วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ASEAN Tourism... According to Roy, before

             ในสมัยตอนต้รรัชกาลที่ 9 เป็นช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที 2 ซึ่งเศรษฐกิจล่มสลาย ผุ้คนส้ินเนื่อประดาตัว จักรวรรดินิยมอังกฤษและฝรั่งเศสล่มสลาย แต่รัสเซียนและจีนซึ่งยังมีเงินได้เผยแพร่ลัทธิการปกครองแบบคอมมิวนิสต์เข้ามาแทนจักรวรรดินิยม ขณะที่ประเทศในเอเชียที่เพิ่งพ้นากการเป็นเมืองขึ้นของตะวันตกกำลังพะวงและยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะใช้ระบอบการปกครองแบบไหน ทำให้เกิดสงครามครั้งใหม่คือสงครามเกาหลี ตามมาด้วยสงครามเวียดนาม
            ยุคสัยนั้นทังดลกตะวันตกและตะวันออกมีความพยายามป้องกันการแผ่ขยายองลัทธิคอมมิวินิสต์ เมื่อปี พ.ศ.  2497 มีการทำสนธิสัญญามะนิลา และในสนธิสัญญานั้นมีข้อตกลงข้อหนึ่งที่เีก่ยว้องกับประเทศไทย คือการจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงตใต้ หรือ สปอ. SEATO มีสมาชิก 8 ประเทศ ได้แก่ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออกเตรเลีย นิวซีแลนด์ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และไทย โดยตั้งสำนักงานในเมืองไทย
            ด้วยสภานการณ์ในปี พงศ. 2502-2503 คอมมิวนิสต์รุกคืบเข้ามประชิดถึงชายแดนแม่น้ำโขงแล้ว รัฐบาลไทยเกรงว่าคอมมิวนิสต์จะเป้นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากก่อนนั้นมีตัวอย่างห้เห็นในประเทศ รัสเซียน ลาว เวียดนาม และกัมพูชา รัฐบาลไทยพยายามทุกวิถีทางป้องกันไม่ให้คอมมิวนิสต์เข้ามา จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในเวลานั้นจึงกราบทูลให้ในหลวงเสด็จประพาสต่างประเทศ โดยรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการทางการทูตส่งจดหมายไปยังนานาประเทศ ให้แต่ละประเทศตอบรับก่อน
           " การเสด็นประพาศต่างผระเทศเริมในปี พงศ. 2502 เริ่มต้นที่เียดนามใต้ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของสหรัฐอเมริกา จากนั้นเสด็จฯ อินโดนีเซียที่เคยเป็นอาณานิคมของฮอลแลนด์ ประเทศที่สามคือพม่า ซึ่งมีพรมแกนติดกับจีนและเคยเป็นเมืองขึ้นขององักฤษที่กำลังพะว้าพะวง่ว่าจะเอาลัทธิคอมมิวนิสต์หรือไม่ เป้นการเสด็จไปดูสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร"
         
 พ.ศ. 2503 จึงเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาและยุโรป เรียบลำดับเ้นทางการเสด็จฯ ดังนี้ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอมนีตะวันตก โปรตุเกส สวิตเซอร์แลนด์เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน อิตาลี เพบเยียม ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ สเปน
            ที่สหรัญอเมริกา ในหลวงและสมเด็จพระราชินีได้รับการต้อร้บอย่างดีจากรัฐบาลสหรัฐ โดยการนำของประธานาธิบดี ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ และมีการแถลการณ์ร่วมกันลงวันที 28 มิถุนายน พ.ศ. 2503 ใจความตอนหนึ่งว่า
           "..ขอทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องรชอิสริยาภรณ์  Legion of Merit Chief Commander แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จอมทัพแห่งกองทัพไๆทย เนื่องจากพระราชกรณียกิจซึ่งทรงบำเพ็ยมาแล้วอย่งประเสริฐได้ทรงบำเพ็ยพระองค์เป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีและมิตรภาพที่มั่นคงในดลกเสรี..ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์เสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ ได้ปฏิบัตพระราชกรณียกิจเพื่อเสรีภาพ เอกราช และสันติาพถาวรของโลกใบนี้"
           หลังจากพระราชกรณียกิจที่สหรัฐผ่าไปด้วยดีแล้ว ในหลวงแลพระราชินีเสด็จประพาศอังกฤษ ซึ่งอังกฤษก็ดำเนิตามสหรัฐ คือให้การต้อนรับประมุขของไทยอย่างสมพระเกี่ยรติ โดย ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ประมุขของสหรัชอาณาจักร และเจ้าชายฟิลิป พระสวามีเสด็จฯ ต้อนรับ ณ สถานีรถไฟวิตอเรียด้วยพระองค์เอง และทรงประทับบนรถม้าเข้าสู่พระราชวังบักกิ้งแฮมร่วมกัน..
           เมื่อมีภาพการเสด็จฯ เยือนสหรัฐและอังกฤษเผยแพร่ออกไป จึงง่ายในการเสด็จฯ ประเทศอื่นในยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่เป้ฯการเสด็จฯ ตามเครือข่ายราชวง์ยุโรปที่รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จฯ มากก่อน ที่สำคัญคือการที่สหรัฐอเมริกาและองักฤษต้อนรับประมุขของไทย ำทให้ประเทศทั้งหลายในฝ่ายสัมพันธมิตรยอมรับสถานะของไทยว่าไม่ใช้ผุ้แพ้สงคราม
          "คนที่ให้เบาะแสเรื่องวัตถุประสงค์ในการเสด็จฯ ต่างประเทศครั้งคือ ดร.ถนัด คอมันตร์ ซึ่งเป้นผุ้ตามเสด็จในเวลานั้น" ไกรฤกษ์กล่าว
          " ท่านถนัดบอกว่า ในตอนที่เสด็จฯ กระทรวงต่างปรเทศ คิดว่าสำนักพระราชวังจะบันทึกพระราชภารกิจไว้ แต่มารู้ตอนหลังว่าสำนักพระราชวังก็ไม่ได้บันทึก เรพาะคิดว่ากระทรวงการต่างประเทศจะบันทึก เรื่องนี้จึงขาดหายไปและคลุมเครือว่าพรองค์ท่านเสด็จฯ ทำไม ท่านถนัดเล่าว่าทุกคือนก่อนเข้าพรรทม พระองค์ทรงเรียกไปปรึกษาหารือว่าจะทำอย่างไรต่อ พรุ่งนี้จะเจอใคร จะคุยเรื่องอะไร เป้นบรรยากาศที่ค่อนข้างเครียด ท่านถนัดบอกอีกว่า การเสด็จฯ ครั้งนันเป้นการเสด็จฯ เพื่อทำพระราชภารกิจที่ที่สำคัญเท่ากับสมัยที่รัชกาลที่ 5 เสด็จเจรจาเรื่องรัฐกันชนเมือปี 2440" ไกรฤกษ์ยกคำบอกเล่าของ ดร.ถนัด...
       
ต่อมา พ.ศ. 2505 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ปากีสถาน มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ซึ่งเป้ฯประเทศสมาชิก สปอ.
           ปี พ.ศ.2506 เสด็จฯ ญีปุ่่น ได้หวัน ฟิลิปปินส์
            ปี พ.ศ.2507 เสด็จฯ ประเทศกรีซ เพื่อร่วมงานอภิเษกสมรสพระเจ้าคอนสแตนตินที่ 2
            ปี พ.ศ. 2509 เสด็จฯ เยอรมนีตะวันตกและออกเตรีย
            ปี พ.ศ. 2510 เสด็จฯ อิหร่าน ซึ่งตอนนั้นังมีารชวงศ์อยู่ และทรงเสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกาและแคนาดา หลังปี 2510 ไม่เสด็จฯ เยือนต่างประเทศอีกเลย กระทั้ง
            ปี พ.ศ. 2537 เสด็จฯ ทรงเปิดสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว เป้นครั้งสุดท้ายในการเสด็จฯ ต่างประเทศhttps://www.prachachat.net/rama9royalfuneral/news-51760
           เสด็จฯ เยือนอาเซียน
           เสด็จเยือนเวียดนาม 
           "..ในการมาเยือนประเทศท่านครั้งนี้ เราได้นำเอาไมตรีจิตและความปรารถนาดีของประชาชนของเรามาด้วย ควารู้สึกอันนี้แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพที่มีมาอย่งผาสุกระหว่งประเทศของเราทั้งสองมาแต่เก่าก่อน การที่ ฯพณฯ ได้คยไปเยือนประเทศของข้าเจ้านั้น ยังจำกันได้อย่งชัดเจนและได้อย่างน่าชื่นชมความมีน้ำใจและความเข้าอันดีของท่าน ทำหใ้การไปเยื่อนของท่านครั้งน้นเป็นผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้ารู้สึกแน่ใจว่า การไปเยือนประเทศไยของท่านครั้งนั้นเป็นผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เข้าพเจ้ารู้สึกแน่ใจว่า การไปเยือนประเทศไทยของท่านครั้งนั้นและการมาเหยือนของข้าพเจ้าครั้งนี้ จะช่วยพระชับสัมพันธไมตรีอันมีมาแต่เก่าก่อนนี้ให้ยังยืนสถาพรสืบไป..." พระราชดำรัสบางส่วนของรัชกาลที่ 9
             เเมื่อเสด็จกลับไปยังประเทศไทย ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเวียดนามได้ตอบกลับโทรเลขความว่า
            " เรารู้สึกเชื่อมั่นว่า การเสด็จฯ ของใต้ฝ่าละออกธุลีพระบาททั้งสองพระองค์ ซึ่งได้ทิ้งความทงจำอันจะลบเลือนมิได้ไว้ทุกปก่งที่พระงอค์เสด็จพระราชดำเนินผ่านไป จะช่วยกระชับสัมพันะไมตรีที่เคยดำรงมาระหว่างประชาชนของเราให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
              ถึงแม้จะยังรู้สึกเสียใจ ที่การเสด็จฯ พำนักของพระองค์ครั้งนี้เป็ฯไปชั่วระยะเวลาอันสั้น ทางฝ่ายเรา ข้าพระเจ้าขอให้พระองค์ทั้งสองทรับรับความปรารถนาดีอันล้นพ้นเพื่อความสุขสวัสดีของพระองค์และพรบรมวงศานุวงศื และเพื่อความยิ่งใหญ่ของรัชสมัยของพระองค์ และความเจริญรุ่งเรืองของประชาชนชาวไทย"https://www.thairath.co.th/content/772737
            เสด็จเยือนอินโดนีเซีย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 8-16 กุมภาพันธ์ 2503 ประชาชนชาวอินโดนีเซีย เฝ้า ฯ รับเสด็จและถวายการต้อนรับระหว่างทางจากสนามบินไปสู่ที่ประทับ ณ พระราชวังเนการา
           http://www.prdnorth.in.th/The_King/king-abroad_02.php
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยงุ่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนีนาถเสด็จถึงสนามบินดูบัน บาหลี อินโดนีเซีย ประทับบนพระแท่นเพื่อรับความเคารพจากทหารกองเกี่ยรติยศ ประธานนาธิบดี วูการ์โน นำเสด็จพระบาทสมเด้พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินผ่านประชาชนชาวอินโดนีเซียที่เผ้ารอรับเสด็จ ชาวบาหลีโปรยดอกไม่หอมเป็นการถวายการต้อนรับ
              เสด็จพระราชดำเนินเยือนพม่า..โดยเสด็จตามคำกราบบังคมทูลเชิญของนาย อู วิน หม่อง ประธานาธิบดีของพม่า ระหว่างวันทีี่ 2-5 มีนาคม 2503 โดยเสด็จฯ ไปพร้อมกบสมเด็จพระนางเจาฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อเครื่องบินจอดเที่ยบ ทันที่ที่ได้เสด็จประกฎพระองค์ที่ประตูของเครื่องบิน ก็มีปืนใหญ่ยิ่งสลุตถวายคำนับ 21 นัด เมื่อเสด็จฯ ถึง ณ ที่บริเวณประรำพิธี ท้งสองพระงอค์ขึ้นสุแท่นถวายความเคารพ รพ้อมด้วย พระธานาธิบดี อุ วิน หม่อง และมาดาม วิน หม่อง
             หลังจากนั้นทั้งสองพระงอค์ได้เกสพ็จฯ ไปยังทำเนียบประธานาธิดบีพท่า ซึ่งทางฝ่ายรัฐบาลพม่าได้จัดไว้เป้นที่ประทับ และเสด็จฯ ไปยังห้องรับแชขกเพื่อให้ประธานาธิดบี อู วิน หม่อง ไ้เข้าผ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชอิสริยภพรณ์ ชั้นสูงสุดของพม่าชื่อว่ "อัครมหาสิริสฺธรรมา" และพระองค์ก็ไ้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภร์ปฐมจุลจอมเหล้าเป้นการตอบแทน ในการนี้ทางฝ่ายนายกรัฐมนตรีของพท่า ได้ขอพระราชทานนวโรกาศถวายพระกระยาหารกลางวัน..
           ในวันแรก เมื่อเสด็จฯไปถึงยังประเทศพม่า ได้เสด็จฯ เพื่อรบคำกราบบังคมทูลรับเสด็จากนากยกรฐมนตรี ณ ศาลาเทศบาลเมืองยางกุ้งในวเลาบ่าย 3 โมงครึ่ง ระหว่างทางที่ชาวพม่ามารอรับเสด็จอย่างเนืองแน่น มีการโปรยข้าวตอกดอกไม้เพื่ออวรพระตลอดเส้นทางกรเส็จฯ เมื่อรถยนต์พระที่นั่งมาถึง ณ ศาลาเทศบาลเมืองย่างกุ้ง ก้มีการปรธคมกลองชนะ ตามประเพณีรับเสด็จ
           จากนั้นเสด็จฯ ไปทรงงางพวงมาลา ที่สุสานอาซานี หรือสุสานวีรชน ที่บรรจุศพวีนรชนของชาติซึ่งเสียชีวิตเมื่อครั้งพม่าได้รับเอกราชใหม่ๆ
            วันรุ่งขึ้น 3 มีนาคม 2503 ทั้งสองพระองค์ฉลองพระองค์ตามแบบราชประเพณีไทยเเพื่อเสด็จฯ ไปยังมหาเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งการที่ฉลองพระองคเช่นนี้สืบเนื่องมาจากการเลปี่ยนธรรมเนียมของพม่าในการถอดรองเท้าทั้งชาวพื้นเมืองและชาวต่างชาติก่อนเข้าสูเขตพุทธสถาน ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี อันเป็นพระราชประสงค์ที่จะแสดงให้เห็นถึงพระราชไมตรีอันดีแก่ชาวพม่า ก่อนเสด็จกลับทั้งสองพระองค์ได้ทรงปลูกต้นโพธิ์ 2 ต้นที่นำไปจากประเทศไทย เพื่อเป็นอนุสรณืแห่งสัมพันธไม่ตรีระหว่างไทยกับพม่า จากนั้นเสด็๗ฯ โดยทางชลมารค(ทางเรือ) เพื่อประทับเรือพระที่นั่งเมขา เพื่อชมทัศนียภาพของแม่น้ำอิรวดี ประธานาธิบดีพม่า ได้จัดการแสดงรำพื้นเมืองเพื่อถวาย ต่อจากนั้นเสด็จไปทรงเทนนิสต่วมกับประธานาธิดีพม่า
           วันที่ 4 มีนาคม 2503 ทรงเสด็จทอดพระเนตร โรงงานเภสัชกรรมของพม่าซึงถือว่ายิ่งใหญ่และทันสมัยที่สุดในเอเชีย ณ ขณะนั้น พระองค์ทรงให้ความสนพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นเวลา 20.00 น. ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำ แก่ประธานาธิบดี และภรรยา รวมถึงนายกรัฐมนตรีด้วย บรรยาการศในงาน บรระลงไปด้วยเพลงพระราชนิพนธ์ และมีการจัการฟ้อนเล็บแบบประเพณีไทยสมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้พระราชทานของทีระลึกเป็นเล็บฟ้อนทองคำ แก่มาดามวิน หม่อง บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความครื้นเครงเป็นกันเอง ข้าราชการฝ่ายไทยและฝ่ายพม่ารวมรำวงอย่างสนุกสนาน..
           จากนั้นเสด็จกลับในวันรุ่งขึ้น... นอกจากนั้นพระบรมวงศานุวงศืชขั้นสุงก็เสด็จฯ เยือนพม่าอีกหลายครั้ง เพื่อเพิ่มพูนความสัมพันะ์ยิ่งขึ้นไป ดังพระราชดำรัสที่ว่า
            " ยึดมั่นในสัจจะแก่งพุทธศาสนาอย่างเดียวกัน รวมทั้งการยึดมั่นในสันติภาพและความร่วมมือตอกัน.."https://www.thairath.co.th/content/772737
           สหพันธรัฐมาลายา หรือมาเลซียในปัจจุบัน ใน ปี 2505 "ยังดิ เปอร์ตควน อากง" ซึ่งเป็นชื่อตำแหน่งที่หมายถึง "กษัตรยิ์ของมลายา" และ "ประไหมสุหรี" ซึ่งหมายถึง "พระราชินนี" ได้ถวายการต้อรับและได้ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดแดในหลวงรัชกาลที 9www.dailynews.co.th/article/286314
            ฟิลิปปินส์ ทรงเสด็จฯเยือนอย่างเป็นทางการในวันที่ 9-14 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 เพื่อเป้นการเจริญสัมพันธ์ไมตรีระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณะรัฐฟิลิปปินส์ เป็นหน้าประวัติศาส๖ร์ครั้งสำคัญของโลกเสรีนิยมที่กำลังอยุ่ในบรรยากาศของสงครามเย็น
            9 กรกฎาคม 2506 วันเเรกของการเสด็จฯเยือน ประธานาธิดบี ออสคโด มากาปากัล และภริยา พร้อมด้วยคณะทุตานุทูต..เฝ้ารอรับเสด็จที่ท่าอากาศยานกรุงมะนิลา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ประมุขระดับพระมหากาัตรยิ์เสด็จพระราชดำเนินเยือนเป็นครังแรกภายหลังได้รับเอกราช
            ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ได้กราบังคมทุลับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวและสมเด้จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยกล่าวถึงมิตรภาพความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศที่มีมา ซึ่งรพะบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวทรงมีพระราดำรัสตอบตอนหนึ่่งว่า "ถึงแม้ว่าคนไทยและคนฟิลิปปนส์จะมัลักษณะท่าทางตลอดจนการคร่องชีพและอุดมคติในทางการเมืองคล้ายคลึงันทุกย่างก็ตามที แต่ประชาชนทั้งสองประเทศนี้ก็ยังไม่มีความรู้จักกันเพียงพอนัก ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เราต้องมาที่นี้ เพระว่าจะเป็การช่วยทำใหประชาชนทั้งสองประเทศได้เกิดความสนใจซึ่งกัและกันมากขึ้น นี้เป็นส่ิงที่เราต้องการเหนือส่ิงอื่นใดในการมาเยือนครั้งนี้"..https://web.facebook.com/9mcot/videos/722182027936175/?_rdc=1&_rdr
             ในปี พ.ศ. 2537 นั้น ถือเป็นกรณีพิเศษมาก เพราะในวันที่ 8-9 มีนาคม พ.ศ. 2537 พระบาทสมเด็นพระเจ้าอยุ่หัวไ้ด้เสด้จฯ เยือนสาธารัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งนับเป้นการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ทรงงว่างเว้นจาการเสด็จฯ มาเป็นเวลานานกว่า 30 ปี
           
เป็นการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพระราชกรณียกิจ คือ ทรงเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ร่วมกับ นายหนูอัก พูมสะหวัน ประธานประทศลาว ซึ่งเป้นสะพานแห่งแรกที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมดินแดนของทั้งสองประเทศเข้าด้วยกัน เป้ฯสะพานคอนกรีตอย่างทันสมัย ตัวสะพานมีความยาว 1,170 เมตร มีทางรถ 2 ช่วงทางจราจร  ทางเดิน 2 ช่องทาง และทางรถไฟ หว้าง 1 เมตร 1 ราง ใช้งบประมาณก่อสร้าง 30,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยความช่วยเหลือจากรัฐบาลออสเตรเลีย ใช้ระยะเวลาก่อสร้างระหว่าง ตุลาคม พ.ศ. 2534-เมษายน พ.ศ. 2537
            เมื่อทรงประกอบพิธเปิดสะพานแล้ว ได้เสด็จพระราชดำเนินต่อไปทรงงานยังดครงการพระราชดำริต่างๆ ที่ได้พระราชทานให้แก่ ประชาชนชาวลาวมาก่อนห้านั้น เพื่อทรงติดตามความก้าวหน้า จากนั้นจึงได้เสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่ที่ประทับที่ทางการลาวจัดถวาย ณ อาหารหอค่ำ ในเวลาค่ำ นายหนูอัก พูมสะหวันประธานประเทศลาว และภริยา ไ้จัดถวายพระกระยาหารค่ำ...https://www.thairath.co.th/content/374841
               ชูเส้นทาง "ทรงงาน" ร.9 เชื่อมเที่ยวอาเซียน
                ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาิที่เดนทางเข้าไย เป้นปลุ่มที่เดินทางมาซ้ำ สัดส่วน 70% โดยกลุ่มนี้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทุปี ขณะที่กลุ่มเดนทางมาไทยเป้นครั้งแรก สัดส่วน 30% สะท้อนภาพได้ว่าสถานที่ท่องเที่ยว ความหลากหลายทางะรรมชาติ สินค้าบริการศฺลปวัฒนธรรมไทย ความคุ้มค่าเงนิ และคนไทย ล้วนเป้นเสน่ห์จูงใจให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเดนิทางมาเยือนได้บ่อยครั้ง
               ยุทธศักดิ์ สุภสร ผุ้ว่ากากรการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในฐานะแม่ทัพใหญ่ขับเคลื่อนแผนการตลาด การโฆษณาประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการท่องเที่ยวไทย เล่าว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มมาซ้ำ มีแนวโน้มขยายตัวสุงขึ้น เพราะสิ่งอำนวนความสะดวกในการเดินทาง ทางบก ทางอากาศ และทางน้ำ เชื่อมต่อการเข้าถึงสภานที่ท่องเที่ยวจากเมืองรองของแต่ละประเทศบินตรงสุ่เมืองท่องเที่ยวของไทยได้อย่งสะดวกรวดเร็ซ ซึ่งเป้นผลมาจาการเปิดเส้นทางการบินของสายาการบินปกติ และสายการบินต้นทุนต่ำ(โลว์คอสต์ แอร์ไลน์) รวมถึงความหลากหลายของสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีทุกรูปแบบให้นักเดินทางได้เปิดประสบการณ์ตลอดการพักผ่าน
              ทั้งนี้ โจทย์ใหญ่ในการสงเสริมการตลาดในปีช่วงครึงปีหลัง และต้นปีหน้า เน้นการสร้างสมดุลสัดส่วนนักท่องเที่ยว โดยบการำนเสนอความหลากหลายสินคาและบริการเพ่ิมขึ้น การเจาะกลุ่มเฉพาะ (นิชมาร์เก็ตป ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อรักษาฐานที่มีความชื่นชอบและรักที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย ขณะที่กลุมเฟิร์ส วิสิท ต้องเร่งให้เติบโตทุกตลาด เพระากลุ่มน้ยินดีจ่ายและกำลังซื้อสูง
              "แนวโน้มการท่องเที่ยวเดือน พ.ย.-ธ.ค.นี้ ยอดการจองล่วงหน้าในหลายตลาดคอนข้างเติบโต ทั้งเ้นทางระยะใกล้และระยไกลอย่างจีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย ยุโรป อเมริกา ส่วนระยใกล้ ดยเฉพาะตลาออาเวียนจะเร่งสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยเป้นวิกเอเด์ เดสติเนชั่นของคนอาเซียน" ยุทธศักดิ์ กล่าว
                นอกจากนี้ ททท. อยู่ระหว่างการรวบรวมเส้นทางทรงงานของพระบาทสมเด็๗พระปรมินทรมหาภุมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 บริเวณพื้นที่ที่สามารถเชื่มโยงการเดินทางกับประเทศสมาชิกอาเซียนในทุกภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ ตะวันออก เฉียงเหนือ และใต้ เพื่อจัดทำเป้นเส้นทางเพ็กเกจการทอ่งเที่ยวตามรอยทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 รวมถึงการนำเสนอซ๊อปปิ้งที่เกิดขึ้นมาจากดครงการพระราชดำริให้กับนักท่องเที่ยวอาเซียนที่ชื่นชอบากรซื้อสินค้าไทยด้วย 72 เส้นทางตามรอยจะนำเสนอกับตลาดอาเซียนควบคู่ดวย
              ยุทธศักดิ์ บอกว่ ช่วงไตรมาศ 4 ททท. เตรียมเปิดตัวแคมเปญปีแห่งการท่องเที่ยวอย่างเป้ฯางการ รวมถึงการทยอยจัดงานกิจกรรมส่งเสริมการเดินอีกหลายโครงการ เช่น ลอยกระทง ขระที่บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศเชื่อว่าการเข้าสู่ฤดูหนาว และอากาศที่เย็กว่าทุกปี จะกรุตุ้นให้คนไทยวางแผนเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้งในช่วง 2 เดือนสุดท้ายปลายปี ซึ่งคาดว่าไตรมาสสุดท้ายจะมีคนไทยเที่ยวประมาณ 40-50 ล้านคน/ครั้ง ขณะที่ต่างชาติจะเดินทางมาไทยตลอดปีนี้ประมาณ 34 ล้านคนhttps://www.posttoday.com/biz/aec/news/522106
             

         

วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560

The King is...

           
สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่อยุ่ควบคู่กับรัฐไทยและสังคมไทยมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษ การอพยพเรื่องมาของชนชาติไทยจากภูเขาอัลไตทำให้ได้รับอิทธิพลต่างๆ โดยเฉพาะชนชาติขอม (เขมรโบราณ) ซึ่งมีอารยธรรมและความเจริญอยู่แล้วและนับถือศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ชนชาติไทยจึงรับอิทธิพลของศสนาพรามหมณ์ฮินดูเข้ามาในระบบการเมืองการปกครองและสังคมไทยเป้นอย่างมาก แต่เดิมเื่อครั้งก่อตั้งรัฐไทยในอดีตจนถึงอาณาจักรสุโขทัยตอนต้น รัฐไทยมีการปกครองที่เป้ฯระบบการปกครองของคนไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของไทยโดยเฉพาะ คือระบบการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์ทรงมีสถานะเป็นเสมือน "พ่อ" และราษฎรมีสถานะเป็น "ลูก" มีความสัมพันะ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับราษำรเสมือนความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก
          แต่เมื่อชนาติไทยเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอินแดนสุวรรณภูมิอันเป้นอินแดนอิทธิพลของขอม ซตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ฮินดุพระมหากษัตริย์เป็นเสมือน "พระเจ้า" ที่อยุ่เหนือมวลมนุษย์ทังปว
 ตามคติความเชื่อของพรมหมณ์ฮินดูสถานะของราษฎรเป็นเสมือน "ผู้รับใช้พระมหากษัตริย์" ความสัมพันะ์ระหว่างพระมหากษัตริย์ดับราษฎรในรัฐไทยใหม่ในอาณาจักรสุโขทัยตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 19 จึงเปลียนไป..จากพ่อปกครองลูก เป็น นายปกครองบ่าว แทนที่ และในห้วงเวลาเดียวกันพุทธศาสนานิกายเถรวาทไ้แผ่เข้ามาในอาณาจักรสุโขทัยผ่านทางศรีลังกาและพม่าซึ่งเข้ามามีอิทธิพลต่อความเชื่อทางศาสนาของคนไทยและสังคมไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคติความเชื่อทางพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับหลักะรรมของผุ้ปกครอง อาทิ ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตรธรรม พรหมวิหารธรรม เป็นต้น
ประกอบกับการที่ชนาตไทยมีความผุกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์แบบ "พ่อครองลูก" ซึ่งเป็นระบบของไทยแต่ดั้งเดิมจึงยังคงมีอิทธิพลต่อความสัมพันะ์ระหว่างพระมหากษัีตริย์กับราษฎรผสมผสานกันระหว่างสถานะของพระมหากษัตริย์กับราษฎรแบบ "นายปกครองย่าว" และ "พ่อปกครองลูก" ทำให้ความผุกพันระหวางพระมหากษัตริย์กับราษฎรยังมีอิทธิพลของ "พ่อปกครองลูก" มากว่า "นายปกครองบ่าว"
         เมื่อรัฐไทยเปิ้เประเทศเข้าความทันสมัยแบบตะวันตกในรัชสมัยของรับกาลที่ 4,5,6 และ 7 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไยทั้งในด้านการเมือง เศราฐฏิจและสังคมเป็นแบบอบย่างประเทศตะวันตกเป็นอย่างมาก และเป็นปัจจัยสำคัญทีทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจกการตกเป็นอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจตะวันตกซึ่งในห้วงระยะเวลานั้นต่างก็มุ่งมั่นแสวงหาอาณานิคมไปทั้งโลกโดยเฉพาะเอเลียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยเป็นเพรียงประเทศเดียวในอินแดนสุวรรณ๓ุมิที่รอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคม สาเหตุสำคัญก้เพราะพระปรีชาสามารถในการแก้ปัญหาของพระมหากษัตริย์ไทยโดยเฉพาะรับกาลที่ 4,5,6และ 7 อย่างไรก็ดีภายหลังจากประเทศไทยเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์อันเกิดจากอิทธิพลของยุคสังคมสารสนเทศที่เร่ิมตั้งแต่ 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้อิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์มีประสิทธิภาพเป็นยอย่างมาก ประชาชนในประเทศต่างๆ รวมทั้งคนไทยสามารถรับรู้ขอมูลข่าวสารได้
อย่างไร้พรมแดน ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์สถาบนพระมหากษัริยืไทยสามารถกรทำกันได้อย่างหว้างขวางผ่านสื่อทางสังคมออนไลน์ในระบบสารสนเทศ ในทศวรรษที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันส่งผลให้มีการนำเอาแนวคิดเกี่ยวกับสถานภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ฺไทยมาเปรียบเที่ยบกับสถาบันพระมหากษัรริย์ในบางประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระมหากษัตริย์ของประเทศอังกฤษและญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่ปัจจัยอัเป็นองค์ประอบ สภาภาพ บทบาท หน้าที่ และทัสนคติ ความเชื่อมีความแตกต่างกันระวห่งสถบันพระมหากษัตริย์ไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์อังกฤษและญี่ปุ่นตามที่มีผุ้วิพากษ์วิจารณ์และเยแพร่ความคิดเห็นสู่สาธารณชนของทั้งไทยและต่างประเทศผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยเหตุนี้สถาบนพระปกเกล้าได้เล็งเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวจึงจัดสรรทุนวิจัยมอบหมายให้ รศ.ดร. ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ หัวหน้าโครงการวิจัย และคณะวิจัยประกอบด้วย ศ.พิเศษ นรนิตด เศรษฐบุตร ที่ปรึกษา, นางสาวปัทมา สูบกำปัง, ดร.สติธร ธนานิติโชติ, นางสาวนงลักาณ์ อานี และนางสาวอุมาภรณ์ ศรสุทธิ์ ทำการวิจัยเป็นระยะเวลา 10 เดือน (ตุลาคม 2556-กรกฎาคม 2557) โดยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษาสถานะและบทบาทของสถาบันพระมาหกษัตริย์ในสงคมไทยปัจจุบัน และทัศนาคติของประชาชนที่มีต่อสถานะและบทบาทของสถบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทยปัจจุบัน...
              ผลการวิจัยพบวว่า 1) ทัศนคติและควมเชื่อของคนไทยที่ีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มีอย่างเหนียวแน่นผุกพันกันอย่งแยกไม่ออกเสมือน "น้ำ" กับ "ปลา" กล่าวคือประชาชนเป็นเสมือน "น้ำ" และพระมหากษัตริย์เป็นเสมือน "ปลา" ซึ่งทังน้ำและปลาต้องพึงพาอาศัยกันควมเชื่อว่าพระมหากษัตริยืเป็นเสมือน "พ่อ" และประชาชนเป็นเสมือน "ลูก" ที่เคยผูกพันซึ่งกันและกันมาในอดีตก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมาจนถึงปัจจุบันอันส่งผลให้คนไทยส่วนใหญ่เชื่อว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มีคุณูปการต่อคนไทย รัฐ
ไทย และสังคมไทย, 2) สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมีการปรบตัวให้เข้ากับสภาวการณ์ของการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดมาทำให้สถาบัพระมหากษัตริย์ไทยมีความทันสมัยอันส่งผลดีต่อเสถียรภาพทางการเมืองและผลประโยชน์แห่งชาติ 3) สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมีการแลกเปลี่ยนพึ่งพาระหว่างสภาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนได้อย่างเหมาะสมลงตัว 4) สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมีความเป็นตัวแทนของชาติและประชาชน, 5) สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาติทำให้ชาติมีความเข้มแข็งและดำรงความเป็นชาติได้อย่างยั่งยืนตลอดมา, 6) เมื่อเปรียบเที่ยบกับสถบันพระมหากษัตริย์ของประเทศอังกฤษและประเทศญี่ปุ่นมีความแตกต่งกันทั้งสภาพภูมิหลังทางประวัติศสตร์คติความเชื่อในสถบันพระมหากษัตริย์ กล่าวคือคนอังกฤษมีทัศนคติและความเชื่อว่าสถบันพระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ของเอกภาพและคุณความดของชาติ ส่วนคนญี่ปุ่นมีคติความเชื่อว่าจักรพรรดิเป้นส่วนประกอบของรัฐที่ศักดิ์สิทธิ์เสมือนพระอาทิตย์ซึ่งเป็นเสมือนพระเจ้าผุ้ให้กำเนิดและคุ้มคีองชาติและประชาชน ด้วยเหตุนี้สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย สถาบันพระมหากษัตริย์อังกฤษ และสถาบันจักรพรรดิญี่ป่นุจึงมีความแตกต่างกันทั้งในด้านประวัติความเป็นมาคติดความเชื่อและอุดมการณ์ทางการเมืองของประชาชน..
http://kpi.ac.th/media/pdf/M10_636.pdf


            ชีวิตส่วนพระองค์
            กีฬา พระบาทสมเด็จพระปมรินทรมหาภุมิพลอดุลยเดชโปรดกีฬาเรือใบเป้นพิเศษ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของประเทศไทยแข่งเรือใบในกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 9-16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยทรงเข้าค่ายฝึกซ้อมตามดปรแกรมการฝึกซ้อม และทรงได้รับเบี้ยเลี้ยงในฐานะนักกีฬา ซึ่งพระองค์ทรงชนะเลิศเหรียญทอง และทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเหรียญทองจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาภ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงออกแบบและประดิษฐ์เรือใบยามว่างหลายรุ่น พระองค์พระราชทานนามเรือใบปรเภทม็อธ Moth ที่่รงสร้างขึ้นว่ เรือใบมด เรื่อใบซูเปอร์มด และเรือใบไมโครมด ถึงแม้วาเรือใบลฃำสุดท้ายที่พระงอค์ทรงต่อคือ เรืองโม้ค moke เมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 เรือใบซูเปอร์มดยังถุกใช้แข่งขันในระดับนานาชาติที่จัดในประเทศไทยหลายครั้ง ครั้งสุดท้าย คือ เมื่อปี พ.ศ. 2528 ในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 13
           ดนตรี
            พระองค์ทรงดนตรีได้หลายชนิ เช่น แซ็กโซโฟน คราดิเน็ต ทรัมเป็ด กีตาร์ และเปียโน โปรดดนตรีแจ๊สเป็นอย่างมาก และพระองค์ได้ประพันธ์หลายเพลง เช่น เพลงพระราชนิพนธ์แสงเท่ยน เป็นเพลงแรก รวมบทเพลงที่ประพันธ์ทั้งสิ้น 48 เพลง
            เพลงชะตาชีวิต หรือ H.M.Blue เป็นเพลงรพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 5 ทรงพระราชนิพนธ์หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อที่ประทเศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงพระนิพนธ์คำร้องภาษาอังกษhttps://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%8A#.E0.B8.8A.E0.B8.B5.E0.B8.A7.E0.B8.B4.E0.B8.95.E0.B8.AA.E0.B9.88.E0.B8.A7.E0.B8.99.E0.B8.9E.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.84.E0.B9.8C
              VR 009 
               "มนัส ทรงแสง" อดีตรองอธิบดีกรมไปรณีย์โทรเลข และอดีตรองเลขาธการ สำนักงานคณะกรรมการอกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ผุ้ใช้าหัสนักวิทยุสมัคเล่น VR 019 ยกย่อว่พระอัจฉริยภาพทางด้านการสื่อสาร
             
สมเด็จพระปรมินทรมหาภุมิพลอดุลยเดช ทรงสนพระทัยด้านการสื่อสารตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พระองค์ท่านทรงให้ความสำคัญกี่ยวกับการสื่อสารอย่างมาก เพื่อใ้ในกาตอดต่อสื่อสารกับประชาชน ตลอดจนการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ของพสกนิกรชาวไทย ที่ประสบภัยพิพบัติด้วย
               จุดเริ่มจ้รกำเนิดวิทยุสมัครเล่นในไทย ก่อตั้งและผลักดันตั้งแต่เมื่อปี 507 มีเจ้หน้าที่สถานทูตอเมริกา ทหารที่ปฏิบัติงานในประเทศไทย ร่วมกับ ข้าราชการพลเรือน ตังเป้นสมาคนนักวิทยุสมัครเล่นแห่งประเทศไทย แต่ไม่อนุญาตให้ใช้วิทยุได้ เพราะเหตุด้วยภัยความมั่นคง
                หลังจากนั้นปี 2524 พล.ต.ต. สุชาติ เผือกสกนธ์ อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข กราบบังคมทูลสมเด็จพระปรมินทรมหาภุมิพลอดุลยเดช  ขอพระราชวินิจฉัย ให้ใช้วิทยุสื่อสารเพื่อประดยชน์สาธารณะ ให้ถูกกฎหมาย ไม่ต้องแอบใช้กัน
                พระองค์ท่านก็รับสั่งว่า "ก็ดีซิ ที่เค้าจะได้ภาคภูมิใจ"
                 พระองค์ท่านได้รับ การทุลเกล้าทุลกระหม่อม ภวายควอไซท์ VR 009 จาก พล.ต.ต.สุชาติ เผือกสกนธ์ ในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเปิดศูนย์ฯ และตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษา พล.ต.ต.สสุชาติ เป้นคนนำพิธีถวายพระพรชัยมงคลทางวิทยุด้วย จนจบ โดยพล.ต.ต.สุชาติ ได้กล่าวรายงานสรุปว่า มีผุ้มาถวายพระพรกี่คน จากนั้นก็เงียบ..แต่พระองค์ท่านทรงติดต่อเข้ามาว่า "ขอบใจ VR001 (พล.ต.ต.สุชาติ) ที่มาอวยพรวันเกิดให้กับ VR 009 ในวันนี้" ซึ่งทุกคนตื่นเต้นดีใจที่พระงอค์ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อวงการวิทยุสมัครเล่น
               ในช่วงนึง พระองค์ทรงใช้ VR 009 คุยกับ VR019 (มนัส ทรงแสง) พูดถึงเรื่องของเล่น พระองค์ท่านถามมาว่า "ยังจำความได้มั้ยเมื่อสมัยเด็กๆ VR019 มีของเล่น ระหว่างของเล่นที่ซื้อ กับของเล่นที่ประกอบเอง อันไหนมีความหมายมากว่ากัน...? ก็ยัวไม่ทันได้ตอบ พระองค์ท่านก็ตาอบมาว ไของที่ประดิษ์ขึ้เอง ถึงแม้ว่ามันจะไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ แต่มันมีความหมายมาก..."
               ในช่วงเหตุวาตภัยที่อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เมื่อปี 2539 ซึ่งมนักวิทยุสมัคเล่นอย่กออกไปช่วยเหลือชาวบ้าน และติดต่อเข้ามายังศูนย์สายลม เพื่อขอความช่วยเหลือ ต้องเตียมการอย่างไร ขณะนั้น พระองค์ท่านติดต่อเข้าม เพื่อแนะนำวิธีที่ถุต้องให้อาสาสมัครในการออกไปช่ยเหลือประชาชน กล่าวว่า
             "สิ่งสำคัญคือ การไม่เข้าไปเป็นภาระของคนในพื้นที่ พร้อมเตรยมระบบเครื่องมือสื่อสารที่มีความพร้อม ด้วยการนำวิทธยุในรถยนต์ไปติดตั้งในตัวเมือง โดยให้หาพื้นที่สูงติดกับเสาสัญญาณ เพื่อให้นักวิทยุที่เข้าไปในพื้นที่สาารถติดต่อออกมาได้" และยังละเดียวถึงขึ้นต้องเตียมเรื่องแบตเตอรีสำรอง ต้องมีฉนวนหุ้มแบตเตอรีป้องกันไม่ให้โดนโลหะ หรือเศษสตางค์ทำให้ช็อตขั้น และไม่มีพลังงานใช้..https://www.it24hrs.com/2016/vr-009-king-bhumibol-hs1a-vr-009/
              "คุณทองแดง" สุนัขทรงเลี้ยง 
               ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดศุนย์การแพทย์พระราม 9 ก็ได้มีนายแพทย์คนหนึ่ง นำลูกหมาที่มีลักษณะโดดเด่นตัวนี้มาทูลเหล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวทอดพระเนตร แล้วจึงมีรับสังว่า ให้นำเข้ามาเลี้ยงเรพาสภาพของนังแดงผุ้เป็นแม่หนานั้น ทรุดโทรมเ็มที่ ไม่สามารถเลี้ยงลุกเองได้
               เจ้าหมาน้อยตัวนี้ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายตัวเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ขณะที่อายุได้ 5 สัปดาห์ ที่พระตำหนักจตรลดารโหฐาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวพระราชทานชื่อว่า "ทองแดง" และเมื่อเป็นสุนัขทรงเลี้ยง จึงเรียกขานว่า "คุณทองแดง" เช่นเดี่ยวกับสุนัขทรงเลี้ยงตัวอื่นๆ คุณทองแดง นับเป็นสุนัขทรงเลี้ยงตัวที่ 17 ในพระบรมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...
                คุณทองแดงเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากเป็นสุนัขทีแสนรุ้ผิดกับสุนัขทั่วไป รุปร่างของคุณทองแดงนั้น พระบาทสมเด็นพระเจ้าอยู่หัว ทรงระลึกว่า เคยทอดพระเจตเห็นในหนังสือเกี่ยวกับสุนัขพันธ์ุต่างๆ เมื่อทรงค้นในหนงสือเล่นั้น ก็ปรากฎว่า ทองแดงมมีลักษณะบางประการคล้ายคลึงกับสุนัขพันธุ์ "บาเซนจิ"..
               เมื่อเข้ามาอยู่ในวังคุณทองแดงก็เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระจ้าอยุ่หัว เนื่องจากเปนสุนัขทีฉลาดมากความฉลาดของคุณทองแดง เช่น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเรยกให้คุณทองแดงขึ้นเฝ้าเพื่อทีจะชั่งน้ำหนัก แค่เพียงรับสั่งว่า "ทองแดงไปชั่งน้ำหนัก" คุณทองแดงก็จะเดินขึ้นตาชั่ง หรือเวลาที่พระบาทสมเ็จพระเจ้าอยุ่หัว เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่พระตำหนักเปี่ยมสุข พระราชวังไกลกังวล เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงาเพื่อทรงออกกำลังตรงถนนบริเวณชายหาด ซึ่งมีต้นพระตำหนักเปี่ยมสุข พระราชังไกลกังวล เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงมาเพื่อทรงออกกำลังตงภนนบริเวณชายหาด ซึ่งมีต้นมะพร้าวอยุ่ เพียงรับสั่งว่า "อ้อมต้นมะพร้าว" คุณทองแดงก็จะวิ่งอ้อมต้นมะพร้าวทันที่ โดยไม่ต้องมีการสอน และเมื่อวิ่งอ้อมต้นมะพร้าวไปสังครึ่งต้น คุณทองแดงก็จะหยุดหันมามองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว..
           
ในปี พ.ศ. 2545 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัว พระราชนิพนธ์ เรื่องทองแดง The Story of Tongdaeng เผยแพร่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษใสเล่มเดียวกัน เรื่องทองแดงเปนหนังสือพระรชนิพนธ์ที่ติดอันดับขายดีที่สุดของประเทศ โดยมีบริษัท อมรินทร์ บุ๊คเซ้นเตอร์ จำกัด เป้นผุ้รับจัดพิมพ์ ซึ่งสร้งปรากฎการณ์ใหม่ให้วงการหนังสือจากยอดจำหน่ายจำนวน ห้าหมื่นเล่ม ที่สามารถขายหมดเกลี้ยงแผง ในวันแรก ที่สำคัญ หนังสือยังเกิดการขาดตลาดไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชน และมียอดสังจองอีกว่า หนึ่งแสนห้าหมื่นเล่ม และต่อมาทรงพระราชทนพระบรมราชนุญาตให้จัดพิมพ์ "ทองแดงฉบับการ์ตูน"
             28 ธันวาคม 2558 คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ออกแถลงการณ์ ประกาศว่า "คุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสียชีวิตแล้ว ณ วังไกลกังวล...http://news.trueid.net/detail/28748
             พระราชทรัพย์
              พระราชทรัพยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภุมิพลอดุลยเดช ส่วนใหญอยู่ในรูปของที่ดินและหุ้นโดยแบ่งออกได้เป็นส่วนๆ ได้โดยสังเขป คือทรัพย์สินส่วนพระองค์ พระคลังข้างที่ และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งพระองค์อุทิศพระราชทรัพย์ส่วนหนึ่งเพื่อดครงการพระราชดำริ จำนวนกว่า 4,000 โครงการ มูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ เพ่อพัฒนาายในประเทศในด้านกสิกรรม เกษตรกรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย การส่งเสริมอาชีพ สาธารณูปโภ และการศึกษา
             ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ อ้างว่า ทรัพย์สินส่วนรพะมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ โดยอยู่ในบัคับแห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีการแก้ไข สองครั้งในปี พ.ศ.2484 และ พ.ศ. 2491 ซึ่งแยกทรพัย์สินส่วนพระองค์ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินออกจากัน ข้ออ้างที่สำคัญอย่างหนึ่งคือตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์(ฉบัยที่ 3 ) พ.ศ. 2491 กำหนดให้ รัฐมนตรีว่ากรกระทรวงการคลังของไทยเป็นประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 มี พระวรวงศเธอ พระองค์เจ้วิวัฒนไชย เป็นประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์คนแรก และอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ เป้ฯประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัริย์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คนสุดทายตามกฎหมายพะราชบัญญติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2491
           
ทรัพย์สินส่วนใหย่ ได้แก่ ที่ดินและหุ้นทั้งนี้ บริษัท ซีบีริชาร์เอลลิส บริษัทโบรกเกอร์ด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของโลก ได้เคยประมาณการตัวเลขพื้นที่ที่อยุ่ในการดุแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยุ่ที่ 32,500 ไร่ โดยในบางพื้นที่มีมุลค่าสุงกว่า 380 ล้านบาทต่อไร่ ทำให้พระองค์ทรงได้รบการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บ ให้เป็นกษัตรยิ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก.. แต่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ชีแจงถึงบทความดังกล่าวว่า "มีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เนื่องจากในความเป็นจริง ทรัพย์สินที่นำมาประเมินนั้นเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน มิใช้ทรัพย์สินส่วนพระงอค์"...
            ทรัพย์สินส่วนพระองค์ ซึ่งตามพระราชบัญญัติกำหนดว่าการดูแลรักษและการจัดหาผลประดยชน์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย" และหมายรวมถึง เงินทูลเกล้าถวายฯ ตามพระราชอัธยาศัยต่างๆ ซึ่งทรัพย์สินส่วนพระอค์นั้นต้องเสียภาษีอากรตามปกติไม่ได้รับการยกเว้นเรื่องภาษี มูลนิธิอานันทมหิดล กล่าว่า พระองค์ได้พระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์จำนวนมากแก่ โครงการพระราชดำริ มุลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ การกุศล และการพัฒนทรัพยากรมนุษย์...https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%8A#.E0.B8.8A.E0.B8.B5.E0.B8.A7.E0.B8.B4.E0.B8.95.E0.B8.AA.E0.B9.88.E0.B8.A7.E0.B8.99.E0.B8.9E.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.84.E0.B9.8CC
             
             
           
           

วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Sufficient economy

            พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง
             "...การพัฒนาประเทจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องตนก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการเมือได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศราฐฏิจขึ้นที่สูงขึ้นโดยลำดัฐต่อไป.. ( 18 กรกฎาคม 2517)
             "เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานมานานกว่า 30 ปี เป้นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของใวัฒนธรรมไทย เป็นแนวคทางการพัฒนาที่ตั้งบนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี "สติ ปัญญา และความเพียร" ซึงจะนำไปสู่ "ความสุข" ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง
            "..คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบอพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอดยิ่ง แต่ว่ามีความพอยู่พอกิน มีควาสงบ เปรีบเที่ยบกับประเทศือ่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้..." ( 4 ธันวาคม 2517)
             พระบรมราโชวาทนี้ ทรงเห็นว่าแนวทางการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลักแต่ เพรียงอย่งเดียวอาจจะเกิดปัญหาได้ จึงทรงเน้นากรมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหย่ในเบื้องต้นก่อน เมื่อมีพื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงสร้างความเจริญและฐานะทางเศราฐกิจให้สูงขึ้น ซึ่งหมายถึง แทนที่จะเน้นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนำการพฒนาประเทศ ควรที่จะสร้างความมั่คงทางเศราฐกิจพื้นฐานก่อน นั่นคือทำให้ประชาชนในชนบทส่วนใหย่พอมีพอกินก่อน เป้นแนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ เพื่อสร้างพื้นฐานและความมั่นคงทางเศรษบกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนเ้นการพัฒนาในระดับสุงขึ้นไป....
           
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ในโลกจำนวนมากทีทัศนคติในทางลบต่อ TNCs โดยมองว่าเป้นปัญหาต่อการพัฒนาเศรษฐกจิของปรเทศ แต่ในปัจจุบันมอง FDI ว่าเป้ฯวิธีการแก้ปัญหาและช่วยพัฒนาเศรษบกิจ และยายามสนับสนุนจูงใจให้เกิดการไหลเข้า ของ เงินทุนจากต่างประเทศ(FDI) ด้วยมาตรการต่างๆ (ซึ่งเล็งเห็นว่าการลงทุนจากต่างประเทศจะช่วนในการพัฒนาประเทศ) อย่างไรก็ตาม การลงุทนโดยตรงของเอกชนต่างชาติก็มีผลเสีย เช่น อาจทำให้ต้นทุนการได้มาของปัจจัยการผลิจสูงขึ้น เงินลงทุนจากต่างชาติอาจเบียดบังการลงทุนองคนในประเทศและอาจทำให้ธุรกิจของนักลงทุนท้องถ่ินที่ดำเนินกิจการล้มละลายได้ TNCs หรือ บริษัทข้ามชาติกระตุ้นให้เกิดรูปแบบการบริโภคที่ไม่เหมาะสม เกิดต้นทุนทางด้านทรัพยากรในการให้สิทธิพเศษแก่ บริษัทข้ามช้าติ เพื่อดึงดูดให้เข้ามาลงทุนในประเทศ ประเทศผุ้รับการลงทุนอาจต้องประสบปัญหาขาดดุลการต้า การไหลออกของเงินตราต่างประเทศจากประเทศผุ้รับการลงทุนไปยังประเทศผุ้ที่มาลงทุน การถ่ายทอดเทคโนโลยีเกิดขึ้นในประเทศผุ้รับการลงุนนอยกว่าที่ควรจะเป้ฯประเทศผุ้รับการลงุทนต้องพึงพิง FDI อยู่ตลอดเวลา และ เงินลงทุนจากต่างชาติยังอาจทำให้การกระจายรายได้นประเทศผุ้รับลงทุนเลวลงได้ การตั้งราคาโอนทำลายหรอลดการสร้างผุ้ประการในประเทศ ลดความพยายามใน R&D สร้างความไม่เท่าเที่ยม แย่งใช้ทรัพยากรที่จะใช้ประโยชน์ได้โดยคนในประเทศ ก่อให้เกิดการพึ่งพาการนำเข้า สร้างมลภาวะ ทำให้มีการบริโภคสินค้และบิรการที่ฟุ่มเฟือย สร้างผลกระทบทางลบทางการเมืองและสังคมทำให้ประเทศผุ้รับการลงุทนต้องพึ่งพาประเทศผุ้ลทุนตลอดไป
            การเจริฐเติบโตทางเศรษฐกิจประเทศไทยและ เงินลงทุนจากต่างชาติมีความสัมพันะ์ในทิสศทางเดียวกัน!!! (นั่นหมายความว่า...การเติบโตทางเศษฐกิจของประเทศไทยขึ้นอยู่กับเงินลงทุนจากต่างประเทศเป้นสำคัญ...)
             เงินลงทุนจากต่างชาติ ในภาคอุตสาหกรรมทำให้โครงร้างเศรษฐกิจประเทศไทยเปลี่ยนจากเศณาฐกิจที่พึ่งพาการเกษตรสู่เศรษกิจอุตสาหกรรม พัฒนาจากอุตสาหกรรมแปรรูปเกษตร มาเป็นอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าที่ใช้แรงงานและทรัพยากรธรรมชาติเข้มข้น จนมาสู่อุตสากหรรมการผลิตเพื่อส่งออกที่ใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น http://www.chaipat.or.th/site_content/34-13/3579-2010-10-08-05-24-39.html
              ปัจจุบัน อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักรกล ยานยนต์และชิ้นสวน กลายเป้ฯสินค้าอุตสาหกรรมที่สำคัญมากขึน ในปัจจุบัน สัดส่วนของสินค้าส่งออกที่อาศัยทรัพยการธรรมชาิและแรงงานอย่างเข้ามข้นเร่ิมลดลงในขณะที่สินค้าที่มีลักษณะเครืืองจักรกล เช้ินสวนคอนพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเครืองใช้ไฟฟ้ากลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมเหล่านี้ยังต้องอาศัยเงินลงทุนจากต่างชาติ และเทคโนโลยีจากนักลงทุนต่างประเทศและต้องใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนจากต่างประเทศในอัตราสูง...
            ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ คือภาวะที่ราคาของสินทรัพย์ เช่นอสังหาริมทรัพย์หรือหน่วยลงทุนต่างๆ เพ่ิมขึ้นสูงเกินหว่าราคาตามความเป็นจริง จนเกิดอุสงค์เที่ยมจากการเก็งกำไรที่ำทหใ้ราคาเพ่ิมสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นวงจร และขยายตัวเหมือนฟองสบู่ โดยส่วนใหญ่ภาวะฟองสู่นี้จะจบลงเมื่อเกิดเหตุที่ทำให้นักลงทุนเลิกคาดหวังว่าราคาจะเพ่ิมขึ้นอีก หรือรัฐบาลออกนดยบายเพื่อดึคงราคาสู่ภาวะหกติ (เช่นกาขึ้นอัตราดอกเบี้ย) จึงทำให้การเก็งกำไรและราคาที่สุงกว่าความเป็นจริงลดลง
           https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B9%88
ราคาสินทรัพย์ในภาวะฟองสบู่ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าราคาจะเพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเมื่อราคาเร่ิมลดลงภาวะฟองนสบู่ก็จะหดตัวลงอย่างรวดเร็วจนทำให้เกิดภาวะฟองสบู่แตกซึ่งมักจะทำให้เกิดปัญหาเนี้เสียเกิดขึ้นตามมา
            เศรษฐกิจไทยในปี 2530 ก้าสู่เส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์ แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบเศณาฐกจิไทยในช่วงระหว่างปี 2530-2532 ได้สร้างลักษณะอันไม่พึงประสงค์หลายประการ การที่ขนาดการเปิดประเทศกว้างขวางเกินไปทไใ้ระบบเสราฐกจิไทยงายต่อากรที่จะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจการเปลี่ยนแปลงภายนอกประเทศ ผุ้นำรัฐบาลกำลังชื่นชมกับความรุ่งโรจน์ทางเศรฐกิจ โดไม่มีการเตรียมการที่จะรับคลื่นเศรษฐกิจ หากเกิดภาวะตกต่ำทางเศณาฐกิจในชุมชนทุนนิยมโลกอีกครั้งหนึ่ง ผลกระทบของภาวะถอถอยทางเศรษฐกิจจะรุนแรงยิงกว่าที่เกิดขึ้นใช่วงระวห่างปี 2523-2529 การเปิดรับเงินลงทุนจากต่างประเทศโดยปราศจากการกลั่นกรองเท่าที่ควรในช่วงปี 2530-2532 จะสร้างปัญหารในอนคต เพราะการขยายตัวของการลงุทนจากต่างประเทศในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เป็นผลจากการที่เงินเยนมีค่าเพ่ิมขึ้น ภาวะต้อนุทนการผลิตที่เพ่ิมขึ้นในกลุ่มประเทศ อาเซียน อุตสาหกรรมใหม่ และการย้ายที่ตั้งโรงงานโดยหวังสิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากรในโควต้าประเทศไทย ด้วยเหตุนี้เอง การลงทุนจากต่างประเทศอันเกิดจาเหตุปัจจัยเหล่านี้จึง
ก่อให้เกิดมูลค่าเพ่ิมภายในประเทศต่ำ โครงการลงทุนที่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มภายในประเทศต่ำ ไม่เพียงแต่จะไม่เป็นประโยชน์แก่ระบบเศรษบกิจไทยเท่าที่ควรเท่านั้น หากยังพร้อมที่จะย้ายโรงงานไปต้งในประเทศอื่นโดยง่ายอีกด้วย...การหลั่งไหลของเงินทุนต่างประเทศเข้ามาซื้อหุ่นในตลาดหลักทัพย์แห่งประเทศไทย แม้ในระยะสั้นจะช่ยเหล่อเลี้ยงการเติบโตของระบบเศรษบกิจโดยอ้อม แต่การที่เงินทุนจากต่างประเทศบางส่วนถูกใช้ไปในการซ์้อที่ดินเพื่อเก็งกำไรซึ่งมีสวนผลักดันให้ราคาที่ดินเพ่ิมขึ้นเป้นอันมาก ย่อมสร้างอุปสรรคต่อการเติบโตของการผลิตในอนาคต เนื่องจากที่ดินมีราคาสูงเกินไป และ หากกระแสการเคลื่อยย้ายของเวินทุนจต่างประเทศชะงักลงในอนาคต ด้วยเหตุประการใดก็ตาม ย่อมจะก่อให้เกิดปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้อย่างรุนแรง
           พัฒนาการของระบบเสณาฐกิจไทยในทิศทางที่พึ่งพิงตลาดอเมริกันมากขึ้น ก่อให้เกิดจุดเปราะบางแก่ระบบเศราฐกิจไทย เรพาทำให้เสถียรภาพของระบบเสณาฐกิจไทยขึ้นอยู่กับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกามากขึ้น หากรัฐบาลอเมริกันยังคงดำเนินนโยบยการกีดกันทางการต้าต่อไป โอกาศที่สินคึ้าออกไทยจะถูกตัดทอนสิทธิพิเศษด้านภาษีฯย่อมจะมีมากขึ้นในอนาคต  ประเด็นสำคัญคือ ตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาประสบปัญหาความผันผวนทางเศรษบกิจค่อนข้างมาก หากความแปรปรวนทางเศณาฐกิจดังกล่าวนี้ยังไม่ลดลงในอนคต ผลกระทบที่มีต่อระบบเศรษกบิจไทยจะรุนแรงยิ่งกว่าที่เป้ฯมาในอดคต เนื่องจากระบบเศราบกิจไทยได้พัฒนามาพึงพิงระบบเศรษบกจิอเมริกันมากขึ้น...http://econ.tu.ac.th/archan/RANGSUN/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3/%E0%B9%95.%E0%B9%92%20%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%20%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B9%8C.pdf
             
วิกฤตเศรษฐกิจทางการเงินในปี พ.ศ. 2540 หรือเรียกทั่วไปในประเทศไทยว่า วิกฤตตำ้ยำกุ้ง เป้นช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินซึ่งส่งผลกระทบถึงหลายประเทศในทวีปเอเชีย
               วิกฤตดังกล่าวเร่ิมขึ้นในประเทศไทยเมื่อค่าเงินบาทลดลงอย่างมากอันเกิดจากการตัดสินใจของรัฐบาลไทย ซึ่งมีพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ลอยตัวค่าเงินบาท ตัดการอิงเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ หลังจากความพยายามทั้งหมดที่จะสับสนุนค่าเงินบาทเมือเผชิญกับการแผ่ขยายแบบเกินเลยทางการเงิน อย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวนขับเคลือนอสังหริมทรัพย์ ในเวลานั้น ประเทศไทยมีภาระหนี่สาธารณะซึ่งวทำให้ประเทศอยู่นสภาพล้มละลายก่อนหน้าการล่มสลายของค่าเงิน และเมื่อวิกฤตดังกล่าวขยายออกนอกประเทศ ค่าเงินของประเทศส่วนใหย่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และญี่ปุ่นก็ได้ทรุดตัวลงเช่นกัน ตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงและรวมไปถึงราคาสินทรัพย์อื่นๆ และทำให้หนี้เอกชนเพิ่มสูงขึ้น
               แม้จะทราบกันดีแล้วว่าวิกฤตการณืนี้มีอยู่และมีผลกระทบอย่างไร แต่ที่ยังไม่ชัดเจนคือสาเหตุของวิกฤตการณ์ดังกลาว เช่นเดียวกับขอบเขตและทางแก้ไข อินโดนีเซีย เกาหีใต้ และไทยได้รัีบผลกระทบมากที่สุดจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว ฮ่องกง มาเลเซีย ลาวและฟิลิปปินส์ก็เผชิญกับปัญหาค่าเงินทรุเช่นกัน สาธารณัฐประชาชนจีน อินเดียว ไต้หวัน สิงคโปร์ บรูไน และเวียดนาม ได้รับผลกระทบน้อยกว่า ถึงแม้ว่าทุกประเทศที่กล่าวมานี้จะได้รับผลกระทบจากการสูญเสียอุปสงค์และความเชื่อมั่นตลอดภูมิภาค
              สาเหตุหลักๆ โดยคร่าวๆของวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย พ.ศ.2540 อาจกล่าวได้ดังนี้
              - การขาดดุบัญชีเดินสะพัด ในช่วงที่เศราฐกิจของไทยเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง
               -ปัญหาหนี้ต่างประเทศ การเปิดเสรีทางการเงินเมื่อปี 2532-37 ทำให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศได้สะดวก โดยไม่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากค่าเงินที่กำหนดไว้ที่ 25 บาท/ดอลลาร์ ทำให้ผุ้กู้ยืมสามารถยืมเงินและคือเงนิกู้ในสกุลเงินตราต่างประเทศได้ใน อันตรดังกว่าว ซึ่งเป็นผลจากการที่ไทยประกาศรับพันธะสัญญข้อที่ 8 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศในปี 2533 เพื่อเปิดระบบการเงินของไทยสู่สากล...เกิดการขยายตัวของระบบการเงินของประเทศที่ส่งผลต่อการเกิดหนี้อ้อยสภาพขึ้นมากในสถาบันการเงินและการกุ้เงินจากสถาบันการเงินต่างประเทศเพื่อปล่อยกุ้กับธุรกิจในเมืองไทย ณ ปลายปี 2540
               - การลงทุนเกินตัว และฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้เติบโตอย่งมากในช่วงปี 2530-2539 เนื่องจากผุ้ประกอบการกุ้ยืมเงินจากต่างประเทศและระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วประเทศ ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เกิดการเก็งกำไร ซึ่งดึงดุดให้มีผุ้เข้ามาลงทุนในะุรกิจอย่างมากจนกลายเป็นภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่
               - ปัญหารความไม่เชื่อมั่นอย่างรุนแรงต่อสถาบันการเงินในประเทศ
               - ความไม่มีประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบาย ที่อนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรี ดดยไม่มีการเตรียมความพร้อมหรือการกำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ยังคงใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่อยู่...
               - และการโจมตีค่าเงินบาท ปัญหาเศรษกิจที่สั่งสมมานาน ทำให้นักลงทุนต่างชาติถือดอกาศโจมตีค่าเงินบาทของไทย ซึ่งเป็นนักลงทุนขนาดใหญ่และนักลงทุนสถาบันที่ระดมทุนมาเก็งกำรค่าเงิน หรือ โจมตีค่าเงินโดยตั้งเป็นกองทุนที่ชื่อเรียกว่ เฮจ ฟันท์ .th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2540
             เศรษฐกิจพอเพียง
             "..ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียง ความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือทำจากรายได้ 200-300 บาทขึ้นไปเป็นสองหมื่นสามหมื่นบาท คนชอบเอาคำพุดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศราฐกิจพอเพียงคือ ทำเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมาย ไม่ใช่แบบที่ฉันคิด ที่ฉันคิดคือ Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดุทีวีก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู เขาต้องการดุเพื่อความสนุกสนาน ในหมุ่บ้านไกลๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดุแต่ใช้แบตเตอรี เขาไม่มีไฟฟ้า แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรีบเหมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่ และยังใส่เนคไทยเวอร์ซาเช่ อันนีก็เกินไป.."
            เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ยึดหลัก ทางสายกลาง เพื่อให้การดำเนินชีวิตของประชาชนทุกระดับเป็นไปอย่างสมดุลและยั่งยืน สามารถอยู่ได้แม้ในโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสุง ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน จนถึง ระดับประเทศ
           
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภุมิพลอดุลยเดช ทรงมพระราชดำรัสถึง "เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นครั้งแรก ในพระบรมราโชวาทในพิะีพระราชทานปรญญาบัตริแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517 ดังนี้
            "... การพัฒนาประเทศ จำเป็นต้องทำตามลำดับขั้นต้องสร้างพื้นฐ,าน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหย่เพบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ทีประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างเสริมความเจริญและฐานะทาเศรษบกิจขั้นที่สูงขึ้นโยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจให้รวดเร็วแต่ประการเดียว ดดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันะ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วยก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆ ขึน ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหล่วได้ในที่สุด.."
            พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสอธิบายเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงบ่อยมากในโอกาศวันเฉพลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2541 ก็ทรงมีพระราชดำรัสถึงเศรษฐกิจพอเพียงว่า
            "..พอเพียง มีความหมายกว้างขวาง่ิงกว่านี้อีก คือ คำว่าพอ ก็พอพียงนี้ ก็พอแค่นั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อยเมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบยนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียงหมายความว่า พอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยุ่เป็นสุข พอพียงนี้ อาจจะมี มีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าเราต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น.."
            นับถึงวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง มานานถึง 43 ปีแล้ว....https://www.thairath.co.th/content/1099749
           
             

วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Royal tradition II

       
              เปิดตำนาน..!! "เผาจริง เผาหลอก" ธรรมเนียมการถวายพระเพลิงพระบรมศพฯของพระมหากษัตริย์ในอดีต เพราะเหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้??....
              การถวายพระเพลิง เป็นการน้อมส่งเสด็จพระมหากษัตริย์ หรือเจ้านายที่มีฐานานุศักดิ์สูงสู่สวรรคาลัยและผู้ที่สามารถประกอบพระราชพิธีในเขตกำแพลเมืองได้ (หรือที่เรียกว่า เมุกลางเมือง ซึ่งกระทำบริเวณทุ่งพระเมรุหรือท้องสรามหลวงในปัจจุบัน) ต้องเป็นเจ้านายที่มีฐานานุศักิ์สูงเท่านั้น ส่วนเจ้านายที่มีฐานานุศักดิ์ไม่สูง ข้าราชการ และราษฎรทั่วไป ต้องไปประกอบพิธีนอกกำแพงเมืองทางประตูสำราฐราษฎร์ หรือ ประตูผี ดังนั้นจะเห็นว่าวัดในเขตกำแพงเมืองจะไม่มีเมรุเผาศพ
              ขั้นตอนของพระราชพิธีถวายพระเพลิงตามโบราณราชประเพณีนั้นมีหลายขึ้นที่สำคัญ ตั้งแต่วันก่อนถวายพระเพิลง ซึ่งจะมีพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตไปสมโภชที่พระเมรุ พิธีอัญเชิญพระโกศพระบรมศพไปประดิษฐานที่พระมรุ และพิธีเวยนรอบพระเมรุ และใวันถวายพระเพลิงก็จะต้องอัญเชิญพระบรมศพออกมาสรงน้ำทำความสะอาดแล้วจึงอัญเชิญพระบรมศพขึ้นพระดิษฐานเหนือพระจิตกาธานแล้วจึงถวายพระเพลิง ซึ่งช่วงเวลาที่พระราชทานเพลิงนั้นมักจะถวายพระเพลิงให้เสร็จภายในครั้งเดียว ไม่มีพิธีเผาศพ 2 ครั้งอย่างที่เรียกว่า เผาจริงและเผาหลอก
           
วิธีการเผาจริงและเผาหลอก ในขณะนั้นเรียกว่า เปิดเพลิง ดังความตอนหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบันทึกไว้เกี่ยวกับที่มาและความแพร่หลายของพธีเผาจริงและเผาหลอกว่า
              "แท้จริงเปนความคิดของพวกเจ้าพนักงานเผาศพหลวงในตอนปลายๆ รัชกาลที 5 เพื่อมิให้ผุ้ที่ไปช่วยงานเผาศพเดือดร้อนรำคาญเพราะกลิ่นแห่งการเผาศพ ในเวลาที่ทำพิธีพระราชทานเพลิงจึงปิดก้นโกษฐ์หรือหีบไว้เสียและคอยระวังถอนธุปเที่ยนออกเสียจากภายใต้ เพื่อมิให้ไฟไหม้ขึ้นไปถึง ตอนดึกเมื่อผุ้คนไปช่วยงานกลับกันหมดแล้ว จึงเปิดไฟและทำการเผาศพจริงๆ
               ...ดังนั้นจึงเกิดเปนธรรมเนียมขึ้นวว่า ผุ้ที่มิใช้ญาติสนิทให้เผาในเวลาพระราชทานเพลิง ญาติสนิทเผาอีกครั้ง เมื่อเปิดเพลิง กรมนเรศน์ เป้นผุ้ที่ทำให้ธรรมเนียมนี้เฟื่องฟูขึ้น และเป็นผุ้ตั้งศัพท์ เผาพิธี และเผาจริง ขึ้น.."
             ธรรมเนียมการเผาจริงเผาหลอก นี้เร่ิมช้ตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 5 เป้นต้นมา และพระบาทสมเด็จพระจุลจอกเล้าเจ้าอยู่หัว เป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ได้รับการถวายพระเพลิงตามธรรมเนียมนี้www.welovemyking.com/38610/
             เดินสามหาบ (พิธีทางพุทธศาสนา) เดินสามหาบ เป็นคำที่ปรากฎในเอกสารเก่าในหมากำหนดการถวายพระเพลิงพระบมศพพระราชทานเพลิงพระศพ รวมทั้งในงานปลงศพของสามัญชนในอดีต ก่อนการเก็บพระบรมอัฐิ พระอัฐิ ได้จัดพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการฝ่ายหน้าออกเป็ฯ 9 ชุด ชุดละ 3 คน ทำหน้าที่ถือและหาบสิ่งของต่างๆ คนที่หนึ่งถือผ้าไตร (ผ้าไตรสามหาบ) นำหน้า คนที่สองหาบสาเเหรกซึ่งวางตะลุ่มและเตียบบรรจุภัตตาหารถวายพระสงฆ์ (ภัตตาหารสามหาบ) คนที่สามถือหม้อข้าวเชิงกรานซึ่งเป็เตาไฟสำหรับตั้งหม้อหุงต้นในสมัยโลราณ ในหม้อใส่ข้าวสาร พริก หอม กระเที่ยม กะปี ฯลฯ เดินเวียนรอบพระเมรุมาศ พระเมรุโดยอุตราวัฎ (เวียนซ้าย) 3 รอบ จากนั้นพระมหากษัตริย์เสด็จฯ ขึ้นบนพระเมรุมาศ พระเมรุ ทรงทอดผ้าไตรสามหาบบนผ้าที่ถวายุคลุมพระบรมอัฐิ พระอัฐิ สมเด็จะพระราชาคณะ พระราชาคณะขึ้นสดับปกรณืบนพระเมรุมาศ แรพเมรุ จากนั้นทรงเก็บพระบรมอัฐิ พระอัฐิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสด็จฯ ยังพระที่นั่งทรงธรรม ทรงประเคนภัตตาหารสามหาบแด่สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะที่สดับปกรณ์ผ้าไตร เมื่อรับพระราชทานฉันเสร็จแล้ว พระสงฆ์ทั้งนั้นถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา
            ทั้งนี้ ในพระราชพิธีปัจจุบันยกเลิกการเดินสามหาบรอบพระเมรุมาศ พระเมรุ คงไว้แตเพียงการถวายผ้าไตรสามหาบก่อนเก็บพระบรมอัฐิ พระอัฐิ และถวายถัตตาหารสามหาบเมื่อเชิญพระโกศพระบรมอัฐิ พระอัฐิมาประดิษฐานบนบุษบก เหนือพระแท่นแว่นฟ้าทอง ณ พระที่นั่งทรงธรรม ดดยภัตตาหารสามหาบจัดตามพระเกี่ยติยศคือ พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระบรมราชินี จัด 3 ชุด (เก้าสำรับ) ชั้นเจ้าฟา จัด 2 ชุด (หกสำรับ) ชั้นพระองค์เจ้าจัด 1 ชุด (สามสำรับ)
            มีข้อมูลจากสำนักรชยัณฑิตยสภาว่า เดินสามหาบเป้ฯคำเรียกพิธีกรรมอย่างกนึ่งที่ทำเมื่อเผาศพแล้ววันรุ่งขึ้นเจ้าภาพจะต้องไปเก็บอัฐิเพื่อนำมาเก็บในที่อันควร และนำเถ้าที่เหลือไปลอยน้ำ เรียกว่าลอยอังคารในการเก็ฐอัฐิเดิมลูกหลานจะจัดข้าวของและอาหารเป็นหาบ 3 หาบ พันไม้คานด้วยผ้าขาว ข้างหนึ่งของหาบมีหม้อข้าว หม้อแกง เตาไฟ ข้าวสาร พริก หอม กระเทียม กะปิ ซึ่งลวนเป็นเสบียงอาหารแห่ง หาบอีกข้างหนึ่งบรรจุข้าวและอาหารควาหวานที่ทำสุกแล้ว ทำดังนี้ทั้ง 3 หาบ
            ในสมัยโบราณจะให้ลุกหลาน 3 คนแต่งกายสีขาว นำหาบทั้งสามไปเดินเวียนรอบที่เผาศพ กู่ร้อง 3 ครั้งแล้วนำหาบทั้ง 3 นั้นไปถวายพระภิกษุ 3 รูป พร้อมกับผ้าลังสุกุลอีกรูปละ 1 ชุด เมื่อพระชักผ้าบังสุกุลและรับถวายหาบแล้วก็เสร็จพิธี
            ปัจจุบันมักไม่ใช่้หาบ แค่จัดอาหารใส่ปิ่นโต หรือถาดตามสะดวก ก็เรียกว่าทำสามหาบเช่น เดียวกน ทั้งนี้ คำว่าสาม ในเดินสามหาบ และทำสามหาบ ต้องเขียนเป็นตัวหนังสือ http://daily.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNekF6TVRBMk1BPT0=&sectionid=TURNeE1RPT0=&day=TWpBeE55MHhNQzB3TXc9PQ==
             ในพระราชพิธีพระราชทานพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนถบพิตร ในวันที่ 27 ต.ค. 2560 จะมีพระราชพิธีเก็บพระบรมอัฐิและพระบมราชสรีรางคาร และจะมีการจัดร้ิวขบวนพระบรมราชอิสริยยศ เพื่อเชิญพระโกศพระบรมอัฐิและพระบรมราชสรีรางคารจากพระเมรุมาศสู่พระบรมมหาราชวัง

พิธีอัญเชิญพระบรมอัฐิ-พระบรมราชสรีรางคาร
              การเก็บพระบรมอัฐิและพระบรมราชสรีรางคาร เป็นพิธีที่กระทำขึ้นหลังจากการถวายพระพลิงพระบรมศพเสร็จสิ้นแล้วโดยประกอบพิธี ณ พระจิตกาธาน เมื่อเสด็จขึ้นพระเมรุมาศ เจ้าพนักงานภูษามาลาเปิดผ้าคลุมพระบรมราชสรีรางคารทรงสรงพระบรมอัฐิด้วยน้ำพระสุคนธ์เจ้าพนักงานแจงพระบรมอัฐิ โดยเชิญพระบรมอัฐิ พระบรมราชสรีรางคาร เรียงเป็นลำดับให้มีลักษณะเหมือนรูปคน หันพระเศียรไปทางทิศตะวันตก จากนั้นหันพระบรมอัฐิ พระบรมราชสรีรางคารที่แจงไ้มาทางทิศตะวันออกเรียกว่า ปแรพระบรมอัฐิ แล้วจึงถวายคลุมด้วยผ้า
             
การเก็บพระบรมอัฐิจะเลือกเก็บแต่ละส่วนของพระสรีระอย่างละเล็กน้อย พ้อมกันนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานสงศ์ฝ่ายในที่ได้รบพระบรมราชานุญาตขึ้นรับพระราชทานพระบรมอัฐิไปสัการบูชา แล้วทรงประมวลพระบรมอัฐิบรรจุพระโกศ หลังจากนั้นเชิญพระโกศพระบรมอัฐิ ไปยังพระที่นั่งทรงธรรม ทรงประกอบพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวาย
              ส่วนพระบรมราชสรีรางคารเชิญลงบรรจุในพระผอบโลหะปิดทองประดิษฐานบนพานทองสองชั้นคลุมผาตาดพักรอไว้บนพระเมรุมาศ
              พระบรมราชสรีรางคาร คือ เถ้าถ่านที่ปะปนกับพระบรมอัฐิช้ินเล็กช้อนน้อยของพระบรมศพพระมหากษัตริย์ มเด็จพระราชินี และสมเด็จพระบรมราชกุมารีที่เผาแล้วซ฿่งอาจเรียกว่า พระสรีรางคาร ตามลำดับพระอิสริยยศของพระบรมวงศ์และเรียกว่า อังกคารสำหรับสามัญชน
               การบรรจุพระบรมราชสรีรางคารเป็นขึ้นตอนสุดท้ายในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์สมเด็จพระบรมรชบุพการี และสมเด็จพระบรมราชินี เกิดขึ้นครั้งแรกในคราวพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเหล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี 2454 โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุำเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเหล้าฯ ให้ยกเลิกธรรมเนียมการลอยพระบรมราชสรีรางคาร และโปรดให้เขิญพระบรมราชสรีรางคารมาประดิษฐาน ณ รัตนบัลลังก์พระพุทธชินราชภายในพระอุโลสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม จึงกลายเป็นธรรมเนียมในการเชิญพระบรมราชสรีรางคาร พระสรีรางคารไปประดิษฐานในสุสานหลวงหรือสถานที่ควรแทน โดยเจ้าพนักงงานจะเชิญพระบลรมราชสรีรางคารจากสถานที่ที่พักไว้แล้วจัดขบวนพระบรมราชอิสริยยศไปยังสถานที่บรรจุอันเหมาะสม
               พระบรราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จะเชิญไปบรรจุ ณ วัดราชบพิธสถิตมาหสีมาราม และวัดบวรนิเวศวิหาร
                สำหรับร้ิวขบวนพระะบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่ 4 ในวนที่ 27 ตุลาคม 2560 จะเชิญพระโกศพระบรมอัฐิ โยพระที่นั่งราเชนทรยาน และพระบรมราชสรีรางคาร ดดยพระที่นั่งราเชนทรยานน้อย จากพระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงสู่พระบรมมหาราชวัง ดดยพระบรมราชสรีรางคารจะแยดเข้าวัยพระสณีรัตนศาสดารามเชิญพระผอบพระบรมราชสรีรางคารพักไว้ที่พระศรีรัตนเจดีย์ ส่วนพระโกศพระบรมอัฐิจะอัญเชิญเข้าสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ประดิษฐานที่บุษบกแว่นฟ้าท่องhttps://mgronline.com/onlinesection/detail/9600000108941
              พระโกศพระบรมอัฐิ "พระราชนิยมในรัชกาลที่ 4 เรื่อง พระโกศพระบรมอัฐิสำหรับพระมหากษัตริย์"

             นอกจากพระโกศทองใหญ่ที่ใช้ทรงพระบรมศฑพระมหากษัตริย์เมื่อสวรรคตแล้ว หลังการถวายพระเพลิงพระบรมศฑ พระบรมอัฐิจะได้รับการบรรจุไว้ในพระโกศพระบรมอัฐิที่สร้างขึ้นตามอย่างพระโกศทองใหญ่แต่มีขนาดย่อมกว่า การสร้างพระโกศพระบรมอัฐิที่ถายอย่างมาจากพระโกศทรงพระบรมศพ คงมีมาแล้วอย่างข้าก็ตั้งแต่ครั้งปลายกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฎในกระบวนเชิญพระบรมอัฐิและพระสรีรังคารที่คัดลอกจากจิตรกรรมฝาผนังอุโบสถวัดยม จังหัดพระนครสรีอยุธยา แสดงภายพระโกศพระบรมอัฐิประดิษฐานในพระที่นั่งราเชนทรยาน
       
 พระโกศพระบรมอัฐิที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ มักซ้อนกัน 2 ชั้น "ชั้นใน" เป็นถ้ำศิลาหรือลองศิลา "ช้ันนอก" เป็นพระโกศแปดเหลี่ยมยอดทรงมงกุฎเช่นเดียวกับพระโกศทองใหญ่ ทำจากทองคำลงยาประดับเพชรพลอย เครื่องประดับ ทั้งดอกไม้เอว ดอกไม้ฝา พู่และเฟือง รวมไปถึงดอกไม้เพชรพุ่มข้าวบิณฑ์ทำจากเงินพระดับเพชร เช่นเดียวกับที่ประดับพระโกศทองใหญ่ ยอดพระโกศพระบรมอัฐิยังสร้างไว้ต่างกัน 2 แบบ ถอดเปลี่ยนสลับได้ตามวาระการใช้งาน กล่าวคือ ตามปกติเมื่อประดิษฐานบนพระวิมานในหอพระบรมอัฐิ จะสวมยอดปักดอกไม้เพชรพุ่มข้าวบิณฑ์ ต่อเมื่อเชิญพรดิษฐานในการบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานจะถอดยอดนันช้นออกแล้วปักพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรตามพระบรมราชอิสริยยศเป็นฉัตรทองคำฉลุลาย 9 ชั้น ยอดพรหมพักตร์ ภายในกรุผ้าขาว เช่นที่ใช้ทำระไบเศวตฉัตรทุกขั้น
             การสร้างพระโกศพระบรมอัฐิสำหรับพระมหากษัตริย์ ยังมีความแตกต่างกันระหว่างพระมหากษัตริย์ที่ทรงมพระราชโอรสสืบราชสัตติวงศ์เป็นพระมหากษัริย์ และที่ไม่ทรงมีพระราชโอรสสืบราชสันตติวงศ์ด้วย ตามพระราชนิยมที่พระบาทสมเด็นพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสไว้ ดังที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้ใน "ประวัติต้นรัชกาลที่ 6" ดังนี้
             "เรื่องพระโกษฐ์พระบรมอัษฐิมีพระราชกระแสขอทูลกระหม่อม (รัชกาลที่ 5) ปรากฎอยู่ในพระราชหัตถเชขาฉบับ 1 ว่า ทูลกระหม่อมปู่ (รัชกาลที่ 4) ได้ทรงแสดงพระราชนิยมไว้วว่ ถ้าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดมีพระราชโอรสเปนพระเจ้าแผ่นดินสืบสันตติวงศ์สนองพระองค์ให้ใช้พระโกษฐ์เปนกุดั่น
ประดับพลอย แต่ถ้าเปนพระเจ้าแผ่นดินเฉพาะพระองค์ให้ใช้เปนลงยานาชาวดี ที่ทุลกระหม่อมปุ่ทรงตั้งเกณฑ์ขึ้นเช่นนี้ พอเดาได้ว่ทรงมุ่งหมายสำหรับพระโกษฐ์พระบรมอัษฐิแห่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเท่านั้น แต่ครั้งจะมีพระราชดำรัสออกมตรงๆ ก็กระไรๆอยู่ จึงได้มีพระราชกรแสรอย่างที่ปรากฎอยู่นั้น" (ราม.วชิราวุธ 2545,135-136) (ุผู้เขียนอธิบายความในวงเล็บ)
             พระราชนิยมดังกล่าวซึ่งเร่ิมใช่ตั้งแต่พระโกศพระบรมอัฐรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา อาจสอดคล้องกับการที่พระโกศพระบรมอัฐิ รัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 8 สังเกตได้ว่าองค์พระโกาศป็นทองคำลงยา ด้วยไม่ทรงมีพระราชโอรสสืบราชสันตติวงศ์
             ขณะที่พระโกศพระบรมอัฐิรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 องค์พระโกศเป็นทองคำประดับพลอยแบบที่เรียกว่ากุด่น ด้วยทรงมีพระราชโอรสสืบราชสันตติวงศื จึงอาจแสดงให้เห็นว่าพระราชนิยมในรัชกาลที่ 4 ดังกล่าวยังคงได้รับการปฏิบัติสืบต่อกันมาในราชสำนัก ทั้งนี้ ยกเว้นพระโกศพระบรมอัฐิรัชกาลที่ 6 ซึ่งปรากฎการประดับเพชรพลอยเป็นกุดันแต่ก็มีปริมาณน้อยกว่าที่ปรากฎในพระโกศพระบรมอัฐิรัชกาลที่ 5 https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_6059

              พระโกศทองคำลงยาประดับรัตนชาติในหลวงรัชกาลที่ 9 ประวัติศาสตร์ต้องจารึก...
              มีทั้งสิ้น 3 รูปแบบ ได้แก่

              1. พระโกศทรงพระบรมอัฐิที่จะอัญเชิญประดิษฐาน ณ พระวิมาน พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป้ฯพระโกศทองคำลงยาประดับเพชร 9 เหลี่ยม ออกแบบโดย นายอำพล สัมมาวุฒธิ
              2. พระโกศ ทองคำลงยาประดับพลอย 8 เหลี่ยม มีจำนวน 4 องค์ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ออกแบบโดย นายณัฐพงศ์ ปยมาภรณ์
             3. พระโกศทองคำลงยาประดับพลอย 8 เหลี่ยม ทูลเหล้าถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ออกแบบโดย นายสมชาย ศุภลักษณ์อำไพพร
              สำหรับพระโกศทรงพระบรมอัฐิที่จะนำไปประดิษฐาน ณ พระวิมาน พระทีนั่งจักรีมหาปราสาทซึ่งจะเชิญออกในการพระราชพิธีสำคัญของแผ่นดินที่มีการบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า และการบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณาณุปทาน กลุ่มงานช่างบุและช่างศิราภรณ์ กลุ่มปรณีตศิลป์ สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากรเป็นผุ้ดำเนินการจัดสร้าง
               รูปทรงโดยทั่วไปของพระโกศองค์นี้ได้ศึกษาจากภาพถ่ายของพระโกศทรงพระบรมอัฐิอดีตบูรมหากษัตริย์ไทยทั้งจากเอกสารหนังสือ ภาพากสือสารสนเทศและแบบผลวานการออกแบบพระโกศพรอับิ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่ได้ศึกษาจากผลงานอดีตบรมครูช่างศิลปกรรมไทย ศาสตราจารย์พระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) เป็นแบบอย่างอีกชั้น โดยพระโกศพระบรมอัฐิ ได้ออกแบบเป็นพระโกศเก้าเหลี่ยมตลอดองค์ยกเว้นสวนยอดที่เป็นก้านของพุ่มข้าวบิณฑ์และก้านของสุวรรณฉัตรฉัตร 9 ชั้นจะเป็นทรงกลม ซึ่งลักษณะโดยรวมตามแบบอยางของพระโกศพระบรมอัฐิและพระโกศพระอัฐิที่มีการสร้างสืบตามกันมาตามพระราชประเพณี
           

         องค์ประกอบขององค์พระโกศประกอบด้วยส่วนต่างๆ จำนวน 5 ส่วน
         1. ส่วนฐาน เป็นฐานสิงห์ตามพระเกี่ยติยศสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าส่วนของฐานที่จะต่อเข้ากับองค์พระโกศ (เอวพระโกศ) จะมีพื้นที่สำหรับตั้งลายดอกไม้เอว
          2. ส่วนองค์พระโกศ เป็นลายกลีบบัวจงกล ตามแบบของพระโกศที่นิยมสร้างสรรค์สืบต่อกันมา กลีบบัวนี้ซ้อนขึ้นไปหาปากพระโกศ จำนวน 4 ชั้น ตรงกลางทำเป็นพระนามาภิไธยย่อ ภปร ส่วนขอบปากองค์พระโกศประกอบด้วย ลายบัวคว่ำ ท้องไม้ แนวลวดบัวหงาย และหน้ากระดานบนเป็นพื้นเรียบ เพ่อบอกระยะสุท้อยขององค์พระโกศ ที่ส่วนหน้ากระดานบนนี้จะวางแนวห่วงสำหรับประกอบลายเวื่องอุบะอยู่มุมของเหลี่ยม
           3. ส่วนฝาพระโกศ ทำเป็นทรงมงกุฎเกี่ยวมาลัยทองเรียงลำดับขึ้นไป ชั้นที่ 1, 2, และ 3ทำเป็นลายประจำยามก้ามปู โดยดอกประจำยามถูกแทนที่ด้วยลายดอกไม้ประดับรัตนชาติพื้นลายลงยาสีแดง
           4. ส่วนยอดพระโกศ สร้างเป็นสองแบบ ได้แก่ สร้างเป็นพุ่มข้าบิณฑ์ ทำด้วยเงินบริสุทธิ์ประดับรัตนชาติ และแบบที่สองสร้างเป็นสวรรณฉัตร คือ พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร ฉัตร 9 ชั้น ทำด้วยทองคำลงยาประดับรัตนชาติ
           5. เครื่องประดับพระโกศ ทำด้วยเงินบริสุทธิ์ประดับด้วยรัตนชาติ ประกอบด้วย ดอกไม้เอว ทำเป็นช่อดอกประกอบใบเทศ ปักอยุ่หลังชั้นกระจังขอบเองพระโกศบริเวณมุมของเหลี่ยม 9 ช่อ และตรงกลางแต่ละด้าน 9 ช่อ ในแนวระนาบเดียวกัน รวม 18 ช่อ
                     - ช่อดอกไม่ไหว หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าดอกไม้เพชร ปักเหนือชั้นกระจังเหนือังถลาบริเวณมุมของเหลี่ยม 9 ช่อ และตรงกฃลางแต่ละด้าน 9 ช่ รวม 18 ช่อ และเหนือกระจังชั้นเกี่ยว อีก 3 ชั้น บริเวณมุมของเหลี่ยม ชั้นละ 9 ช่อ รวม 27 ช่อ รวมทั้งสิ้น 45 ช่อ มีรูปลักษณฑเช่นเดียวกับดอกไม่เอวแต่จะมีขนาดใหญ่ เล็กลดหลั่นกันตามความเหมาะสมของขั้นเกี่ยว
                     - เฟืองอุบะ สร้างเป็นดอกเรียงร้อยต่อกันตามแนวนอน โดยปล่อยให้ดอกกลางห้อยหยอ่นลงอย่างเชือกตกท้องช้าง จากส่วนปลายแต่ละข้างที่มีขนาดดอกเล็แล้วค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นจนดอกกลางมีขนาดใหญ่สุด เรียงช่วงละ 11 ดอก มี 9 เฟื่อง ตรงช่วงต่อของเฟือ่งแต่ละแถวห้อยอุบะมีลักษระคล้ายพวงดอกมะลิตูมจับกลุ่มเป็นทรงดอกบัวตูมท้ิงยอดลงมีดอกรักครอบทับเป็นชั้นเรียงขนาดเล็กลงมาหาใหญ่ ทั้งหมดมี 9 ชุด
                    - ดอกไม้ทิศ สร้างเป็นดอกประจำมุมเหลี่ยม และประดับประจำด้าน ของเกี่ยวมาลัยทองฝาพระโกศชั้นล่าง จำนวน 18 ดอก ประดับเฉพาะประจำมุมเหลี่ยมของเกี่ยวชั้นที่ 2 และ 3 ชั้นละ 9 ดอก รวม 18 ดอก ประดับเฉพาะประจำมุมเหลี่ยมของเกี่ยวชั้นที่ 2 และ 3 ชั้นละ 9 ดอก รวม 18 ดอก และประดับประจำด้านของเกี่ยวชั้น 4 จำนวน 9 ดอก รวมทั้งิส้น 45 ดอก จะมีขนาดใหญ่ เล็ดลดหลั่นกันตามความเหมาะสมของขั้นเกี้ยว
           โดยสรุป ลักษณะดดยรมของพระโกศพระบรมอัฐิขงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นพระโกศทรงเก้าหลี่ยม ยอดทรงมงกุฎ จัดสร้างด้วยทองคำลงยาสี ประดับรัตนชาติ ยกเว้นสวนประกอบอื่น ได้แก่ พุ่มข้าวบิณฑ์ยอดพระโกศ ดอกไม้เอว ดอกไม้ไหว และเฟื่องอุบะ  ตามจำนวนที่กล่วขั้นต้นที่สร้างด้วยเงินบริสุทธิ์ประดับด้วยรัตนชาติ มีพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร ฉัตร 9 ชั้น ทำด้วยทองคำลงยาประดับรัตนชาติ สำหรับเปลี่ยนแทนยอดพุ่มข้าวบิณฑ์เมื่อัญเชิญออกประดิษฐานในพระราชพิธีและมีพระโกศศิลาขาวที่สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวนวล สำหรัีบทรงพระบรมอัฐิอยู่ภายในพระโกศทององค์นี้
           ขนาดของพระโกศ ฐานกว้าง 20 ซม. หากวัดจากฐานถึงยอดพุ่มข้าวบิณฑ์ สูง 80 ซม. เมื่อวัดจากฐานถึงยอดพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร สูง 99 ซม. รัตนชาติที่ใช้ประดับพระโกศและส่วนประกอบต่างๆ เป็นเพชรเจียระไนสีขาวทั้งสิ้น ส่วนยาสีที่ใช้ตกแต่งพระโกศเป็นประเภทยาสีร้อน มีสามสีได้แก่  สีเหลือง สีแดง และสีเขียว
           สีเหลือง หมายถึง สีประจำวันพระราชสมภพ
           สีแดง หมายถึง สีแห่งพลัง ความเข้มแข็ง การหลอมรวมดวงใจของคนในชาติ
           สีเขียว หมายถึง สีแห่งความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์แห่งประเทศด้วยพระเมตตาบารมีแด่ปวงประชาชนทุกภาคส่วน
            นอกจาพระโกศทองลงยาแลพระโกศสิลาแล้ว ยังมีเครื่องประกอบที่เกี่ยวเนื่องอีก 2 ชิ้น ได้แก่ แป้นกลึงแกะสลักลงรักปิดทอง จำนวน 1 ชิ้น สำหรับรองรับฝาพระโกศ และฐานไม้กลึงแกะสลักลงรักปิดทอง จำนวน 1 ชิ้น สำหรับรองรับยอดพระโกศที่เป็นพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือที่เป็นพระนพปฎลหาเศวตฉัตร เมื่อมีการถอดผลัดเปลี่ยนกันในงานราชพิธี
          

           พระโกศพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที 9 แห่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ทำด้วยทองคำจำหลักลงยาประดับเพชรทั้งองค์ ยอดเป็นพุ่มข้าวบิณฑ์ สามารถอดเปลี่ยนกับยอดนพปฎลมหาเศวตฉัตรทองคำเมื่องต้องอัญเชิญออกประดิษฐานบนพระราชบัลลังก์ เป็นผุ้ทำพระโกศ ทองคำถวายในหลวง รัชกาลที่ 9 หนัก 4 กิโล 175 กรัม ่ต่อองค์...http://www.tnews.co.th/contents/371471

วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Royal tradition

         พระบรมโกศ หรือ พระโกศทรงพระศพ ตามโบราณราชประเพณี
         พระบรมโกศ หรือพระโกศ คือ ภาชนะเครื่องสูง สำหรังรรจุพระบมศพของพระมหากษัตริย์หรือพระศพของพระบรมวงศ์ นอจากนี้ยังมีโกศที่พระราชทานสำหรับศพข้าราชการผู้มีบรรดาศักดิ์สูงซึ่งการใช้โกศบรรจุพระศพพระราชวงศ์ไทยเป็นธรรมเนียมทำกันมานานแล้ว แต่ไม่มีผุ้ใดทราบแน่ชัดว่าเร่ิมมาตั้งแต่สมัยใด ทราบเพียงว่ามีหลักฐานการใช้พระโกศในสมัยกรุงศรีอยุธยา
          ลักษณะพระโกศมีรูปทรงกระบอก ปากผาย ก้นสอบเล็กน้อย มียอดแหลม ผาทรงกรม อาจแยกตามวัตถุประสงค์การใช้งานเป็น 2 ประเภทคือ พระโกศสำหรับทรงพระบรมศพหรือพระศพ และพระโกศพะบรมอัฐิหรือพระอัฐิ สำหรับพระโกศพระบรมศพมี่ 2 ชั้น คือ
          - ชั้นนอก เรียกว่า "ลอง" ทำด้วยโครงไม้หุ้มทองปิดทอง ประดับกระจกอัญมนี ใช้สำหรับประกอบปิด"โกศชั้นใน"
          - ชั้นใน เรียกว่า "กศ"ทำดวยเหล็ก ทองแดงหรือเงิน ปิดทองทั้งองค์
          เมื่อเชิญพระบรมศฑลงสถิตในพระโกศแล้ว จังเชิญเอา "พระลอง" หุ้มพระโกศอีกชั้นหหนึ่ง ต่อมานิยมเรียกพระลอง เป็นพระโกศแทน จนเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกัน

             พระโกศทองใหญ่ รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2531 โดยโปรดให้รื้อทองที่หุ้มพระโกศกุดันมาทำพระโกศทองใหญ่ขึ้นไว้สไหรับพระบรมศพของพระองค์ เมื่อทำพระโกศองค์น้สำเร็จแล้ว จึงโปรดให้เอาเข้าไปตั้งถว่ายทอดพระเนตรในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทว่าในปีนั้นสมเ็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้า กรมหลวงศรีสุนทรเทพสิ้นพระชนม์ จึงโปรดให้เชิญพระโกศท่องใหญ่ไปประกอบพระศพเป็นครั้งแรก จึงเกิดเป็นประเพณีใรัชกาลต่อมาที่มีการพระราชทานพระโกศทองใหญ่ให้ทรงพระศพอื่นนอกจาพระบรมศฑได้ และได้ใช้ทรงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ พระศพเจ้านายในพระบรมราชวงศ์สืบต่่อมาทุกรัชกาล
            พระโกศทองใหญ่ รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเหล้าเจ้าอยู่ห้ว โปรดเหล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นปราบปรปักษ์ทรงสร้างถวายเมื่อ พ.ศ. 2443 เป็นพระโกศแปดเหลี่ยมยอด ทรงมงกุฎ ทำจากไม้หุ้มทองคำประดับหลอยขาว โดยทั่วไปเชื่อกันว่าสร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพระลอง เป็นการชั่วคราว แทนพระโกศทองใหญ่ รัชกาลที่ 1 ซึ่งต้องเชิญออกไปขัดแต่งก่อนออกพระเมรุ ทำให้เรียกกันว่าพระโกศทองรองทรง
            ต่อมาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงวิจารณ์ว่า ควรเรียกพระโกศทองใหญ่ เพราะมีวัตถุประสงค์หลักในการสร้างเพื่อใช้ทรงพระบรมศพหรือพระศพเจ้านายที่มีศักดิ์สูงพร้อมกัน จึงมีศักดิ์เสมอด้วยพระโกศทองใหญ่รัชกาลที่ 1 เช่นกัน และใช้ทรงพระศพเจ้านายสืบมา เช่น พระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7, พระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัฒฒวดี และใช้ในการพระบรมศพ พระบาทสมเด้จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยประดิษฐานเหนือพระแท่นสุวรณเบญจดลภายใต้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตรภายในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
              พระโกศทองใหญ่ รัชกาลที่ 9 เนื่องด้วยพระโกศทองใหญ่รัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 5 ค่อนข้างชำรุดเพราะผ่านการใช้งานมาหลายคราวแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงโปรดเหล้าฯ ให้สร้างพระโกศทองใหญ่ขึ้น เมื่อราว พ.ศ. 2543 นับเป็นพระโกศทองใหญ่องค์ที่ 3 ของกรุงรัตนโกสินทร์ มีลักษณะเป้ฯพระโกศแปดเหลี่ยม ยอดทรงมงกุฎทำจากไม้หุ้มท่องคำ ประับพลอยขาวทรวดทรงและลวดลายผสมผสานกันระหว่างพระโกศทองใหญ่รัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 5 ยอดพระโกศปักพุทมดอกไม้เพชร, ฝาพระโกศ ประดับดอกไม้ไหว ดอกไม้เพชร, ปากพระโกศ ห้อยเฟืองเพชร ระย้าเพชร อุบะดอกไม้เพชร, เอวพระโกศ ปักดอกไม้เพชร ใช้ในการพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นครั้งแรก

             การอัญเชิญพระศฑลงพระโกศ ในส่วนของการบรรจุพระบรมโกศ หรือพระโกศนั้นตามคตินิยมของพราหมณ์เชื่อว่า เมื่อพระมหากษัตริยืและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์เสด็จสวรรคตหรือสิ้นพระชนม์ จะประกอบพิธีบรรจุพระบรมศพ พระศพลงในพระโกศ โดยต้องตั้งพระศพในท่ายืน, นั่ง, คุกเข่า หรือกอดเข่าประสานมือ เพื่อส่งพระศพและพระวิญญาณเสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์
            โดยจดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 กล่าวถึงการทำสุกำพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งทำให้เป็นแบบแผนและวิธีการแต่ครั้งอดีตว่า เร่ิมจากการถวายเครื่องสำหรับค้ำพระเศียร คือ ไม้กาจับหลัก หรือ พระปทุมปัตนิการ รองที่พระบาท (เท้า) ซึ่งมีก้านออกมาค้ำพระหนุ (คาง) ให้พระเศียรอยู่ในท่าที่เหมาะสม อาจเพื่อให้พระเศียรไม่ก้มต่ำลงมาหรือขยับเขยื้อน ก่อนจะจัดพระอิริยาบทให้อยูในท่านั่งต่อไป
             หลังจากถวายเครื่องค้ำพระเศียรแล้วจึงถวาย พระกัปปาสิกะสูตร (ด้ายสายสิญจน์หรือด้ายดิบ)ทำสุกำพระบรมศพหรือมัดตราสัง แล้วเตรียมผ้าห่อเหมี้ยง รหือ พระกัปปาสิกะเศวตพัสตร์ (ผ้าฝ้ายสีขาว) ปูซ้อนกันเป็นรูปหกแฉก แล้วเชิญพระบรมศพให้ประทับในท่านั่งเหนือผ้านั้น แล้วรวบชายผ้าไว้เหนือพระเศียรซึ่งจะปล่อยชายผ้าไว้สำหรับผุกพระภูษาโยงสดับปกรณ์ จากนั้นห่อด้วยผ้าตั้งแต่พระบาท (เท้า) พันขึ้นไปจนถึงพระกัณฐฐา (คอ) แล้วเหน็บไว้ หลังจากนั้นจึงเชิยพระบรมศพลงพระโกศหนุนด้วยหนอนโยรอบเพื่อกันเอียงเป็นเสร็จขั้นตอน
            อย่างไรก็ตามได้มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อรั้งงานพระบรมศพสมเด็จพระศรรีนครินทราบรมราชชนนี (โดย แผนเพจ คลังประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งเป็นเพจที่ให้ข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์ของประเทศ) เมื่อคราวสมเด็จย่าสวรรคตนั้น พระองค์ได้รับสั่งว่าให้นำท่านลงหีบ ซึ่งพระราชกระแสรับสั่งนี้เกิดขึ้นเมื่อคราพิธีสรงน้ำสมเด้จพระราชินี ในรัชกาลที่ 7 ซึ่งสมเด็จย่าเสด็จอ้วย และได้เห็นการทำพระสุกำหรือมัดตราสังพระบรมศพแล้วอัญเชิญลงสู่พระบรมโกศ เป็นไปด้วยความทุลักทุเล พระองค์ จึงตรัสว่า "อย่าทำกับฉันอย่างนี้ อึดอัดแย่"
หีบพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ัชการที่ 9
สร้างจากมไ้สักทองอายุนับร้อยปีปิทองแท้ร้อยเปอร์เซ็นทั้งใบ
             ด้วยเหตุนี้ งานพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนี เมื่อ พ.ศ. 2538 ก็ได้เปลี่ยนมาเป้นการเชิญลงหีบพระศพแทน เช่นเดี่ยวกับงานพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร ซึงสามารถทำได้รามพระราชอัธยาศัย ดังนั้นในพระโกศจึงไม่มีพระบรมศพสถิตอยู่ ตั้งไว้เพื่อเป็นพระเกี่ยติยศเท่านั้น ส่วนหีบทรงพระบรมศฑประกิษฐานหลังพระแท่นโดยมีฉากกั้นอยู่
              อย่างไรก็ตาม ธรรมเนียมการบรรจุพระศพลงพระโกศ หรือบรรจุศพลงโกศนั้นยังคงมีอยู่ เพียงแต่จะบรรจุลงหรือไม่ขึ้นอยู่กับพระทายาทหรือทายาท ซึงงานพระศพเจ้านายบางพระอค์ก็ยังบรรจุศพลงโกศเหมือนแต่ก่อน...hilight.kapook.com/view/143615
            ลักพระศพ
            น้ำตาไหลเลย!!!...ลัก "พระศพแล้ว" นักข่าวดังเผยเมื่อหัวค่ำที่สนามหลวง
            ภายใต้ความโศกเศร้าของพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ที่ได้มาร่วมกันสักาาระพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ภายในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นก็ได้มีภาพที่แสดงออกถึงความจงรักภักดี ความสมัครสมานสามัคคีและความมีน้ำใจของคนไทยออกมามากมายจนถึงวันนี้..
            ซึ่งมีเรื่องหนึ่งที่หลายคนคงไม่รุ้มาก่อน โดยล่าสุดทางผุ้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า Wassana Nanuam ได้โพสต์เผยแพร่ภาพพร้อมข้อความและคลิปวิดีโอขณะทีเจอขบวน "การลักพระศพ" ในหลวง รัชกาลที่ 9 ประทับที่พระเมรุมาศ กลางสนามหลวง ซึ่งตามประเพณีจะทำก่อนวัน พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบมศพ จะมาถึงอีกหนึ่ง แม้จะเป้นการทำแบบเงี่ยบ แต่หลับทำให้บรรดาพสกนิกรไทยที่พบเห้นใจหายไปตามๆ กัน โดยได้ระบุข้อความว่า...
             "ในหลวง ร.9" ทรงมาประทับที่ พระเมรุมาศ กลางสนามหลวงแล้ว..การ"ลักพระศพ"จากเวลา 19.49-20.18 น. ...เสร็จสิ้น..." ร.10 เสด็จกกลับ ส่วน สมเด็จพระเทพฯ กลับเข้าวัง อีกครั้ง   ใจหาย!!! เป็นการสันนิษฐาน จากการดูด้วยสายตา แลอยู่ในบริเวณนี้ แม้จะเป็น ว.5"
              โดยต่อมาทางผุ้ใช้เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า Wassana Nanuam ได้ออกมาเผยแพร่ข้อความพร้อมคำชี้แจ้งถึงเรื่องราวที่มีกาอัญเชิญ "พระศพ ไปขึ้นพระเมรุมาศ ก่อนวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ จะมาถึง ถูกเผยแพร่ไปก่อนหน้านี้ พร้อมระบุข้อความว่า"
              "กำลัง สารวัตรทหารเรือ" มาวางกำลัง ยืนยามโดยรอบสนามหลวงแล้ว...มีคำชี้แจงว่า..ประเพณี หรือ พิธีลักพระศพ ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ แต่เป็นความเชื่อเท่านั้น ว่า มีการอัญเชิย พระศพ ไปขึ้นพระเมรุมาศ ก่อน ....แต่ก็ไม่เคยมีหลักฐานว่ามีเกิดขึ้นจริง เช่นเดียวกับครั้งนี้ ก็เป็นแค่การสันนิษฐาน จากที่อยุ่ในบริเวณโดยรอบ แต่ไม่ได้เห็นด้วยตา ใกล้ๆ แต่าการที่ได้อ่านในสื่อหลายแขนงว่า จะมีพิธีนี้...จึงคอยเฝ้าดู จากพื้นที่ โดยรอบเท่านั้น..การพิธี แบบนี้มีจริงหรือไม่ ไม่มีใครพิสูจน์ได้ เป้นแค่ความเชื่อ เท่านั้น"...www.today.jackpotded.com/4638/
              ที่มาธรรมเนียม "ลักพระศพ" ก่อนเคลื่อนริ้วขบวนพระราชพิธีฯ ทำในเวลากลางคืน
               พระราชพิธีพระบรมศพและการทำพระศพเจ้านายแต่ดั้งเดิม มีธรรมเนียมซึ่งเรียกว่า "ลักพระศพ" หรือ "ลักศพ" โดยเป็นขั้นตอนหนึ่งของการเตรียมงานก่อนวันถวายพระเพลิง หรือพระราชทานเพลิง โดยเจ้าพนักงานที่รับผิดชอบจะอัญเชิญพระบรมศพ หรือ พระศพจากที่ประดิษฐานเวลากลางคืนมายังพระราชยานหือ ยานพาหนะเพื่อตั้งกระบวนรอที่จะเคลื่นไปยังพระมรุหรือเมรุในเช้าวันนั้น
             
 ทั้งนี้ มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับกาลสมัย เมื่อปี พ.ศ.2430 ในงานพระศฑของสมเด็จเจ้าหฟ้ามหามาลา ที่ปรากฎในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ได้ให้รายละเอียดในงานพระศพครั้งนั้นความว่า "ณ วันอาทิตย์ ขึ้นสามค่ำ เป็นเตรยมชัดพระศพ ครั้งเวลาค่ำได้ตั้งขบวนแห่แต่วังสมเด็จฯ เจาฟ้ามหามาลา เชิญพระศพไปลงเรือที่ท่าพระล่องลงไปขึ้นที่ศาลต่างประเทศ ตั้งขบวนแห่งเชิญพระศพไปขึ้นพระมหาเวชยันตราชรถที่หน้าวัดเชตุพนเป็นการเงียบอย่างลักพระศพ
             อนึ่ง การลักพระศพนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกพระศพ แต่จะเกิดขึ้นกับบางกรณีเท่านั้น เช่น วังที่ตั้งพระศพนั้นอยุ่ไกล หรือ อยุ่อีกฝั่งของแม่น้ำ ห่างไกลจากวัดจากพระเมรุ ที่จะทำการพระราชทานเพลิง ดังนั้น การลักพระศพก็คือ กาอัญเชิญพระศพมายังสถานที่ ที่สะดวกต่อการจัดริ้วขบวน และที่สำคัญคือเป็นรย่นเวลาให้เร็วขึ้น...www.yumzaap.com/6179
            คำว่า "ลักพระศพ"เป็นชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการของเจ้าพนักงานภูษามาลาที่มช้พุดถึงขั้นตอนการอัญเชิญพระศพไปยังพระเมรุกอ่นงานพระราชพิธี จะรีบกระทำในเวลากลางคือ หรือเช้ามือก่อนงานพระราชพิธี โดยจะอัญเชิญพระโกศทรงพระศพออกจากตำหนัก หรือวังที่ประทับ ขึ้นยังพระราชยานรถม้า หรือราชยานคนกาม ไปยังสถานที่ใดทีหนึ่งเืพ่อตั้งรอริ้วขบวนงานพระราชพิธีที่จะเกิดขึ้นในตอนเช้า ดังตัวอย่งเหตุการณ์ลักรพะศพที่เคยบันทึกไว้ข้างต้น..royal.jarm.com/view/99200
           

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...