วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

WWII:Thai-Japan

    สงครามโลกครั้งที่ 2 ตรงกับรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระประเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นคือ จอมพลป.พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำฝ่ายทหารของคณะราษฎร์
    พ.ศ.2483 (ค.ศ.1940)
กรณีพิพาทอินโดจีน สถานการณ์ในประเทศไทยเริ่มในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ.2483(ค.ศ.1940)เมื่อคณะนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองรวมทั้งประชาชนร่วมกันเดินขบวนเรียกร้องรัฐบาลเรียกเอาดินแดนคือจากฝรั่งเศสจากเหตุการณ์ ร.ศ. 112(Franco-Siamese War “สงครามฝรั่งเศษ-สยามการหาประโยชน์ของฝ่ายฝรั่งเศสในดินแดนลาว โดยใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของสยามที่ไม่สามารถดูแลหัวเมืองชายแดนไม่ได้ทั่งถึง
      การก่อกบฏในเวียดนาม ที่เกิดเป็นระยะๆ การปราบฮ่อ ซึ่งแตกพ่ายจากเหตุการณ์กบฎไท่ผิงในจีน สร้างความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสยามกับรัฐบาลฝรั่งเศสที่ปารีสมากยิ่งขึ้น ผลคือไทยต้องยอมยกดอนแดนลาวฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส ซึ่งนำมาซึ่งการสูญเสียดินแดนประเทศราชของไทยใรเขมรและลาวที่เหลืออยู่ในเวลาต่อมา)
   พ.ศ.2484 (ค.ศ. 1941)
     จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี และผุ้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น ส่งทหารข้ามพรมแดนเข้าไปยึดดินแดนคืนทันที่ ท่านกลางกระแสชาตินิยมอย่างหนัก เกิดการยิงต่อสู้ระหว่างทหารไทยกับฝรั่งเศส ยุทธนาวีที่เกาะช้าง จ.ตราดเป็นการยุทธที่กล่าวถึงกันมากที่สุดแม่เรื่อหลวงธนบุรจะถูกจมลง แต่ก็สร้างความเสียหายแก่ทางฝรั่งเศสยังผลให้ฝรั่งเศสไม่รุกล้ำเข้ามาในน่านน้ำไทยอีก การต่อสู้คงดำเนินมาถึงปลายเดือนมกราคม พ.ศ. 2484 (ค.ศ.1941)ไม่มีที่ท่าว่าจะ
ยุติญี่ปุ่นแสดงเจตจำนงเข้ามาไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง เหตุการณ์ยุติลงโดยทางฝรั่งเศสคืนดินแดนบางส่วนให้แก่ไทย
     หลังจากการเข้ามามีบทบาทของญี่ปุ่นในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีการคาดการณ์ว่าญี่ปุ่นจะยาตราทัพเข้าสุประเทศไทยในอนาคตอย่างแน่นอน
ญี่ปุ่นยกพลขึ้นขึ้นบกที่ประเทศไทยและมาลายา ในวันเดียวกันกับการโจมตีที่เพิร์ล ฮาร์เบิร์ล ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร นครศณีธรรมราช สงขลา สุราษฏร์ธานี ปัตตนี และบางปู สมุทรปราการ และบุกเข้าประเทศภาคพื้นดินที่อรัฐประเทศ ยุวชนทหารไทยต่อสู้อย่างกล้าหาญภายใต้การนำของ ร้อยเอกถวิล นิยมเสน ที่สะพานท่านางสังฆ์… รัฐบาลไทยพ่ายแพ้ต่อกองทัพญี่ปุ่น
    พ.ศ. 2485 (ค.ศ.1942)
     “กติกาสัญญาพันธไมตรีระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย” มีผลให้ไทยเข้าร่วมกับญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว และตามด้วยประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2485 (ค.ศ.1942)
   กติการสัญญาฯ สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายทางการทหารของญี่ปุ่นต่อไทยที่เน้นการดึงไทยเข้าเป็นพันธมิตรในการทำสงครามมากกว่าที่จะชเครอบครองเหตุปัจจัยเนื่องจากไทยเป็นดินแดนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองตะวันตกและโดยหลักการยังคงดำเนินนโยบายเป็นกลางในสงคราม นอกจานั้นสภาพทางภูมิศาสตร์ของไทยที่เชื่อมต่อกับอาณานิคมของอังกฤษคือพม่าและมลายู ทำให้ไทยมีความสำคัญในฐานะเป็นฐานปฏิบัติกาทางการทหารที่จะสนับสุนกองทัพญี่ปุ่นในการโจมตีดินแดนทั้งสอง อีกทั้งไทยเป็นแหล่งสำคัญในการผลิตเสบียงอาหารเพื่ป้อนกองทัพญี่ป่น และความอุดมสมบูรณ์ในการผลิตอาหารนี่เองยังทำให้ไทยเหมาะเป็นพื้นที่ตั้งรับในกรณีที่ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกด้วย
     ความสัมพันธ์ของไทยกับญี่ปุ่นจึงดำเนินไปด้วยดีประกอบกั่บหลวงพิบูลสงครามยังเล็งผลเลิศบางประการจากากรให้ความร่วมือกับญี่ปุ่น ดังปรากฎในกติกาสัญญาพันธไมตรีที่มีข้อตกลลับต่อท้าย ซึ่งสะท้อนให้เห็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนระหว่างไทยและญี่ปุ่น..
     ความร่วมมือระหว่งกองทัพญี่ปุ่นและกองทัพไทยเกิดขึ้นภายหลังจกาการทำ “ข้อตกลงร่วมรบระหว่างญี่ปุ่น-ไทย”เมื่อต้นปี ถึงแม้ข้อตกลงฉบับนี้จะใช้คำว่าร่วมรบแต่อันที่จริงแล้ว กองทัพญี่ปุ่นหมายถึงการที่กองทัพไทยจะต้องอยู่ภายใต้การชี้นำของญี่ปุ่น ซึ่งการร่วรบระหว่างทหารญี่ปุ่นและทหารไทยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเมืองกองทัพญี่ปุ่นได้เปรียบในการรบด้านพม่าตลอดจนถึงยูนนาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลพิบูลสงครามมีความปรารถนาอย่างรแกล้าที่จะได้ครอบครอง เนื่องจากความเชื่อที่ว่าดินแดนดังกล่าวคือดินแดนที่ไทยสูญเสียให้กับอังกฤษในสมัยล่าอาณานิคม
     “เค้าโครงในการร่วมรบระหว่างญี่ปุ่น-ไทยต่อจีน”ในเค้าโครงดังกล่าวกองทัพพายัพของไทยซึ่งตั้งขึ้นตามคำแนะนำของญี่ปุ่นโดยมีพลตรี จรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์เป็นแม่ทัพ มีหน้าที่รับผิดชอบในการบุกพื้นที่ด้านตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน ได้บุกเข้าไปทางรัฐฉานของบพม่าและเข้ายึดเชียงตุงแต่เมื่อเข้ายึดพื้นที่ดังกล่าวเกิดความขัดแย้งระหว่งกองทัพใหญ่ภาคใต้ของญี่ปุ่นกับกองทัพพายัพของไทยในเรื่องการครอบครองดินแดนในรัฐฉาน ซึ่งสุดท้ายความขัดแย้งดังกล่าวส้นสุดลงภายหลังจากญี่ปุ่นยกเมื่องเชียงตุงและเมืองพานให้กับไทยในปี 2486 เมื่อครั้งที่นายพล โตโจ เดินทางมาเยื่อนกรุงเทพฯ
     - “กรณีบ้านโป่ง” เป็นเพียงชนวนที่ทำให้ความไม่พอใจของรัฐบาลไทยต่อญี่ปุ่นที่สั่งสมมาก่อนหน้านี้เปิดเผยให้เห็นชัดเจนขึ้นเท่านั้น อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่งประเทศพันธมิตรทังสองเริ่มสั่นคลอนภายหลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจตั้งกระทรวงมหาเอเซียบูรพาขึ้นในเดือนพฤศจิกา พ.ศ. 2485 เพื่อทำหน้าที่ดูแลกิจการที่สัมพันธ์กับดินแดนต่าง ๆ ในวงไพบูลย์ร่วมกันแห่งมหาเอเซียบูรพา ยังความไม่พอใจแก่รัฐบาลไทยเป็ยอย่างยิงเนื่องจากการที่กิจการที่เกี่ยวกับประเทศไทยต้องเข้าไปอยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาเอเซียบูรพาเช่นเดียวกับแมนจูก็กและจีนที่มีรัฐบาลหุ่นของญี่ปุ่นปกครองอยู่ ทำให้สถานะของไปทยเปรียบเสมือนประเทศที่อยู่ในการควบคุมของญี่ปุ่น ซึ่งประเนเรื่องสถานะของไทยในความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นนั้นเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากต่อผู้นำรัฐบาลไทยในขณะนั้น

     - เหตุการณ์น้ำท้วม ปลายปี พ.ศ. 2485 เกิดน้ำท่วมครั้งใหญที่พระนครและธนบุรี ทำให้สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนเลวร้ายไปอีก สภาพเศรษฐกิจของกินของใช้ขาดแคลน เกิดการกักตุนสินค้าเกิดเป็น “ตลาดมืด” และพ่อค้าคนไทยบางส่วนได้ร่ำรวยไปตามๆ กันเกิดเป็น “เศรษฐีสงคราม” แต่เครื่องบิน บี 29 หยุดทำการทิ้งระเบิดเช่นกัน
     - กองพลทหารรถไฟที่ 9 เข้ามาปฏิบัติภารกิจภายหลังจากญี่ปุ่นวางโครงสร้างทางรถไฟเชื่อมไทย-พม่า สังกัดอยู่กับกองทัพใหญ่แป่งภาคพื้นทิศใต้ ซึ่งมีกองบัญชากากรอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์ในมลายู มีสำนักงานแยกต่างหากอยู่ที่สนามกีฬาแห่งชาติในกรุงเทพ กองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทยมีหน้าทีเฉพาะการติดต่อกับรัฐบาลไทยและให้ความช่วยเหลือโครงการสร้างทางรถไฟเท่านั้น
      พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943)
“กองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทย” จัดตั้งขึ้นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 โดยมีกองบัญชากากรอยู่ที่หอการค้าจีนที่ถนนสาทร กรุงเทพ อยู่ภายใต้การบลังคับบัญชาของพลโทนากามุระ อาเคโตะ  มีหน้าที่สำคัญสองประการคือ ป้องกันไทยซึ่งเป็นที่มั่นแนวหลังให้กับสมรุภูมิพม่าและมลายู และหน้าที่ในการดูแลกองทัพญี่ปุ่นที่เดินทัพผ่านประเทศไทย จะเห็นได้ว่าหน้าที่หลักทั้งสองของกองทัพญ่ปุน่นประจำประเทศไทยมีลักษณะในการดูแลความสงบเรียบร้อยมากกว่ามี่จะเป็นกองทัพเพื่อการสู้รบ  กองกำลังญี่ปุ่นในประเทศไทยจึงไม่มีกำลังที่ใหญ่โตนัก เป็นการรวบรวมกองกำลังบางส่วนที่เคยสังกัดอยู่กับกองลัญาการใหญ่ภาคพื้อนทิศใต้(สิงคโปร์)ย้ายมาสังกัดกับหน่วยงานใหม่ที่ตั้งขึ้นนี้ ภาระกิจอันดับแรกคือการจัดการกับปัญหาหนี้สินที่กองทัพญี่ปุ่นติดค้างรัฐบาลและราษฎรท้องถ่นตลอดระยะเวลาที่ญี่ปุ่นเข้ามรตั้งฐานในไทย และจัดพิมพ์คู่มือสำหรับทหารเกียวดับ
มารยาทและการปฏิบัติตัวกับชาวไทย แต่โดยเนื้อแท้สภานะการณ์สงครามเท่านั้นที่เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการรักษาพันธไมตรีระหว่างประเทศทั้งสอง ความเสียปรียบในสงครามของกองทัพญ๊ปุ่นปรากฎให้เห็นและรับรู้กันทั่งไปภายหลังจากเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มโจมตีกรุงเทพในปลายปี 2486 การเปลี่ยนแปลงบทบาทของกองทัพญี่ปุ่นต่อประจำประเทศไทยก็เริ่มเกิดขึ้น
     “การทิ้งระเบิดในประเทศไทย” ฝ่ายสัมพันธมิตรทำการทิ้งระเบิด ทำลายสนามบิน ชุมทางรถไฟ ท่าเรือ สะพาน อันเป็นปมคมนาคมเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงของญี่ปุ่น พระนครและธนบุรีถูกเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทิ้งระเบิด ระหว่าง ปี พ.ศ. 2485-2488 เช่น สถานนีรถไฟหัวลำโพง สถานีรถไฟบางกอกน้อย สถานีรถไฟช่องนนทรีย์ สถานีรถไฟบางซื่อ โรงงานซ่อมสร้างหัวรถจักรมักกะสัน โรงไฟฟ้าวัดเลียบ โรงงานปูนซีเมนต์บางซื่อ สะพานพุทธยาดฟ้า สะพานพระราม 6 ท่าเรือคลองเตย สนามบินดอนเมือง สถานทูตญี่ปุ่น ที่พักและคลังอาวุธของทหารญี่ปุ่น…เป็นต้น
      ทางรถไฟสายหนองปลาดุก-กาญจนบุรี-ทันบีอูซายัด จะถูกขนานนามว่า “ทางรถไฟสายมรณะ”แต่ความสำเร็จในการก่อสร้างที่ใช้เวลาเพียงประมาณหนึ่งปีก็สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับกองทัพญี่ปุ่น ตลอดจนถึงกลุ่มพ่อค้าเมืองหลงและพ่อค้าท้องถ่นที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง รวมทั้งการจัดจ้างแรงงาน



วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

WWII:Georgy Zhukov

     จอมพล เกออร์กี จูคอฟ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหภาพโซเวียต ผู้บัญชาการทหารคนสำคัญ ผู้บัญชาการกองทัพแดงในการปลดปล่อยสหภาพโซเวียต จากการรุกรานของนาซี ปลดปล่อยยุโรปตะวันออกส่วนใหญ่ และเข้ายึดกรุงเบอร์ลิน
  
ซูคอฟ เกิดในครอบครัวชาวรัสเซีย 1915 ถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารระว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังการปฏิวัติเดือนตุลา เขาได้เข้าร่วมกับพรรคบอลเชวิค และต่อสู้ในสงครามกลางเมืองรัสเซียซูคอฟขึ้นเป็นผู้บัญชาการกรมในปี 1930 ซูคอฟเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญในทฤษฎีใหม่ของสงครามยานเกราะ ซึ่งมีความโดดเด่นเรื่องการวางแผนการรบที่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย เน้นระเบียบวินัยและความเข้มงวด เขาเป็นหนึ่งในนายทหารไม่มากนักที่รอดพ้นจากการกวาดล้างกองทัพครั้งใหญ่ของสตาลิน
     1938 ซูคอฟเป็นผู้บัญชาการกลุ่มกองทัพโซเวียตมองโกเลียที่ 1 และบัญชากากรรบกับ กองทัพกวางตุ้งของญี่ปุ่น ที่บริเวณพรมแดนมองโกเลียกับรัฐแมนจูกัวของญี่ปุ่นในสงครามอย่างไม่เป็นทางการ ญี่ปุ่นหลังจะทดสอบกำลังในการป้องกันเขตแดนของโซเวียต จนกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบอย่างรวดเร็ว เรียกว่า การรบแห่งฮาลฮิล โกล ซูคอฟสามารถชนะสงครามอย่างง่ายดายชื่อเสียงของเขาไม่เป็นที่รู้จักต่อภายนอกเนื่องจากเป็นช่วงเวลาการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดีซูคอฟได้รับการเลือนยศเป็นพลเอก และได้เป็นประธานเสนาธิการกองทัพแง แต่เพราะความขัดแย้งกับสตาลิน เขาจึงถูกปลด หลังจากนาซีบุกสหภาพโซเวียตได้ไม่นาน
      เนื่องจากการเป็นนายทหารในไม่กี่นายที่กล้าท้วงติงผู้นำ แต่เวลาก็เป็นเครืองพิสูจน์ว่าข้อท้วงติงของเขานั้นถูก เขาถูกเรียกตัวกลับมาบัฐชาการแนวรบกลางเพื่อปกแองกรุงมอสโ ซึ่งเขาก็สามารถทำได้สำเร็จ สตาลินจึงยอมรับฟังนายทหารของเขามากขึ้น  ซูคอฟกลับมาเป็นนายทหารคู่ใจสตาลินอีกครั้ง ปีต่อมา ซูคอฟได้รับแต่งตั้งเป็รรองผู้บัญชาการสูงสุดและส่งไปดูแลสตาลินกราด ซึ่งได้สร้างผลงานคือการทำให้กองทัพที่ 6 ของเยอรมันยอมจำนนแม้โซเวียตจะเสียทหารไปเป็นล้านก็ตาม
       ซูคอฟ ดูแลการตีฝ่ากรปิดล้อมเลนินกราดครั้งแรกในเดือนกรกฎาคมปีกเยวกัน เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในยุทธการที่เคิสก์ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม หลังจากนั้นก็ดูแลเรื่องการปลดปล่อยเลนินกราดที่ประสบความสำเร็จ เดือนมกราปี 1944  ซูคอฟ นำกองทัพโซเวียตในการรุภายใต้รหัสปฏิบัติการว่า ปฏิบัติการเบรเกรชั้น ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นปฏิบัติการณ์ทางทหารที่สุดยอดที่สุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 และนำกองทัพโซเวียตยึดกรุงเบอร์ลินในปี 1945 เยอรมันยอมแพ้อย่างไม่มีเงือนไข

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

WWII:Operation Husky

     การบุกเกาะชิชิลีภายใต้การปฏิบัติการฮัสกี้ เป็นหนึ่งในปฏิบัติการหลักในสงครามโลกครั้งที่สองของฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อยึดครองเกาะชิชิลีจากฝ่ายอักษะ  เป็นการเปิดฉากของการทัพอิตาลี
     ปฏิบัติการฮัสกี้เริ่มต้นขึ้นในคืนระหว่างวันที่ 9 และวันที่ 10 กรกฎาคม 1943 และยุติลงในวันที่ 17 สิงหาคม ปีเดียวกัน โดยฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถบรรลุเป้าหมายในเชิงยุทธศาสตร์จากการขับไล่กองกำลังทางบก ทางน้ำและทางอากาศของฝ่ายอักษะออกจากเซิชิลีได้สำเร็จ ยังผลให้ฝ่ายสัมพันธมิตรสามรถควบคุมน่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมุสโสลินีถูกขับไล่ให้พ้นจาตำแหน่างนายกรัฐมนตรี่อิตาลี ความสำเร็จดังกล่าวปูทางสู่การรุกคืบในอิตาลีแผ่นดินใหญ่ในเวลาต่อมา
    แผนการดำเนินงานฮัสกี้เรียว่าโจมตีทั้งบนบกและในน้ำ กองทัพอเมริกาดำเนินการโจมตีเชื่อมโยงไปถึงทางใต้และทางตะวันออกและบนชายฝั่งทางตอนใต้กลางของเกาะซิชิลี โดยการจู่โจมซึ่งอยู่ทั้งบนบกและในน้ำปืนใหญ่ยังสนับสนุนจากเรือรบแต่มีคำสั่งห้ามการสนับสนุนทางอากาศ โครงสร้างทางคำสั่งที่ซับซ้อนซึ่งต้องโจมตีพร้อมกันทั้งทางบกและทางเรือดำเนินการโดย นายพล ดไวต์ ดี. ไอเซนเฮาร์ และนายพลแห่งแอฟริกาเนือ ฮารอด อเล็กซานเดอร์แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งนำทหารอังกฤษเข้าโจมตีชายฝั่งทางตอนใต้ของเกาะซิชิลีร่วมกับอเมริกา
     หลังจากการได้รับชัยชนะในแอฟริกาเหนือของสัมพันธมิตรการปะรเมินสภานการณ์ของฝ่ายอักษะย่อมประเมินออกว่าการยกทัพจากแอฟริกาฝ่านไปยังทะเลยุโรปใต้ของคาบสมุทรอิตาลีนั้นเหมาะที่จะเป็นจุดสกัดการเคลื่อนพลของฝานสัมพันธมิตร การยกพลขึ้นบกที่ชิชิลีจึงเป็นความเสียงต่อการสูญเสียเป็นอย่างยิ่ง
    โดยแผนการของฝ่ายสัมพันธมิตรคือการนำกำลังในอแฟริกาเหนือขึ้นบกที่ฝั่งประเทศอิตาลีเพื่อเข้าสู่เยอรมันต่อไป เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียของฝ่ายสัมพันธมิตร ได้นำไปสู่การถกเถียงของคณะการวางแผนของสัมพันธมิตร ที่จะใช้วิธีการข่าวสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ฝ่ายเยอรมัน เพื่อเบนความสนใจในการตั้งรับที่ชิ
ชิลี และอิตาลี
     การข่าวฝ่ายสัมพันธมิตร คิดออกมาว่าการให้ฝ่ายเอยมันรับข่าวล่วงนั้นควรเป็นเอกสารของนายทหารชั้นสูงในคณะเสนาธิการผสมกองทัพสัมพันธมิตรที่ทางเยอรมันรู้ดีวานายทหารเหล่านั้นอยู่ในฐานะที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแผน คือควรจะส่งสารรูปแบบใดเพื่อที่จะสามารถลวงฝ่ายเยอรมัน แต่วิธีการที่จะให้สารถึงมือเยอรมันนั้น เป็นวิธีการที่ไม่ธรรมดาคือการส่งสารโดยศพ ซึ่งวิธีการนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงขึ้นไปเพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากผุ้บังคับบัญชา โครงการก็ต้องล้มไป
   การเตรียมการอย่างพิถีพิถัน ตั้งแต่การเลื่อกศพ การเลือกบริเวณที่จะปล่อยศพ ร่วมถึงพาหนะที่จะใช้ปล่อยศพ แผนการนี้เป็นแผนการที่เสี่ยงต่อความล้มเหลว

    หลังจากปฏิบัติการตามแผนที่ได้วางไว้ คณะวางแผนก็ใจจดใจจ่อเผ้าดูข่าวกรองความเคลื่อนไหวของกองทัพเยอรมันและอิตาลีในทะเลเมลิเตอร์เรเนียน ปลายพฤษภามีการเคลื่อนย้ายกองพลยานเกราะที่ 1 จากภาคใต้ฝรั่งเศสไปตั้งมั่นที่เมืองทริโปลิสในกรีซ กองบัญชาการกองทัพเรือเยอรมันได้สั่งการให้วางทุ่นระเบิดเพิ่มขึ้นอีก 3 แนวที่ชายฝั่งกรีซ ทหารเรือเยอรมันในทะเลอีเจียนได้รับคำสั่งให้ดูแลแนวทุ่นระเบิดตามฝั่งตะวันตกของกรีซแทนทหารเรืออิตาลี ตอนต้นเดือนมิถุนายนมีการย้ายกองเรือตอร์ปิโดจากชิชิลีไปยังฐานทัพในทะเลอิเจียน และคอร์ซิการรวมทั้งบางส่วนของชายฝั่งด้านเหนือของชิชิลีด้วย การปฏิบัติการ Mince Meat ได้ผล การยกพลของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ชิชิลี ในวันที่ 10 กรกฏาคม รายงานการปฏิบัติการยุทธการ Husky สรุปการสูญเสียทหารในการโจมตียกพลขึ้นบกมีจำนวนต่ำกว่าที่ประมาณการไว้มาก ทั้งนี้และทั้งนั้นเนื่องจากปฏิบัติการ การปล่อยข่าวล่วง “มินซ์มีท” มีเหตุที่ทำให้เชื่อได้ว่าฝ่ายอักษะเชื่อว่าสัมพันธมิตรจะยกพลขึ้นบกที่ ซาร์ดิเนีย และเพโลพอนนิซัส ในกรีซนั้นเอง

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

WWII:UN

  

             องค์การระว่างประเทศ องค์กรสหประชาชาติ United Nations Organizaton จัดตั้งขึ้นโดยยึดหลักสันติภาพและภารดรภาพเป็นหลัก
     ในการแสดงหาสันติภาพเริ่มขึ้นที่ยุโรป ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการเคลื่อนไหวที่จะดำรงไว้ซึ่งสันติภาพอันถาวร แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ต้นคริสตศตวรรษที่ 19 ประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกันแสวงหาลู่ทางขนัดปัญหาระหว่างประเทศโดยอาศัยการประชุมปรึกษากัน เช่นการปรชุมแห่งเวียนนา ,การประชุมเอกซ์ลาซาแปล เป็นต้น เป็นสมัยที่เรียกว่า สมัยความร่วมือแห่งยุโรป Concert of Europe ต่อมาเกือบร้อยปี มีการประชุมที่กรุงเฮก ในปี 1899 และ 1907 เพื่อพิจารณาลดอาวุธทั่วไป ความร่วมมือยังปรากฏในรุ)ของความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งสไภพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ สหภาพไปรษณีย์สากลระหว่างประเทศเป็นต้น แต่ความพยายามดังกล่าวได้ผลไม่ถาวร จนสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 1 ประธานธิบดี วิลสัน แห่งสหรัฐอเมริกา ได้พยายามจัดตั้งสันนิบาตชาติ เพื่อดำรงรักษาสันติภาพของโลกในถาวรแต่ในที่สุดสันนิบาตชาติก็ต้องล้มเลิกไป ประเทศต่าง เห็นถึงคุนประโยชน์ของสันนิบติชาติในท่ามกลางสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงร่วมมือกนสถาปนาองค์การสหประชาชาติ ขึ้นเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ปี 1945 ในขั้นแรกมีประเทศเข้าร่วมลงนาม 24 ประเทศและประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ
     คำประกาศจากพระราชวังเซนต์ เจมส์ วันที่ 12 มิถุนายน 1941 ซึ่งเป็นเวลาที่สครามโลกครั้งที่ 2 กำลังดำเนินอยู่ ผู้แทนประเทศพันธมิตร อังกฤษ แคนาด ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหภาพแอฟริกาใต้ และผุ้แทนรัฐบาลพลัดถิ่น 8 ประเทศ ได้ประชุมร่วมกันที่พระราชวังเซนต์ เจมศ์ กรุงลอนดอน เพื่อปรึกษากันเกี่ยวกับนโยบายที่จะทำสงคราม ในขณะเดียวกันที่ปรุชุมได้พิจารณาถึงปัญหาการดำรงชีวิตไว้ซึ่งสันติภาพตลอดจนความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต ผู้แทนประเทศต่าง ๆ ลงนามในคำประกาศซึ่งเรียกันต่อมาว่า “คำประกาศจากพระราชวังเซตต์ เจมส์”
     หลังจากออก “คำประกาศจากพระราชวังเซต์ เจมส์ แล้วประธานาธิบดี โรสเวลต์ แห่งสหรัฐอเมริกาและวินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้เจรจากันเกียวกับสันติสุขโลกในอนาคตบนเรือออกัสตา นอกฝั่งหมู่เกาะนิวฟันแลนด์ มหาสมุทรแอตแลนติก และได้ร่วมประกาศ “กฎบัติแดตแลนติก”เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 1941 เป็นคำประกาศหลักการร่วมกันในการที่จะสถาปนาสันติสุขโลกในอนาคตสาระสำคัญของกฎบัติแอตแลนติก มีใจความดังนี้
-ประเทศทั้งสองจะส่งเสริมให้มวลมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาได้รับความมั่นคงปลอดภัยพ้นจากากรรุกราน
- ประเทศทั้งสองจะส่งเสริมให้มนุษย์ทุกชาติทุกภาษามีเสรีภาพที่จะเลือกการปกครองแบบใดแบบหนึ่งตามที่ตนปรารถนา
- ประเทศทั้งสองจะส่งเสริมให้ประเทศต่าง ๆ มีสิทธิเท่าเยมกันในด้านการพาณิชย์และการแสงหาวัตถุดิบที่แต่ละประเทศประสงค์เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของตนให้มั่นคง
- ประเทศทั้งสองประสงค์ที่จะให้ชาติต่าง  ๆร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมค่าแรงงานและปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพของกรรมกรให้ดีขึ้น
- ประเทศทั้งสองมีเจตจำนงค์ที่จะให้ทุกประเทศลิกใช้กำลังประหัตประหารกัน
ต่อมารัฐบาลต่าง ๆ 10 ประเทศได้รับรองกฎบัติแอตแลนติกและให้คำมั่นว่าจะร่วมมืออยางเต็มี่เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกฎบัติดังกล่าว ซึ่งในเวลานั้นสหรัฐอเมริกามิได้อยู่ในภาวะสงคราม
     คำประกาศแห่งสหประชาชาติ หรือปฏิฐฐาแห่งสหประชาชาติ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ร่างคำประกาศดังกล่าว โดยมีสี่มหาอำนาจ คือ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สหรภาพโซเวียต และจีน ได้ร่วมลงนามในคำประกาศแห่งสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 1942 ต่อมา ประเทศพันธมิตรอีก 24 ประเทศได้ลงนามรับรองด้วย
     คำประกาศฉบับนี้ ทุกประเทศที่ร่วมลงนามพากันให้คำมั่นว่าจะปกิบัติตามความมุ่งหมายและหลักการขอฏณบัติแอตแลนติก จะดำเนินการสงครามต่ไปอย่างเต็มกำลังจนกว่าจะได้ชัยชนะและจำม่แยกกันทำสนธิสัญญาสันติภาพ
     31 ตุลาคม 1943 อังกฤษ จีน สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา ปรุชะมกันเกี่ยวักบการสงครามได้ออกคำประกาศกรุงมอสโก แสดงเจตจำนงที่จะสร้างองค์การใหญ่ระหว่างประเทศขึ้งองค์การหนึ่ง โดยยึดหลักอธิปไตย ความเสมอภาค และการที่แตะละรัฐใฝ่ใจในสันติสุขเป็นมาตรฐาน และจะเปิดโอกาสให้ประเทศต่าง ๆ วึ่งมีคุณสมบัติดังกล่าวไมว่าใหญ่หรือเล็กเข้าเป็นสมาชิก ทั้งนี้เพื่อช่วยำนฝดุงรักษาสันติภาพและความมั่นคงปลอดภัยระหว่างประเทศไว้
     อีกหนึ่งเดือนต่อมาต่อมา โรสเวลล์ สตาลิน และเชอร์ชิลล์ ประชุมกันอีกครั้งที่ เตหะราน ประเทศอิหร่าน การประชุมครั้งนี้นำไปสู่การออกคำประกาศยืนยันความจำเป็ฯที่จะต้องจัดตั้งองค์การโลกขึ้น การประชุมที่เตหะรานนำไปสู่การประชุมครั้งใหญ่ที่คฤหาส์นดัมบาร์ตันโอกส์ ณ กรุงวอชิงตัน ในปี 1944 ผู้แทน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ จีน สหภาพโซเวียต ได้ร่างข้อเสนอคดัมบาร์ตัน โอคส์ขึ้น ข้อเสนอนี้เป็นโครงการก่อตั้งองค์การระหว่างประเทศซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในนามว่า องค์การสหประชาชาติ
     โรสเวลต์ เชอร์ชิลล์ และสตาลิน ประชุมกันอีกครั้งที่มืองยัลตา ในคาบสมุทรไครเมีย ในปี 1945 เพื่อพิจารณาการยึดครองเยอรมนีเมื่อสงครามยุติแล้ว ในระหว่างการประชุมนี้ ได้มีการพิจารณาโครงร่างสหประชาชาติ หรือข้อเสนอดัมบาร์ตัน โอคส์ ในที่สุดที่ประชุมได้ออกแถลงการณ์ว่าประเทศมหาอำนาจทั้งสามและพันธมติร จะดำเนินการสถาปนาองค์การระหวางประเทศขึ้นโดยเร็วที่สุด และจะจัดให้มีการประชุมครั้งใหญ่ที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมกันจัดทำกฎบัติขององค์การสหประชาชาติต่อไป
     การประชุมที่นครซานฟรานซิสโกเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน 1945 ผุ้แทนประเทศต่าง ๆ 51 ประเทศเข้าร่วมประชุมเพื่อพิจารณาร่างกฎบัตรสหประชาชาติ การประชุมครั้งสิ้นสุดในวันที่ 25 มิถุนายน ปีเดียวกัน ซึ่งเป็นวันที่ที่ประชุมลงคะแนนเสียเป็นเอกฉันท์รับรองกฎบัตรนยี้ วันต่อมา ผุ้แทนประเทศต่าง ๆ ได้ลงนามในกฎบัตรแห่งองค์การ  หลังจากนี้ประเทศส่วนใหญ่ที่ร่วมลงนามได้รสัตยบันในวันที่ 24 ตุลาคม ปี1945 วันที่ 24 ตุลาคม จึงเป็นวันสหประชาชาติในเวลาต่อมา

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

WWII:Douglas MacArthur


     แมคอาร์เธอร์ เป็นผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯตะวันออกไกลและช่วงชิงพื้นที่มหาสทุทรแปซิกฟิก ด้านตะวันตกเฉียงใต้จากประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ออสเตรเลียเป็นฐาน วลีที่ที่มีชื่อเสียงที่แมกอาเธอร์กล่าวแก่ชาวฟิลิปปินส์ระหว่างถอยหนีกองทัพญี่ปุ่นในฟิลิปปินส์คือ “ข้าพเจ้าจะกลับมา I shall Return” และเมื่อกลับมาตามคำสัญญาหลังการถอยไปตั้งหลักที่ออสเตรเลีย แมกอาเธอร์ ได้ประกาศอีกครั้งในขณะที่เดินลุยน้ำลงจาเรือที่อ่าวเลย์เตว่า “ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว I Have Return” พลเอกดักลาส แมกอาร์เธอร์ Douglas MacArthur เป็นจอมพลชาวอเมริกัน ที่มีชื่อเสียงในการบัญชาการรบลภาคพื้นแปซิกฟิก ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้บัญชาการผู้ที่ให้ญี่ปุ่นจดสนธิสญญาพ่ายแพ้ให้กับฝ่ายพันธมิตร ณ เรือประจัญบานยูเอสเอส มิซูรี นอกจานี้เขายังเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้ ญี่ปุ่น พัฒนาอย่างรวดเร็ว และยังเป็นผู้บัญชาการสมัยสงครามเย็นในสงครามเกาหลี อีกด้วย

   พลเอก แมกอาร์เธอร์ทำหน้าที่เป็นผู้รับการยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเป็นทางการของญี่ปุ่น เนื่องจากเขามีเชื้อสายของ นาวเอก พิเศษ แมททิว คราวเรท เพอรี่ ผุ้เคยบีบให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ และดำรงตำแหน่งผุ้บัญชาการยึดครองประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้จัดการให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของญี่ปุ่นที่กำหนดให้สมเด็จพระจักรพรรดิ อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและห้ามีกองกำลังทหาร ญี่ปุ่นจึงมุ่งเน้นด้านเศรษฐกิจและฟื้นตัวได้เร็วขึ้นเนื่องจากไม่ต้องใช้งบประมาณและทรัพยากรเพื่อการป้องกันประเทศ
     แมกอาเธอร์ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังสหประชาชาติในสงครามเกาหลีเกือบจะสามารถเอาชนะเกาหลีเหนือ แต่ก็ถูกปลดออกจากหน้าที่ เนื่องจากการเตรียมบุกประเทศจีน และเสนอให้มีการใช้ระบิดประมาณุ กับประเทศจีนซึ่งเป็นผุ้สนับสนุนหลักของเกาหลีเหนือในสงครามเกาหลี ซึ่งเป็นการพยายามฝ่าฝืนคำสั่งของประธานาธิบดี แฮร์รี่ เอส.ทรูแมน
การปฏิบัติการทางทหาร แบบใหม่ของกลยุทธวิวัฒนาการมาใหม่ คือ ในด้านยุทธนาวี การปฏิบัติการในระยะยาวได้ใช้เครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องยินเป็นอาวุธสำคัญในการรบรุก เป็นพัฒนาการซึ่งทำให้ญี่ปุ่นสิ้นสุดความได้ปรียบที่จะเป็นฝ่ายบงมือปกิบัตการจากรเอรบหลัก ในการรบตามเกาะ การให้ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทหารบก ทหารเรือและกำลังทางอากาศก็เป็นการเลือกที่จะเป็นการรบภายใต้การบัญชาการอันเดียวกัน นี่คือส่วนหนึ่งของเทคนิคการรบอเมริกาแบบ “กระโดดที่ละเกาะ โดยมิได้มุ่งยึดดินแดนตามความหมายทั่วยไปหากแต่มุ่งรบเพื่อให้ได้มาซึ่งฐานทัพเพื่อให้เรือรบและเครื่องบินสามารถครอบงำทั้งพื้นที่ในน่านน้ำแปซิฟิคตะวันตกทั้งหมด
     มกราคม 1943 ผู้นำสัมพันธมิตรเปิดการประชุมที่เมืองคาซาบลังก้า ตกลงที่จะฝันยุทธปัจจัยไปสู่สงครามกับญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคม มีการดำเนินการดังกล่าวโดยประชุมที่เมืองควีเบค โดยกำหนดตัวผู้บัญชากากรทั้งหลายและร่างยุทธศาสตร์ที่จะปฏิบัติการ ภายในไม่กี่เดือน กองทัพภายใต้การนำของนายพลเรือนิมิตส์ ได้ปฏิบัติการการตัดสินใจนั้น โดยโจมตีหมู่เกาะมาร์แชลล์ในตอนกลางของน่านน้ำแปซิฟิค เป็นการแสดงครั้งแรกสำหรับอีกหลายครั้งถึงการทุ่มสรรพสิ่งอันหนักหน่วงมากมายต่อเกาะอันเป็นเป้าหมายและอัตราที่สามารถจะลดลงได้ถ้าการเสิรมกำลังของฝ่ายข้าศึกถูกกระทำจนเป็นไปไม่ได้ ฐานทัพหลักของควาจาลินได้ถูกยึภายใน 10 วัน ของการต่อสู้ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1944 เกาะไซปัน ในหมู่เกาะมาเรียนาส ใช้เวลาเข้ายึดได้นานกว่า และเกี่ยวกับการปฏิบัติการเต็มขั้นของกองทัพเรือในยุทธนาวีที่ทะเลฟิลิปปินส์เพื่อคุ้มครองการยกพลขึ้นบก อย่างไรก็ตาม นี่คือการทำลายสันหลังของแนวการต่อต้านของฝ่ายกองทัพเรือญี่ปุ่นแลได้ปฏิบัติการก้าวหน้ายิ่งกว่านั้นในที่อื่น ๆ เกาะกวมแตกในเดือนสิงหาคม กลุ่มเกาะปาเลาแตก ในเดือนกันยายสเป็นการทำให้การรุกคืบหน้ากว่า สองพันไมล์ เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์น้อยกว่า 1 ปี
     การเน้นหนักมุ่งไปที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของน่านน้ำแปซิฟิค ซึ่งนายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ บัญชาการอยู่

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

WWII:Eastren front


     22 มิถุนายนเริ่มปฏิบัติการบาร์บารอสซ่า กองทัพเยอรมนีและพันธมิตรฝ่ายอักษะรุกรานสหภาพโซเวียตโดยแบ่งการโจมตีอกเป็นสามทางพุ่งเป้าหมายไปยังนครเลนินกราด กรุงมอสโกและแหล่งน้ำมันแถบเทือกเขาคอเคซัส กองทัพเยอรมันบางส่วนได้รับอนุญาตให้ใชบ้ดอนแดนฟินแลนด์ในการโจมตีสหภาพโซเวียต
     ฮังการีและสโลวาเกียประกาศสงครามกับสหภาพโซเวียต สหภาพโซเวียตท้งระเบิดกรุงเฮลชิงกิฟินแลกน์ประกาศสงครามต่อสหภาพโซเวียต สงครามต่อเนื่องเริ่มขึ้น อังเบเนียประกาศสงครามกับสหภาพโซเวียต
   กรกฎาคมกองทัพเยอรมันบุกกรุงริกา เมืองหลวงของลัตเวีย ระหว่างทางไปโจมตีนครเลนินกราด สตาลินประกาศ “นโยบายเผาให้ราบ”กองทัพเยอรมันเคลื่อนทัพถึงแม่น้ำดไนเปอร์ ไอช์แลนด์ถูกยึดครองโดยสหรัฐอเมริกา ยูโกสลาเวียถูกผนวกเข้ากับประเทศต่าง ๆ ที่เป็นฝ่ายนิยมอักษะ
กองทัพเยอรมันแย่งเลนินกราดออกจากส่วนที่เหลือของสหภาพโซเวียต อังกฤษและสหภาพโซเวียตลงนามในข้อตกลงป้องกันร่วมกันโดยให้สัตยาบันว่าจะไม่ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพแยกต่างหากกับเยอรมนี
กองทัพแพนเซอร์ยึดเมือมินสก์ และเปิดทางไปสู่ยูเครน กองทัพแดงโจมตีโต้แถบเลนอนกราด
      สิงหาคม ทหารโซเวียตถุกลอมโดยทหารเยอรมันและจับเชลยศึกได้กว่า สามแสนนายเมืองโอเรลถูกยึดเยอรมนียึดเมืองสโมเลนสก์ฮิตเลอร์ย้ายกำลังบางส่วนจากกองทัพกลุ่มกลางไปช่วยกองทัพกลุ่มเหนือและกองทัพกลุ่มใต้ กองทัพเยอรมันเคล่อประชิดนครเลนินกราด ประชาชนรีบสร้างเครื่องกีดขวางข้าศึก เครื่องอินิมาถูกยุด
     กันยายน ทัพฟินแลนด์เข้าช่วยเลนินกราดถูกตัอขาดจากโลกภายนอก การปิดล้อมเลนินกราดเริ่มต้นขึ้น ทัพเพยอมันล้อมกรุงเคียฟ ..ยึดกรุงเคียฟ สหภาพโซเยตสูญเสียทหารจำนวนมากในกรปอ้งกัน
     ตุลาคม ปฏิบัติการไต้ฝุ่น กองทัพกลุ่มกลางของเยอมนีเริ่มการโจมตีกรุงมสโกเต็มขั้น จอจี้ร์ ซูคอฟเป็นผู้บัชาการกองทัพโซเวียตป้องกันมอสโก ทางใต้กองทัพเยอรมันรุกไปถึงทะเลอซอฟและยึดเมืองมาริอูพอล รัฐบาลโซเวียตย้ายไปยังเมืองคุยบีเซฟ ริ่มฝั่งน้ำโวลกา แต่สตาลินยังอยุ่ในมอสโก ส่วประชาชนเตรียมกับดักรถถังเพื่อรับมือกับกองทัพเยอรมัน กองกำลังเสริมกองทัพแดงจากฤซบีเรียเดินทางถึงกรุงมอสโก มอสโกประกาศกฎอัยการศึก  รอสสตอฟ อดน วอน ถูกยึดครองกองทัพกลุ่มใต้เคลื่อทัพไปถึงเมืองซาเวสโตปอล ในคาบสมุทรไครเมียแต่ไม่มีรถถังในการบุก โรสเวลต์อนุมัติเงินกว่า พันล้านดอลล่าร์ตามนโยบายใหเช้ายืมแก่โซเวียต
     พฤศจิกายน
เยอรมันยึดเมืองเคิร์สก์ สตาลินกล่าวปราศรัยต่อประชาชนโซเวียตเป็นครั้งที่สองระหว่างการปกครองนสามทศวรรษ
ยุทธการมอสโก อุณหภูมิใกล้มอสโกลต่ำลงถึง ลบสิบสององศาเซลเซียสทหารสกีถูกส่งออกไปโจมตีเยอรมัน
    ธันวาคม ทัพเยอรมันอยู่ห่างจากมอสโก 11  ไมล์กองทัพโซเวียตตีโต้ในช่วงทีเกิดพายุหิมะครั้งใหญ่สหราชอาณาจักรประกาศสางครามกับฟินแลนด์
การรุกมอสโกฟยุดชะงักอย่างสมบูรณ์
     มกราคม 42
กองทัพแดงเริ่มรุกคืบครั้งใหญ่ภายใต้การนำของนายพลจอจีร์ จูคอฟ ฮิตเลอร์ปราศรัยที่เบอร์ลิน เกียวกับการทำลายล้างชาวยิว และแจ้งว่าความล้มเหลวในการบุกโซเวียตเนื่องจากสภาพอากาศไม่ดี เยอรมันถอนทัพจากแนวรบตะวันออกหลายจุด
     กุมภาพันธุ์
กองทัพเยอรมันในสหภาพโซเวียตถูกขับออกจากเคิร์สค์ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในแผนการของเยอรมัน
    มีนาคม
การรุของกองทัพแดงในคาบสมุราไครเมียเริ่มต้นขึ้น
    เมษายน
กองทัพเยอรมนเริ่มการบุกในคาบสมุทรไครเมีย
พฤษภาคม กองทัพโซเวียตเริ่มการโจมตีครั้งใหญ่ทีเมืองคาร์คอฟ มีการตกลงระหว่าง อังกฤษ-โซเวียต กองทัพเยอรมันได้รับชัยชนะทีเมืองคาร์คอฟ
 
   มิถุนายน
กองทัพเยอรมันมุ่งนห้าไปยังเมืองรอสตอฟ ปฏิบัติการสีน้ำเงินเริ่มต้นขึ้น โดยมี่เป้าหมายที่จะยึดครองสตาลินกราดและเทือกเขาคอเคซัส
    กรกฎาคม
กองทัพเยอรมันสามารถยึดเมืองซาเวสโตปอลได้สำเร็จเป็นการยุติการรบต้านทานของทหารโซเวียตในคาบสมุทรไครเมีย กองทัพเยอรมันยึดเมืองรอสตอฟ ดอน วอน กองทัพโซเวียตล่าถอยไปตามแม่น้ำดอน
     สิงหาคม
จอมพล เกออร์กี จูคอฟ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการการป้องกันในนครสตาลินกราด สตาลินกราดถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักจากกองทัพอากาศเยอรมัน ลักเซมเบิร์กถูกผนวดเข้ากับเยอรมนีเอย่างเป็นทางการ
     กันยายน
สตาลินถูกปิดล้อม นายพล วาซิลี ซุยคอฟได้รับแต่งตั้งให้บัญชากากรการป้องกันเมือง กองทัพเยอรมันบางส่วนถูกผลักดันออกไป ทหารโซเวียตส่งกำลังข้ามแม่น้ำโวลก้าในยามค่ำคืน
    ตุลาคม
การรุกของกองทัพเยอรมันในสตาลินกราดหยุดชะงัก
     พฤศจิกายน
กองทัพโซเวียตภายใต้การบัญชาการของจอมพล เกออร์กี จูคอฟ เร่มต้น ปฏิบัติการยูเรนัสโดยมีเป้าหมายเพื่อโอบล้อมกองทัพเยอรมันในสตาลินกราด กองทัพเยอรมัถูกปิดล้อมที่นครสตาลินกราด ฮิตเลอร์สั่งให้นายพลพอลลัสห้ามถอยออกจากนคร…
     จากความพ่ายแพ้ที่สตาลินกราดทำให้เเนวรบรุสเซียเปลี่ยนแปลงไปจากครั้งปฏิบัติการบาร์บารอสซากองทัพรุสเซียล้ำเข้ามาในแดนเยอรมัน ซึ่งฮิตเลอร์ต้องการกำจัดและเป็นที่มาของ ปฏิบัติ ซิทาเดล และการปะทะที่เคิสก์ซึ่งหลายคนกล่าวว่าเป็นการปะทะกันทางรถถังที่ใหญ๋ที่สุด และเป็นชุดปฏิบัติที่มีราคาเเพงที่สุดภายในวันเดียว ฮิตเลอร์ต้องการจะเปลี่ยนโฉมหน้าการรบทางด้านตะวันออกอย่างสิ้นเชิง จึงระดมกำลังกว่าเก้าแสนนาย ฝ่ายรัสเซียหนึ่งล้านเจ็ดแสนกว่านาย การปะทะกันได้รับความสูญเสียอย่างหนักทั้งสองฝ่ายในขณะที่ฝ่ายรัสเซียมีกำลังสนับสนุนและพร้อมที่จะทำการรบอีกมหาศาล โดยที่เยอรมันยากจะหากำลังทดแทนที่สูญเสียไป ชัยชนะจึงตกเป็นของรัสเซีย

    จากการที่ชนะเยอรมันได้เด็ดขาดรัสเซียจึงสามารถริเริ่มการปฏิบัติการในเชิ่งรุกซึ่งเป็นเวลาของรัสเซียในช่วงสงครามที่เหลืออยู่








วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

WWII:Kursk

     กองทัพเยอรมันสูญเสียอย่างหนัก และกองพลที่ 6 ในสตาลินกราดถูกบีบให้ยอมจำนนแนวรบด้านตะวันออกถูกผลักดันไปยังบริเวณก่อนการรุกในฤดูร้อน การตีโต้ของโซเวียตหยุดชะงัก กองทัพเยอรมันโจมีตีอาร์คอฟอีกครั้งเกิดเป็นแนวรบที่ยื่นเข้าไปในดินแดนของโซเวียตรอบเคิสก์
    กองกำลังเยอรมันและโซเวียตเผชิญหน้ากันในแนวรบด้านตะวันออก บริเวณย่านชานนครเคิสก์ ห่างจากกรุงมอสโกไปทางใต้ ซึ่งเป็นชุดปฏิบัติการสงครามยานเกราะที่ใหญ่ที่สุด รวมถึงยุทธการโปรโฮรอฟกา และการสงครามทางอากาศวันเดียวราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นยุทธการครั้งสุดท้ายของเยอรมันที่ดำเนินการในยุทธภูมิด้านตะวันออก ชัยชนะที่เด็ดขาดของโซเวียตเป็นผลให้กองทัพแดงมีการริเริ่มทางยุทธศาสตร์ในช่วงที่เหลือของสงคราม




- เยอรมัน
    เนื่องจากความพ่ายแพ้ในสมรภูมิสตาลินกราดแนวรบด้านรัสเซียจึงเปลี่ยนแปลงไปมากนับจากเริ่มปฏิบัติการบาร์บารอสซา จึงมีการวางแผนการรุกครั้งใหญ่ที่เคิสก์
     ฮิตเลอร์ต้องการจะทำลายกองทัพรัสเซียในบริเวณส่วนที่ยื่นเข้ามา จึงวางยุทธการ ซิทาเดล Citadel เพื่อโจมตีกองทัพรัสเซีย ด้วยกำลังจำนวนมาก Salient หรือส่วนของกองทัพรัสเซียที่ยื่นเข้าในเขตเยอรมัน ซึ่งฮิตเลอร์ต้องการทำลายกองทัที่อยู่ในส่วนนี้ให้หมดไป ด้วยการให้กองทัพเยอรมันที่อยูด้านบนตีลงมา และกองทัพเยอรมันที่อยู่ด้านล่างตีขึนไปแล้วบรรจบกัน ซึ่งประสบผลสำเร็จ ทหารรัสเซียส่วนที่ยื่นเข้ามา จะถูกตัดขาดและถูกโอบล้อม อย่างไรก็ดี นายพลเยอรมัน  เห็นว่า เยอรมันยังไม่พร้อมที่จะทำการรุดใดๆ ในขณะนั้น แต่ฮิตเลอร์ยังคงยืนกรานที่จะเปิดยุทะการซิทาเดล ฮิตเลอร์หวังว่า การรบครั้งนี้จะเปลียนแปลงสงครามทางด้านตะวันออกได้อย่งสิ้นเชองอีกทั้งจะเป็นการหยุดการรุกคืบของรัสเซียเข้ามาดินแดนเยอรมัน
     ทางฝ่ายเยอรมันประกอบด้วยทหาร กว่า 900,000 นาย รถถังกว่า 2,700 คัน ปืนใหญ่อีกกว่า 10,000 กระบอก ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ล่วงรู้ถึงฝ่ายรัสเซีย
     รัสเซียจึงเตรียมกำลังพลกว่า 1,700,000 นาย รถถังกว่า 3,300 คัน ปืนใหญ่อีกกว่า 20,000 กระบอกและเครื่องบินอีกกว่า  2,000 ลำ กับระเบิดกว่าครึ้งล้านลูก พร้อมด้วยแนวรบ 6 ชั้น ประกองด้วยสนามเพลาะ แนวทุ่นระเบิด คูดักรถถัง โดยเมื่อแนวแรกถูกทำลาย กำลังพลจากแนวแรกจะถอยไปสมทบกับแนวที่สอง ระหว่างที่เยอรมันเคลื่อนที่จากแนวแรกไปแนวสอง จะพบกับการระดมยิงด้วยปืนใหญ่อย่างหนัก เมือถึงแนวที่สอง ทหารเยอรมันจะเริ่มบอบช้ำ ในขณะที่ทหารรัสเซียจะมีกำลังพลจากแนวแรกมาเพ่มจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น สรุปก็คือ ยิ่งรุกก็จะทำให้กำลังอ่อกล้า ในขณะที่การตั้งรับจะเข้มแข็งขึ้น
     การจัดรูปขบวนรถถังของเยอรมันเป็น 2 รูปแบบ แบบแรกใช้ แพนเซอร์ 6-Tiger  เป็นกำลังหลักอยูตรงกลาง ของรูปขบวน มีแพนเซอร์ 5 แพนเทอร์ อยู่ที่ปีกทั้งสองข้าง รูปแบบที่สอง แพนเซอร์ 4 แพนเทอร์ เป็นกำลังหลักอยูส่วนกลางของรูปขบวน และ แพนเซอร์ 3 แพนเซอร์ 4 เป็นกำลังส่วนปีกทั้งสอง ซึ่งเป็นรูปขบวนที่ทรงประสิทธิภาพมาก อำนาจการยิงอยู่ตรงกลาง เหมาะกับการเจาะแนวตั้งรับของรัสเซีย รถถังมีวามเร็วอยู่ปีก พร้อมจะโอบล้อม เข้าตีตลบ แลพทำลายกำลังที่ถูกโอบล้อม
     ข้อบกพร่องคือ แพนเซอร์ 5 แพนเทอร์ ทีเครื่องยนต์ที่วางใจไม่ได้ เพราะเพิ่งออกจากโรงงาน การตรวจสอบไม่เพียงพอ และ แพนเซอร์ 6 ไทเกอร์ ช้าเกินไปในสมรภุมิที่เป็นทุ่งโล่ง ปกคลุ่มด้วยทุ่งหญ้าและไร้ข่าวโพด ในสมรภูมิ เคิสก์แนวรับรัสเซียสามารถมองเห็นรถถังเยอรมันได้ในระยะไกล
   ในการรุกของเยอรมัน ในวันที่ 5 มิถุนา รัสเซียสืบรู้ความเคลื่อนไหวของเยอรมัน จึงเตรียมการต้อนรับด้วยระดมยิงด้วยปืนใหญ่ เพื่อทำลายการเตรียมเข้าตี กำลังพลเยอมรันเกิดการสับสนอย่างหนัก แตก็สามารถปรับกำลังได้อย่างรวดเร็วและทำการรุกไปข้างหน้า ทุ่นระเบิดทำความเสียหายให้แก่กองรถถังเยอรมันเป็นอย่างมาก
     SS ที่ 3 เป็นกองพลที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด สามารถรุกคืบไปได้ มากแต่ก็สูญเสียอย่งหนัก เอส เอสที่ 1 และ 2 เสียหายอย่างหนักและรุกคืบหน้าได้ไม่มาก ทหารยานเกราะ เอส เอส ทำการรบอย่างห้าวหาญ ในที่สุดกำลังยานเกราะของทั้งสองฝ่ายก็พบกันที่เมือง Prokhorvka และเริ่มทำการรบกันอย่างหนักหน่วง แลยคนเชื่อว่าการรบนี้เป็นการรบทางรถถังที่ใหญ่ที่สุดในโลกนับแต่มีการต่อสู้ด้วยรถถังมา ความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายเสียหายหนักทั้งคู่
     แต่เมื่อการรบยืดยาวออกไปรัสเซียก็ทุ่มเทกำลังทั้งหมดในการต่อต้านเยอรมัน  ในวันแรก เอส เอสรุกได้ไม่มากนัก  13 มิถุนายน ฮิตเลอร์สั่งยกเลิกยุทธการ Citadel เนื่องมาจากความสูญเสียที่เพื่มมากขึ้นของเยอรมัน ผู้เสียชีวิต กว่า แสนคน โดยฝ่ายรัสเซีย กว่า 250,000 คน และบาดเจ็บกว่า 600,000 คนรถถังรัสเซียกว่าครึ่งที่เข้าร่วมสงครามถูกทำลาย การสูญเสียของเยอรมันยากที่จะหากำลังทดแทนได้ ซึ่งต่างจากรัสเซียที่พร้อมและเตรียมกำลังจะมาเสริมอีกมหาศาล



Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...