามมิให้การรวมกลุ่มแม้แต่ในรูปของสมาคมอาชีพ ให้มีการติดต่อกันเป็นส่วนตัวเท่านั้น สหพันธ์กรรมกรจึงมีสภาพผิดกฎหมาย และการสไตร์คถือเป็นอาชญากรรม
เมื่อฝรั่งเศสเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม กรรมกรมีจำนวนมากขึ้น และมีการจับกลุ่มกันอย่างลับ ๆ แต่ก็กว้างขว้างและมีลักษณะรุนแรง และเกี่ยวข้องกับขบวนการทางการเมืองอื่น ๆ
หลังปี 1870 สหพันธ์กรรมกรเริ่มดีขึ้น เป็นเพราะได้แสดงตัวให้เห็นถึงการเดินสายกลาง จึงมีกฎหมายยินยอมให้มีการรวมกลุ่มกรรมกรได้โดยถูกต้อง โดยมีการรวมตัวของกรรมกรและประกาศว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มการเมืองใดๆทั้งสิ้น จะต่อสู้เพื่อการอยู่ดีกินดี สิทธิ เสรีภาพของกรรมกรแต่เพียงอย่างเดียว
กล่าวได้ว่า ศตวรรษที่ 19 ต่อศตวรรษที่ 20 เป็นช่วงของการผันแปรทางการเมืองของฝรั่งเศส และยังถูกกระทบด้วยพลังชาตินิยมที่ต้องการขยายตัว ทั้งในด้านการเมืองและชื่อเสียงเกียรติยศจนดูเหมือนเป็นการปูทางเพื่อไปสู่สงครามในอนาคต
สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย หรือ สงครามฝรั่งเศส-เยอรมัน”หรือ “สงครามปี ค.ศ.1870” เป็นความขัดแย้งกันระหว่างอาณาจักรฝรั่งเศสที่ 2 และราชอาณาจักรแห่งปรัสเซีย ในสงครามนี้ฝ่านปรับเซีย และเยอรมันได้รับชัยชนะที่นำมาซึ่งการรวมเยอรมันภายใต้กษัตริย์วิลเฮมที่ 1 แห่งปรัสเซีย และการล่มสลายของจักรพพดินโปเลียนที่ 3 สิ้นสุดอาณาจักรฝรั่งเศสที่ 2 และแทนที่ด้วย “สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 ตามข้อตกลงที่ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายแพ้สงครามนี้ ทำให้เขตแดนบางส่วนของลอเรน-อัลสาซ ต้องตกเป็นของปรัศเซีย(ซึ่งอุดมด้วยทรัพยากรถ่านหินฯ)และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเยอมัน ซึ่ง่ยังคงสภาพนั้นกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้ง 1 เมื่อสองแค้วนได้กลับคืนสู่ฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาแวร์ไซย์
เป็นสมัยแห่งความยุ่งยากวุนวาย โดยในครั้งแรกเนื่องจากสงครามกับต่างประเทศ และต่อด้วยการจลาจลภายในของคอมมูนแห่งปารีส ความขัดแย้งกันจะมีอยู่เกือบทุกสถาบัน กลุ่มนิยมกษัตริย์ขัดแย้งกับกลุ่มนิยมรัฐสภานักแสวงหาอาณานิคึมขัดแย้งกับผู้ไม่เห็นด้วย ความไม่ลงรอยกันระหว่างรัฐและสถาบันศาสนาหรือนายทุนกับกรรมกร เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สาธารณรัฐี่ 3 ประเทศฝรั่งเศสก็มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจจนเป็นที่สังเกตได้
สภาพทั่วไปปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20
หลังจากสมัยของจูลส์ เฟอรี สภาพการเมืองในฝรั่งเศษยิ่งวุ่นวายมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะทำให้พรรคการเมืองสังคมนิยมเข้ามาจัดตั้องคณะรัฐบาลในที่สุด เหตุการณ์แรกเป็นการกระทำของรัฐมนตรีสงครามนายพลบูลองเช่ ผู้ต้องการจะทำรัฐประเหารเช่นเดียวกับที่หลุยส์โบนาปาตเคนทำสำเร็จ ซึ่งความพยายามแม้จะไม่ประสบผลแต่ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกทางการเมือง เหตุการณ์ที่สำคัญอีกเหตุการณ์คือ การคอรัปชั่นในการขุดคลองปานามา เงินหลวงจำนวนมากตกอยู่ในกระเป๋สยีกกสนเทอ
มราเป็นทั้งคนของรัฐบาลและสมาชิกสภา มติมหาชนเริ่มแสดงความไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกต่อต้านพวกยิว เพราะนักการเงินชาวยิวได้เกี่ยวพันอยู่มากในการคอรัปชั้นครั้งนี้ ซึ่งในที่สุดความรู้สึกเหล่านี้ก็กลายเป็นขบวนการที่จะล้มการปกครองแบบสาธารณรัฐ
เหตุการณ์อีกเหตุการณ์ที่เป็นการบั่นทอนกำลังใจคนในชาติคือนายทหารเชื้อชาติยิวในกองทัพฝรั่งเศสถูกกล่าวว่าทำกาลลักลอบนำอาวุธไปขายให้กับฝ่ายเยอรมัน ซึ่งถือว่าเป็นศัตรูของชาติ นายทหารถูกตัดสินว่าผิดจริงแต่เรื่องไม่จบเพียงเท่านั้นมีผุ้ตั้งข้อสังเกตการตัดสินดังกล่าว โดยสรุปว่าฝ่ายซ้ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพวกหัวรุนแรง รีพับลิกัน และสังคมนิยมให้ความสนับสนุนนายทหารผู้นั้น ในขณะที่กลุ่มขวาฝ่ายทหารและฝ่ายแคธอลิคต่อต้าน ในที่สุด เอกสารต่าง ๆ ที่ปรักปรำนายทหารนั้นเป็นของปลอม และผุ้ที่เกี่ยวข้องฆ่าตัวตาย จึงเป็นที่แน่ชัดว่าไม่มีความผิดดังถูกกล่าวหา แต่เป็นเพียงแพะรับบาปจากการคอรับชั้นของักการเมืองและนายทหารบางคน แม้คดีจะปิดไปแล้ว ชาวฝรั่งเศสยังคงเกิดความรู้สึกไม่เชื่อถือกองทัพ ไม่ไว้วางใจนักการเมืองฝ่ายขวาตลอจนประธานธิดี ถึงกับมีการวางแผนจะลอบสังหารประธานาธิปดี โดยพวกสมาคมรักชาติโดยมีผลทำให้กลุ่มซ้ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกสังคมนิยมได้รับเสียงสนับสนุนมากขึ้น ถึงกับสมาชิกกลุ่มสังคมนิยมได้เข้าร่วมในคณะรัฐบาล และเมื่อรัฐบาลเริ่มมีกลุ่มซ้ายที่ม่ชอบพวกแคธอลิค ได้ออกกฎหมายต่อต้านวัดแคธอลิค ที่ระบุให้แบ่งแยกระหว่างวัดกับรัฐออกจากกันเด็ดขาด รัฐยกเลิกความช่วยเหลือที่เคยให้กับวัด พร้อมทั้งจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษ ทำการจัดการด้านทรัพย์สมบัติของวัด เป็นต้น
สภาพของฝรั่งเศสหลังจากพ่ายแพ้สงครามกับปรัสเซียอย่างย่อยยับ ได้รับการดูถูกทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตนอยู่ในฐานะประเทศมหาอำนาจ เคยมีอาณานิคมไพศาล สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อจิตใจของประชาชนมากอยู่แล้ว และยังต้องมาเผลิญกับภัยวิบัของการจลาจลภาใน สภาพการคอรับชั่น ของรัฐบาล กรณีขุดคลองปานามา จนถึงความหัวเก่ากรณีนายทหารตกเป็นแพะ ชาวฝรั่งเศสแทบจะสิ้นหวัง เริ่มเกิดความสงสัยในอนาคตของประเทศชาติ ตลดอถึงมนุษยชาตโดยทั่วไ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของคนฝรั่งเศส
ความก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจเป็นปัจจัยอีกอันหนึ่งที่ทำให้แนวโน้มทางการเมืองของฝรั่งเศสเปลี่ยนไป ฝรั่งเศสต่างไปจากอังกฤษและเยอรมนี ในขณะที่ประเทศทั้งสองเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมฝรั่งเศสยังคงวางพื้นฐานชีวิตอยู่บนการเกษตร อุตสาหกรรมหลักของฝรั่งเศสได้แก่ฝ้าไหมและเหล้าไวน์ซึ่งก็ไม่ให้ผลประโยชน์แก่ประเทศมากมายนัก และเมื่อมีคลองสุเอช สินค้าจากจีนไหลทะลักเข้าสู่ยุโรป และอิตาลี ได้พัฒนาสิ้นค้าประเภทนี้ขึ้นมาแข่งขัน เมืองลียองศูนย์กลางอุตสาหกรรมผ้าไหมก็ยิ่งซบเซา และสุดท้ายเมื่อมีการผลิตฝผ้าใยเทียนขึ้นได้ ตลาดค้าผ้าของฝรั่งเศสจึงต้องตกต่ำลงอีกเช่นเดียวกับไวน์ อัตราการผลิตเริ่มตกต่ำลง เพราะสินค้าเหล้าไวน์จากประเทศอื่น มีราคาถูกกว่าและหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดยุโรป แต่ถึงอย่างไรฝรั่งเศษก็ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยในขณะนั้น
ขบวนการกรรมกรของฝรั่งเศสมีลักษณะแปลกกว่าประเทศอื่น ๆ สหพันธ์กรรมกรเป็นเรื่องราวของความก้าวหน้าและปฏิกิริยาทางการเมือง รัฐบาลฝรั่งเศสออกกฎหมายการรวมตัว ห้ามมิให้การรวมกลุ่มแม้แต่ในรูปของสมาคมอาชีพ ให้มีการติดต่อกันเป็นส่วนตัวเท่านั้น สหพันธ์กรรมกรจึงมีสภาพผิดกฎหมาย และการสไตร์คถือเป็นอาชญากรรม
เมื่อฝรั่งเศสเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม กรรมกรมีจำนวนมากขึ้น และมีการจับกลุ่มกันอย่างลับ ๆ แต่ก็กว้างขว้างและมีลักษณะรุนแรง และเกี่ยวข้องกับขบวนการทางการเมืองอื่น ๆ
หลังปี 1870 สหพันธ์กรรมกรเริ่มดีขึ้น เป็นเพราะได้แสดงตัวให้เห็นถึงการเดินสายกลาง จึงมีกฎหมายยินยอมให้มีการรวมกลุ่มกรรมกรได้โดยถูกต้อง โดยมีการรวมตัวของกรรมกรและประกาศว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มการเมืองใดๆทั้งสิ้น จะต่อสู้เพื่อการอยู่ดีกินดี สิทธิ เสรีภาพของกรรมกรแต่เพียงอย่างเดียว
กล่าวได้ว่า ศตวรรษที่ 19 ต่อศตวรรษที่ 20 เป็นช่วงของการผันแปรทางการเมืองของฝรั่งเศส และยังถูกกระทบด้วยพลังชาตินิยมที่ต้องการขยายตัว ทั้งในด้านการเมืองและชื่อเสียงเกียรติยศจนดูเหมือนเป็นการปูทางเพื่อไปสู่สงครามในอนาคต
วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556
Bismarck(Iron Chancellor)
อาณาจักรไรท์ของบิสมาร์ค เป็นระบบเผด็จการที่บังคับให้พลังความขัดแย้งเหล่านั้นสงบนิ่งลง และทั้งนี้ด้วยความสามารถส่วนตัวของบิสมาร์คเอง ภายหลังสงครามรวมประเทศบิสมาร์ต้องเผชิญกับปัญหาภายในประเทศ ต้องพยายามรวมพลังการเมืองภายใน ในขณะที่สภาพสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันอันเนื่องมาจากผลกระทบของการปฏิวัติอุตสาหกรรม และต้องดำเนินนโยบายต่างประเทศเพื่อคงความเป็นมหาอำนาจในยุโรปบิสมาร์คคิดว่าเยอรมนีที่ตนสร้างจะมีแต่ความมั่นคงและสันติภาพ แต่กลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามและยังส่งผลถึงยุโรปทั้งหมดอีกด้วย
รัฐธรรมนูญเยอรมนนเปี 1871 มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยเพียงรูป อำนาจที่แท้จริงคงอยู่ที่ปรัสเซีย เยอรมนีในศตวรรษนี้จึงเป็น “ununified state” คนในแต่ละรัฐยังรู้สึกว่าตนเป็นคนของรัฐมากกว่าเป็นคนของอาณาจักร
สภาผู้แทนไม่มีอำนาจแต่อย่างใด และผู้ปกครองก็มิได้คิดจะปรับปรุงให้เป็นสภาบันที่มีส่วนมีเสียงในการปกครอง แต่ที่ยังคงไว้เพราะจะเป็นสถาบันที่รัฐบาลจะมีข้อมูลเกี่ยวกับมติมหาชนเพื่อปรับนโยบายของรัฐบาลให้เข้ากับสถานการณ์ได้ จึงมีลักษณะที่แตกต่างไปจากระบบเผด็จการบ้างเพราะพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร ๆ ได้ และบิสมาร์คต้องการที่จะให้รัฐต่าง ๆ พอใจ จะได้สะดวกในการติดต่อกับรัฐบาลท้องถิ่น
ปัญหารเรื่องการเมืองภายในเป็นสิ่งทีนำความหนักใจมาให้บิสมาร์คเป็นอันมาก บิสมาร์คไม่ใช้คนหัวใหม่ เพียงแต่ฉลากพอที่จะยอมรับสถานการณ์ พรรคการเมืองในเยอรมนีขณะนั้นประกอบด้วย พรรคอนุรักษ์นิยม สมาชิกส่วนใหญ่ได้แก่พวกจุงเกอร์ เป็นพวกหัวเก่า ม่นธยบายต่อต้านการปฏิรูปอุตสาหกรรมทุกประเทภ ต่อสู้เพื่อนาคตของชนชั้นเจ้าของที่เจ (ปรัสเซีย)และกสิกร แมม้บิสมาร์คจะเป้ฯจุ้งเกิดร์ แต่ก็ยังเข้ากันได้ยาก ถึงกับเคยร่วมือกับกลุ่มเสรีนิยมถ่วงเสียง
พรรคเสรีนิยมแห่งชาติ เรียกว่าเป็นกลุ่มหัวใหม่ พอใจการเปลี่ยนแปลง กลุ่มนี้ให้ความสนับสนุนในการขยายตัวทางอุตสาหกรรม ซึ่งบิสมาร์ ให้ความร่วมือเป็นอย่างดี เพราะเห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาการเปศรษฐกิจ แต่ความสัมพันธ์กับพรรคนี้ก็ไม่ราบรื่นนัก
พรรคเซ็นเตอร์ เมื่อตั้งพรรคนี้ขึ้นมามีเจตนาจะรวมพวกแคทธอลิคฝใยเยอรมนีทั้งหมดเข้าด้วยกัน โดยไม่คำนึงถึงเรื่องชนชั้นแต่อย่างใดสมาชิกส่วนใหญ่จึงเป็นเคทธอลิค นโยบายของพรรคโดยกว้าง ๆ นั้นต้องการจะต่อต้านการปกครองของพวกโปรเตสแตนท์ ในระยะต้อนนโยบายของพรรคยังไม่แนนอนยังแยกกันไม่ชัดเจนระหว่างความเป็นแคทธอลิกค กับการเป็นักกากรเมือง บิสมาร์คพยายามกำจัดพรรคเซ็นเต่อร์อย่างมาก พอกับที่จัดการกับพรรคสังคมประชาธิปไตย
เนื่องจากวัดแคทธอริคมีขอบเขตอิทธิพลกว้างไกลมาก บิสมาร์คจึงไม่พอใจ ต้องการจะลดอำนาจลงไปบ้าง บิสมาร์คยืนยันว่า จะต้องไม่มีระบบ 'state within the state’ อยู่ในเยอรมันอีกต่อไป ทางฝ่ายศาสนจักรซึ่งสูญเสียอำนาจทางโลกไปมากได้พยายามจะยัดอำนาจทางด้านจิตใจ จึงประกาศ Papal Infalilibility ยืนยันข้อตัดสินใจใด ๆ ของทางวัดจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้ วาติกันประกาศคว่ำบาตผู้ที่ปฏิเสธกฤษฎีกานี้ เท่ากับว่าการศึกษาจะต้องเข้าไปอยู่กับฝ่ายวาติกันทั้งหมด รัฐบาลบิสมาร์คจึงจำเป็นต้องประกาศต่อต้านคำประกาศของสันตปาปา และมีผุ้ให้ความเห็นว่ามีเหตุผลเบื้องหลังอีกประการ คือบิสมาร์คต้องการเอาใจพวกเสรีนิยมแห่งชาติ ผลจากการตัดสินใจครั้งนี้ก่อให้เกิดคามไม่พอใจในหมู่พวกแคทธอลิค จึงรวมตัวเป็น Centre Party บิสมาร์คตอบโต้ด้วยการออกกฎหมายต่อต้าน ซึ่งจะยังผลให้ปพระเจชูอิทต้องถูกขับไล่ รัฐจะเข้าควบคุมการศึกษาทุกระดับแม้แต่วิทยาลัยสงฆ์ด้วยมาตรการเด็ดขาด ผลการต่อสู้กับพระบิสมาร์ดได้รับการสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย อิตาลี ออสเตรีย ซึ่งต่างซึ่งมีปัญหากับวาติกันด้วยกันทั้งนั้น หรือแม้แต่กลุ่มหัวรุนแรงของผรั่งเศส และโปรเตสแตนท์ในอังกฤษ
จากการที่บิสมาร์คทำการต่อสู้กับทางวัด ทางฝ่ายพรรคเซ็นเตอร์มีสามาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศเปลี่ยไปในทางลบ บิสมาร์คลดทิฐิยอมออมชอมกับพวกสังคมนิยมเพื่อต่อสู้กับแคธอลิค
พรรคสังคมประชาธิปำตย กลุ่นี้ต้องการจะรวมกรรมกรเยอรมันทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นกรรมกรของรัฐหรือของท้องถิ่น การรวมกลุ่มของคนเหล่านี้เป็ยผลมาจากขบวนการสังคมนิยมซึ่งเกิดขึ้นใหม่ในเยอรมนี ซึ่งเป็นผลงานของมร์คและเอนเกล เป็นกลุ่มของพวกหัวรุนแรง ต้อการประท้วงการปกครองของพวกชนชั้นเจ้าของที่ดินและเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม ต่อต้านระบบทหารของปรัสเซีย เรียกร้องให้ตั้งรัฐสังคมนิยมขึ้น ให้รัฐเข้าควบคุมการอุสาหกรรมทุกประเภท เป็นต้น สมาชิกแบ่งเป็น สองกลุ่ม คือกลุ่มที่ต้องการปฏิวัติตามหลักทฤษฎี และกลุ่มที่เชื่อว่าวิธีการปฏิรูปด้วยวิถีทางรัฐสภา ทางพรรคจะสามารถเอาชนะได้ พรรคนี้ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ
บิสมาร์คต้องยอมประนีประนอมกับพรรคอนุรักษ์นิยม เพื่อถ่วงเสียงพรรคสังคมประชาธปไตยในรัฐสภาสุดท้ายบิสมาร์คหาเหตกำจัดพรรคสังคมประชาธิปไตย โดยกล่าวหาว่าสมาชิกของพรรควางแผนฆ่าจักรพรรดิวิเลียมที่ 1ในที่สุดออกกฎหมาย ระบุว่าพรรคสังคมประชธิปำตยเป็นพรรคนอกกฎหมาย ต้องออกนอกประเทศไป ถึงอย่างไรพรรคยังคงไม่สลายตัว ได้ออกไปตั้งศุนย์บัชาการที่สวิสเซอร์แลนด์และส่งสิ่งตีพิมพ์เข้ามาเผยแพร่ในเยอรมนีโดยสมำเสมอ
ปี 1871 เยอรมนีผ่านพ้นความยุ่งยากทั้งหลาย เข้าสู่ยุคความมั่นคงทั้งทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ บิสมาร์คใช้ความสามถส่วนตัวดึงการขัดแย้งให้อยู่ในขอบเขต บิสมาร์คนำความสงบมาให้กับเยอรมนีโดยเสนอผลประโยชน์ให้กับกลุ่มจุ้งเกิร์ ปรัสเซีย และกลุ่มชนชั้นกลางจนเป็นที่พอใจ บิสมาร์คพยายาม “ป้อน” ผลประดยชน์ดังกล่าวนี้ให้กับกลุ่มเซ็นเตอร์ และกลุ่มแคธอลิคกลายมาเป็นกลุ่มนายทุนอุตสาหกรรมและกสิกรรม เป็นกลุ่มผลประดยชน์ซึ่งต้องสนับนุนนโยบายเศรษฐกิจ
บิสมาร์คได้เริ่มนโยบายใหม่ที่เรียกว่า New Order อันมีคำขวัญว่า gun before butter ซึ่งจะมีผลให้คนเยอรมันเกิดความรู้สึกที่ว่า ถ้าเยอรมนีจะต้องพิชิตยุโรป นดยบายเศรษฐกิจอันใหม่นำเยอรมนีเข้าสู่จุดสมดุลย์ของกลุ่มผลประโยชน์ มิใช่สมดุลของความคิด เยอรมนีจึงเปลี่ยนมาเป็น “รัฐของกลุ่มผลประโยชน์”
นโยบายต่างประเทศ มีทั้งนโยบายที่ควรได้รับการยกย่องและตำหนิในเวลาเดียวกัน บิสมาร์คดำเนินนโยบายทำลายล้างระบบพันธมิตรเนื่องจากเรียนรู้สถานการณ์ของปรัสเซียที่ถูกทำลายอย่างย่อยยับจากพันธมิตร ฝรั่งเศส ออสเตรียและรุสเซีย บิสเมาร์คจึงป้องกันทุกทางมิให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีก และในขณะที่ทำลายระบบพันธมิตรของผู้อื่นก็กลับสร้างระบบพันธมิตรขึ้นมาใหม่ ที่มีเยอรมนีเป็นศูนย์กลาง ยุโรปจะต้องอยู่ในสภาพสันตติเพื่อที่เยอรมนีจะมีอำนาจที่สุด ซึ่งบิสมาร์คได้ถือเป็นนโยบายหลักของเยอรมนี กระทั่งไกเซอร์วิลเลียนมได้มาซึ่งอำนาจ
บิสมาร์คดำเนินนโยบายต่างประเทศประสบความสำเร็จ สามารถสร้างระบบพันธมิตรครอบคลุมทวิปยุโรปจากทะเลบัตติจนถึงทะเลเมติเตอร์เรเนียนและทะเลอาเดรียติค เท่ากับว่าเขตอิทธิพลของเยอรมนีรวมทั้งความมั่นคงขยาขตามไปด้วย แต่สิ่งที่ประสบความสำเร็จเหนือสิ่งอื่นใดคือ ได้ต่อต้านการเป็นพันธมิตรระหว่างฝรั่งเศสและรุสเซียได้เป็นผลสำเร็จ
บิสมาร์คเคยมีโครงการที่จะหยุดยั้งความทะเยอทะยานเรื่องการขยายตัวของคนะอยรมัน เคยมีการขัดขวางคนบางกลุ่มที่จะเข้าเวียนนา โดยเขากล่าวว่า ถ้าเข้าเวียนนาก็ต้องไปถึงคอนสแตนติโนเปิดล และจะออกตะวันออกในที่สุด ประเทศเยอรมนีจะกลายเป็นอาณาจักรใหญ่ ซึ่งบิสมาร์คไม่ต้องการ บิสมาร์คได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นนักการเมืองของยุค “ราชธิปำตยแบบทรงภูมิธรรม” คนสุดท้าย เพราะยังคิดเรื่องชาติในสม้ยที่ใครๆ คิดเรื่องอาณาจักรสากลกัน
เมื่อซาร์ที่ 3 ขึ้นครองราช ทรงต้องการรื้อฟื้นสัญญาญามิตรสามจักรพรรดิ ซึ่งส่งผลให้บิสมาร์คประสบความสำเร็จในการแบ่งดินแดนยุโรปตะวัออกเป็นเขตอิทธิพลของรุสเซียและออสเตรียได้ตามจุดมุ่งหมาย จากสัญญาสามจักรพรรดิ รุสเซียจะต้องไม่ทำลายออสเตรีย จากสัญญาพันธมิตรสามจักพรรดิรุสเซียจะต้องไม่ทำลายตุรกีและไม่คุกคามออสเตรีย และทำนองเดียวกัน ออสเตรียจะต้องไม่ทำลายตุรกี บิสมาร์คจึงหลีกเหลี่ยงการเข้าไปพัวพันสงครามกับรุสเซียเป็นผลสำเร็จ
บิสมาร์คดำเนินนโยบายสร้างระบบพันธมิตรสำเร็จอีกครั้งเมือสามารถนำอิตาลีเข้าร่วมได้ร และเปลี่ยนชื่อมาเป็นพันธมิตรสามเส้า ซึ่งเท่ากับบิสมาร์คดำเนินนโยบายต่างประเทศประสบความสำเร็จ สามารถสร้างระบบพันธมิตรครอบคลุมทวีปยุโรป
ขบวนการชาตินิยมเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก ดินแดนยุโรปตะวันออกเฉยงใต้ซึ่งบิสมาร์คใช้เป็นเกมการเมืองต่อรองกับรุสเซียีปฏิกิริรยาไม่พอใจที่ชะตากรรมบ้านเมืองต้องตกอยู่กับนักการเมืองบางคน บิสมาร์คไม่สามารถป้องกันการปฏิวัติที่มีลักาณะต่อต้านรุสเซียในรูเมเนียตะวันออกได้ บิสมาร์คจึงไสมารถจะหลีกเลียงการขัดแย้งกับรุสเซียได้เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในบุลกาเรีย คือการเปลียนผุ้ปกครองใหม่ เท่ากับอิทธิพของออสเตรียและเยอมีเข้ามาแทนรุสเซีย ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่รุสเซียในทันที รุสเซียหันมากระชับมิตรกับฝรั่งเศส และปฏิเสธการต่ออายุสัญญาสามจักรพรรดิ
การแสดงออกถึงความขัดแย้งในตัวเองของนโยบายบิสมาร์คนั้น ปรากฎให้เห็นหลายเรื่อง อาทิ เป็นคนแรกที่ทำให้เยอรมนีเป็นรัฐสังคมนิยา ในขณะที่กำจัดพวกสังคมนิยม เคยใช้นโยบายไม่แทรกแซงการค้า แต่ออกกฎหมายกำแพงภาษี เเละเคยต่อต้านการขยายตัวด้านอาณานิคม แต่เป็นผู้ก่อสร้างอาณานิคมในภาคพื้นทะเลเป็นต้น
อาณานิคมกลายเป็นทางออกของความขัดแย้งของการเมืองภายในประเทศและภายนอกประเทศของประเทศต่าง ๆ เมื่อทุกประเทศในยุโรปเลิกห่วงในนโยบายดุลย์แห่งอำนาจในยุดรป ละหันมาแสวงหาอาณานิคมกันเต็มที่ ซึ่งได้รับการขนานนามว่ายุคจักรวรรดินิยม ทุกประทได้ยอมรับความคิดของบิสมาร์คในเรื่องอาณานิคมว่าเป็นการลดความตึงเครียดทางการเมืองลงได้
บิสมาร์คเล่นเกมการเมืองเพื่อการขยายอำนาจของระบบราชาธิปไตย เพื่อจุ้งเกิร์และเพื่อปรัสเซียโดยใส่ความ “กลัว” ลงในอารมณ์ของคนเยอรมัน หลังจากปี 1887 เยอรมนีอยู่ในสภาพที่ต้องเตรียมพร้อม สงครามอาจเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะมาจากฝรั่งเศส รุสเซีย หรือแม้แต่อังกฤษ ความกลัวเหล่านี้ได้นำคนเยอรมันเข้ามาอยุ่ใต้ผู้นำ จะต้องผนึกกำลังเพื่อเอาชนะผุ้คุกคาม บิสมาร์คมารู้ตัวเมื่อสาย ถึงจะพูดว่า “คนเยอรมันไม่กลัวสิ่งใดใน โลก ยอเว้นแต่พระเจ้า” ยังคงไม่สามารถเปลี่ยนอารมณ์และความเชื่อของคนเยอรมันได้ ชาวเยอรมันยังคิดเสมอว่าตนอยู่ในอันตราย
วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ราชวงศ์โรมานอฟ
เป็นราชวงศ์ที่สองและราชวงศ์สุดท้ายของรัสเซียโดยราชวงศ์นี้ปกครองจักรวรรดิรัสเซียตั้งแต่ ค.ศ. 1613-1917 ปฐมกษัตริย์คือ พระเจ้าไมเคิลที่ 1 ได้รับแต่งตั้งภายหลังสมัยแห่งความยุ่งยาก ราชวงศ์นี้ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยตลอดโดยไม่ยินยิมให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ ที่จะเป็นการลดพระราชอำนาจของกษัตริย์แม้ว่าพระเจ้า นิโคลาสที่ 2 จะทรงตั้งสภาดูมาใน ค.ศ. 1905 ก็มิได้มีสิทธิในการออกกฎหมายอย่างเต็มที่ จนเกิดการปฏิวัติใหญ่ในรัสเซียพระเจ้าซาร์นิโคลัสต้องทรงสละราชสมบัติ และถูกปลงพระชนม์โดยกำลังของฝ่ายบอลเซวิค ซึ่งสาเหตุของการปลงพระชนม์เนื่องด้วย พระเจ้าซาร์นิโคลัสเข้าร่วมสงครามและทุ่มงบประมาณไปกับสงครามมากทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ ส่งผลให้ประชาชนก่อการปฏิวัติ และทางราชวงศ์ได้พยายามหลบหนีแต่ไม่สำเร็จได้ถูกนำมากักตัวและถูกลอบปลงพระชนม์
ซาร์นิโคลาสที่ 2 เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของรัสเซีย แกรนด์ดยุคฟินแลนด์ และพระมหากษัตริย์โปแลนด์โดยสิทธิ์เป็นพระโอรสของสมเด็จพระจักรพรรดิอเล็กซาเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย ราชวงศ์โรมานอฟ ทรงเสกสมรสกับเจ้าหญิงอลิกซ์แห่งเฮสส์และไรน์ ซึ่งต่อไม่ได้รับการเฉลิมพระนามเป็ฯ สมเด็จพระจักรพรรดินีอเล็กซานตราเฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย มีพระราชบุตรเวยกันห้าพระองค์ ได้รับการกล่าวขานวว่าเป็นจักรพรรดิที่อ่อนแด ทรงไม่สามารถจัดการกับความไม่สงบภายในประเทศ โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น และการที่ทรงบัญชาการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ไม่ทรงสามารถควบคุมกองทัพได้ อันเป็นชนวนให้ประชาชนชาวรัสเซียไม่พอใจและก่อการประท้วง นอกจากนี้ยังทรงปล่อยให้รัสปูตินเข้ามามีอิทธิพลเหนือราชสำนัก ต่อมาคณะปฏิวัติบอลเซวิค ได้บังคับให้ทรงสละราชสมบัติทรงถูกจำคุกและถูกปลงพรเชสม์อยางทารุณพร้อมด้วยพระราชวงศ์หลายพระองค์
รัสปูติน (เกรกอรี เอฟิโมวิช รัสปูติน) เป็นนักบวชผุ้มีพลังจิตพิเศษที่มีบทบาทในยุคปลายราชวงศ์โรมานอฟของประเทศรัสเซียแต่การมีบทบาทและอิทธิพลของเขานั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟ รัสปูติน เกิดในไซบีเรีย ในครอบครัวเกษตรกร สันนิษฐานว่าเขามีความเชื่อในนิกายคลีสติ ซึ่งเป็นนิกายนอกรีต กลุ่มศาสนิกชนผู้ยึดถือในนิกายนี้เชื่อว่ามนุษย์มีบาปมาแต่เริ่มแรกจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไถ่บาปในเวลาต่อมา พวกเขาประกอบพิธีหลายอย่างเกี่ยกับความวิตถารในทางกามารมณ์และการบูชายัญ รัสปูตินเร่ร่อนไปทั่งชนบทของรัสเซีย เพื่อประกอบการเยียวยารักษาโรค และชักชวนผู้ญิงให้เข้าร่วมพิธีกรรมเหล่าโดย การดื่มเหล้า ร้องเพลง การเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง และก็กิจกรรมทางเพศเป็นหมู่คณะ ในทุกๆ แห่งที่สะดวก ไม่ว่าจะเป็นป่า ยุ้งข้า หรือกระทอมของสาวก
รัสปูตินมีความสามารถพิเศษในการทำนายอนาคตได้ยอ่างค่อนข้างถูกต้อง ต่อมารัสปูตินเข้าถือพรตเป็นนักพรตในศาสนจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย ประกอบกับบุคลิกที่เงียบขรึม ผู้คนในเมือง ต่างนับถือแต่ต่อมา เมื่อผู้คนพบกับธาตุแท้ ต่างเรียกรัสปูตินว่า Icha หรือ “นักพรตวิปลาส”รัสปูตินแต่งงานกบหญิ่งผู้มีอายุมากว่าตน และมีลูกด้วยกัน 4 คน กระทั่งรัสปูตินเดินทางแสวงบุญไปยังกรีกและเยรูซาเลมเมื่อเดินทางกลับถึงรัสเซีย รัสปูตินอ้างตนว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษและรักษาโรคได้
เจ้าชายอะเลคดซย์พระราชโอรสองค์สุดท้องในพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียประสูติ แต่ทรงมีพระอาการประชวรด้วยโรคฮีโมฟีเลีย หรือพระโลหิตไหลออกง่ายและหยุดยากเนื่องจากพระโลหิตผิดปกติ ซึ่งในสมัยนั้นโรคนี้สามารถคร่าชีวิตคนได้พระเจ้าซาร์หาหมอมีมาหลายคนก็ไม่สามารถรักษาพระอาการได้
รัสปูตินเดินทางมาในพระราชวังและสามารถรักษาพระอาการป่วยของเจ้าชายอะเลคเซย์ได้ โดยใช้วิธีสะกดจิตและปล่อยให้ระบบในพระวรการเยียวยาอย่างเงียบๆ พระมเหสีในพระเจ้าซาร์ขอให้รัสปูตินเข้ามาอยู่ในวัง เพื่อทำการดูแลเจ้าชายต่อ ซึ่งทำให้ชีวิตของรัสปูติน เริ่มมีบทบาทและอำนาจขึ้นมา รัสปูตินใช้วิธีการจัดเลี้ยงเพื่อล้างบาป ซึ่งการจัดงานเลี้ยงเพื่อล้างบาปนั้นดูจะบ่อยและพร่ำเพื่อจนคนภายนอกมองว่ารัสปูตินต้องการเสวยสุขจากงานเลี้ยงมากกว่า อิทธิพลของรัสปูตินในวังหลวงเพิ่มมากขึ้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ซาร์นิโคลัสที่ 2 ไปบัญชาการรบด้วยตนเอง และเมือกลับมารัสเซีย รัสปูตินก็ปรนเปรอด้วยงานเลี้ยง กิจการบ้านเมืองจึงตกอยู่ภายใต้อิทธพลรัสปูติน
เจ้าชายเฟลิกซ์ยูสชูปอฟ เห้นว่ารัสปูตินจะเป็นภัยต่อชาติ จึงร่วมมือกับแกรด์ดยุคดมิทรี พัฟโลวิช ลวงสังหารรัสปูติน สามวันต่อมา ศพของรัสปูตินถูกพบ และถูกส่งไปชันสูตร ผลการชันสูตร พบสารไซยาไนด์และกระสุนปืนจำนวนมากในร่างของรัสปูติน รัสปูตินเสียชีวิตเพราะการจมน้ำ
ก่อนเสียชีวิต รัสปูตินสามารถทำนายอนาคตตนเองได้วากำลังจะเสียชีวิตเร็วๆ นี้ และได้พบกับคำทำนายบางสิ่ง จึงเขียนคำทำนายฉบับสุดท้ายฝากคนรับใช้ให้ไปส่งให้พระเจ้าซาร์ ฉบับนั้น เขียนไว้ในทำนองว่า ถ้าตัวเขาเองถูกฆ่าด้วยน้ำมือของสามัญชน ราชวงศ์โรมานอฟจะปกครองรัสเซียไปได้อีกหลายร้อยปี แต่ถ้าตัวเขาเองถูกฆ่าตายโดยเชื้อพระวงศ์ หรือบรรดาศักดิ์ ราชวงศ์จะถูกโค่นล้มในอีก 2 ปีข้างหน้า..
กระแสปฏิวัติในศตวรรษที่ 20 นั้นมีไปทั่วโลก จักรวรรดิรัสเซียเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนอดอยากทั่วรัสเซีย ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 เกิดการปฏิวัติ “การปฏิวัติเดือนกุทภาพันธ์” นำโดย วลาดิเมียร์ เลนิน ซึ่งพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงต้องสละราชบัลลังก์และถูกกักกันตัวไว้ หลังจากการปฏิวัติไม่นาน ราชวงศ์ทรงประทับอยู่ ณ พระราชวังอเล็กซานเดอร์ และระหว่างเมษายน และ พฤษภาคมปี ค.ศ.1918 ก็ทรงถูกย้ายจากพระราชวังอเล็กซานเดอร์มาประทับ ณ เมืองเยคาเทียรินเบิร์ก สิบหก กรกฎาคม เวลา หนึ่งนาฬิกาสามสิบนาที นิโคลัส อเล็กซานดร้า โอรสและธิดาถูกหลอกให้ลงมาชั้นใต้ดิน แต่เมือทั้งหมดลงมา ก็ถูกขังไว้ในห้องพร้อมกับทหารกลุ่มบอลเซวิค โดยทั้งหมดสิ้นพระชนม์จากการถูกยิงเป้าหมู่ ภายหลังได้มีการฝังพระศพทั้งหมดร่วมกัน เป็นการปิดฉากราชวงศ์โรมานอฟและจักรวรรดิรัสเซีย...
ซาร์นิโคลาสที่ 2 เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของรัสเซีย แกรนด์ดยุคฟินแลนด์ และพระมหากษัตริย์โปแลนด์โดยสิทธิ์เป็นพระโอรสของสมเด็จพระจักรพรรดิอเล็กซาเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย ราชวงศ์โรมานอฟ ทรงเสกสมรสกับเจ้าหญิงอลิกซ์แห่งเฮสส์และไรน์ ซึ่งต่อไม่ได้รับการเฉลิมพระนามเป็ฯ สมเด็จพระจักรพรรดินีอเล็กซานตราเฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย มีพระราชบุตรเวยกันห้าพระองค์ ได้รับการกล่าวขานวว่าเป็นจักรพรรดิที่อ่อนแด ทรงไม่สามารถจัดการกับความไม่สงบภายในประเทศ โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น และการที่ทรงบัญชาการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ไม่ทรงสามารถควบคุมกองทัพได้ อันเป็นชนวนให้ประชาชนชาวรัสเซียไม่พอใจและก่อการประท้วง นอกจากนี้ยังทรงปล่อยให้รัสปูตินเข้ามามีอิทธิพลเหนือราชสำนัก ต่อมาคณะปฏิวัติบอลเซวิค ได้บังคับให้ทรงสละราชสมบัติทรงถูกจำคุกและถูกปลงพรเชสม์อยางทารุณพร้อมด้วยพระราชวงศ์หลายพระองค์
รัสปูติน (เกรกอรี เอฟิโมวิช รัสปูติน) เป็นนักบวชผุ้มีพลังจิตพิเศษที่มีบทบาทในยุคปลายราชวงศ์โรมานอฟของประเทศรัสเซียแต่การมีบทบาทและอิทธิพลของเขานั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟ รัสปูติน เกิดในไซบีเรีย ในครอบครัวเกษตรกร สันนิษฐานว่าเขามีความเชื่อในนิกายคลีสติ ซึ่งเป็นนิกายนอกรีต กลุ่มศาสนิกชนผู้ยึดถือในนิกายนี้เชื่อว่ามนุษย์มีบาปมาแต่เริ่มแรกจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไถ่บาปในเวลาต่อมา พวกเขาประกอบพิธีหลายอย่างเกี่ยกับความวิตถารในทางกามารมณ์และการบูชายัญ รัสปูตินเร่ร่อนไปทั่งชนบทของรัสเซีย เพื่อประกอบการเยียวยารักษาโรค และชักชวนผู้ญิงให้เข้าร่วมพิธีกรรมเหล่าโดย การดื่มเหล้า ร้องเพลง การเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง และก็กิจกรรมทางเพศเป็นหมู่คณะ ในทุกๆ แห่งที่สะดวก ไม่ว่าจะเป็นป่า ยุ้งข้า หรือกระทอมของสาวก
รัสปูตินมีความสามารถพิเศษในการทำนายอนาคตได้ยอ่างค่อนข้างถูกต้อง ต่อมารัสปูตินเข้าถือพรตเป็นนักพรตในศาสนจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย ประกอบกับบุคลิกที่เงียบขรึม ผู้คนในเมือง ต่างนับถือแต่ต่อมา เมื่อผู้คนพบกับธาตุแท้ ต่างเรียกรัสปูตินว่า Icha หรือ “นักพรตวิปลาส”รัสปูตินแต่งงานกบหญิ่งผู้มีอายุมากว่าตน และมีลูกด้วยกัน 4 คน กระทั่งรัสปูตินเดินทางแสวงบุญไปยังกรีกและเยรูซาเลมเมื่อเดินทางกลับถึงรัสเซีย รัสปูตินอ้างตนว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษและรักษาโรคได้
เจ้าชายอะเลคดซย์พระราชโอรสองค์สุดท้องในพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียประสูติ แต่ทรงมีพระอาการประชวรด้วยโรคฮีโมฟีเลีย หรือพระโลหิตไหลออกง่ายและหยุดยากเนื่องจากพระโลหิตผิดปกติ ซึ่งในสมัยนั้นโรคนี้สามารถคร่าชีวิตคนได้พระเจ้าซาร์หาหมอมีมาหลายคนก็ไม่สามารถรักษาพระอาการได้
รัสปูตินเดินทางมาในพระราชวังและสามารถรักษาพระอาการป่วยของเจ้าชายอะเลคเซย์ได้ โดยใช้วิธีสะกดจิตและปล่อยให้ระบบในพระวรการเยียวยาอย่างเงียบๆ พระมเหสีในพระเจ้าซาร์ขอให้รัสปูตินเข้ามาอยู่ในวัง เพื่อทำการดูแลเจ้าชายต่อ ซึ่งทำให้ชีวิตของรัสปูติน เริ่มมีบทบาทและอำนาจขึ้นมา รัสปูตินใช้วิธีการจัดเลี้ยงเพื่อล้างบาป ซึ่งการจัดงานเลี้ยงเพื่อล้างบาปนั้นดูจะบ่อยและพร่ำเพื่อจนคนภายนอกมองว่ารัสปูตินต้องการเสวยสุขจากงานเลี้ยงมากกว่า อิทธิพลของรัสปูตินในวังหลวงเพิ่มมากขึ้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ซาร์นิโคลัสที่ 2 ไปบัญชาการรบด้วยตนเอง และเมือกลับมารัสเซีย รัสปูตินก็ปรนเปรอด้วยงานเลี้ยง กิจการบ้านเมืองจึงตกอยู่ภายใต้อิทธพลรัสปูติน
เจ้าชายเฟลิกซ์ยูสชูปอฟ เห้นว่ารัสปูตินจะเป็นภัยต่อชาติ จึงร่วมมือกับแกรด์ดยุคดมิทรี พัฟโลวิช ลวงสังหารรัสปูติน สามวันต่อมา ศพของรัสปูตินถูกพบ และถูกส่งไปชันสูตร ผลการชันสูตร พบสารไซยาไนด์และกระสุนปืนจำนวนมากในร่างของรัสปูติน รัสปูตินเสียชีวิตเพราะการจมน้ำ
ก่อนเสียชีวิต รัสปูตินสามารถทำนายอนาคตตนเองได้วากำลังจะเสียชีวิตเร็วๆ นี้ และได้พบกับคำทำนายบางสิ่ง จึงเขียนคำทำนายฉบับสุดท้ายฝากคนรับใช้ให้ไปส่งให้พระเจ้าซาร์ ฉบับนั้น เขียนไว้ในทำนองว่า ถ้าตัวเขาเองถูกฆ่าด้วยน้ำมือของสามัญชน ราชวงศ์โรมานอฟจะปกครองรัสเซียไปได้อีกหลายร้อยปี แต่ถ้าตัวเขาเองถูกฆ่าตายโดยเชื้อพระวงศ์ หรือบรรดาศักดิ์ ราชวงศ์จะถูกโค่นล้มในอีก 2 ปีข้างหน้า..
กระแสปฏิวัติในศตวรรษที่ 20 นั้นมีไปทั่วโลก จักรวรรดิรัสเซียเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนอดอยากทั่วรัสเซีย ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 เกิดการปฏิวัติ “การปฏิวัติเดือนกุทภาพันธ์” นำโดย วลาดิเมียร์ เลนิน ซึ่งพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงต้องสละราชบัลลังก์และถูกกักกันตัวไว้ หลังจากการปฏิวัติไม่นาน ราชวงศ์ทรงประทับอยู่ ณ พระราชวังอเล็กซานเดอร์ และระหว่างเมษายน และ พฤษภาคมปี ค.ศ.1918 ก็ทรงถูกย้ายจากพระราชวังอเล็กซานเดอร์มาประทับ ณ เมืองเยคาเทียรินเบิร์ก สิบหก กรกฎาคม เวลา หนึ่งนาฬิกาสามสิบนาที นิโคลัส อเล็กซานดร้า โอรสและธิดาถูกหลอกให้ลงมาชั้นใต้ดิน แต่เมือทั้งหมดลงมา ก็ถูกขังไว้ในห้องพร้อมกับทหารกลุ่มบอลเซวิค โดยทั้งหมดสิ้นพระชนม์จากการถูกยิงเป้าหมู่ ภายหลังได้มีการฝังพระศพทั้งหมดร่วมกัน เป็นการปิดฉากราชวงศ์โรมานอฟและจักรวรรดิรัสเซีย...
วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555
Russai Empire
ความเปลี่ยแปลงในรัศเซียเริ่มมีขึ้นในสมัยซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ซึ่งมีแนวความคิดเสรี นิยมกระทั่งคนของซาร์ ถูกลอบสังหาร จึงมีการเปลี่ยนนโยบายทั้งหมด พวกนักปฏิรูปจึงมีการรวมตัวกันอย่างลับๆ เป็นสมาคมอย่างรูปแบบคล้ายในอิตาลี กระทั้งซาร์อเล็กซานเดอร์ สิ้นพระชนม์ และไม่มีพระโอรส สิทธิจึงตกอยู่กับเจ้าชายคอนสแตนตินพระอนุชาซึ่งมีแนวความคิดเสรีนิยมพวกนักปฏิรูปจึงมีความหวังแต่พระองค์ไม่ทรงรับสิทธินั้น บัลลังก์จึงตกเป็นของนิโคลาสซึ่งเป็นพวกหัวปฏิกิริยา ซึ่งไม่เป็นที่พอใจกับพวกหัวปฏิรูป ในช่วงที่ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการพวกปฏิรูปจึงฉวยโอกาส ไปแสดงความเคารพเจ้าคอนสแตนติน การกระทำครั้งนี้ทำให้เจ้าชายนิโคลาสมีท่าทีปฏิกริยามากขึ้น ทรงสั่งกำจัดพวกก่อการทั้งสิ้น จึงทำใหแผนการของกลุ่มเสรีนิยมล้มเหลวในที่สุด
ในสมัยการปกครองซาร์นิโคลาสที่ 1 ทรงปกครองด้วยระบบเทวสิทธิ์ เชื่อในอำนาจสูงสุด ในยุคสมัยดังกล่าวได้เกิดมีนักเขียนที่มีชื่อเสียงหลายท่าน นักเขียนเหล่านี้ยังมีบทความโจตีสถาบันการปกครองรุสเซีย นักการศึกษารุ่นใหม่ถกเถียงกันถึงปรัชญาชองชิลลิงและเฮเกล นักการศึกษาแบ่งเป็น 2 กลุ่มทั่งสองกลุ่มถกเถียงกันถึงวิธีการศึกษาของรุสเซีย ยืนยันว่าวัฒนธรรมสลาฟเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมตะวันตะ ซึ่งหมายความว่ารุสเซียควรจะปรับปรุงตนเองตามแนวทางตะวันตกด้วย ถึงกับมีการเรียกร้องให้เลิกระบบซาร์และตั้งเป็นรัฐสังคมนิยม ส่วนอีกกลุ่ม ซึ่งจัดเป็นกลุ่มชาตินิยม ยืนยันว่าวัฒนธรรมรุสเซียนมีความพิเศษเนือหว่าพวกตะวันตก รุสเซียมีความเป็นตัวเองมีพลังที่จะเจริญได้เอง..
ซาร์นิดคลาสเป็นผุ้นำแบบระบบเก่า ป้องกันโดยเข้าแทรกแซงการปฏิวัติทุกรูปแบบ ในด้านการขยายอำนาจการหาทางออกทะเลยังเป็ฯนโยบายหลักของรุสเซีย ในด้านศาสนา รุศเซียถือว่าตนเป็นผู้นำของศาสนาคริสเตียนนิกายออร์ธอดอกซ์ จึงจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบต่อความเดือนร้อนที่ชนชาติต่าง ๆ ในแหลมบอลข่าน ในศตวรรษที่ 19 ขณะที่ความคิดโรแมนติคกำลังแพร่หลาย หากมองกันด้านยุทธศาสตร์หรือความมั่นคงของปะเทศ การที่ออกตโตมันคุมบอลข่าน เท่ากับว่าสุลต่านมีอำนาจที่ปิดหรือเปิดประตูหลังบ้านของรุสเซีย ซึ่งเป็นสิ่งไม่ปลอดภัย และเหตุทางด้านเศรษฐกิจ การขนส่งการแสวงหาวัตถุดิบ และความรู้สึกเรื่องชาตินิยม ในที่สุดสัญญาอาเดรียโนเปิล รุสเซียได้สิทธิพิเศษที่จะแล่นเรือผ่านช่องแคบดาร์ตะแนล และบอสโฟรัส และจากสัญญาอนเคียสะเกเลสสิ รุสเซียได้มีเสียงใหญ่ในการคุมเส้นทางเข้าทะเลดำ และรุสเซียยังทำการขยายสู่เส้นทางอื่นๆ อีก เช่นการทำสงครามกับเปอร์เซียและจีน และได้ดินแดนแถบแม่น้ำอามูร์อีกด้วย
การเข้ามาพัวดันกับสงครามไครเมีย นอกจากจะพ่านแพ้ทางด้านการทหารแลว รัฐบาลของพระองค์ต้องประสบปัญหาการเงิน การทารุณกับพวกชาวนาเพิ่มมากขึ้น รัชสมัยของพระองค์จึงสิ้นุดลงด้วยความวุ่นวาย
ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 แม้พระองค์จะไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงแต่ด้วยความเป็นจริงการปฏิรูปจึงจำเป็นต้องเกิดขึ้น เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ทรงเจรจาสงบศึก และพัฒนาประเทศ ประการแรกคือทรงประกาศเลิดทาสติดที่ดินแม้จะมีเสียงคัดค้านจากทุกฝ่าย ผลของการประกาศกฎหมายเลิกทาส คือการเพิ่มจำนวนคนยากจนในชนบท ชาวนาต้องกลบเข้าไปทำงานตามระบบเก่า หมดความอิสระเสรี เกิดความไม่พอใจสังคม และความรุนแรงต่าง ๆ จะเปลี่ยนแปลงสังคมจึงเป็นสิ่งที่ตามมา
การปฏิรูประบบการปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นงานชิ้นสำคัญของพระองค์ นอกจากกลุ่มขุนนาง แล้วพ่อค้า ชาวนาจะมีสิทธิเลือกตั้งผู้แทน หน่วยการบริหารระบบใหม่เรียกว่าเซ็มสโวส์ ซึ่งแบ่งเป็นหลายระดับ เป็นรูปจำลองเล็กๆ สอนให้ประชาชนได้รู้จกการปกครองระบบประชาธิปไตย ฝึกหัดให้ประชาชนได้รู้จักสิทธิในการเข้าร่วมการปกครองที่ตนเองเกี่ยวข้อง และยังปรับปรุ่งให้มีเทศบาลเมือง จัดตั้งศาลหลวงแก้ไขระบบยุติธรรมให้ดีขึ้น ซึ่งสมัยเดิมเจ้าของที่ดินทำหน้าที่ตุลาการด้วยตามระบบฟิวดัลซึ่งเป็นการไม่ยุติธรรมต่อผุ้นอ้ยและล้าสมัยในวิธีการสอบสวนลงโทษ.. การปฏิรูปกองทัพ ชายทุกคนเมืออายุ 20 ปีมีสิทธิจะเป็นทหารได้ ไม่จำกัดชั้นวรรณะ พระองค์ทรงพอใจหากการปฏิรูปจะมาจากพระองค์ มิใช่ประชาชนเรียกร้อง จึงทำให้เกิดเป็นการรวมกลุ่มแบบลับ ๆ มีการก่อกบฎ นักศึกษามหาวิทยาลัยพยายามจะลอบปลงประชนม์พระเจ้าซาร์ ทุกสิ่งจึงกลับไปหมือนเดิม รัฐบาลเข้าควบคุม หน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบต่างๆ ก็ ค่อย ๆ หมดความสำคัญลง
กลุ่มหัวรุนแรงและการปฏิวัติ
Nihilism (nothing) มีความคิดด้านทำลายเป็นสำคัญ เห็นพ้องต้องกันว่าสถาบันเก่าๆ ทุกสิ่งจะต้องถูกทำลาย ก่อนที่สังคมใหม่จะเกิดขึ้น สิ่งใดที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนเหตุผลและความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะต้องถูกทำลายเช่นกัน ซึ่งรวมถึงสถาบันซาร์และวัดออร์ธอดอกซ์ด้วย
Socialism ขบวนการสังคมนิยมมีจุดมุ่งหมยที่จะทำลายระบบซาร์ และก่อตั้งรัฐประชาธิปไตยแบบสังคมนิยมขึ้นในรุสเซีย โดยหวังจะเลียนแบบคอมมูนแห่งปารีส การทำงายของกลุ่มนี้กว้างขวางกว่ากลุ่มแรก มุ่งหาสมาชิกในชนบท (ชาวนา)และมีการติดต่อกับกลุ่มสังคมนิยมในต่างประเทศ ต้องการใช้วิธีละมุนละม่อม
Anarchist ทำการต่อต้านสังคมด้วยวิธีรุนแรง การลอบฆ่าข้าราชการ พระเจ้าซาร์ และการทำลายอื่น ๆ ด้วยหวังจะบีดทางอ้อมให้พระเจ้าซาร์ทำการปฏิรูปสังคมด้วยวิถีเสรีนิยมพระองค์ทรงตอบโต้ด้วยวิธีการรุนแรงเช่นกัน ระบบตำรวจลับถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง
ราชวงศ์โรมานอฟ
การลอบปลงพระชนม์พรเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ทำให้รัฐบาลพระจเอเล็กซานเดอร์ที่ 3 เป็นปฏิกิริยามากขึ้น มีนโยบายต่อต้านการปฏิรูปทุกอย่าง ใช้วิธีการรุนแรงและโหดเหี้ยมการสอนในมหาวิทยาลัยถูกกวดขัน อาจารย์กัวเสรีนิยมถูกไล่อก หนังสือพิมพ์ถูกเซ็นเซอร์ ยิ่งไปกว่านั้น พรเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 เริ่มใช้นโยบายกำจัดศาสนาอื่น ๆ ที่มิใช่กรีกออร์ธอดอกซ์ มณฑลต่าง ๆ ซึ่งนับถือลูเธอร์แรนถูกบังคับให้เปลี่ยนความเชื่อ ยิวก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน จากนโยบายต่อต้านยิว พวกยิวจำนวนมากถ้าไม่ถูกฆ่าตาย ก็จะถูกขับไล่ออกนอกประเทศ
ซาร์นิโคลาสที่ 2 ซึ่งไม่ต่างจากสมียซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 ทรงกล่าวไว้ว่า จะคงไว้ซึ่งระบบการปกครองแบบเอกาธิปไตยที่บรรพบุรุษของพระองค์ทรงทำมา จะไม่มีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลง
ทางด้านเศรษฐกิจเป็นระยะการพัฒนาทางเศรษฐกิจขั้นสุดท้าย เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นระยะปรับตัวของการปฏิรูปครั้งใหญ่ อุตสาหกรรมของรุสเซียเข้าสู่ขั้นเต็มที่ มีการสร้างทางรถไป ถึง 15,000ไมล์ การพัฒนาเครื่องจักรกลต่าง ๆ ซึ่งก็ยังล้ากว่ายุโรปชาติอื่นๆ และสหรัฐอเมริกา อาทิจำนวนการผลิตเหล็ก น้อยกว่าฝรั่งเศส 8 เท่า เยอรมัน 8 เท่า สหรัฐอเมริกา 11 เท่าและยิ่งไปกว่านั้นอุตสาหกรรมของรุสเซียตกอยู่ในมือพวกนายทุนเพี่ยงไม่กี่คน ทั้งนี้และทั้งนั้นระบบฟิวดัลของรุสเซียยังแรงมาก เจ้าของที่ดิน พยายามกีดกันระบบนายทุนแบบยุโรปเย้าไปแพร่หลายในรุสเซีย และการขาดชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของระบบนายทุน
ด้านการเกษตร ชาวนาสามารถขายสิทธิที่ดิน ชาวนาส่วนใหญ่เปลี่ยนฐานะเป็นลูกจ้าง ซึ่งแทบจะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
ในช่วงการทดลองการปกครองนระบบรัฐสภา รุสเซียเข้าพัพันธ์กับเหตุการณ์ในต่างประเทศมากขึ้นทุกขณะ และในที่สุดก็เข้าร่วมสงครามในปี 1914 และการพ่ายแพ้สงครามยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายมากขึ้น ..รัฐบาลของซาร์เข้าสู่ภาวะอันตราย การปฏิวัติเกิขึ้น โดยทำการขับซาร์นิโคลาสออกจากบัลลังก์ราชวงศ์โรมานอฟจึงสิ้นสุด และทำให้ระบบการปกครองของรัสเซียมาเป็นระบบคอมมิวนิสต์ในที่สุด มีผู้ให้ข้อคิดเห็นว่าการปฏิรูปการปกครองมิใช่สิ่งที่นำไปสู่การปฏิวัติ แต่เป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ทำให้เปลี่ยนการปฏิรูปมาเป็นการปฏิวัติ
Imperialism
มีการวางรากฐานของจักรวรรดิอังกฤษตั้งแต่อังกฤษและสกอตแลนด์ยังเป็นราชอาณาจักรที่แยกจากกัน หลังโปรตุเกศและสเปนประสบความสำเร็จในการสำรวจโพ้นทะเล ถึงกระนั้นอังกฤษก็ไม่มีความพยายามทีจะก่อตั้งอาณานิคมอังกฤษเพิ่มเติมอีกในทวีปอเมริกเรื่อยมากระทั้งรัชสมัย สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ในช่วงทศวรรษสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 16 การปฏิรูปโปรแตสแตนต์ทำให้อังกฤษทรงให้นักเดินเรือส่วนตัว จอห์น ฮิว์กินส์ และฟรานซิส เดรก ทำการโจมตีปล้นทาสตามเรือสเปนและโปรตุเกสซึ่งแล่นออกจกาชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายระบบการค้าแอตแลนตกิ ความพยายามดังกล่าวถูกยับยั้ง และเมื่อสงครามอังกฤษสเปนทวีความรุนแรงขึ้น สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ทรงอนุญาตให้ขยายโจมตีแบบโจรสลัดไปจนถึงเมืองท่าของสเปนในทวีปอเมริกาและการเดินเรือที่แล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกกลับมา ซึ่งเรือนี้เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติซึ่งขนกลับจากโลกใหม่ ขณะเดียวกัน นักเขียนที่มีอิทธิพล อาทิ ริชาร์ด ฮัคลุยต์ และจอห์นดี เป็นคนแรกที่ใช้คำว่า “จักรวรรดิอังกฤษ” และเริ่มผลักดันในมีการก่อตั้งจักรวรรดิที่เป็นของอังกฤษเอง ซึ่งในเวลานั้น สเปนได้สร้างถิ่นฐานอย่างมั่นคงในทวีปอเมริกา ส่วนโปรตุเกสได้สร้างสถานีการค้าและค่ายทหารจากชายฝั่งทวีปแอฟริกา และบราซิลถึงจีนและฝรั่งเศสเองก็ตั้งถิ่นฐานบริเวณแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์ ซึ่งต่อมาภายหลังกลายเป็นอาณานิคมนิวฟรานซ์ แม้วาอังกฤษจะมาที่หลังในการล่าอาณานิคมแต่อังกฤษก็เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยการตั้งถิ่นฐานในไอร์แลนด์ คล้ายกับการรุกรานของชาวนอร์มัน
ในปี ค.ศ. 1603 สมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ ได้ทรงสืบราชบัลลังก์อังกฤษต่อมา และได้ทรงเจรจาในสนธิสัญญาลอนดอน ในการยุติความบาดหมางกับสเปน หลังจากการสงบศึกกับคู่แข่งที่สำคัญ ความสนใจของอังกฤษเปลี่ยนจากการหาผลประโยชน์จากดครงสร้างพื้นฐานทางอาณานิคมของชาติอื่นมาเป็นกิจการการก่อตั้งอาณานิคมโพ้นทะเลเป็นของตนเอง จักวรรดิอังกฤษได้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในช่วงต้น คริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยการก่อตั้งนิคมของอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือและหมู่เกาะเล็กๆ แถบคาริบเบียน ตลอดจนการจัดตั้งบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ชื่อ บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ เพื่อทำการค้าขายกับทวีปเอเชีย ในช่วงนี้จนไปถึงการสูญเสียสิบสามอาณานิคม หลังจากการประกาศอิสรภาพสหรัชอเมริกา ไปจนถึงส้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้รับกล่าวถึงในเวลาต่อมาว่าเป็น “จักรวรรดิอังกฤษที่หนึ่ง”
“จักรวรรดิอังกฤษที่สอง” การปกครองอินเดียของบริษัท การดำเนินการ บริษัทอินเดียตะวัน ออกของอังกฤษให้ความสำคัญกับการค้ากับอนุทวีปอินเดีย เพื่อที่จะได้ไม่อยู่ในฐานะที่จะท้าทายอำนาจของจัรวรรดิโมกุลอันเกีรยงไกร บริษัทได้รับสิทธิการค้า ช่วงคริสตศตวรรษที่ 18 จักรวรรดิโมกุลเริ่มเสื่อมอำนาจและบริษัทอินเดียตะวันออกกำลังต่อสู้กับบริษัทคู่แข่วสัญชาติฝรั่งเศสในสงครามคาร์นาติก ซึ่งกองกำลังอังกฤษ ภายใต้การนำของโรเบิร์ต คลิฟ สามารถเอชนะฝรั่งเศสและพันธมิตรชาวอินเดีย บริษทัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษจึงปกครองอ่าวเบงกอล และเป็นอำนาจทางทหารและทางการเมืองทียิ่งใหญ่ของอินเดีย การยึดครองอินเดียของบริษัทประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์ การกบฎในอินเดีย ทำให้บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษยุติบทบาทลง และอินเดียถูกปกครองโดยตรงภายใต้บริติชราช
การสูญเสียสิบาสมอาณานิคม และความสัมพันธ์กับสหรับอเมริกา
ความสัมพันธ์ระหว่างสิบสามอาณานิคมและอังกฤษเริ่มตึงเครียดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอยางยิ่งความไม่พอใจในความพยายามของรัฐสภาอังกฤษที่จะปกครองและเก็ภาษีชาอาณานิคม โดยปราศจากความยินยอม โดยสรุปเป็นสโลแกนว่า “ไม่จ่ายภาษีหากไม่มีผู้แทน” ความไม่เห็นด้วยในการรับประกันสิทธิความเป็นชาวอังกฤษ ได้ทำให้เกิดการปฏิวัติอเมริก และประกาศอิสรภาพในเวลาต่อมา..
“ความมั่นคงของประชาชาติ” โดยอดัม สมิธ ได้โต้แย้งว่าอาณานิคมมีมากเกินไป และควรนำระบบการค้าเสรีเข้ามาแทนนโยบายพาณิชยนิยมแบบเก่า ซึ่งเป็นลักษณะของการขยายอาณานิคมในช่วงแรก ซึงย้อกลับไปจนถึงลัทธิคุ้มครอง ของสเปนและโปรตุเกส สมิธยืนยังมุมมองที่ว่า การควบคุมทางการเมือไม่จำเป็นต่อความสำเร็จในทางเศรษฐกิจ ความตึงเครียรระหว่างชาติทั้งสองทวีขึ้นระหว่างสงครามนโปเลียน อังกฤษพยายาที่จะขึดขวางการค้าระหว่างสหรัฐกับฝรั่งเศสและส่งคนขึ้นเรื่ออเมริกาเพื่อเกณฑ์ลุกเรือสัญชาติอังกฤษแต่กำเนิดให้เข้าสูราชนาวี สหรัฐจึงประกาศสงคราม ทั้งสองฝ่ายพยายามที่จะเพ่มค่าใช้จ่ายของฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด แต่ประสบความล้มเหลวทั้งสองฝ่าย สันธิสัญญาเก้นท์ จึงเกิดขึ้น เหตุการในทวีปอเมริกามีอิทธิพลต่อนโยบายของอังกฤษในแคนาดา พวกรอยังลิสต์ที่แพ้สงครามปฏิวัติได้อพยพออกจากอเมริกาภายหลังการประกาศอิสรภาพ รัฐบาลอังกฤษแบ่งนิบรันสวิกออเป็นอาณานิคมต่างหาก จัดตั้งมณฑลอัปเปอร์แคนาดา ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษ และโลว์เออร์แคนาดา ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาฝรั่งเศส เพื่อลดความตึงเครียดระหว่างประชาคมอังกฤษและฝรั่งเศส และรูปแบบการปกครองคล้ายคลึงกับที่ใช้ในอังกฤษ โดยมีเจตนาเพิ่มอำนาจของจักรวรรดิและ ไม่อนุญาตให้อยู่ภายมต้การปกครองของประชาชน ซึ่งได้นำไปสู่การปฏิวัติอเมริกา
แปซิฟิก หลังจากสูญเสียสิบสามอาณานิคม สภานการณ์บังคับให้มีการหาสถานที่ใหม่สำหรับขนส่งนักโทษ และรัฐบาลอังกฤษได้ให้ความสนใจไปยังดินแดออสเตรเลียซึ่งเพิ่งค้นพบใหม่ ชายฝั่งด้านตะวันตกของออสเตรเลีย เรื่อขนนักทษมายังนิวเซาท์เวลส์และในเวลาต่อมาอาณานิคมมีประชากรอาศัยอยูถึง 56,000 คน ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นนักโทษ อดีตนักโทษ หรือผู้สืบสกุลของนักโทษเหล่านี้ อาณานิคมออสเตรเลียได้กลายมาเป็นแหล่งส่งออกขนแกะและทองอันสร้างรายได้มหาศาล
ในระหว่างทางยังได้เดินทางไปถึงนิวซีแลนด์ ปฏิสัมพันธระหวางประชกรพื้นเมืองของมาวรี และชาวยุโรปจำกัดอยู่เพียงภารแลกเปลี่ยนสินค้าเท่านั้น บริษัทนิวซีแลนด์ประกาศแยนที่จะซื้อที่ดินขนาดใหญ่และก่อสร้างอาณานิคมในนิวซแลนด์และร่วมสงนามในสนธิสัญญาไวทังกิ โดยกับตันวิลเลียม ฮอบสัน และหัวหน้าชนเผ่ามาวรีอีกราว 40 คน ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเอกสารก่อตั้งนิวซีแลนด์ แต่ความแตกต่างในการตีความข้อความในเอกสารภาษามาวรีและภาษาอังกฤษ ซึ่งก็หมายความว่ามันจะยังคงเป็นที่มาของความขัดแย้งต่อไป
ในปี ค.ศ. 1603 สมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ ได้ทรงสืบราชบัลลังก์อังกฤษต่อมา และได้ทรงเจรจาในสนธิสัญญาลอนดอน ในการยุติความบาดหมางกับสเปน หลังจากการสงบศึกกับคู่แข่งที่สำคัญ ความสนใจของอังกฤษเปลี่ยนจากการหาผลประโยชน์จากดครงสร้างพื้นฐานทางอาณานิคมของชาติอื่นมาเป็นกิจการการก่อตั้งอาณานิคมโพ้นทะเลเป็นของตนเอง จักวรรดิอังกฤษได้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในช่วงต้น คริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยการก่อตั้งนิคมของอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือและหมู่เกาะเล็กๆ แถบคาริบเบียน ตลอดจนการจัดตั้งบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ชื่อ บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ เพื่อทำการค้าขายกับทวีปเอเชีย ในช่วงนี้จนไปถึงการสูญเสียสิบสามอาณานิคม หลังจากการประกาศอิสรภาพสหรัชอเมริกา ไปจนถึงส้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้รับกล่าวถึงในเวลาต่อมาว่าเป็น “จักรวรรดิอังกฤษที่หนึ่ง”
“จักรวรรดิอังกฤษที่สอง” การปกครองอินเดียของบริษัท การดำเนินการ บริษัทอินเดียตะวัน ออกของอังกฤษให้ความสำคัญกับการค้ากับอนุทวีปอินเดีย เพื่อที่จะได้ไม่อยู่ในฐานะที่จะท้าทายอำนาจของจัรวรรดิโมกุลอันเกีรยงไกร บริษัทได้รับสิทธิการค้า ช่วงคริสตศตวรรษที่ 18 จักรวรรดิโมกุลเริ่มเสื่อมอำนาจและบริษัทอินเดียตะวันออกกำลังต่อสู้กับบริษัทคู่แข่วสัญชาติฝรั่งเศสในสงครามคาร์นาติก ซึ่งกองกำลังอังกฤษ ภายใต้การนำของโรเบิร์ต คลิฟ สามารถเอชนะฝรั่งเศสและพันธมิตรชาวอินเดีย บริษทัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษจึงปกครองอ่าวเบงกอล และเป็นอำนาจทางทหารและทางการเมืองทียิ่งใหญ่ของอินเดีย การยึดครองอินเดียของบริษัทประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์ การกบฎในอินเดีย ทำให้บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษยุติบทบาทลง และอินเดียถูกปกครองโดยตรงภายใต้บริติชราช
การสูญเสียสิบาสมอาณานิคม และความสัมพันธ์กับสหรับอเมริกา
ความสัมพันธ์ระหว่างสิบสามอาณานิคมและอังกฤษเริ่มตึงเครียดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอยางยิ่งความไม่พอใจในความพยายามของรัฐสภาอังกฤษที่จะปกครองและเก็ภาษีชาอาณานิคม โดยปราศจากความยินยอม โดยสรุปเป็นสโลแกนว่า “ไม่จ่ายภาษีหากไม่มีผู้แทน” ความไม่เห็นด้วยในการรับประกันสิทธิความเป็นชาวอังกฤษ ได้ทำให้เกิดการปฏิวัติอเมริก และประกาศอิสรภาพในเวลาต่อมา..
“ความมั่นคงของประชาชาติ” โดยอดัม สมิธ ได้โต้แย้งว่าอาณานิคมมีมากเกินไป และควรนำระบบการค้าเสรีเข้ามาแทนนโยบายพาณิชยนิยมแบบเก่า ซึ่งเป็นลักษณะของการขยายอาณานิคมในช่วงแรก ซึงย้อกลับไปจนถึงลัทธิคุ้มครอง ของสเปนและโปรตุเกส สมิธยืนยังมุมมองที่ว่า การควบคุมทางการเมือไม่จำเป็นต่อความสำเร็จในทางเศรษฐกิจ ความตึงเครียรระหว่างชาติทั้งสองทวีขึ้นระหว่างสงครามนโปเลียน อังกฤษพยายาที่จะขึดขวางการค้าระหว่างสหรัฐกับฝรั่งเศสและส่งคนขึ้นเรื่ออเมริกาเพื่อเกณฑ์ลุกเรือสัญชาติอังกฤษแต่กำเนิดให้เข้าสูราชนาวี สหรัฐจึงประกาศสงคราม ทั้งสองฝ่ายพยายามที่จะเพ่มค่าใช้จ่ายของฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด แต่ประสบความล้มเหลวทั้งสองฝ่าย สันธิสัญญาเก้นท์ จึงเกิดขึ้น เหตุการในทวีปอเมริกามีอิทธิพลต่อนโยบายของอังกฤษในแคนาดา พวกรอยังลิสต์ที่แพ้สงครามปฏิวัติได้อพยพออกจากอเมริกาภายหลังการประกาศอิสรภาพ รัฐบาลอังกฤษแบ่งนิบรันสวิกออเป็นอาณานิคมต่างหาก จัดตั้งมณฑลอัปเปอร์แคนาดา ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษ และโลว์เออร์แคนาดา ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาฝรั่งเศส เพื่อลดความตึงเครียดระหว่างประชาคมอังกฤษและฝรั่งเศส และรูปแบบการปกครองคล้ายคลึงกับที่ใช้ในอังกฤษ โดยมีเจตนาเพิ่มอำนาจของจักรวรรดิและ ไม่อนุญาตให้อยู่ภายมต้การปกครองของประชาชน ซึ่งได้นำไปสู่การปฏิวัติอเมริกา
แปซิฟิก หลังจากสูญเสียสิบสามอาณานิคม สภานการณ์บังคับให้มีการหาสถานที่ใหม่สำหรับขนส่งนักโทษ และรัฐบาลอังกฤษได้ให้ความสนใจไปยังดินแดออสเตรเลียซึ่งเพิ่งค้นพบใหม่ ชายฝั่งด้านตะวันตกของออสเตรเลีย เรื่อขนนักทษมายังนิวเซาท์เวลส์และในเวลาต่อมาอาณานิคมมีประชากรอาศัยอยูถึง 56,000 คน ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นนักโทษ อดีตนักโทษ หรือผู้สืบสกุลของนักโทษเหล่านี้ อาณานิคมออสเตรเลียได้กลายมาเป็นแหล่งส่งออกขนแกะและทองอันสร้างรายได้มหาศาล
ในระหว่างทางยังได้เดินทางไปถึงนิวซีแลนด์ ปฏิสัมพันธระหวางประชกรพื้นเมืองของมาวรี และชาวยุโรปจำกัดอยู่เพียงภารแลกเปลี่ยนสินค้าเท่านั้น บริษัทนิวซีแลนด์ประกาศแยนที่จะซื้อที่ดินขนาดใหญ่และก่อสร้างอาณานิคมในนิวซแลนด์และร่วมสงนามในสนธิสัญญาไวทังกิ โดยกับตันวิลเลียม ฮอบสัน และหัวหน้าชนเผ่ามาวรีอีกราว 40 คน ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเอกสารก่อตั้งนิวซีแลนด์ แต่ความแตกต่างในการตีความข้อความในเอกสารภาษามาวรีและภาษาอังกฤษ ซึ่งก็หมายความว่ามันจะยังคงเป็นที่มาของความขัดแย้งต่อไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...