วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Tourism Industry

           เมื่อประชาคมอาเซียนเปิดอย่างเป้นทางการ ประเทศไทยจะเป็นประเทศหนึ่งที่เตีียมความพร้อมเข้าสู่การเปิดประชาคมอาเซียน หรือ อาเซียน คอมมูนิตี้ ได้อย่างมีประสทิะิภาพ หากเปรียยเที่ยบกับเพื่อบ้านรอบๆ เราประเทศอื่น การเข้าสู่ประชาคมอาเวียนนั้นต้องเตรียมพร้อมในหลายดๆ ด้าน ทั้งการเมือง เศรษกยฐกิจ และสังคม ในด้านหนึ่ง ซึ่งถือว่าอาเซียนได้พัฒนาอย่างต่อเเนื่องและดูจะมีความก้าวหน้าอย่างมาก คือ การเตรรียมพร้อมในการเปิดเสรีทางการต้า บริการโดยเฉาพะยอ่างยิ่งการบริการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
          อุตสาหกรรมท่องเที่ยวถือเป็นสาขาหนึ่งของการต้าบริากร ซึ่งถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศ เนื่องจากเป็นแหล่งที่มาของเงนิตราต่างปรเทศ และยังนำมาซึ่งการจ้างงานที่สคำัญจำนวนมาก โดยจากรายงานข้อมุลขององค์การการท่องเที่ยวโลก ณ เดือนมกราคม 2555 สรุปว่าในปี 2556 มีนักท่องเที่เยวเดินทางท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนในปี 2556 ถึง 92 ล้านคน ในขณะที่ในส่วนของภูมิภาคอาเซียนนั้น มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนในปี 2556 ถึง 92 ล้านคน
       
 การเดินทางท่องเที่ยวดังกล่ววทำให้เกิดการจ้างงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังทำให้เกิดการจ้างงานโดยทางอ้อมด้วย เช่น คนขับรถแท็กซี่ หรือ งานอื่นๆ ที่อาจำม่เกี่ยวพันกับธุรกิจการท่องเที่ยวโดยตรง อีกเป็นจำนวนถึง 25 ล้านคน ซึ่งเห็นได้ว่าอาเซียนจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใหเความสำคัญกับธุรกิจการต้าบริการโดยเฉพาะอย่างยิงในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
         ประเทศสมาชิกอาเซียนจึงได้มีการลงนามในข้อตกลงหลายด้าน เพื่อการพัฒนาท่องเที่ยวร่วมกัน อาทิเช่น ข้อตกลงท่องเทียแห่งอาเซียน กรอบความตกลงอาเซียนด้านการบริการ และข้อตกลงอาเวียนด้านบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยว
          สำหรับข้อตกลงอาเซยนด้านบุคลการวิชาชีพท่องเที่ยว นั้นถือเป้ฯรูปแบบล่าสุดของการพัฒนาความร่วมมือด้านการต้าบริการของอาเวียน ซึ่งมีเป้าหมายในการพัฒนาคุณสมบัติของผุ้ให้บริากรซึ่งเป็นประชาชนชาวอาเวียนให้มีคุณภาพได้รับการยอมรับทั้งจากองค์กรภายในประเทศของตน และสามารถที่จะได้รับการรับรองจากประเทศสมาชิกอาเวียนที่ร่วมลงนามในข้อตกลงนี้ด้วย ความร่วมมือนี้มุ่งเน้นสนับสนุนการเคลื่อย้ายผุ้ให้บริการวิชาชีพทางการท่องเที่ยวภายในภูมิภาค ให้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และข้อบงคับของประทศสมาชิก และเพื่อเพิ่มความเท่าเที่ยมกัน รวมท้งประสิทธิภาพของทรัพยากรบุคคคลด้านการท่องเที่ยวโดยการใช้มาตรฐานสมารรถนะพื้นฐานการท่องเที่ยวเป็นหลัก
          นอกจากนี้อาเซียนยังจะจัดทำมาตรฐานสมรรถนะพื้นฐานของบุคคลการวิชาชีพท่องเที่ยวแห่งอาเซียน  ให้แล้วเสร็จและสามารถนำไปใช้ได้ในประเทศสมาชิก โดยจะระบุถึงสมารถนะพื้นฐานขั้นต่ำของบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยวที่ต้องการทำงานใสายงานตามข้อตกลงพื้นฐนของอาเวียนแล้วนั้น ก็สามารถเดินทางไปทำงานในประเทศสมาชิกต่างๆ ได้ อย่างไรก็ดีต้องเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ของประเทศนั้นๆ ด้วย
          การกำหนดมาตรฐานดังกล่าวจึงมีจุดมุ่งหมายเพือปรับปรุงคถณภาพการบริการท่องเที่ยและสนับสนุนการพัฒนาความร่วมมือทางด้าน MRA ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นสำคัญ
           คุณสมบัติของบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยวแห่งอาเซียนจะได้รับการยอมรับจากประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมดเพือลงนามในข้อตกลง ฯ ซึ่งหมายความว่า บุคลากรที่ได้รับรประกาศนียบัตรสมรรถนะวิชาชีพบริการท่องเที่ยวในสาขาที่ระบุใน ACCSTP จากหน่วงงาน The Tourism Professional Certification Board (TPCB) ที่รับผิดชอบของประเทศนั้นๆ ก็จะสามารถทำงานในประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ได้ด้วย โดยสิทธิการทำงานจะอยู่ภายใต้กฎหมายและข้อบังคับของประเทศที่บุคคลผุ้นั้นถูกจ้างงาน ด้งนั้น
ประกาศนียบัตรดังกล่าวจึงถือเป็นเครื่องรับรองสำคัญสำหรับผุ้ที่ต้องการสมัครงานด้านการท่องเที่ยวในประเทศสมาชิกอาเวียน ข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นการลงทุนด้านการท่องเที่ยวในภุมิภาคและการเคลื่อนย้ายเสรีของแรงงานบุคคลากรวิชาชีพท่องเที่ยวของอาเซียน ข้อตกลงดังกว่าวจะช่วยกระตุ้นการลงทุนด้านการท่องเที่ยวในภุมิภาคและการเคลื่อนย้ายเสรีของแรงงานบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยของอาเวียนให้สะดวกและขยายตัวอย่างรวดเร็วต่อไป
             การพัฒนาในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของอาเซียนถือว่าเป็นดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง สมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศได้ร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกันอย่างจริงจัง นอกจากข้อตกลงต่างๆ ที่ได้มีการลงนามร่วมกันแล้วยังได้มีการวางหลักสูตรเพื่อพัฒนาบุคลากรในสายการท่องเที่ยวให้เป็นมาตรฐานเดี่ยวกัน หลักสูตรการท่องเที่ยวแห่งอาเซียน จะช่วยให้บุคลากรในสาายการท่องเที่ยวมีศัยกภาพที่ทัดเที่ยดกันและมีความสามารถสูงที่จะแข่งขันกับภูมิภาคอื่นต่อไป
www.uasean.com/kerobow01/1170

วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Tourism and ASEAN Connect

              การเข้าสู่ประชาคมเศราฐกิจอาเซียน อย่างเต็มตัวนั่นหมายความว่า นับจากอาเซียนมีความร่วม
มือทางเศราฐกิจในด้านต่างๆ ที่ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียน หรือที่เรียกว่า อาเซียนคอนเนกต์ ที่ครอบคลุม การเชื่อมโยง 3 ด้าน คือ ความเชื่อมโยงทางกายภาพ ครอบคลุมเรื่องของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงโครงขายด้านการขนส่งเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และพลังงาน ความเชื่อมโยง ของสภาบัน ครอบคลุมเรื่องการเปิดเสรีและการอำนวนความสะดวกทางการค้า และการลงทุนในอาเซียน รวมถึงการดำเนินการตามความตกลงด้านการขนส่งรูปแบบต่างๆ การปรับพิธีการและมาตรฐานต่างๆ การลดขั้นตอนในกระบวนการข้ามพรมแดนใหสะดวกและว่ายขึ้น และการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรเพื่อรองรับการดำเนินการดังกล่าว สุดท้ายคือ ความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน หมายถึง การเชื่อมโยงถึงกันด้านจิตใจ ลดความขัดแย้งทางสังคม วฒนธรรม และประเพณี ส่งเสริมการเคลื่อนย้ายของประชาชนภายในอาเซียนให้เพ่ิมขึ้น อย่างไรก็ตา อาเวียนได้จัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการด้านการพัฒนาความเชื่อมโยงทางกายภาพทางด้านการขนส่งและเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นหลัก อังนั้น การกระจาย นักท่องเที่ยวภายในภูมิภาคอาเวียนจึงเป้นผลจากการเชื่อมโนงทางด้านกายภาพ การพัฒนาเส้นทางคมนาคม ดดยอาเว๊ยนได้วางกลยุทธ์ไว้ 5 กลยุทธ์เน้นการเดินเต้มเครือข่ายความเชื่อมโยงระหว่างกันให้สมบูรณืมากยิ่งขึ้น ได้แก่
              การพัฒนาเครือข่ายเส้นทางหลวงอาเซียน โดยการยกระดับภนนที่ยังไม่ได้มาตรฐานระดับ 1 จัดทำป้ายบอทาง สร้างสะพานเชื่อมต่อระหวา่งประเทศ รวมทั้งขยายเส้นทางไปสู่จีนและอินเดียซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรและนักท่องเที่ยวที่มีัศักยาพสูง
             การพัฒนาโครงการเชื่อมโงเส้นทางรถไฟสายคุนหมิง-สิงคโปร์ที่เป้ฯหัวใจสำคัญของการกระจายนักท่องเที่ยวจากจีนลงมาในภูมิภาคโดยเฉพาะการสร้างเส้นทางรถไฟสองสายคือ สายตะวันออก ผ่านไทย กัมพูชา และเวียดนาม และมีทางย่อยแยดเชื่อมระหว่างสปป.ลาว และเวียดนาม สายที่สองคือ สายตะวันตก ผ่านไทยและเมียนมา แต่จะให้ความสำคัญกับสายตะวันออก ที่เประเทศไทยจุดที่อาเซียนต้องการให้เพ่ิมเติมคือ ระหว่างอรัญประเทศและคลองลึก ระยะทาง 6 กิโลเมตร ภายในปี 2557 และช่วงผ่านด่านเจดีย์สามองค์ถึงเมียนมา ระยะทาง 153 กิโลเมตริภายในปี 2563
           
การสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงลำน้ำในปรเทศอย่างเป็นองค์รวมและมีประสิทธิภาพ มีการกำนหเส้นทางการเดินเรือท่องเที่ยวในลุ่มน้ำโขงโดยเร่ิมต้นจากจีนล่องมาจนงเชียงแสนผ่านสิบสองปันนา
            การเสริมสร้างระบบการเดินเรือทะเลให้มีประสิทธิภาพ และแข่งขันได้อย่างเป็นองค์รวม  ่ให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเส้นทางการเดินเรือทะเลระหว่างประเทศในอาเวียน โดยการจัดทำระบบทางหลวงการเดินเรือทะเล ของอาเซียน โดยการจดทำระบบทางหลวงการเดินเรือทะเล ของอาเว๊ยน การส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยเรือโดยสารขนาดใหย่ โดยการปรบปรุงสมรรถนะท่าเรือจำนวน 47 ท่า จากผลการศึกาาของอาเซียนในปี 2558 การจัดทำเส้นทางการเดินเรือที่มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงแผ่นดินใหญและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งเชื่อมโยงอนุภูมิภาคต่างๆ ที่มีการริเริ่มขึ้น อาทิ BIMP-EAGA และ IMT-GT ตลอดจนเส้นทางระหว่างประเทศ
          การจัดระบบการขนส่วใรูปแบบที่เชื่อมต่อเพื่อให้ปาเซียนเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการ ให้สำเร็จโดยการสร้างจุดเชื่อมที่ยังขาดหายไปในเมียนมา และัพัฒนาท่าเที่ยบเรือที่ยางกุ้ง และเมืองดานัง การส่งเสริม การสร้างสะพานแม่น้ำโขงในกัมพูชา การสร้างท่าเรือทะเลน้ำลึก ในเมียนมา การสร้างทางหลวงและศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างเส้นทางรถไฟระหว่างกาญจนบุรีและ ดาไว โดยการพัฒนารูปแบบการเชื่่อมดยงดังกล่าวส่งผลให้ไทยมีศักยภาพในการเป็น ฮับ ในการกระจายสินค้าและการท่องเทียว
         นอกจากนั้น อาเซียน ยังสร้างความเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งกับ "เส้นทางสายไหมไใา่ภายใต้ศตวรรษที่ 12 ของประเทศจีน โดยการพัฒนสเส้นทงคมนาคม 2 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางสายไหมทางบก มีลักษณะคล้ายแถบเส้นเข็มขัดที่เชื่อมโยงจากฝั่งตะวันตกของจีนเชื่อมโยงประเทศที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเส้นทางสายไหมเดิม ผ่านเอเชียกลาง เอเชียตะวันตก เอเลียใต้ อาเซียน ตะวันออกกลาง และยุโรป และ สายไหมทางทะเลที่เชื่อมโยงจากท่าเรือทางตอนใต้ของจีน ผ่านภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกาตะวันออก และไปสิ้นสุดที่ยุโรป (ประเทศเบลเยียม) ซึ่งเส้นทางสายไหมทางทะเลถือเป้นยุทธศาสตร์สำคัญในการขยายผลประโยชน์ระหว่างจีนกับประเทศต่งๆ ครอบคลุมหลายภูมิภาค โดยเฉพาะอาเซียน และอาจกลายเป้นเส้นทางที่เอื้อประโยชน์ต่อการต้าและการลงทุนและการท่องเที่ยวมากที่สุดอีกเส้นางหนึ่งในอนาคตถ้าการพัฒนาระบบการคุมนาคมขนส่งของอาเซียนเสร็จสิ้นลงประเทศไทยจะได้รับประโยชน์ในการเป็นศุนย์กลางความเชื่อมโยงที่เห้ฯชัดเจน คือ ทางบก (ทางถนนและทางรถไฟ)และทางอากาศจากข้อได้เปรียบลักษณะทางภุมิศาสตร์ที่มีแหล่งที่ตั้งใจกลางอาเซียน รวมท้งความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานในระดับหนึ่ง ตลอดจนการดำเนินงานองไทยที่รองรับโดยการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาประเทศเพื่อให้เชื่อมโยงกบอาเซียนที่มีการสร้างเส้นทางเชื่อมโยงหรือถนนเศรษบกิจ รวมถึงการเชื่อมโยงทางน้ำและอากาศ พร้อมกับกำหนดเขตเศราฐกิจพิเศษ เพื่อขยายโอากสให้ไทยได้ใช้ประโยชน์จากการต้า การลงทุน และการท่องเที่ยวตามแนวเส้นทางเหล่านี้มากขึ้น
           
การอำนวยความสะดวกในการขนส่ว ที่ให้ความสำคัญกับการขนส่งผุ้โดยสารข้ามชายแดนและการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบซึ่งปัจุบัประเทศไทยมีด่านชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อบ้านท้้งหมด 47 แห่ง มี 13 แห่งที่มีความเชื่อมโยงกับทางหลวงอาเซียนที่สามารยกระดับเป็นแหล่งหระจายนักท่องเที่ยว และที่สามารถรองรับการขนส่งสินค้าผ่านแดนและข้ามแดนมีเพียง 9 ด่าน ได้แก่ ด่านเชียงของ และด่านแม่สาย จ.เชียงราย  ด่านแม่สอด จ.ตาก ด่านหนองคายจ.หนองคาย ด่านมุกดาหาร จ.มุกดาหาร ด่านนครพนม จ.นครพนม ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ด่านสะเดา จ.สงขลา และด่าปาดังเบซาร์ จ.สงขลา และยังเป็นเส้นทางสำหรับนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างกันทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลและรถบัสสำหรับท่องเที่ยว กระทรวงคมนาคมจึงได้จัดทำความตกลงการขนส่งคนดดยสารระวห่างประเทศ การพัฒนาเส้นทางใหม่ๆ ในการขนส่ง เสริมสร้างขีดความสามารถของผุ้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ตลอดจนปรับปรุงกฎระเบียบ และกฎหมายเพิ่อเพิ่มประสิทธิภาพภาพการขนส่งข้ามพรมแดน การพัฒนาศุนย์ปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของและที่เชียงราย เป็นต้น
            เพื่อนบ้านในอาเซียนรองรับกับการพัฒนาความเชื่อมโยงทางคมนาคมขนส่งของอาเซ๊ยน วึ่งมีทั้งการสร้างพื้นที่เศณาฐกิจใหม่ที่เป้นบริเวณชายแดน การสนับสนุนโครงสร้งพื้นฐานในรูปแบบต่างๆ โดยในปี 2558 ประเทศไทยไ้ด้ประกาศเขตเศราฐกิจพิเศษ รวม 10 จังหวัด โดยเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ประกาศในระยะแรก 5 จังหวัด ได้แก่ จ.ตาก ที่สามารถเชื่อมโยงไปยังเมืองย่างกุ้งของเมียนมาและเชื่อมต่อไปยังอินเดียและจีนตอนใต้ จ.มุกดาหาร ที่สามารถเชื่อมโยงประเทศ สปป. ลาวและเวียดนามผ่านเส้นทาง R9 เข้าสูท่าเรือดานังและเชื่อมต่ไปยังประเทศจีนตอนใต้และประเทศในแถบตะวันออกไกล จ.สระแก้ว ที่สามารถเชื่อมโยงกับด่านศุลกากรแห่งใหม่ทางบ้านสติงบท ประเทศกัมพูชา จ.ตราด ที่สามารถเชื่อมโยงกับท่าเรือสีหนุวิลล์ เกาะกง ของ กัมพูชา และจ.สงขลา ที่สามารถเชื่อมโยงกับทาเรือปีนังและท่าเรือกลางของมาเลเซีย รวมทั้งถนนและระบบรางเชื่อมโยง และระยที่ 2 จำนวน 5 จังหวัด ได้แก่
          - หนองคาย ที่มีจุดเชื่อมโยงกับนครเวียงจันทร์ประเทศสปป.ลาว
          - นราธิวาส เชื่อมโยงกับประเทสมาเลเวียและสามารถเชื่อมต่อไปยังสิงคโปร์ได้
          - เชียงราย สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเมียมาและประเทศสปป.ลาว
          - นครพนม ที่เชื่อโยงกับประเทศสปป.ลาวและเชื่อมต่อไปยังประเทเวียดนามตอนเหนือ และจีนตอนใต้
          - กาญจนบุรี เชื่อมต่อกับจังหวัดทวาย ประเทศเมียนมา
          ปัจจุบันการท่องเที่ยวถือเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศต่างๆ ในอาเวียนต่างให้ความสนใจ และใช้เป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลือนและสร้างความเติบโตทางเศณาฐกิจของประเทศ โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเยือนภูมิภาคนี้เพ่ิมขึ้นจาก 81 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2554 เป็น 105 ล้าคน ในปี 2557 หรือขายตัวเฉลี่ยร้อยละ 10.62 ต่อปี ซึ่งในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวในกลุ่มอาเซียน หรือการท่องเที่ยวระหว่างประเทศอาเวียนด้วยกันเองประมาณร้อยละ 46 แสดงให้เห็นว่า โดยภาพรวมนักท่องเที่ยวของประเทศในกลุ่มอาเวียนส่วนใหย่มาจากประเทศนอกอาเซียน ยกเว้นประเทศมาเลซียที่นักท่องเที่ยวหลักมาจากประทศในกลุ่มอาเซียนเนื่องจากประเทศมาเลเซียได้ประดยชน์จากการมีพรมแดนติดต่อกับประเทศสิงคโปร์ รวมถึงความัมพันะืทางเสาสฯาและเครือญาติจากนักท่องเที่ยวมุสลิมในประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเทียวมุสลิมในประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มอาเวียนสูงเป็นอัดับที่ 2 แต่น้อยกว่ามาเลเซียกว่า 3 เท่า ตามด้วยประเทศสิงโปร์ อินโดนีเซีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา สปป.ลาว บรูไน และเมียนมา ตามลำดับ
         
 ภาพรวมของนักท่องเที่ยวในอาเซียนที่เดินทางท่องเที่ยวในอาเซียนเดินทางท่องเทีียวระหว่างกนเพ่ิมขึ้นจาก 38 ล้านคนในปี 2554 เป็น 49 ล้านคนในปี 2557 หรือขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 10.12 ต่อปีสำหรับนักท่องเที่ยวนอกอาเซียน 10 อันดับยอดนิยมที่นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในอาเซียน มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 91.6 ของนักท่องเที่ยวนอกอาเซียนทั้งหมด ได้แก่ นัดท่องเที่ยวจีน ยุโรป เกาหลีใต้ ญี่ป่นุ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริการ อินเดีย รัสเซีย และไต้หวัน โดยนักท่องเที่ยวจากยุโปรมีแนวโน้มขยายตัวสุงกว่านักท่องเที่ยวจากประเทศือ่นๆ นักท่องเที่ยวจากนอกภูมิภาคอาเซียนมีการขยายตัวในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 11.08 โดยเพิ่มขึ้นจาก 43 ล้านคนในปี 2554 เป็น 56 ล้านคนในปี 2557
           จากการเติบโตดังกล่าวแสดงให้เก็นถึงศักยภาพทางการท่องเที่ยวของอาเว๊ยนและเป็นไปตามแนวโน้มที่ UNWTO กล่าวไว้ว่า ภุมิภาคอาเซียนจะเป็นจุดหมายหลักของการเดินทางท่องเทียวและมีอัตราการเติบโตทางการท่องเทียวสูง...

                 - บางส่วนจาก "รายงานภาวะเศรษฐกิจท่องเที่ยว", สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, ฉบับที่ 2 ตุลาคม-ธันวาคม 2558.
           

วันอังคารที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ASEAM Tourism Strategic Plan

           
 แผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวอาเซียน พ.ศ. 2554-2558 แผนฉบับนี้เกิดจากความร่วมมือและข้อตกลงระหว่างองค์กรอ้านการท่องเที่ยวของประเทศสามชิกอาเซียน กับโครงการ ASEAN Competitiveness Enhancement (The ACE Project) ซึ่ง ได้รับการสนับสนนุนด้านวลประมาณจากองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างปะเทศของสหรัฐอเมริกา โดยมอบหมายให้คณะผุ้วิจัยจากวิทยาลัยวัตถกรรม มหาวิทยาลัยธรรมาสตร์เป้นที่ปรึกษาในการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์นี้ ซึ่งดครงการดำเนินงานในช่วงระหว่างปี 2553 ร่วมกับ ASEAN Secretariat และองค์กรด้านการท่องเที่ยวของประเทศอาเว๊ยน
            แผนดังกล่าวประกอบด้วย การวิเคราะห์สถานการณ์ทั่วไปด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน วิสัยทัศน์และโครงกสร้งอคงค์กรด้านการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน การดำเนินงานและรายละเอียดกิจกรรมตามแนวทางยุทธศาสตร์สำตัญ 3 ด้าน ได้แก่
            - ด้านการพัฒนาสินค้าและบริการ การตลาดและการลงทุน
            - ด้านการพัฒนาคุณภาบุคลากร การบิรการและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว
            - ด้านการส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงด้านการเดินทงท่องเที่ยวในภูมิภาค
           แผนยุทธศาสตร์การตลาดด้านการท่งเที่ยวอาเซียน พ.ศ. 2555-2558 แผนฉบับนี้จัดทำโดยคณะผุ้วิจัยจากวิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีเป้าหมายกลักคือการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาเยือนมากกว่าหนึ่งประเทศในภูมิภาค เพื่อส่งเสริมการสร้างอาเซียนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกแะลเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการ่องเที่ยว ดดยคำนึงถึงความสามารถด้านการตลาดและทรัพยากรด้านการทอ่งเที่ยวของแต่ละประเทศสมิกเป็นสำคัญองค์ประกอบหลักอขงแผนประกอบด้วย
             - การวิเคราะห์สถานการณ์ปัจุจบันและแนวโน้มด้านการตลาดของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภูมิภาค
             - การกำหนดกลุ่มตลาดลูกค้าเป้าหมายหลักของอาเซียน
             - การพัฒนาด้านสินค้าและบริากรด้านการท่องเที่ยว โดยให้สอดคล้องกับ 4 กลุ่สินค้าหลักที่กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวอาเซียน ได้แก่ (1) culture/heritage (2) nature (3) community-based experiences และ (4) cruise/river-based tourism
             - การสร้้าง ASEAN Brand
             - การกำหนดช่องทางการกระจายกลุ่มลูกค้า
             - การจัดตั้งคณะทำงานด้านการตลาดและการติดต่อสื่อสารระหว่งประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อรับผิดชอบการดำเนินงานตามแผนที่วางไว้
             - รายละเอียดการดำเนินงานและกิจกรรมต่างๆ
             กรอบความตกลงอาเซียนด้านบริการ ในเดือนธันวาคม 2538 รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ในขณะนั้นมีทั้งหมด 7 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซียน มเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย บรูไนและเวียนดนาม) ได้ลงนามในกรอบความตกลงอาเซียนด้านการบิริการ
              เป้าหมายหลักของ AFAS คือการเสริมสร้างความร่วมมือด้นการบริการระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันของผุ้ให้บริการ เพ่ิมความสามารถในการผลิตและกระจายการบิรการไปยังผุ้บริโภคทั้งภายในและภายนอกอาเซียน รวมทั้งเพื่อขจัดข้อบังคับทางการต้าในภาคบริการระวห่างประเทศสมาชิก และเพื่อปิดเสรรีการค้าบริากรโดยขยายทั้งในเชิงลึกและเชิงกว้างของการเปิดเสรีของผุ้ให้บริการ ข้อตกลงดังกล่าวยังกำหนดแนวทางการดำเนินงานสำหีับประเทศสมาชิกในการปรับปรุงการเข้าสู่ตลาด และการเพิ่มความเท่าเที่ยมกันของผุ้ให้บิรการ โดยระเบียบข้อบังคับทั้งหมดของ AFAS จะมีความสดอคล้องกับระเบียบข้อบับคับของ GATS
         
 ภายใต้กรอบของ AFAS อาเซียนได้มีการเจรจาต่อรองการต้าบริการระวห่างประเทศสมาชิกจำนวน 5 รอบ ส่งผลให้เกิดการลงนามในข้อผุกพันเปิดตลาดการต้าบริการทั้งหมด 7 ชุด ข้อผุกพันฯ เหล่านี้ครอบคลุมการเปิตลาดเสรีการบริการหลายประเภท ได้แก่ สาขาบริการะุรกิจ บริการด้านวิชาชีพ การก่อสร้าง การจัดจำหน่าย การศึกษา บริการด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ การขนส่งทางน้ำ การโทรคมนาคม และการท่องเที่ยว
             ล่าสุดอาเซียนได้มีการจัดทำข้อผูกพันเปิดตลาดการต้าบิรการชุดที่ 8 โดยในส่วนของประเทศไทยมีกรมแจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักดำเนินการจัดทำตารางข้อผุกพันฯ ชุดที่ 8 ซึ่งมีกำหนดขำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาพในปี พ.ศ. 2555
            สาระสำคัญของข้อผูกพันฯ ชุดที่ 8 ที่แตกต่างจากข้อผุกพันฯ ชุดก่อน ได้แก่ การมีระดับากรเปิดเสรีเพ่ิมขึ้น โดยประเทศสมาชิก จะต้องอนุญาตหใหนักลงทุนหรือนิติบุคคลสัญชาติอาเวียน สามารถเข้ามามีส่ัดส่วนการถือหุ้นในธุรกิจบริการในประเทศได้ร้อยละ 70 ในสาขาเร่งรัด ได้แก่เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ สุขภาพ ท่องเที่ยว และการขนสงทางอากาศ รวมถึงสาขา
โลจิสติกส์ และไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 หรือไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งในสาขาบริากรอื่นๆ ที่นอกเหนือจาก 4 สาขาข้างต้น พร้อมกับจะต้องยกเลิกขอ้จำกัดการเข้าสู่ตลาดอื่นๆ ทั้งหมดอีกด้วย
           ข้อตกลงอาเซียนด้านบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยว ในการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2552 รัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนลงนามในข้อตกลงอาเซียนด้าบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยว ซึ่งมีเป้าหมายเืพ่อส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานด้านลบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยวในอาเว๊ยน 9 ประเทศ โดยปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่ได้ลงนาในข้อตกลงนี้ เน่อจากติดเงื่อนไขต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญของประเทศ
           เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2555 ประเทศไทย โดยนายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยและวกีฬา ได้ลงนามในข้อตกลงดังกล่าว ทำให้ปัจจุบันการเคลื่อนย้ายบคุลากรวิชาชีพท่องเที่ยวครอบคลุมทุกประเทศสมาชิกอาเซียน และส่งผลให้แต่ละประเทศต้องดำเนินการจัดต้งคณะกรรมการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องภายใสใน 180 วัน
          ตามแผยดำเนินงานที่วางไว้ อาเวียนจะจัดทำ "มาตรฐานสมรรถนะขึ้นพื้นฐานของบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยวแห่งอาเซียน" ให้แล้วเสร็จาภยนปพี พงศ. 2558 และสามารถนำไปใช้ได้ในประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ปรเทศ โดย ACCSTP จะระบุถึงสมรรถนะพื้นฐานขั้นต่ำของบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยวในสายงานสาขาตางๆ โดยบุคลากรที่ได้รับประกาสนียบัตรสมรรถนะวิชาชีพบริการท่องเที่ยวใสในสาขาที่ระบุใน ACCSTP จากหน่วยงานที่รับผิดชอบของประเทศใดรประเทศหนึ่ง จะสามารถทำงานในประเทศสมาชิกาอาเซียนอื่นๆ ได้ โดยสิทธิการทำงานจะยังอยู่ภมยใต้กฎหมายมและข้อบงคับของประเทศที่บุคลลผุ้นั้นถูกจ้างงาน ดังนั้นประกาศนียลัติรดังกล่าวจึงถือเป็นเครือรับรองสคำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการสมัครงานด้านกาท่องเที่ยวในประเทศสมาชิกอาเวียน
           กาจัดทำมาตรฐานสมรรถนะ ฯ นี มุ่งเน้นสำหรับหลุ่มธุรกิจสำคัญ 2 กลุ่ม ได้แำก่ หลุ่มธุรกิจโรงแรม และกลุ่มธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยว โดยจจะครอบคลุมทั้งหมด 32 ตำแหน่งงาน ใน 6 สาขา
           ข้อตกลง FTA ด้านการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมท่องเที่ยวถือเป็นสาขาหนึ่งของการต้าบริการ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อเศรษบกิจของหลายๆ ประเทศ เนื่องจากเป็นแหล่งที่มาของเงินตราต่างประเทศและการจ้างงาน จากรายงานขององ์การการท่องเที่ยวโลก ณ เดือนเมณายน 2554 สรุปว่าในปี 2553 จำนวนักท่องเที่ยวทั่วโลกมีถึง 940 ล้าคน ขณะที่ภูมิภาคอาเวียนมีจำนวยนใชนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนในปี 2553 ถึง 73 ล้าคน
           ด้วยเล็งเห็นถึงความสำคัญของอุตสหกรรมการบิรการโดยเฉพาะสาขาการท่องเที่ยว หลายประเทศทั้งโลกจึงได้มีการริเร่ิมความร่วมมือ และพยายามผลักดันให้มีการสร้างกฎเกณฑ์กติการสำหรัีบการต้าบริการระหว่างประเทศขึ้น โดยความร่วมมือที่สำัญประการหนึ่งคือการผลักดันให้มีการเปิเสรการต้าบริการทัี่วโลกซึ่งความพยายามดังกล่าวได้รัการสนับสนุนและผลักดันจาาหลายองค์กรระวห่งประเทศ ทั้งองค์กรในระดับพนุภาคี และองค์กรระดับภูมิภาค รวมทัังยังมีความตกลงที่ทำขึ้นระหว่งคู่ประเทศสัญญา หรือความตกลงระดับทวิภาคี เช่น ความตกลงเขตการค้าเสรีทวิภาคีระหว่างปรเทศไทยกับประเทศออสเตรเลีย และความตกลงหุ้นส่วนทางเศาฐกิจระวห่างประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทย เป็นต้น
         
 คือการเจรจาเืพ่ยกเลิกข้อกีดขวาง หรืออุปสรรคที่มีต่อการค้าลริการในทุกรูปแบบของการต้าบริการ ระหว่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่ยวยสร้างเสถียรภาพและความโปร่งใสทางการ้าระว่างประเทศ รวมทั้งบรรยากาศความน่าลทุน ซึงจะเป็นประยชน์อย่างยิ่งต่อากรพัฒนาประเทศ การเปิดเสรียังขช่วยเพ่ิมโอกาศ ทางธุรกิจในการส่งออกสินค้าและบิรการไปยังประเทศอื่ๆน เพ่ิมโอากาสในการเรียนรู้ ช่วยสร้างงานให้กับคนในประเทศ กระตุ้นการแข่งขันในตลาด ทำให้สินค้าและบริการมีคุณภาพดีขึ้นแต่ราคาถุกลง ซึ่งส่งผลดีต่อผุ้บิรกโภค
          อย่างไรก็ตา การเปิดเสรีการต้าบริากรอาจส่งผลกระทบต่อผุ้บิรโภค ผุ้ประกอบการและาภครัฐโดยเฉพาะถ้าขาดการวางแผนรองรับและการจัดการทีดี ผลกระทบสำคัญ ได้แก่ ผุ้ประกอบการวิสาหกิจ ขนาดกลางปละขนาดย่อม หรือ SMEs อาจเสียงต่อการปิดกิจการเนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทต่างชาิตได้ ซึ่งขึ้นอยุ่กับปััจัยสำคัญอื่นๆ ด้วย เช่น คุณภาพและศักยภาพขององค์กรภาครัฐ ขึดความสามารถในการแข่งขันของผุ้ประกอบการ
          ดังนั้น ในการเพ่ิมประโยชน์และลดผลเสียที่อสจตามมา การเปิดเสรีภาคบริการทุกประเภทความต้องดำเนินการตามขึ้นตอนอย่างรัดกุม รมทั้งแต่ละประเทศควรต้องมีคณะทำงานบริหารที่มีความรุ้และข้อบังคับทางกฎหมายที่เหมาสม เพื่อช่ยให้การเปิดเสรีนำมาซึ่งผลดีกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมากที่สุด
          ในปี พ.ศ. 2538 ประเทศสมาชิกองคการการต้าโลก มีการลงนามใน "ความต้ตกลงด้านการต้าบริการ" โดยมัีวัตถุประสงค์ขยายการต้าบริากรภายใต้เงื่อนไขของความโปร่งใสของกฎเกณฑ์และระเียบข้อบังคับ การเปิดเสรีเพ่ิมขึ้นเป็นลำดับผ่านรอบการเจรจา และการมีส่วนร่วมของประเทศกำลังพัฒนา โดยกำหนดให้มีการเจรจาเปิดตลดาการต้าบริการในทุกๆ 5 ปี เพื่อ เพ่ิมการเปิดตลาดเสรีการต้าบริากรให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการลดข้อจำกัดต่างๆ นการต้าบริากรในแตละรอบของการเจรจาการต้า
        GATS ถือเป็นข้อตกลงแรกทางด้านกฎหมายในระดับพนุภาคีที่ครอบคลุมถึงการต้าบริากรและการท่องเที่ยว โดยวางกรอบด้านกฎหมายสำหรับการเจรจาต่อรองและการเปิดเสรีทางการต้า ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อขจัดข้อกีดขวางต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัดสำหรับผุ้ให้บริากรที่เป็นชาวต่างชาติ ทำให้ไม่ใไ้สามารถเข้าถึงตลาดและได้รับการยอมรับใระดับชาติ นอกจากนี้ แกรตส์ ยังมุ่งเน้นให้มีการเคลื่อนย้ายคนเพื่อไปให้บริการในประเทศสมาชิกได้อย่างเสรีเป็นการชั่วคราว เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุนการขนส่ง โทรคมนาคมและสินค้าโดยต้องคำนึงถึงวัฒนธรรมและกฎหมายของประเทศสมาชิกที่ใช้บังคับอยู่เดิม อาทิเช่น การจำกัดอาชีพให้เป็นอาชีพสงวน การเก็บาษีซ้ำซ้อน และการกำหนดค่าธรรมเนียมวีซ่าที่สูง
         กระบวนการของ แกทส์ เร่ิมต้นที่การวางกำหนดารางการเปิดตลาดเสรีการต้าบริากรภาคส่วนใดภาค่วนหนึ่ง การปกิบัตเยี่ยงคนชาติ รวมทั้งวางแผนขั้นตอนการดำเนินงานในระดับชาติและการกำหนดความรับผิดชอบในส่วนอื่นๆ นั่นหมายถึงประเทศนั้นๆ พร้อมเพื่อการเปิดตลาดสำหรับบิรษัทต่างชาิตที่จะได้รับการปฏิบัติที่เท่าเที่ยมกันจากภาครัฐ โดยการกำหนดข้อผุกพันสำหรับรูปแบบของการต้าบริากร ต่างๆ โดยแต่ละประเทศจะมีอิสระในการตัดสินใจวาจะร่วมเปิดเสรในประเภทของะุรกิจบริการใดบ้าง สามารถกำหนดระดับการเปิเสรี ลำดับขึ้ตอนและรายละเอียดของนโยบายระดับชาติ กฎหมายหรือระเบียบข้อบับคับที่จะถุกนำมาใช้ปฏิบัตเพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม และสามารถวางเงือนไขหรือข้อจำกัดพิเศษได้ ยกตัวอยางเช่น ประเทศหนึ่งอาจอนุญาตในห้ธนาคารค่างชาติเข้ามาเปิดบริการในประเทศได้ แต่กำหนดจำนวนใบอนุญาตที่จะให้ หรือจำนวนสาขาของธนาคารต่างชาติ เป้นต้น อย่างไรก็ตามทุกประเทจะต้องกำหนดเวลาที่แน่นอนในการเปิดเสรี รวมทั้งต้องจัดตารางเวลาสำหรับว่งผู้บริหารระดับสูง และตัวแทนการต้าระหว่างประเทศสมาชิก ภ้ารประเทศใดไม่สามารถทำตามกำหนดเวลาดังกล่าวก็จะถุกนำเข้าไปสู่กระบวนการบังคับของ WTO
          เพื่อเป็นการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนของสาขาบริากรและเกิดความสะดวกในการเจรจา WTO ได้ ระบุกิจกรรมหลักของบริการด้านท่องเที่ยวว่าประกอบไปด้วย โรงแรมร้านอาหาร, ตัวแทนนำเทียวและผุ้ประกอบการท่องเที่ยว, บริการมัคคุเทศก์และอื่นๆ

               - "ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน", กลุ่มงานข้อมุลสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานจังหวัดภูเก็ต.

วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ASEAN Tourism

             ประเทศในกลุ่มอาเซียน รวม 10 ประเทศ มีประชากรรวมกันท้งสิ้น 610.6 ล้านคนโดยประเทศอินโดนีเซียนมีมากที่สุดกว่าสองร้อยห้าสิบล้านคน และเป็นประเทศมุสลิมที่ใหย๋ที่สุดในโลก และฟิลิปปปินส์มีประกรกว่างร้อยล้านคน เป็นประเทศที่นับถือคริสต์มากเป็นอันดับ 4 ของโลก  ตามด้วยเวียดนาม กว่าเก้าสิบล้านคน และไทย หกสิบหกล้าน คน และ พม่า มาเลเซีย กัมพูชา ลาว สิงคโปร์ตามลำดับ ส่วนประเทศที่มีประชากรน้อยที่สุดคือ บรูไน มีทั้งสิ้น 4 แสนคน
            ผลิตภัณฑ์มาวรวม ภายในกลุ่มประเทศอาเซียน (GDP) เมื่อปี 2013 ทั้งสิ้น กว่า 2,395,000 ดอลล่าร์ยูเอสเอ โดยประเทศอินโดนีเซียกว่า แปดแสนหกหมื่อนยูเอสดอลล่าร์ ตามมาด้วยมาเลเซีย สามแสนหนึ่งหมื่นสองพัน ดอลล่าร์ ไทย สามแสนแปดหมื่นเจ็ดพันดอลล่าร์ สิงคโปร สองแสนเก้าหมืนเจ็ด ดอลล่าร์ ฟิลิปปินส์ สองแสนหกหมื่น..พม่า ห้าหมื่อนสี่ัพัน..บรูไน หนึ่งหมืนหกพัน..กัมพุชา หนึ่งหมื่นห้าพัน..ล่าว หนึ่งหมื่นเศษ ที่กล่าวมาเป็นตัวเลขคราวๆ ในปี 2013 โดยเมื่อเปรียบเที่ยบตัวเลข GDP ของประเทศต่างๆ จะค่อนข้างแปรผันไปตามจำนวนประชากรของประเทศนั้นๆ
         
โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัว ของประเทสมาชิกอาเซียน ในปี 2013 เท่ากับ 3,831.8 ดอลล่าร์ยูเอส แต่เมื่อเปรีบเที่ยบตัวแลขผลิตภัณฑ์มวบลรวมต่หัวของแต่ละประเทศแล้วจะเห็นว่ามีความแตกต่งกันเป็นอย่างมากโดยไม่มีความสอดคล้องกับจำนวนประชากรแต่อข่างไร  แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถด้านเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ โดยจะแสดงให้เห็นตัวเลขผลิตภัฒฑ์มวลรวมต่อหัว เรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อย ตามลำดับดังนี้ สิงคโปร์ 55,xxx ดอลล่าร์ยูเอส บรูไน 39.xxx ..., มาเลเซีย 10,xxx.., ไทย 5,6xx.., อินโดนีเซีย 3,4xx..., ฟิลิปปินส์ 2,7xx.., เวียดนาม 1,9xx.., ลาว 1,5xx.., กัมพุชา 1,xxx.., พม่า 8xx..,
           จำนวนนักท่องเที่ยวในกลุ่มสมาชิกอาเซียน
            เมื่อพิจารณาประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียน มีความแตกต่างกันเป็นอย่างมากทั้งในแวของ เศรษฐฏิจ สังคม การเมือง ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี แต่ละประเทศมีประวัติศาสตร์ ที่แตกต่างกัน ทำให้กลุ่มประเทศเหล่านี้มีความหลากหลายไม่ซ้อแบบกันอย่างน่าสนใจ ทำให้แต่ละปะเทศมีจุดเด่นของตนเองเป็นเอกลักษ์และแบบเฉพาะของตน แต่ละประเทศมีจุดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งในกลุ่มสามาชิกอาเซียน และนอกประเทศสมาชิกอาเซียน นิยมเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศต่างๆ ในกลุ่มรปะเทศอาเซียนโดยไม่ซ้ำแบบกัน
            ซึ่งตลาดทางท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ให้แ่ก่ประเทศได้เป็นจำนวนมหาศาล โดยในปี 2012 มีนักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวภายในกลุ่มประทเศสมาชิกอาเวียน จำนวนทั้งสิ้น กว่าแปดสิบเก้าล้านคน เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยภายในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเว๊ยน ด้วยกัน จำนวนทั้งสิ้น สี่สิบเก้าล้านคน คิดเป็น 55.3% โดยหากแบ่งตามจำนวนนักที่องเที่ยวที่เดินทางภายในประเทศสมาชิกอาเซียน เรียงตามลำับจากมากไปหาน้อย ได้แก่
          - มาเลเซียน 25 ล้านคน 28%
          - ไทย ยี่สิบสองบล้านคน  25%
          - สิงคโปร์ 14 ล้านคน 16%
          - อินโดนีเซีย แปดร้านคน 9%
          - เวียดนาม หกล้านแปดแสนคน..7%
       
- ฟิลิปปินส์ สีล้านสองแสนคน 4%
          - กัมพูชา สามล้านห้าแสนคน 4%
          - ลาว สามล้านคน 3%
          - พม่า หนึ่งล้านคน 1%
          - และบรูไน สองแสนคน คิดเป็น 0.23%...
         นักท้องเที่ยวที่เดินทางมาจากภายนอกประเทศกลุ่มประเทศอาเซียน จากมากไปน้อย ประกอบด้วย จีน สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา อินเดีย ไตหวัน รัสเซียน ตามลำดับ


              - "ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ASEAN Tourism Information" กลุ่มงานข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร, สำนักงานจังหวัดภูเก็ต..

วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2560

The tourist

          การท่องเที่ยวอาเซียน : ความหลากหลายที่ลงตัว ด้วยความหลากหลายทางศิลปะ ความร่ำรวย
ทางวัฒนธรรม และความบริสุทธิ์งดงามของธรรมชาติ ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นจุดดึงดูดที่สำคัญของปรเทศในกลุ่มอาเซยนและเป็นที่มาของเม็ดเงินมหาศาลที่แต่ละประเทศได้นำใช้ในการพัฒนามาช้านาน อย่างไรก็ตาม เป้นในที่รับรู้กันในแวดวงการท่องเที่ยวอย่างแพร่หลายว่า ที่ผ่านมานั้นแต่ละประเทศในภุมิภาคอาเวียนมีการแข่งขันกันเองอย่างดุเดือดในการดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เข้ามาท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยในประเทศของตน กล่าาวได้ว่าการทำการประชาสัมพันะือย่างเช้มข้นของแต่ละประเทศทำให้เกิดแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกมากมาย เช่น หาดสวรรค์แห่ง ภูเก็ต บาหลี หรือบาราเค ไปจนถึงเมืองแห่งตึกระฟ้า เช่น สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ หรือนครแห่งวัดวาอาราม เช่น กรุงเทพ รวมไปถึงนครวัด
           ในแง่การตลาดระดับภูมิภาคมีความพยายามมานานในการผลักดันให้กิดความร่วมมือกนเพื่อส่งเสริม "ASEAN Destination" แบบไม่แยกส่วน กล่าวคื อให้ประเทศในกลุ่มอาเวียนไ้จับมือกันเพื่อเพิ่มมุลค่าเพ่ิมให้กับการท่องเที่ยวของภุมิภาค เพื่อที่จะแข่งขันกับกลุ่มประเทศอื่นๆ แทนท่จะแข่งขันกันเอง นอกเนหือจากองค์ประกอบที่ชัดเจนของการท่องเที่ยวในอาเซียน เช่น ประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์แล้ว จุดขายที่โดดเด่นของอาเซียน คือ "ความแตกต่างหลากหลาย"
          จะมีภูมิภาคใดบ้างใดลกที่นักท่องเทียวสามารถสัมผัสความทันสมัย สะดวกสบายของเมืองใหญ่ และสามารถมีประสบการณ์อันน่าทึ่งกับชาวบ้านที่ยังคงใช้ชีวิตเรียบง่าย ภายใต้ชีวิตและขนบประเพณีแบบดั้งเดิม
           จะมีภูมิภาคใดบ้างที่่นักท่องเทียวจะได้เห็นร่องรอยประวัติศาสตร์และสภาปัตยกรรมของประเทศที่เคยถูกเป็นเมืองขึ้นของตะวันตกกับประเทศที่สามารถคงความเอกราชมาได้อย่างยาวนาน
           จะมีภูมิภาคใดบ้างที่นักท่องเที่ยวได้เห้ฯความสมบูรณ์ของทรัพยากรทางธรรมชาติ ทั้งป่าเขา ท้องทะเล ซึ่งมีระบบนิเวศที่มีความพิเศษแตกต่าง
         
ทั้งหมดนี้ล้วนสัมผัสได้ในภูมิภาคอาเซียนซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางจากประเทศหนึ่งไปสู่อีกประเทศหนึ่งภายในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ดังนั้น การเกิดขึ้นของประชาคมเศราฐกจิอาเซียนจะเป้นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญในมิติของการท่องเที่ยวที่จะทำให้เกิดการสร้างกฎเกณฑ์และมาตรฐาน ตลาดจนสร้างพลวัตของตลาดแรงานฝีมือเพื่อไปสู่เป้าหมายใหญ่คือการสร้างแบรนด์ "อาเซียน" ที่มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะเพื่อสื่สารไปสู่นักท่องเที่ยวในนานาประเทศทั่วโลก รวมทั้งนักท่องเที่ยวในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน
            ความร่วมมือดังกล่าวจะทำให้เกิดการสร้างนวัตกรรมด้านการท่องเที่ยวใหม่ๆ ผ่านการแบ่งปันองค์ความรู้ด้านการจัดการแหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนสร้างกระแสการท่องเที่ยวสีเขียวให้เป็นกระแสหลลัก หากอาเซียนมียุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคที่ชัดเจนและถูกทิศถูกทางทำให้การท่องเที่ยวเป็นหัวหอกด้านการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมในการนำภูมิภาคนี้ไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นธรรม และไม่แบ่งแยกอย่างแท้จริงwww.aseanthai.net/ewt_news.php?nid=4473&filename=index
             อาเซียนถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งจากภายในภูมิภาคและระหว่างประเทศ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มสูงขึ้นมาโดยตลอด ในปี 2013 นั้นมีนักท่องเที่ยวมาเยื่อนอาเซียนทั้งสิ้น 99.2 ล้านคน เพ่ิมขึ้น11.73% จากปีก่อนหน้า
              มีความก้าวหน้าสำคัญในการอำนวยความสะดวกการเคลือนย้ายบริการและแรงงานมีทักษะอย่างเสรี โดยการดำเนินการตาม ASEAN Mutual Recognition Arrangement (MRA) on Tourism Professionals นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนามาตรฐานด้านการท่องเที่ยวสำหรับโรงแรมสีเขียว โฮมสเตย์ บริการสปา ห้องสุขาสาธารณะ เมืองท่องเที่ยวที่สะอาดและมีพื้นฐานจากชุมชนและรับรองมาตรฐาน ซึ่่งจะเป้นการช่วยเสริมสร้างคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์และบิรการด้านต่างๆ ในสาขาท่องเที่ยว มีการทำการตลาดและสงเสริมกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวอาเซียนร่วมกับภาคเอกขนผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงเว็บไซต์ด้านการท่องเทียวอาเซียน ให้มีคุณภาพดีขึ้น
           
ด้านการร่วมมือกับประเทศที่มิใช้สมาชิกอาเซียนนั้น ในปัจจุบันมีความร่วมมือกับ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี เพื่อเป้ฯการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศเหล่านั้นด้วย การท่องเที่ยวอาเซียน ได้ร่วมกันกำหนดแผนการรวมกลุ่มสาขาการท่องเที่ยของอาเซียนขึ้น โดยแผนการรวมกลุ่มสาขาท่องเที่ยวดังกล่าวจะมีส่วนำสำคัญต่อการเร่งรัดการเปิดเสรีการบริการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภูมิภาครวมถึงมาตการต่างๆ ในการอำนวนความสะดวก การเดินทางของนักท่องเที่ย เช่น กระบวนการออกวีซ่าให้เป้นมาตรฐานเดียวกัน การยกเว้นวีซ่าให้คนชาติอาเซียน การเร่งรัดการจัดทำ อาเซียน ซิงเกิล วีซา และมาตรการการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม และมาตรการการสงสเริมการตลาดร่วมกันเพื่อประชาสัมพันะือาเว๊ยนในฐานะแหล่งท่องเที่ยวร่วมกัน ตลอดจนมีการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวอาเซียน โดยล่าสุดคือแผนระหว่างปี 2011-2015 เพื่อพัฒนาไปสู่การท่องเทียวที่ยั่งยืน
          แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวเป้นผลจากการประชุมกลุ่มทำงานพิเศษด้านการบูรณาการการท่องเที่ยวอาเซียน ในปี 2009 ที่ต้องการพัฒนาพิมพ์เขียวในการกำหนดนโยบายและโครงการต่างๆ ขององค์กรท่องเที่ยวระดับชาติอาเซียน ทั้งในด้านการตลาด การัพฒนาผลิตภัฒฑ์ มาตรฐาน การพัฒนาบุคลากร การลงทุน และการสื่อสารระหว่างกันโดยมีการกำนดวัตถุประสงค์ ไว้ดังนี้
           - ทบทวนปฏิญญา ความตกลงต่างๆ ในการัดตั้งประชาคมอาเว๊ยนและการบรูณาการภาคการท่องเทียว อาทิ กรอบข้อตกลงด้านการต้าบริการอาเซียน
           - ปรึกษาหารือกับองค์กรพัฒนาเอกชนอาเซียน และประธานหน่วยทำงานต่างๆ ตลอดจนภาคเอกชน เพื่อหาข้อมูล แนวความคิด ข้อเสนอแนะในด้านวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ สำหรับการท่องเทียวอาเวียนภายในปี 2015
            - ประเมินผลการทำงานของ NTOs คณะทำงานต่างๆ ที่ควรดำเนินการเื่อกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายของการท่องเที่ยวอาเซียนภาในปี 2015
            - จัดเตรียมแผนการดำเนินงานสำหรับการท่องเที่ยวอาเซียน ดดยมีการระบุโครงการและกิจกรรม กรอบระยะเวลา และผุ้รับผิดชอบ
            โดยการดำเนินงานตามแผนฯ นั้นจะยึดหลัการสำคัญ 6 ประการคือ
             1.การพัฒนาการท่องเที่ยจะต้องเป็นการพัฒนาดดยมีการบูรณาการและมีรูปแบบ
             2. มีความยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ
             3. ได้รับความร่่วมมือจากผุ้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงกว้าง
             4. มีการพัฒนาผลิตภัฒฑืการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ
             5. มีการบิรการเป็นเลิส และ
             ุ6. ได้รับประสบการณ์ ที่โดดเด่นและการมีปฏิสัมพันธ์
         
การประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยวอาเซียนเป็นการประชุมเพื่อหารือและกำหนดนโยบายด้นการท่องเทียวของอาเวียน โดยมีการประชุมปีละครั้ง การประชุมคร้งล่าสุดเป็นการประชุมครั้งที่ 18 เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2558 กรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมา ดดยมี ฯพณฯ U Htay Aung รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการโรงแรมและท่องเที่ยว เป็นประธาน มีสาระสำคัญของการประชุมโดยสังเขป คือ
          - มีความคืบหน้าในการดำเนินการตาม อาเซียน โอเพ่นส์ สกายส์ อะกรีเม้นต์ เพื่อเป็นการสงเสริมการท่องเทียวการท่องเที่ยภายในอาเซียนซึ่งถือป็นที่มาหลักของการเจริญเตบโตในด้านการท่องเที่ยว
          - ความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวอาเซียน 201132015 และเห็นพ้องว่าสำหรับแผนฯ ฉบับต่อไป ระหว่าง 2016-2025 นั้น อาเซียนควรมุ่งเน้นในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ โดยการนำเสนอประเด็นการท่องเทียวที่จะได้รับประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์และมีความหลากหลายและยึดมั่นในหลักการแห่งความรับผิดชอบ และการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวที่ทั่วถึงและสมดุล
          - ในด้านบุคลากรด้านการท่องเที่ยว ได้มีการับรองข้อเสนอที่จะจัดตั้งสำนักเลขาธิการท่องเที่ยว ได้มีการรับรองข้อเสนอที่จะจัดตั้งสำรักเลขาธิการระดับภูมิภาคขึ้นในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเป็นการอำนวย ความสะดวกและดำเนินการตามข้อตกลงยอมรับร่วม ในด้านผุ้ประกอบวิชาชีพด้านการท่องเที่ยว โดยจะมีการรับรองผู้ประกอบวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวประมาณ 6,000 ราย..
       
 - มีความคืบหน้าในการัพมฯาระบบการขึ้นทะเบียผุ้ประกอบวิชาชีพท่องเที่ยวอากวียน และะครงการอื่นๆ
         - ด้านการปรับปรุงคุณภาพ จะถือเป้นการเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของอาเซียน ในฐานะแหล่งท่องเทียวร่วม นอกจากจะมีความคืบหน้าในการจัดทำมาตรฐานด้านการท่องเที่ยวอาเซียนแล้ว ยังมีความคิดริเริ่ม ที่จะพัฒนามาตรฐานการจัดประชุมไมซ์ อีกด้วย
         - มีการิเริ่มจัดทำแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยการท่องเที่ยวอาเซียน และมีการจัดทำเว็บไซต์ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการหาข้อมูลในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
         - มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวอาเวียนในขช่องทางต่างๆ ทั้งเว็บไซต์ สื่งสังคมออนไลน์ และความร่วมมือกับภาคเอกชน
         - มีการพัฒนาผลิตภัฒฑ์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียนที่เน้นด้านธรรมชาติ ดดยได้มีการพัฒนา แผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์อาเซียน และด้านวัฒนธรรมด้วย
         - มีการปรับปรุงการเชื่อมโยงทางอากาศในอาเซียนผ่าน อาเซียน โอเพ่น สกายส์ อะกรีเม้นต์ และมีการเจรจากับประทศคู่เจรจา ได้แก่ จีน สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลี
         - มีการจัดงาน อาเซียน ทัวลิส ฟอร์ลัม 2015 ณ กรุง เนปิดอว์ ประเทศเมียนมา ภายใต้ชื่อ งาน "อาเซียน-ทัวลิสต์ ทูวาส เพส พลอสเพอริตี้
         - ในวาระเดียวกันยังมีการประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 14...www.aseanthai.net/ewt_news.php?nid=3963&filename=index




วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560

HUB Part 2

            ไทยกับการเป็นศุนย์กลางธุรกิจการบินอาเซียน
             มีการศึกษาภาพรวมธุรกิจการบินไทยในปี 2556-2558 ว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยที่กำลังจะก้าวเข้าสู่การป็นประชาคมเศษฐกิจอาเซียน และจากการขยายตัวของธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำ ทั้งในประเทศและในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าในปี 2556 จะมีจำนวนเที่ยวบินมมาทำการบินผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งเป็นท่าอากาศยานหลักและรองของประเทศ รวมทั้งสิ้น 440,170 เที่ยวบิน เพ่ิมขึ้นร้อยละ 16 เมื่อเที่ยบกัยปีที่ผ่านมา
            นอกจากนี้ยังมีตัวเลขจากการพยากรณ์ทางการ ตลาดโลก หรือโกลบอล มาร์เก็ต ผอร์คาสต์ ของบริษัทผลิตอากาศยานค่ายยุโรประบุว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2556-2575 ) อัตราการเินทางทางอากาศจะเติบโตขึ้นถึงร้อยละ 4.7 ต่อปี โดยอากาศยานที่มีในปัจจุบันประมาณ 17,740 ลำ ทั่วโลกจะเพ่ิมขึ้นเป็นเกือบ 36,560 ลำ ภายในปี 2575 ซึ่งภายนปีดังกล่าวภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกจะมีอัตราการเดินทางทางอากาศเพ่ิม สูงขึ้น แซงหน้าภุมิภาคยุโรปและอเมริกาเหนือ โดยปัจจุบันการเินทางทางอากาศเฉลี่ยทั่วโลกที่เพ่ิมสูงขึ้น ร้อยละ 5.5 ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีความต้องการอากาศยานโดยสารใหม่สุงถึงร้อยละ 36 ตามมาด้วยยุโรป ร้อยละ 20 และอเมริกาเหนือ ร้อยละ 19
              สำหรับ ภูมิภาคอาเซียนน้นกระแสการตื่นตัวรับการก้าวเข้าสู่การเป้นประชาคมเศราฐกิจ อาเซียน ก่อให้เกิดกิจกรรมต่างๆ มากมาย ทั้งากร้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ส่งผลให้เกิดความเติบโตทางเศราฐฏิจ รวมทั้งอำนาจซื้อที่เพ่ิมสูงขึ้นของระชากรในภูมิภาค ก่อให้เกิดความเป็นเมืองตามมา ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค สงผลให้เกิดการเดินทางระหว่างประเทศอาเซียนมากยิ่งขึ้น และเกิดการขยายตัวของตลาดการท่องเที่ยวในประเทศอาเซียนอีกด้วย
             
นอกจากนี้การเปิด AEC ยังก่อให้เกิดปัจจัยสนับสนุนธุรกิจการบินอีกปัจจัยหลัก คือ เปิดเสรีการบินอาเซียน ในปี 2556 โดยเป็นกรอบความตกลงพหุภคีเพื่อให้ประเทสสมาชิกอาเซียนสามารรถขนส่งทางอากาศระหว่างกันโดยไม่จำกัดจำนวน ความจุความถี่ แต่ทั้งนี้ยังคงเผชิญอุปสรรคจากกฎหมายและกฎระเบียบข้อบังคัยภายในประเทศของ แต่ละประเทศสมาชิกอยู่ อย่างไรก็ตามกระแสการรวมเป็น AEC ก็ส่งผลให้เกิดความคึกคักต่อธุรกิจการบินในภูมิภาคเป็นอย่างมาก ดยทำให้เกิดการเพ่ิมเที่ยวบินและขยายเส้นทางการบินมายังประเทศอาเซียน และเส้นทางการบินระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะ อย่างยิ่งการเติบโตของธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำ ซึ่งมีแรงดึงดูดทางด้านราคา ทั้งนี้ในระหว่างปี 2554-2556 มีการเปิดตัวสายการบินต้นทุนต่ำในภูมิภาคอาเวียนกว่า 7 สายการบิน ใน 6 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม สปป.ลาว เมียนมาร์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
              นอกเหนือจากนี้ยัวมีการขยายเส้นทางการบินไปยังจุุดหมายปลายทางระหว่างเมืองต่างๆ ในอาเวียนมายิ่งขึ้น เช่น การขยายเส้นทางการบินของสายการบินต่างๆ ที่มีฐานการบินในไทย ไปยังเมืองต่างๆ ของเมยนมาร์ อาทิ ย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์-เนปิดอว์ และการขยยายเส้นทางการบินไปยัง สปป.ลาว การเพ่ิมขึ้นของจำนวนสายการบินซึ่งทำการบินเส้นทางกรุงเทพฯ-เสียมเรียบ ปรเทศกัมพูชาเนื่องจากได้มีการยกเลิการสงวนเส้นทางไว้ให้เฉพาะบางสายการบิน การขยายเส้นทางบินของสายการบินแห่งชขาติกัมพูชามายังไทยและไปยังเวียดนาม เป็นต้น
              สำหรับประเทศไทยแล้วนับว่ามีความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้ง ที่มีพรมแดนติดกับประเทศอาเซียนถึง 4 ประเทศ และมีจุดแข็งจากการเติบโตของธุรกิจการบินอย่างโดดเด่นในภูมิภาค พิจารณาจากจำนวนผุ้โดยสารที่เดินทางมาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในปี 2555 เป็นอัดนดับ 2 ของภูมิภาค องจากท่าอากาศยานซูการ์โน่ฮัตตา ของอินโดนีเซีย อีกทั้งไทยยังมีอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินที่แข็งแกร่ง โดยที่ผ่ามารมีบริษัทต่าชาติให้ความสำคัญในการเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิต ชิ้นส่วนเครื่องบินเพื่อการส่งออก โดยในปี 2555 ประเทศไทยมีมูลค่า การนำเข้า-ส่งออกเครื่องบินและชิ้นสวนเครื่องบิน มูลค่ากว่า 142,241 ล้านบาท และในปี 2556 ระหว่างเดือน ม.ค.-ส.ค. มีมูลค่าการนำเข้า-ส่งออกเครื่องบินและชิ้นส่วนเครื่องบินกว่า 137,224 ล้านบาท เติบโตกว่าร้อยละ 93 เมื่อเที่ยบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
             ดังนั้นเพื่อเป็นการรองรับธุรกิจการบินที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้นอกจาก
ประเทศไทยมีความมุ่งหวังที่จะเป็นศูนย์กลางทางการบินของภูมิภาคแล้วยังมีเป้าหมายที่จะเป็น "ศูนบ์กลางซ่อมบำรุงอากาศยานของภุมิภาค" เพื่อรอบรับปริมาณเครื่องบินที่จะเพิ่มขึ้นในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย
             สิงที่ไทยต้องลงมือทำอย่างจริงจัง ก็คือควรเร่งพัฒนาศักยภาพเพือดึงดูดปริมาณเครื่องบินต่างๆ โดยเฉพาะเครื่องบินจากกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีการเติบโตทางด้านธุรกิจการบิน แต่ยังขาดความพร้อมทางด้านวิศวกรรมการบิน ควรวางแผนดานการพัฒนาทรัพยกรบุคคลที่มีคุณภาพ ซึ่งปัญหาังลก่าวต้องไดรับการพิจารณาและเร่งดำเนินการแก้ไข เนื่องจากการเติบโตอย่างมากของธุรกิจการบินอาเซียนได้ทำให้รัฐบาลของประเทศ ต่างๆ เล็งเห็นถึงโอากาสเช่นกัน เช่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึงเป็นสมาชิกอาเซียนก็มีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางซ่อมบำรุงอากาศยานของ ภูมิภาคด้วยเช่นกัน เหนือสิงอืนใดคือควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสายการบินต่างสัญชาติที่มีฐาน การบินในไทยให้มาใช้บริากรศูนย์ซ่อมอากาศยานของไทย ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่ามูลค่าการซ่อมบำรุงอากาศยานทั่วโลก ในปี 2562 จะมีมูลค่าถึง 63,000 ล้านเหรียญสหรัฐwww.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1384493044
            ว่ากันว่า ในปี 2558 ที่ผ่านมา สายการบินในประทศไทยมีจำนวนฝูงบินรวมกันทังสิ้น 208 ลำ เพ่ิมขึ้นจากปี 2556 จำนวน 31 ลำ การขยายตัวดังกล่าวสอดรับกับการเติบโตของธุรกิจการบินในภุมิภาคเอเชยตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีความคึกคักอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา และพบว่าในช่วงปี 2555-2448 ผุ้โดยสารที่มีจุดหมายปลายทางมายังเอเชียตะวันออกเแียงใต้ขยายตัวในอัตโดยสารที่มีจุดหมายปลายทงมายังเอเชียตะวันออเแียงใต้ขยายตัวในอัตรา 9.2 % ต่อปี สูงกว่าอัตราการเติบโตของจำนวนผุ้โดยสารทั่วดลกที่เติบโตเฉลี่ย 6.2% ต่อปี ในช่วงเวลาเดียวกัน
            ศุนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า ที่ผ่านมาบริษัทผุ้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ได้มีการพยากรณ์ว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า หรือปี 2578 จะมีผุ้โดยสารที่มีจุดหมายปลายทางมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 2,360 ล้านคน หรือขยายตัวเฉลี่ย 6% ต่อปี ขณะที่การเดินทงไปยังจุหมายปลายทางทั่วโลกเติบโตเฉลี่ยที่ 4.8 % ต่อปี
         
  จากแนวโน้มดังกล่วนี้จะส่งผลให้ขนาดของตลาดธุรกิจกาบินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตขึ้นจากเดิม ทำใ้หลายฝ่ายต่างจับตามองว่าประเทศไทยีความพร้อมเพียงพอที่จะรองรับโอากสจาการเติบโตของธุรกิจการบิในภุมิภาคมากน้อยเพียงใด โดยศุนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ธุรกิจสายกาบินในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งมิติของจำนวนผุ้โดยสารในประเทศและต่างประเทศ และจำสนวเส้นทางการบินและผูงบิน เนืองจากประเทศไทยเป็จุดหมายปลายทางระดับโลก บวดกับที่มีกลุ่มสายการบินโลว์คอสต์เข้ามามีบทบาทสำคัญขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดว่าในปี 2559 ภาพรวมของธุรกิจกาบินของไทก็น่าจะยังเติบโตได้คอ่นข้างดี ซึ่งความเชื่อมั่นดังกล่าวสะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในช่วง 7 เดือนแรก มากถึงจำนวน 19.54 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่า 11.9% และยังวิเคราะห์ด้วยว่า ในระยะยาวแนวโน้มธุรกิจการบินในไทยจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการขยายเส้นทงการบินที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงไปยังภูมิภาคต่างๆ ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
            นอกจากนี้ยังมีสายการบินท้องถ่ินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังได้เล็งเห็นศักยภาพของไทยในการใช้ไทยเป้นฐานการบินและมีแผนใช้ประเทศไทยเป็นฮับการบิน เพื่อขยายเส้นทางไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนและเอเชีย ทั้งนี้การขยายตัวทงเศรษฐกิจของกบุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะ CLMV ที่กำลังเติบโตจากการหลังไหลของเงินทุนจากต่างชาติคู่ขนานไปกับปัจจัยสนับสนุนด้านการท่อเที่ยวของไทยและภูมิภาค CLMV ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจาก๓ุมิภาคอื่นให้เดินทงมายังอาเซียน จะสนับสนุนให้เกิดความคึกคักของการเินทางภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก
             จึงนับเป็นโอกาศที่ไทยจะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการบินของภูมิภาคอาเซียน ด้วยศักยภาพธุรกิจสายการบินในไทยที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างชัดเจน รวมถึงปัจจัยด้านภูมิศาศตร์และสภานการณ์ธุรกิจสายกาบินของไทยที่เอื้ออำนวย
            ดังนั้น หากไทยสามารถเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาให้สามารถเป็นศูนย์กลางทางการบินเพื่อเชื่อมต่อระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเวียนกับประเทศต่งๆ ทั่่วโลกได้ ก็จะนำมาซึ่งโอากสทางเสรษฐกจิและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจำนวนมากwww.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1475721114
            กอบกาญจน์ หารือพันธมิตร ผลักดันไทยเป็นฮับการบินอาเซียน
            รมว.กอบกาณจน์ ประชุมร่วมกับหน่วยงานรัฐ และเอกชน พิจารณาเพิ่มเส้นทางสายการบินในแถบ CLMV เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ อาเซียน คอนเนกต์ หาเมืองที่มีศักยภาพในการเดินทางท่องเที่ยและเชื่อมโยง C2L และ L2L ผลักดันไทยเป็นฮับด้านกาบินในอาเซียน "คิดถึงอาเซียน..คิดถึงประเทศไทย"
            นางกอบกาญจฯ์ วัฒนาวรางกุร รัฐมนตรีว่าการกระทรงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยการประชุมร่วมหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ถึงการทำ อาเซียน คอนเนกท์ ที่แบ่งเป็น 2 ระดับ จากระดับเดิมที่มีอยู่แล้ว เป็นระดับที่มีอยุ่แล้ว ต้องมีการโปรโมทต่อ ระดับนี้เหมือนเป็นระดับที่มีการ link long hall ที่าแถบประเทศไทย 2 country 1 dastination ทำอย่างไรให้มีมาขึ้น และ อาเซียน ทู อาเซียน คือ ทำอย่างไรให้คนในอาเซียนไปมาหาสู่กันมากขึ้น เป็นการท่องเที่ยวระหว่างกัน ซึ่งเป็นเมืองระดับรองต่อกับระดับรอง
         
 ส่วนการพิจารณาเพิ่มเส้นทางสายการบินในแถบ CLMV เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ อาเซียน คอนเนกต์ โดยหาเมืองที่มีศักยภาพในการเดินทางท่องเที่ย และเชื่อมโยง ดังที่กล่าวมแล้ว เพื่อผลักดันให้ไทยเป็น HUB ด้านการบินในอาเซียน "คิดถึงอาเซียน..คิดถึงประเทศไทย" ได้มีการจัด ลิสต์ ชื่อเมืองขึ้นมาเพื่อพิารณา โดย ททท. จะรับผิดชอบเรื่อง ลิสต์ ชื่อเมืองต่างๆ ทอท. จะมีการลิสต์เส้ทางการบินที่เหลืออยู่ในแง่ สลอตการบิน โดยกรมการบินพลเรือน และทอท.จะสรุป สล็อตการบินที่มีเลหือยุ่ ณ ขณะี้ เพื่อทำให้เกิดสายการบินได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ สนามบินหลัก สล็อตการบินเหลือน้อยมาก นอกจากนี้ ยังมีสนามบินจุดอื่นๆ เช่น อู่ตะเภา หรือสนามบินทางภาคอีสาน ที่ยังมีโอากสเติบโตได้อีก สิ่งที่สำคัญคือ ทำอย่างไรให้เมืองที่เราทำขึ้นมาตอบโจทก์ได้มากที่สุดทั้งไทยและเพื่อบ้าน
         
 ส่วนด้านการตลาด ต้องเป้นการแลกเปล่ยนกันทั้งไทย ทั้ง อิน บอนด์ และ เอาท์ บอนด์ ผลลัพธ์ต้องตอบโจทย์ความต้องการของทั้งสองฝั่ง ถ้าไทยจะเชื่อมต่อกับใคร ความต้องการตรงกันหรือไม่ เช่น ไทย-เวียดนาม ไทย-พม่า ไทย-มาเลเซีย สิ่งนีจะเป็นการตอบโจทย์ของนายกรัฐญมนตรี ทีท่านเพ่ิงไปประชุมมาด้วย ว่าสิ่งสำคัญไทยจะต้องดูแลประเทศอาเซียน ด้วยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งดันและกัน
           "เมื่อเราวาแผนการดำเนินงาน และตกลงกันได้แล้ว เราจะต้องมีการร่วมหารือกับประเทศเพื่อบ้านอีกครั้ง โดยประเทสไทยจะมีการเปิดตัวอย่าง อาเซียน คอนเนกต์ เป้ทางการในงาน ทีที่เอ็ม พลัส ตซึ่งทาง ททท. ได้เชิน โอเปอร์เรเตอร์ จากทั่วโลการ่วมงาน ที่จัดขึ้นที่เชียงใหม่ โดยจะมีการตั้งชื่องานอย่างเป็นทางการอีกครั้ง"
             ก่อนหน้านี้ ทีที่เอ็ม พลัส มีการแตะเรื่องอาเซียนมาโดยตลอดแต่ครั้งนี้จะเป็นการยกระดับการเป็น ฮับ ในประเทศอาเซียนอย่างแท้จริง โดยเป็นการผนึกกำลังกันในส่วนภาคของการท่องเทียวทั้งหมด คือ ททท. สายการบินฐ, ทอท., กระทรวงคมนาคม ซึ่งได้ของความร่วมมือกระทรวงคมนาคมพิจารณาเรื่องต่อรันเวย์ให้เครื่องใหญ่ลงที่สนามบิน แม่สอด แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน โดยได้รับการแจ้ง่า แมสอดได้งบประมาณรอเรื่องการซ้อที่เพิ่ม คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จเร็วๆ นี้ เพราะเป็นเขตเศราฐกิจพิเศษ...www.thansettakij.com/content/32404
           
           

วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2560

HUB

          อาเซียนทุ่มลงทุนสนามบิน เดิมพันฮับการบิน
          อาเซียน เป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางทั่วโลก โดยท่าอากาศยานในอาเซียนที่มีผุ้คนโดยสารเดินทางมาเยือนติดอันดับมากที่สุด 20 อันดับแรกของโลกคือ ท่าอากาศยานสุวรรณภุมิของไทย ท่าอากาศยานชางงีของสิงคโปร์ และท่าอากาศยานซุการ์โน-ฮัตตาของอินโดนีเซีย โดย 1-2 ปีที่ผ่ารม ทุกสนาบินในอาเซียนมีผุ้โดยสารหนาแน่นเกินศักยภาพในการรองรับกว่าเท่าตัว ทำให้แต่ละสนามบินต่างก็เร่งลงทุน เพื่อเดิมพันตำแหน่งศนุย์กลางทางการบินของภุมิภาค
สนามบิน สุวรรณภูมิ
          ประเทศไทยมีแผนพัฒนาสนามบิน 6 แห่ง ในช่วง 5 ปี ข้างหน้า เช่นท่าอากาศยานสุวรรณ๓ูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ เชียงราย หาดใหญ่ และภูเก็ต ด้วยงบลงทุนกว่า แสนสีหมืนล้านบาท โดยจะสามารถรองรับปริมาณผุ้โดยสารได้ถึง 165 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบัน 83.5 ล้านคนต่อปี ซึ่งปี 2558 มีผุ้ใช้บริการแล้วกว่า 106 ล้านคน
          สิงคโปร์อาคารผุ้ดดยสารหลังใหม่แห่งที่ 4 ในชื่อ "Jewel" เป็นอาคารสูงเหนือผิวดิน 5 ขัน และใต้ดินอีก 5 ชั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จ ในปี 2561 รองรับผู้โดยสารเพ่ิมขึ้นจาก 17.7 ล้านคน เป็นปีละ 24 ล้านคน ด้วยเม็ดเงินลงทุนประมาณ 8 หมื่นล้านบาท
       
Jewel
 เวียดนาม อยู่ระหว่างใช้งบประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เร่งยกระดับพัฒนาสนามบินทั่วประเทศ 22 แห่ง รวมถึงสนามบินนานาชาติ 10 แห่ง โดยตั้งเป้าแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2561 ขณะที่การท่าอากาศยานเวียดนาม ประการเลื่อน ก่อสร้างสนามบิน "ลองแถ่ง" ว่าที่สนามบินใหย่ที่สุดของปรเทศ ในจังหวัดโด่งนาย ตั้งอยู่ทางทิสตะวันออกของนครโอจิมินห์มูลค่า 5 แสนล้านบาท รองรับผุ้ดดยสาร 100 ล้านคน ต้องเลือนการก่อสร้างไปในปี 2564 เนื่องจากความซับซ้อนในการเตรียมงานก่อสร้าง
         มาเลเซีย เพ่ิงเปิดบริการ กัวลา ลัมเปอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล แอร์พอร์ต 2"  สนามบินแห่งที่ 2 เมื่อพฤษภาคมปีที่แล้ว องรับผุ้โดยสาร 45 ล้านคนต่อปี ใกล้เคียงกับสนามบินสุวรรณภูมิ
          สำหรับเมียนมา กำลังจะมีว่าที่สนามบินนานาชาติแห่งใหม่ "หันตาวดี" อยู่ห่างกรุงย่างกุ้งออกไปราว 80 กิโลเมตร รอบรับการท่องเที่ยวและเดินทางเพื่อธุรกิจ คากเปิดใช้ได้ในเดือนธันวาคมปี 2562 รองรับผู้โดยสารได้ 12 ล้านคนต่อปี เสริมศักยภาพสรามบินย่างกุ้งซึ่งปัจจุบันรองรับได้ราว 3.7 ล้านคนต่อปีเท่านั้น
          ฟิลิปปินส์ กำลังดำเนินการก่อสร้างอาคารผุ้โดยสารหลังใหม่ของสนามบินคลาร์ก อินเตอร์เนชั่นแนล ภายใต้งบประมาณ 1 พันล้านบาท และกำลังทบทวนแผนสร้างอาคารผุ้โดยสารของสายการบินโลว์คอสต์หลัวใหม่เพิ่ม
สนามบิน "ล่องแถ่ง"
         นอกจากนี้ยัวเตรียมพิจารณาพัฒนาสนามบินแห่งใหม่ที่จุดซังเลย์ บริเวณอ่าวคาวิตและลากูนา เพื่อทดแทนสนามบินนานาชาตินินิย อาคิโน ที่แออัด..www.krobkruakao.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99/21465/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AE%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%99.html
          ชิงความเป็น "ฮับ" ประตู่สู่ AEC
          เป็นที่คาดกันว่าหลังเปิดประชาคมอเซียน จะทำให้การเดินทางไปมทาหาสู่ระหว่างประเทศต่างๆ ในภุมิภาคคึกคักมากขึ้น รวมถึงการเดินทางเข้ามในอาเซียนจากผุ้คนในภุมิภาคอื่นๆก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
           ประตูด่านแรกทีจะเป็นที่รองรับบรรดานักเดินทางเข้ามาก็คือ "สนามบิน" ประเทศในอาเซียนจึงเร่งพัฒนาสนามบินหลักของตนเพื่รองรับจำนวนนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่จะเพ่ิมขึ้น และที่สำคัญคือได้เป็นฮับ หรือ ศูนย์กลางการบินในภูมิภาค
         
สนามบิน "หัตาวดี"
จากสถิติปี 2558 สนามบินซูการ์โน-ฮัตตา ของอินโดนีเซียน เป็นสนามบินที่มีผุ้โดยสารมากที่สุดคือ กว่า 57 ล้านคน ส่วนหนึ่งน่าจะมจากประชากรของอนโดนีเซียที่มีอยู่ถึง 250 ลานคน แต่ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ทางใต้ของภุมิภาค ประกอบดับภัยธรรมชาิตที่เกดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้สนามบินแห่งนี้ยังห่างไกลจากการเป็นฮับอาเซียน
           ่ส่วนสนามบินชางงีของสิงโคดรปื ที่ตั้งเป้าเป็นฮับอาเซียนนับว่ามีความพร้อมเป็นศูนยืกลางการบินของอาเซียนอย่างแท้จริง จำนวนตัวเลขผุโดยสารของปี 2557 ที่ 54 ล้าคน มากเป็นอันดับ 2 ของภุมิภาค ด้วยสิงดโปร์เป็นศูนย์กลางธุรกิจ ทั้้งยังมีระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัยถึงตอนนี้สิงคโปร์ไม่ได้มองเพียงแค่ดารเป็นฮับของอาเซียนเท่านั้น แต่ยังมองไปถึงการเป็นฮับของทวีปเเอเชีย เพื่อเที่ยบชั้นสนามบินชั้นำของเอเียอย่งดูไบและฮ่องกงแล้ว ไม่เพียงแค่จำนวนผุ้โดยสารที่มากแต่สนาบนิชางงียังติดอันดับในการจัดอันดับสนามบินที่ดีที่สุดของโลกมาหลายครั้ง เพียบพร้อมทั้งความทันสมัยและการบริหารจัดการ
KLIA 2
            ล่าสุด นายลุย ดังยิว รมว.คมนาคมสิงคดปร์ ประกาศแผนระยะยาวทุ่มวบประมาณกว่า เจ็ดหือนห้าพันล้านบาท ขยายอาคารผู้โดยสารหลงที่ 5 เพื่อรองรับผู้โดยสาร 70 ล้าคนเมื่อดครงการเสร็จสมบุรณืในปี 2568
             ด้านสนามบินสุวรณภูมิถือว่ามีชัยภูมิที่เหมาะสมเพราะตั้งอยู่ตรงกลางของภูมิภาคพอดี ถือว่าได้เปรียบประเทศอื่นไม่น้อย นอกจากนั้นแล้วยังมีเรื่องของการท่องเที่ยวของไทยที่ได้รับความนิยมเป็นลำดับต้นๆ เป้นเหตุให้สุวรรณภุมิมีผุ้โดยสารมากถึง 46.6 ล้านคน ในปี 2557 มากเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาค
              ในส่วนของเวียดนาม ก็เร่งพัฒนา สนามบนิลองแถ่ง ที่จังหวัด่งนาย ทางตอนใต้ เพื่อระบายความแออัดจากสนามบินเตินเซินเญิ้ต ที่นครโฮจิมินห์ และพม่าที่กำลังสร้าง สนามบิน หันตาวดี สนามบินแห่งใหม่ของประเทศไม่ไกลจากนครย่างกุ้ง
               สุดท้ายแล้ว การเป็นอับของภูมิภาคไม่ได้วัดที่จำวนว ผุ้โดยสารและคุณภาพของสนามบินเท่านั้นแต่ยังรวมถงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่นศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน และการควบคุมการจรจรทางอากาศที่มีประสิทธิภาพอีกด้วยdaily.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObWIzSXdOVEUxTURnMU9BPT0=&sectionid=TURNd05nPT0=&day=TWpBeE5TMHdPQzB4TlE9PQ==
             
           

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...