วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Case study Russia & China

     ความสัมพันธ์ระหวางจีนกับรุสเซียซึ่งต่างก็ชื่นชมว่าเป็นความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นลึกซึ้งนั้นจะถึง
จุดจบเร็วเช่นนี้ และจบลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ต่างฝ่ายต่างประณามอีกฝ่ายว่าเป็นผู้ทำลายความสัมพันธ์ต่างโฆษราชวนเชื่อชักจูงให้บรรดาประเทศใหญ่น้อยทั้งในและนอกโลกคอมมิวนิสต์ให้สนับสนุนฝ่ายตนและเป็นปฏิปักษ์ต่ออีกฝ่าย ต่างฝ่ายต่างพยายามทุกวิถีทางที่จะแสดงในใครต่อใครได้รู้ว่า ฝ่ายตนเป็นฝ่านมีสัจธรรมโดยเปิดเผยสัมพันธภาพระหว่างกันแต่อดีตให้เนที่ปรากฎ หลักฐานเอกสารการติดต่อกันในทุกรูปแบบทุกลักษณะที่มีต่อกันได้ถูกตีพิมพ์เปิดเผยออกมา แล้วต่างฝ่ายต่างก็กล่าวหาวาอีกฝ่าย “สาวไส้ให้กากิน” และเป็นฝ่ายบ่อนทำลายความสามานสามัคคีของโลกคอมมิวนิสต์
     ความร้าวฉานอย่างรุนแรงเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญมากในวงการเมือง ที่สะท้อนผลไปทั่วโลกมากที่สุด อีกทั้งอำนวยประโยชน์แก่ฝ่ายตรงข้าม คือ “โลกเสรี”อย่างที่สุด ซึ่งฝ่ายโลกเสรีมีกาตื่นตัวเรียนรู้วิเคราะห์วิจัยความแตกร้าวและคาดคะเนรูแบบความสัมพันธ์ในอนาคตของสองมหาอำนาจในโลกคอมมิวนิสต์ไปต่าง ๆ นานา การเปิดเผยหลักฐานระหว่งกันต่อชาวโลกได้ขจัดความสงสัยของผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของทั้งสองประเทศนี้ไปได้อย่างสิ้นเชิง  และสรุปเป็นประเด็นต่างๆ ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วสัมพันธภาพของสองมหาอำนาจโลกคอมมิวนิสต์ตมีลักษณะอย่งไร และเหตุใดจึงแตกกัน….
    

     ภาวะสงครามเย็นสืบเนืองจากอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน อุดมการมีความหมายพลิกประวัติศาสตร์ มหามิตรร่วมอุดมการณ์จะเป็นปฏิปักษ์กันนั้นเป็นเรื่องยากที่จะมีใครเชื่อในทศวรรษที่ 1960 แต่เมื่อความจริงปรากฎณ์ช่วงต้นปี 1970 เป็นต้นมา ทั่วโลกต่างตระหนักถึงความเป็นปฏิปักษ์กันอย่างแท้จริงของสองอำนาจร่วมอุดมการณ์และมีการวิเคราะห์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลายถึงสาเหตุเเห่งการเป็นปฏิปักษ์กัน การศึกษาย่อมต้องอาศัยประวัติศาสจร์ความสัมพันธ์ของทั่งสองประเทศเป็นหลักสำคัญ รุสเซียมีความสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างไร ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ในลักษณะใด แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ การที่ความแตกแยกนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้แลย่อมถูกลิขิตให้เป็นไปเช่นนั้นด้วยอานุภาพแห่งดครงสร้างการเมหืองระหว่างประเทศที่ได้ปลี่ยนแปลงผันผวนมาตั้งแต่ปี 1953 และความริงบางประการที่รุสเซียพัฒนาล่วงหน้าจีนกว่าชั่ว1-2 อายุคน และจีนมีประชากรมากมายกว่ารุสเซียหลายเท่า
    การวิเคราะเชิงประวัติศาสตร์
ทั้งสองประเทศเป็นประเทศที่มีเนื้อที่กว้างขวาง มีประชากรที่แน่นหนาอุดมด้วยแร่ธาตุแลทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างแท้จริงช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ลักษณะกรณีพิพาทชายแดน ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศจึงไม่ราบรื่นนัก
   หลังจากจีนเปิดประเทศตั้งแต่ปี 1939 เป็นต้นมา รุสเซียได้ร่วมการบั่นทอนเอกราชอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพทางดินแดนของจีน ดดยอาศํยเชิงการูตที่เหนือกว่าจีน เมื่อจีนปฏิวัติและมีระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐและการเมื่องไร้เสถียรภาพตามลำดับ รุสเซียให้การช่วยเหลือพรรคชาตินิยมในการพัฒนาประเทศ และครอบงำพรรคคอมมิวนิสต์จีน ให้ดำเนินนโยบายสอดคลอ้งกับผลประโยชน์ของรุสเซียกระทั่ง ปี 1933 พรรคจีนคอมมิวนิสต์จึงเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายของตน เมื่อรุสเซยทุ่มแทให้ความขชวยเหลือแก่พรรคชาตินิยมในการต่อสู้กับญีปุ่น พรรคจีนคอมมิวนิสต์ได้มีบทบาทตกอยู่ใต้อาณัติของรุสเซียแต่แย่งใด แม้เมื่อจีนเป็นรัฐคอมมิวนิสต์แล้ว การตัดสินใจจะดำเนินนโยบายล้วนเป็นดุลพินิจของจีนเอง
      สัมพันธภาพของจีนและรุสเซียในชั้นต้น สัมพันธภาพไม่เสมอภาคกัน  จีนยอมรับตนเป็นรัฐด้อยอาวุโส  และยอมรับความเป็นเจ้าลัทธิและผุ้นำของรุสเซียในโลกคอมมิวนิสต์โดยดูษฎีภาพ เพื่อแลกกับความคุ้มครองและความช่วยเหลือจากรุสเซีย ต่างฝ่ายต่างแสดงทีท่าว่าอีกฝ่ายเป็นมหามิตรของตน แต่โดยเนื้อแท้จีนไม่เคยแสดงทีท่ายอมเป็นเบี้ยล่างขอวงรุสเซียดังที่ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปตะวันออกแสดงต่อรุสเซียรุสเซียเองก็ไม่กล้าพอมี่จะกดจีนให้อยู่ในฐานะเสมือนเป็นบริวารในแวดวงอำนาจของตนจีนจึงมีฐานะเป็นชาติอ่อนอาวุโสกว่าแต่มีความเสมอภาคกับรุสเซียอยู่ในที  แม้ว่าจีนจะยกย่องรุสเซียเป็นผู้นำโลกคอมมิวนิสต์ แต่มิได้หมายความว่าจีนจะยินยิมเป็นเพียงผุ้รับคำสั่งจากรุสเซีย จีนต้องการให้รุสเซียดำเนินนโยบายทุกประกาที่เกี่ยวกับการต่างประเทศ ระหว่างโลกคอมมิวนิสต์กับโลกเสรี โดยให้จีนรับรู้และปรึกษาหารือร่วมกัน
     ในฐานะที่เป็นมหาพันธมิตรของจีน รุสเซียได้กอบโกยผลประโยชน์จากจีนมากมายตามสนธิสัญญาปี 1950 ทั้งยังผลักดันให้จีนเข้าสู่สงครามเกาหลีเพื่อแลกกับการที่รุสเซียจะทุ่มให้ความช่วยเหลือแก่จีน  สัมพันธภาพดำเนินไปเพียงผิวเปลือกนอก ภายในใจจีนเต็ไปด้วยความระแวงแคลงใจในเจตนารมณ์ของรุสเซียในสองกรณีใหญ่ๆ คือ  การรับจีนเป็นสมาชิกองค์กาสหประชาชาติ และรใช้กำลังพิชิตไต้หวัน รุสเซียไม่ดำเนินการทางการทูตอย่างเต็มที่เพื่อให้จีนได้เป็นสมาชิก จีนถือว่ารุสเซียมีเจตนาจำกัดฐานะจีนให้ตำอยู่ใต้รุสเซียมิหให้เป็นอิสระ เป็นการจงใจกีดกันให้อยู่โดดเดียว อย่างไรก็ตาม สงครามเกาหลีผลักดันจีนให้ยึดรุสเซียมากขึ้นระยะระหว่างปี 1945-1953 จึงกล่าวกันว่าเป็นระยะข้าวใหม่ปลามันดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์เต็มที่ Concord,Honeymoon Period
     นอกจากการเข้าสูสงครามเกาหลี ซึ่งนำไปสู่การยุติสงคราม ตามข้อตกลงที่เจนีวาแล้ว จีนไม่เคยแสดงทีท่าสงสัยพฤติกรรมทางการเมืองต่างประเทศของรุสเซียอย่างเปิดเผยแต่อย่างใด กระทั้งสตาลินถึงแก่กรรม สัมพันธภาพระหว่างจีนกับรุสเซียจึงค่อย ๆ เปลี่ยนไป
     เมื่อโอกาสมาถึง ภายในมอสโกเกิดการชิงอำนาจ และต่างหวังให้จีนสนับสนุนฝ่ายตน ต่างฝ่ายต่างสรรเสริญยกย่องจีน ฐานะจีนเปลี่ยนไป จากคอมมิวนิสต์ด้อยอาวุโสมาสู่ฐานะเท่านเทียมกัน และเริ่มมีสิทธิ์มีเสียงในการกำหนดวินิจฉัยนโยบายของโลกคอมมิวนิสต์ เมาเซตุงเริ่มได้รับการยกย่องเป็นรัฐบุรุษอาวุโสของโลกคอมมิวนิสต์
      การแย่งชิงอำนาจในรุสเซียทำให้จีนจากความเป็นรัฐด้อยอาวุโสมาเป็นรัฐเสมอภาคกับรุสเซีย ผุ้นำรุสเซียหลายคนต้องการการสนับสนุนจากจีน ส่วนจีนต้องการรุสเซียเพื่อพิทักษ์ปกป้องและพัฒนาชาติตน ต่างฝ่ายต่างเห็นความจำเป็นที่จะผูกมิตรกัน แต่ในขณะเดียวกัน จีนเร่มดำเนินนโยบายขงตนโดยอิสระ รุสเซียเองเเม้จะยอมรับแต่เริ่มตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องจับตาดูจีนมากขึ้น โดยในกรณีการอยู่ร่วมกันโดยันติที่อินดเดีย ครุสเชฟยอมรับว่ายังอ่านจีนไม่ออก เขาได้วิจารณ์เมาเซตุงว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยแน่ใจได้ว่า ข้าพเจ้าเข้าใจสิ่งที่เขาตั้งใจหมายความให้รู้”  สัมพันธภาพระหว่งกันไม่มั่นคงและเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
       การวิเคราะห์ด้านนโยบาย ด้านหลักการ
นักวิเคราะห์สวนใหญลงความเห็นคล้อยตามจีนว่า ความแตกแยกเร่มต้นจากการประชุมสภาของพรรคคอมมิวนิสต์รุสเซีย ครั้งที่ 20 แห่งเดือนกุมภาพันธ์ 1956 ซึ่งมีการประกาศประณามสตาลินและประกาศนโยบายอยู่ร่วมกันดดยสันติ ส่วนรุสเซียว่า ที่ประชุมนั้นเป็นเพียงจุดเร่มต้นของการแตกแยก รุสเซียประกาศเปลี่ยนแนวนโยบายต่างประเทศต่อโลกซึ่งมีผลต่อจีนและประกาศประณามระบอบเผด็จการโดยเอกเทศและลัทธินิยมตัวบุคคลซึ่งมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อจีน การประชุมแห่งปี 1956 เป็น “ก้าวแรกไปสู่วิถีทางแห่งการแปรเปลี่ยนลัทธิอุดมการณ์”โดยผุ้นำรุสเซีย
    ความเป็นปฏิปักษ์ปรากฎเด่นชัดเมือรุสเซียร่วมกับโลกเสรีในการงดทดลองอาวุธนิวเคบียร์ และเป็นเสมือน “ฟางเส้นสุดท้าย”อันเปราะบางที่สามารถทำลายพันธมิตรได้
     ตั้งแต่สตาลินถึงแก่กรรม จีนก้าวขึ้นมาเป็ฯพันธมิตรเสมอภาคกับรุสเซีย การเมืองของทั้งสองฝ่ายได้มีลักาณะคล้ายกัน ต่างก็มีผุ้นำโดยเอกเทศและบริวารครอบงำพรรคความแตกแยกเร่มขึ้นในระดับผุ้นำคือ ระหว่างครุสเชฟกับเมา ต่อมาระหว่งพรรคต่อพรรคครั้งความขัดแย้งทวีความสลับซับซ้อนจนสุความสามารถที่จะจำกัดขอบเขต ความแตกแยกกันก็ขยายต่อจากระดับพรรคมาสูระดับชาติตั้งแต่พรรคมาสู่ระดับชาติตั้งแต่ปี 1958 เป็นต้นมา ต่างฝ่ายต่างท้าทายและตอบโต้กันอย่างไม่ลดราวาศอก เป็นเหตุให้ความแตกแยกันรุนแรงยิงขึ้น
    
     การวิเคราะห์เชิงอำนาจ
จีนเริ่มพัฒนาประเทศหลังรุสเซีย 1-2 ชั่วอายุคน พัฒนามาสู่รัฐด้อยอาวุโส สู่รัฐเสมอภาค และเกิดความขัดแย้ง กลายเป็นคู่แข่งในการแสวงหาอำนาจอิทธิพลทั่วโลกกับรุสเซีย การเจริญเติบโตและพัฒนาการของคอมมิวนิสต์จีนเป็นไปอย่างมีลำดับขั้นตอน ในขณะที่นโยบายต่างประเทศของรุสเซียผิดพลาดหลายครั้งหลายหน ประกอบกับการการแย่งชิงอำนาจกันเองในรุสเซีย ความเป็นต่อ 1-2 ช่วงอายุคนจึงไม่เป็นผลต่อจีนเท่าไรนัก
     ประเด็นอาวุธนิวเคลียร์ รุสเซียลงนามในสนธิสัญญางดทดลองอาวุธนิวเคลียร์ ต่างฝ่ายต่างมุ่งทำลายอีกฝ่ายมิหใมพันธมิตร โดยแสวงหาอำนาจอิทธพลในโลกเสีนรและโลกที่สาม ในบั้นปลายหนทางเป็นมิตรสิ้นสุดโดยฉับพลัน เมื่อจีนก่อกรณีพิพาทชายแดนกับรุสเซีย
     และนำสู่การตอบโต้กันทั้งทางการทูตการดำเนินการแทรกแซงกจิการภายในของอีกประเทศและเกิดเป็นกรณีพิพาทในที่สุด
      ลำดับทางเหตุการและประเด็นความสัมพันธ์และนำไปสู่ความแตกแยก แบ่งออกเป็นประเด็นที่ควรศึกษาดังนี้
- ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์
- บทบาทของรุสเซียต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อปี 1949
- พันธมิตรกับการเอารัดเอาเปรียบ
- การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรุสเซียในปี 1956
- ประเด็นอาวุธนิวเคลียร์
- อุดมการณ์ “ที่แตกแยก”
- การเรียกคืนดินแดนของจีน
- การแทรกแซงกิจการภายใน
- การตอบโต้กัน

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

JFK

      เพื่อเตรียมการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน 1964 ด้วยเหตุผลทางการเมืองประธานาธิบดีเคนเนดี้จำเป็นต้องเดินทางเยื่อฟลอริดาและเท็กซัสซึ่งเป็นสองรัฐที่มีประชากหนาแน่นที่สุดในกลุ่มรฐทางใต้เพื่อเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน โดยเฉพาะการเยื่อนเท็กซัสมุ่งเพื่อสมานรอบร้าวพรรคเดโมแครคให้เป็นหนึ่งเดียวก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบิปี 1964 เพราะประธานนาธิบดีเอคนเนดี้มีแผนลงรับเลือกเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง ก่อนเยื่อนเท็กซัสประธานาธิบดีเคนเนดี้ได้รับการเตื่อ
นว่าอาจถูกชาวเท็กซัสประท้วงต่อต้าน บุคคลสำคัญผู้ร่วมเดินทางกับประธานาธิบดีเคนเนดี้ประกอบก้วยภรรยารองประธานาธิบดีลินคอน บี. จอห์นสัน และภรรยา เครื่องบินถึงดัลลัส,เท็กซัสเวลา 11.37น.ของวันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 ตามกำหนดการกำหนดว่าขบวนรถของประธานธิบดีจะแล่นผ่านถนนสายสำคัญของเมืองดัลลัสปลายทางที่อาคารศูนย์การค้าดัลลัส จะขึ้นกล่าว
ปราศรัยแก่นักธุรกิจและชาวดัลลัสภายหลังเสร็จสิ้นรับประทานอาหารกลางวันในทางปฏิบัติ เมื่อถึงดัลลัสรถเปิดประทุนเทียบรอรับประธานาธิบดีและภรรยา ผุ้วาการัฐเท็กซัส จอห์น บี.คอนเนลลี และภรรยานั่งเบาะหลังคนขับ โดยผู้ว่าการรัฐเท็กซัส คอนเนลลีนั่งเบาะด้านขวาของรถและภรรยานั่งเบาะด้านซ้ายของรถ ประธานาธิบดีและภรรยานั่งเบาะต่อจากผู่วา
การรัฐเท็กซัสและภรรยาโดยประธานาธิบดีนั่งเบาะด้านขวาของรถ และภรรยานังเบาด้านซ้ายของรถตามด้วยรถคันที่สอง เป็นรถคณะผุ้รักษาความปลอดภัยประธานาธิบดี รถคันที่สามเป็นรถถองประธานาธิบดีและภรรยา ตามด้วยรถคณะผุ้รักษาความปลอดภัย ขณะขบวนรถแล่นมาตามถนนสายำคัญของเมืองดัลลัส มีผุ้คนเรียงรายหนาแน่นต้อนรับประธานาธิบดีและภรรยา เวลา 12.30 ใกล้ถึงอาคารศูนย์การค้าดัลลัสมีเสียกระสุน 3 นัด ประธานาธิบดีถูกยิงที่ศีรษะและคอ แจคเกาลีนเข้าประคองศีรษะปรธานาธิบดีผุ้ว่าการรัฐเท็กซัสซึ่งนั่งอยู่หน้าประธานาธิบดีถูกยิงที่หลัง ผู้บาดเจ็บทั้งสองถุกนำส่งโรงพยาบาล ประธานาธิบดีเสียชีวิตเวลา 13.00 น.ก่อนถึงโรงพยาบาล ผุ้ว่าการํบเท็กซัสเข้ารับการักษาได้ทันรอดชีวิต

   ทันที่ที่เกิดเหตุกาณ์โทรทัศน์และวิทยุรายงานข่าวการถูกยิงและเสยชีวิตของปรธานาธิบดีเคนเนดี้ให้ชาวอเมริกันและชาวโลกได้รับรู้ ลี เอช.ออสวอลด์ ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ยิงประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกพบโดยตำรวจสายตรวจ ชือ เจ.ดี.ทิพพิท เกิดการยิงต่อสู้กัน ตำรวจสายตรวจทิพพิทถูกยิงเสียชีวิต ออสวอลด์หนีไปได้ และถูกจับในเวลา 13.35 น. ออสวอลด์อายุ 24 ปี เคยประจำการในกองทัพเรืออเมริกันมีภรรยาเป็นคนรุสเซีย เคยพยายามโอนสัญชาติเป็นคนรุสเซย เชื่นชอบในลัทธิมาร์คซีสต้นตำรับของลัทธิคอมมิวนิสต์ และให้การสนับสนุนจอมเผด็จการคิวบาฟิเดล คัสโตร จากหลักฐานอาวุธปืนยาว ติดกล้าองส่องยิง พร้อมลายนิ้วมือบนปืนยาวและกระสุนบ่งชี้ชัดว่า ออสวอลด์คือฆาตกรแต่ออสวอลด์ปฏิเสธแม้นจะถูกสอบสวนเป็นเวลานานถึงสองวันเต็ม ในวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 1963 ขณะออสวอลด์กำลังจะขึ้นรถเพื่อย้ายที่คุมขัง ออสวอลด์ถูกแจ็ค รูบี เจ้าของสถานเริงรมย์แห่งหนึ่งในดัลลัสเข้าประชิดตัวและยิงออสวอลด์ ออสวอลด์ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลพาร์คแลนด์ เมโมเรียลและสียชีวิตในเวลา 13.07 น. ภายหลังประธานาธิบดีเสียชีวิต 48 ชั่วโมง
       ประธานาธิบดีเคนเนดีเสียชีวิตเวลา 13.00 ของวันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 ศพถูกบรรจุใส่ดลงนำขึ้นเครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดี กลับวอชิงตัน ดี.ซี.ขณะเครื่องยินอยู่ระหว่างการบินในเวลา 14.38 น.รองปรธานาธิบดีลอนดอน บี. จอห์นสัน ทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งปรธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาลำดับที่ 36 โดยมีภรรยายืนเคียงข้างทางขวาและแจดเกอรีน เคนเนดี้ยืนเคียงข้างทางซ้าย
     ศพประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกฝังที่สุสานแห่งชาติอาร์ลิงตัน ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 1963 มีตัวแทนจากกว่า 90 ประเทศจำนวน 220 คนเข้าร่วมในพิธี

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

๋Japan After WW2

     พันธมิตรมอบหมายให้สหรัฐอเมริกาทำหน้าที่ปกครองญี่ปุ่นในช่วงการยึครอง องกณืคอารสำคัญที่ทำหน้าที่คือ กองบัญชาการสูงสุดสำหรับมหาอำจานพันธมิตร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคือนายพลดักลาส  การปกครองและการพัฒนาญี่ปุ่นเลียนแบบอย่างจากอเมริกา ถึงกระนั้นการยึดครองญี่ปุ่นก็บรรลุจุดประสงค์หลักของพันธมิตรตามที่ได้ร่างโครงการเป็นนโยบายต่อญี่ปุ่นภายหลังญี่ปุ่นแม้สงคราม    
      นายพลแมคอาเธอร์เปรียบดังโชกุนผิวขาวในสายตาญี่ปุ่นการนิรมิตรญี่ปุ่นจึงเป็นไปตามอุดมคติมากกว่าการปฏิวัติ
      องการสแค็ปได้สร้างญี่ปุ่นเป็นรัฐปลอดทหารโดยการทำลายกำลังแสนยานุภาอย่างเป็นขั้นตอน ที่สำคัญคือ การทำลายกองทัพ อาวุธยุทโธปกรณ์ ยุบหน่วยราชการทหาร สลายกำลังพลกว่า 2 ล้านให้คือถ่นกำเนิด อพยพทหาร 3 ล้านนายจากดินแดโพ้นทะเลที่ญี่ปุ่นยึดครอง ให้กลับคืนประเทศ และสลายกำลังพล ดินแดนต่าง ๆ ที่ญี่ปุ่นครอบครองมอบคืนแก่เจ้าของเดิม หรือเป็นเอกราชตามหลักว่าด้วยเชื้อชาติ ญี่ปุ่นสิ้นสุดเขียวเล็บตั้งแต่นั้นมา มาตราที่ 9 แห่งรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นได้ย้ำความสำคัญนี้ด้วยว่า ญี่ปุ่นจะใฝ่สันติและประณามสงครา มาตรานี้ได้ปิกั้นญี่ปุ่นมิไสร้างกำลังแสนยานุภาพอีกต่อไป
    อาชการสงครามชาวญี่ปุ่นและหรือเห็นชอบหรือร่วมมือกับรัฐบาลทหารในการทำสงครามถูกพิจารณาคดีในศาลภายในประเทศ และผู้ต้องหารายสำคัญถูกส่งไปพิจารณาที่ศาลระหว่างประเทศ ภารกิจที่สำคัญขององค์การสแค็ปคือ การสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นใหม่ในญี่ปุ่น เพื่อถ้าญี่ปุ่นมีโอกาส ญี่ปุ่นย่อมหันไปสู่ประชาธิปไตย สิ่งแรกที่ดำเนินการคือ การลงโทษกำจัดกวาดล้าชาวญี่ปุ่นระดับสูงในทุกวงการที่มีความคิดเผด็จการ และการปล่อยนักโทษการเมืองออกจากที่คุมขัง ต่อจากนั้นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ถูกร่างขึ้นและมีการส่งเสริมให้จัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อให้มีส่วนร่วมการปกครองโดยตรงเสรีภาพทางการเมืองและการจัดตั้งองค์กรใหม่เหล่นั้น ล้วนเกิดขึ้นในกรอบโครงสร้างใหม่สุด คือ รัฐธรรมนูญ ซึ่งใช้เวลาร่าง 3 ปี รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นเป็นแบบสหรัฐอเมริกากล่าวคือ มีระบบรัฐสภาแบบสองสภา อำนาจนิติบัญญัติเหนืออำนาจบริหารในแง่ที่มีการให้อำนาจสภาในการพิจารณารับหรือไม่รับพระราชบัญญํติบงประมาณ ถ้าสภาไม่ยอมให้งบประมาณผ่าน สามสิบวันต่อมา รัฐบาลมีอำนาจที่จะประกาศใช้พระราชบัญญัติงบประมาณได้รัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหารต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภาเพราะนายกรัฐมนตรีมาจากสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้เลื่อกตัวบุคคล แม้จะมีอำนาจในการยุบสภาและจัดการเลือตั้งใหม่ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นระบุการแก้ไขจะกระทำได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ และประชาชนลงมติเห็นชอบหลักการลงมติสำหรับรัฐสภาปรากฎชัดว่า ต้องได้คะแนนเสียงสองในสามของสภาสูง และคะแนนเสียงสองในสามของสภาผู้แทนราษฎร การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงมิได้เป็นการง่ายดายแต่อย่างใด
      รัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจเป็นเอกภาพโดยอยู่บนพื้นฐานของการควบคุมโดยประชาชนผ่านนรัฐสภา สถาบันกษัตริย์ไม่มีอำนาจแต่อย่างไร พระจักรพรรดิตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ทรงเป็ฯสัญลักษณ์แห่งประเทศชาติ และสถาบันนั้นดำรงอยู่โดยเจตนารมณ์แห่งประชาชาติเท่านั้น องค์จักรพรรดิทรงเป็นแกนหลางแห่งความจงรักภัดดี ซึ่งมีพื้นฐานอยู่ที่ความรักมากกว่าความเกรงกลัวในองค์พระมหากษัตริย์ดังอดีต สภานภาพแห่งพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญใหม่ได้ทำให้สถานภาพและพระเกียรติภูมิรแห่งพระมหากษัตริย์มั่งคงขึ้นมาก
    ในระยะที่สหีฐอเมริกายึดครองญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาได้ปกครองญี่ปุ่นแบบสหรัฐอเมริกา โดยพยายามสร้างรากฐานให้แก่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นวิธีการสร้างระบอบประชาธิปไตยแนวใหม่ รากฐานนั้นได้แก่
     - การกำหนดให้ประชาชนทุดเศทุกขนชั้นมีสิทธิเสรีภาพทางการเมือง
     - การแก้ไขพระราชบัญญัติแรงงาน ให้สิทธิเสรีภาพแก่กรรมกรที่จะจัดตั้งองค์การและนัดหยุดงานได้ สหภาพการค้าได้ผุดขึ้นทั่วไปราวกับดอกเห็น เพิ่มรสชาติให้แก่การเมืองญี่ไป่นให้มีความเร่าร้อนรุนแรงมาก แต่ก็ทำให้กรรมกรมีสิทธิเสรีภาพ เป็นรากฐานสนับสนุนแก่ระบอบประชาธิปไตย
      - การประกาศพระราชบัญญัติปฏิรูปที่ดิน สหรัฐอเมริกามีความเชื่อมั่นฝั่งใจมากกว่าความไม่สงบในชนบทเป็ฯปัจจัยส่งเสริมให้ญี่ปุ่นมีความก้าวร้าวรุกราน เป็นบ่อนทำลายสันติสุขในตะวันออก พระราชบัญญัติปฏิรูปที่ดินจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ การที่ชาวนาไร้ที่ดินทำกิน เป็นการแก้ปัญหาเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดในชนบท แต่ะพรราชยัญญตินั้นใช้มาตการที่รุนแรงเกินไป คือ การบังคับซื้อที่ดินจากผู้ที่มิได้ทำประโยชน์บนที่ดินและมิได้อาศัยบนที่ดินนั้น และการบังคับซื้อที่ดินจากผู้ที่มีดินเกินเพิกัดอัตราที่ดินตามที่กฎหมายกำหนดคือเกิด 30 เอเคอร์ รัฐบาลบังคับซื้อคืนในราคาที่ควบคุมแล้วขายในราคาถูกหรือให้เช่าแก่ผู้ที่ไร้ที่ดิน..
     - การจัดระบบศาลแบบสหรัฐอเมริกา มีศาลสูงสุด มีอำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งผู้พิพากษา ตรวจตราการบริหารราชการตุลาการ และเป็นฝ่ายปกป้องรุฐธรรมนูญ ซึ่งเท่ากับเป็นหารปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยปริยาย
     - การยุบเลิกกระทรวงมหาดไทย ในอดีต กระทรวงนี้มีอำนาจมาก และมีบทบาทสำคัญในการลิดรอนสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของชาวญี่ปุ่น องค์กรสแค็ปได้กำหนดให้ทุกจังหวัด เมื่อและตำบลหมู่บ้านเรียนรู้การปกครองตนเองโดยผ่านองค์กรตังแทนที่มาจาการเลือกตั้งปรากฏในระดับจังหวัดและเทศบาล การกระจายอำนาจมีจุดประสงค์ที่จะให้ชาวญี่ปุ่นได้เรียรู้ระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ระดับล่างสุดของสังคม แต่โครงการนี้ไม่ใคร่จะสำเร็จผลนัก
    - กากรปฏิรูปการศึกษา สหรัฐอเมริกาได้ใช้รูปแบบและระบบการศึกษาของตนมาเป็นแม่แบบ โดยการกระจายอำนาจการบริหารการศึกษา ให้มีคณะกรรมการที่มาจากการเลื่อกตั้งปรากฏในระดับจังหวัดและเทศบาล และกำหนดการศึกษาเป็นหลักสูตรระยะยเวลา ประถม 6 ปี มัยม 3 มัธยมปลาย 3 ปี ..ถึงกระนั้นการปฏิรูปการศึกษาเป็นการฝึกอบรมประชาชนให้มีความรู้และมีจิตสำนึกตื่นตัวในการักษาสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของตน เป็นการปกป้องระบอบประชาธิปไตยในระยะยาวนาน ..ไม่ว่าญี่ปุ่นเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้วและยากจะหวนกลับคืน..
    สถาการโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  วงการการเมืองโลกได้แบ่งออกเป็นองฝ่ายตามความแตกต่างของอุดมการ์ คือ โลกเสรีนิยมประชาธิปไตย และ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งก่อเกิดเป็นสงครามรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่าสงครามเย็น จีนกลายเป็นคอมมิวนิสต์ในเดือนตุลาปี 1949 สหรัฐจึงต้องทบทวนนโยบายของตนในเอเซียใหม่และได้พเจารณาถึงฐานะในแง่ยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาใประเทศญี่ปุ่น ความคิดที่จะสร้างญ่ปุ่นเป็นพลังถ่วงดุลอำนาจคอมมิวนิสต์ในเอเซียตะวันออกเร่งเป็นจริงขึ้นเมื่อเกิดสงครามเกาหลีในปี 1950 ญี่ป่นเป็นฐานทัพส่งกำลังบำรุงให้แก่กองทัพสหประชาชาติ
     ญี่ปุ่น “เลี่ยงบาลี” จากรัฐธรรมนูญมาตราที่ 9 กำหนดให้เป็นสิทธิโดยอำนาจอธิปไตยของประชาชาติที่จะประณามสงครามชั่วนิรันดร์ ญี่ปุ่นทำได้เพียงจัดตั้งกองกำลังตำรวจสำรอง เป็นกำลังกึ่งทหาร ประมาณ 75,000 นาย มีหน้าที่รับผิดชอบต่อความมั่นคงของประเทศ กองกำลังนี้ถูกเรียกว่า “กองกำลังป้องกันประเทศ”
       ในปี 1951 การยึดครองญ่ปุ่นได้สิ้นสุดลง แต่ความผูกพันยยังเหมือนเดิมและแน่นแฟ้นเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญาว่าด้วยความั่นคงร่วมกัน ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นหมดโอกาสที่จะผูกมิตรกับโลกคอมมิวนิสต์
     ความสัมพันธระหว่างญี่ปุ่นกับโลกคอมมิวนิสต์เป็นตัวอย่างที่ดีของความยากลำบากที่ญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์กับประเทศอื่นใดที่มิได้อยู่ในโลกเสรี แม้ญี่ปุ่นจะเป็นฝ่ายแพ้สงคราม จีนยังคงหวาดระแวงภัยญี่ปุ่น ซึ่งจีนทั้งเกลียดทั้งกลัว ญี่ปุ่นยังคงเป็นมหันตภัยคุกคามเสถียรภาพความมั่นคงของจีนและรุเซีย โดยเฉพาะเมื่อเกิดสงครามเย็นขึ้นในยุโรป สหรฐฯได้เปลี่นยนโยบาย จากากรมุ่งทำลายศักยภาพทางทหารของญี่ป่น มาเป็นนโยบายสร้างญ่ปุ่นเป็นมหาอำนาจเพื่อถ่วงดุลอำนาจคอมมิวนิสต์ในเอเซียตะวันออก  แม้ญ่ปุ่นจะสิ้นเขี้วยเล็บ แต่สามารถสร้างกำลังแสนยานุภาพเมือใดย่อมได้ ถ้าญี่ปุ่นสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญ ความหวาดกลัวภัยญี่ปุ่นสะท้อนในความออกมาในความสำคัญตอนหนึ่งของสนธิสัญญาระหว่างจีนกับรุสเซียว่าด้วยมิตรภาพ..
    อย่างไรก็ตามเมือสัมพันธภาพระหว่างญี่ปุ่นต่อรุสเซียดีขึ้นแล้ว รุสเซียจึงเปิดทางให้ญี่ปุ่นเข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติในปี 1956 ส่วนความสัมพันธ์กับจีนญ่ปุ่นก็ประสบปัญหาด้วยเช่นกัน เหตุที่จีนตั้งเงื่อนไขมากมาย และด้วยเหตุความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันระหว่าง ปค 1895-1945 ชาวญี่ปุ่นมีความรู้สึกละอายในพฤติกรรมไร้มนุษยธรรมที่ได้ปฏิบัติต่อชาวจีนในระหว่างสงครามปละแรรถนาจะมีความสัมพันธ์อันดีกับจีน แต่ในขณะเดี่ยวกัน ญี่ปุ่นได้สร้างอุปสรรคกีดขวางความปรารถนานั้นเอง โดยการเดินตามสหรัฐอเมริกาในการถือนโยบายจีนเดียว คือ ไม่รับรองจีน หากแต่รับรองจีนชาตินิยมแห่งไต้หวัน และจีนก็กล่าวหาญีปุ่นเสมอมาว่า มีเจตจำนงที่จะสร้างกำลังแสนยานุภาพใหม่…
     เพียงแค่นั้นญ่ปุ่นก็ระย่อที่จะปฏิบัติตามความต้องการของจีน  อุปสรรคยิ่งใหญ่คือสหรัฐอเมริกาและไต้หวันซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ญี่ปุ่นจะตัดสินใจเกียวกับสัมพันธภาพกับจีน แต่ความปรารถนาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจก็นับว่าสูงมา เพราะจีนและรุสเวยคือตลาดการค้าที่ใหญ่มากสำหรับญ่ปุ่น ทั้งสองประเทศมีทรัพยากรธรรมชาติมหาศาลเป็นที่ปรารถนาของญี่ป่นที่จะเขาไปลงทุนพัฒนา ทั้งรุสเซียมีแหล่งน้ำมันและแร่ธาตุในไซบีเรีย และจีนมีแหล่งน้ำมันและแร่ธาตุทรัพยากรในประทเศมหาศาลแม้ญีปุ่นจะไม่สามารถทำสนธิสัญญาสันติภาพกับสองยักษ์ใหญ่แห่งโลกคอมมิวนิสต์ ญี่ปุ่นมิได้ปิดหนทางที่จะได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากสองประเทศนั้น เพราะญี่ปุ่นถือว่า การเมืองและเศรษฐกิจเป็ฯเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน หลักการนั้นระบุชัดว่า “การแบ่งแยกรัฐบาลฝ่ายบริหารออกจากเรื่องของเศรษฐกิจ” คณะผู้แทนญี่ปุ่นมีคความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับสองประเทศนั้นเป็นปกติวิสัย
    การค้ากับประเทศเพื่อบ้านในเอเซียตะวันออกญี่ปุ่นประสบปัญหาในระยะแรก เพราะความหวากกลัวญีปุ่น ไม่ต้องการจะคบค้าด้วย แต่สุดท้ายด้วีบวามสามารถในการโฆษนาสินค้าแลบริการและสินค้าที่มีราคาถูกมากทำให้ญี่ปุ่นสามารถตีตลาดการค้ารหว่างประเทศได้สำเร็จในทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมา

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Berliner Mauer

    ครุสซอฟมีความหวังมากกว่า เมื่อสหรัฐอเมริกามปรธานาธิบดีคนใหม่แล้วการเจรจาเรื่องเบอร์ลินอาจจะง่ายขึ้นกว่าเดิม ดังจะเห็นได้ว่า ครุสซอฟเสนอให้มีการพบกันที่เวียนนา แต่เมือ่ได้พบกันในเดือนมิถุนายน ก็มิได้มีการอันใดก้าวหน้า เว้นเสียแต่ว่า ครุสเชฟ ได้แจ้งแก่เคนเนดีว่า ถ้าตะวันตกยังไม่ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับเยอมัน ครุสเชฟได้แจ้งแก่เคนเนดี้ว่า ถ้าตะวันตกยังไม่ลงนามในสนธิสัญญาเสริภาพกับเยอรมัน ครุสเซฟจะลงนามในสนธิสัญญากับเยอรมันตะวันออกในเดือนธันว่าคม แลเพื่อยำจุดยืนนั้นใน เวลาต่อมา ครุเชฟได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อวงการทหารว่า รุสเซีย้ำการกำหนดระยะเวลาหมดเขตและย้อเจตจำนงที่จะลงนามในสนธิสัญญาแยกต่างหากกับเยอมันตะวันออก ถ้าฝ่ายตะวันตกปฏิเสธที่จะเจรจาด้วย สหรัฐอเมริกาจึงตีความหมายคำพูดนั้นว่าเป็นการลองเชิงทดสอบเจตนารมณ์ของฝ่ายโลกเสรี และสหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจที่จะให้คำตอบในลักษณะของการเพิ่มงลประมาณทหารและเพิ่มศักยภาพทางทหาร รุสเซียจึงยืนบันทึกต่อสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมันตะวันตก โดยแจ้งว่า ควรมีการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับเยอมัน และควรมีการเจรจาเรื่องการติดต่อสื่อสารกับเบอร์ลินตะวันตกและเรื่องสภานภาพของกรุงเบอร์ลินตะวันตก ในขณะเดียวกัน รุสเซียได้สั่งปิดทางหนีทีไล่ของกรุงเบอร์ลินตะวันออก เพื่อมิให้ชาวเยอรมันตะวันออกหลั่งไหลอกทางด้านนั้น ด้วยวิธีการสร้างกำแพงตลอดแนวพรมแดนระหว่างตะวันออกกับตะวันตกของกรุงเบอร์ลิน ตั้งแต่สิงหาคม 1961 กำแพงเบอร์ลินเป็นเครื่องชีชัดว่ารุสเซียได้เลิกล้มความตั้งใจเดิมที่จะให้มีการทำสนธิสัญญากับเยอรมันตะวันออกและได้ทำให้เบอร์ลินกลายเป็นเหยื่อที่น่ากลัวอันตรายยิ่ง
     ฝ่ายตะวันตกแตกแยกความคิดแดละเกรงสงครามจะอุบัติขึ้น จึนจึงต้องนิ่งเฉยต่อการที่รุสเซียละเมิดข้อตกลงที่พอตสดัม ยิ่งทำให้รุสเซียย่ามใจและข่มขู่มากย่งขึ้นที่จะแทรกแซงการติดต่อทางอากาศระหว่างฝ่ายตะวันตกกับเบอร์ลินตะวนตก และข่มขู่โดขการแสดงกำลังรถถังในกรุงเบอร์ลิน ซึ่งย่อมทำให้เกิดเหตุปะทะกันได้ทุกเมื่อ นอกจากนั้น รุสเซียยังประกาศที่จะทดลองอาวุธนิวเคลียร์ในชั้นบรรยากาศอีกเป็นเวลา 2 เดือน ซึ่งจะเป็นการทดลองอาวุธนิวเคบียร์ที่มีประสทิธิภาพสูงมากอยางไม่เคยทดลองกันมากอ่น การประกาศเช่นนั้นย่อมเป็นการข่มขวัญตะวนตกอย่างแน่นอนว่า ความขัดแย้งใดมไว่จะสำคัญหรือไม่ก็ตามสามารถลุกลามเป็ฯสงครามนิวเคลียร์ได้ ถ้ามหาอำนาจนิวเคบียร์เข้าเกี่ยวข้องในความขัดแย้งกนั้น ๆ ทั้งนี้ มีข้อควรคิดมิใช่น้อยว่า เหตุใดครุสเชฟจึงใช้กลยุทธข่มขู่เช่นนั้น ครุสเชฟอาจจะเชื่อว่า อังกฤษ องค์การสหประชาชริต และสหรัฐอเมริกามีความกลัวอย่างจริงจังว่ากลยุทธขุ่มขู่นั้นอาจจะเป็นจริง และฝ่ายตะวันตกอาจจะต้องถอยออกจากเบอร์ลิน เป็นเวลากว่า 15 ปี มาแล้วที่ชนชั้นผุ้นำรุสเซียได้รับทราบจากประธานาธิบดีรูสเวลท์ที่ไห้ข้อวิจารณ์ไว้ว่า กองทัพอเมริกันจะไม่อยู้ในยุโรปนานเกิด 2 ปี นับจากสงครามโลกยุติลง ครุสเชฟเองก็ต้องการให้เรื่องนี้เป็นจริง เพราะในแวดวงผู้ปกครองรุสเซียเองก็มีความรู้สึกที่สับสนเมืองประกาศว่า รุสเซียพร้อมที่จะเสียงให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ด้วยเหตุเบอร์ลิน
    ในเดือนตุลา 1961 สภาของพรรคคอมมิวนิสต์รุสเซียได้เปิดประชุมครั้งที่ 22 ทั่วโลกคาดว่าจะได้ข่าวการลงนามในสนธิสัญญากับเยอรมันตะวันออกและจะมีการท้าทายกันด้วยเรื่องเบอร์ลิน แต่ประกาฏว่า ไม่มีวีแววเรื่องเช่นนั้น ครุสเชฟได้กล่าวในที่ประชุม “เราจะไม่ยืนกรานให้มีสนธิสัญญสันติภาพอย่างแน่นอนภายในวันที่ 31 ธันวาคม สิ่งสำคัญคือ การวินิจฉัยประเด็นต่าง ๆ การขจัดซากเดนสงคราม การลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับเยอมัน นั่นคือปัญหาที่สำคัญที่สุดและจำเป็นอย่างยิ่ง” ณที่ประชุม ครุสเชฟยังได้ย้ำความสำคัญของปัญหาการกำหนดเขตปลอดนิวเคลียร์ในยุโรปและตะวันออกไกล ทั้ง ๆ ที่ครุสเชฟก็ทราบดีว่าเป็นไปมิได้ เพราะจีนกำลังผลิตอาวุธนิวเคียร์อยู่นอกเนหือการบังคับของรุสเซีย การหยิบยกประเด็นอาวุธนิวเคลียร์ข้นมาพูดถึงนั้น แสดงชัดเจนว่า รุสเซยเองในด้านหนึ่งก็ต้องการสมานฉันท์ นายอันเดร โกรมิโก รัฐมนตรี่การต่างประเทศได้กล่าวในที่ประชุมนั้นว่า “ ประเทศของเราให้ความสำคัญแก่คุณลักษณะแห่งความสัมพันธ์ระหว่างสองยักษ์ใหญ่ ถ้าสองประเทศนี้รวมความเพียรอุรสาหะในการมุ่งสันติภาพแล้วใครจะหาญและใครจะอยู่ในฐานะที่จะคุกคามสันติภาพ”
     ผู้ที่ให้ความสนใจแก่สุนทรพจน์ของโกรมิโก มีเพียงสองประเทศ คือ จีนและฝรั่งเศสนอกนั้นเพิกเฉยหมด สไตล์การกล่าวสุนทรพจน์และเนื้อหาสาระล้วนสะท้อนคุณลักษณะของการทูตรุสเซียได้ว่า เมื่อไดที่รุสเซียเห็นความจำเป็นที่จะต้องประนีประนอมกับตะวันตกรุสเซียจะแสดงออกโดยวิธีการทูตอย่างคลุมเครือแฝงชีน้ำ ทว่าเปิดช่องว่าให้ตีความเป็นหลายแง่มุมไ แม้ปรารถนาสิ่งใด รุสเซียไม่บอกกล่าวแสดงออำโดยตรง ทว่าจะแสดงท่าที่ผลักดันให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายริเริ่มก่อนที่สมประสงค์ของรุสเซียเอง และมักไม่เปิดเผยจุดอ่อนของตนด้วยเมื่อครุสเชฟเจรจากับสหรัฐอเมริกา ครุสเชฟระมัดระวังมากที่จะให้เป็นที่เข้าใจว่า โลกคอมมิวนิสต์ทรงไว้ซึ่งเอกภาพไม่มีวันสั่นคลอน ความร้างฉานกับจีนจะถูกซ่อนเร้นไว้เพื่อมิให้อำนาจต่อรองเรื่องเยอรมันด้อยลง และรุสเซียจะเสริมส่งให้สหรัฐอเมริกาถลำลงในห้วงมหรรณฑแห่งวิกฤติการณ์

     เมื่อกำแพงเบอร์ลินได้ก่อให้เกิดความตึงเครียดขึ้น ครุสเชฟก็พร้อมที่จะผ่อนคลายความตึงเครียดเอง เมื่อเป็นผู้ก่อสถานการณ์ ย่อมเป็นผู้ระงับเอง ดังที่เขาได้ให้สัมภาษณ์นิตยสร นิวยอร์ค ไทม์ส ฉบับเดือนกันยายน และได้ส่งสารตเป็นการกลับถึงเคนเนเ สารนั้นได้ชี้แนะให้มีการเจรจาปัญหาคิวบาและลาว และขอเชิญเคนเนดี้ไปเยื่อนมอสโก สารที่มีถ่อยความรอมชอมย่อมแตกต่างจากพฤติกรรมของครุสเชฟในการสั่งปิดเมืองเบอร์ลินด้วยกำแพง
     ข้อเรียกร้องในสารนั้นทำให้วิกฤติการณ์เบอร์ลินยุติลง และก่อเกิดภาวะการผ่อนคลายควมตึงเครียดลงได้ โดยที่รุสเซียเป็นฝ่ายเสียหายที่ได้กระทำการขัดต่อหลักมนุษยธรรม ถึงกระนั้น รุสเซียำตอ้งปฏิบัติการเช่นนั้น เพราะรุสเซียหวาดวิตกมากเรื่องเยอรมันตะวันตกจะผลิตอาวุธนิวเคลียร์และวิตกกังวลที่จีนเองก็กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ฐานะด้านยุทธศาสตร์สำหรับรุสเซียนับว่าอยู่ในขั้นน่าวิตกเพราะกระหนาบด้วยประเทศเพื่อบ้านที่ทรงพลานุภาพด้วยอาวุธนิวเคลียร์เช่นอย่างเยอรมันตะวันตกและจีน
     วิกฤติการณ์เบอร์ลินได้แสดงให้เห็นว่ารุสเซียอยู่ในภาวะยากที่จะวางตัวเป็ฯพอใจแก่โลกเสรีและดลกคอมมิวนิสต์ การรักษาภาพพจน์แห่งเอกภาพของโลกคอมมิวนิสต์นับว่าเป็นการจำเป็นเพื่อเป็นอำนาจต่อรองในการเจรจากับโลกเสรี แต่ในขณะเดียวกัน โดยผูกพันต่ออุดมการณ์ปฏิวัติโลกตามที่จีนยืนกราน รุสเซียก็ต้องแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อโลกเสรีร ซึ่งก็เป็นการทำลายโอกาสที่จะมีการสมานฉันท์กับโลกเสรีซึ่งจะช่วยยุติปัญหาเยอรมันได้ รุสเซียต้องพยายามทำลายแวดวงวัฏจักรที่มีแต่ทางตันให้ได้โดยกำหนดแผนใหม่ แต่แผนนั้นกลับทำให้โลกใกล้สู่ภาวะสงครามนิวเคลียร์ยิ่งขึ้น
        ใน ค.ศ. 1962 รุสเซียได้ลำดับความสำคัญของนดยบายที่จะปฏิบัติดังนี้
- ป้องกันมิหใจนมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง หรือต้องควบคุมหรือจำกัดกำลังรบนิวเคลียร์ของจีน
- ป้องกันมิหใขอรมันตะวันตกมีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งก็หมายถึงการที่รุสเซ๊ยต้องการให้มีสนธิสัญญาสันติภาพกับเยอมันทั้งสองฝ่าย เป็นการประกันเยอมันให้มีสองประเทศต่อไป และจำกัดศักยภาพทางทหารของเยรมันตะวันตก
      จุดมุ่งหมายของรุสเซียเช่นนั้นมิได้เป็นสิ่งที่โลกเสรีจะอ่นออกล่วงรู้ได้โดยตลอดโดยเฉพาะโลกเสรีไม่อาจจะประเมินได้ว่า รุสเซียมีความคิดประการใดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอาวุธนิวเคลียร์กับการเมือง รุสเซ๊ยเองก็ตรองไม่ตกในเรื่องเช่นนั้น เพราะรุสเซียได้ตั้งโจทก์ตุ๊กตาที่หาคพตอบมิได้ว่า รุสเซียไม่ประสงค์ที่จะให้รัฐบริวารของตนมีอาวุธนิวเคลียร์แต่ก็เกรงว่า ถ้าเยอมันตะวันตกมีอาวุธนิวเคลียร์แล้วโจมตีเยอรมันตะวันออก รุสเซียจะทำอย่างไรเมืองตองเผชิญกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจจะทดแทนอย่างสาสม ปัญหาสงครามนิวเคลียร์ที่อาจเป็นไปได้ ทำให้รุสเซียต้องไตร่ตรองปย่งหนักว่า แม้จะชนะสงครามประเภทนั้น แต่ระบอบคอมมิวนิสต์เองจะอยู่รอดหรือไม่เป็นข้อควรคิด อีกประการหนึ่ง ถ้ามีการโจมตีมอสโกด้วยอาวุธนิวเคลียร์ รุสเซียจะแก้เกมส์ด้วยวิธีใด ปัญหาเยอรมันและปัญหานิวเคลียร์จึงเป็นปัญหาที่มีความเกี่ยวข้องกันมาก รุสเซียตระหนักดีว่า แม้โลกเสรีจะมีอาวุธนิวเคลียร์ก็คงจะไม่ใช้เว้นเสียแต่จะถูกยั่วยุสุดขคดในโลกแห่งความแตกแยกเช่นนั้น การลดกำลังรบจึงดูจะเป็นสิ่งที่ปฏิบัติมิได้ แต่เป็นประโยชน์แก่รุสเซียในการโฆษณาชวนเชื่อ รุสเซียเชื่อมั่นว่าตนมีจิตประสาทที่แข็งแกร่งกว่าโลกเสรีมาก การแข่งขันกันด้วยอาวุธนิวเคลียร์จะเป็นประโยชน์แก่รุสเซีย แม้ว่ารุสเซียจะมีอาวุธนิวเคลียร์น้อยกว่าแต่ไม่ถือเป็นประเด็นสำคัญในการแข่งขันเช่นนั้น วอชิงตันเองเป็นฝ่ายวิตกมาก และได้มีการพิจารณาที่จะสร้างระบบป้องกันการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ เป็นเหตุให้รุศเซียยิ่งเชื่อมั่นว่า โลกเสรีกลัวสงครามนิวเคลียร์อย่างมาก รุสเซียก็มีความหวาดวิตกมาก เมื่อเห็นว่าการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์เป็นจริง รุสเซียจึงสนใจที่จะให้มีกาลดกำลังรบ และการห้ามมีกลยุทธ์นิวเคลียร์ แม้จนถึงการทำลายอาวุธนิวเคลียร์ที่มีอยู่เสีย การงดทดลองเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งที่คาดได้ว่าจะมีผลน้อย ปม้รุสเซียเคยเสนอในปี 1958 ให้มีการพักการทดลองในชั้นบรรยากาศ ในปี 1961 เหตุผลทางการเมืองและเทคนิคกระตุ้นให้รุสเซียเป็นฝ่ายทดลองในชั้นบรรยากาศอีก เพื่อเป็นการตรวจสอบว่า จะสามารถป้องกันจีนและเยอรมันตะวันตกมิให้มีอาวุธนิวเคลียร์ได้หรือไม่ด้วย

The Lao People’s Democratic Republic

     ตามข้อตกลงเจนีวาแห่งปี 1954 ลาวถูกกำหนดให้เป็นประเทศเอกราชที่ต้องดำรงตนเป็นกลาง และเวียดนามแบ่งเป็นสองประเทศโดยมีเส้นขนานทร่ 17 องศา เป็นเส้นพรมแดนนับแต่นั้นมา อำนาจอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาปรากฎเด่นชัดในเวียดนามใต้และลาว ทั้งสองประเทศได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐมหาศาลเพื่อให้ดำรงความเป็นรัฐต่อไปได้เป็นการต่อต้านภัยคอมมิวนิสต์ภายในคุกคาม ความช่วยเหลือแก่ลาวมากมายนี้เประจยบกับรัฐบาลลาวเองมีทีท่านิยมโลกเสรีมากกว่า ทำให้เวียดนามเหนือและลาวแดง ภายใต้การสนับสนุนของจีนได้ก่อการร้ายขึ้นทั่วประเทศลาวในค.ศ.1959 ภาวะปั่นป่วนจากการที่รัฐบาลมิได้วางตัวเป็ฯกลาง และภัยคอมมิวนิสต์ได้เป็นปัจจัยก่อเกิดการรัฐประหารโดยฝ่ายทหารผู้รักชาติขึ้นในเดือนสิงหาคม 1960 แต่แล้วรัฐบาลใหม่ภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาก็ยึดอำนาจคืนได้อีก
     วิกฤติการณ์ในลาวยังความตื่นตระหนกมาสู่ปรเทศเพื่อนบ้าน คือไทย นายกรัฐมนตรีสุวรรณภูมาขอให้รสเซียช่วย รุสเซียส่งอาวุธยุทธโธปกรณ์มาให้ทางอากาศ ส่วนใหญ่อาวุธตกไปอยู่ในมือฝายลาวแดง ซึ่งมีกำลัเงพือ่มากขึ้นพอที่จะเป็นกำลังสำคัญในการล้มรัฐบาลลาวและเป็นกำลังแก่พวกเวียดนามเหนือให้แทรกซึมเวียนามใต้ได้เป็นอย่างดีความช่วยเหลือทางทหารของรุสเซียก่อเกิดวิกฤตณ์ความตึงเครียดขึ้นจนเกิดข้อสงสัยกันว่า รุสเซียจะเข้าไปมีบทบาทแข่งกับสหรัฐอเมริกาและจีนอย่างจิรงจัวมากน้อยเพียงใด ต่อข้อสงสัยนี้ และเพื่อแสดงเจตนารมณ์ที่แน่วแน่มิให้โลกเสรีเข้าใจผิด ครุสซอฟได้กล่าวสุนทรพจน์ ณ ที่ประชุมมอสโก ในวันที่ 6 มกรราคม 1961 ว่า ขบวนการาปลดแอก (หรือ “ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์” ตามความหมายของรัฐบาลต่าง ๆ ) ที่เกดขึ้นในรัฐต่าง ๆ นั้น แม้จะเป็นขบวนการคอมมิวนิสต์ รัฐบาลรุสเซียจะสนับสนุนให้ความช่วยเหลือทางทหารเท่านั้นซึ่งหมายความว่า รุสเซียจะไม่ใช้กำลังทหารของตนเข้าแทรกแซงช่วยเหลือฝ่ายคอมมิวนิสต์พื้นเมืองต่อต้านรัฐบาล จีนถือว่า คำประกาศนั้นเป็นการปฏิเสธของรุสเซียที่จะไม่ยอมรับความเป็นผู้นำโลกคอมมิวนิสต์ (เพราะเป็นผู้นำก็ต้องช่วยเหลือคอมมิวนิสต์ทุกฝ่าย เป็นภาระที่หนักเกินไป และรุสเซียต้องเสี่ยงเผชิญหน้ากับโลกเสรี)จีน จึงประมาณว่ารุสเซียถือนโยบายเอาตัวรอด
     แม้รุสเซียจะประกาศนโยบายลาวที่แจ่มชัด แต่เวียดนามเหนือและลาวแดงก็ยังคงรุกคืบหน้าต่อไปในการทำสงครามกลางเมืองกับรัฐบาลภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาจนสหรัฐอเมริกาคิดที่จะแทรกแซงทางทหารในสงครามนั้น แต่ก็ต้องพยายามยับยั้งชั่งใจในการเผ้าดูสภานการณ์ในลาวที่เพียบหนัก ทหารเวียดนามเหนือข้ามพรมแดนเข้าไปในลาวคุกคามเสถียรภาพความมั่นคงของลาวและระเทศเพื่อนบ้านคือ ไทย ปละเวียนามใต้ สหรัฐอเมริกาและรุสเซียได้ร่วมประชุม ณ เวียนนา เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1961 ตกลงในหลักการที่จะให้ลาวเป็นกลางตามข้อตกลงเดิม ณ ที่ประชุมเจนีวา ค.ศ. 1954 ได้มีการประชุมเจนีวาครั้งที่สองในระหว่างเดือนพฤษภาคม ปี 1961 ถึงกรกฏาคม 1962 ผุ้แทนจีนเรียกร้องให้ยุบเลิกองค์การซีโต ซึ่งขณะนั้นที่มีท่าว่า ถ้าสงครามลาวจะขยายตัวมาถึงไทย ทหารจากองค์การนี้จะเข้าสงครามคุกคามเสถียรภาพความมั่นคงของจี แต่ข้อเรียกร้องนิ้มิได้รับความสนใจจากบรรดาประเทศต่าง ๆ ที่เข้าประชุม
      ที่ประชุมลงมติให้หยุดยิง และกำหนดลาวเป็นเขตปลอดทหาร ถึงกระนั้น ทหารเวียดนามเหนือก็ยยังคงประกฏอยู่ในลาวแต่เหตุกาณ์ไม่นับว่ารุนแรงมากนัก เพราะพวกคอมมิวนิสต์ในลาวที่เรียกกันว่า ขบวนการประเทศลาว มิได้มีพลังอำนาจเพ่มขึ้นตามนโยบายขงอเวียดนามเหนือที่พอใจที่จะเห็นพรรคคอมมิวนิสต์ลาวมีอำนาจในที่ราบสูงภาคเหนือ ซึ่งใช้เป้นเส้นทางส่งกำลังบำรุงสำหรับสงครามเวียดนามที่จะเกิดขึ้นในอนาคตส่วนจีนไม่ต้องการที่จะเสี่ยงเผชิญหน้าสหรัฐอเมริกา ทั้งจีและเวียดนามเหนือจึงมิได้สนับสนุนาวแดงให้ทำสงคราล้าอำนาจรัฐบาลลาว อีกประการฯง การเมหืองในเอเซียอาคเนย์นั้นถ้าเหล่นเสี่ยงเกินไปก็เป็นอันตรายต่อตนเอง
     นอกจากการแก้ปัญหาลาวแล้ว ที่ประชุมไม่พิจารณาหาข้อยุติในเรื่องอื่นใด เลยแม้ครุสเซฟจะได้ปราศรัยต่อประชาชนทางโทรทัศน์ว่า ปี 1961 เป็นปีแห่งการตกลงข้อยุติวิกฤติการณ์เบอร์ลิน แต่ปัญหาเบอร์ลินมิได้ยุติ ปัญหาเบอร์ลินกลับทำให้โลกคอมมิวนิสต์กับโลกเสรีขัดแย้งกันมากยิ่งขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Cuban Missle Crisis

     ปี 1962 เมื่อจอห์น เอฟ.เคเนดี้ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีครุสเซฟได้อ้างง่าตนมีส่วนในชัยชนะด้วย เพราะรุสเซียไม่ยินยอมให้ไอเซนฮาวร์ได้รับความเชื่อถือจามหาชนในเรื่องการประชุมสุดยอดปี 1960 และในเรื่องผ่อนคลายความตรึงเครียด ในระยะแรกความรู้สึกเป็นมิตรมีปรากฎขัดมาก เคนเนดี้ส่งนายเลเวลลิน ทอมป์สัน ติดตามครุสเชฟซึ่งไปเยื่อนไซบีเรียเพื่อทาบทามให้มีการประชุมสุดยอดในปลายฤดูใบไม้ผลิ ณ กรุงเวียนนาหรือกรุงสตอกโฮล์ม แต่ครุสเชฟเล่นแง่ปฏิเสธ ยิ่งกว่านั้น เคนเนดี้เองเริ่มไม่แน่ใจเมื่อครุสเชฟโอ้อวดและขู่จากการทีรุสเซียประสบความสำเร็จในการส่งดาวเทียมสู่อวกาศความปั่นป่วนต่อเกมการเมืองที่ครุสเซฟกระทำต่อเคนเนดี้ จึงเป็นที่มาของความสัมพันธ์ในลักษณะเสมือนสงครามประสาท โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เรื่องเบอร์ลินและคิวบาซึ่งรุสเซียถือว่าเป็นเรื่องที่เกียวข้องสัมพันธ์กัน รุสเซยจะใช้คิวบาเป็นเครื่องมือให้ตะวัตกต้องผ่อนปรนแก่รุสเซียในเรื่องเบอร์ลินและเยอรมัน แต่วิกฤตคิวบากลับกลายเป็นเครื่องพิสูน์ว่า เรื่อคิวบาเกี่ยวข้องกับการที่รุสเซียสุดสิ้นหนทางที่จะแก้ปัญหาเบอร์ลินมากกว่า

   

วิกฤติการณ์คิวบา
โดยประเพณีนิยม รุสเซียดำเนินนโยบายต่อละตินอเมริกาด้วยความระมัดระวังเต็มไปด้วยความยับยั้งชั่งใจมาก เพราะพรรคคอมมิวนิสต์ของละตินอเมริกาเองอ่อนหัดและอ่อนแอ ขาดฐานมวลชนกรรมกร ความเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์เหล่านั้นมักไม่เป็นที่นิยมนักในสายตารุสเซย รุสเซียมิได้
สนับสนุนให้พรรคคอมมิวนิสต์ใดของละตินอเมริกายึดอำนาจรัฐในประเทศของตน กิจกรรมของพรรคคิมมิวนิสต์ละตินอเมริกา ส่วนใหญ่มีปรากฏในรูปของรายงานตามหน้าหนังสือพิมพ์รุสเซียและโลกคอมมิวนิสต์เท่านั้น ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รุสเซยสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวคึกคักมากของชนชั้นปัญญาชนละตินอเมริกาที่มีความรู้สึกต่อต้านสหรัฐแมริกา และปัญหาเศรษฐกิจของภูมิภาคก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่ามีสหรัฐอเมริกาเข้าไปมีบทบาทช่วยเหลือเป็นนายทุนเจ้าหนี้รายใหญ่
      โดยหลักการแล้ว ลัทธิคอมมิวนิสต์ย่อมกำหนดเสมือนเป็นรอยจากรึกไว้แล้วว่า เป็นลัทธิที่จะกำหนดให้เกิดการกู้เอกราช เพื่อทำให้ฝ่ายตะวันตกเกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วมใจ และบั่นทอน,นอำนาจของจักรวรรดินิยมนายทุน หลักการนั้นที่ต็มไปด้วยความซื่อกลายเป็นหลักการที่ลาสมัยไปแล้วโดยสิ้นเชิง และเป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่ายดังที่ได้พูดจากันที่เวียนนา  ในสายตาของนักทฤษฎีคอมมิวนิสต์ ความเคลื่อนไหวของนายฟีเดล คาสโตร เพื่อล้ารัฐบาลเผด็จการเป็นความเคลื่อนไหวขึ้นฝึกหัดสำหรับการปฏิวัติไม่ควรค่าแก่ความสนใจใด ๆ ด้วยถือว่า การนิยมกบฏชิงอำนาจ ไม่ควรเป็นที่นิยมยึดถือปฏิบัติ
เพราะกบฏประเภทนั้นเป็นกบฎโดยประชาชนที่สามารถกระทำการได้สำเร็จด้วยเหตุที่สภาพเศรษฐกิจสังคมทรุดโทรม เสมือนผลไม้ที่สุกงอมพร้อมที่จะร่วงหล่นอยู่แล้วในกรณีคิวบาพรรคคอมมิวนิสต์ติดต่อคาสโตร ผู้เป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านระบอบทรราชย์ที่นำโดยนายฟูเกนซิโอ บาทิสตา และได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา คาสโตรร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์ในการต่อสู้จนระบอบทรราชย์ต้องสิ้นสุดลง ผุ้ที่ได้รับชัยชนะซึ่งมีหลายกลุ่มได้เชื้อเชิญคาสโตรหัวหน้าพลพรรคติดอาวุธไม่ถึง 2,000 คน มาเป็นผู้สถาปนาระบอบประชาธิปไตยใหม่
      สถานการณ์เช่นนั้นเป็นที่น่าวิตกสำหรับสหรัฐอเมริกา หน่วยสืบราชการลับจึงจัดตั้งกองกำลังผสมของผู้ลี้ภัยคิวบาขึ้นเพื่อเป็นกองโจรต่อสู้ ส่วนที่มอสโกเอง เรื่องคิวบาเป็นที่ถกเถียงกันมากกว่า ควรจะช่วยเหลือระบอบของคาสโตรหรือไม่ เพราะมอสโกถือว่าคาสโตรมิได้เป็นคอมมิวนิสต์  หากแต่เป็นนักการเมื่องนิยมเสียงเผชิญโชค มากว่า ที่ไม่น่าเชื่อถือและน่าจะยากแก่การควบคุมหรือครอบงำอีกทั้งประเทศคิวบาเองก็มิได้เป็นคอมมิวนิสต์ตามมาตรฐานของรุสเซีย แม้ว่าจะมีผู้นำคิวบาหลายคนเป็นคือ นายรอล และนายเช เกวารา ก็ตาม
        แต่อย่างไรก็ตาม เกาะคิวบาเป็นประเทศทีรุสเซียต้องให้ความสนใจในประเด็นที่ประเทศนี้มีความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นกับสหรัฐอเมริกา เป็นช่องว่างให้รุสเซียได้ฉวยโอกาสเข้าครอบงำใหล้แผ่นดินใหญ่ของทวีปอเมริกา  นายมิโคยัน เดินทางไปเยื่อนคิวบา แต่ยังมิได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน ถึงกระนั้น รุสเซียได้ให้ความช่วยเหลือแก่คิวบาในการพัฒนาประเทศมากมาย การโอบอุ้มคิวบาได้กลายเป็นสิ่งที่รุสเซยอดมิได้ที่จะยับยั้งได้

     หน่วยงานข่าวกรองรุสเซียทราบล่วงหน้าแล้วว่า สหรัฐอเมริกาจะมีแผนปฏิบัติการทางทหนในคิวบา แต่ก่อนหน้านั้น เคนเนดี้ได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน ว่า “สหรัฐฯจะไม่แทรกแซงทางทหารในคิวบาไม่ว่าจะโดยภายใต้เงื่อนไขใดรัฐบาลนี้จะทำทุกสิ่ง..เพื่อให้เป็นที่มั่นใจได้ว่า จะไม่มีชาวอเมริกันปฏิบัติการอันใดที่เกี่ยวข้องภายในคิวบา” แม้สหรัฐฯจะยืนยันเช่นนั้ แต่รุสเซียกรทำตรงกันข้า รุสเซียมิได้มีการเตื่อนเคนเนดี้ว่ามิให้มีการปฏิบัติการในคิวบาแต่อย่างไร
     สหรัฐฯตัดสินใจยอพลขึ้นบกที่คิวบารุสเซียโฆษณาชวนเชื่อโจมตีอย่างหนและได้แสดงทีท่าข่มขู่เฉพาะ หลังจากที่สหรัฐอเมริกาประสบความพ่ายแพ้ในการปฏิบัติการทางทหารครั้งน้นแล้ว รุสเซียไดแถลงขั้นตอนที่จะดำเนินการว่า “เราจะขยายความช่วยเหลือสรรพสิ่งที่จำเป็นให้แก่ประชาชนคิวบาและรัฐบาลคิวบาเพื่อขับไล่กานจู่โจมคิวบาด้วยกำลังอาวุธ” และเมื่อวิกฤติยติลง ครุสเชฟได้ส่งสารย้ำไปว่า “พฤติกรรมเยี่ยงโจรอย่างก้าวร้าวรุกรานจะไม่สามรถรักษาระบบของท่านได้” หลังจากชัยชนะทางการทูตในเรื่องคิวบาแล้ว รุสเซียมีความมั่นใจในนโยชายของตนมากขึ้นประจวบเหมาะกับภาวะการณ์ในลาวก็สุกงอมพร้อมที่จะให้รุสเซียเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เย้ยหยันจีน

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

60’s

     การเลือกตั้งในปี 1960 พรรคเดโมเครตส่งจอห์น เอฟ.เคเนดี้ เข้ารับเลื่อกในตำแหน่งประธานาธิบดี ลินตอน บี.จอห์นสัน รับเลือกในตำแหน่งรอบประธานาธิบดี พรรครีพลับบริกันส่งริชาร์ด เอ็ม.นิกสัน รับเลือกในตำแหน่งประธานาธิบดี เฮนรี่ ซี.ลอจ รับเลือกในตำแหน่งรอบปรธานาธิบดีในช่วงแรกของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ผู้สันทัดทางการเมืองส่วนใหญ่เชื่อว่าริชาร์ด เอ็ม.นิกสันจะชนะการเลือตั้งเพราะนิกสันเป็นที่รู้จักของคนอเมริกันและมีความได้เปรียบลมีประสบการณ์การบริหารประเทศในตำแหน่างรองประธานาธิบดีเป็นเวลาแปดปีในสมัยประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ ทั้งชูประเด็นจะนำมาซึ่งสันติภาพ และความมั่งคั่งสู่อเมริกา สำรับจอห์น เอฟ.เคนเนดี้ คนอเมริกันรู้จักไม่มากนัก แต่เพราะเป็นคนหน้าตาดี บุคลิกดี ฐานะดีและมีภรรยาสวยเป็นที่สะดุดตาช่วยเสริมให้ภาพและเรื่องราวของจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ถูกลงเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ และนิตยสาร โทรทัศน์มีส่วนช่วยจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ถูกลงเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์และนิตยสาร โทรทัศน์มีส่วยช่วยจอห์น เอฟ.เคนเนดี้ เป็นอย่างมาก เพราะมีการรณรงค์หาเสียงแบบเผชิญหน้ากันทางโทรทัศน์ถึงสื่ครั้ง เป็นครั้งแรกในการเมืองสหรัฐอเมริก แม้นจอห์น เอฟ. เคนเนดี้จะมีอายุน้อยเพียง 43 ปี แต่ภาพที่ออกมาทางดทรทัสน์บ่งบอกถึงความสุขุม มั่นใจและตอบฃคถ-มอย่งฉะฉานเฉียบคม เรียกเสียงสนับสนุนได้เป็นอย่งมากจากคนอเมริกัน จอห์น เอฟ.เคนเนดี้ ชูประเด็นจำเป็นต้องเลือกผู้นำที่มองการไกล รู้ขึดความสามารถที่แท้จริงของสหรัฐอเมริกาในการดำเนืนนโยบายต่างประเทศ และเป็นที่พึ่งแก่ผุ้ยากไร้ด้อยโอกาส ภายใต้แผนชายแดนใหม๋ ผลการลงคะแนนปรากฏว่าจอห์น เอฟ เคนเนดี้ ชนะ
     ทศวรรษที่ 60 ผู้เขียนตำราประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา เรียกประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาช่วงนี้ว่า หกสิบที่ปี่นป่วนโกลาหลสับสนวุ่นวาย และผู้รู้บางท่านเรียกประวัติศาสตร์ช่วงนี้ว่า สมัยแห่งความรุนแรง
     ทศวรรษเริ่มด้วยความสดใส คนอเมริกันศรัทธาในประธานนาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี้ ผุ้นำหนุ่มวัย 44 ปี ประกาศแผนชายแดนใหม่ มุ่งให้เป็นที่พักพิงแก่ผู้ยากไร้ เยาวชนอเมริกันให้การสนับสนุนในอุดมการ์ ร่วมมีความคิดสร้างสรร มีความใฝ่ฝันมุ่งมั่นดำเนินการตาที่ผุ้นำกำหนด ทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปด้วยดี แต่กลับจบลงด้วยความเศร้าสลด เริ่มโดย ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ถูกยิงเสียชีวิตที่เมืองดัลลัส เท็กซัสในวันที่ 22 พฤศจิกายน 1963,มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์ ถูกยิงเสียชีวิตที่เมืองเมมฟีส,เทนเนสซี ในวันที่ 4 เมษายน 1968 และโรเบิร์ท เอฟ.เคนเนดี้ ถูกยิงเสียชีวิตที่เมืองลอสแอนเจลลิส,แคลิฟอร์เนียในวันที่ 6 มิถุนายน 1968

       สองปัญหาภายในประเทศที่ไม่ได้รับการแก้ไขนำสู่การประท้วงก่อความโกลาหลวุ่นวายได้แก่ ที่อยู่อาศัยเสือมโทรม  ความยกจน ผุ้สูงอายุไม่มีเงินเพียงพอเพื่อการรักษาพยาบาล คนงานไร้ฝีมือ ต้อง
ตกงานเพราะนายจ้างนำเครื่องจักรทุ่นแรงใช้ในโรงงาน โรงเรียนและมหาวิทยาลัยของรัฐขาดครูอาจารย์ผุ้สอน ขอดอุปกรณ์การเยนและเรียกันอย่างแอดัด มีการแบ่งแยกเหยียดผิด ในการทำงาน การศึกษาและที่อยู่อาศัยรวมถึงต่อต้านการ่วมในสงครามเวียดนาม คนอเมริกันผิดดำประท้วงเพราะต้องการให้เลิกการแบ่งปยกเหยียดผิดเรียกร้องการมีสิทธิเท่าเทียมคนอเมริกันผิวขาว เรียกร้องความสนใจและต่อต้านการเข้าร่วมในสงครามเวียดนาม คนอเมริกันผิวขาวดดยเฉพาะเยาวชนอเมริกันส่วนใหญ่เกิดหลัง
สงครามโลกครั้งที่ 2 มีความเป็นอยู่สุขสบาย ในปี 1964 เมื่อลินคอน บี.จอห์นสันนำสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมในสงครามเวียดนามมีการเกณฑ์ทหารทำให้เยาวชนอเมริกันโดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษามองสังคมอเมริกันเป็นสังคมไม่น่าอยู่มีการประท้วงเกิดกลุ่มขบวนการพูดเสรี และกลุ่มสมาคมนิสิตนักศึกษาเพื่อสังคมประชาธิปไตย นำโดยทอม เฮเดน และแอล ฮาเบอร์ ที่มิชิแกน สมาชิกส่วนใหญของทั้งสองกลุ่มนักศึกาเป็นคนอเมริกันผิวขาว จัดอยู่ในชนชั้นกลางของสังคมอเมริกัน สมาคมทั้งสองเรียกร้องสันติภาพ เลิกการแบ่งแยกเหยียดผิด ให้รัฐบาลสนใจดูแลทุกข์สุขประชาชนขจัดความยกจนให้หมดไป และให้ทหารเลิกเข้ายุ่งเกี่ยวกับพลเรือ เช่น เลิกการเกณฑ์ทหาร เลิกให้ทุนนักวิชาการทำงานวิจัยของกระทรวงกลาดหม และเลิกการผลิตอาวุธรายแรงเพื่อนำใช้ปราบปรามศัตรู ขณะเดียวกัน เยาวชนอเมริกันมีความสับสนทางจิตใจจัดตั้งกลุ่มซ้ายใหม และกลุ่มต่อต้านวัฒนธรรม เยาชนทั้งสองกลุ่มต่อต้านวัฒนธรรมเดิมคือไม่ต้องการมุ่งมั่นทำงานเพื่อความก้าวหน้าและความมั่นคงของชีวิต ไม่ต้องการยึดมั่นใรกฎข้อบังคับและระเบียบวินัย ไม่ยึดมั่นในสถาบันครอบครัว ไม่มีความภูมิใจในบรรพบุรุษ ค่านิยมใหม่ที่เกิดขึ้นคือ ไม่ติดกับวัตถุนิยมแต่จะแสวงหาความเชื่อใหม่เป็นที่พึ่งทางใจมุ่งที่ปรัชญาและศาสนาโลกตะวันออก ชื่นชอบแนวคิดและผลงานของเมเซตุงและฟิเดล คัสโตร มีเพศสัมพันธ์เปิดเผย เรียกหาความรักและสันติภาพ มีความเป็นอยู่เรียบง่ายไปวัน ๆ  และแสวงหาความสุขใจ
ด้วยการเสพกัญชา และยาหลอนประสาท ฮิปปี้หรือบุปผาชน เป็นรูปแบบใหม่ของเยาวชนอเมริกันในทศวรรษที่ 1960 ที่เบื่อสังคม การเมืองและวัฒนธรรมของอเมริกันเดิม ต้องการลืมปัฐหา คลายความเหวา คลายความเครียด ด้วยกาเสพกัญชาและยาหลอนประสาท เรียกหาความรักโลกีย์แลสันติภาพด้วยคำขวัญ “เมคเลิฟ น็อตวอร์” พอใจอยงุ่รวมกันเป็นชุมชนเช่นที่ซานฟรานซิสโก แบ่งปันความรัก ความรับผิดชอบ ทรัพย์สิน กินอยู่ และใช้สอยร่วมกัน ฮิปปี้นิยมใช้เสื้อผ้าเก่า สวใรองเท้าแตะหรือรองเท้าสาน ไว้ผมยาว สะพายถุงย่าม ห้อยสร้อยคอลูกประคำทีละหลายเส้น ชอบเพลงร็อค เพราะท่วงทำนองตื่นเต้นเร่าร้อนมีชีวิตชีวา วงดนตรีที่เยาวชนอเมริกันชอบมากคือ เดอะ บีเทิลส์,เดอะ วูดสต็อก,เดอะ โรลิ่งสโตนส์ เทศการดนตรีกลางแจ้งที่ยิวยอร์กโดยวง วูดสต็อก มีผุ้เข้าชมประมาณ สี่แสนคน ปลายทศวรรษที่ 1960 ฮิปปี้เสื่อมความนิยม มีสภาพเป็นคนข้างถนนหรือขอทาน และกลางทศวรรษ 1970 ฮิปปี้หมดไปจากสังคมเยาวชนอเมริกัน เนื่องจากสงครามเวียดนามยุติลง(1975) คนอเมริกันผิวดำรบการศึกษาเพี่มมากขึ้นสามารถยกสถานภาพตนเองในสังคมขึ้นทัดเทียมหรือใกล้เคียงคนอเมริกันผิวขาว การแบ่งแยกเหยียดผิวค่อยๆ หมดไป อย่างไรก็ตามสรุปได้ว่าอเมริกายุค 1960 ยังคงสกัดกั้นต่อต้านการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์  เศรษฐฏิจมีทั้งเฟื่องฟู ภาวะเงินเฟ้อ และธุกิจถอถอยซบเซา คนอเมริกันนิยมมีบ้านอยู่อาศัยบริเวณชานเมืองมากกว่าในเมือง สหรัฐอเมริกามีความก้าวหน้ามากในงานวิทยาศาสตร์การแพทย์และเทคโยโลยี นำสู่การผลิตยาใหม่ ๆ รักษาโรค และนำความก้าวหน้าในงานโครงการอวกาศ และขบวนการเรียกร้องสิทธิอำอย่างเป็นระบบ ทวีความรุนแรงขึ้นคนอเมริกันกล้าต้อต้านการดำนเนินโยบายต่างประเทศของรัฐบาลในเรื่องนำสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมในสงครามเวียดนามด้วยการประท้วง นับวันทวีความรุนแรงขึ้น และประการสุดท้ายสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับมลภาวะ การฆาตกรรมและความรุนแรงอันเนื่องจากคนอเมริกันไม่พอใจสภาพที่เป็ยอยู่และไม่พอใจรัฐบาล สหรัฐฯช่วงทศวรรษ 1960 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสองคนคือ ประธานาธิบดีจอห์ เอฟ.เคนเนดี้ ด้วยแผนชายแดนใหม่ มุ่งใช้เป้นที่พึ่งแก่ผู้ยากไร้ และประธานาธิบดีลินคอม บี. จอห์นสัน ด้วยแผนสังคมที่ยิ่งใหญ่ มุ่งใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตคนอเมริกัน

Renewed Trump era ( Again )

                        ไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า โดนัลด์ ทรัปม์ จะหลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง โดยเขาจะเข้าพิธีสาบานตนเืพ่...