ชาวยุึโรปส่วนใหญไม่สนใจแอฟริกา เนื่องจากดอนแดนตอนเหนือของแอฟริกาที่อยู่ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลทรายซาฮารา เป็นที่ดินที่มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่นจึงไม่มีที่ว่างพอให้ชาวยุโรปเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ และทางแอฟริการใต้ซึ่งมีทรัพยกรธรรมชาตินั้นเป็นเมืองปิดซึ่งห้ามคนแปลกห้าเข้าเมือง ในขณะที่แอฟริกากลางเป็นป่าดงดิบไม่มีใครรู้จักดินแดนแห่งนี้มาก่อน ชาวยุโรปจึงไม่กล้าเสี่ยงลงทุนด้านเกษตรกรรมในแอฟริกา
หนึ่งในข้ออ้างในการเข้ายึดครองแอฟริกาคือชาวอังกฤษคิดว่า อังกฤษจะต้องยึดครองเส้นทางที่จะไปยังประเทศอินเดียเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคง ทั่้งทางด้านการเมืองและการค้า อังกฤษจึงพยายามกีดกันฝรั่งเศสเข้ามามีอิทธิพลในอียิปต์ แต่แล้วอังกฤษก็ดำเนินนโยบายผิดพลาดโดยยอมให้นักวิศวกรฝรั่งเศสทำการขุดคลองสุเอซ เพราะเมื่อคลองสุเอซสำเร็จลงผู้ที่เฝ้าอยู่ตรงคอคอดปากคลองสุเอซ คือฝรั่งเศสและชาวอียิปต์ ซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดิน อังกฤษจึงเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมืองในทวีปแอฟริกา โดยให้ความสำคัญกับอียิปต์และลุ่มแม่น้ำไนล์ว่าเป็นบริเวณที่มีความสำคัญอันดับหนึ่งของแอฟริกา
สมัยล่าอาณานิคม ยุโรปมีการประชุมเพื่อทำการแบ่งแอฟริกา โดยจัดขึ้นที่กรุงเบอลิน เยรมนีเมื่อปี 1884 การประชุมครั้งนี้ชื่อว่า การปรุชุมแห่งเบอร์ลินเกี่ยวกับคองโก มีผู้แทนจาก 12 ประเทศเข้าร่วมประชุม ส่วนใหญ่เป็นประเทศในยุโรป มีเพียง อเมริกาและและตุรกีที่ไม่อยู่ในทวีปยุโรป
บริสมาร์คเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะผลักดันให้เยอรมนีมีบทบาทในระดับโลก และต้องการที่จะขัดขวางความมักใหญ่ใฝ่สูงของฝรั่งเศส อย่างไรก็ดี บิสมาร์คเห้นว่าฝรั่งเศสควรจะได้รับดินแดนบางส่วนเพื่อเป็นการทดแทนกับการที่ฝรั่งเศสต้องเสียแคว้นเอลซาส โลธริงแกนให้กับเยอรมัน เื่พื่อป้องกันการฝูกใจเจ็บจากฝรั่งเศส นอกจากนี้บิสมาร์คยังพบทางออกที่ดีที่จะไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเยอมนีและอังกฤษ(ในขณะนั้นอังกฤษเป็นประเทศมหาอำนาจ ในขณะที่เยอรมนีเพิ่งจะสร้างประเทศ) บิสมาร์คมองเห็นประโยชน์อันมหาศาลจากการแบ่งดินแดนที่อยู่ลึกเข้าไปในทวีปแอฟริกา
สาเหตุที่สำคัญอีกประการที่ทำให้เกิดการจัดการแบ่งปันแอฟริกา จัดขึ้นที่เมืองเบอร์ลินซ์ คือ พระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 กษัตริย์แห่งเบลเยี่ยมทรงพยายามทำให้เกิดสถานการณ์ต่าง ๆ ในดินแดนแถบลุ่มน้ำคองโก สืบเนื่องมาจากพระองค์มีความสนพระทัยและปรารถนาที่จะครอบครองดินแดนส่วนในของทวีปแอฟริกาเป็นอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้ประเทศต่างๆ ทราบความปรารถนา พระองค์จึงจัดตั้งองค์การนานาชาติภายใต้พระนามแฝงว่า "สมาคมนานาชาติแห่งแอฟริกา"โดยมีจุดประสงค์ของสมาคม เพื่อทำการค้นคว้าทางวิชาการเกี่ยวกับการช่วยเหลือมนุษย์ร่วมโลก..ในแอฟริกาสำหรับประเทศต่าง ๆ ของยุโรป
โดยว่าจ้างนักสำรวจชาวอังกฤษ คือ สแตนเลย์ ซึ่งแปลงสัญชาติเป็นอเมริกัน ทำการสำรวจลึกเข้าไปภายในโดยเริ่มจากแม่น้ำคองโก เข้าไปมีเนื้อที่กว่า สองล้านห้าแสนตารางกิโลเมตร ดอนแดนเหล่นี้กลายเป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 แห่งเบลเยี่ยม แต่พระองค์ทรงเป็นหนีรัฐบาลเบลเยี่ยมเป็นเงินจำนวนมากที่กู้มาใช้ในการสำรวจ พระองค์ไม่สามารถหาเงินคือนได้ รัฐบาลเบลเยียมจึงสั่งยึดแคว้นคองโกเป็นของรัฐ
ยุโรปเกรงว่า เบลเยี่ยมจะกองโดยและผูกขาดผลประโยชน์ และหวาดเกรงเยอรมันและเบลเยี่ยมจะมีอิทธิพลและยึดครองดินแดนส่วนในของทวีปแอฟริกาเป็นจำนวนมาก ซึงจะกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ของประเทต่างๆ ที่เพิ่งจะได้รับในแอฟริกา จึงเกิดความตรึงเครียดและความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน
ผลของการประชุมคือ ให้คองโกเป็นรัฐอิสระ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 แห่งเบลเยี่ยม) แต่จะต้องเปิดตลาดเสรีสำหรับการค้าของนานาชาติ,ให้สิทธิในการเดินเรือในแม่น้ำคองโกและแม่น้ำไนเจอแก่นานาชาติ,ประกันเสรีภาพของชาวพื้นเมือง,ยุติการมีทาสและการค้าทาสทั่วโลก,วางกฎเกฎฑ์เกี่ยวกับการค้าอาวุธในแอฟริกากลางแบ่งเขตอิทธิพลของมหาอำนาจต่าง ๆ , แบ่งดินแดนที่เหลืออยู่ลึกเข้าไปในพื้นทวีป
ดังนั้นในสงครามโลกครั้งนี้ แอฟริกาจึงเป็นเขตสงครามที่ประเทศเจ้าอาณานิคมต่าง ๆ ซึ่งเป็นคู่สงครามด้วยกันทั้งนั้นจะต้องปกป้องผลประโยชน์ของตนในแอฟริกา
การปะทะกันครั้งแรกๆ ของสงครามเกิดในกองทัพอาณานิคมอังกฤษ ฝรั่งเศษและเยอรมนี กองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษรุกรานโตโกแลนด์ อันเป็นดินแดนในอารักขาของเยอรมนี..
กองทัพเยอรมนีในแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ โจมตี แอฟริการใต้ การต่อสู้ประปรายและป่าเถื่อนดำเนินจนกระทั่งสงครามสิ้นสุด
กองทัพอาณานิคมเยอรมันในแอฟริกาตะวันออกของเยอรมี นำโดยพันเอก พอล เอมิล ฟอน เลทโท-เวอร์เบค สู้รบในสงครามกองโจรและยอมจำนนสองสับดาห์หลังสัญญาสงบศึกมีผลใช้บังคับในยุโรป
*สงครามกองโจร เป็นการปฏิบัติการทางการทหารและกึ่งทหาร โดยใช้กำลังรบนอกแบบ กำลังประชาชนในดินแดนที่ฝ่ายตรงข้ามยึดครอง หรือในดินแดนของฝ่ายตรงข้าม มีทหารหน่วยรบพิเศษเป็นผู้กำกับดูแลและให้คำแนะนำสำหรับสงครามกองโจรนั้นถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติทางทหารโดยเปิดผยของกลุ่มก่อความไม่สงบ หรือขบวนการต่อต้านติดอาวุธ ภารกิจที่มอบให้กองโจรทำได้แก่ การซุ่มโจมตี การวางระเบิด และการลอบสังหาร โดยกำลังรบของกลุ่มต่อต้านที่ผ่านกระบวนการจัดตั้งแล้วสามารถปฏิบัติการทางทหารในลักษณะที่กล่าวมาได้โดยกำลังของตนเองเพียงลำพัง ส่วนใหญ่แล้วลักษณะของการปฏิบัติการจะเป็นการขัดขวางเส้นทาง การรบกวนการติดต่อสื่อสารและขัดขวางการซ่อมบำรุงของฝ่ายข้าศึกด้วยการวางทุ่นระเบิด กับระเบิด นอกจากนี้กองโจรอาจถูกใช้ในการรวบรวมข่าวสารอีกด้วย
วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556
WWI:ราซีย์สกายาฟิดิรัตซียา
ในสมัย "ซาแห่งสันติภาพ" หรือซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย เนืองจากสามารถแ้ปัญหาจากการปฏิวัติทุกรูปแบบ ทางด้านต่างประเทศรัสเซียดำเนินนธยบายเป็นมิตรกับจักวรรดิเยอมนีและจักวรรดิออตโตมัน กระทั่งเกิดปัญหารเรืองดินแดนในคาบสมุทรบอลข่าน รสเซียจึงเปลี่ยนนโยบายไปเป็นมิตรกับฝรั้่งเศสและอังกฤษ กลุ่มต่อต้านระบบกษัตริย์ได้หายไปอย่างรวดเร็ว มีเพียงกลุ่มหนึ่งได้พยายามวางแผนลอบปลงพระชนม์ แต่ถูกขัดขวางโดยตำรวจลับรัสเซีย นักศึกษาจำนวนหนึ่งถูกแขวนคอ รวมทั้งอเล็กซานเดอร์ อุลยานอฟ ซึ่งเป็นพี่ชาย วลาดีมีร์ เลนิน ซึ่งอีกหลายปีต่อมาใช้เวลาส่วนใหญ่กับขบวนการปฏิวัติใต้ดอน เพื่อล้างแค้นให้พี่ชาย
อเล็กซานเดอร์ที่ 3 สเด็จสวรรคต เมือพระชนมายุได้ 49 พรรษา มกุฎราชกุมารนิโคลัสขึ้นเป็ฯซษร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ทรงเป็นจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของรัสเซีย ทรงครองราชย์พร้อมกับการเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสไม่สามารถตกลงอะไรกันได้กับอังกฤษ และได้รับการกล่าวขานว่าเป็นจักรพรรดิที่อ่อนแดไม่สามารถจักการกับสถานการณ์ที่ปั่นป่วนของประเทศพ่ายแพ้การรบทางเรือในสางครามรัสเซ๊ย-ญี่ปุ่น และทรงเข้าบัญชาการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 รัสเซียประกาศสงครามกับมหาอำนาจกลางเมือวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1914 โดยเข้ากับฝ่ายไตรสัมพันธมิตร ทำการรบแนวรบด้านตะวันออก
แนวรบด้านตะวันออกและตะวันตกนั้นแม้จะแยกกันทางภูมิศาสตร์แต่เหตุการณ์ในเขตสงครามทั้งสองมีอิทธิพลต่อกันเป็นอย่างมาก
แนวรบทางด้านตะวันออกใหญ่กว่าแนวรบทางตะวันตกมาก เขตสงครามจำกัดขอบเขตอยางหยาบ ๆ โดย ทะเลบอลติก ทางตะวันตก มินสก์ทางตะวันออก เซนต์ปีเตอร์เบิร์กทางเหนือ และทะเลดำทางใต้ คิดเป็นระยะทางกว่า 1,600 กิโลเมตร ซึ่งมีผลอย่างรุนแรงต่อธรรมชาติของสงคราม เนื่องจากแนวรบยาวความหนาแน่นของทหารต่ำกว่าแนวรบด้านตะวันตก และแตกง่ายกว่า และเมื่อแตกแล้วเป็นการยากสำหรับฝ่ายตั้งรับที่จะส่งกำลังหนุนมาช่วย กล่าวคือฝ่ายป้องกันในแนวรบด้านตะวันออกไม่มีข้อได้เปรียบเหมือนกับแนวรบด้านตะวันตก
สงครามเริ่มโดยการรุกรานปรัสเซีย และจังหวัดกาลิเซียของออสเตรีย-ฮังการี ความพยายยามแรกของรัสเซียประสบความล้มเหลว แต่สามารถควบคุมกาลิเซียเกือบทั้งหมดได้ ซึ่งเป็นผลให้เยอรมันต้องแบ่งทหารส่งมาทางตะวันออก
ความสนใจหลักของการสู้รบไปอยู่ที่ส่วนกลางของโปแลนด์ทางตะวันออกของแม่น้ำวิลตูลา ในยุทธการแม่น้ำวิลตูลา ฝ่ายเยอรมนีประสบความสำเร็จเล็กน้อยแต่สามารถกันรัีสเซียให้อยู่ในระยะที่ปลดภัยได้
ในปี 1915 กองบัญชาการเยอมนีตัดสิใจทุ่มเทความพยายามส่วนใหญ่บนแนวรบด้านตะวันออกและย้ายกองกำลังขนาดใหญ่มาจากตะวันตก ฝ่ายมหาอำนาจกลางเริ่มด้วยการรุกกอลิซขทอร์นอฟในกาลิเซีย หลังยุทธการทะเลสาบมาซูเรียกำลังเยอรมนีและออกเตรีย - ฮังการีในแนรบด้านตะวันออดำนเนินการอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาร่วมกันไม่นานการรุกจะเปลี่ยนไปเป็นการคืบหน้าโดยทั่งไปกละตามด้วยการล่าถอยทางยุทธศาตร์ของกองทัพรัสเซีย (สาเหตุของการผันกลับนี้เกิดจากข้อผิดพลาดในแง่ยุทธวิธี )
กลางปี 1915 รัสเซียถูกขับออกจากโปแลนด์และถูกผลักดันหลายร้อยกิโลเมตรจากชายแดนของระเทศมหาอำนาจกลาง ปลายปีเดียวกันนี้ เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีสามารถหยุดยั้งการบุกของรัสเซียได้
ปี 1916 ในเดือนมิถุนายน รัสเซียมีอกองพลทหารราบ 140 กองพลในขณะที่ออสเตรียและเยอมันีมี 105 กองพล กองทหารม้ารัสเซีย 40 กองพลในขณะที่ฝ่ายมหาอำนาจกลางมี 22 กองพล การระดมอุตสาหกรรมและการเพ่ิมการส่งออก จึงส่งผลให้รัสเซียเป็นฝ่ายบุกต่อไปได้
การโจมตีครั้งใหญ่บนแนวรบด้านตะวันตกเฉียงใต้โดยการนำของพลเอกอเล็กเซย์ บรูซิลอฟ (เรียกว่าการรุกของบรูซิลอฟ)เริ่มขึ้นในเดือนมิถุนา โดยเป้าหมายการโจมตีคือส่วนของแนวรบที่ควบคุมโดยออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งประุสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจในช่วงแรกกองทัพรัสเซียรุกเข้าไปลึก 50-70 กิโลเมตร จับกุมเชลยได้หลายแสนคน และปืนใหญ่อีกหลายร้อยกระบอก
การมาถึงของกองหนุน ความพ่ายแพ้ของโรมาเนีย ความล้มเหลวของพันธมิตรตะวันตกในการสั่นสะเทือนการป้องกันของเยอรมนีทำให้การรุกของรัสเซียสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน
14 สิงหาคม ค.ศ. 1916 โรมาเนียเข้าสู่สงครามโดยอยู่ฝ่ายไตรพันธมิตร และทำการรุกประสบความสำเร็จกระทั่งเดือนกันยน โรมาเนียเริ่มประสบความสูญเสียอย่างหนักและพ่ายแพ้หลายครั้ง เนื่องจากยุทโธปกรณ์และขาดความช่วยเหลือจากรัสเซีย
ปี 1917 กองทัพเยอมันสามารถสมทบกับกองทัพออสเตรีย-ฮังการีในทรานซิลวาเนียและกรุงบูชาเรสต์ถูกขึดโดยฝ่ายมหาอำนาจกลางในเดือนธันวาคม ไม่นานนักความไม่สงบก็แผ่กระจายไปทั่งรัสเซีย ขณะที่ซาร์แห่งรัสเซียยังคงบัญชาการรบอยู่แนวหน้า จักรพรรดินีอเล็กซานดราซึ่งไร้ความสามารถในการปกครองไม่สามารถปราบปรามกลุ่มประท้วงได้และนำไปสู่การฆาตกรรม"รัสปูติน" ปลายปี 1916
มีนาคม 1917 การชุมนุมที่กรุงเซนต์ปีเตอร์เบิร์กลงเอยด้วยการสละราชบัลลังก์ของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย และการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวซึ่งมีความอ่อนแอและแบ่งปันอำนาจกับกลุ่มสัคมนิยมเปโตรกราดโซเวียต การจัดการดังกล่าวสร้างความสับสนและนำไปสู่ความวุ่นวายทั้งในแนวหน้าและในแผ่นดินรัสเซีย กองทัพรัสเซียด้อยประสิทธิภาพลงกว่าเดิม
สงครามและรัฐบาลชั่วคราวของรัศเซียไม่เป็ฯนิยมของประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ ความไม่พอใจดังกล่าวได้นำไปสู่การขึ้นครองอำนาจของพรรคบอลเชวิค นำโดย วลาดีนีย์ เลนิน ซึ่งให้สัญญากับชาวรัสเซียว่าจะดึงรัสเซียออกจากสงครามและทำให้รัสเซียกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
ชัยชนะของพรรคบอลเชวิคในการปฏิวัติเดืิอนตุลาคม ตามด้วยการสงบศึกชั่วคราวและการเจรจากับเยอมนี ซึ่งในตอนแรก พรรคบอลเชวิคปฏิเสธข้อเสนอของเยรมนี แต่เมื่อกองทัพเยอมันีบุกถึงยูเครน เขาจึงต้องยอมเซ็นสัญญาเบรสต์-ลีโตเวส เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 1918 ซึ่งทำให้รสเซียออกจาสงครา และยอมยกดินแดนในแก่ฝ่ายมหาอำนาจกลาง...
อเล็กซานเดอร์ที่ 3 สเด็จสวรรคต เมือพระชนมายุได้ 49 พรรษา มกุฎราชกุมารนิโคลัสขึ้นเป็ฯซษร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ทรงเป็นจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของรัสเซีย ทรงครองราชย์พร้อมกับการเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสไม่สามารถตกลงอะไรกันได้กับอังกฤษ และได้รับการกล่าวขานว่าเป็นจักรพรรดิที่อ่อนแดไม่สามารถจักการกับสถานการณ์ที่ปั่นป่วนของประเทศพ่ายแพ้การรบทางเรือในสางครามรัสเซ๊ย-ญี่ปุ่น และทรงเข้าบัญชาการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 รัสเซียประกาศสงครามกับมหาอำนาจกลางเมือวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1914 โดยเข้ากับฝ่ายไตรสัมพันธมิตร ทำการรบแนวรบด้านตะวันออก
แนวรบด้านตะวันออกและตะวันตกนั้นแม้จะแยกกันทางภูมิศาสตร์แต่เหตุการณ์ในเขตสงครามทั้งสองมีอิทธิพลต่อกันเป็นอย่างมาก
แนวรบทางด้านตะวันออกใหญ่กว่าแนวรบทางตะวันตกมาก เขตสงครามจำกัดขอบเขตอยางหยาบ ๆ โดย ทะเลบอลติก ทางตะวันตก มินสก์ทางตะวันออก เซนต์ปีเตอร์เบิร์กทางเหนือ และทะเลดำทางใต้ คิดเป็นระยะทางกว่า 1,600 กิโลเมตร ซึ่งมีผลอย่างรุนแรงต่อธรรมชาติของสงคราม เนื่องจากแนวรบยาวความหนาแน่นของทหารต่ำกว่าแนวรบด้านตะวันตก และแตกง่ายกว่า และเมื่อแตกแล้วเป็นการยากสำหรับฝ่ายตั้งรับที่จะส่งกำลังหนุนมาช่วย กล่าวคือฝ่ายป้องกันในแนวรบด้านตะวันออกไม่มีข้อได้เปรียบเหมือนกับแนวรบด้านตะวันตก
สงครามเริ่มโดยการรุกรานปรัสเซีย และจังหวัดกาลิเซียของออสเตรีย-ฮังการี ความพยายยามแรกของรัสเซียประสบความล้มเหลว แต่สามารถควบคุมกาลิเซียเกือบทั้งหมดได้ ซึ่งเป็นผลให้เยอรมันต้องแบ่งทหารส่งมาทางตะวันออก
ความสนใจหลักของการสู้รบไปอยู่ที่ส่วนกลางของโปแลนด์ทางตะวันออกของแม่น้ำวิลตูลา ในยุทธการแม่น้ำวิลตูลา ฝ่ายเยอรมนีประสบความสำเร็จเล็กน้อยแต่สามารถกันรัีสเซียให้อยู่ในระยะที่ปลดภัยได้
ในปี 1915 กองบัญชาการเยอมนีตัดสิใจทุ่มเทความพยายามส่วนใหญ่บนแนวรบด้านตะวันออกและย้ายกองกำลังขนาดใหญ่มาจากตะวันตก ฝ่ายมหาอำนาจกลางเริ่มด้วยการรุกกอลิซขทอร์นอฟในกาลิเซีย หลังยุทธการทะเลสาบมาซูเรียกำลังเยอรมนีและออกเตรีย - ฮังการีในแนรบด้านตะวันออดำนเนินการอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาร่วมกันไม่นานการรุกจะเปลี่ยนไปเป็นการคืบหน้าโดยทั่งไปกละตามด้วยการล่าถอยทางยุทธศาตร์ของกองทัพรัสเซีย (สาเหตุของการผันกลับนี้เกิดจากข้อผิดพลาดในแง่ยุทธวิธี )
กลางปี 1915 รัสเซียถูกขับออกจากโปแลนด์และถูกผลักดันหลายร้อยกิโลเมตรจากชายแดนของระเทศมหาอำนาจกลาง ปลายปีเดียวกันนี้ เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีสามารถหยุดยั้งการบุกของรัสเซียได้
ปี 1916 ในเดือนมิถุนายน รัสเซียมีอกองพลทหารราบ 140 กองพลในขณะที่ออสเตรียและเยอมันีมี 105 กองพล กองทหารม้ารัสเซีย 40 กองพลในขณะที่ฝ่ายมหาอำนาจกลางมี 22 กองพล การระดมอุตสาหกรรมและการเพ่ิมการส่งออก จึงส่งผลให้รัสเซียเป็นฝ่ายบุกต่อไปได้
การโจมตีครั้งใหญ่บนแนวรบด้านตะวันตกเฉียงใต้โดยการนำของพลเอกอเล็กเซย์ บรูซิลอฟ (เรียกว่าการรุกของบรูซิลอฟ)เริ่มขึ้นในเดือนมิถุนา โดยเป้าหมายการโจมตีคือส่วนของแนวรบที่ควบคุมโดยออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งประุสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจในช่วงแรกกองทัพรัสเซียรุกเข้าไปลึก 50-70 กิโลเมตร จับกุมเชลยได้หลายแสนคน และปืนใหญ่อีกหลายร้อยกระบอก
การมาถึงของกองหนุน ความพ่ายแพ้ของโรมาเนีย ความล้มเหลวของพันธมิตรตะวันตกในการสั่นสะเทือนการป้องกันของเยอรมนีทำให้การรุกของรัสเซียสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน
14 สิงหาคม ค.ศ. 1916 โรมาเนียเข้าสู่สงครามโดยอยู่ฝ่ายไตรพันธมิตร และทำการรุกประสบความสำเร็จกระทั่งเดือนกันยน โรมาเนียเริ่มประสบความสูญเสียอย่างหนักและพ่ายแพ้หลายครั้ง เนื่องจากยุทโธปกรณ์และขาดความช่วยเหลือจากรัสเซีย
ปี 1917 กองทัพเยอมันสามารถสมทบกับกองทัพออสเตรีย-ฮังการีในทรานซิลวาเนียและกรุงบูชาเรสต์ถูกขึดโดยฝ่ายมหาอำนาจกลางในเดือนธันวาคม ไม่นานนักความไม่สงบก็แผ่กระจายไปทั่งรัสเซีย ขณะที่ซาร์แห่งรัสเซียยังคงบัญชาการรบอยู่แนวหน้า จักรพรรดินีอเล็กซานดราซึ่งไร้ความสามารถในการปกครองไม่สามารถปราบปรามกลุ่มประท้วงได้และนำไปสู่การฆาตกรรม"รัสปูติน" ปลายปี 1916
มีนาคม 1917 การชุมนุมที่กรุงเซนต์ปีเตอร์เบิร์กลงเอยด้วยการสละราชบัลลังก์ของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย และการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวซึ่งมีความอ่อนแอและแบ่งปันอำนาจกับกลุ่มสัคมนิยมเปโตรกราดโซเวียต การจัดการดังกล่าวสร้างความสับสนและนำไปสู่ความวุ่นวายทั้งในแนวหน้าและในแผ่นดินรัสเซีย กองทัพรัสเซียด้อยประสิทธิภาพลงกว่าเดิม
สงครามและรัฐบาลชั่วคราวของรัศเซียไม่เป็ฯนิยมของประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ ความไม่พอใจดังกล่าวได้นำไปสู่การขึ้นครองอำนาจของพรรคบอลเชวิค นำโดย วลาดีนีย์ เลนิน ซึ่งให้สัญญากับชาวรัสเซียว่าจะดึงรัสเซียออกจากสงครามและทำให้รัสเซียกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
ชัยชนะของพรรคบอลเชวิคในการปฏิวัติเดืิอนตุลาคม ตามด้วยการสงบศึกชั่วคราวและการเจรจากับเยอมนี ซึ่งในตอนแรก พรรคบอลเชวิคปฏิเสธข้อเสนอของเยรมนี แต่เมื่อกองทัพเยอมันีบุกถึงยูเครน เขาจึงต้องยอมเซ็นสัญญาเบรสต์-ลีโตเวส เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 1918 ซึ่งทำให้รสเซียออกจาสงครา และยอมยกดินแดนในแก่ฝ่ายมหาอำนาจกลาง...
วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556
WWI:U-boat
u-boat ฝูงหมาป่าแห่งท้องทะเล เรือพิฆาต หรืออะไรก็ตามแต่ เรือยู ทำหน้าที่หลักในการตัดเสบียงที่ขนส่งทางท้องทะเล เรือยูเป็นเรือดำนำกองทัพเรื่อเยอรมนี
นายพลแทพลิทซ์ ผู้มีบทบาทสำคัญในการขยายกองทัพเรือเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่กล้าตัดสินใจที่จะเสี่ยงนำกำลังทางทะเลออกต่อสู้กับราชนาวีอังกฤษ
กองทัพเรือเยอรมันจึงใช้เรื่อดำน้ำ(ยู-โบสต์)ทำสงครามกับอังกฤษ โดยเน้นการใช้เรื่อดำน้ำเข้าโจมตีทำลายเมืองตาอมชายฝั่งทะเลอังกฤษ
...เยอรมันไม่เคยประสบความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ทางทะเลกับอังกฤษ
ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1915 เรื่อเดินทะเล ลูซินาทาเนีย ถูกตอร์ปิโดของเรือดำน้ำเยอรมันจมลง มีชาวอเมริกันเสียชีวิต 139 คน เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมันกับอเมริกาเลวลงถึงขั้นจะประกาศสงคราม แต่อย่างไรก็ดีเยอรมันอ้างว่าเรือลูซิทาเนียทำการลักลอบขนสัมถาระทงหหารจากสหรัฐมาสู่เกาะอังกฤษ
ในเดือนมีนาคา ปี 1916 เรือยูจมเรื่อซัสเซ็กส์ ซึ่งสร้างความโกรธแค้นต่ออเมริกาเป็นอย่างมาก เยอรมันจึงยุตินโยบายการใช้เรือดำน้ำแบบไม่จำกับขอบเขตชั่วคราว
นโยบายการใช้เรือดำน้ำในเชิงรุกของเยอรมนี
ในปี 1916 ปฏิบัติการทำลายเส้นทางลำเลียงของข้าศึกโดยใช้เรือดำน้ำของฝ่ายเยอรมันได้สร้างความหวาดกลัวให้กับกองเรือของประเทศฝ่ายพันธมิตรเป็นอยางมาก เพราะทั้งเรือสินค้าและเรือรบได้ถูกทำลายลุงถึงประมาณ 300,000 ตันต่อเดือนในตอนใกล้าจะสิ้นปี 1916 การตัดสินใจใช้เรือดำน้ำอย่างไม่มีขอบเขตของฝ่ายเยอรมันส่งผลกระทบต่ออังกฤษเป็นอย่างมาก อังกฤษขาดแคลนอาหารที่ส่งจาสหรัฐ ในยุทธวิธีดังกล่าวยังสร้างความเสียหายต่ออเมริกาด้วยเช่นกัน
และจากยุทธวิธีนี้เองซึ่งเยอรมันเชื่อว่าจะสามารถบังคับอังกฤษให้ยอมแพ้ก่อนที่อเมริกาจะข้าร่วมสงคราม แต่แล้วในที่สุดอเมริกาก็นประกาศเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายไตรพันธมิตร ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายไตรพันธมิตรเป็นอย่างมาก
วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556
WWI:Schlieffen Plan
Wrolde War One หรือสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งบางที่ก็เรียกว่า The Great War
สมรภูมิในยุโรป
แนวรบด้านตะวันตก
แผนชลีเฟน Schlieffen Plan
เป็นเวลาหลายปีก่อนสงคราม เสนาธิการทหารเยอรมัน หลายคนต่างคาดการณ์ว่า ในอนาคตเยอรมันต้องเผชิญศึก 2 ด้านพร้อมกัน โดยทางตะวันตกเยอรมันต้องต่อสู้กับฝรั่งเศส และทางตะวันออกคือรัสเซีย
นายพล อัลเฟรด กราฟ ฟอน ชลีเฟน เมื่อเข้ารับตำแหน่งเสนาธิการ ได้ประเมินสถานการณ์ และมีแนวคิทีตรงอข้ามกับอดีตเสนาธิการที่ผ่านๆ มา โดยเห็นว่า เยอรมันควรเผด็จศึกทางด้านตะวันตกก่อน(ฝรั่งเศส)โดยเคลื่อนทัพผ่านอ้อมแนวป้องกันอันแข็งแกร่งผ่านเบลเยี่ยมซึ่งขณะนั้นวางตัวเป็นกลาง ปิดล้อมปารีส หลังจากนั้นจึงย้ายกำลังรบไปยังรัสเซีย
จากแผนยุทธการดังกล่าวชลีเฟนกำหนดกำลังรบเป็น 8 ส่วน 7 ส่วนบุกผ่านเบลเยี่ยม เข้าทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศสบุกยึดปารีส กำลังอีก 1ส่วนจะอยู่ทางใต้ คอยระวังเมืองอุตสาหกรรมสำคัญของเยอรมัน ในแผนการนี้ชลีเฟนเห็นว่าอาจจะได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงที่เมือง Liege และ Namur จึงวางแผนที่จะเดินทัพ เข้าไปในเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นตอนเหนือของเบลเยี่ยมด้วย เพื่อเดินทัพเลียบฝั่งทะเลช่องแคบอังกฤษ แล้ววกลงมาทางตะวันออกเพื่อปิดล้อมปารีสและป้องกันกองทัพฝรั่งเศสจากแนวรบหวนกลับเข้ามาช่วย ซึ่งเชื่อว่าหากปิดล้อมปารีสแล้วฝรั่งเศสจะยอมจำนนในเวลาอันสั้น
ต่อมาได้มีการปรับแผนอันเนื่องมาจากการที่ต้องใช้ทหารจำนวนมากในแผนนี้ โดยให้ปีกขวาที่จะต้องอ้อมกรุงปารีสทางตะวันกตเปลี่ยนเส้นทางเข้ากรุงปารีสจากทางเหนือ และเสริมกำลัง ทางปีกซ้ายให้แข็งแกร่งขึ้น การปรับแผนได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเมื่อ ฟอน ชลีเฟนเกษียรอายุแล้ว ผุ้ที่เข้าดำรงตำแหน่งเสนาธิการคนถันมาคือ มอลเก้(Helmuth von Moltke Yonger )ซึ่งเห็นว่าสถานการต่างๆ เปลี่ยนแลงตลอดเวลา การเดินทัพผ่านแนวป้องกันเบลเยี่ยมคงไม่ยาก แต่ถ้าเดินทัพเข้าเนเธอร์แลนด์ด้วยปีก ขวาของกองทัพเยอรมันก็เท่ากับละเมิดประเทศที่เป็นกลางถึง 2 ประเทศจึงเห็นว่าควรหลีกเลี่ยงการส่งปีกขวาเข้าเนเธอร์แลนด์ นอกจากนี้ยังเห็นว่ารัสเซียเริ่มมีกำลังทหารที่เข้มแข็งจึงความเตรียมกำลังส่วนหนึ่งป้องกันแคว้นAlsace-Lorraine ซึ่งเป็นแหลงถ่านหินและอุตสาหกรรมหนักของเยอรมัน
แม่ทัพใหญ่เยอรมันดำเนินการตามแผนการของชลีเฟน เบลเยียมถูกยึดครองอย่างรวดเร็ว กองทัพเยอมันสามารถเดินทัพมุ่งตรงสู่กรุงปารีส
นายพลจอฟร์ Joffre ผุ้บัญชาการทหารฝรั่งเศสบุกโจมตีที่มั่นของเยอรมันในแค้งลอร์เรนดังคาดการณ์ เยอรมันจึงต้องแบ่งกำลังบางส่วนไปเสริมที่รอเล้นและอีกบางส่วนไปสมทบในปรัสเซียตะวันออกเอพื่คอยต้อนทานการบุกของรัสเซีย
ความผิดพลากจากการแบ่งกำลังปารีสจึงรอพ้นการถูกยึดครอง เมื่อไม่เป็นไปดังแผนการฝ่ายไตรพันธมิตรสามารถรวมตัวกันได้ในแนวรบด้านตะวันตกและรบชนะกองทัพเยอรมันในบริเวณลุ่มแม่น้ำมาร์น Battle of the Marnในเดือนกันยายน 1914 ถึงแม้เยอรมันจะเป็นฝ่ายแพ้ในการรบบริเวณลุ่มแม่น้ำมาร์น แต่เยอรมันยังสามารถยึดครองลักเซมเอร์กและดินแดนส่วนใหญ่ของเบลเยียมไว้ได้กรทั่งยุติสงคราม
ผลจากความล้มเหลวในสมรภูมิลุ่มแม่น้ำมาร์น นายพลฟอกเกนเฮน Falkenhayn ได้เข้าดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แทนนายพลโมลเก้ และทั้งสองฝ่ายต่างทำอะไรกันได้ไม่มากนักในสมรภูมินี้
สมรภูมิในยุโรป
แนวรบด้านตะวันตก
แผนชลีเฟน Schlieffen Plan
เป็นเวลาหลายปีก่อนสงคราม เสนาธิการทหารเยอรมัน หลายคนต่างคาดการณ์ว่า ในอนาคตเยอรมันต้องเผชิญศึก 2 ด้านพร้อมกัน โดยทางตะวันตกเยอรมันต้องต่อสู้กับฝรั่งเศส และทางตะวันออกคือรัสเซีย
นายพล อัลเฟรด กราฟ ฟอน ชลีเฟน เมื่อเข้ารับตำแหน่งเสนาธิการ ได้ประเมินสถานการณ์ และมีแนวคิทีตรงอข้ามกับอดีตเสนาธิการที่ผ่านๆ มา โดยเห็นว่า เยอรมันควรเผด็จศึกทางด้านตะวันตกก่อน(ฝรั่งเศส)โดยเคลื่อนทัพผ่านอ้อมแนวป้องกันอันแข็งแกร่งผ่านเบลเยี่ยมซึ่งขณะนั้นวางตัวเป็นกลาง ปิดล้อมปารีส หลังจากนั้นจึงย้ายกำลังรบไปยังรัสเซีย
จากแผนยุทธการดังกล่าวชลีเฟนกำหนดกำลังรบเป็น 8 ส่วน 7 ส่วนบุกผ่านเบลเยี่ยม เข้าทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศสบุกยึดปารีส กำลังอีก 1ส่วนจะอยู่ทางใต้ คอยระวังเมืองอุตสาหกรรมสำคัญของเยอรมัน ในแผนการนี้ชลีเฟนเห็นว่าอาจจะได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงที่เมือง Liege และ Namur จึงวางแผนที่จะเดินทัพ เข้าไปในเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นตอนเหนือของเบลเยี่ยมด้วย เพื่อเดินทัพเลียบฝั่งทะเลช่องแคบอังกฤษ แล้ววกลงมาทางตะวันออกเพื่อปิดล้อมปารีสและป้องกันกองทัพฝรั่งเศสจากแนวรบหวนกลับเข้ามาช่วย ซึ่งเชื่อว่าหากปิดล้อมปารีสแล้วฝรั่งเศสจะยอมจำนนในเวลาอันสั้น
ต่อมาได้มีการปรับแผนอันเนื่องมาจากการที่ต้องใช้ทหารจำนวนมากในแผนนี้ โดยให้ปีกขวาที่จะต้องอ้อมกรุงปารีสทางตะวันกตเปลี่ยนเส้นทางเข้ากรุงปารีสจากทางเหนือ และเสริมกำลัง ทางปีกซ้ายให้แข็งแกร่งขึ้น การปรับแผนได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเมื่อ ฟอน ชลีเฟนเกษียรอายุแล้ว ผุ้ที่เข้าดำรงตำแหน่งเสนาธิการคนถันมาคือ มอลเก้(Helmuth von Moltke Yonger )ซึ่งเห็นว่าสถานการต่างๆ เปลี่ยนแลงตลอดเวลา การเดินทัพผ่านแนวป้องกันเบลเยี่ยมคงไม่ยาก แต่ถ้าเดินทัพเข้าเนเธอร์แลนด์ด้วยปีก ขวาของกองทัพเยอรมันก็เท่ากับละเมิดประเทศที่เป็นกลางถึง 2 ประเทศจึงเห็นว่าควรหลีกเลี่ยงการส่งปีกขวาเข้าเนเธอร์แลนด์ นอกจากนี้ยังเห็นว่ารัสเซียเริ่มมีกำลังทหารที่เข้มแข็งจึงความเตรียมกำลังส่วนหนึ่งป้องกันแคว้นAlsace-Lorraine ซึ่งเป็นแหลงถ่านหินและอุตสาหกรรมหนักของเยอรมัน
แม่ทัพใหญ่เยอรมันดำเนินการตามแผนการของชลีเฟน เบลเยียมถูกยึดครองอย่างรวดเร็ว กองทัพเยอมันสามารถเดินทัพมุ่งตรงสู่กรุงปารีส
นายพลจอฟร์ Joffre ผุ้บัญชาการทหารฝรั่งเศสบุกโจมตีที่มั่นของเยอรมันในแค้งลอร์เรนดังคาดการณ์ เยอรมันจึงต้องแบ่งกำลังบางส่วนไปเสริมที่รอเล้นและอีกบางส่วนไปสมทบในปรัสเซียตะวันออกเอพื่คอยต้อนทานการบุกของรัสเซีย
ความผิดพลากจากการแบ่งกำลังปารีสจึงรอพ้นการถูกยึดครอง เมื่อไม่เป็นไปดังแผนการฝ่ายไตรพันธมิตรสามารถรวมตัวกันได้ในแนวรบด้านตะวันตกและรบชนะกองทัพเยอรมันในบริเวณลุ่มแม่น้ำมาร์น Battle of the Marnในเดือนกันยายน 1914 ถึงแม้เยอรมันจะเป็นฝ่ายแพ้ในการรบบริเวณลุ่มแม่น้ำมาร์น แต่เยอรมันยังสามารถยึดครองลักเซมเอร์กและดินแดนส่วนใหญ่ของเบลเยียมไว้ได้กรทั่งยุติสงคราม
ผลจากความล้มเหลวในสมรภูมิลุ่มแม่น้ำมาร์น นายพลฟอกเกนเฮน Falkenhayn ได้เข้าดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แทนนายพลโมลเก้ และทั้งสองฝ่ายต่างทำอะไรกันได้ไม่มากนักในสมรภูมินี้
วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556
Sarajevo ซาราเจโว
ผลกระทบจากสงครามบอลข่านครั้งที่ 2 ทำให้ออสเตรีย-ฮังการีกับเซอร์เบียเพิ่มความเป็นศัตรูต่อกันมากยิ่งขึ้น และชัยชนะที่เซอร์เบียได้รับยังเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกชาตินิยมแก่พวกสลาฟในดินแดนบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาที่ต้องการปลดแอกตนเองจากการยึดครองของออสเตรีย-ฮังการีเพื่อไปรวมกับเซอร์เบีย
เพื่อเป็นการลดความกดดันทางการเมืองต่อความรู้สึกต่อต้านออสเตรีย-ฮังการี อาร์ชดยุก ฟรานซิส เฟอร์ดินาน ผู้เป็นองค์รัชทายาทของอาณาจักรออสเตรีย-ฮังการีและพระชายาจึงเสด็จไปเยือนกรุงซาราเจโวซึ่งเป็นเมืองหลวงของบอสเนีย..แต่ทั้งสองพระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์! โดยกาวริโลปรินชิป นักศึกษาชาวเซิร์บซึ่งเป็นสมาชิกสมาคม แบล็ค แฮนด์ ซึ่งเป็นสมาคมลับต้อต้านออสเตรีย-ฮังการีรัฐบาลเซอร์เบียได้รู้ถึงแผนการดังกล่าวก่อนแล้วแต่ก็ไม่หาทางป้องกัน
ภายหลังจากเหตุการณ์รัฐบาลออสเตรีย-ฮังการีถามความเห็นไปยังรัฐบาลเยอรมันในกรณีที่จะทำสงคราม รัฐบาลเยอมันมีความเชื่อว่าเซอร์เบียเป็นฝ่ายผิด รัฐบาลเยอรมันยืนยันที่จะให้การสนับสนุนต่อออสเตรีย-ฮังการี จากคำยืนยันดังกล่าวออสเตรีย-ฮังการี จึงใช้เป็นข้ออ้างในการประกาศสงครามกับเซอร์เบียในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามเยอรมันมีควาคิดว่าสถานการณ์ดังกล่าวยังพอมีทางตกลงกันได้โดยไม่ต้องใช้สงครามเป็นเครื่องมือ
ออสเตรีย-ฮังการียื่นคำขาดต่อรัฐบาลเซอร์เบียทั้งหมด11 ข้อ แต่ไม่ได้รับคำตอบเป็นที่น่าพอใจในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย
วันต่อมารัสเซียสังระดมพล เมื่อเยอรมันทราบข่าวจึงยื่นคำขาดให้รัสเซียยุติการกระทำดังกล่าวภายใน 12 ชั่วโมงแต่เยอรมันไม่ได้คำตอบจากรัสเซีย ในเวลา 1 ทุ่ม ตรงของวันที่ 1 สิงหาม ค.ศ. 1914 เยอรมนีก็ประกาศสงครามกับรัสเซีย โดยยื่นคำขาดให้ฝรั่งเศสวางตัวเป็นกลางแต่ฝรั่งเศไม่รับฟัง เยอรมันจึงประกาศสงครามกับฝรั่งเศสในวันที่ 3 สิงหาคม 1914 และภายนวันเดียวกันเยอรมันสั่งงเดินทัพผ่านเบอเยี่ยมเพื่อบุกโจมตีฝรั่งเศส อังกฤษซึ่งวางตัวเป็นกลางตั้งแต่แรกขอให้เยอรมันเคารพเอกราชและความเป็นกลางของเบลเยียม อังกฤษจึงต้องประกาศสงครามเมือเยอรมันบุกเบลเยี่ยม
อิตาลีปฏิเสธที่จะเข้าร่วมสงครามขอวางตัวเป็นกลาง โดยอ้างว่ากลุ่มไตรภาคีของตนเป็นฝ่ายรุกราน ตุรกีเข้าร่วมสงคราม ในเดือนพฤศจิกายน 1914 โดยเข้าร่วมกับฝ่ายเยอมนและออสเตรีย-ฮังการี ดดยอ้างเหตุผลเพื่อปกป้องตนเองจากการขยายอำนาจของรัสเซียในบริเวณช่องแคบ อีก 1 ปีต่อมา ในเดือนตุลาคม 15 บัลแกเลียได้เข้าร่วมสงครามกับฝ่ายเยอรมนี ด้วยเหตุผลเพื่อแก้แค้นเซอร์เบีย ฝ่ายเยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี ตุรกีและบัลแกเลียเป็นทีรู้จักกันในนามของฝ่ายมหาอำนาจกลาง ส่วนฝ่ายพันธมิตร ประกอบด้วยรัสเซีย ฝรั่งเศส อังกฤษและเซอร์เบีย ซึ่งในเลต่อมาก็มีประเทศอื่นๆ อีก 18 ประเทศ เข้ามาร่วม รวมทั้งญี่ปุ่น อิตาลีซึ่งเดิมอยู่ฝ่ายไตรภาคและวางตัวเป็นกลางได้หันมาร่วมกับฝ่ายพันธมิตร โดยฝ่ายพันธมิตรสัญญาจะยกดินแดนให้จำนวนหนึ่ง
สหรัฐประกาศเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายพันธมิตรในวันที่ 6 เมษา 1917 โดยมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจที่เยอรมันทำสงครามเรือดำน้ำอย่างไม่จำกัดขอบเขต
สาเหตุต่างๆ ที่นำมาสู่สงครามโลกครั้งที่ 1
- ความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสจากสงครามฝรั่งเศสกับปรัสเซีย
- การที่ประเทศในยุโรปแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
- การเกิดลัทธินิยมทหาร
- การแข่งขันกันสะสมอาวุธทั้งทางบกและทางน้ำ สาเหตุจากการระแวงและความเกรงกลัวซึ่งกันและกัน
- การเกิดลัทธิจักรวรรดินิยมยุคใหม่ การแสวงหาอาณานิคมนำมาซึ่งความขัดแย้งของชาติมหาอำนาจ
- การแข่งขันกันทางเศรษฐกิจเป็นผลจากการขยายตัวของอุตสาหกรรม
- การเกิดความรู้สึกชาตินิยม โดยเฉพาะคาบสมุทรบอลข่าน
- และการลอบปลงพระชนม์ อาร์ชดยุ๊ก ฟรานซิส เฟอร์ดินาน ซึ่งเป็นชนวนเหตุของสงครามครั้งนี้ด้วย
เพื่อเป็นการลดความกดดันทางการเมืองต่อความรู้สึกต่อต้านออสเตรีย-ฮังการี อาร์ชดยุก ฟรานซิส เฟอร์ดินาน ผู้เป็นองค์รัชทายาทของอาณาจักรออสเตรีย-ฮังการีและพระชายาจึงเสด็จไปเยือนกรุงซาราเจโวซึ่งเป็นเมืองหลวงของบอสเนีย..แต่ทั้งสองพระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์! โดยกาวริโลปรินชิป นักศึกษาชาวเซิร์บซึ่งเป็นสมาชิกสมาคม แบล็ค แฮนด์ ซึ่งเป็นสมาคมลับต้อต้านออสเตรีย-ฮังการีรัฐบาลเซอร์เบียได้รู้ถึงแผนการดังกล่าวก่อนแล้วแต่ก็ไม่หาทางป้องกัน
ภายหลังจากเหตุการณ์รัฐบาลออสเตรีย-ฮังการีถามความเห็นไปยังรัฐบาลเยอรมันในกรณีที่จะทำสงคราม รัฐบาลเยอมันมีความเชื่อว่าเซอร์เบียเป็นฝ่ายผิด รัฐบาลเยอรมันยืนยันที่จะให้การสนับสนุนต่อออสเตรีย-ฮังการี จากคำยืนยันดังกล่าวออสเตรีย-ฮังการี จึงใช้เป็นข้ออ้างในการประกาศสงครามกับเซอร์เบียในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามเยอรมันมีควาคิดว่าสถานการณ์ดังกล่าวยังพอมีทางตกลงกันได้โดยไม่ต้องใช้สงครามเป็นเครื่องมือ
ออสเตรีย-ฮังการียื่นคำขาดต่อรัฐบาลเซอร์เบียทั้งหมด11 ข้อ แต่ไม่ได้รับคำตอบเป็นที่น่าพอใจในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย
วันต่อมารัสเซียสังระดมพล เมื่อเยอรมันทราบข่าวจึงยื่นคำขาดให้รัสเซียยุติการกระทำดังกล่าวภายใน 12 ชั่วโมงแต่เยอรมันไม่ได้คำตอบจากรัสเซีย ในเวลา 1 ทุ่ม ตรงของวันที่ 1 สิงหาม ค.ศ. 1914 เยอรมนีก็ประกาศสงครามกับรัสเซีย โดยยื่นคำขาดให้ฝรั่งเศสวางตัวเป็นกลางแต่ฝรั่งเศไม่รับฟัง เยอรมันจึงประกาศสงครามกับฝรั่งเศสในวันที่ 3 สิงหาคม 1914 และภายนวันเดียวกันเยอรมันสั่งงเดินทัพผ่านเบอเยี่ยมเพื่อบุกโจมตีฝรั่งเศส อังกฤษซึ่งวางตัวเป็นกลางตั้งแต่แรกขอให้เยอรมันเคารพเอกราชและความเป็นกลางของเบลเยียม อังกฤษจึงต้องประกาศสงครามเมือเยอรมันบุกเบลเยี่ยม
อิตาลีปฏิเสธที่จะเข้าร่วมสงครามขอวางตัวเป็นกลาง โดยอ้างว่ากลุ่มไตรภาคีของตนเป็นฝ่ายรุกราน ตุรกีเข้าร่วมสงคราม ในเดือนพฤศจิกายน 1914 โดยเข้าร่วมกับฝ่ายเยอมนและออสเตรีย-ฮังการี ดดยอ้างเหตุผลเพื่อปกป้องตนเองจากการขยายอำนาจของรัสเซียในบริเวณช่องแคบ อีก 1 ปีต่อมา ในเดือนตุลาคม 15 บัลแกเลียได้เข้าร่วมสงครามกับฝ่ายเยอรมนี ด้วยเหตุผลเพื่อแก้แค้นเซอร์เบีย ฝ่ายเยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี ตุรกีและบัลแกเลียเป็นทีรู้จักกันในนามของฝ่ายมหาอำนาจกลาง ส่วนฝ่ายพันธมิตร ประกอบด้วยรัสเซีย ฝรั่งเศส อังกฤษและเซอร์เบีย ซึ่งในเลต่อมาก็มีประเทศอื่นๆ อีก 18 ประเทศ เข้ามาร่วม รวมทั้งญี่ปุ่น อิตาลีซึ่งเดิมอยู่ฝ่ายไตรภาคและวางตัวเป็นกลางได้หันมาร่วมกับฝ่ายพันธมิตร โดยฝ่ายพันธมิตรสัญญาจะยกดินแดนให้จำนวนหนึ่ง
สหรัฐประกาศเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายพันธมิตรในวันที่ 6 เมษา 1917 โดยมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจที่เยอรมันทำสงครามเรือดำน้ำอย่างไม่จำกัดขอบเขต
สาเหตุต่างๆ ที่นำมาสู่สงครามโลกครั้งที่ 1
- ความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสจากสงครามฝรั่งเศสกับปรัสเซีย
- การที่ประเทศในยุโรปแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
- การเกิดลัทธินิยมทหาร
- การแข่งขันกันสะสมอาวุธทั้งทางบกและทางน้ำ สาเหตุจากการระแวงและความเกรงกลัวซึ่งกันและกัน
- การเกิดลัทธิจักรวรรดินิยมยุคใหม่ การแสวงหาอาณานิคมนำมาซึ่งความขัดแย้งของชาติมหาอำนาจ
- การแข่งขันกันทางเศรษฐกิจเป็นผลจากการขยายตัวของอุตสาหกรรม
- การเกิดความรู้สึกชาตินิยม โดยเฉพาะคาบสมุทรบอลข่าน
- และการลอบปลงพระชนม์ อาร์ชดยุ๊ก ฟรานซิส เฟอร์ดินาน ซึ่งเป็นชนวนเหตุของสงครามครั้งนี้ด้วย
วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556
Triple Entente-Triple Alliance ไตรพันธมิตร-ไตรภาคี
วิกฤตการณ์ก่อนสงครามโลกคร้งที่ 1
จากการก่อตั้งกลุ่มไตพันธมิตร Triple Ententeและกลุ่มไตรภาคี Triple Alliaanceได้ก่อให้เกิดความตึงเครียดในยุโรปและก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ ดังนี้
วิกฤตการณ์โมร็อกโกครั้งที่
หลังจากอังกฤษกับฝรั่งเศสทำความเข้าใจแล้ว จึงได้สร้างความกังวลให้กับเยอรมันนีเป็นอย่างมาก เมื่อเยอรมนีรู้ว่าฝรั่งเศสพยายามเข้ามามาบทบาทในโมร็อกโกทั้งทางการทหารและทางการคลังจักพรรดิไกเซือร์ที่ 2 จึงเสด็จไปเยือนโมร็อกโกและประกาศยอมรับสถานภาพองค์สุลต่านแห่งโมร็อกโกและทรงยืนยันความเป็นเอกราชของโมร็อกโก นอกจากนี้พระองค์ทรงประกาศไม่ยอมรับการทำสัญญาใดๆ ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศษในกรณีที่เกี่ยวกับโมร็อกโก
รัฐบาลเยอรมนีเรียกร้องให้มีการจัดประชุมนานาชาติเพื่อพิจารณาถึงปัญหาโมร็อกโก รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสคัดค้านอย่างรุนแรง รัฐบาลฝรั่งเศสเองไม่แน่ใจว่าหากทำสงครามกับเยอรมนีอังกฤษจะเข้าข้างไหนจึงตัดสินใจหาทางออกโดยการบังคับให้รัฐมนตรีต่างประเทศลาออกจากตำแหน่งซึ่งเท่ากับเป็นชัยชนะของเยอรมนี
ในเวลาต่อมาได้มีการประชุมนานาชาติที่เมืองอัลเจซิรัสประเทศสเปนเพื่อแก้ปัญหาในโมร็อกโกโดยฝรั่งเศสมีอังกฤษให้การสนับสนุนและเยอรมนีได้รับการสนับสนุนจากออกเตรีย-ฮังการี ผลการประชุมดูเหมือนเยอรมนีจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะแต่ผลประโยชน์กลับตกอยู่กับฝรั่งเศส กล่าวคือ ที่ประชุมยอมรับว่าโมร็อกโกเป็นประเทศเอกราช แต่ต้องเปิดประเทศติต่อค้าคาย และให้สเปนกั่บฝรั่งเศษควบคุมตำรวจในโมร็อกโก โมร็อกโกจะต้องสร้างธนาคารแห่งชาติขึ้นดดยให้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนีและสเปน ผลที่ตามมาจากการประชุมคือความสัมพันธ์อันดีระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษ
ตุรกี
อังกฤษสามารถตกลงทำความเข้าใจกับรัศเซียได้ส่งผลให้เกิดความหวาดกลัวในหมุ่ชาวเติร์ก เพราะการทำข้อตกลงดังกล่าวมีผลต่อความอยู่รอดของตุรกี ในอดีตตุรกีสามารถรักษาอำจาจไว้ได้เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างอังกฤษและรัสเซีย ดังนั้นเมืองประเทศทั้งสองตกลงกันได้กลุ่มยังเติร์กจึงก่อการปฏิวัติ
กลุ่มยังเติร์ก Young Turksเป็นขบวนการเสรีนิยมที่เคยถูกเนรเทศไปอยู่ต่างประเทศมีจุดมุ่งหมายล้มการปกครองของสุลต่านอับดุล ฮามิดที่ 2 โดยวิการปฏิรูปและส่งเสริมการใช้รัฐธรรมนูญ กลุ่มยังเติร์กทำการติดต่อประสานงานกับบรรดาชนกลุ่มน้อยชาตินิยมที่อาศัยอยุ่ในอาณาจักรตุรกีโดยเฉพาะที่มาซิโดเนียและอาร์เมเนียให้มีโอกาศปกครองตนเอง
ความแตกแยกในกลุ่ม ยังเติร์ก 24 กรกฎาคม ค.ศ.1908 สุลต่านอับดุล ฮามิดที่ 2 ทรงยอมมอบอำนาจให้แก่กลุ่มนายทหารและพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ชาวเติร์ก รัฐสภาเปิดประชุมในปีเดียวกันแต่เกิดความขัดแย้งในรัฐสภาระหว่างกลุ่มเติร์กหนุ่มเสรีนิยมดั้งเดิมที่เคยถูกเนรเทศและกลุ่มเติร์กนายทหารซึ่งมีนโยบายชาตินิยมรุนแรงซึ่งไม่ต้องการเห็นอาณาจักรตุรกีเกิดการแตกแยก จึงต่อต้านขบวนการชาตินิยมและต่อต้านการปกครองตนเองของพวกชนกลุ่มน้อย หลังสงครามบอลข่านกลุ่มเติร์กนายทหารมีอำนาจมากขึ้นเกิดมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างตุรกีกับเยอมนี ถึงแม้กลุ่มเสรีนิยมจะนิยมอังกฤษกับฝรั่งเศษ แต่ผู้นำฝ่ายทหารนิยมเยอมนี
วิกฤตการณ์บอสเนีย ปี ค.ศ. 1908-1909
จากข้อตกลงสนธิสัญญาเบอร์ลินในปี78 บอสเนียและเฮอร์เซดกวินาได้กลายเป้นอินแดนที่อยุ่ภายใต้การปกครองของออสเตรีย-ฮังการีแต่ก็ยังคงมีสถานภาพเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรตุรกี ออสเตรีย-ฮังการีพยายามที่จะกำจัดอิทธิพลของตุรกีออกจากดินแดนส่วนนี้
เมื่อตุรกีตกอยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มนายทหารซึ่งมีนโยบายชาตินิยมรุนแรงออสเตรีย-ฮังการีเกรงว่าจะเกิดผลต่อการปกครองภายในบอสเนียจึงเตรียมแผนการผนวกดินแดนทั้งสองเข้าเป้นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออสเตรีย-อังการี ซึ่งในขณะเดียวกันรัสเซียซึ่งเกรงว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองในตุรกีจะส่งผลมาถึงรัศเซีย จึงหาทางหาทางทำความตกลงกับออสเตรีย-ฮังการีโดยรัสเซียจะให้การสนับสนุนในการผนวกบอสเนียโดยทางออสเตรีย-ฮังการีจะให้การสนับสนุนรัสเซียในการนำเรื่อรับผ่านช่องแคบ ซึ่งรัสเซียไม่แน่ใจว่าจะทำได้เพราะเป็นการละเมิดข้อตกลงเรื่องช่องแคบโดยไม่ให้เรื่อรบชาติใดผ่านช่องแคบในภาวะปกติ เมื่อออสเตรีย-ฮังการีไม่สามารถตอบสองจึงไมมีผลในทางปฏิบัติ
ในวันที่ 5 ตุลาคม 1908บัลแกเรียได้ประกาศเอกราชแยกตัวออกจากตุรกี ในวันที่ 7 เดือนเดียวกันออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาสผนวกบอสเนียและเฮอร์ดซโวนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร จึงเท่ากับเป็นการละเมิดสนธิสัญญาเบอร์ลินยังผลให้อังกฤตเกิดความไม่พอใจจึงให้การสนับสนุนรัสเซียแต่รัสเซียกลับขอให้อังกฤษเปิดช่องแคบให้เรื่อรบรัสเซียผ่านจึงทำให้อังกฤษไม่พอใจ
ในขณะที่ฝรั่งเศสก็ไม่พอใจรัสเซียเช่นกัน ซึ่งเป็นพันธมิตรแต่กลับทำสัญญากับออสเตรีย-ฮังการีโดยที่ทางฝรั่งเศสไม่รู้ ทางออสเตรีย-ฮังการีสวนท่าทีและไม่ต้องการประชุมใดๆ ซึ่งในที่สุดก็สามารสผนวกบอสเนียได้สำเร็จในขณะที่รัสเซียไม่ได้อะไรเป็นการตอบแทนและเพื่อเป็นการลดความกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศ บัลแกเรียจึงเสนอเงินชดเชยในตุรกี ซึ่งต่อมารัสเซียได้เสนอจ่ายเงินชดเชยแทนบัลแกเรียความสัมพันธ์ระหว่างบัลแกเรียกับรัสเซียจึงดีขึ้น
เยอรมนีขานรับการรวบบอสเนียเข้ากับออสเตรีย-บัลแกเรียและขู่รัสเซียในสนับสนุนและพร้อมจะทำสงครามกับรัสเซียหากไม่สนับสนุน รัสเซียจึงต้องยอมรับรองการกระทำของออสเตรีย-ฮังการี
ผลจากวิกฤตครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะของกลุ่มไตรภาคีที่มีต่อไตรพันธมิตร หลังจากที่เคยพ่ายแพ้จากวิกฤตโมร็อกโก จึงไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบกัน แต่การแข่งขันที่เกิดได้ก่อให้เกิดความตรึงเครียดในการเมืองระหว่างประเทศในยุโรป
วิกฤตโมร็อคโคครั้งที่ 2
ปีค.ศ. 1908 สุลต่านอับเดล อาชิสที่ 4 ถูกโค่นอำนาจอับเดล ฮาฟิช ผู้เป็นอนุชา สุลต่านองค์ใหม่ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนจึงเกิดความวุ่นวายเรื่อยมา สุลต่านจึงขอความช่วยเหลือไปยังฝรั่งเศส ฝรั่งเศสจึงส่งเรือรบไปยังเมืองเฟซ เมืองหลวงโมร็อกโก เยอรมนีตอบโต้ฝรั่งเศสโดยการกล่าวหาฝรั่งเศสละเมิดข้อตกลงอัลเจซิรส ต่อมาเยอรมนีส่งเรือของตนเข้าไปยังเมือท่าอากาเดียร์ ซึ่งตั้งอยูบนฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกโมร็อกโกโดยอ้างว่าเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาวเยอมนีในโมร็อกโก ส่งผลให้อังกฤษไม่พอกับการกระทำของเยอรมนี อังกฤษคิดว่าเอยรมนีมีจุดประสงค์จะตั้งฐานทัพเรือบนชายฝั่งของโมร็อกโก อังกฤษกล่าวว่าทางฝ่ายอังกฤษจะต้องรับทราบก่อนที่จะมีการตัดสินใจทำสิ่งใดลงไปในโมร็อกโก ความสัมพันธ์ของอังกฤษกับเยอรมันกำลังอยู่ในภาวะตรึงเครียด
เมื่อเยอมันเห็นท่าทีอันแงข็งกร้าวของอังกฤษจึงหัมาเจรจากับผรังเศส
ในขณะที่เกิดวิกฤตฯการนั้นอิตาลีถือโอกาสเข้ารุกรานทริโปลี(ลิเบีย)ซึ่งเป็นดินแดนในอาณัติของตุรกี โดยอิตาลีได้รับการยินยอมจากฝรั่งเศสซึ่งเป็นผลจากอังกฤษและอิตาลียอมรับการเข้าไปแสวงหาปร่ะโยชน์ของฝรั่งเศสในโมร็อกโกในขณะที่ก่อนหน้านี้อังกฤษได้รับการยอมรับจากฝรั่งเศสในการเข้าไปแสวงหาประโยชน์ในอียิปต์
การที่ฝรั่งเศสสามารถสร้างข้อผูกมัดกับทั้งอังกฤษและอิตาลีจึงทำให้ฝรั่งเศสสามารถดำเนินนโยบายต่างประเทศให้เป็นประโยชน์ต่อฝรั่งเศสเอง
ตุรกีเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และยอมยกทริโปลีให้อิตาลีตามสนธิสัญญาโลซานน์
ในขณะเดียวกันรัสเซียไดแสดงท่าทีที่จะผนวกเตหะราน อังกฤษเกิดความไม่พอใจ ฝ่ายฝรั่งเศสเกรงว่าท่าทีของรัสเซียจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหวางรัสเซยกับอังกฤษจึงเข้าแทรกแซงจนทำให้รัสเซียต้องเลิกล้มแผนการนี้ไป แต่หันไปเรียกร้องขอเดินทางเข้าออกบริเวณช่องแคบได้อย่างเสรีจากตุรกี ซึ่งตุรกีได้รับการยืนยันจากทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสว่าไมได้ให้การสนับสนุนในเรื่องดังกล่าว ตุรกีจึงปฏิเสธ ผลจากเหตุการนี้จึงำให้ตุรกีต้องหันเข้าหาเยอมนีมากยิ่งขึ้นโดยหวังว่าจะได้เยอมนีมาเป็นพันธมิตรในกรณีที่ตุรกีถูกคุกคามจากมหาอำนาจ
สงครามบอลข่านครั้งที 1
รัศเซียสามารถชักจูงบัลแกเรียและเซอร์เบียซึ่งเป็นศัตรูกันให้หันมาทำสัญญาเป็นพันธมิตรกัน โดยรัสเซียมีจุดประสงค์ที่จะให้สองประเทศร่วมมือกับรัสเซียในกรณีที่ต้องทำสงครามกับออสเตรีย-ฮังการี แต่จากสาระสำคัญของสนธิสัญญาที่สองประเทศได้ทำไว้คือการร่วมมือกันทำสงครามกับตุรกีเพื่อแบ่งดินแดนมาซิโดเนีย ต่อมา กรีซ แบมอนเตนิโกเข้าร่วมจึงเกิดการก่อตั้งเป็นกลุ่มสันนิบาตบอลข่านขึ้น
โดยสรุปกลุ่มประเทศมหาอำนาจต่างไม่สนับสนุนกลุ่มสันนิบาติบอลข่านเพราะเกรงว่าการกระทำของกลุ่มนี้อาจทำลายดุลย์แห่งอำนาจและสถานภาพเดิมของคาลสมุทรบอลข่าน
มอนเตนิโกรเห็นเป็นโอกาสดีจึงฉวยโอกาสประกาศสงครามกับตุรกีเนื่องจากตุรกีเพิ่งแพ้สงครามกับอิตาลีโดยไม่ปรึกษาประเทศที่ร่วมเป็นพันธมิตร หลังจากนั้นบัลแกเรีย กรีซ และเซอร์เบียจึงเข้าร่วมประกาศสงครามกับตุรกี
กองทัพบัลแกเรียเคลื่อนทัพมุ่งตรงสู่อิสตันบูล ส่วนเซอร์เบียกับมอนเตนิโกรเข้ายึดอาเดียโนเปิล สถานการเข้าสู่ภาวะตรึงเครียดเมือเซอร์เบียเข้ายึดครองอัลบาเนีย ซึ่งเป็นดินแดที่อยุ่ติดกับทะเลยังผลให้เซอร์เบียหาทางออกทะเลได้สำเร็จ ออสเตรีย-ฮังการีซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอิตาลีได้คัดค้านและยื่นคำขาดต่อการยึดครองดังกล่าว เซอร์เบียจึงจำต้องยอมทำตาม
ประเทศมหาอำนาจประชุมสันติภาพที่กรุ่งลอนดอนและมีกรลงนามในสนธิสัญญาลอนดอน ซึ่งมีผลตามมาคือ การยุติสงครามบอลข่านครั้งที่ 1 ตุรกีเสียดินแดนส่วนใหญ่ในยุโรปยกเว้นรอบๆ กรุงอิสตันบูล บัลแกเรียได้รับดินแดนส่วนใหญ่ของมาซิโดเนีย เซือร์เบียไม่พอใจที่ไม่มีทางออกทะเล
หลังจากยุติสงครามบอลข่านได้ไม่นานความแตกแยกในกลุ่มสันนิบาตบอลข่านซึ่งได้กลายเป็นชนวนนำไปสู่การเกิดสงครามบอลข่านครั้งที่2 ระหว่างบัลแกเรียกับ เซอร์เบียและกรีซ โรมาเนียหันมาเข้าทางฝ่ายเซอร์เบียและกรีซ บัลแกเรียพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว จึงยังผลให้มีการทำสนธิสัญญาสงบศึกบูคาเรส ซึ่งมีสาระสำคัญคือ โรมาเนียได้ครอบครองดินแดนตอนเหนือของดอบรูดจา เซอร์เบียและกรีซได้ครอบครองมาซิโดเนียในส่วนที่บัลแกเรียได้มาจากสงครามครั้งที่ 1 ตุรกีได้อาเดรียโนเปิลคืน
ผลจากสงคราม ทำให้เกิดประเทศอัลบาเนียที่อ่อนแอและก่อให้เกิดความบาดหมางระหว่างเซอร์เบียกับออสเตีย-ฮังการี กรีซกลายมาเป็นประเทศทีมีบทบาทสำคัญในทะเลอีเจียนเพราะได้เข้าครอบครองซาโลนิกา ซึ่งเป็นดินแดนส่วนที่ออสเตรีย-ฮังการีหวังที่จะผนวก และที่สำคัญเกิดความตรึงเครียดขึ้นในยุโรปเหตุด้วยบัลแกเรียแค้นเคืองต่อเซอร์เบียกรีซและโรมาเนีย ซึ่งในเวลาต่อมาบัลแกเรียจึงเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 กับเยอรมนีเพราะไม่พอใจรัสเซียที่สนับสนุนเซอร์เบีย
จากการก่อตั้งกลุ่มไตพันธมิตร Triple Ententeและกลุ่มไตรภาคี Triple Alliaanceได้ก่อให้เกิดความตึงเครียดในยุโรปและก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ ดังนี้
วิกฤตการณ์โมร็อกโกครั้งที่
หลังจากอังกฤษกับฝรั่งเศสทำความเข้าใจแล้ว จึงได้สร้างความกังวลให้กับเยอรมันนีเป็นอย่างมาก เมื่อเยอรมนีรู้ว่าฝรั่งเศสพยายามเข้ามามาบทบาทในโมร็อกโกทั้งทางการทหารและทางการคลังจักพรรดิไกเซือร์ที่ 2 จึงเสด็จไปเยือนโมร็อกโกและประกาศยอมรับสถานภาพองค์สุลต่านแห่งโมร็อกโกและทรงยืนยันความเป็นเอกราชของโมร็อกโก นอกจากนี้พระองค์ทรงประกาศไม่ยอมรับการทำสัญญาใดๆ ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศษในกรณีที่เกี่ยวกับโมร็อกโก
รัฐบาลเยอรมนีเรียกร้องให้มีการจัดประชุมนานาชาติเพื่อพิจารณาถึงปัญหาโมร็อกโก รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสคัดค้านอย่างรุนแรง รัฐบาลฝรั่งเศสเองไม่แน่ใจว่าหากทำสงครามกับเยอรมนีอังกฤษจะเข้าข้างไหนจึงตัดสินใจหาทางออกโดยการบังคับให้รัฐมนตรีต่างประเทศลาออกจากตำแหน่งซึ่งเท่ากับเป็นชัยชนะของเยอรมนี
ในเวลาต่อมาได้มีการประชุมนานาชาติที่เมืองอัลเจซิรัสประเทศสเปนเพื่อแก้ปัญหาในโมร็อกโกโดยฝรั่งเศสมีอังกฤษให้การสนับสนุนและเยอรมนีได้รับการสนับสนุนจากออกเตรีย-ฮังการี ผลการประชุมดูเหมือนเยอรมนีจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะแต่ผลประโยชน์กลับตกอยู่กับฝรั่งเศส กล่าวคือ ที่ประชุมยอมรับว่าโมร็อกโกเป็นประเทศเอกราช แต่ต้องเปิดประเทศติต่อค้าคาย และให้สเปนกั่บฝรั่งเศษควบคุมตำรวจในโมร็อกโก โมร็อกโกจะต้องสร้างธนาคารแห่งชาติขึ้นดดยให้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนีและสเปน ผลที่ตามมาจากการประชุมคือความสัมพันธ์อันดีระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษ
ตุรกี
อังกฤษสามารถตกลงทำความเข้าใจกับรัศเซียได้ส่งผลให้เกิดความหวาดกลัวในหมุ่ชาวเติร์ก เพราะการทำข้อตกลงดังกล่าวมีผลต่อความอยู่รอดของตุรกี ในอดีตตุรกีสามารถรักษาอำจาจไว้ได้เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างอังกฤษและรัสเซีย ดังนั้นเมืองประเทศทั้งสองตกลงกันได้กลุ่มยังเติร์กจึงก่อการปฏิวัติ
กลุ่มยังเติร์ก Young Turksเป็นขบวนการเสรีนิยมที่เคยถูกเนรเทศไปอยู่ต่างประเทศมีจุดมุ่งหมายล้มการปกครองของสุลต่านอับดุล ฮามิดที่ 2 โดยวิการปฏิรูปและส่งเสริมการใช้รัฐธรรมนูญ กลุ่มยังเติร์กทำการติดต่อประสานงานกับบรรดาชนกลุ่มน้อยชาตินิยมที่อาศัยอยุ่ในอาณาจักรตุรกีโดยเฉพาะที่มาซิโดเนียและอาร์เมเนียให้มีโอกาศปกครองตนเอง
ความแตกแยกในกลุ่ม ยังเติร์ก 24 กรกฎาคม ค.ศ.1908 สุลต่านอับดุล ฮามิดที่ 2 ทรงยอมมอบอำนาจให้แก่กลุ่มนายทหารและพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ชาวเติร์ก รัฐสภาเปิดประชุมในปีเดียวกันแต่เกิดความขัดแย้งในรัฐสภาระหว่างกลุ่มเติร์กหนุ่มเสรีนิยมดั้งเดิมที่เคยถูกเนรเทศและกลุ่มเติร์กนายทหารซึ่งมีนโยบายชาตินิยมรุนแรงซึ่งไม่ต้องการเห็นอาณาจักรตุรกีเกิดการแตกแยก จึงต่อต้านขบวนการชาตินิยมและต่อต้านการปกครองตนเองของพวกชนกลุ่มน้อย หลังสงครามบอลข่านกลุ่มเติร์กนายทหารมีอำนาจมากขึ้นเกิดมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างตุรกีกับเยอมนี ถึงแม้กลุ่มเสรีนิยมจะนิยมอังกฤษกับฝรั่งเศษ แต่ผู้นำฝ่ายทหารนิยมเยอมนี
วิกฤตการณ์บอสเนีย ปี ค.ศ. 1908-1909
จากข้อตกลงสนธิสัญญาเบอร์ลินในปี78 บอสเนียและเฮอร์เซดกวินาได้กลายเป้นอินแดนที่อยุ่ภายใต้การปกครองของออสเตรีย-ฮังการีแต่ก็ยังคงมีสถานภาพเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรตุรกี ออสเตรีย-ฮังการีพยายามที่จะกำจัดอิทธิพลของตุรกีออกจากดินแดนส่วนนี้
เมื่อตุรกีตกอยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มนายทหารซึ่งมีนโยบายชาตินิยมรุนแรงออสเตรีย-ฮังการีเกรงว่าจะเกิดผลต่อการปกครองภายในบอสเนียจึงเตรียมแผนการผนวกดินแดนทั้งสองเข้าเป้นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออสเตรีย-อังการี ซึ่งในขณะเดียวกันรัสเซียซึ่งเกรงว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองในตุรกีจะส่งผลมาถึงรัศเซีย จึงหาทางหาทางทำความตกลงกับออสเตรีย-ฮังการีโดยรัสเซียจะให้การสนับสนุนในการผนวกบอสเนียโดยทางออสเตรีย-ฮังการีจะให้การสนับสนุนรัสเซียในการนำเรื่อรับผ่านช่องแคบ ซึ่งรัสเซียไม่แน่ใจว่าจะทำได้เพราะเป็นการละเมิดข้อตกลงเรื่องช่องแคบโดยไม่ให้เรื่อรบชาติใดผ่านช่องแคบในภาวะปกติ เมื่อออสเตรีย-ฮังการีไม่สามารถตอบสองจึงไมมีผลในทางปฏิบัติ
ในวันที่ 5 ตุลาคม 1908บัลแกเรียได้ประกาศเอกราชแยกตัวออกจากตุรกี ในวันที่ 7 เดือนเดียวกันออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาสผนวกบอสเนียและเฮอร์ดซโวนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร จึงเท่ากับเป็นการละเมิดสนธิสัญญาเบอร์ลินยังผลให้อังกฤตเกิดความไม่พอใจจึงให้การสนับสนุนรัสเซียแต่รัสเซียกลับขอให้อังกฤษเปิดช่องแคบให้เรื่อรบรัสเซียผ่านจึงทำให้อังกฤษไม่พอใจ
ในขณะที่ฝรั่งเศสก็ไม่พอใจรัสเซียเช่นกัน ซึ่งเป็นพันธมิตรแต่กลับทำสัญญากับออสเตรีย-ฮังการีโดยที่ทางฝรั่งเศสไม่รู้ ทางออสเตรีย-ฮังการีสวนท่าทีและไม่ต้องการประชุมใดๆ ซึ่งในที่สุดก็สามารสผนวกบอสเนียได้สำเร็จในขณะที่รัสเซียไม่ได้อะไรเป็นการตอบแทนและเพื่อเป็นการลดความกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศ บัลแกเรียจึงเสนอเงินชดเชยในตุรกี ซึ่งต่อมารัสเซียได้เสนอจ่ายเงินชดเชยแทนบัลแกเรียความสัมพันธ์ระหว่างบัลแกเรียกับรัสเซียจึงดีขึ้น
เยอรมนีขานรับการรวบบอสเนียเข้ากับออสเตรีย-บัลแกเรียและขู่รัสเซียในสนับสนุนและพร้อมจะทำสงครามกับรัสเซียหากไม่สนับสนุน รัสเซียจึงต้องยอมรับรองการกระทำของออสเตรีย-ฮังการี
ผลจากวิกฤตครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะของกลุ่มไตรภาคีที่มีต่อไตรพันธมิตร หลังจากที่เคยพ่ายแพ้จากวิกฤตโมร็อกโก จึงไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบกัน แต่การแข่งขันที่เกิดได้ก่อให้เกิดความตรึงเครียดในการเมืองระหว่างประเทศในยุโรป
วิกฤตโมร็อคโคครั้งที่ 2
ปีค.ศ. 1908 สุลต่านอับเดล อาชิสที่ 4 ถูกโค่นอำนาจอับเดล ฮาฟิช ผู้เป็นอนุชา สุลต่านองค์ใหม่ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนจึงเกิดความวุ่นวายเรื่อยมา สุลต่านจึงขอความช่วยเหลือไปยังฝรั่งเศส ฝรั่งเศสจึงส่งเรือรบไปยังเมืองเฟซ เมืองหลวงโมร็อกโก เยอรมนีตอบโต้ฝรั่งเศสโดยการกล่าวหาฝรั่งเศสละเมิดข้อตกลงอัลเจซิรส ต่อมาเยอรมนีส่งเรือของตนเข้าไปยังเมือท่าอากาเดียร์ ซึ่งตั้งอยูบนฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกโมร็อกโกโดยอ้างว่าเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาวเยอมนีในโมร็อกโก ส่งผลให้อังกฤษไม่พอกับการกระทำของเยอรมนี อังกฤษคิดว่าเอยรมนีมีจุดประสงค์จะตั้งฐานทัพเรือบนชายฝั่งของโมร็อกโก อังกฤษกล่าวว่าทางฝ่ายอังกฤษจะต้องรับทราบก่อนที่จะมีการตัดสินใจทำสิ่งใดลงไปในโมร็อกโก ความสัมพันธ์ของอังกฤษกับเยอรมันกำลังอยู่ในภาวะตรึงเครียด
เมื่อเยอมันเห็นท่าทีอันแงข็งกร้าวของอังกฤษจึงหัมาเจรจากับผรังเศส
ในขณะที่เกิดวิกฤตฯการนั้นอิตาลีถือโอกาสเข้ารุกรานทริโปลี(ลิเบีย)ซึ่งเป็นดินแดนในอาณัติของตุรกี โดยอิตาลีได้รับการยินยอมจากฝรั่งเศสซึ่งเป็นผลจากอังกฤษและอิตาลียอมรับการเข้าไปแสวงหาปร่ะโยชน์ของฝรั่งเศสในโมร็อกโกในขณะที่ก่อนหน้านี้อังกฤษได้รับการยอมรับจากฝรั่งเศสในการเข้าไปแสวงหาประโยชน์ในอียิปต์
การที่ฝรั่งเศสสามารถสร้างข้อผูกมัดกับทั้งอังกฤษและอิตาลีจึงทำให้ฝรั่งเศสสามารถดำเนินนโยบายต่างประเทศให้เป็นประโยชน์ต่อฝรั่งเศสเอง
ตุรกีเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และยอมยกทริโปลีให้อิตาลีตามสนธิสัญญาโลซานน์
ในขณะเดียวกันรัสเซียไดแสดงท่าทีที่จะผนวกเตหะราน อังกฤษเกิดความไม่พอใจ ฝ่ายฝรั่งเศสเกรงว่าท่าทีของรัสเซียจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหวางรัสเซยกับอังกฤษจึงเข้าแทรกแซงจนทำให้รัสเซียต้องเลิกล้มแผนการนี้ไป แต่หันไปเรียกร้องขอเดินทางเข้าออกบริเวณช่องแคบได้อย่างเสรีจากตุรกี ซึ่งตุรกีได้รับการยืนยันจากทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสว่าไมได้ให้การสนับสนุนในเรื่องดังกล่าว ตุรกีจึงปฏิเสธ ผลจากเหตุการนี้จึงำให้ตุรกีต้องหันเข้าหาเยอมนีมากยิ่งขึ้นโดยหวังว่าจะได้เยอมนีมาเป็นพันธมิตรในกรณีที่ตุรกีถูกคุกคามจากมหาอำนาจ
สงครามบอลข่านครั้งที 1
รัศเซียสามารถชักจูงบัลแกเรียและเซอร์เบียซึ่งเป็นศัตรูกันให้หันมาทำสัญญาเป็นพันธมิตรกัน โดยรัสเซียมีจุดประสงค์ที่จะให้สองประเทศร่วมมือกับรัสเซียในกรณีที่ต้องทำสงครามกับออสเตรีย-ฮังการี แต่จากสาระสำคัญของสนธิสัญญาที่สองประเทศได้ทำไว้คือการร่วมมือกันทำสงครามกับตุรกีเพื่อแบ่งดินแดนมาซิโดเนีย ต่อมา กรีซ แบมอนเตนิโกเข้าร่วมจึงเกิดการก่อตั้งเป็นกลุ่มสันนิบาตบอลข่านขึ้น
โดยสรุปกลุ่มประเทศมหาอำนาจต่างไม่สนับสนุนกลุ่มสันนิบาติบอลข่านเพราะเกรงว่าการกระทำของกลุ่มนี้อาจทำลายดุลย์แห่งอำนาจและสถานภาพเดิมของคาลสมุทรบอลข่าน
มอนเตนิโกรเห็นเป็นโอกาสดีจึงฉวยโอกาสประกาศสงครามกับตุรกีเนื่องจากตุรกีเพิ่งแพ้สงครามกับอิตาลีโดยไม่ปรึกษาประเทศที่ร่วมเป็นพันธมิตร หลังจากนั้นบัลแกเรีย กรีซ และเซอร์เบียจึงเข้าร่วมประกาศสงครามกับตุรกี
กองทัพบัลแกเรียเคลื่อนทัพมุ่งตรงสู่อิสตันบูล ส่วนเซอร์เบียกับมอนเตนิโกรเข้ายึดอาเดียโนเปิล สถานการเข้าสู่ภาวะตรึงเครียดเมือเซอร์เบียเข้ายึดครองอัลบาเนีย ซึ่งเป็นดินแดที่อยุ่ติดกับทะเลยังผลให้เซอร์เบียหาทางออกทะเลได้สำเร็จ ออสเตรีย-ฮังการีซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอิตาลีได้คัดค้านและยื่นคำขาดต่อการยึดครองดังกล่าว เซอร์เบียจึงจำต้องยอมทำตาม
ประเทศมหาอำนาจประชุมสันติภาพที่กรุ่งลอนดอนและมีกรลงนามในสนธิสัญญาลอนดอน ซึ่งมีผลตามมาคือ การยุติสงครามบอลข่านครั้งที่ 1 ตุรกีเสียดินแดนส่วนใหญ่ในยุโรปยกเว้นรอบๆ กรุงอิสตันบูล บัลแกเรียได้รับดินแดนส่วนใหญ่ของมาซิโดเนีย เซือร์เบียไม่พอใจที่ไม่มีทางออกทะเล
หลังจากยุติสงครามบอลข่านได้ไม่นานความแตกแยกในกลุ่มสันนิบาตบอลข่านซึ่งได้กลายเป็นชนวนนำไปสู่การเกิดสงครามบอลข่านครั้งที่2 ระหว่างบัลแกเรียกับ เซอร์เบียและกรีซ โรมาเนียหันมาเข้าทางฝ่ายเซอร์เบียและกรีซ บัลแกเรียพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว จึงยังผลให้มีการทำสนธิสัญญาสงบศึกบูคาเรส ซึ่งมีสาระสำคัญคือ โรมาเนียได้ครอบครองดินแดนตอนเหนือของดอบรูดจา เซอร์เบียและกรีซได้ครอบครองมาซิโดเนียในส่วนที่บัลแกเรียได้มาจากสงครามครั้งที่ 1 ตุรกีได้อาเดรียโนเปิลคืน
ผลจากสงคราม ทำให้เกิดประเทศอัลบาเนียที่อ่อนแอและก่อให้เกิดความบาดหมางระหว่างเซอร์เบียกับออสเตีย-ฮังการี กรีซกลายมาเป็นประเทศทีมีบทบาทสำคัญในทะเลอีเจียนเพราะได้เข้าครอบครองซาโลนิกา ซึ่งเป็นดินแดนส่วนที่ออสเตรีย-ฮังการีหวังที่จะผนวก และที่สำคัญเกิดความตรึงเครียดขึ้นในยุโรปเหตุด้วยบัลแกเรียแค้นเคืองต่อเซอร์เบียกรีซและโรมาเนีย ซึ่งในเวลาต่อมาบัลแกเรียจึงเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 กับเยอรมนีเพราะไม่พอใจรัสเซียที่สนับสนุนเซอร์เบีย
วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556
Victorian era
สมัยวิกตอเรีย หรือ ยุควิคตอเรีย ของสหราชอาณาจักรเป็นจุดสูงสุดของกาปฏิวัติอุตสาหกรรมและเป็นยุคสูงสุดของจักรวรรดิอังกฤษซึ่งตรงกับสมัยการปกครองของสมเด็จพระราชินีนาถ วิกตอเรีย อังกฤษได้ปฏิรูปตนเองในหลายด้าน ที่เห็นได้ชัดก็คือการเปลี่ยนจากรัฐบาลขุนนางมาเป็นรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และจากระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมมาเป็นการเริ่มต้นรูปหนึ่งของสังคมนิยม กล่าวกันว่าสมัยวิคทอเรียนเป็นเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นยุคของขุนนาง ยุคของความอุดมสมบูรณ์ ยุคของการเริ่มต้นอารยธรรมเมืองและเป็ยยุคการปฏิรูปภายในอันยิ่งใหญ่
การพัฒนาทางด้านการเมือง การปกครองของอังกฤษภายใต้หน้ากากระบบรัฐสภา อังกฤษมีความปกครองระบบคณาธิไตยผ่านทางระบบการเลือกตั้งผู้แทนที่ไม่มีความยุติธรรม และการคอรับชั้นอย่างไร้ยางอาย ระบบการเลือกผู้แทนก่อนปี ค.ศ. 1832 เรียกว่า Rotten Borough System ซึ่งจะมีผลให้สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่เป็นคนของพวกขุนนาง คนร่ำรวยและกลายเป็นตำแหน่งที่ขายต่อกันได้ในหมู่คนรวยที่ต้องการจะยกฐานะทางสังคมของตน ในเรื่องสิทธิออกเสียงเลือกตั้งก็เป็นสิทธิพเศษที่ขึ้นอยู่กับทรัพย์สิน(ที่ดิน)การจ่ายภาษี และชาติกำเนิดของบุคคล ตามสถิติที่ปรากฎ มีประชาชนเพียงประมาณ ห้าเปอร์เซ็นเท่านั้นที่มีสิทธิออกเสียงได้
ระบบรัฐบายยังเหมือนเช่นปัจจุบัน คือมีพระมหากษัตริย สภาสูง และสภาต่ำ หลังจากสมัยพระเจ้ายอร์จที่ 3 แล้ว พระมหากษัตริย์มีสภาพเป็นเพียงหุ่นเชิด คณะรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีต้องคุมเสียข้างมากในรัฐสภา และจะต้องรับผิดชอบต่อสภาต่ำ ซึ่งก็เป็นเรื่องง่ายที่จะทำได้
สมาชิกสภาสูงประกอบด้วยบุคคลทีสืบเชื้อสายมาจากพวกขุนนางชั้นสูง สมาชิกสภาต่ำมาจากการเลื่อกตั้งทั่วไปและจะอยู่ในตำแหน่งวาระ 7 ปี แต่อาจยุบสภาได้โดยพระปรมาภิไธยจาพระมหากษัตริย์ ส่วนระบบ 2 พรรค คือทอรี่ กับ วิก ก็มิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐายของระบบพรรคการเมืองเช่นปัจจุบัน แต่เป็นามคมของพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ 2 ตระกูล และจะเข้ามาทำงานเพื่อสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น ในระหว่างที่ยังไม่มีการปฏิรูป พวกชนชั้นสูงคุมสภาสูงดดยตรงด้วยอภิสิทธิ์เรื่องชาติตระกูล และคุมสภาต่ำโดยทางอ้อมฝ่านทางระบบเลือกตั้ง ตลอดจนคุมตำแหน่างสูง ๆ ทั้งทางราชการและศาสนา สรุปได้ว่าก่อนปี ค.ศ. 1832 ระบบการเมืองของอังกฤษเป็นแบบ “รัฐบาลของประชาชน โดยขุนนางและเพื่อขุนนาง”
มีความพยายามจะออกพรบ.หลายต่อหลายครั้งแต่ถูกยับยั้งจากสภาสูงกระทั่งปี ค.ศ. 1832 พระราชบัญญัติปฏิรูป จึงผ่านกฎหมายปฏิรูปออกมา ซึ่งผลลัพธ์ก็เรียกว่ายุติธรรมขึ้น พระราชบัญญัติฉบับนี้ทำให้เกิดความคิดว่าการปฏิวัติเป็นของไม่จำเป็น และถึงแม้ว่าพระราชบัญญัติปฏิรูปจะมิได้ทำให้อังกฤษมีการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จเรง แต่ก็เปิดช่องทางการเมืองให้กับชนชั้นกลาง ตลอดจนชนชั้นอื่น ๆ ก็จะเข้ามามีส่วนในการบริหารประเทศต่อไป
หลังจากปฏิรูปชันชั้นกลางขึ้นมาควบคุมการปกครองของประเทศ การพัฒนาอุตสาหกรรมจึงเป็นไปยางกว้างขวาง การค้าเป็นหลักการสำคัญของนโยบายของประเทศทั้งภายในและภายนอก แต่การปฏิรูปประเทศยังก้าวหน้าต่อไป ทว่าเป็นไปเพื่ผลประโยชน์ของชนชั้นกลางเช่นการออกเสียเลือกตั้งก็เพื่อชนชั้นกลางจะได้เข้าไปคุมรัฐสภา เสนอระบบเท่าเทียมกับพวกแองกลิตัน แต่จะไม่มีการปฏิรูปความเป็อยู่ของกรรมกร พระราชบัญญัติปฏิรูปปี ค.ศ. 1832 ได้มีผลทำให้ระบบพรรคการเมืองของอังกฤษเปลี่ยนไปบ้าง พรรควิกและทอรี่เปลี่ยนชื่อพรรคใหม่ตลอดจนได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ ทอรี่เปลี่ยนชื่อม่เป็นพรรคอนุรักษ์นิยม ในขณะที่พรรวิกได้ชือเสรีนิยม อย่างไรก็ตามชื่อของพรรคยังคงมีความหมายแต่เพี่ยงชื่อ ในทางปฏิบัติพรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งตามความเข้าใจเดิมเป็นของพวกชนชั้นสูงได้ปรับตัวเองให้เข้าได้กับภาวะใหม่ แต่โดยสรุปไมมีผูต้องการจะก้าวไน้ต่อไปให้ถึงประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ทว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ชนชั้นกรรมชีพได้รับความผิดหวังจากพระราชบัญญัติปฏิรูปที่ยังไม่ยอมให้มีการเลือกรตั้งทั่วไป และพวกชนชั้นกลางที่เคยร่วมมือกับกรรมกรต่อสู้กับพวกชนชั้นสูงเมื่อได้อำนาจก็ทำการกดขี่พวกกรรมกรเช่นพวกชนชั้นสูง กรรมกรจึงคิดว่าตนถูกโกง และคิดว่าพวกชนชั้นกลางฉวยโอกาสจากผลงานของตน ทั้งพรรคเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมต่างต่อต้านที่จะขยายสิทธิออกเสียงเลือกตั้งให้กว้างไกลต่อไป พวกกรรมกรจึงรวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธดังกล่าว กลุ่มชนได้มาพบปะกันและได้ร่างกฎบัตรขึ้น แม้ว่าลักษณะจะเป็นรูปการเมือง แต่ก็มีจุดมุ่งหมายปฏิรูปสังคมด้วยเหมือนกัน จึงได้รับความร่วมมอจากสมาคมกรรมกรอื่น ๆ อีก ดังนั้นการเรียกร้องจึงเพิ่มความรุนแรงขึ้น ทางรัฐบาลถึงกับเตียนกำลังต่อต้านถ้ามีเหตุการณ์รุนแรงขึ้นซึ่งเหตุการณ์ไปตามที่คาดหมาย เมือกฎบัติถูกปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง การจลาจลก็เกิดขึ้น และตามมาด้วยการใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาล
ถึงแม้ขบวนการ Chartist จะถูกกำจัดไป แต่หลักการยังคงอยู่ในใจของชาวอังกฤษ กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ยังคงมีความต้องการขยายสิทธิการเลือกตั้งออกไปอีก ฝ่ายพรรคเสรีนิยมซึ่งมีแกลดสโตนและไบร์ท ได้เสนอว่า ไม่ควรจะหยุดยังการปฏิรูปเพียงแค่พระราชบัญญัติปี 1832 ดิสรารี ซึ่งเป็นผู้นำของพรรคอนุรักษ์นิยมกลายเป็นแชมป์เปี้ยนของประชาชนเพราะร่วมต่อสู้กลุ่มชนชั้นกลางที่บริหารประเทศอยู่ การเรียกร้องให้ปฏิรูประบบการเลือกตั้งจึงเริ่มขึ้น ในระยะทศวรรษที่ 1860’sแต่ในครั้งนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างผุ้ต่อต้านและผู้สนับสนุนของแต่ละพรรค
รัฐบาลในช่วงค.ศ. 1867-1914 ระบบการปกครองเป็ฯแบบรัฐสภา ยังคงมีกษัตริย์ ตามทฤษฎีพระองค์ทรงมีอำนาจสูงสุด ปกครองประชานโดย grace of god แต่ในทางปฏิบัติพระมหากษัตริย์จะไม่แทรกแซง หรือใช้อิทธิพลต่อการดำเนินงานของคณะรัฐบาล ไม่มีสิทธิยับยั้งกฎหมาย หรอแต่งตั้งคณะผูบริหารประเทศ เป็นเพียงหุ่นเชิดไม่มีอำนาจแต่อย่างใดในระบบการเมืองอังกฤษ ดดยที่สถาบนกษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ที่รวมความเป็ฯอันหนึ่งเดียวกันของประเทศและของจักรวรรดิเอาไว้
คณะรัฐบาลมีลักษณะเป็น ปาร์ตี้ คอรป์เวอเม้นต์ ระบบพรรค นายกรัฐมนตรีผุ้ดำรงตำแหน่างหัวหน้าคณะรัฐบาลได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์โดยการที่สามารถคุมเสียงข้ามมรากในรัฐสภาไว้ได้ คณะรัฐมนตรีจะเป็นบุคคลผุ้สังกัดพรรคการเมืองเยวกัน ระบบคณะรัฐมรจรีของประเทศังกฤษจะมีสภาพเป็น union of power ในขณะที่อเมริกาเป็ฯแบบ separation power คณะรับบาลใช้อำนาจบริหาร ดวยการวางนโยบายการปกครอง แต่งตั้งบุคคลสำคัญในการบริหารประเทศพร้อมกันนั้นก็ใช้อำนาจนิติบัญญัติด้วยการฝ่านกฎหมายฉบับสำคัญ ๆ ออกมาใช้ รัฐสภามีสิทธิจะออกเสียงไม่ไว้วางใจคณะรัฐลบาล หรือำม่ผ่านกฎหมายทีรัฐบาลเสนอมาได้ แต่พระมหากษัตริย์ก็มีสิทธิจะให้ทั้งรัฐบาลลาออกและยุบสภาล่างได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามเมือมีการเลือกตั้องทั้งไปกันใหม่และสมาชิกใหม่ที่เข้ามามีสิทธิลงคะแนนเลือกรัฐบาลชุดก่าอีกก็ได้
รัฐสภาประกอบด้วยสภาสูง และสภาล้าง สภาสูงมีบทบามทากในอดีตแต่ได้เสื่อความสำคัญลงเรื่อยๆ สภาล่างเริ่มต้นจากการเป้ฯคณะบุคลที่ใกล้ชิดพระมหากษรัติย์กลับมีความสำคัญเพิ่มขึ้น จนในที่สุดมาเป็คณะผุ้คุมการเงินของประเทศ จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขัดขวางหรือสนับสนุนการบริหารของคณะรัฐบาล ได้ทำลายอำนาจสมบูรณาญาสิทธราชย์ของราขชวงศ์สจ๊วต เป็นสภาบันที่ถ่วงอำนาจฝ่ายปริหารและเป็นกลุ่มผุ้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ สมาชิกสภาล่างจะมาจากากรเลือตั้งทั่วๆ ไปและอยู่ในตำแหน่างได้คราวละ 5 ปี อาจถูกยุบสภาก็ได้ด้วยคำสั่ง ของรัฐบาลโดยพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ ..เรียกได้ว่าสภาล่างเป็นสถาบันที่อำนาจสูงสุดในประเทศเพียงแต่ใช้อำนาจผ่านคณะรัฐมนตรี
องกฤษไม่มีรัฐธรรมนูญที่จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร การตัดสิใจขึ้นอยู่กับเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งมีพื้นฐานอยู่กับกฎหมาย ประเพณีและข้อตกลงเก่า ๆ เช่น Magna Carta,Bill of Rights,Reform bills เป็นต้น ..
การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคม เมื่อเริ่มแรกที่อังกฤษเปลี่ยนสภาพมาเป็นประเทศ อุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบพาณิชย์นิยมพ่อค้าต้องประสบกับปัญหาเรื่องกำแพงภาษี การแทรกแซงของรัฐบาล การแทรกแซงของัฐบาล ยิ่งกว่านั้นพวกเจ้าของที่ดินเข้ามาคอยควบคุมรัฐสภาได้ออก กฎหมายซึ่งห้ามการสั่งข้าวเข้าประเทศยกเว้นกรณ๊ที่เกิดขาดแคลนภายใน หรือเมือ่ราคาได้ถีบตัวสูงมากพอที่ชาวนามีรายได้มั่นคงแล้ว แม้ต่อมาได้ปรับปรุงเป็นว่าให้สินค้าต่างประเทศเข้ามาได้ โดยจะเก็บภาษีต่ำถ้าราคาขายภายในสูง และจะเก็บภาษีสูงถ้าราคาภายในต่ำ แต่ก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังคงไม่ดีขึ้น
ปี 1845 อังกฤษเผชิญกับการอดอยาก เนื่องจากการปลูกมันในไอร์แลนด์ล้มเหลวและการปลูกข้าวของอังกฤษก็ตกต่ำ ค่าครองชีพจึงสูงขึ้น ข้อเรียร้องให้ซื้ออาหารจากต่างประเทศจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น จึงมีการยกเลิกกำแพงภาษี
ปี 1870 เศรษฐกิจของอังกฤษอยู่ในสภาที่ดี ประชาชนมีชีวิตอย่างสมบูรณ์ แต่ขณะเดียวกันเป็นระยะที่ความเจริญด้านการอุสาหกรรมมาถึงจุดสูงสุดและกำลังเป็นช่วงของขาลง การอุตสาหกรรมบางชนิดหยุชงัก ลางแห่งลกการผลิต และยังมีคู่แข่งทั้งเยอรมน และ อเมริกา
นอกจากด้านการเมือง การค้า การอุตสาหกรรม และสภาพสังคมกรรมกรแล้วนักปฏิรูปยังก้าวลึกเข้าไปด้านอื่น ๆ อีก เช่นการศึกษา ศาสนา และด้านอื่นๆ แม้แต่วรรณกรรม
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในศตวรรษที่ 19 อังกฤษมีปัญหาอยู่ 3 เรื่องได้แก่การหาสมดุลย์ในเรื่องสังคมและการเมือง ซึ่งจะเห็นได้จากใจความของกฎหมายปฏิรูปต่าง ๆ ปัญหาต่อมาได้แก่การปฏิรูปสังคมและเสณษฐกิจ และปัญหาความมั่นคงของชาติและความสัมพันธ์กับต่างประเทศ นโยบายโดดเดี่ยว หรือ Splendid isolation ที่อังกฤษอ้างมาใช้เพื่อสนองผลประโยชน์ซึ่งได้ผลดีมาโดยตลอด อังกฤษสามารถหลีกเลี่ยงสงครามยุโรปได้ทั้งหมด(ยกเว้นสงครามไครเมีย) แต่ในสถาการปี 1900 อังกฤษเริ่มไม่แน่ใจกับการไม่มีเพื่อน อังกฤษจึงพยายามผู้สัมพันธ์กับหลายประเทศ อาทิ เยอรมนี แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ การร่วมือกับญีปุ่นเพื่อสกัดรุสเซียด้านมหาสมุทรแปซิฟิค หรือการขัดขวางมิให้รุสเซียแบ่งจีน นอกจากนั้นยังมีสัญญาความเป็นมิตรกับฝรั่งเศสและรุสเซียอีก ซึ่งบิสมาร์คผผู้ถูกวิจารณ์ว่า “ระบบพันธมิตรที่บิสมาร์คสร้างขึ้นเป็นการเริ่มต้นที่ว่าสงครามในอนาคตไม่ใช่สงครามท้องถิ่น” แต่อังกฤษกลับดำเนินรอยตามและที่สำคัญในช่วงศตวรรษแห่งวิกฤตด้วย
ท่าทีของอังกฤษต่อวิกฤตกาลซาราเจโว ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ต่อท่าทีที่ลังเลอย่างเห็ได้ชัด กล่าวคือ Asguit (แอสควิท)ผุ้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขณะนั้นไม่ต้องการสงครามเพราะอังกฤมีเรื่องภายในมากอยู่แล้ว การตัดสินใจอาจจะทำให้เกิดการแตกแยกภายในประเทศได้ทุกเมือ รัฐมนตรีต่างประเศได้รับการวิจารณ์ว่ามีแนวโน้มสนับสนุนการเข้าสงครา โดยพูดในที่ประชุม ครม.ว่าถึงเวลาแล้วที่อังกฤษจะต้องตัดสินใจเป็น หรือจะเข้าช่วยฝ่ายพันธมิตร และเห็นว่าอังกฤษควรเข้าช่วยฝรั่งเศสตามสหพันธสัญญา ..และถึงแม้ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศขู่จะลาออกหากอังกฤษประกาศตังเป็นกลาง รัฐสถาและรัฐบาลอังกฤษก็ยังคงไม่ตัดสินใจ..
อังกฤษเข้าสงครามเพราะกลัวเสียดุลย์แห่งอำนาจ เนื่องจากตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความผู้พันที่มีกับฝรั่งเศสเรื่องป้องกันเส้นทางการค้า เรื่องเบลเยียม อังกฟษก็ยังตัดสินใจลงไปแน่นอนไม่ได้
การพัฒนาทางด้านการเมือง การปกครองของอังกฤษภายใต้หน้ากากระบบรัฐสภา อังกฤษมีความปกครองระบบคณาธิไตยผ่านทางระบบการเลือกตั้งผู้แทนที่ไม่มีความยุติธรรม และการคอรับชั้นอย่างไร้ยางอาย ระบบการเลือกผู้แทนก่อนปี ค.ศ. 1832 เรียกว่า Rotten Borough System ซึ่งจะมีผลให้สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่เป็นคนของพวกขุนนาง คนร่ำรวยและกลายเป็นตำแหน่งที่ขายต่อกันได้ในหมู่คนรวยที่ต้องการจะยกฐานะทางสังคมของตน ในเรื่องสิทธิออกเสียงเลือกตั้งก็เป็นสิทธิพเศษที่ขึ้นอยู่กับทรัพย์สิน(ที่ดิน)การจ่ายภาษี และชาติกำเนิดของบุคคล ตามสถิติที่ปรากฎ มีประชาชนเพียงประมาณ ห้าเปอร์เซ็นเท่านั้นที่มีสิทธิออกเสียงได้
ระบบรัฐบายยังเหมือนเช่นปัจจุบัน คือมีพระมหากษัตริย สภาสูง และสภาต่ำ หลังจากสมัยพระเจ้ายอร์จที่ 3 แล้ว พระมหากษัตริย์มีสภาพเป็นเพียงหุ่นเชิด คณะรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีต้องคุมเสียข้างมากในรัฐสภา และจะต้องรับผิดชอบต่อสภาต่ำ ซึ่งก็เป็นเรื่องง่ายที่จะทำได้
สมาชิกสภาสูงประกอบด้วยบุคคลทีสืบเชื้อสายมาจากพวกขุนนางชั้นสูง สมาชิกสภาต่ำมาจากการเลื่อกตั้งทั่วไปและจะอยู่ในตำแหน่งวาระ 7 ปี แต่อาจยุบสภาได้โดยพระปรมาภิไธยจาพระมหากษัตริย์ ส่วนระบบ 2 พรรค คือทอรี่ กับ วิก ก็มิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐายของระบบพรรคการเมืองเช่นปัจจุบัน แต่เป็นามคมของพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ 2 ตระกูล และจะเข้ามาทำงานเพื่อสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น ในระหว่างที่ยังไม่มีการปฏิรูป พวกชนชั้นสูงคุมสภาสูงดดยตรงด้วยอภิสิทธิ์เรื่องชาติตระกูล และคุมสภาต่ำโดยทางอ้อมฝ่านทางระบบเลือกตั้ง ตลอดจนคุมตำแหน่างสูง ๆ ทั้งทางราชการและศาสนา สรุปได้ว่าก่อนปี ค.ศ. 1832 ระบบการเมืองของอังกฤษเป็นแบบ “รัฐบาลของประชาชน โดยขุนนางและเพื่อขุนนาง”
มีความพยายามจะออกพรบ.หลายต่อหลายครั้งแต่ถูกยับยั้งจากสภาสูงกระทั่งปี ค.ศ. 1832 พระราชบัญญัติปฏิรูป จึงผ่านกฎหมายปฏิรูปออกมา ซึ่งผลลัพธ์ก็เรียกว่ายุติธรรมขึ้น พระราชบัญญัติฉบับนี้ทำให้เกิดความคิดว่าการปฏิวัติเป็นของไม่จำเป็น และถึงแม้ว่าพระราชบัญญัติปฏิรูปจะมิได้ทำให้อังกฤษมีการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จเรง แต่ก็เปิดช่องทางการเมืองให้กับชนชั้นกลาง ตลอดจนชนชั้นอื่น ๆ ก็จะเข้ามามีส่วนในการบริหารประเทศต่อไป
หลังจากปฏิรูปชันชั้นกลางขึ้นมาควบคุมการปกครองของประเทศ การพัฒนาอุตสาหกรรมจึงเป็นไปยางกว้างขวาง การค้าเป็นหลักการสำคัญของนโยบายของประเทศทั้งภายในและภายนอก แต่การปฏิรูปประเทศยังก้าวหน้าต่อไป ทว่าเป็นไปเพื่ผลประโยชน์ของชนชั้นกลางเช่นการออกเสียเลือกตั้งก็เพื่อชนชั้นกลางจะได้เข้าไปคุมรัฐสภา เสนอระบบเท่าเทียมกับพวกแองกลิตัน แต่จะไม่มีการปฏิรูปความเป็อยู่ของกรรมกร พระราชบัญญัติปฏิรูปปี ค.ศ. 1832 ได้มีผลทำให้ระบบพรรคการเมืองของอังกฤษเปลี่ยนไปบ้าง พรรควิกและทอรี่เปลี่ยนชื่อพรรคใหม่ตลอดจนได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ ทอรี่เปลี่ยนชื่อม่เป็นพรรคอนุรักษ์นิยม ในขณะที่พรรวิกได้ชือเสรีนิยม อย่างไรก็ตามชื่อของพรรคยังคงมีความหมายแต่เพี่ยงชื่อ ในทางปฏิบัติพรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งตามความเข้าใจเดิมเป็นของพวกชนชั้นสูงได้ปรับตัวเองให้เข้าได้กับภาวะใหม่ แต่โดยสรุปไมมีผูต้องการจะก้าวไน้ต่อไปให้ถึงประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ทว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ชนชั้นกรรมชีพได้รับความผิดหวังจากพระราชบัญญัติปฏิรูปที่ยังไม่ยอมให้มีการเลือกรตั้งทั่วไป และพวกชนชั้นกลางที่เคยร่วมมือกับกรรมกรต่อสู้กับพวกชนชั้นสูงเมื่อได้อำนาจก็ทำการกดขี่พวกกรรมกรเช่นพวกชนชั้นสูง กรรมกรจึงคิดว่าตนถูกโกง และคิดว่าพวกชนชั้นกลางฉวยโอกาสจากผลงานของตน ทั้งพรรคเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมต่างต่อต้านที่จะขยายสิทธิออกเสียงเลือกตั้งให้กว้างไกลต่อไป พวกกรรมกรจึงรวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธดังกล่าว กลุ่มชนได้มาพบปะกันและได้ร่างกฎบัตรขึ้น แม้ว่าลักษณะจะเป็นรูปการเมือง แต่ก็มีจุดมุ่งหมายปฏิรูปสังคมด้วยเหมือนกัน จึงได้รับความร่วมมอจากสมาคมกรรมกรอื่น ๆ อีก ดังนั้นการเรียกร้องจึงเพิ่มความรุนแรงขึ้น ทางรัฐบาลถึงกับเตียนกำลังต่อต้านถ้ามีเหตุการณ์รุนแรงขึ้นซึ่งเหตุการณ์ไปตามที่คาดหมาย เมือกฎบัติถูกปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง การจลาจลก็เกิดขึ้น และตามมาด้วยการใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาล
ถึงแม้ขบวนการ Chartist จะถูกกำจัดไป แต่หลักการยังคงอยู่ในใจของชาวอังกฤษ กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ยังคงมีความต้องการขยายสิทธิการเลือกตั้งออกไปอีก ฝ่ายพรรคเสรีนิยมซึ่งมีแกลดสโตนและไบร์ท ได้เสนอว่า ไม่ควรจะหยุดยังการปฏิรูปเพียงแค่พระราชบัญญัติปี 1832 ดิสรารี ซึ่งเป็นผู้นำของพรรคอนุรักษ์นิยมกลายเป็นแชมป์เปี้ยนของประชาชนเพราะร่วมต่อสู้กลุ่มชนชั้นกลางที่บริหารประเทศอยู่ การเรียกร้องให้ปฏิรูประบบการเลือกตั้งจึงเริ่มขึ้น ในระยะทศวรรษที่ 1860’sแต่ในครั้งนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างผุ้ต่อต้านและผู้สนับสนุนของแต่ละพรรค
รัฐบาลในช่วงค.ศ. 1867-1914 ระบบการปกครองเป็ฯแบบรัฐสภา ยังคงมีกษัตริย์ ตามทฤษฎีพระองค์ทรงมีอำนาจสูงสุด ปกครองประชานโดย grace of god แต่ในทางปฏิบัติพระมหากษัตริย์จะไม่แทรกแซง หรือใช้อิทธิพลต่อการดำเนินงานของคณะรัฐบาล ไม่มีสิทธิยับยั้งกฎหมาย หรอแต่งตั้งคณะผูบริหารประเทศ เป็นเพียงหุ่นเชิดไม่มีอำนาจแต่อย่างใดในระบบการเมืองอังกฤษ ดดยที่สถาบนกษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ที่รวมความเป็ฯอันหนึ่งเดียวกันของประเทศและของจักรวรรดิเอาไว้
คณะรัฐบาลมีลักษณะเป็น ปาร์ตี้ คอรป์เวอเม้นต์ ระบบพรรค นายกรัฐมนตรีผุ้ดำรงตำแหน่างหัวหน้าคณะรัฐบาลได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์โดยการที่สามารถคุมเสียงข้ามมรากในรัฐสภาไว้ได้ คณะรัฐมนตรีจะเป็นบุคคลผุ้สังกัดพรรคการเมืองเยวกัน ระบบคณะรัฐมรจรีของประเทศังกฤษจะมีสภาพเป็น union of power ในขณะที่อเมริกาเป็ฯแบบ separation power คณะรับบาลใช้อำนาจบริหาร ดวยการวางนโยบายการปกครอง แต่งตั้งบุคคลสำคัญในการบริหารประเทศพร้อมกันนั้นก็ใช้อำนาจนิติบัญญัติด้วยการฝ่านกฎหมายฉบับสำคัญ ๆ ออกมาใช้ รัฐสภามีสิทธิจะออกเสียงไม่ไว้วางใจคณะรัฐลบาล หรือำม่ผ่านกฎหมายทีรัฐบาลเสนอมาได้ แต่พระมหากษัตริย์ก็มีสิทธิจะให้ทั้งรัฐบาลลาออกและยุบสภาล่างได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามเมือมีการเลือกตั้องทั้งไปกันใหม่และสมาชิกใหม่ที่เข้ามามีสิทธิลงคะแนนเลือกรัฐบาลชุดก่าอีกก็ได้
รัฐสภาประกอบด้วยสภาสูง และสภาล้าง สภาสูงมีบทบามทากในอดีตแต่ได้เสื่อความสำคัญลงเรื่อยๆ สภาล่างเริ่มต้นจากการเป้ฯคณะบุคลที่ใกล้ชิดพระมหากษรัติย์กลับมีความสำคัญเพิ่มขึ้น จนในที่สุดมาเป็คณะผุ้คุมการเงินของประเทศ จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขัดขวางหรือสนับสนุนการบริหารของคณะรัฐบาล ได้ทำลายอำนาจสมบูรณาญาสิทธราชย์ของราขชวงศ์สจ๊วต เป็นสภาบันที่ถ่วงอำนาจฝ่ายปริหารและเป็นกลุ่มผุ้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ สมาชิกสภาล่างจะมาจากากรเลือตั้งทั่วๆ ไปและอยู่ในตำแหน่างได้คราวละ 5 ปี อาจถูกยุบสภาก็ได้ด้วยคำสั่ง ของรัฐบาลโดยพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ ..เรียกได้ว่าสภาล่างเป็นสถาบันที่อำนาจสูงสุดในประเทศเพียงแต่ใช้อำนาจผ่านคณะรัฐมนตรี
องกฤษไม่มีรัฐธรรมนูญที่จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร การตัดสิใจขึ้นอยู่กับเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งมีพื้นฐานอยู่กับกฎหมาย ประเพณีและข้อตกลงเก่า ๆ เช่น Magna Carta,Bill of Rights,Reform bills เป็นต้น ..
การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคม เมื่อเริ่มแรกที่อังกฤษเปลี่ยนสภาพมาเป็นประเทศ อุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบพาณิชย์นิยมพ่อค้าต้องประสบกับปัญหาเรื่องกำแพงภาษี การแทรกแซงของรัฐบาล การแทรกแซงของัฐบาล ยิ่งกว่านั้นพวกเจ้าของที่ดินเข้ามาคอยควบคุมรัฐสภาได้ออก กฎหมายซึ่งห้ามการสั่งข้าวเข้าประเทศยกเว้นกรณ๊ที่เกิดขาดแคลนภายใน หรือเมือ่ราคาได้ถีบตัวสูงมากพอที่ชาวนามีรายได้มั่นคงแล้ว แม้ต่อมาได้ปรับปรุงเป็นว่าให้สินค้าต่างประเทศเข้ามาได้ โดยจะเก็บภาษีต่ำถ้าราคาขายภายในสูง และจะเก็บภาษีสูงถ้าราคาภายในต่ำ แต่ก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังคงไม่ดีขึ้น
ปี 1845 อังกฤษเผชิญกับการอดอยาก เนื่องจากการปลูกมันในไอร์แลนด์ล้มเหลวและการปลูกข้าวของอังกฤษก็ตกต่ำ ค่าครองชีพจึงสูงขึ้น ข้อเรียร้องให้ซื้ออาหารจากต่างประเทศจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น จึงมีการยกเลิกกำแพงภาษี
ปี 1870 เศรษฐกิจของอังกฤษอยู่ในสภาที่ดี ประชาชนมีชีวิตอย่างสมบูรณ์ แต่ขณะเดียวกันเป็นระยะที่ความเจริญด้านการอุสาหกรรมมาถึงจุดสูงสุดและกำลังเป็นช่วงของขาลง การอุตสาหกรรมบางชนิดหยุชงัก ลางแห่งลกการผลิต และยังมีคู่แข่งทั้งเยอรมน และ อเมริกา
นอกจากด้านการเมือง การค้า การอุตสาหกรรม และสภาพสังคมกรรมกรแล้วนักปฏิรูปยังก้าวลึกเข้าไปด้านอื่น ๆ อีก เช่นการศึกษา ศาสนา และด้านอื่นๆ แม้แต่วรรณกรรม
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในศตวรรษที่ 19 อังกฤษมีปัญหาอยู่ 3 เรื่องได้แก่การหาสมดุลย์ในเรื่องสังคมและการเมือง ซึ่งจะเห็นได้จากใจความของกฎหมายปฏิรูปต่าง ๆ ปัญหาต่อมาได้แก่การปฏิรูปสังคมและเสณษฐกิจ และปัญหาความมั่นคงของชาติและความสัมพันธ์กับต่างประเทศ นโยบายโดดเดี่ยว หรือ Splendid isolation ที่อังกฤษอ้างมาใช้เพื่อสนองผลประโยชน์ซึ่งได้ผลดีมาโดยตลอด อังกฤษสามารถหลีกเลี่ยงสงครามยุโรปได้ทั้งหมด(ยกเว้นสงครามไครเมีย) แต่ในสถาการปี 1900 อังกฤษเริ่มไม่แน่ใจกับการไม่มีเพื่อน อังกฤษจึงพยายามผู้สัมพันธ์กับหลายประเทศ อาทิ เยอรมนี แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ การร่วมือกับญีปุ่นเพื่อสกัดรุสเซียด้านมหาสมุทรแปซิฟิค หรือการขัดขวางมิให้รุสเซียแบ่งจีน นอกจากนั้นยังมีสัญญาความเป็นมิตรกับฝรั่งเศสและรุสเซียอีก ซึ่งบิสมาร์คผผู้ถูกวิจารณ์ว่า “ระบบพันธมิตรที่บิสมาร์คสร้างขึ้นเป็นการเริ่มต้นที่ว่าสงครามในอนาคตไม่ใช่สงครามท้องถิ่น” แต่อังกฤษกลับดำเนินรอยตามและที่สำคัญในช่วงศตวรรษแห่งวิกฤตด้วย
ท่าทีของอังกฤษต่อวิกฤตกาลซาราเจโว ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ต่อท่าทีที่ลังเลอย่างเห็ได้ชัด กล่าวคือ Asguit (แอสควิท)ผุ้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขณะนั้นไม่ต้องการสงครามเพราะอังกฤมีเรื่องภายในมากอยู่แล้ว การตัดสินใจอาจจะทำให้เกิดการแตกแยกภายในประเทศได้ทุกเมือ รัฐมนตรีต่างประเศได้รับการวิจารณ์ว่ามีแนวโน้มสนับสนุนการเข้าสงครา โดยพูดในที่ประชุม ครม.ว่าถึงเวลาแล้วที่อังกฤษจะต้องตัดสินใจเป็น หรือจะเข้าช่วยฝ่ายพันธมิตร และเห็นว่าอังกฤษควรเข้าช่วยฝรั่งเศสตามสหพันธสัญญา ..และถึงแม้ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศขู่จะลาออกหากอังกฤษประกาศตังเป็นกลาง รัฐสถาและรัฐบาลอังกฤษก็ยังคงไม่ตัดสินใจ..
อังกฤษเข้าสงครามเพราะกลัวเสียดุลย์แห่งอำนาจ เนื่องจากตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความผู้พันที่มีกับฝรั่งเศสเรื่องป้องกันเส้นทางการค้า เรื่องเบลเยียม อังกฟษก็ยังตัดสินใจลงไปแน่นอนไม่ได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...