วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

1MDB

           1 Malaysia Development Berhad 1MDB กองทุนพัฒนามาเลเซีย ซึ่งก่อตั้งโดยนายกรัฐมนตรนี นาจิบ ราซัด ในปี 2009 โอนเอนอยู่บนขอบเหวแห่งการล้มละลาย ท่ามกลางการสืบสวนจากทั่วโลกต่อข้อกล่าวหามีการขโมเงินไปจากกองทุนแห่งนี้หลายพันล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน นายนาจิบ ยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อกรณีมีเงิน 681 ล้านดอลลาร์ โอนจากต่างแดนเข้าบัญชีส่วนตัวของเขาในปี 2013
          ธนาคารกลางมาเลเซียไม่ได้เจาะจงว่ากองทุนต้องคืนเงินกลับประเทศมากน้อยเพียงใดเพียงธนาคารแห่งนี้เคยกดดัน เกี่ยวกับเงิน 1,830 ล้านดอลลาร์ที่กองทุนยอมรับว่าได้ส่งไปยังต่างแดน ณะที่มีคำถามมากมายหมุนวนอยุ่รอบๆ เงินหลายพันบล้านดอบบาร์ที่เคลื่อนไหวอู่ทั่วโลก ทางธนาคารกลางมาเลเซียบอกว่ากองทุนแห่งนี้ล้มเหลวในการพิสูจน์การใช้เงินดังกล่าว หรือปฏิบัติตามคำสั่งก่อนหน้าทนี้ให้คืนเงิน 1,830 ล้านดอลลาร์
          1MDB ระบุว่า จะยอมจ่ายเงินค่าปรับทีไม่ระบุจำนวน ฐานไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของธนาคารกลางมาเลเซีย  แต่ไม่บอกว่าจะคืนเงินส่วนที่ถูกสงสัยหรือไม่
          ก่อนหน้านี้ กองทุนฯ ซึ่งมี นายนาจิบ ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการทีปรึกษา ผิดนัดชำระหนี้พันธบัตร 1,750 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ หลังไม่จ่ายกอกเบี้ยจำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กระพือความกังวลว่ารัฐบาลอาจเข้าแทรกแซงและปล่อยกู้แก่ 1MDB ที่อาจสั่นสะเทือนตลาดและส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของมาเลเซีย
         ปัจจุบัน 1NDB มีหนี้พันธบัตรรวมกว่า 11,000 ล้านดอลล่าร์ (ราว 387,046 ล้านบาท)และยืนยันว่า ไม่มีการถ่ายโอนเงินออกนอกกองทุน หรือมีปัญหาทางการเงิน แต่คณะกรรมการชุดหนึ่งในัฐสภากล่าวว่า กองทุนนี้โอนเงินไปต่าประเทศอย่างน่าสงสัยไม่ต่ำกว่า 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ...(ผู้จัดการ Online 28 เมษายน 2559, กองทุนฉาว 1MDB อ่ม ธนาคารกลางมาเลเซียบี้คืนเงินที่ส่งไปต่างประเทศ)
          .... กองทุน 1MDB ก่อตั้งโดยนา ราจิบ ในปี 2008 โดยใช้เงินรัฐบาลเมือตอนเขาเป็น รองนายกรัฐมนตรีเพื่ออำนวยประโยชน์ให้เกิดการลงทุนในตะวันออกกลาง หลังจากตั้งไม่นานก็ก่อหนี้มูลค่า 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หลังซื้อสินทรัพย์ในด้านพังงานและอสังหาริมทรัพย์ เมื่อแผนการที่จะขยหุ้นพลังงานล้มเหลว กองทุนก็ประสบปัญหาในการชำระหนี้จนต้องเปลี่ยนผุ้ตรวจสอบบัญชีอย่างน้อย 2 ครั้ง
           เมื่อมีการเปิดเผยการดำเนินงานของ 1MDB ประชาชนก็เห็นความซับซ้อนซ่อนเงือนของธุรกรรมของกองทุนสังเกตเห็นได้ว่ากองทุนมักจ่ายเงินซื้อทรัพย์สินจากบริษัทเอกชนในระคาที่สูงเกินจริง และบริษัทเหล่านี้ต่อมาบริจาคเงินให้การกุศลอีกทีโดยนาย นาจิบ เป็นหัวเรือใหญ่ของกองทุนการกุศลในช่วงเวลาก่อนหน้าเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหญ่ในบางรัฐในปี 2013
           Jho Low หนุมนักต่อรองผลประโยชน์ธุรกิจ และเป็นเพื่อของลูกเลี้ยงนาย นาจิบ อีเมลที่ร่วออกมาระบุว่าเขากู้ยืมเงินก้อนใหญ่โดยใช้บริการค้ำประกันเงินกู้ของรัฐโดยไม่มีการอนุมัติจาธนาคารกลาย่ิงไปกว่านั้น เขามีบทบาทสำคัญในหารดำเนินงานร่วมลงทุนของกองทุนกับบริษัทน่าสงสัยในกาบูดาบีจนกองทุนสูญเงินไป 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
           กองทุนฯ อื้อฉาวในหลายเรื่องเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนในลักษณะซื้อทรัพย์สินจากเพื่อเศรษฐีที่คุ้นเคยผุ้บริหารกองทุนในระคาแพง แต่เวลาขายกลับขายราคาถูกจนหนี้ท่วมกองทุน นอกจานี้ยงยักย้ายถ่ายเทเงินแบบซ่อนเงื่อนเข้าบัญชีนาย นาจิบ อีกดังที่กล่าวแล้ว..(http//www.thaipublica.org,"หนังตื่นเต้นชื่อการเมืองมาเลเซีย".16 กรกฎาคม 2015)
            กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลใหยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ที่ยักยอกมาจากกองทันเพื่อพัฒนามาเลิเวีย พร้อมชีวา่ เงินจำนวนมหาศาลที่เข้าไปอยู่ในบัญชีของนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลิเซีย ไม่ได้มาจากการบริจาคของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียดังที่กล่าวอ้าง
           สำนวนฟ้องของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่า เงินจำนวนมากถูกโอนออกจากกองทุน เข้าบัญชีธนาคารหลายแห่งในหลายประเทศ โดยบุคคลใกล้ชิดของนายนาจิบหลายคนได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาใช้ซื้อของมีค่าต่างๆ
           อัยการสูงสุดของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเงินมูลค่ากว่า 3 พันล้านดอลล่าร์ ซึ่งถูกยักยอกจากกองทุนฯ โดยมีสถาบันการเงินหลายแห่งนสหรัฐฯ ทำหน้าที่ฟอกเงิน พร้อมย้ำว่าต้องการปกป้องระบบการเงินของประเทศจกาากรถูกใช้เป็นชข่องทางในการคอร์รัปชั่น...(http//www.org, สหรัฐฯฟ้องอายัดทรัพย์สินจากการยักยอกเงินคดีกองทุน 1MDB, 24 กรกฎาคม 2016)
            กลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูปเลื้อกตั้ง "เอบร์ซิห์ Bersih" ได้นัดชุมนุมใหญ่เพื่อบีบให้การดำเนินคดีกับนายกฯ นาจิบ ซึ่งถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินนับพันๆ ล้านดอลลาร์ไปจากกองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว
            สภานการณ์ทางการเมืองมาเลเซียทวีความตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ หลังจากกลุ่ม "เสื้อแดง" ที่มีแนวคิดขวาจัดประกาศจะระดมมวลชนที่สนับสนุน นาจิบ ออกมาชุมนุมต้านม็อบเสื้อเหลือง
             รัฐบาลมาเลเซียได้สั่งจับกุมแกนนำทั้ง 2 ฝ่ายเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานัดชุมนุมใหญ่ แต่ยัไม่แน่ว่าการทำเช่นนี้จะโหมกระพือสถานการณ์ให้ย่ำแย่ลงอีกหรือไม่.
             สถานการณ์ทางการเมืองในมาเลเซียปั่นป่วนมานานกว่าปี หลังจากที่ นาจิบ ถูกครหาว่ายักยอกเงินนับพันๆล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ไปจากกองทุนพัฒนามาเลเซียซึ่งเขาเป็นผุ้ก่อตั้ง
            นาจิบ วัย 63 ปี และกองทุนฯ ต่างยืนกรามในความบริสุทธิ์ ทว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ออกมาแฉข้อมูลอย่างเป็นนัยๆ ว่าคดียักยอกเงินจำนวนมหาศาลนี้พัวพันไปถึงผู้นำมาเลเซีย บุตรบุญรธรรม และคนสนิทอีกหลายคน
             นาจิบ ใช้อิทธิพลยุติกระบวนการสอบสวนภายในประเทศเมือปีที่แล้ว ทำให้นักวิจารณ์หลายคนออกมาตำหนิ ว่าใช้อำนาจ"เผด็จการ"ปกปิดความฉาวโฉ่ ทั้งยังจับกุมฝ่ายตรงข้าม และปิดก้้นการทำงานของสื่อมวลชน
             ผุ้นำมาเลเซียแถลงผ่านสื่อวิทยุ ว่า การเคลื่อหนไหวของกลุ่มเบอร์ซิห์เป็นเพียง "แผนลวง" เพื่อ "โค่นล้มรัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย"(ผุ้จัดการ Online หวั่นม๊อบชนม็อบ! "เหลืองมาเลย์" ชุมนุมใหญ่กลางกรุงขับไล่นายก เสี่ยงปะทะ "เสื้อแดง"หนุนนายกฯ, 19 พฤศจิกายน 2559)
            4 ธันวาคม 2559 ชาวมาเลเซียและชาวดรฮิงญาที่พำนักในมาเลิเซียรราว หนึ่งหมือนคน ออกมาร่วมชุมนุมในกรุงกัวลาลัมเปอร์เพื่อประท้วงรัฐบาลพม่าที่เดินหน้ากวาดล้างชาวมุสลบิมโรฮิงญาในรัฐยะไข่ โดยนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ได้เข้าร่วมการชุมนุมด้วย แม้ว่าก่อนหน้านี้รัฐบาลพม่าได้ออกมาเตือนผู้นำมาเลเซียมิให้เข้าร่วมเพราะจำถือว่าเป็นการละเมิดหลักไม่แทรกแซงกิจการภายในของเพื่อสมาชิกอาเซียน แต่นาจิบประกาศในที่ชุมนุมว่า ไม่แคร์!!!
            "ใครบางคนช่วยบอกพม่าที่ว่า กฎบัตรอาเซียนคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอยุ่เช่นกัน พวกเขาตาบอดอยู่หรือ พวกเขาจะตีความอย่างที่ตัวเองชอบแค่นั้นไม่ได้" นายกรัฐมนตรีมาเลซียปราศรัยต่อนห้ามวลขนเรือนหมื่นอย่างดุเดือด ทั้งกล่าวหยัน นางอองซาน ซูจี ผู้นำรัฐบาลพม่าในทางพฟตินัยด้วยว่า มีรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพไว้เพื่ออะไร
            "เราอย่างจะบออกอองซาน ซุจีว่า พอกันที เราต้อบงปกป้องมุสลิมและอิสลาม" ผู้นำมาเลเซียกล่าวท่ามกลางผู้สนับสนุนที่พากันร้องตะโกนสรรเสริญพระเจ้า...
             มาเลเซีย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และให้ที่พักพิงแก่ชาวโรฮิงญาในานะผู้ขอลี้ภัยราว 5.6 หมื่นคน ยกระดับการวิพากษ์ตำหนิพม่ากรณีวิกฤตโรฮิงจาอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงการออกแถลงการณ์ กล่าวหาพม่าว่ากำลังกำจัดชาติพันธ์..
             อย่างไรก็ดี นายเจมส์ ชิน ผู้อำนวยการสถาบันเอเชีย มหาวิทยาลััทาสมาเนีย ให้สัมภาษณ์เอเอฟพีว่า การออกมาร่วมชุมนุมของนายนาจิบ ก็เพื่อยกสถานะองตนเองในฐานผู้นำมุสลิม ขณะการเลือกตั้งทั่วไปกำลังใกล้เข้ามา และตัวเขาเองกำลังต่อสู้กับข้อหาทุจริตยักยอกเงินหลายพันล้านดอบบาร์
             เช่นเดียวกับ บริดเจ็ท เวลช์ ผุ้เชี่ยวชาญการเมืองมาเลเซีย มหาวิทยาลัย อีเปค ในตุรกี ที่มองว่า นายนาจิบ กำลังมองหาอะไรบางอย่างเพื่อทำให้ตนเองดูดีขึ้นและประเด็นโรฮิงจา ก็เป็นเครื่องมือง่ายๆ ที่นำมาใช้ได้ หากรัฐบาลอาทรโรฮิงจาจริงๆ ก็คงจะหันมาสำรวจการปฏิบัติต่อชุมชนกนกลุ่มนี้ภายในประเทศ ทั้งนี้ มาเลเซียอาจเป็นความหวังหนึ่งของโรฮิงจาที่หนีออกจากพม่า แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาจำนวนมากก็ยงคงตกอยู่ในสภาพไร้รัฐ และถุกเอารับเอาเปรีบในรูปแบบใหหม่ในมาเลเซีย( คม ชัด ลุึก "นาจิบ ซัด อองซาน ซูจี ต้องหยุดฆ่าล้างโรฮิงจา" 4 ธันวาคม 2599)
              มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีวัย 91 ปี เปิดเผยกับสำนักข่าวเอเอฟพี ว่า จะเดินหน้ากดดันนาจิบต่อไป การอยู่ในอำนาจต่อไปของนาจิบเป็นตัวการทำลายประเทศ เนื่องจากความวุ่นวายไม่เปิดทางให้กับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจชุลอตัวและอัตราเงินเฟ้อที่เพ่ิมสูงขึ้น   อดีตนายกรัฐมนตรียังระบุอกีว่า นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันมีการจุดประเด็นด้านชาติพันธ์ด้วยการดึงฐานเสียนงขชาวมาเลเซียเชื้อชาติมาเลย์และนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งจะสร้างความขัดแย้งทางชาติพัน
ธ์กับชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน
             ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์เซาท์ ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ เปิดเผยว่า นาจิบเปิดเผยก่อนหน้าทนี้ต่อหน้าพรรคอัมโน ระบุว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดระหว่างพรรค อัมโน พรรครัฐบาล และพันธมิตร ซึ่งสนับสนุนชาวมาเลเซยเชื้อสาย มาเลย์กับ พรรคฝ่ายค้าน นำโดยพรรคกิจประชาธิปไตย(ดีเอพี) ซึ่งนาจิบระบุว่า เป็นพรรคที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลเซียเชื้อชาติจีน และมีการต่อ
ต้านชาวมุสลิม รวมถึงชาวมาเลเซียเชื้อสายมาเลย์
             "ถ้าประเทศนี้ตกอยู่ในมือของดีเอพี ซึ่งมีแนวคิดเสรีนิยมสุดโต่งและแนวคิดไม่เชื่อในศาสนา จะส่งผลให้สิทธิและเอกสิทธิ์ของชาวมาเลเซีย ซึ่งอัมโนปกป้องมาโดยตลอด ต้องหายไป" นาจิบ กล่าว
              สิวามุรุกัน ปานเตียน ผุ้เชียวชาญด้านรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ ไซแอนซ์ ในมาเลเซีย กล่าวว่า นาจิบพยายามดึงความภักดีและการอยู่ในโอวาทขึ้นมาเพื่อรวบรวมพรรคให้เป็นหนึ่งเดี่ยว และเพื่อต่อสู้กับฝ่ายดีเอพี รวมถึงกำจัดอิทธิพลของมหาเธร์ ซึ่งเคยเป้นหัวหน้าพรรคอัาโน นาจิบพยายามดึงความกลัวทางเชื้อชาติเพื่อรวบรวมพรรคมอัมโนอีกครั้ง
         
    หนังสือพมิพ์ไฟแนนเซีลไทมส์ รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า รัฐวิสาหกิจจากจีนเตรียมเป็นผุ้จ่ายค่ายอมความให้กับ 1MDB ในการยุติความขัดแย้งกับกองทีนดินเตอร์เนชันแนล ปิโตรเลียม อินเวสต์เมนต์ โค (IPIC) กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสหรัฐอาหรับ เอมิเรดส์ ซึ่งเรียกร้องค่าเสีย หายรวม 6,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ(ราว2.2 แสนล้านบาท)  IPIC ระบุว่า 1MDB ไม่ชำระหนี้กว่า พันล้านเหรียญสหรัญที่มีกำหนดชำระตั้งแต่ปีก่อน และยังเป็นผุ้จ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้แทนว1MDB เป็นเงิน 52,4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ(ราว 1,824 ล้านบาท) ในฐานะ ผุ้ค้ำประกันหุ้นกู้ซึ่งมีกำหนดไถ่ถอน ปี 2022 ก่อนที่IPICจะยื่นฟ้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแห่งลอนดอน
             ไฟแนนเชียลไทมส์ ระบุว่า ที่ผ่านมา จีนกลายเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญสำหรับ 1MDB  โดยรัฐวิสาหกิจจากจีนเข้าซื้อสินทรัพย์ ซึ่งหมายรวมถึงธุรกิจพลังงาน โดยนายนาจิบ เปิดเผยว่า กาเข้าซื้อของจีนช่วยให้ กองทุนฯ ลดหนี้ไปถึง 4.04 หมื่นล้าน ริงกิต (ราว 3.3ล้านบาทไทย) ทามกลางความสัมพัน
ธ์ระหว่างสองชาติที่แน่นแฟ้นขึ้น ขณะที่สหรัฐเข้าสอบสวนกองทุน ดังกล่าว และพบว่ามีความผิปกติของการเคลื่อนย้ายเงินทุนกว่า สามพันห้าร้อยล้านเหรียญสหรัฐณ(ราว 1.22แสนล้านบาท) ...(โพสต์ทูเดย์, วิเคราะห์, "การเมืองมาเลเซียปั่นป่วนจุดประกายขัดแย้งเชื้อชาติ" 8 ธันวาคม 2599)
           

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560

Rodrigo Roa Duterte

           
โรดรีโก โรอา ดูแตร์เต้ Rodrigo Roa Duterte มักถูกเรียกด้วยชื่อเช่นว่า ดีกง เป็นนักการเมืองและทนายความชาวฟิลิปินส์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีฟิลิปินส์ คนที่ 16 เขาถือเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากเกาะมินดาเนา ซึ่งที่นั้นเขาเคยดำรงตำแหน่างเป็นนายกเทศมนตรีเมือง ดาเวา ถึงกว่า 22 ในขณะที่เป็นนายกเทศมนตรีเมืองดาเวานั้น เขาใขนโยบายขั้นรุนแรงในการปราบปรามอาชญากรจนเมืองดาเวากลายเป็นเมืองที่มอัตราอาชญากรรมต่ำที่สุดในฟิลิปปินส์ และตัวเขาได้รับฉายาว่า "ผู้ลงทัณฑ์" แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่านโยบายของเขาทำให้มผู้เสียชีวิตมากกว่าพันคน
             ใน พ.ศ. 2559 เขาลงสมัครรับเลือตั้งเป็นประธานาธิบดี และได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และได้รับชัยชนะ เขาประกาศนโยบายขั้นรุนแรงในการกวาดล้างอาชญากรรมใหหมกไปจาฟิลิปปินส์ภายใน 6 เดือน และตั้งเป้าหมายจะสังหารอาชญากรในฟิลิปปินส์ให้ถึงหนึ่งแสนคน.(http//www.th.wikipedia.org โรดรีโก ดูแตร์เต)
          ในเวลาเพียงกว่าหนึ่งร้อยวันในการขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ด้วยอำนาจและนโยบายปราบปรามยาเสพติดอันเข้มงวด มีผู้เสียชีวิตจากากรปราบปรามไปแล้วกว่า 3,500 คน ซึ่งนอกจากประเด็นที่เป็นที่สนใจของสื่อต่างชาติ ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างฟิลิปินส์ กับสหรัฐอเมริกา
          บางส่วนจากการสัมภาษณ์ดูเตอร์เต "..ในฟิลิปปินส์มีผุ้ติดยาเสพติดมากถึง 3 ล้านคน และจำนวนนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไขปัญหา คนรุ่นต่อไปของฟิลิปินส์ก็จะยิ่งได้รับผลกระทบจากยาเสพติดมากขึ้น ก็ในเมื่อคุรทำลายประเทศของผม ผมก็จะฆ่าคุณ ซึ่งมัเป้นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าคุณทำลายเด็กๆ ชาวฟิลิปปินส์ ผมก็จะฆ่าคุณ มันเป็นอะไรที่สมเหตุสมผล และไม่มีอะไรผิดในการพยายามปกป้องคนรุ่นต่อๆ ไปนี้
          ฟิลิปปินส์จะไม่ยอมแพ้ในการต่อสู้ เพราะนี้คือสิทธิที่เราควรได้ คุณสามารถเจรจาต่อรองเพื่อป้องกันการเกิดสงครามได้ซึงทางจีนก็ได้เชิญผมไปเพื่อเจรจาเรื่องนี้เช่นกัน.."
          และเมื่อถามถึงความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับสหรัฐอเมริกา ดูเตอร์เต้กล่าวว่าทั้งหมดเกิดขึ้นเพาระอเมริการวิพากษณ์วิจารณ์นโยบายปราบปรามยาเสพติดของเขา
          "... มีเพียงอเมริกาที่เรียกขึ้นตอนปฏิบัติงานปกติในประเทศนั้นๆ ว่าเป็นความรุนแรง และละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามที่ทุกคนได้ทราบจากข่าวก่อนหน้า พวกเขารวบรวมหลักฐานไปให้สหประชาชาติพิจารณา ทั้งๆ ที่ีในความเป็นจริงแล้วหากเป็นการละเมิดจริงขึ้นตอนควรจะเร่ิมจากในสหประชาชาติเองด้วยซ้ำ ซึ่งฟิลิปปินส์ก็เป็นนึ่งในประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ"(้http//www.posttoday.com ,"รู้จักโรดริโก ดูเตอร์เก ปธน.ฟิลิปปินส์สุดโหดผุ้นี้ให้มากขึ้น")
            6 ก.ย. 2558 ประธานาธิบดีโรคริโก ดูเตอร์เก แห่งฟิลิปปินส์ ระบุในแถลงการณ์ที่อ่านโดยโฆษกส่วนตัว ว่าถ้อยคำดังกล่าวไม่ได้มีเจตนาแดกดันเป็นการส่วนตัวต่อประธานาธิบดีบารัค โอบาม ผุ้นำสหรัฐฯ แต่เป็นการตอบโต้เฉพาะหน้าต่อคำถามบ้างอย่างจากสื่อที่ปลุกเร้าให้เกิดความกังวลและความลำบากใจ แถลงการณ์ยังระบุอีกว่า มีการตกลงร่วมกันให้เลื่อนการพบกันระหวางผุ้นำของทั้งสองชาติออกไปก่อน
          "ลูกกระหรี่ ผมจะสาบแช่งคุณในที่ประชุม" ดูเตอร์เตสบถอย่างฉุนเฉียว อย่างไรก็ตม ทั้นที่ที่เดินทางถึงเวียงจันทร์เมืองหลวงของลาวเพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดสมาคนประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน) ช่วงค่ำวันจันทร์ ดูเตอร์เตเปลี่ยนท่าที่ฉับพลันโดยบอกไม่อยากมีปัญหา "ผมไม่อย่างทะเลาะกับเขาหรอก เขาเป็นถึงประธานาธิบดีที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก" ผุ้นำแดนตากาล็อก กล่าวพร้อมกับบอกอีกว่า เขาโกรธเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ที่วิจารณ์เรื่องสิทธิมนุษยชนไม่เลิกรา"
           ด้านโอบามาได้ทราบข่าวเกี่ยวกับคำพูดหมิ่นประมาท หลังจาเสร็จสิ้นการประชุมซัมมิต G20 มี่เมืองหางโจว ทางภาคตะวันออกของจีนโดยเขาได้บอกให้คณะผุ้ช่วยไปพูดคุยกับเหล่าเจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์ เพื่อทบทวนว่าการประชุมทวิภาคีดังกล่าวจะมีการสนทนาอย่างสร้างสรรค์หรือก่อประโยชน์ใดๆ หรือไม่ ซึ่งก่อให้เกิดความสงสัยว่าการพูดคุยจะเป็นไปตามแผนเดิมหรือเปล่า
           จากน้ันโฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เผยว่า โอบามาได้ยกเลิกการหารือกับดูเตอร์เต โดยเปลี่ยนแผนไปพบปะกับประธานธิบดี เกาหลีใต้แทน เพื่ตื่พอตอบสนองต่อการทดสอบขีปนาวุะล่าสุดของเกาหลีเหนือ
          เมื่อเดือนกรกฎาคม ศาลอนุญาโตตุลาการถาวรที่กรุงเฮกวินิจฉัยให้ฟิลิปปินส์เป็นฝ่ายชนะ การณีร้องเรียนการอ้างสิทธิทับซ้อนกับจีนในหมู่เกาะต่างๆ ในทะเลจีนใต้ แต่ดูเตอร์เตกลับประกาศว่าต้องการเจรจาทางการทูตต่อมากกว่ายั่วยุให้ปักกิ่งโกรธ ซึ่งเป็นท่าที่ตรงกันข้ามแบบสุดขั้วกับการด่าทอโอบามา
           อย่างไรก็ตาม โฆษกส่วนตัวของผุ้นำฟิลิปปินส์ยืนยันเมื่อวันอังคารว่า ฟิลิปปินส์มีจุดมุ่งหมายหลักในการกำหนดนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระและส่งเสริมความสัมพันธ์ใกล้ชิดขึ้นักับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่เป็นพันธมิตรกันมายาวนาน (http//www.manager.co.thหน้าแรกผู้จัดการ Online/ข่าวต่างประเทศ, "ดูเตอร์เต" อ้างฉุนสื่อจอมเสี้ยม ทำหลุดปากด่าผุ้นำมกันลูกกะหรี่)
            ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ได้แสดงท่าที่ไม่เป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกามากขึ้น( 12 กันยายน พ.ศ. 2559) ด้วยการสั่งให้กองกำลังพิเศษอเมริกันทั้งหมด ที่คอยให้คำแนะนำในการต่อสู้กับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง ออกจาพื้นที่ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ 
            ดูเตอร์เต้ ผู้อ้างว่าสืบเชื้อสายมาจากมุสลิม เป็นผุ้นำฟิลิปปินส์คนแรกที่ได้รับเสียงโห่ร้องต้อนรับจากพื้นที่ภาคใต้ ทั้งยังเพิ่มความพยายามที่จะนำสันติสุขกลับมาสู่ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ อันเป็นดินแดนที่เกิดความไม่สงบมายาวนานนับทศวรรษ จากฝีมือกบฎมสลิมและพวกคอมมิวนิสต์ เมื่อเดือนที่แล้ว เขาได้กลับมาเริ่มการเจรจาสันติภาพกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ใหญ่สุด ซึ่งมีกำลังพลราว 12,000 คน นั่นคือกลุ่ม "แนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร" ที่ทำการต่อสู้มาตั้งแต่ยุคปี 1970 ดูเตอร์เต้ระบุว่า การที่ฟิลิปปินส์เป็นมิตรกับตะวันตกทำให้การก่อความไม่สงบของพวกมุสลิมเกิดขึ้นไม่หยุด ไพวกกองกำลังพิเศษสหรัฐฯ ที่อยู่ในมินดาเนา พวกเขาต้องไปให้พ้น ชาวมุสลิมจะกระเหนี้ยนกระหือรือมากขึ้นเมือได้เป็นคนอเมริกัน พวกเขาอยากจะฆ่าคนอเมริกัน" ดูเตอร์เต้ระบุ...(http//www.headshot.tnew.co.th, "ใกล้มีมวย!!! "ดูเตอร์เต" สั่งให้กองกำลังพิเศษสหรัฐฯ ออกจาก "ฟิลิปปินส์"!!, 13 กันยายน  2559)
            4 ตุลาคม 2559 คำพูดดุเดือดที่เกิขึ้นในขณะที่ฟิลิปปินส์ และสหรัฐฯ กำลังซ้อมรบร่วมประจำปี ที่ดูเตอร์เตเคยเตือนว่า อาจเป็นครั้งสุดท้ายในระหว่างที่เขายังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เพื่อตอบโต้อเมริกาที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์สงครามต่อต้านยาเสพติดนองเลือดของเขา
          "ผมสูญเสียความเคารพต่ออเมริกา" ดูเอร์เต ครำครวญระหว่างการกล่าวปราศรัยยาวเหยียด เกี่ยวกับเสียงเรียกร้องของสหรัฐฯ สหประชาชาาิ และสไภาพยุโรป ให้เคารพสิทธิมนุษยชน"มิสเตอร์ โอบามา ไปลงนรกซะ"
         เขายังตราหน้าอเมริกันชนว่า เป็นพวก "เสแสร้ง" และเตือนว่าบางที่อาจถึงเวลาแล้วที่เขาจะทุบทำลายความเป็นพันธมิตรระหวา่งสองชาติลงโดยสิ้นเชิง ในนั้นรวมถึงข้อตกลงกลาโหมร่วม "ที่สุดแล้ว บางที่ในสมัยของผม ผมอาจแตกหักกับอเมริกา ผมอยากเอื้อมมือไปหารัสเซียหรือไม่ก็จีนมากกวา แม้ว่าเราไม่เห็นด้วยกับอุดมการ์ของพวกเขา แต่พวกเขาให้ความเคารพต่อคนอื่น และความเคารพคือสิ่งสำคัญ
          ความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างฟิลิปปินส์เติบโตแข็งแกร่งขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้การขยายอิทธิพลของจีนทะเลจีนได้โดยเฉพาะ ปักกิ่งอ้างกรรมสิทธิเหนืออาณาเขตเกือบทั้งหมกของทะเลจีนใต้ ไม่เว้นแม้แต่น่านน้ำที่อยู่ใกล้กับฟิลิปปินส์ และชาติเอเซียตะวัีนออกเฉียงใต้อื่น ๆและเมื่อไม่นามนี้ก็สร้างเกาะเทียมหลายแห่งในพื้ที่พิพาท ซึ่งมีศักยภาพใช้เป็นที่ต้งของฐานทัพ เพื่อตอบโต้จีน ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนก่อน นายเบนิโญ อากีโน จึงแสวงหาความสัมพันะ์ใกล้ชิดกับสหรัฐ ฯ ในนั้นรวมถึงการลงนามในข้อตกลงด้านกลาโหมใหม่ ที่เปิดทางให้ทหารอเมริกาหลายพันนาย
หมุนเวียนทั่วฟิลิปปินส์ และอนุญาตให้วอชิงตันประจำการยุทโธปกรณ์ทางทหานตามฐษนทัพต่างๆ ของประเทศ อย่างไรก็ตามนาย ดูเตอร์เตได้ปรบเปลี่ยนเส้นทางนั้น พร้อมเตือนว่า เขาจะยอเลิกข้อตกลงใหม่และจะไม่อนุญาตให้มีการลาดตะเวนร่วมกับสหรัฐฯ อีกในทะเลจีนใต้ (ผู้จัดการ Online 4 ตุลาคม "ดูเตอร์เตห้าวเป้ง!!ไล่โอบามา "ไปลงนรก" ขู่ตัดสัมพันธ์สหรัฐฯ สิ้นเชิง หันซบอกจีน-รัศเซีย)
          นาย โรดริโก ดูเตอร์เต เข้าพบประธานาธิบดีจีน ร่วมเจรจาด้านการค้าและรื้อฟื้นความสัมพันะ์ระหว่างทั้งสองประเทศพร้อมประกาศตัดความสัมพันธ์กับสหรัฐ
          นาย โรดริโก ดูเตอร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติจากรัฐบาลจีน ที่สภาประชาชนแห่งชาติ จตุรัสเทียนอันเหมิน ณ กรุงปักกิ่ง โดยดูเตอร์เตได้ร่วมประชุม กับ นาย ส จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีน และได้หารือข้อตกลงด้านการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ
          ระหว่างขึ้นพูดที่งานประชุมด้านการค้าระหว่างจีนและฟิลิปปินส์ ณ กรุงปักกิ่ง ดูเตอร์เต้ก็ได้แถลงว่า เขาจะใช้โอกาศในการเดินทางเยือนประเทศจีนในครั้งนี้ ตัดความสัมพันะ์กับสหรัฐอเมริกา - พร้อมเปิดรับการร่วมมือกับประเทศจีนระยะยาว และทันที่ที่คำพูดของดูเตอร์เต้ถูกเผยแพร่ออกไป รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ออกมาตอบโต้ว่า ควรจะพูดให้กระจ่างกว่านี้ว่า จะตัดความสัมพันะ์กับสหรัฐในรูปแบบใดบ้าง...(http//www.pptvthailand, ดูเตอร์เต้ประกาศตัดความสัมพันธ์สหรัฐ, 21 ต.ค. 2559)
           คงต้องยอมรับกันว่าบทบาทของผุ้นำในอาเซียนที่เป็นที่สนใจของผุ้คนทั่วโลกมากที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา คือประธานาธิบดีคนใหม่ของฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตอร์ดต ที่แรงได้ใจ กล้าใช้คำหยาบคายกับผู้นำสหรัฐฯ อย่างที่ไม่เคยมีผุ้นำคนไหนของฟิลิปปินส์ทำได้มาก่อน
        ความสัมพันธ์ที่เขย่าภูมิภาคนี้ ความท้าทายที่สุดในปี 2560 ของผู้นำฟิลิปปินส์คือ การรักษาสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งจะช่วยหนุนเศรษฐกิจของประเทศและช่วยส่งเสริมสถานะของเขาจากกลุ่มธุรกิจและการเมืองระดับสูง (http//www.AEC10NEWS.com, 5 ม.ค. 2560)
  ประธานาธิบดีโรคริโก ดูเตอร์เตของฟิลิปปินส์ วัย 71 ปี ยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงจากประชาชนในประเทศ ถึงแม้นานชาติจะแสดงความกังวลในประเด็นที่เขาปราบปรามยาเสพติดอย่างรุนแรงเด็ดขาดจนทำให้มีผุ้เสียชีวิตมกถึง 5,000 คน หลังเข้ารับตำแหน่างผุ้นำประเทศคนใหม่เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เขาได้ตั้งคำถามถึงการเป็นพันธมิตรมาอย่างยาวนากับสหรัฐฯ และหันไปกระชับความสัมพันธ์กับจีนแทนซึ่งนับเป็น

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560

Ro-hing-gya III : Trafficking in Persons

              แนวคิดเรื่องการค้ามนุษย์ข้ามชาติ
              - ความหมายของการค้ามนุษย์ข้ามชาติ ในระดับสากล ควาหมายของการค้ามนุษย์ได้ถูกนิยามไว้ในพิธีสารเพื่อป้องกันปราบปรามและลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก เพิ่มเติมอนุสัาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมขช้ามชาติที่จัดตั้งในลัการะองค์การ กล่าวคือ
                    (ก)ให้การ "ค้ามนุษย์" หมายถึง การจัดหา การขนส่ง การส่งต่อ การจัดให้อยู่อาศัย หรือการรับไว้ซึ่งบุคคล ด้วยวิธีการขู่เข็ญ หรือด้วยการใช้กำลัง หรือด้วยการบีบบังคับในรูปแบบอื่นใด ด้วยการลักาพาตัว ด้วยการฉ้อโกง ด้วยการหลอกลวง ด้วยการใช้อำนาจโดยมิชอบหรือด้วยการใช้สถานะความเสี่ยงภัยจากการค้ามนุษย์โดยมิชอบ หรือมีการให้หรือรับเงินหรือผลประโยชน์เพื่อให้ได้มาซึ่งความยินยอมทของบุคคลผุ้มีอำนาจควบคุมบุคคลอื่น เพื่อความมุ่งประสงค์ในการแสวงหาประโยชน์ การแสวงหาประ
โยชน์อย่างน้อยที่สุดให้รวมถึงการแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีของบุคคลอื่นหรือการแสวงหาประโยชน์ทางเพศในรุปแบบอื่น การบังคับใช้แรงงานหรือบริการ การเอาคนลงเป็นทาสหรือการกระทำอื่นเสมือนการเอาคนลงเป็นทาส  การทำให้ตกอยู่ในบังคับ หรือการตัดอวัยวะออกจาร่างกาย
                    (ข)ให้ถือว่าไม่สามารถยกความยินยอมของผุ้เสียหายจากากรค้ามนุษย์ที่ให้กับการหาประโยชน์โดยเจตนาที่ระบุไว้ในวรรคก่อน ของข้อนี้ มาเป็นข้ออ้างในกรณีที่มีการใช้วิะีการระบุไว้ในวรรค (ก)
                   (ค) ให้ถือว่าการจัดหา การขนส่ง การโยกย้าย การให้ที่พักอาศัย หรือการรับไว้ซึ่งเด็กเพื่อความมุ่งประสงค์ในการแสวงหาประโยชน์ เป็น "การค้ามนุษย์" แม้ว่าจะไม่มีวิธีการใดๆ ที่ระบุไว้ในย่อหน้าย่อย(ก)ของข้อนี้
                   (ง) "เด็ก"หมายถึงบุคคลใดก็ตามที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี....
                   ศิริพร สโครบาเนค(2548) ให้ความหมายของการค้ามนุษย์ที่สัมพันธ์กับการลักลอบเข้าเมืองว่าผุ้ลักลอบขนของเข้าเมืองอาจจะช่วยจัดการเรื่องเอกสารเพื่อข้ามพรมแดนและจัดหาพาหนะ และวิธีการต่างๆ เพื่อให้ผู้ต้องการย้ายถ่ินสามารถข้ามพรมแดนได้ ผุ้ลักลอบขนคนเข้าเมืองต่างจากนักค้ามนุษย์ เพราะไม่มีเจตจำนงที่จะแสวงหาประโยชน์จากผุ้ลักลอบเข้าเมืองเมื่อถึงจุดหมายปรลายทง ส่วนการค้ามนุษย์สัมพันธ์กับการบย้ายถ่ินนั้นกล่าวว่า การค้ามนุษย์เป็นการส่งและการซื้อขายมนุษย์ ซึ่งสวนใหญ่
เป็นหญิงและเด็กเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ด้วยการใช้กำลังและการหลอกลวง การค้ามนุษย์จึงเป็นสวนหนึ่งของการย้ายถิ่น แต่แตกต่างกับการย้ายถ่ิน เพราะการค้ามนุษย์มีวัตถุประสงค์ที่เด่นชัดในการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบธรรมจากผุ้ที่ถูกค้าที่ต้องกลายเป็นเหยือ  และถูกลิดรอนสิทธิในความสามรถในการกำหนดตัดสินใจเลือกทางชีวิตของตนเอง และต้องดำรงชีวิตภายใต้การควบคุมของผุ้อื่น แต่เดิมเหยื่อของการค้ามนุษย์อาจจะถูกบังคับข่มขืนใจหรือลักพาตัวจากถ่ินฐานเดิมของตน แต่ในปัจจุบัน เหยื่อของการค้ามนุษย์อาจจะถูกบังคับข่มขืนใจหรือลักพาตัวจากถิ่นฐานเดิมของตน แต่ปัจจุบันเหยื่อของการค้ามนุษย์อาจจะตัดสินใจย้ายถิ่นด้วยความสมัครใจ แต่ถูกหลอกลวงในเรื่องประเภทของงานและรายได้และนักค้ามนุษย์อาจจะใช้วิธีการลักลอบพาเหยื่อเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ทำให้เหยื่อต้องกลายเป็นคนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเป็นแรงงานผิดกฎหมาย และเสียงต่อการถูกลงโทษจากเจ้าหน้าที่รัฐ   นอกจากนี้ยังกล่าวถึงองค์ประกอบที่สำคัญของการค้ามนุษย์ว่าประกอบไปด้วย 1) การจัดหา การขนส่งเคลื่อนย้าย 2) วิธีการล่อลวง ขู่เข็ญ รวมถึงการใช้อำนาจครอบงำ 3) วัตถุประสงค์เพื่อให้ยอมรับการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเอาเปรียบ ที่ครอบคลุมเรื่องการค้าบริหการทางเพศ และการใสช้แรงงาน รวมทั้งการบังคับให้ขอทาน และ 4) ขอบข่ายการค้ามนุษย์ครอบคลุมทั้งในและนอกประเทศ...(วิทยานิพนธ์, "กระบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติในประเทศไทย",บทที่ 2, หน้า 1-14.)
         
          ผุ้อพยพชาวโรฮิงจา มีทางเลือกไม่มากในการอพยพออาจาบ้านเกิดของตน บังคลาเทศไม่สามารถรองรับผู้อพยพที่เพิ่มจำนวนขึ้น รวมถึงนโยบายของรัฐพม่า จึงเหนือเส้นทางเดี่ยวที่อพยพออกาจากประเทศ คือ ลงเรือมุ่งหน้าสู่อ่าวเบงกอล โดยส่วนมากเกินทางต่อเนื่อมาถึงอันดามันเลียบชายฝั่งเข้าสู่ประเทศไทย บางส่วนอาจเดินทางต่อไปยังประเทศมาเลเซีย บางส่วนอาจไปถึงอินโดนีเซีย
          ความซับซ้อนของการอพยพด้วยการลักลอบข้มชายแดนมีมากขึ้น เมื่อผุ้อพยพต่างสมัครใจที่จะเดินทางโดยอาศัยเครือข่ายขบวนการนอกกฎหมาย อาจมีบางคนที่ถูกบังคับ แต่ส่วนใหญที่เดินทางเข้าโดยสมัครใจเมื่อเข้ามาถึงประเทศไทยกลับพบว่าตนเองกลับถูกควบคุม กักขังโดยคนของขบวนการอีกลุ่ม ที่พวกเขาพยายามติดต่อญาติพี่น้องให้ส่งเงินมาไถ่ตัวพวกเขา หลายคนโชคดีที่ญาตพี่น้องยอมทำตามและขบวนการก็ส่งตัวพวกเขาออกไป แต่โรฮิงจา
จำนวนมากไม่ได้โชคดีแบบนั้น พวกเขาถูกทุบตี ถูกทำร้ายร่างกาย อดอาหารหลายคนเสียชีวิต
           นับตั้งแต่มกราคม 2558 มีการจับกุมชาวโรฮิงจาในประเทศครั้งใหญ่ และเป็นการจับกุมที่ทำให้ลกายคนเร่ิมเห็นความรุนแรงที่ชาวโรฮิงจาต้องเผชิญระหว่างเกินทางเข้ามาในประเทศไทย คือการจับกุมเมื่อวันที่ 11 มกราคม พื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เป็นรถกระบะ 5 คน บรรทุกชาวโรฮิงจา 98 คน
           การพบหลุ่มฝัวศพ 32 หลุม และศพชาวโรฮิงจา 26 ศพ ในพื้นที่บ้นตะโล๊ะ ต.ปากังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ระหว่างวันที่ 1-2 พฤษภาคน 2558 เป็นสัญญาฯที่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการเผชิญหน้าปัญหาชาวโรฮิงจา และบางส่วนเป้นชาวบังกลาเทศที่อพยพเข้าในประเทศไทยของรัฐบาลในระยะเวลาที่ผ่านมา (http//www.komchadluek.net, 7 พ.ค. 2558 เส้นทางชีวิตโรฮิงญาจากบ้านเกิดสู่ความตาย)

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560

Ro-hing-gya II (Human RightsII)

           Statelessness ความไร้สัญชาติ เป็นข้อความคิดทางกฎหมายซึ่งพรรณนาถึงการที่บุคคลไม่มีสัญชาติ ใดๆ เลย กล่าวคือ สภาวะซึ่งบุคคลไม่เป็นที่รับรองว่าเกี่ยวข้องกับรัฐชาติรัฐใดๆ เลย บุคคลเช่นนี้เรียก คนไร้สัญชาติ 
       ไร้สัญชาติโดยนิตินับ เป็นกรณีที่บุคคล "ไม่มีรัฐใดนับวว่าเป็นผุ้ถือสัญชาติโดยผลของกฎหมายแห่งรัฐนั้นเลย"ผุ้ไร้สัญชาติโดยนิตินัยอาจเป็นผู้ลี้ภัยด้วยแต่มิใช่ว่าผู้ขอที่ลั้ภัยทุกคนจะไร้สัญชาติโดยนิตินัย
        ไร้สัญชาติโดยพฤตินัย เป็นกรณ๊ที่บุคคลไม่ได้อยู่ในรัฐที่ตนถือสัญชาติ และไม่อาจรับความคุ้มครองจากรับที่ตนกำลังอาศัยอยู่นั้ ซึ่งอาจเป้นผลมาจาการเบียดเบียนของรัฐ หรือการขาดความสัมพันธ์ทางทูตระหว่งรัฐทั้งสองดังกล่าว

        โดยปกติ สัญชาติได้มาโดยหลักสองประการคือ ดินแดน และ หลักสายโลหิต หลักดินแดนระบุว่าบุคคลเกิดในดินแดนของรัฐใด ย่อมได้สัญชาติของรัฐนั้น ส่วนหลักสืบสายโบหิตวส่าบุดามารดาถือสัญชาติใด บุคคลย่อมถือสัญชาติตามนั้นด้วย (http//www.th.wikipedia.org.ความไร้สัญชาติ)
            บทความ เรื่อง เรือมนุษย์ "โรฮิงญา"พวกเขาถูกจัดประเภทว่า"คนไร้รัฐ" โดยนารบัฒฑิต ไกรวิจิตร เผยแพร่เมื่อ 20 มีนาคม 2556 ..ส่วนหนึ่งของบทความ
            ".. ประเด็นปัญหา "โรฮิงจา ในประเทศไทยมาจากข้อกังวล คือ เกรงว่าคนจากที่อื่นจะเข้ามาสร้างปัญหาความั่นคงและความสงบเรียบร้อย และเกรงว่าคนจากที่อื่นจะเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรในการจัดบริการสาธารณะของรัฐทำให้เกิดทัศนะต่อโรฮิงญาว่าเป้นภัยของประเทศไทยประเภทหนึ่ง

              รัฐบาลไทยมีกรอบคิดต่อชาว"โรฮิงญา" จากคำนิยาม "สถานะของบุคคลตามกฎหมาย "ว่าไม่ใช้ "ผู้ลี้ภัย" เพราะจากากรย้ายถิ่นข้ามชายแดนประเทศไม่ได้มาจกาการถูก"การประหัตประหาร" โดยรัฐบาลหรือกลุ่มกองกำลังภายในประเทศพม่าโดยตรง จึงไม่ยอมรับ"สิทธิเพื่อลี้ภัย" รัฐจึงไม่ไใ้สิทธิในฐานะ"ผุ้ลี้ภัย"คำถามที่จะตามมาจึงเป็ฯการแสดงหาขอบเขตว่ารัฐไทยมีกรอบหน้าที่ในการจัดการปัญหาของชาวโรฮิงจาอย่างไร "สิทธิใดบ้างที่ชาวโรฮิงจาต้องได้รับการคุ้มครอง" และ "สิทธิใดบ้างที่แม้แต่คนต่างด้าวหรือไร้สัญชาติพึงได้รับการคุ้ครอง" ชาวโรฮิงจา ถือเป็นมนุษย์และบุคคลตามนิยามของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ทีต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิต่างๆ ตามทีกฎบัตรรับรองแน่นอน รัฐไทยในฐานะที่มีพันธกรณีอยู่กับกฎบัตรสิทธิมนุษชนย่อมมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและงดเว้นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวโรฮิงญา แต่ชาวโรฮิงญามิใช่พลเมืองสัญชาติไทยและถึงแม้ชาวโรฮิงจาไม่ใช่พลเมืองไทย และมีปัญหาทางเอกสารยืนยันในความเป็นสัญชาติพม่า แต่การจัดการปัญหาผุ้อพยพชาวโรฮิงจาจะต้องไม่ละเมิดสิทธิขึ้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ รัฐที่มีกฎหมายเป็นเครื่องมือสูงสุดในการปกครองประเทศตามหลัก "นิติรัฐ" จะต้องใช้กระบวนการแก้ไขปัญหาโดยไม่ขัดกับหลักความยุติธรรมของกฎหมาย คือ แนวทางที่นำไปสู่การสร้างบรรทัดฐานในการจัการปัญหาคนต่างด้าว ไร้สัญชาติ
            .... การปฏิบัติจากหน่วยงานรัฐที่มีต่อโรฮิงญา เช่น การประสานงานไปยังรัฐบาลพม่าเพื่อให้รับรองสิทธิความเป็นพลเมืองของผุ้อพยพ การไม่ให้ใช้สิทธิสากลเพื่อยอมรับสิทธิเป็น "ผู้ลี้ภัย" สื่อความหมาว่าโรฮิงญาอพยพปัจจุบันไม่มีรัฐควบคุม ปกครอง ในทางวิชาการเรียกพวเขาว่า "คนไร้รัฐ" และเรียกลักษณะปัญหานี้ว่า "สภาพไร้รัฐ" คือบุคคลที่ไม่รู้ว่าเป็นพลเมืองของรัฐใดดังนั้นจึงไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายของรัฐที่พวกเขาเข้าไปขออาศัยหรือซ่อนตัวซึ่งนักปรัชญาชาวอิตาลีชือ กิออริโอ อากัมเบน เรียกคนประเภทนี้ว่า "ชีวิตอันเปลื่ยเปล่า" คือ บุคคลหรื
อกลุ่มบุคคลที่ไม่มีกฎมายคุ้มครอง..ประเด็นสำคัญต่อการพิจารณาเรื่องชีวิตที่เปลื่อยเปล่าจากอำนาจรัฐจากมุมมองของอาัมเบนนั้นเท่ากับยอมรับว่าสภาพไร้อำนาจรัฐที่จะบังคับให้คุณให้โทษตอผุ้อพยพซึ่งผลในท้ายที่สุดแล้วจะกสภาวะอันเปลือยเปล่าผู้อพยพอาจจะถูกสังหารหรือทำร้ายก็ได้เพราะรัฐเมินที่จะมองมายังบุคคลที่เลป่ยหรือคนทีไร้รัฐ แต่ปัญหาคือ ผุ้อพยพโดยเฉพาะโรฮิงจานั้นไร้รัฐจริงหรือ พวกเขาไร้รัฐจริงหรือ...
.... การยอมรับว่ามีสภาพไร้รัฐ ทั้งจาแนวคิดอากัมเบน และแนวคิดของรัฐไทยผ่านคำอธิบายโดยกองอำนวยการรักษความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) (ไทยรัฐ 2566 ) และผุ้บัญชาการทหารเรือ (ผู้จัดการออนไลน์ 13 มีนาคม 2556) ปฏิบัติการภายใต้นโยบายของกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งสองแนวคิดนี้แนบกันได้เกือบสนิท และทำให้สภาพของชาวดรฮิวยากลายเป็นผู้ที่ไม่สามรถรับสิทธิความเป็นมนุษย์ในกฎหมายนานาชาติสากลได้ รัฐบาลไทยลอยตัวออกมาจากปัญหาและสามารถผลักดันชาวโรฮิงจา.."

     สำนักข้าหลวงใหญ่ผุ้ลี้ภัยสหประชาชาติ(UNHCR) แสดงความห่วงใยต่อเหตุการณ์ที่ได้มีการค้นพบศพจำนวนมากในค่ายของกลุ่มลักลอบขนคนเจ้ามเืองที่ภาคใต้ของประเทศไทยใสัปดาห์นี้ UNHCR เรียกร้องให้ประเทศในภูมิภาคร่วมือสร้างมาตรการต่อต้านการลักลอบขนคนเข้าเมือง และการค้ามนุษย์ในขณะเดียวกัน UNHCR มอบความคุ้มครองให้กับเหยื่อผุ้เคราะห์ร้าย 
           หน่วยงานของไทยได้แถลงถึงเหตุการณ์การพบศพประมาณ 30 ศพที่เชื่อว่าเป็นกลุ่มคนที่มีต้นกำเนิดจาประเทศพม่า และบังกลาเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการ สืบสวน ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นจากตำรวจแจ้งว่าสาเหตุการเสียชีวิตน่าจะมาจากความเจ็บป่วยและการถูกทำร้าย
               "มันเป็นเรื่องน่าสลดใจที่ได้รับรู้ว่าผู้คนที่ต้องหลบหนีความยากลำบากจากประเทศของตัวเอง เอาชีวิตมาฝากไว้ในมือของผุ้ลักลอบขนคนเข้าเมืองอันเหี้ยมโหด และต้องเสียชีวิตแทนที่จะได้รับความปลอดภัย" เจมส์ ลินซ์ ผุ้แทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลีภัย แห่งสหประชาชาิระดับภูมิภาคประจำประเทศไทย และผุ้ประสานงานสสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภััยแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าว นี้เป็นครั้งแรกของการพบหลุ่มฝังศพที่เกี่ยว้องกับบุลที่อยู่ในความห่วงใยของ UNHRC ในปีที่แล้ว UNHRC ทราบจากชาวโรฮิงญานับร้อยคนที่รอดชีวิตจาการถูกละเมิดอย่างรุนแรง และการถูกทอดทิ้งโดยผู้ลักลอบขนคนเข้าเมืองทางทะเลในอ่ายเบงกอล และในค่ายตามชายแดนไทย -มาเลเซีย บางคนเล่าว่าเคยเห็นคนเสียชีวิตจากการถูกเฆี่ยนตี และขาดอาหาร ข้อมูลนี้ได้รายงานไปยังรัฐบาลในประเทศต่างๆ เพื่อหามาตรการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนแล้ว
           
  ในประเทศไทย UNHCR ได้ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลบุคคลที่อยู่ในความห่วงใยซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้..เราให้ความช่วยเหลือผุ้รอดชีวิตจากการเข้าตรวจค้นค่ายของกลุ่มลักลอบขนคนเข้าเมือง โดยมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์เร่งด้วน เช่น ชุดอนามัย เสื้อผ้าและผ้าห้ม  นอกจากนี้เรายังทำการสัมภาษณ์ ช่วยค้นหาญาติพี่น้องที่พลัดพรากระหว่างเดินทางให้ได้อยู่ด้วยกันอีกคร้งให้คำปรึกษาด้านต่างๆ และดำเนินการเพื่อสร้างโอาสในการตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่ 3 สำหรับผู้ที่มีความเปราะบางมากที่สุด
            ในประเทศมาเลเซีย UNHCR ให้ความคุ้มครองต่อชุมชนชาวโรฮิงญา ผ่านการตรวจเยียมอย่างสม่ำเสมอและได้เข้าช่วยผุ้อพยพทางเรือให้ได้รับการปล่อยตัวจากศูนบ์กักกัน นอกจากนี้ ยังให้การสนับสนุนโครงการฝึกอาชีพ การพัฒนาชุมชน กิจกรรมเสริมสร้างทักษาะ และโครงกการการศึกษาให้กับชุมชนผุ้ลี้ภัย
             "การลักลอบขนคนเข้าเมืองเป็นปัญหาระดับภูมิภาคที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคครอบคลุมถึงประเทศที่เป็นแหล่งที่มา ประเทศทางผ่าน และประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทาง"นายลินซ์กล่าว"มาตรการบังคับยใช้กฎหมรยต้องใช้ควบคู่กับความพยายามในการลดความต้องการในการอพยพและลี้ภัยของชนกลุ่มนี้ตั้งแต่แรกเร่ิม รวมถึงการระบุต้นตอของปัญหาที่ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ต้องตัดสินใจเสี่ยงชีวิตของตัวเองกับการเดินทางที่เสียงอัีนตรายเช่นนี้" 
          ในรัฐยะไข่ ประเทศพม่าซึ่งเป็นแหล่วที่มาของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการลักลอบขนคนเข้าเมือง UNHRC ได้รณรงค์มาอย่างยาวนานและพร้อมที่จะทำงานร่วมกันในการแก้ไขปัยหาที่เกีิดขึ้น โดยตระหนักถึงสิทธิของทุกฝ่าย การปรองดอง ความเท่าเี่ยมกันทางเศรษฐกิจและสังคม และประเด็นที่เกี่ยนวข้องกับความเป็นพลเมือง ( http//www.unhcr.or.th หน้าแรก,ข่าว,)


วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560

Ro-hing-gya II (Human Rights)

     ณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ASEAN Intergovernmmental Commission on Human Rights-AICHR
             AICHR เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามข้อ 14 ของกฎบัตรอาเซียน ที่มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2552 ในช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียน ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเมือวันที่ 13 ตุลาคม 2552 แต่งตั้งให้ ดร.ศรีประภา เพชรมีศรี เป้นผู้แทนไทยใน AICHR โดยมีวาระ 3 ปี  ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552 -ตุลาคม 2555 โดยผู้แทนไทยฯ มีความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบาย โดยได้มีการปรึกษาด้านแนวนโยบายกับกระทรวงฯ เป็นระยะ ในช่วงที่ผ่านมา ผู้แทนไทยฯได้ดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม เรื่องสิทธิมนุษยชนทั้งภายนอกประเทศ และภายในประเทศ
            พัฒนาการและการดำเนินงานของ AICHR
            AICHR ได้มีการประชุมไปแล้ว 9 ครั้ง ในระยะยแรกของการำงาน ได้ใช้เวลาการวางรากฐานการทำงาน เพื่อการส่งวเาริมและคุ้มครองสิทะิมนุษยชนอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ โดย 1) การจัดทำไกล์ไลน์เพื่อกำหนดวิธีการดำเนินงาน 2) แผนงานกิจกรรม 5ปี 3)มีการหรือเกี่วกับการทำงานร่วมระหว่าง AICHR กับ ASEAN Commission for the Promotion and Protection of the Rights of Women and Children (ACWC)
            กิจกรรมของ AICHR ประกอบด้วย
            1 การศึกษาประเด็นสิทธิมนุษยชน 11 ประเด็น ซึ่งกำหนดทำการศึกษาปีละ 2 ประเด็น โดยในช่วงแรกเป็นเรื่อง  Corporate Social Responsibility and Human Rights เรื่อง Migration และ Right to Peace เปนตน
            2. การจัดเวิร์คชอป ร่วมกับองค์กรภายนอก
            3. การยกร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
            4. การจัดทำ Study of ASEAN blueprints from human rights perspectives
            5. การจัดอบรมระดับภูมิภาค
            6. การจัดทำสื่อเผยแพร่การทำงานของ AICHR ผาน website และ AICHR booklet
            7. การประชุมและสร้างปฏิสัมพันธ์กับองค์กรระหว่างประเทศ
            ชาวโรฮิงจา
            - กลุ่มโรฮิงจาที่เข้าร่วกับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในบังคลาเทศ RSO ในการต่อสู้เพื่อเอกราชจากรัฐบาลทหารพม่า กลุ่มนี้จะผ่านการฝึกและมีประสบการณ์ด้านการใช้อาวุธและความรุนแรง เป็นกลุ่มที่แยกตัวออกมาจาก Rohingya Patriotic Front (RPF) นำโดยนายแพทย์ชาวพม่าอารกัน ดร.มูฮาเมด ยูนุส เป้นกลุ่มติดอาวุธที่มีบทบาทอยู่ในบังคลาเทศและตามแนวชายแดนบังคลาเทศ-พม่า จากการที่กลุ่มนี้มีการเคลื่อนไหวในลักษณะปฏิบัติการเพื่ออิสรภาพ กลุ่มนี้จึงเป็นมุสลิมหัวรุนแรงที่ได้รับการสนับสนุนจาโลกมุสลิมในปัจจุบัน
            - โรฮิงยาที่เป็นอาชญากรข้ามชาติ ในเรื่องการลักลอบนำบุคคลต่างด้าวไปประเทศที่สาม การทำเอกสารปลอม การค้าอาวุธ และการค้ายาเสพติด ทั้งนี้การดำเนินการของกลุ่มนี้เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของกลุ่ม RSO (ด้านเงินทุนและด้านอื่นๆ เมื่อต้องการ) และเป็ฯการหารายได้จากกลุ่มที่สองในรูปแบบของการช่วยเหลือการเดินทางไปประเทศที่สาม โดยมีเครื่อข่ายในประเทศไทย มาเลเซีย ออสเตรเลีย แคนาดา อังกฤษ และฝรั่งเศส
           - กลุ่มโรฮิงยาที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมุสลิมหัวรุนแรง เป็นกลุ่มที่หนีชีวิตความเป็นอยุ่ที่ยากแค้น และต้องการหาชีวิตที่ดีกว่า กลุ่มนี้เดินทางข้ามพรมแดนพม่าเข้าสู่บังกลาเทศ เพื่อพบกับตัแทน หรือเครื่องข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่เมืองด๊อกซ์บาซาร์หรือจิตตะกอง แล้วจึงลงเรือมุ่งหน้าสู่ประเทศไทย เพื่อขึ้นฝั่งที่จังหวัดระนอง หรือพังงา โดยมีนายหน้ารอรับขึ้นฝั่งประเทศไทย มีจุดมุ่งหมายปลายทางมุ่งหน้าสู่มาเลเซียเป็นหลัก สำหรับขบวนการนี้มีการจัดการอย่างเป็นระบบโดยมีนายหน้าชาวพม่าโรฮิงจาที่อยุ่ประเทศไทยเป็นผุ้ติดต่อประสานงานกับนายหน้าชาวไทย และเจ้าหน้าที่รัฐเพื่ออำเนินการต่อไป
           รัฐบาลพม่าภายใต้การปกครองของนายอูนุ มีความขัดแย้งกันในแนวความคิดทางการเมือง นายอูนุถูกกดดันจาฝ่ายทหารพม่า จำเป็นต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง รัฐบาบของนายอูนุออกกฎหมาย เพื่อเอาใจชนกลุ่มน้อย และชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชนเชื้อสายจีนและอินเดียเพื่อให้สิทธิเป็นพลเมืองพม่าได้ นายอุนุเดินทางไปรัฐอารกัน และรับปากกับชาวอารกันมุสลิมว่าจะให้พื้นที่แก่ชาวมุสลิมจัดตั้งเขตปกครองตนเองในรัฐอารกันขึ้นตรงกับกรุงย่างกุ้ง ให้มีารยการวิทยุโรฮิงจากระจายเสียงเป้นภาษาเบงกาลีและเรียกชาวมุสลิมในอารกันว่า "โรฮิงยา"เป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม นายอูนุไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง พร้อมทังยกเลิกรายการวิทยุโรฮิงยา และประกาศว่าประเทศพม่าเป็นประเทศพุทธศาสนา
          รัฐบาล นายพล เน วิน ยึดอำนาจพม่าและตั้งรัฐบาลสังคมนิยมพม่า ใช้ระบบสังคมนิยมปกครองประเทศ ยุบพรรคการเมืองต่างๆ สังหารและจับกุมผุ้นำฝ่ายค้าน และผุ้ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ยกเลิกพันธกรณีต่างๆ สมัยนายอูนุเคยสัญญาไว้ ตลอดจนส่งกำลังโจมตี กองกำลังคอมมิวนิสต์ และกองกำลังโรฮิงยา นายพล เน วิน ขับไล่ชาวจีน ชาวอินเดียและชาวบังคลาเทศ ซึงส่วนใหญ่เป็นักธุรกิจระดับประเทศ/ระดับท้องถิ่นกลับประเทศ โรฮิงจาถูกขับไล่ไปอยู่มี่เมืองด๊อกซ์บาซาร์ของบังคลาเทศซึ่งอยู่ชายแดนติดกับรัฐอารกันของพม่า บังคลาเทศแยกตัวจากปกรีสถานเป็นประเทศใหม่สงผลให้ชาวเบกาลีอพยพเข้ามาในรัฐอารกันเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากในห้วงเวลาดังกล่าวเศรษฐกิจพม่ากำลังรุ่งเรือง พล.อ.เน วิน มีโครงการสำรวจสำมะโนประชากร ออกกฎหมายให้คนจีนและอินเดียที่อยู่ในประเทศพม่าเกินกว่า 10 ปี ได้รับสัญชาติพม่า แต่ไม่รวมชาวโรฮิงยาในรัฐอารกันต่อมา รัฐบาลทหารพม่าออกกฎหมายขับไล่คนที่ไม่มีสัญชาติ รวมทั้งชาวโรฮิงยาออกนอกประเทศ ซึ่งมีชาวมุสลิมโรฮิงจาถูกผลักดันออกนอกประเทศกว่างสองแสนคนแต่บังคลาเทศไม่ยอมรับคนเหล่านี้
           รัฐบาลทหารพม่าและบังคลาเทศร่วมกันแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงยา โดยเปิดค่ายผุ้อพยพบริเวณชายแดนพม่า-บังคลาเทศ มีชาวโรฮิงยาเดินทางมาอยู่ในค่ายผุ้พยพกว่าสามแสนคน เนื่องจากชาวเบงกาลีที่เป็นชนพื้นเมืองส่วนใหญ่ไม่ต้องการอยู่ในบังกลาเทศ รัฐบาลทหารพม่าได้ออกมาตรการพิสูจน์สัญชาติผุ้อพยพ หากพบว่ามีบิดามารในรัฐอารกันจะให้สัญชาติพม่า กระทั่งปี 2525 รัฐบาลทหารพม่าประกาศยกเลิกค่ายผุ้อพยพชาวโรฮิงยาทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2548 รัฐบาลบังคลาเทศระบุว่ามีผุ้อพยพชาวโรฮิงยาในบังคลาเทศ จำนวน 20,000 คน แต่ในความเป้นจริงมีชาวโรฮิงยาถือสัญชาติบังกลาเทศในบังคลาเทศกว่า 200,000 คน ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ โดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้เข้าไปจัดตั้งสำนักงานและค่ายผุ้อพยพอยู่ทีเมืองค๊อกซ์บาซาร์ของบังคลาเทศและได้จัตั้งศูนย์อพยพบริเวณชายแดนบังคลาเทศ-พม่า อีก 3 แห่ง
            จากสภาพการกดขี่และบับบังคับมุสลิมโรฮิงยาตลอดจนการปล่อยข่าวเกี่ยวกับช่องทางในการทำงานและสภาพการดำรงชีวิตที่ดีกว่าในศูนย์ดพยพที่เมืองค๊อกซ์บาซาร์ของรัฐบาลบังคลาเทศ ส่งผลให้มุสลิมโรฮิงยาเริ่มอพยพหลบหนีออกจากศูนย์อพยพที่บังกลาเทศ และ จังหวัดมองดอ มาขึ้นฝั่งไทยที่จังหวัดระนอง ครั้งแรกในปี 2541 จำนวน 104 คน และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
            พ.ศ. 2552 ชาวโรฮิงจากว่า 2,000,000 กระจายอยู่ในประเทศต่างๆ สามารถรวมตัวจัดตั้งเป็นกลุ่มหรือองค์กร เช่น กลุ่มสมาคมชาวพม่าโรฮิงจาในไทย (Burma Rohingya Association in Thailand - BRAT) กลุ่มองค์กรชาวพม่าโรฮิงยาในอังกฤษ(Burma Rohingya Organization in UK - BROUK) กลุ่มสมาคมชาวพม่าโรฮิงจาในญี่ปุ่น (Burma Rohingya Association in Japan – BRAJ) และกลุ่ม Arakan Rohingya National Organization - ARNO) ฯลฯ โดยกลุ่มชาวโรฮิงจาเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชน การเรียกร้องสิทธิในการเป็นราษฎรในรัฐอารกันของพม่ และดูแลช่วยเหลือชาวพม่าโรฮิงยามที่อยู่ในต่างแดน รวมทั้งสนับสนุนด้านการเงินแก่กองกำลังติดอาวุธชาวมุสลิมโรฮิงยาที่เคลื่อนไหวบริณชายแดนพม่า-บังคลาเทศ
            รัฐบาลทหารพม่ามีความชิงชังต่อโรฮิงยาที่เป็นทหารรับจ้างของอังกฤษต่อสู้กับพม่าจนตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เมื่อรัฐบาลพม่าได้รับอิสรภาพ จึงได้ดำเนินการกวาดล้างชนกลุ่มน้อยต่างๆ ในประเทศอย่างหนัก จากความสำคัญของปัญหา พอสรุปเป็นประเด็นๆ ดังนี้
           - มุสลิมโรฮิงจาเป็นกลุ่มชนที่ถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และถูกกดขี่มากที่สุดกลุ่มหนึ่ง
           - รัฐบาลพม่าไม่ยอมรับชาวโรฮิงจาเป็นประชาชนชาวพม่า โดยให้เหตุผลทางด้านศาสนาและชขาวโรฮิงจาส่วนใหญ่ไม่ยอมใช้ภาษาพม่าในการสื่อสาร
           - รัฐบาลทหารพม่าออกกฎหมายว่าด้วยความเป็นพลเมืองของพม่าปี พ.ศ. 2525 ซึ่งกำหนดว่าหากกลุ่มใดมีความเกี่ยวข้องกัีบขบวนการชนกลุ่มน้อยจะถูกตัดขาดจากการเป็นพลเมืองและต้องหลบหนีอพยพออกนอกประเทศ
          - พม่าและบังคลาเทศมีข้อพิพาทในการสร้างท่อก๊าซในรัฐอารกัน โดยบังคลาเทศคิดว่าการสร้างท่อก๊าซดังกล่าวเป็นการบีบให้ชาวโรฮิงจาไม่มีที่อยู่อาศัยและต้องอพยพเข้าไปในประเทศบังคลาเทศ
          - การปล่อยข่าวในค่ายอพยพเพื่อให้เกิดการอพยพสู่ประเทศที่ 3
          รัฐบาลพม่าที่มาจากการเลือกตั้ง 19 ธันวาคม 2559 มาเลเซีย กล่าวว่า ชะตากรรมของชาวมุสลิมโรฮิงญาในพม่าเป้นความวิตกกังวลในระดับภูมิภาค และเรียกร้องให้สมาคมประชาชาติแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ประสานความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และสืบสวนข้อกล่าวหาการทำคความรุนแรงต่อชาวโรฮิงจา
          นายอานิฟาห์ อามัน รัฐมนตรต่างประเทศมาเลเซีย กล่าวในที่ประชุมกลุ่ม 10 ชาติสมาชิกในนครย่่างกุ้ง ตามคำเชิญของนางอองซาน ซูจี หลังมีรายงานเกี่ยวกับว่า กองทัพได้สังหาร ขช่มขืน และจับกุมพลเรือนโรฮิงญาหลายสัปดาห์ แต่พม่าปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยระบุว่ารายงานไม่เป็นความจริง และยืนยันว่าปัญหารัฐยะไข่เป็นเรื่องภายใน และเพื่อที่ขจึดแรงกดดันทางการทูตต่อวิกฤตโรฮิงญา รัฐบาลพม่าได้เชิญคณะสื่อมวลชนที่ผ่านการคัดเลือกลงพ้นที่ที่ไดัรับผลกระทบ
            นายอานิฟาห์ อามัน กล่าวว่า เหตุการณ์ในรัฐยะไข่เป็นเราื่องความปลอดภัย และความมั่นคงของภูมิภาค ชี้ว่ามีชาวโรฮิงญาราว 56,000 คน อาศัยอยู่ในมาเลเซียตอนนี้
             "เราเชื่อว่าสถาการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความวิตกกังวลของภูมิภาคในตอนนี และควรที่จะได้รับการแก้ไขร่วมกัน" อานิฟาห์ กล่าวต่อที่ประชุม และเสริมว่าความคืบหน้าในการปรับปรุงสิทธิมนุษยชนของโรฮิงญาค่อนข้างช้า เนื่องจากยังเต็มไปด้วยรายงานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิที่เกิดในรัฐยะไข่ และยังเตือนว่า กลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลามอาจใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้


             ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย กล่าวว่า ทุกคนรู้สึกยินดีต่อการประชุมในวันนี ที่อธิบายว่าเป็นการบรรยายสรุปของพม่าต่อสถานการณ์ในรัฐยะไข่ ส่วนรัฐมนีต่างประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า พม่าตกลงที่จะให้ข้อมูลเป็นประจำต่อสมาชิกอาเซียน และได้ให้คำมั่นว่าจะเปิดการการเข้าถึงสำหรับการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
             ด้านรัฐบาลพม่า ระบุว่า ผู้ก่อความไม่สงบที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีด่านชายแดนใกล้ชายแดนบังคลาเทศ ทางเหนือของรัฐยะไข่ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มหัวรุนแรงในต่างประเทศ
               กองกำลังทหารพม่าได้ระดมกำลังลงพื้นที่ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมนับตั้งแต่เกิดการโจมตีที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 9 นาย ตั้งแต่วันที่ 9 เดือนตุลาคม เป็นต้นมา มีผุ้เสียีวิตอย่างน้อย 86 คน และชาวโรฮิงญาราว 27,000 คน ได้หลบหนีเข้าไปในบังคลาเทศ ซึ่งบรรดาผุ้ลี้ภัย ประชาชน และกลุ่มสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ทหารพม่ากระทำการสังหาร ข่มขืนผู้หญิงโรฮิงญา และเผ่าบ้านเรือน
            ประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่ทางเหนือของรัฐยะไข่ เป็นชาวมุสลิมโรฮิงจาที่ถูกปฏิเสธสิทธิความเป็นพลเมืองในพม่า และถูกพิจารณาว่าเป็นผุ้อพยพผิดกฎหมายจากบังคลาเทศ ผุ้สังเกตการณ์และองค์กรสื่ออิสระไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปในพื้นที่ปิดล้อม ที่ชุมชนชาวโรฮิงญาบางส่วนถูกตัดขาดจาหน่วยงานความช่วยเหลือ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงเป็นเวลามากกว่า 2 เดือน ซึ่งเพิ่มความวิตกเกี่ยวกับสวัสดิการของประชาชนที่ประสบต่อภาวะขาดสารอาหารที่มีอัตราสูงมาก
             กลุ่มผู้สื่อข่าวที่ได้รับเลือกโดยกระทรวงข้อมูลข่าวสารจะเป็นตัวแทนสือในประเทศและต่างประเทศ มีกำหนดเดนทางไปเยือนเมืองหม่องตอพื้นที่หลักของความขัดแย้ง แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้เชิญสื่อที่รายงานข่าวเกี่ยกับข้อกล่าวหาการละเมิด ซึ่งรวมทั้งรอยเตอร์ 
                  ความพยายามที่จะโต้แย้งข้อกล่าวหาของการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกองทัพต้องล้มเหลวไปจาการเผยแพร่รายงานโดยองค์การนิรโทษกรรมสากล ที่กล่าวหาว่า การรณรงค์ความรุนแรงของพม่าต่อชาวโรฮิงญาอาจเปรียบได้กับการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ขณะที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนยังอ้างภาพถ่ายดาวเทียม และคำให้การของชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่และบังกลาเทศ ท่ามกลางการละเมิดสิทธิชนต่างๆ ยังกล่าวหาว่า มีการอุ้มหายผุ้สูงอายุและแกนนำศาสนาในเมืองหม่องตอ
                  "ขณะที่ทหารเป็นผุ้รับผิดชอบโดยตรงต่อการละเมิด อองซานซูจี ก็ล้มเหลวที่จะดำเนินการด้วยความรับผิดชอบทั้งทางศีลธรรม และทางการเมืองในความพยายามที่จะหยุดยั้ง และประณามส่ิงที่ปรากฎออกมาให้เห็นในรัฐยะไข่" ผุ้อำนวยการองค์การนิรโทษกรรมสากล ประจำภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก ระบุในคำแถลงฉบับหนึ่ง.(http//www.manager.co.th หน้าแรกผู้จัดการ Online, มาเลเซียร้องอาเซียนประสานความช่วยเหลือแก่ชาวโรฮิงจาในพม่า)
               

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560

Ro-hing-gya

           อาระกัน หรือยะไข่ในปัจจุบัน มีชื่อย่างเป็นทาการว่า รัฐระไคน์ หรือ"ยะไข่" ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศพม่า มีเมืองหลวงขื่อ ชิตตะเว่ ในอดีตเคยเป็นอาณาจักรที่ปกครองตัวเองอย่างอิสระ มีอาณาเขตติดต่ออนุทวีปจนถูกมองว่าเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอินเดียตอนใต้
         
  ศาสนาอิสลามมีความรุ่งเรืองในยะไข่ในช่วศตวรรษที่ 14-16 ในช่วงราชวงศ์มรัคอู ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญของอ่าวเบงกอลระหว่างศตวรรษที่ 7-17  และเป็นด่านหน้าในสงครามอังกฤษ-พม่าในยุคล่าอาณานิคม ต่อเนืองมาถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่น ด้วยลักษณะทางภูมิรัฐศาสตร์ดังกล่าว การพัฒนาทางประวัติศาสตร์ของยะไข่ก่อนยุครัฐชาติสมัยใหม่จึคงเกิดขึ้นท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรมและพลวัตทางเศรษฐกิจการเมือง
         ความขัดแย้งเริ่มก่อตัวจากปัญหาเศรษฐกิจ เมื่ออังกฤษสนับสนุนให้คนอินเดียจำนวนมากที่เป็นชาวมุสลิมอพยพเข้าสู่พม่า และขับคนท้องถ่ินออกจากพื้นที่เศรษฐกิจ ต่อมาในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องอิสรภาพพม่ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศราฐกิจระหว่างชาวอินเดียกับชาวพม่าได้เชื่อมโยงเข้ากระบวนการทางเมืองภายใต้แนวคิด "ชาตินิยมแนวพุทธแบบพม่า" แนวคิดและปฏิบัติการต่อต้านชาวอินเดียได้แพร่กระจายไปยังพื้นที่เศรษฐกิจทั่วไปในพม่าเมื่อขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านไม่แยกแยะระหว่างมุสลิมอินเดียกับมุสลิมพม่า การต่อต้านชาวมุสลิมแบบเหมารวมจึงได้แพร่ขยายออกไปในเวลานั้น และได้พัฒนาไปสู่ความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม-โรฮิงญาในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นโดยการสนับสนุนของชขาวพุทธพม่าได้ทำสงครามกับอังกฤษ ซึ่งมีความใกล้ชิดและได้รับการสนับสนุนจากชาวมุสลิม-โรฮิงญา
             ต่อมาเมือปลายทศวรรษที่ 1940 ประเทศต่างๆ เข้าสู่กระบวนการประกาศเอกราชจากอาณานิคม ชาวมุสลิม-โรฮิงญาในยะไข่ได้แสดงเจตนารมณ์ในการขอแยกตัวเป็ฯอิสระจาพม่าเนื่องจากมีความแต่ต่างทางศาสนาและวัฒนธรรม นอกจากนี้ความขัดแย้งยังเกิดจากการก่อตัวของแนวคิดการรวมชาติอิสลาม ดังจะเห็นได้จากข้อเรียกร้องให้รวมยะไข่ตอนเหนือเข้าเป็นส่วนหนึค่งของปากีสถาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
             เมื่อพม่าได้รับเอกราชในปี 1948 ยะไข่จึงถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของพม่า อัตลักษณ์ของชาวมุสลิม-โรฮิงญาปะทะเข้าโดยตรงกับชาติพม่าที่ตีความ"ความเป็นชาติ" โดยผนวกรวมระหว่างเชื่อชาติพม่าเข้ากับศาสนพุทธ ในขณะที่ชาวมุสลิม-โรฮิงญาก็ยังคงเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิปกครองตนเองรัฐบาพม่าจึงกล่าวหาคนกลุ่มนี้ว่าเป็นชาวต่างชาติที่ไม่มีพื้นเพในพม่า
             การกบฏโรฮีนจาในพม่าตะวันตก เป็นความขัดแย้งต่อสู้กันด้วยอาวุธระหว่างรัฐพม่ากบชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮีนจาโดยมุ่งหมายแยกภูมิภาคชายแดนมายูในรัฐยะไข่ซึ่งมีประชากรโรฮีนจาอาศัยอยู่ออกจาพม่าตะวันตก แล้วผนวกเข้ากับปากีสภานตะวันออกซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่เพิ่งตั้งใหม่ปัจจุบันคือบังคลาเทศ ต่อมาในช่วงสงครามปลอปล่อยบังคลาเทศ และเหตุจลาจลในรัฐยะไข่ตามลำดับ โดยมีความมุ่งหมายจัดตั้งส่วนเหนือของรัฐยะไข่เป็นรัฐเอกราชหรือรัฐปกครองตนเองและล่าสุดกับการปราบปรามชาวโรฮิงจากับรัฐบาลพม่าที่มาจากการเลือกตั้ง
            พ.ศ. 2490-2504 มุญาฮีดีนในยะไข่ การต่อสู้เริ่มจากการจักตั้งพรรคกาการเมืองญามีอะตุล อูลามาเอ-อิสลาม นำโดยออมราเมียะห์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากอุลนาร์ โมฮัมหมัด มูซาฮิดข่าน และโมลนาร์ อิบราฮิม ความพยายามของกลุ่มญาฮิดีนเพื่อที่จะรวมเขตชายแดนมายู ซึ่งเป็ตำบลหนึ่งในรัฐยะไข่เข้ากับปากีสถานตะวันออกก่อนการประกาศเอกราชของพม่า มีผู้นำชาวมุสลิมในยะไข่ไปพบมูฮัมหมัด อาลี จินนาห์ ผู้ก่อตั้งปากีสถานเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2489 เพื่อขอความช่วยเหลือในการผนวกมายูเข้ากับปากีสถารน สองเดือนต่อมา มีการจัดตั้งสันนิบาตมุสลิมยะไข่เหนือในอักยับ(ปัจจุบันคือ ซิตตเว เมืองหลวงของรัฐยะไข่) เพื่อแสดงควาต้องการที่จะรวมเข้ากับปากีสถาน แต่จินนาห์ปฏิเสธข้อเสนอในที่สุด
           ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลกลางพม่าปฏิเสธที่จะแยกรัฐมุสลิมในเขชตมายูซึ่งมีเมืองบูตีคองและเมืองหม่องต่อในที่สุด กล่มมุสลิมมุญาฮิดีนในยะไข่เหนือได้ประกาศ "ญิฮาด"ต่อพม่า กองทัพมุญาฮิดีนได้เร่ิมสู้รบในเมืองบูตีดองและหม่องด่อที่อยู่ตามแนวชายแดรระหว่งพม่ากับปากีสถานตะวันออก อับคุล กาเซมเป็นผุ้นำกองทัพมุญาฮิดีน ภายในเวลาไม่กี่ปี กลุ่มกบฎมีความก้าวหน้าไปมาก ยึดครองหมู่บ้านในยะไข่ได้หลายหมู่บ้าน ชาวยะไขช่ในเมืองทั้งสองถูกบังคับให้ออกจากบ้าน ในเดือนมิถุนายน  พ.ศ. 2492 การควบคุมของรัฐบาลในเมืองอักยับได้ลดลง ในขณะที่กลุ่มมุญาฮิีดนเข้ายึงครองยะไข่เหนือ รัฐบาลพมาได้จับกุมกลุ่มมุญาฮิดีนที่พยายามจะอพยพชาวเบงกอลเข้ามาในรัฐยะไข่อย่างผิดกฎหมาย เนื่องจากประชากรล้นเกินในปากีสถานตะวันออก
       รัฐบาลพม่าประกาศกฎอัยการศึกในเดือนพฤศจิการยน 2491 เมื่อกบฎลุกลาม  พระภิษุชาวยะไข่ได้ออกมาประท้วงในย่างกุ้งเพื่อต่อต้านกลุ่มมุญาฮิดีน ผลของการกดดันในรัฐบาลพม่าออก "ปฏิบัติการมรสุม" กลุ่มมุญาอิดีนจำนวนมากถูกจับกุมและหัวหน้ากลุ่มถูกฆ่า ทำให้กิจกรรมของกลุ่มลดลงไปกลายเป็นกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มที่ก่อการร้ายในภาคเหนือของรัฐยะไข่..มีการเจรจาระหว่างพม่ากับปากีสถานเกี่ยวกับกบฎตามแนวชายแดน ทำให้ความหวังของกบฎลดน้อยลง ในวันที่ 15 พฆศจิกายน พ.ศ. 2504 กลุ่มกบฎมุญาฮีดีนกลุ่มสุดท้ายในบูตีดองถูกกองทัพพม่านำโดยอองจีจับกุมได้ หลังจากรัฐประหารของนายพลเน วิน พ.ศ. 2505  กิจกรรมของกลุ่มมุญาฮิดีนลดลงและเกือบจะหายไป
          พ.ศ.2514-2431 ขบวนการอิงศาสนาอิสลามโรฮีจา ขบวนการทางทหารที่ใช้ความรุนแรง ระหวว่างสงครามปลอปล่อยบังคลาเทศปี พ.ศ. 2514 โรฮีนจาที่อยู่ใกล้แนวชายแดนได้สะสมอาวุธจากสงคราม ปี 2515 หัวหน้ากลุ่มกบฎมูญาฮิดีนที่เหลืออยู่ได้จักตั้งพรรคปลดปล่อยโรฮีนจา เมื่อถูกปรอบปรามจาก
กองทัพพม่าก็หนีไปบังคลากเทศ หลังจากนั้นได้มีการจัดตั้งแนวร่วมดรฮีนจารักชาติ รัฐบาลทหารของนายพลเนวิน ได้จัดยุทธการราชามังกรในยะไข่เพื่อตรวจสอบผู้อพยพที่ผิดกฎหมายท่อาศัยอยู่ในพม่า ชาวโรฮีนจาถูกผลักดันไปยังแนวชายแดนบังคลาเทศ มีการลุกฮือของชาวโรฮินจาตามแนวชายแดน แนวร่วมโรฮีนจารักชาติ RPF ถือโอกาสเข้าปลุกระดม ต่อมากลุ่มกัวรุนแรงได้แยกตัวออกาจาก RPF และจัดตั้งองค์การความเป็นปึกแผ่นโรฮีนจา RSO ต่อมาเป็นองค์การหลักของโรฮีนจาตามแนวชายแดนพม่า-บังคลาเทศ  RSO ประกาศตนเป็นองค์กรทางศาสนาจึงได้รับการสนับสนุนจาโลกมุสบลิมในบังคลาเทศ ปากีสถาน อัฟกานิสถาน จากรัฐชัมมูและกัศมี มาเลเซีย
           พ.ศ. 2531-2554  ค่ายทหารของ RSO ตั้งอยู่ทางใต้ของบังกลาเทศ มีการส่งอาวุธจาฏอลิบานในตามแนวชายแดนพม่า-บังคลาเทศ  มีการส่งทหารไปฝึกในอัฟกานิถาน การขยายตัวของ RSO ในช่วงปี 2533 ทำให้รัฐบาลพม่าเข้ามากวาดล้างตามแนวชายแดนพม่า-บังคลาเทศ ซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดกับบังกลาเทศ ในปี 2535 ชาวโรฮีงจากว่า สามแสนคนถูกผลักดันให้ออกจากยะไข่ซึ่งเหตุการณ์นี้ถูกประณาจากซาอุดิอาระเบีย ในปี พ.ศ. 2541 สมาชิก RSO และแนวร่วมอิสลามโรอีนจาอาระกัน ARIF ได้รวมเข้าด้วยกัและจัดตั้งสภาแห่งชาติโรฮีนจา และกองทัพแห่งชาติโรฮีนจา และยังจัดตั้งองค์กรแห่งขาติโรฮีนจาอาระกัน ARNO เพื่อจัดการกับกลุ่มโรฮีนจาที่มีความแตกต่างกัน เข้ามาเป็นกลุ่มเดี่ยว ซึ่งมีรายงานว่ากลุ่ม ARNO มีความเกี่ยวพันกับอัลกออิดะห์ (wikipedia : การกบฎโรฮีนจาในพม่าตะวันตก)
       พ.ศ. 2555 การจลาจลที่รัฐยะไข่ เป็นเหตุการพิพาทระหว่างชาวยะไข่พุทธและมุสลิมโรฮีนจาทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ แต่ต่อมามุสลิมทุกชาติพัรธ์ในพม่าเริ่มตกเป็นเป้า เหตุจลาจลเกิดขึ้นหลังข้อพิพาททางศาสนาหลายสัปดาห์และถูกประณามโดยประชาชนทั้งสองฝ่าย สาเหตุของเหตุจลาจลที่แน่นอนยังไม่ชัดเจน ขณะที่นักวิจารณ์หลายคนอ้างว่า ชาวยะไข่สังหารมุสลิมพม่าสิบคนหลังเกิดการข่มขืนและฆ่าสตรีชาวยะไข่เป็นสาเหตุหลัก รัฐบาลพม่าตอบสนองโดยกำหนดการก้ามออกจากเคหสถานเวลาค่ำคืน และประการศสภานการณ์ฉุกเฉินในเวลาต่อมา ตัวเลขผู้เสียชีิวิตอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 88 คน เป็นมุสลิม 57 คน และชาวพุทธ 35 คน ประเมินว่าประชากรกว่าแสนคน พลัดถ่ินจากความรุนแรงนี้ บ้านเรือนถูกเผากว่า 2,500 หลัง กองทัพและตำรวจพม่าถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทนำในการจับกุมหมุ่และใช้ความรุนแรงตามอำเภอใจต่อชาวโรฮีนจา (wikipedia. เหตุจลาจลในรัฐยะไข่)
             1 เมษายน 2558 ประธานธิบดีติน จ่อ จากพรรคสันนิบารแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย NLD พร้อมด้วย นายมิ้น ส่วย รองประธานาธิปดีโควต้ากองทัพ และรองประธานาธิบดีคนที่สอง นายเฮนรี แวน เทียว จากกลุ่มชาติพันธ์ เข้าสาบานตนรับตำแหน่ง ซึ่งเป็นประธานาธิปดีของพม่าในรอบกว่า ห้าสิบปีที่เป็นพลเรือน
             นางออง ซาน ซู จี นั่งตำแหน่งรัฐมนตรี คุมทั้งกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน กระทรวงศึกษาธิการและสำนักประธานาธิบดี พรรคเอ็นแอลดียังเสนอตำแหน่งพิเศษ "ที่ปรึกษาแห่งชาติ" ในนางซู จี เพื่อให้เป็นผุ้ประสานงานระหว่างประธานาธิบดีกับรัฐสภา กำกับดูแลการประชุมร่างกฎหมายและงบประมาณ
             รัฐบาล NLD ยังตั้งกระทรวงกิจการชาติพันธ์ุขึ้นเป้ฯครั้งแรก สะท้อนเป้าหมายการสร้างสันติภาพ จากเดิมกลุ่มชาติพันธ์ุมักไม่ได้รับความสนใจให้เป็นวาระสำคัญสูงสุด  (ข่าวสด 3 เมษายน 2559,ข่าวสดรายวัน, สกู๊ปพิเศษ, รัฐบาลพม่าชุดใหม่ อนาคตทหารและปชต.)
            อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ชี้ว่าความสำเร็จของรัฐบาลเมียนม่าร์ชุดใหม่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับกองทัพด้วยเช่นกัน เนื่องจากาภายใต้รัฐธรรมนูญของเมียนม่าร์ กองทัพยังเป็นผู้ครอบครองที่นั่ง 1 ใน 4 ในรัฐสภา รวมทั้งตำแหน่างรัฐมนตรีในกระทรวงสำคัญ เช่นมหาดไทยและกลาโหม นักวิเคราะห์ แห่งมหาวิทยาลัย Macquarie ในออสเตรเลีย ในความเห็นว่าประชาธิปไตยของเมียนม่าร์ยังไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบอย่างที่คาดหวัง เพราะทหารยังคงมีบทบาทอย่างมากทั่งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ถึงกระนั้นก็ถือเป็นช่วงเวลาพิเศษสำหรับความก้าวหน้าด้านประชาธิปไตยในเมียนม่าร์
            นักวิเคราะห์ยังชี้ให้เห็นว่าสิ่งสำคัญที่นางออง ซาน ซูจี ต้องทำหน้าที่คุมระทรวงต่างๆ เหล่านั้น โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ เพราะจะทำให้เธอสามารถเข้าถึงสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ถือเป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดของเมียนม่าร์ได้ (www.voathai.com, สืบค้นเมื่อ 17/1/2560)
           ปัญหาโรฮิงญาในเมียนมา : บททดสอบ ออง ซาน ซูจี กับประชาธิปไตยไม่แน่นอน
           ตุลาคม 2016 ทหารเมียนมาเริ่มการปราบกลุ่มก่อความไม่สงบ หลังจากตำรวจตระเวนชายแดน 9 นายถูกสังหารในต้นเดือนตุลาคม โดยทหารของเมียนมาสงสัยว่า ชาวโรฮิงญาอยู่เบื้องหลังแต่สำนกข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชาวมุสลิมโรฮิงญาทุกคนกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตีของทหารเมียนมา ต่อมาสำนักข่าวต่างประเทศรายงานถึงความรุนแรงและการข่มขืนที่เกิดขึ้นอย่งต่อเนื่องกับชาวโรฮิงญา กระทั่งองค์กรสหประชาชาติได้ออกมาแสดงความกังวลว่า เหตุการณ์จะรุนแรงและนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ เนื่องจากมีชาวมุสลิมโรฮิงจากว่า สองหมืนคน ต้องอพยพอนีออกาจารัฐยะไข่ของเมียนม่าอีกครั้ง
           4 ธันวาคม 2516 นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นำขบวนชาวดรฮิงญานับหมื่อนคนประท้วงรัฐบาลเมียนม่า ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ สร้างกระแสให้ประเทศอาเซียนที่มีชาวมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ไม่พอใจรัฐบาลเมียนม่า และ ออง ซาน ซูจี อย่างรุนแรง ( http//www.The Momentum.com. สืบค้นเมื่อ 17/1/2560)

           
         

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

Spratly Islands

           ความร่วมมือทางทะเลในกรอบอาเซียน
           ประเทศไทยเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สสำคัญของเส้นทางการเดินเรือในภูมิภาคโดยมีช่องแคบมะละกาที่เชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรอินเดีย ทะเลจีนใต้ และมหาสมุทรเเปซิฟิกเป็นเส้นทางการเดินเรือที่สำคัญของภูมิภาคและของโลก เมื่อคำนึงว่าการค้าทางทะเลมีสัดส่วนถึงร้อยละ 90 ของมูลค่าการค้าโลก ในจำนวนนี้ ร้อยละ 40 เป็นการค้าผ่านช่องแคบมะละกา พื้นที่ทะเลในภุมิภาคนี้นอกจากเป็นเส้นทางคมนาคมหลักแล้ว ยังเป็นเเหล่งอุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ เช่น น้ำมันดิและก๊าซธรรมชาติ รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายเพื่อรักษาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากทะเลให้มากยิ่งขึ้นผ่านการขับเคลื่อนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ และดำเนินนโยบายส่งเสริมความร่วมมือทางทะเลในอาเซียนผ่านกรอบและกลไกต่างๆ เช่น การประชุมหารืออาเซียนว่่าด้วยประเด็นทางทะเล การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอชีย-แปซิฟิกและการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน
           ความร่วมมือทางทะเลระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนเน้นการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ เพื่อเสริมขีดความสามารถและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน และส่งเสริมความร่วมมือในการแก้ไขและป้องปรามปัญหาภัยคุกคามที่มี่ผลกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศสามชิกอาเซียน ได้แก่ ปัญหาโจรสลัดและการปล้นสดมภ์ การก่อการร้ายทางทะเล ปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ รวมทั่งส่งเสริมความร่วมมือด้านทรัพยากรทางทะเล การเพิ่มขีดความสามารถด้านการจัดการประมงเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล การพัฒนาชายฝั่ง การอนุรัีกษ์แนวปะการับ เพื่อคงความหลากหลายทางชีวภาพและความมั่นคงทางอาหาร การส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายศูนย์ข้อมูลที่เีก่ยวข้อง ตลอดจนสนับสนุนแนวทางการแก้ไขปัญหข้อพิพาทางทะเลโดยการเคารพกฎหมายระหว่งประเทศและกลไกในกรอบอาเซียน เช่น อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล, สนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้,ปฏิญญาวว่าด้วยการปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ และโดยสันติวิธี
             ทะเลจีนใต้ เป็นเส้นทางจราจรทางทะเลที่คับคั่งเป็นอันดับสองของโลก และยังมีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตรเนื่องจากคาดว่าในบริเวณนี้มีแหล่งนำมนและก๊าซธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
             ทะเลจีนใต้เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยมีอาณาบริเวณจากทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ครอบคลุมจากประเทศสิงคโปร์ และช่องแคบมะละกา ไปจนถึงพื้นที่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือบริเวณช่องแคบไต้หวัน ในแนวปมู่เกาะสแปรทลีย์ และหมู่เกาะพาราเซล เกาะหรือโขดหินเหล่นี้จำนวนมากเป็นเพียงยอดแหลมโผล่ขึ้นมาจากทะเลเป็นอุปสรรคในการเดินเรือ และไม่เหมาะกับการตั้งถ่ินฐานใดๆ โดยพื้นที่รวมทั้งสิ้นของ หมู่เกาะสแปรทลีย์มีไม่ถึง 3 ตารางไมล์ แต่มีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์และการเมืองอย่างยิ่ง เพราะหากสามารถด้างสิทธิการเป็นเจ้าของเหนือดินแดนดังกล่าวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การอ้างสิทธิเพิ่มเติมในน่านน้ำใกล้เคียง และย่อมรวมถึงทรัพยากรอันมหาศาลใต้ท้องทะเลอีกด้วย
            ประเด็นเกี่ยวกับการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ในทะเลจีนใต้ ซึ่งจุดที่มีความขัดแย้งทีุ่ดคือบริเวณหมู่เกาะสแปรทลีย์ และเกาพาราเซล และบ่อยครั้งที่ความขัดแย้งนี้เกี่ยวพันถึงการอ้างสิทธิเหนือทรัพยากรธรรมชาติน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ดังนี้
            - จีนเผยแพร่แผนที่ทางการของตน โดยแสดงเขตพื้นที่คลุมเครือว่า อาจจะครอบคลุมบริเวณหมู่เกาะนาทูนา อันเป็นเเหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ของอินโดนีเซียด้วยทำให้อินโดนีเซียตอบโต้ด้วยการจดซ้อมรบทางทหารที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยมีมาในบริเวณหมู่เกาะนาทูนาในปี 1996
            - ฟิลิปปินส์ทำการสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติและคอนเดนเสท ในเเหล่ง "มาลาปายาและคามาโก"ซึ่งอยู่ในน่าน้ำที่จีนกำลังอ้างสิทธิ โดยที่จีนไม่เคยได้ทักท้วงมาก่อน
            - เเหล่งก๊าซธรรมชาติหลายแห่งของมาเลเซีย บริเวณนอกชายฝั่งของเกาะซาราวัต ก็อยู่ในน่านน้ำที่จีนอ้างสิทธิ แต่จีนก็ไม่เคยทักท้วงการพัฒนาแหล่งก๊าซเหล่านี้เช่นเดียวกันกับแหล่งก๊าซของฟิลิปินส์
           - เวียดนและจีน ต่างอ้างสิทธิเหนือแหล่งน้ำมันในพื้นที่นอกชายฝั่งเวียดนาม ความขัดแย้งนี้ทำให้บริษัทโคโนโค และปิโตรเวียดนาม ไม่สามารถเข้าเจาะสำรวจบริเวณดังกล่าวได้ตามกำหนด นอกจานี้แหล่งน้ำมัน หมีใหญ่ ของเวียดนามก็อยู่ในเขตน่านน้ำที่จีนอ้างสิทธิเช่นกัน
           - ในพื้นที่บริเวณอ่าวไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลจีนใต้ที่มีก๊าซธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ แต่ยังไม่มีการกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนในทะเลจีนใต้ที่ชัดเจน แม้กระนั้นได้มีหลายบริษัทที่ำด้ลงนามในข้อตกลงเพื่อทำการขุดสำรวจไปแล้ว แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ในบริเวณที่ยังมีข้อพิพาทกันระหวางกัมพูชากับไทย ในส่วนพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับเวียดนาม โดยได้มีการเจรจาตกลงความร่วมมือ ในการสำรวจและพัฒนาในพื้นที่พัฒนาร่วมกัน ไทย-มาเลเซียและ มาเลเซีย-เวียดนาม
         การอ้างสิทธิต่างๆ มีรากฐานมาตั้งแต่ในประวัติศาสตร์ แต่ตั้งอยู่บนหลักการซึ่งเป็นที่ยอมรับกันเป็นสากล ซึ่งอนุญาตให้แต่ละประเทศสามารถอ้างสิทธิเหนืออาณาเขตนอกชายฝั่งบริเวณที่เป็นไหล่ทวีปของประเทศนั้นๆ ได้ รวมทั้งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล
          หมู่เกาะสแปรดลีย์ Spratly Islands เป็นดินแดนที่ประกอบด้วยหินโสโครก อะทอลล์ สันดอน เกาะ และเกาะขนาดเล็กมากกว่า 750 แห่งในทะเลจีนใต้ตั้งอยู่ระหว่างประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศจีน ประเทศมาเลเซียและประเทศบรูไน ประกอบด้วยพื้นที่ที่เป็นผืนแผ่นดินน้อยกว่า 4 ตารางกิโลเมตร แต่ครอบคลุมพ้นที่มหาสมุทรมากว่า 425,000 ตารางกิโลเมตร ผืนแผ่นดินเหล่านี้เป็นเกาะขนาดเล็กที่อยุ่ห่างไกล ำม่มีประชาชตั้งถิ่นฐานและไม่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในตัวเองแต่มีความสำคัญในการกำหนดอาณาเขตดินแดนระหว่งประเทศ และเป็นแหล่งกำหนดอาณาเขตดินแดนระหว่างประเทศ และเป็นแหล่งสำคัญในกิจการประมงและยังมีการสำรวจพบแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ
          ปัจจุบันเกาะ 45 เกาะในหมู่เกาะสแปรตลีย์เป็นที่ตั้งกองกำลังทหารของกองทัพเวียดนาม สาธารณรัฐประชาชนจีน ไต้หวัน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และบรูไน เพื่อเป็นการยืนยันสิทธิในพื้นที่พิพาท ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งมาแต่เดิมระหว่าง อินโดจีนของฝรั่งเศษ สาธารณรัฐจีน ไต้หวัน และญี่ปุ่นมาแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
         การสร้างเกาะเทียมบนพื้นที่ทับซ้อน
         "... รายงานเพนตากอน ระบุว่า โครการถมทะเลในทะเลจีนใต้ 4 แห่งของจีน คืบหน้าชัดเจนจากากรขุดลอกกลายเป็น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ที่อาจครอบคลุมท่าเรือ ระบบสื่อสารและสอดแนม ระบบสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุง และสนาบินอย่างน้อยหนึ่งแห่ง
          วัตถุประสงค์ไม่เป็นที่ชัดเจน แต่นักวิเคราะห์นอกประเทศจีนระบุว่า ปักกิ่งกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงภาคพื้นดิน ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านกลาโหมในทะเลจีนใต้ รายงานฉบับนี้ครอคลุมข้อมูลการสำรวจจวบจนถึงเดือนธันวาคม 2014 และระบุว่า จีนถมทะเลรวมเป็นเนื้อที่ 500 เอเคอร์ ในน่าน้ำมี่มีข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ ทว่า เจ้าหน้าที่อเมริกันให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ผุ้สื่อข่าว โดยระบุวา่ นับจากนั้นมา ปักกิ่งเดินหน้าถมทะเลต่ออีกและครอคลุมเนื้อที่รวม 1,500 เอเคอร์(กว่าสี่พันไร่)
        ในอีกด้านหนึ่ง CSIS เปิดเผยภาพการถมทะเลของเวียนนามและจีน โดยสำทับว่า ทั้งขนาดและความคืบหน้าของโครงการถมทะเชของเวียดนามถือว่า เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับโครงการของจีน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
        ขณะที่ โฆษกกระทรวงกลาโหมจีนแถลงตอบโต้รายงายของเพนตากอนว่า บิดเบือนข้อเท็จจริงและมุ่งตีไข่ใส่ความว่า จีนเป็นภัยคุกคามทางทหาร
        ปักกิ่งยังประณามการกระทำของเวียดนาม พร้อมย้ำว่า โครงการของตนเป็นส่วนหนึ่งของภาะผูกพันต่อประชาคมนานาชาติในการปรับปรุงความปลอดภัยในการเดินเรือ ตลอดจนส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัย ซึ่งรวมถึงการสร้างแท่นสังเกตการณ์ 5 จุดจาก 200 จุดเพื่อติดตามระดับน้ำทะเล
       โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนยังกล่าวว่า เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และประเทศอื่นๆ เดินหน้าถมทะเลมานานหลายปี ซึ่งถือเป็นการเข้ายึกครองเกาะของจีนโดยผิดกฎหมาย ปักกิ่งจึงเรียกร้องให้ประเทศเหล่าน้้นยุติกิจกรรมที่ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและสิทธิของจีน
               บทสรุป จากกรณีดังกล่าวทำให้ทราบถึงความสำคัญของยุทธศาสตร์ทางทะเลที่มีในทะเลอาเซียน นอกจากทรัพยากรธรรมชาติและสิทธิครอบครองของแต่ละประเทศแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการคือการถ่วงดุลอำนาจในทางทะเล ซึ่งในเพื้นที่ที่มีหลายประเทศต้องการหากกระทำการใดๆ โดยไม่ชัดเจนโปร่งใสจะถูกเข้าไปในทิศทางต่างๆ นาๆ ดังที่ได้ทราบแล้วจากกรณีถมทะเลของจีนเป็นต้น จึงนับได้ว่าหมู่เกาะเสปียร์ลี่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในการกำหนดเขตทางทะเลที่ไม่ชัดเจนของเอเซีย

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...