วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

MICE

           MICE ไมซ์ หมายถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดประชุมบริษัทข้ามชาติ การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การประชุมนานาชาติ และากรจัดนิทรรศการ ไมซ์เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แต่มีความแตกต่างจากนั้ท่องเที่ยวหรืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วไปคือ
           วัตถุประสงค์ของการเดินทาง นักท่องเที่วกลุ่มไมซื จะมีัตถุประสงค์หลักในการเดินางที่เฉพาะเจาะจง ที่เกี่ยวเนืองกับการเดินางเพื่อร่วมประชุมบริษัท การท่องเที่ยวจากรางวัลที่ได้รับ กเรเข้าร่วมงาานประชุมนานาชาติ หรือการเข้าร่วมวานแสดงสินค้าหรือนิทรรศการนานาชาติ
           คุณภาพของนักท่องเท่ยว
           อุตสาหกรรมไม่ซ์สามารถนำท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่มีคุณภาพ นักท่องเท่ยวชาวต่างประเทศกลุ่มนี้ มระดับการใช้จ่ายสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป 3-4 เท่า
           ภาคธุรกิจ/อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
            อุตสาหกรรมไม่ซื มีภาคธุรกิจ / อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องแตกต่างกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น ผุ้จัดงานประชุม ผุ้จัดงานนิทรรศการ สถานที่จัดประชุม ศูนย์แสดงสินค้าและนิทรรศการ เป้นต้น https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%8B%E0%B9%8C
             
ความแข็งแกร่งของุตสาหกรรมไมซืไทยยังคงเป็นี่ประจักษ์ โดยดุจากจำนวนนักเดนางกลุ่มไมซ์ในเมืองไทยที่เพ่ิมขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายในการสร้างรายได้จากธุรกิจไมซืทั้งส่วนของรายได้จากนักเดินทางหลุ่มไมซืต่างประเทศ และนักเดินทางกลุ่มไมซ์ในประเทศสูงถึง แสนห้าหมื่อน ล้านบาทในปี 2560 ด้วยการสนับสนุนสงเสริมจากภาครัฐโดยทีเส็บ - อุตสาหกรรมไมซืไทยจึงมีสัญญาณการเติบโตมากขึ้นในปีนี้ โดยผุ้ประกอบการ ยังคงมีความเชื่อมั่นและแสดงความพร้อมในการพัฒนาตามแนวทางองภาครัฐ เพื่อดึคงดูดให้เกิดการจัดกิจกรรมไมซ์ในทุกภูมิภาคของประเทศ
               ความสงบภายในประเทศและสถานการณ์ทั่วไปที่เร่ิมเข้าสู่สภาพปกติ เป้นปัจจัยแวดล้อมที่สำคัญที่ทำให้ผุ้จัดประชุมคมีความเชื่อมั่นมากขึน นายสุเมธ สุทัศน์ ณ อยุธยา นายกสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า มีปัจจัยหลายอย่างแประกอบกันทั้งในและต่างประเทศที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่น และในปีนี้ทั้งในและต่างประเทศที่สงผลต่อความเชื่อมั่น และในปีนี้เร่ิมมีสัญญาณว่าการประชุมในเมืองไทยจะดีขึ้น ท้งประชุมองค์กและประชุมสมาค รวมถึงอาจจะมีการวางแผนตัดสินใจที่จะมาประชุมในปีต่อๆ  ไปมากขึ้นด้วย สำหรับเทรนด์ในการจัดงานในปัจจุบันจะเป้การจัดงานที่มีขนาดเล็กลง และผุ้จัดงานมีการวางแผนและการตัดสินใจที่เร็วขึ้นหว่าเดิม ส่วนแนวทางการส่งเสริมการจัดการประชุมชองทางสมาคมในปีนี้นั้นยังคงเน้นเรื่องความคุ้มค่าและความสดวกที่สอดคล้องกับแนวทางของที่เส็บ
             
ด้านนางประพีร์ บุรี นายกสมาคมการแสดงสินค้า(ไทยป กล่าวถึงอุตสาหกรรมการแสดงสินค้รของประเทศไทยในปัจจุบันว่ อุตสาหกรรมการแสดงสินค้าเติบโต 7-8% และยังคงเติบโตอย่งต่อเนื่อง เพราะอุตสาหกรรมไมซืไทยมีความพร้อมสูงในด้านต่างๆ เช่น มีศูนย์แสดงสินค้าที่ได้มาตรฐาน สามารถแข่งขันกับทั่วโลกได้ เช่น มีศูนย์แสดงสินค้าที่ได้มรตรฐาน สามารถแข้งขันกับทั่วดลกได้ อีกทังปะระเทศไทยยังตั้งอยุ่ในตะแหน่งที่เป้นสุนย์กลางของภูมิภาค สามารถเชื่อมโยงกับประเทส้างเคียงได้ยอ่างสะดวกรวดเร็ว นอกจากคึวามพร้อมด้านสถานที่จัดงานแง้ว ไทยยังมีบุคลากรที่มีความสามารถและมีควรพ้อมสำหรับงานไมซ์ในระดัับประเทศและระับนานาชาติโดยสมาคมการแสดงสินคึ้ส(ไทย) มีแนวทางที่สงเสริมผุ้ประกอบการหรือผุ้จัดงานแสดงสินจ้าไทยให้มีการพัฒนามากยิ่งขึ้น และสงเสริมให้ผุ้จัดงานแสดงสินค้าไทยออกไป จัดงานในต่างประเทศ ทั้งในอาเซียนและประเทศรอบข้าง เข่น กัมพุชา ลาว พม่า และเวยดนาม เพื่อนำเสนอสินค้าต่ง ๆของไทยในตลาดต่างประเทศ และยังเป็นการนำรายได้กลับเข้ามาในประเทศไทยด้วย
               การสร้างจุดขายและมูลค่าเพ่ิมให้แก่เดลสติเนชั่นไมซืประเทศไทย สู่จุดแข็งควมหลากลายของสถานที่จัดงานและกิจกรรมไม่ซ์ เป้ฯแนวางกรดำเนินงานเพื่อส่งเสริมตลาดไมซืของที่เส็บ เพราะนักเดินทางกลุ่มไม่ซ์ย่อมหาทางเลือกของสถานที่จัดงาน แนวคิดงานที่ตอบสนองการจัดงานเชิงธุรกิจและการพักผ่อนหย่อนใจในเวลาเดียวกัน เช่นเดียวกับตลาดโอเชียเนีที่ให้ความสนใจการจัดงานแบบ ธีม และสร้างการมีส่วนร่วมให้กับผุ้เขาประชุม ที่เน้นชัด คือ กิจกรรมซีเอสอาร์ การปรุชมแบบกรีนมิตติ้ง และกิจกรรมผจญภัย ซึ่ง ไทยแลนด์ ไมซ์ แมกนิฟิเซนท์ ธีม จึงถูกนำเสอนครั้งแรกในงานเทรดโชว์ระดับภุมิภาคอย่ง เอเชี-แปซิฟิก อินเซนทีฟ และ มีทติ้ง เอ็กโปร์ AIME 2017 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเบลเบิรน ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 21-22 กุมภาพันธ์ 2560 เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าโอเชียเนียกับทางเลือกจัดงานในประเทศไทย...
               
ไทยเป็นผู้รับผิชอบหลักในการจัดทำมาตรฐานสถานที่จัดงานไมซือาเวียน หรือ AMVS 
                 อาเซียน เห้ฯชอบมาตรฐานสาถนที่จัดงานไมซืไทย นับเป้นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของอุตสาหกรรมไมซืไทย เมดื่อรดัฐมนตรีท่องเท่ี่ยวอาเว๊ยนทั้ง 10 ประเทศ มีติเห้นชอบให้ประเทศไทย 
โดยที่เส็บเป้นผุ้นำของอาเซียนในการจัดทำมาตรฐานสถานที่จัดงานไมซืในอาเซียน หรือ อาเเซียน ไมซ์ เวนิว สแตนดาร์ด AMVS 
                  โตรงการมาตรฐานสถานที่จัดงานไม่ซืในประเทศไทย ที่พัฒนาโดยทีเส์บ เป้นโครงการที่ริเร่ิมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 เพื่อพัฒนาสถานที่จัดงานประชุมและแสดงสินค้าในประเทศไทยให้ได้มาตรฐานรองรับการจัดงานในระดับนานาชาติ
                  และเพื่อยอกระดับให้เป็น TMVS ได้รับการพัฒนาสู่การเป้นมาตรฐาน AMVS ประเทศไทยได้เสนแตัวไปยังที่ประชุมการท่องเที่ยวแห่งชาติ ในการทำมาตรฐาน และในการประชุมการทอ่งเที่ยว ที่ประชุมได้เห็นชอบให้เไทยเป็น ผุ้รับผิดชอบหลักในการจัดทำมาตฐาน AMVS โดยใช้ TMVS เป็นต้นแบบ
             - MICE Jounal, ISSUE 1 JAN-FEB / WWW.TCEB.OR.TH
              

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Trends Travel ASEAN

               เทรนด์มาแรง ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในอาเซียน ด้วยปัจจัยสนับสนุนมากมาย และทุกประเทศในอาเซียนกำลั่งช่วยเหลือกันในเรื่องนี้
               มีปัจจัยที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในย่านอาเซียนอน่าางมากมาย เช่นสภาพแวดล้อมที่มีเสน่ห์ในภูมิภาค กาเรพ่ิมขึ้นของปริมาณนักท่องเที่ยวชนชั้นกลางธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำที่กำลังเติบโตการโปรโมตภาพถ่ายแหล่งท่องเที่วสุอินเทอร์เน็ตโดยผุ้ประกอบการไม่่ต้องมีต้นทุนในการโฆษณา การเติบโตของธุรกิจไมซ์ แนวโน้มนักเดนทางวัยเกษียณที่กำลังมาแรง และความนิยมในการเดินทางพักผ่อนคอบคู่กับรักษาตัว เป้นต้น
              ปลายเดือน มิ.ย. 2559 มีการประชุมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของสมาคมอาเซียน ที่เมืองปกาเซ ซึ่งมีลาวเป็นเจ้าภาพการประชุมเป็นครั้งแรกในฐานะประธานอาเซียน และไทยกับลาวได้ลงนามในข้อตกลงด้านการท่องเที่ยวข้ามพรมแดน ซึ่งเป้ฯสวนหนึ่งของการเพิ่มความสัมพันธ์และการค้าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ผ่านมาทางการลาวได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคและการคมนาคม เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพ่ิมขึ้น รวมทั้งการขายสนามบินนานาชาติวัดไตมูลค่า 61 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเสร็จสมบูรณ์ใปี ค.ศ. 2018 นอกจากนี้ยังเตรียมลงทุนปรับปรุงสนามบินนประเทศอีกหลายแห่ง ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษษ์ถือเป็นธุรกิจใหญ่ในลาว เนื่องจากลาวมีทรัพยากรและสถานที่ที่เอื้ออำนวยไม่ว่าจะเป้ฯการเดินป่า การปั่นจักรยานตามเขตป่าสงวนและชุมชนท้องเถ่ิน ตลอดจนการพายเรือและล่องแก่ง
           
ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทนำเทียวในลาว ท่านหนึ่ง ระบุว่าความท้าทายอย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ คื อการจัดโปรแกรมท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับลูกค้าจากแต่ละประเทศ ซึ่งมีความต้องการ ความคาดหวัง และงบประมาณ แตกต่างกัน
            และชี้แจงว่าหากเป็นนักท่องเทียวจีน ทางบริษัทจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาจีนได้หลายๆ คนไว้คอยบริการ ส่วนชาวเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ชอบช่วยเหลือตัวเอง ขณะที่ชาวยุโปรจะชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แบบเข้มข้นมากเป้นพิเศษ
       
 อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษาด้านการทองเที่ยวแบบยังยืนอของบริษัท ดิสคัฟเวอร่ ชี้แจ้งว่า เมื่อพูดถึงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ลาวยังคงตามหลังประเทศเพื่อนบ้านในแถบนี้ และบอกว่าไทย ได้เปรียบที่มีชายหาดส่วยงามมากมาย ส่วนเมียนมาร์ซึ่งมีทัเ้งธรรมชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลาย ก็กำลังก้เาวขึ้นมาเป็นคู่แข่งรายใหม่ ที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยวผุ้นี้ระบุว่า รัฐบาาลลาวจำเป้นต้องเพ่ิมการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์มากกว่านี้ โดยเฉพาะในด้านการออกนโยบายเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม การปราบปรามปัญหายาเสพติด ตลอดจนการจับกุมบริฒัทนำเที่ยวผิดกฎหมายที่ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด รวมทั้งความกังวลเรื่องการก่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขง ซึ่งอาจคุกคามต่องแหล่งที่อยู่ของสัตว์ป่า และระบบนิเวศวิทยาในแถบลุ่มแม่น่้ำโขงด้วย...  http://www.winnews.tv/news/5161

วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

๊Update ASEAN Tourism

             
ท่องเที่ยวแข่งหนัก ททท. ชี้"เวียดนาม" ด้าวรุ่งอาเซียน ชูสินค้าตามไทย
              ททท.ยุโรปฯ จับตาอาเซียนแข่งดุแย่งตลาดระยะไกล เผยเวียดนามดาวรุ่งเสนอสินค้าและบริการวัดรอยเท้าไทย
              นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผุ้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกาตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มชาติสมาชิกอาเซียนมีกระสแการแข่งขันในอุตสาหกรรมการ่องเที่ยวอย่างดุเดือด วัดได้จากทุกชาติต่างออกมาตรการ ส่งเสริมการทอ่งเที่ยวออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเแฑาะประเทศเวียดนาม ซึ่งเป้นตลาดดาวรุ่ง ที่นักท่องเที่ยวตลาดระยะไกล อย่างยุโรป แอฟริกา และสหรัฐอเมริกา เร่ิมให้ความสนใจเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวไม่แพ้การวางแผนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย
               ทั้งนี้ ประเทศเวียดนามเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสดใหม่ สร้างความแปลกใหม่น่าค้นหาให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มตะวันตก ซึ่งมีความหลากหลายด้านแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล มรกดวัฒนธรรม แม้ว่าในปัจจุบงันสิ่งอำนวยความสะดวกน้อยกบล่าวประเทศไทย แต่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้าไปลงทุนธุรกิจต่างๆ อาทิ เปิดโรงแรมห้างสรรพสินค้า ขณะที่สายการบินต่างชาติและสายการบินของประเทศไทยต่างงางแผนขยายเที่ยวบัินเพื่อรองรับการเินทางมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
             ด้านราคาแพ็กเกจทัวร์เส้นทางประเทศเวียดนาม มีราคาใหล้เคียงกับแพ็กเกจทัวร์ไทย ขณะที่ราคาดรงแรมที่พักสูงกว่าประเทศไทย เพราะผุ้ประกอบการโรงแรมมีจำนวนน้อยไม่เกิดการแข่งขันด้านราคมสูงเหมือน ผุ้ประกอบการไทย แต่ไทยมีจุดขายด้านความหลากหลายสินค้าและบริการมีความหรูหราคุ้มค่าเงิน เมื่อเที่ยบกับแบรนด์ต่อแปรนด์
             อย่างไรก็ตาม ได้สังการสำนักงานตลาดระยะไลจับตามความเคลือนไหวกลยุทธ์การตลาดของเวยดนามอย่างใกล้ชิด ถึงจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรคของตลาดเวียดนามเปรีบเที่ยบประเทศไทย เพื่อกำหนดแผนยุทธศาสตร์การตลาดปี 2561 ให้ตรงต่อควมต้องการของนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกลในแต่ละประเทศ เน้นเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับบน และนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม (นิชมาร์เก็ต)มากขึ้น เช่น กอล์ฟ สปา เมดิคอล กลุ่มผุ้หยิง เป็นต้น
             "ตลาดที่เห็นภาพชัดในการย้ายฐานไปเที่ยวเวียดนาม เช่น รัสเซีย เพราะการปรับค่าเงิน รูเบิ้ลให้อ่อนค่าลงทำให้การเที่ยวเวียดนามมีแพ็กเกจถูกว่าไทย แต่การปรับฐานนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพของไทย เชื่อว่าปีนี้รัสเซียกลุ่มกำลังซื้อสูงจะกลับมาเทียวไทยกว่า 1.3 ล้านคน เติบโต 22% ใช้จ่ายต่อคนประมาณ 8.46 หมื่อนบาท/ทริป เพ่ิมขึ้น 4% สร้างรายได้ให้ไทยกว่า 1.1 แสนล้านบาท" นายธเนศวร์ กล่าว
           
นักท่องเที่ยวชาวจีน
ขณะที่ ปัญหารการเมืองระหว่งประเทศในแถบยุโรป อย่าง ตุรกี รัสเซีย ฯลฯ ปัญหาค่าเงินและสภาวะเศราฐกิจโลกที่ถอถอย จะทำให้นักท่องเที่ยวรัสเซียน และยุโรปประเทศอื่นๆ เดินทางมา ท่องเที่ยวในแถบเอเชียมากขึ้ดยเฉพะเลือกประเทศไทยเป้น เส้นทางหลักในการพำนักระยะยาว (ลองสเตย์) เพราะความ คุ้มค่าเงิน และสิ่งอำนวยสะดวกที่ครบครัน เมื่อทเี่ยบกับอาเซียนชาติอื่น
             สำหรับกลยุทธ์ตลาดยุโรป อเมริกา ททท. เตรียมร่วมมือกับสายการบินต่างๆ เปิดเที่ยวบินตรงลงสู่แหล่งท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรองในไทยเพ่ิมขึ้น ช่วยอไนวยความสะดวกการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยว เพื่อผลักดันให้รายได้ท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศปีนี้เกติบโตกว่า 10% เมื่อเที่ยวกับปีที่ผ่านมาhttps://www.posttoday.com/biz/aec/news/474484
             ททท. เปิดยุทธสาสตร์ปี " 61 มุ่งนักท่องเที่ยวห้าใหม่ เมืองรอง"
             ประชุมกำหนดแผนยุทธศาสตร์สำหรับปี 2561 กัไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับการทอ่งเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยคากการณ์ว่าปี 2561 นี้จะเป้นปีีี่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเผชิญความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะการแข่งขันจากหลายประเทศที่ให้ความสำคัญกับการทำตลาดท่องเที่ยวมากขึ้น รวมถึงปัจจัยเสียงต่างๆ เช่ อัตราแลกเปลี่ยน เหตุกาณณืทางการเมืองในภูมิภาคต่างๆ ทัวโลก ยุทธศาสตร์ใหญ่ของ ทท. สำหรับปีหน้าจึงต้องทำงานแบบลงลึกในรายละเอียดมากขึ้นเพื่อเป้าหมายทะลุสู่มิติใหม่ๆ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและเศรษฐกิจของประเทศ
             ตั้งเป้าหมายไทยติด 1 ใน 7 ของโลก โดยมีเป้าหมายสร้างรายได้ท่องเท่ยวปี 2561 ททท. ตั้งเป้าไว้ที่ 3.1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ 2.1 ล้านล้านบาท จำนวนนักท่องเท่ยวต่างชาติเติบโต 5% ้เมื่อเที่ยบกับปีนี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะปิดที่ 34-35 ล้านคน
             โดยสถิติในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มนักท่องเที่ยวต่างชาติ 18.2 ล้านคน เพ่ิมึ้นเพียง 4.3 % และมีรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2564 ที่ 4 ล้านล้านบาท หรือเติบโต 10% ต่อปีติดอันดับรายได้สูงสุด 1 ใน 7 ของโลก จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน   ทั้งนี้ สำนักงานการท่องเที่ยวทั่วดลกมีแผนที่ำต่ละตลาอดอย่างชัดเจนแล้ว
              นักท่องเที่ยวหน้าใหม่ "ศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์" รองผุ้ว่าการ ้ดานตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. บอกว่า สำหรับภาพรวมตลาดภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนียนั้น วางกลยุทธ์มุ่งเพ่ิมนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ ในเมืองรอง เช่น ประเทศจีนและอินเดีย ซึ่งปัจจุบัมีเที่ยวบินตรงจากสายการบินราคาประหยัดและเที่ยวบินเช่าเหมาลำ ให้บริการมากขึ้น โดย ททท. ไ้ทำแคมเปญเจาะตลาดความสนใจเฉพาะ หรือ "นิชมาร์เก็ต" อาทิ นักท่องเที่ยวผู้หญิง ซึ่งเป็นกลุ่ม ททท.เจาะมาได้ 2 ปี ดยได้ยกให้เดือนสิงหาคมเป็นเดือนแห่งการท่องเที่ยวของผุ้หญิงโดยจับมือกับพันธมิตรมอบสิทธิประโยชน์แก่นักท่องเที่ยวผุ้หญิงทั่วดลกผ่านช่องทางแอพลิเคชั่น เพื่เจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวอาเซียนด้วยขณะที่คู่แต่งงานและฮันนีมูน จะรุกขยายตลาดที่มีศักยภาพอยุ่แล้วอย่างอินเดีย ซึ่งปีที่แล้วมีคุ้แต่งงานเดินทางมาจัดงานที่ไทยถึง 400 คู่ส่วนจีนเองก็เร่ิมสนใจจัดแต่งงานในต่างประเทศมากขึ้น ฟากตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพหรือเมดิคอล แอนด์ เวลเนส กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนมีการขยายตัวมากในตลาดนี้ และอีกตลาดคือการทองเที่ยวเชิงกีฬา ที่นอเหนือจากกอล์ฟแล้ว จะเน้นไ)รโมตกีฬาใหม่ๆ เพื่อเจาะคนรุ่นใหม่ เช่น มวยไทยการปั่นจักรยาน วิ่งมาราธอน เป็นต้น
         
 ตลาดจีน ขนาดที่ "บังอรรัตน์ ชินะประยูร" ผุ้อำนวยการ ททท. สำนักงานปักกิ่ง ประเทศจีน บอกว่ นอกเหนือจากการเข้าไปเจาะตลาดใกม่อย่างเมืองรองในจีนแล้ว ททท. ยังได้งางกลยุทธ์แบ่งเซ็กเมนต์สินค้าท่องเที่ยวเพื่อเจาะความต้องการชาวจีนออกเป็น 6 สินค้าหลักในปีหน้าประกอบด้วย ฮันนีมูน กีฬา สินค้าระดับลักเซอรี่ แฟมิลี่ การทอ่งเที่ยวเชิงอาหาร และ เมดิคอล ทัวรริสซึ่ม ซึ่งตลาดหลังกำบังเติบโตในีนอย่างมาก และแนวโน้มเติบโตสูงต่อเื่องในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
           ตลาดอินเดีย ผุ้อำนวยการ ททท. สำนักงานนิวดลี อินเดีย เสริมว่า ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวอินเดียดินทางมาไทย 1.19 ล้าคน จากยอดคนอินเดียเดินทางไปทั่วโลกกว่า 22.30 ล้านคน และคาดว่าในปี 2020 จะมีแนวโน้มไปเที่ยวต่างประเทศสูงถึง 50 ล้านคน โดยหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพคือกลุ่มที่เดินทางเพื่อประชุมสัมนา(ไมซ์)
           ปัจจุบันไทยมีส่วนแบ่งในกลุ่มนักเดินทางไมซือินเดียวอยู่ 10% นอกจากนี้ ยังวมีตลาดแต่งงาน การถ่ายทำภาพยนตร์บอลลีวูด และกลุ่มผุ้หญิงอินเดีย
            ตลาดยุโรป ผุ้อำนวยกาภุมิภาคยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง บอกว่า ในภาพรวมของปี 2559 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามารวม 32.5 ล้านคน
            สำหรับตลาดระยะไกลนั้นยังคงมีอัตรการเติบโตในทุกๆ ตลาด ประกอบด้วยยุโรป 6 บ้านคน ขยายตัวเพ่ิมขึ้น 9.71% อเมริกา 1.34 ล้านคน เพ่ิมขึ้น 14.77% ตะวันออกกลาง 8.21 แสนคน เพิ่มขึ้น 13.97% และตลาดแอฟริกา 1.72 แสนคน เพ่ิมขึ้น 4.89% รวมแล้วประมาณ 8.34 ล้านคน มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 26%
             ในส่วนของรายได้รวมตลาดต่างประทศมีมูลค่ารวม 1,628,808 ล้านบาท ตลาดยุโปรมีรายได้ 437,815 ล้านบาท เติบโต 10.77% อเมริกา 99,887 ล้านบาท เติบโต 22.39% ตะวันออกกกลาง 62,478 ล้านบาท เติบโต 21.60% และแอฟริกา 11,932 ล้านบาท เติบโต 10.39% รวมทั้งหมดประมาณ 612,112 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาดที่ 38%
             โฟกัสตลาด "กลาง-บน" โดยตลาดที่มีรายได้สูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วยรัสเซีย มู ตามด้วยสหราชอาณาจักร อเมริกา เยอมนี และฝรั่งเศส ตามลำดับ ดดยตลาดนักท่องเที่ยวที่มีอัตราการใช้จ่ายต่อทริปสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย เดนมาร์ก คุเวต แคนาดา อิสราเอล และซาอุดิอาระเบีย ตามลำดับ
              สำหรับกลยุทธ์หลักในปี 2561 ททท. จะทำการปรับโครงสร้างนักท่องเที่ยวสุตลาดกลางและบนน โดยมองรายได้รวมที่ 20,000 เหรียญสหรัญต่อปี
              เตรยมเปิด สนง. "แคนาดา-บราซิล" โดยหลัการทำงานจะเน้น 3 สวนหลัก คือ แอเรีย เบส เซ็กเมนเตชั้น และโปรดักต์ โดยในสวนแอเรียเบสนั้นจะยังคงรักษาตลาดหลัก และไปจับเมืองรองที่มีรายได้สูงเพิมขึ้นอาทิ ตลาดสหราชอาณาจัก จะไปที่แมนเชสเตอร์ นิวคาสเซิล เป้นต้น รัสเซีย รอบๆ มอสโก ตลาดอเมริกาตะวันออก ที่ซีแอตเทิล แนคูเวอร์ อเมริการตะวันตก ที่ชิคาโก และวอชิงตัน เป็นต้น
              นอกจากนี้ยังมีแผนเจาะตลาดพื้ีนที่ใหม่ เช่น สำนักงานปราก เปิดตลาดที่โปแลนด์ เช็ก และฮังการี ตลาดซีไอเอส ที่ คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน
              ตลาดอเมริการเหนือ จะเน้นที่แคนาดา ซึ่ง ททท. มีแผนที่จะเปิดสำนักงานที่กรงุโตรอนโต ส่วนละตินอเมิรกา ตลาดบราซิลเป็นตลาดสำคัญ ซึ่ง ททท. ก็มีแผนเปิดสำนักงานที่เมืองเซาท์เปาโลเช่นกัน
             ทั้งหมดนี้ ผุ้อำนวยการภุมิภาคยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง ย้ำว่ จะเน้นไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ และนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มฮันนีมูนเวดดิ้งรวมถึงเฮท์แอนด์เวลเนสhttps://www.prachachat.net/tourism/news-8147
           

วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ASEAN Tourism... According to Roy, before

             ในสมัยตอนต้รรัชกาลที่ 9 เป็นช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที 2 ซึ่งเศรษฐกิจล่มสลาย ผุ้คนส้ินเนื่อประดาตัว จักรวรรดินิยมอังกฤษและฝรั่งเศสล่มสลาย แต่รัสเซียนและจีนซึ่งยังมีเงินได้เผยแพร่ลัทธิการปกครองแบบคอมมิวนิสต์เข้ามาแทนจักรวรรดินิยม ขณะที่ประเทศในเอเชียที่เพิ่งพ้นากการเป็นเมืองขึ้นของตะวันตกกำลังพะวงและยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะใช้ระบอบการปกครองแบบไหน ทำให้เกิดสงครามครั้งใหม่คือสงครามเกาหลี ตามมาด้วยสงครามเวียดนาม
            ยุคสัยนั้นทังดลกตะวันตกและตะวันออกมีความพยายามป้องกันการแผ่ขยายองลัทธิคอมมิวินิสต์ เมื่อปี พ.ศ.  2497 มีการทำสนธิสัญญามะนิลา และในสนธิสัญญานั้นมีข้อตกลงข้อหนึ่งที่เีก่ยว้องกับประเทศไทย คือการจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงตใต้ หรือ สปอ. SEATO มีสมาชิก 8 ประเทศ ได้แก่ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออกเตรเลีย นิวซีแลนด์ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และไทย โดยตั้งสำนักงานในเมืองไทย
            ด้วยสภานการณ์ในปี พงศ. 2502-2503 คอมมิวนิสต์รุกคืบเข้ามประชิดถึงชายแดนแม่น้ำโขงแล้ว รัฐบาลไทยเกรงว่าคอมมิวนิสต์จะเป้นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากก่อนนั้นมีตัวอย่างห้เห็นในประเทศ รัสเซียน ลาว เวียดนาม และกัมพูชา รัฐบาลไทยพยายามทุกวิถีทางป้องกันไม่ให้คอมมิวนิสต์เข้ามา จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในเวลานั้นจึงกราบทูลให้ในหลวงเสด็จประพาสต่างประเทศ โดยรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการทางการทูตส่งจดหมายไปยังนานาประเทศ ให้แต่ละประเทศตอบรับก่อน
           " การเสด็นประพาศต่างผระเทศเริมในปี พงศ. 2502 เริ่มต้นที่เียดนามใต้ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของสหรัฐอเมริกา จากนั้นเสด็จฯ อินโดนีเซียที่เคยเป็นอาณานิคมของฮอลแลนด์ ประเทศที่สามคือพม่า ซึ่งมีพรมแกนติดกับจีนและเคยเป็นเมืองขึ้นขององักฤษที่กำลังพะว้าพะวง่ว่าจะเอาลัทธิคอมมิวนิสต์หรือไม่ เป้นการเสด็จไปดูสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร"
         
 พ.ศ. 2503 จึงเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาและยุโรป เรียบลำดับเ้นทางการเสด็จฯ ดังนี้ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอมนีตะวันตก โปรตุเกส สวิตเซอร์แลนด์เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน อิตาลี เพบเยียม ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ สเปน
            ที่สหรัญอเมริกา ในหลวงและสมเด็จพระราชินีได้รับการต้อร้บอย่างดีจากรัฐบาลสหรัฐ โดยการนำของประธานาธิบดี ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ และมีการแถลการณ์ร่วมกันลงวันที 28 มิถุนายน พ.ศ. 2503 ใจความตอนหนึ่งว่า
           "..ขอทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องรชอิสริยาภรณ์  Legion of Merit Chief Commander แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จอมทัพแห่งกองทัพไๆทย เนื่องจากพระราชกรณียกิจซึ่งทรงบำเพ็ยมาแล้วอย่งประเสริฐได้ทรงบำเพ็ยพระองค์เป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีและมิตรภาพที่มั่นคงในดลกเสรี..ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์เสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ ได้ปฏิบัตพระราชกรณียกิจเพื่อเสรีภาพ เอกราช และสันติาพถาวรของโลกใบนี้"
           หลังจากพระราชกรณียกิจที่สหรัฐผ่าไปด้วยดีแล้ว ในหลวงแลพระราชินีเสด็จประพาศอังกฤษ ซึ่งอังกฤษก็ดำเนิตามสหรัฐ คือให้การต้อนรับประมุขของไทยอย่างสมพระเกี่ยรติ โดย ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ประมุขของสหรัชอาณาจักร และเจ้าชายฟิลิป พระสวามีเสด็จฯ ต้อนรับ ณ สถานีรถไฟวิตอเรียด้วยพระองค์เอง และทรงประทับบนรถม้าเข้าสู่พระราชวังบักกิ้งแฮมร่วมกัน..
           เมื่อมีภาพการเสด็จฯ เยือนสหรัฐและอังกฤษเผยแพร่ออกไป จึงง่ายในการเสด็จฯ ประเทศอื่นในยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่เป้ฯการเสด็จฯ ตามเครือข่ายราชวง์ยุโรปที่รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จฯ มากก่อน ที่สำคัญคือการที่สหรัฐอเมริกาและองักฤษต้อนรับประมุขของไทย ำทให้ประเทศทั้งหลายในฝ่ายสัมพันธมิตรยอมรับสถานะของไทยว่าไม่ใช้ผุ้แพ้สงคราม
          "คนที่ให้เบาะแสเรื่องวัตถุประสงค์ในการเสด็จฯ ต่างประเทศครั้งคือ ดร.ถนัด คอมันตร์ ซึ่งเป้นผุ้ตามเสด็จในเวลานั้น" ไกรฤกษ์กล่าว
          " ท่านถนัดบอกว่า ในตอนที่เสด็จฯ กระทรวงต่างปรเทศ คิดว่าสำนักพระราชวังจะบันทึกพระราชภารกิจไว้ แต่มารู้ตอนหลังว่าสำนักพระราชวังก็ไม่ได้บันทึก เรพาะคิดว่ากระทรวงการต่างประเทศจะบันทึก เรื่องนี้จึงขาดหายไปและคลุมเครือว่าพรองค์ท่านเสด็จฯ ทำไม ท่านถนัดเล่าว่าทุกคือนก่อนเข้าพรรทม พระองค์ทรงเรียกไปปรึกษาหารือว่าจะทำอย่างไรต่อ พรุ่งนี้จะเจอใคร จะคุยเรื่องอะไร เป้นบรรยากาศที่ค่อนข้างเครียด ท่านถนัดบอกอีกว่า การเสด็จฯ ครั้งนันเป้นการเสด็จฯ เพื่อทำพระราชภารกิจที่ที่สำคัญเท่ากับสมัยที่รัชกาลที่ 5 เสด็จเจรจาเรื่องรัฐกันชนเมือปี 2440" ไกรฤกษ์ยกคำบอกเล่าของ ดร.ถนัด...
       
ต่อมา พ.ศ. 2505 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ปากีสถาน มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ซึ่งเป้ฯประเทศสมาชิก สปอ.
           ปี พ.ศ.2506 เสด็จฯ ญีปุ่่น ได้หวัน ฟิลิปปินส์
            ปี พ.ศ.2507 เสด็จฯ ประเทศกรีซ เพื่อร่วมงานอภิเษกสมรสพระเจ้าคอนสแตนตินที่ 2
            ปี พ.ศ. 2509 เสด็จฯ เยอรมนีตะวันตกและออกเตรีย
            ปี พ.ศ. 2510 เสด็จฯ อิหร่าน ซึ่งตอนนั้นังมีารชวงศ์อยู่ และทรงเสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกาและแคนาดา หลังปี 2510 ไม่เสด็จฯ เยือนต่างประเทศอีกเลย กระทั้ง
            ปี พ.ศ. 2537 เสด็จฯ ทรงเปิดสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว เป้นครั้งสุดท้ายในการเสด็จฯ ต่างประเทศhttps://www.prachachat.net/rama9royalfuneral/news-51760
           เสด็จฯ เยือนอาเซียน
           เสด็จเยือนเวียดนาม 
           "..ในการมาเยือนประเทศท่านครั้งนี้ เราได้นำเอาไมตรีจิตและความปรารถนาดีของประชาชนของเรามาด้วย ควารู้สึกอันนี้แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพที่มีมาอย่งผาสุกระหว่งประเทศของเราทั้งสองมาแต่เก่าก่อน การที่ ฯพณฯ ได้คยไปเยือนประเทศของข้าเจ้านั้น ยังจำกันได้อย่งชัดเจนและได้อย่างน่าชื่นชมความมีน้ำใจและความเข้าอันดีของท่าน ทำหใ้การไปเยื่อนของท่านครั้งน้นเป็นผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้ารู้สึกแน่ใจว่า การไปเยือนประเทศไยของท่านครั้งนั้นเป็นผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เข้าพเจ้ารู้สึกแน่ใจว่า การไปเยือนประเทศไทยของท่านครั้งนั้นและการมาเหยือนของข้าพเจ้าครั้งนี้ จะช่วยพระชับสัมพันธไมตรีอันมีมาแต่เก่าก่อนนี้ให้ยังยืนสถาพรสืบไป..." พระราชดำรัสบางส่วนของรัชกาลที่ 9
             เเมื่อเสด็จกลับไปยังประเทศไทย ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเวียดนามได้ตอบกลับโทรเลขความว่า
            " เรารู้สึกเชื่อมั่นว่า การเสด็จฯ ของใต้ฝ่าละออกธุลีพระบาททั้งสองพระองค์ ซึ่งได้ทิ้งความทงจำอันจะลบเลือนมิได้ไว้ทุกปก่งที่พระงอค์เสด็จพระราชดำเนินผ่านไป จะช่วยกระชับสัมพันะไมตรีที่เคยดำรงมาระหว่างประชาชนของเราให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
              ถึงแม้จะยังรู้สึกเสียใจ ที่การเสด็จฯ พำนักของพระองค์ครั้งนี้เป็ฯไปชั่วระยะเวลาอันสั้น ทางฝ่ายเรา ข้าพระเจ้าขอให้พระองค์ทั้งสองทรับรับความปรารถนาดีอันล้นพ้นเพื่อความสุขสวัสดีของพระองค์และพรบรมวงศานุวงศื และเพื่อความยิ่งใหญ่ของรัชสมัยของพระองค์ และความเจริญรุ่งเรืองของประชาชนชาวไทย"https://www.thairath.co.th/content/772737
            เสด็จเยือนอินโดนีเซีย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 8-16 กุมภาพันธ์ 2503 ประชาชนชาวอินโดนีเซีย เฝ้า ฯ รับเสด็จและถวายการต้อนรับระหว่างทางจากสนามบินไปสู่ที่ประทับ ณ พระราชวังเนการา
           http://www.prdnorth.in.th/The_King/king-abroad_02.php
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยงุ่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนีนาถเสด็จถึงสนามบินดูบัน บาหลี อินโดนีเซีย ประทับบนพระแท่นเพื่อรับความเคารพจากทหารกองเกี่ยรติยศ ประธานนาธิบดี วูการ์โน นำเสด็จพระบาทสมเด้พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินผ่านประชาชนชาวอินโดนีเซียที่เผ้ารอรับเสด็จ ชาวบาหลีโปรยดอกไม่หอมเป็นการถวายการต้อนรับ
              เสด็จพระราชดำเนินเยือนพม่า..โดยเสด็จตามคำกราบบังคมทูลเชิญของนาย อู วิน หม่อง ประธานาธิบดีของพม่า ระหว่างวันทีี่ 2-5 มีนาคม 2503 โดยเสด็จฯ ไปพร้อมกบสมเด็จพระนางเจาฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อเครื่องบินจอดเที่ยบ ทันที่ที่ได้เสด็จประกฎพระองค์ที่ประตูของเครื่องบิน ก็มีปืนใหญ่ยิ่งสลุตถวายคำนับ 21 นัด เมื่อเสด็จฯ ถึง ณ ที่บริเวณประรำพิธี ท้งสองพระงอค์ขึ้นสุแท่นถวายความเคารพ รพ้อมด้วย พระธานาธิบดี อุ วิน หม่อง และมาดาม วิน หม่อง
             หลังจากนั้นทั้งสองพระงอค์ได้เกสพ็จฯ ไปยังทำเนียบประธานาธิดบีพท่า ซึ่งทางฝ่ายรัฐบาลพม่าได้จัดไว้เป้นที่ประทับ และเสด็จฯ ไปยังห้องรับแชขกเพื่อให้ประธานาธิดบี อู วิน หม่อง ไ้เข้าผ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชอิสริยภพรณ์ ชั้นสูงสุดของพม่าชื่อว่ "อัครมหาสิริสฺธรรมา" และพระองค์ก็ไ้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภร์ปฐมจุลจอมเหล้าเป้นการตอบแทน ในการนี้ทางฝ่ายนายกรัฐมนตรีของพท่า ได้ขอพระราชทานนวโรกาศถวายพระกระยาหารกลางวัน..
           ในวันแรก เมื่อเสด็จฯไปถึงยังประเทศพม่า ได้เสด็จฯ เพื่อรบคำกราบบังคมทูลรับเสด็จากนากยกรฐมนตรี ณ ศาลาเทศบาลเมืองยางกุ้งในวเลาบ่าย 3 โมงครึ่ง ระหว่างทางที่ชาวพม่ามารอรับเสด็จอย่างเนืองแน่น มีการโปรยข้าวตอกดอกไม้เพื่ออวรพระตลอดเส้นทางกรเส็จฯ เมื่อรถยนต์พระที่นั่งมาถึง ณ ศาลาเทศบาลเมืองย่างกุ้ง ก้มีการปรธคมกลองชนะ ตามประเพณีรับเสด็จ
           จากนั้นเสด็จฯ ไปทรงงางพวงมาลา ที่สุสานอาซานี หรือสุสานวีรชน ที่บรรจุศพวีนรชนของชาติซึ่งเสียชีวิตเมื่อครั้งพม่าได้รับเอกราชใหม่ๆ
            วันรุ่งขึ้น 3 มีนาคม 2503 ทั้งสองพระองค์ฉลองพระองค์ตามแบบราชประเพณีไทยเเพื่อเสด็จฯ ไปยังมหาเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งการที่ฉลองพระองคเช่นนี้สืบเนื่องมาจากการเลปี่ยนธรรมเนียมของพม่าในการถอดรองเท้าทั้งชาวพื้นเมืองและชาวต่างชาติก่อนเข้าสูเขตพุทธสถาน ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี อันเป็นพระราชประสงค์ที่จะแสดงให้เห็นถึงพระราชไมตรีอันดีแก่ชาวพม่า ก่อนเสด็จกลับทั้งสองพระองค์ได้ทรงปลูกต้นโพธิ์ 2 ต้นที่นำไปจากประเทศไทย เพื่อเป็นอนุสรณืแห่งสัมพันธไม่ตรีระหว่างไทยกับพม่า จากนั้นเสด็๗ฯ โดยทางชลมารค(ทางเรือ) เพื่อประทับเรือพระที่นั่งเมขา เพื่อชมทัศนียภาพของแม่น้ำอิรวดี ประธานาธิบดีพม่า ได้จัดการแสดงรำพื้นเมืองเพื่อถวาย ต่อจากนั้นเสด็จไปทรงเทนนิสต่วมกับประธานาธิดีพม่า
           วันที่ 4 มีนาคม 2503 ทรงเสด็จทอดพระเนตร โรงงานเภสัชกรรมของพม่าซึงถือว่ายิ่งใหญ่และทันสมัยที่สุดในเอเชีย ณ ขณะนั้น พระองค์ทรงให้ความสนพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นเวลา 20.00 น. ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำ แก่ประธานาธิบดี และภรรยา รวมถึงนายกรัฐมนตรีด้วย บรรยาการศในงาน บรระลงไปด้วยเพลงพระราชนิพนธ์ และมีการจัการฟ้อนเล็บแบบประเพณีไทยสมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้พระราชทานของทีระลึกเป็นเล็บฟ้อนทองคำ แก่มาดามวิน หม่อง บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความครื้นเครงเป็นกันเอง ข้าราชการฝ่ายไทยและฝ่ายพม่ารวมรำวงอย่างสนุกสนาน..
           จากนั้นเสด็จกลับในวันรุ่งขึ้น... นอกจากนั้นพระบรมวงศานุวงศืชขั้นสุงก็เสด็จฯ เยือนพม่าอีกหลายครั้ง เพื่อเพิ่มพูนความสัมพันะ์ยิ่งขึ้นไป ดังพระราชดำรัสที่ว่า
            " ยึดมั่นในสัจจะแก่งพุทธศาสนาอย่างเดียวกัน รวมทั้งการยึดมั่นในสันติภาพและความร่วมมือตอกัน.."https://www.thairath.co.th/content/772737
           สหพันธรัฐมาลายา หรือมาเลซียในปัจจุบัน ใน ปี 2505 "ยังดิ เปอร์ตควน อากง" ซึ่งเป็นชื่อตำแหน่งที่หมายถึง "กษัตรยิ์ของมลายา" และ "ประไหมสุหรี" ซึ่งหมายถึง "พระราชินนี" ได้ถวายการต้อรับและได้ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดแดในหลวงรัชกาลที 9www.dailynews.co.th/article/286314
            ฟิลิปปินส์ ทรงเสด็จฯเยือนอย่างเป็นทางการในวันที่ 9-14 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 เพื่อเป้นการเจริญสัมพันธ์ไมตรีระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณะรัฐฟิลิปปินส์ เป็นหน้าประวัติศาส๖ร์ครั้งสำคัญของโลกเสรีนิยมที่กำลังอยุ่ในบรรยากาศของสงครามเย็น
            9 กรกฎาคม 2506 วันเเรกของการเสด็จฯเยือน ประธานาธิดบี ออสคโด มากาปากัล และภริยา พร้อมด้วยคณะทุตานุทูต..เฝ้ารอรับเสด็จที่ท่าอากาศยานกรุงมะนิลา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ประมุขระดับพระมหากาัตรยิ์เสด็จพระราชดำเนินเยือนเป็นครังแรกภายหลังได้รับเอกราช
            ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ได้กราบังคมทุลับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวและสมเด้จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยกล่าวถึงมิตรภาพความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศที่มีมา ซึ่งรพะบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวทรงมีพระราดำรัสตอบตอนหนึ่่งว่า "ถึงแม้ว่าคนไทยและคนฟิลิปปนส์จะมัลักษณะท่าทางตลอดจนการคร่องชีพและอุดมคติในทางการเมืองคล้ายคลึงันทุกย่างก็ตามที แต่ประชาชนทั้งสองประเทศนี้ก็ยังไม่มีความรู้จักกันเพียงพอนัก ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เราต้องมาที่นี้ เพระว่าจะเป็การช่วยทำใหประชาชนทั้งสองประเทศได้เกิดความสนใจซึ่งกัและกันมากขึ้น นี้เป็นส่ิงที่เราต้องการเหนือส่ิงอื่นใดในการมาเยือนครั้งนี้"..https://web.facebook.com/9mcot/videos/722182027936175/?_rdc=1&_rdr
             ในปี พ.ศ. 2537 นั้น ถือเป็นกรณีพิเศษมาก เพราะในวันที่ 8-9 มีนาคม พ.ศ. 2537 พระบาทสมเด็นพระเจ้าอยุ่หัวไ้ด้เสด้จฯ เยือนสาธารัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งนับเป้นการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ทรงงว่างเว้นจาการเสด็จฯ มาเป็นเวลานานกว่า 30 ปี
           
เป็นการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพระราชกรณียกิจ คือ ทรงเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ร่วมกับ นายหนูอัก พูมสะหวัน ประธานประทศลาว ซึ่งเป้นสะพานแห่งแรกที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมดินแดนของทั้งสองประเทศเข้าด้วยกัน เป้ฯสะพานคอนกรีตอย่างทันสมัย ตัวสะพานมีความยาว 1,170 เมตร มีทางรถ 2 ช่วงทางจราจร  ทางเดิน 2 ช่องทาง และทางรถไฟ หว้าง 1 เมตร 1 ราง ใช้งบประมาณก่อสร้าง 30,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยความช่วยเหลือจากรัฐบาลออสเตรเลีย ใช้ระยะเวลาก่อสร้างระหว่าง ตุลาคม พ.ศ. 2534-เมษายน พ.ศ. 2537
            เมื่อทรงประกอบพิธเปิดสะพานแล้ว ได้เสด็จพระราชดำเนินต่อไปทรงงานยังดครงการพระราชดำริต่างๆ ที่ได้พระราชทานให้แก่ ประชาชนชาวลาวมาก่อนห้านั้น เพื่อทรงติดตามความก้าวหน้า จากนั้นจึงได้เสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่ที่ประทับที่ทางการลาวจัดถวาย ณ อาหารหอค่ำ ในเวลาค่ำ นายหนูอัก พูมสะหวันประธานประเทศลาว และภริยา ไ้จัดถวายพระกระยาหารค่ำ...https://www.thairath.co.th/content/374841
               ชูเส้นทาง "ทรงงาน" ร.9 เชื่อมเที่ยวอาเซียน
                ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาิที่เดนทางเข้าไย เป้นปลุ่มที่เดินทางมาซ้ำ สัดส่วน 70% โดยกลุ่มนี้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทุปี ขณะที่กลุ่มเดนทางมาไทยเป้นครั้งแรก สัดส่วน 30% สะท้อนภาพได้ว่าสถานที่ท่องเที่ยว ความหลากหลายทางะรรมชาติ สินค้าบริการศฺลปวัฒนธรรมไทย ความคุ้มค่าเงนิ และคนไทย ล้วนเป้นเสน่ห์จูงใจให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเดนิทางมาเยือนได้บ่อยครั้ง
               ยุทธศักดิ์ สุภสร ผุ้ว่ากากรการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในฐานะแม่ทัพใหญ่ขับเคลื่อนแผนการตลาด การโฆษณาประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการท่องเที่ยวไทย เล่าว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มมาซ้ำ มีแนวโน้มขยายตัวสุงขึ้น เพราะสิ่งอำนวนความสะดวกในการเดินทาง ทางบก ทางอากาศ และทางน้ำ เชื่อมต่อการเข้าถึงสภานที่ท่องเที่ยวจากเมืองรองของแต่ละประเทศบินตรงสุ่เมืองท่องเที่ยวของไทยได้อย่งสะดวกรวดเร็ซ ซึ่งเป้นผลมาจาการเปิดเส้นทางการบินของสายาการบินปกติ และสายการบินต้นทุนต่ำ(โลว์คอสต์ แอร์ไลน์) รวมถึงความหลากหลายของสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีทุกรูปแบบให้นักเดินทางได้เปิดประสบการณ์ตลอดการพักผ่าน
              ทั้งนี้ โจทย์ใหญ่ในการสงเสริมการตลาดในปีช่วงครึงปีหลัง และต้นปีหน้า เน้นการสร้างสมดุลสัดส่วนนักท่องเที่ยว โดยบการำนเสนอความหลากหลายสินคาและบริการเพ่ิมขึ้น การเจาะกลุ่มเฉพาะ (นิชมาร์เก็ตป ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อรักษาฐานที่มีความชื่นชอบและรักที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย ขณะที่กลุมเฟิร์ส วิสิท ต้องเร่งให้เติบโตทุกตลาด เพระากลุ่มน้ยินดีจ่ายและกำลังซื้อสูง
              "แนวโน้มการท่องเที่ยวเดือน พ.ย.-ธ.ค.นี้ ยอดการจองล่วงหน้าในหลายตลาดคอนข้างเติบโต ทั้งเ้นทางระยะใกล้และระยไกลอย่างจีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย ยุโรป อเมริกา ส่วนระยใกล้ ดยเฉพาะตลาออาเวียนจะเร่งสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยเป้นวิกเอเด์ เดสติเนชั่นของคนอาเซียน" ยุทธศักดิ์ กล่าว
                นอกจากนี้ ททท. อยู่ระหว่างการรวบรวมเส้นทางทรงงานของพระบาทสมเด็๗พระปรมินทรมหาภุมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 บริเวณพื้นที่ที่สามารถเชื่มโยงการเดินทางกับประเทศสมาชิกอาเซียนในทุกภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ ตะวันออก เฉียงเหนือ และใต้ เพื่อจัดทำเป้นเส้นทางเพ็กเกจการทอ่งเที่ยวตามรอยทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 รวมถึงการนำเสนอซ๊อปปิ้งที่เกิดขึ้นมาจากดครงการพระราชดำริให้กับนักท่องเที่ยวอาเซียนที่ชื่นชอบากรซื้อสินค้าไทยด้วย 72 เส้นทางตามรอยจะนำเสนอกับตลาดอาเซียนควบคู่ดวย
              ยุทธศักดิ์ บอกว่ ช่วงไตรมาศ 4 ททท. เตรียมเปิดตัวแคมเปญปีแห่งการท่องเที่ยวอย่างเป้ฯางการ รวมถึงการทยอยจัดงานกิจกรรมส่งเสริมการเดินอีกหลายโครงการ เช่น ลอยกระทง ขระที่บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศเชื่อว่าการเข้าสู่ฤดูหนาว และอากาศที่เย็กว่าทุกปี จะกรุตุ้นให้คนไทยวางแผนเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้งในช่วง 2 เดือนสุดท้ายปลายปี ซึ่งคาดว่าไตรมาสสุดท้ายจะมีคนไทยเที่ยวประมาณ 40-50 ล้านคน/ครั้ง ขณะที่ต่างชาติจะเดินทางมาไทยตลอดปีนี้ประมาณ 34 ล้านคนhttps://www.posttoday.com/biz/aec/news/522106
             

         

วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560

The King is...

           
สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่อยุ่ควบคู่กับรัฐไทยและสังคมไทยมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษ การอพยพเรื่องมาของชนชาติไทยจากภูเขาอัลไตทำให้ได้รับอิทธิพลต่างๆ โดยเฉพาะชนชาติขอม (เขมรโบราณ) ซึ่งมีอารยธรรมและความเจริญอยู่แล้วและนับถือศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ชนชาติไทยจึงรับอิทธิพลของศสนาพรามหมณ์ฮินดูเข้ามาในระบบการเมืองการปกครองและสังคมไทยเป้นอย่างมาก แต่เดิมเื่อครั้งก่อตั้งรัฐไทยในอดีตจนถึงอาณาจักรสุโขทัยตอนต้น รัฐไทยมีการปกครองที่เป้ฯระบบการปกครองของคนไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของไทยโดยเฉพาะ คือระบบการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์ทรงมีสถานะเป็นเสมือน "พ่อ" และราษฎรมีสถานะเป็น "ลูก" มีความสัมพันะ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับราษำรเสมือนความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก
          แต่เมื่อชนาติไทยเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอินแดนสุวรรณภูมิอันเป้นอินแดนอิทธิพลของขอม ซตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ฮินดุพระมหากษัตริย์เป็นเสมือน "พระเจ้า" ที่อยุ่เหนือมวลมนุษย์ทังปว
 ตามคติความเชื่อของพรมหมณ์ฮินดูสถานะของราษฎรเป็นเสมือน "ผู้รับใช้พระมหากษัตริย์" ความสัมพันะ์ระหว่างพระมหากษัตริย์ดับราษฎรในรัฐไทยใหม่ในอาณาจักรสุโขทัยตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 19 จึงเปลียนไป..จากพ่อปกครองลูก เป็น นายปกครองบ่าว แทนที่ และในห้วงเวลาเดียวกันพุทธศาสนานิกายเถรวาทไ้แผ่เข้ามาในอาณาจักรสุโขทัยผ่านทางศรีลังกาและพม่าซึ่งเข้ามามีอิทธิพลต่อความเชื่อทางศาสนาของคนไทยและสังคมไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคติความเชื่อทางพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับหลักะรรมของผุ้ปกครอง อาทิ ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตรธรรม พรหมวิหารธรรม เป็นต้น
ประกอบกับการที่ชนาตไทยมีความผุกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์แบบ "พ่อครองลูก" ซึ่งเป็นระบบของไทยแต่ดั้งเดิมจึงยังคงมีอิทธิพลต่อความสัมพันะ์ระหว่างพระมหากษัีตริย์กับราษฎรผสมผสานกันระหว่างสถานะของพระมหากษัตริย์กับราษฎรแบบ "นายปกครองย่าว" และ "พ่อปกครองลูก" ทำให้ความผุกพันระหวางพระมหากษัตริย์กับราษฎรยังมีอิทธิพลของ "พ่อปกครองลูก" มากว่า "นายปกครองบ่าว"
         เมื่อรัฐไทยเปิ้เประเทศเข้าความทันสมัยแบบตะวันตกในรัชสมัยของรับกาลที่ 4,5,6 และ 7 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไยทั้งในด้านการเมือง เศราฐฏิจและสังคมเป็นแบบอบย่างประเทศตะวันตกเป็นอย่างมาก และเป็นปัจจัยสำคัญทีทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจกการตกเป็นอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจตะวันตกซึ่งในห้วงระยะเวลานั้นต่างก็มุ่งมั่นแสวงหาอาณานิคมไปทั้งโลกโดยเฉพาะเอเลียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยเป็นเพรียงประเทศเดียวในอินแดนสุวรรณ๓ุมิที่รอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคม สาเหตุสำคัญก้เพราะพระปรีชาสามารถในการแก้ปัญหาของพระมหากษัตริย์ไทยโดยเฉพาะรับกาลที่ 4,5,6และ 7 อย่างไรก็ดีภายหลังจากประเทศไทยเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์อันเกิดจากอิทธิพลของยุคสังคมสารสนเทศที่เร่ิมตั้งแต่ 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้อิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์มีประสิทธิภาพเป็นยอย่างมาก ประชาชนในประเทศต่างๆ รวมทั้งคนไทยสามารถรับรู้ขอมูลข่าวสารได้
อย่างไร้พรมแดน ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์สถาบนพระมหากษัริยืไทยสามารถกรทำกันได้อย่างหว้างขวางผ่านสื่อทางสังคมออนไลน์ในระบบสารสนเทศ ในทศวรรษที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันส่งผลให้มีการนำเอาแนวคิดเกี่ยวกับสถานภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ฺไทยมาเปรียบเที่ยบกับสถาบันพระมหากษัรริย์ในบางประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระมหากษัตริย์ของประเทศอังกฤษและญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่ปัจจัยอัเป็นองค์ประอบ สภาภาพ บทบาท หน้าที่ และทัสนคติ ความเชื่อมีความแตกต่างกันระวห่งสถบันพระมหากษัตริย์ไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์อังกฤษและญี่ปุ่นตามที่มีผุ้วิพากษ์วิจารณ์และเยแพร่ความคิดเห็นสู่สาธารณชนของทั้งไทยและต่างประเทศผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยเหตุนี้สถาบนพระปกเกล้าได้เล็งเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวจึงจัดสรรทุนวิจัยมอบหมายให้ รศ.ดร. ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ หัวหน้าโครงการวิจัย และคณะวิจัยประกอบด้วย ศ.พิเศษ นรนิตด เศรษฐบุตร ที่ปรึกษา, นางสาวปัทมา สูบกำปัง, ดร.สติธร ธนานิติโชติ, นางสาวนงลักาณ์ อานี และนางสาวอุมาภรณ์ ศรสุทธิ์ ทำการวิจัยเป็นระยะเวลา 10 เดือน (ตุลาคม 2556-กรกฎาคม 2557) โดยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษาสถานะและบทบาทของสถาบันพระมาหกษัตริย์ในสงคมไทยปัจจุบัน และทัศนาคติของประชาชนที่มีต่อสถานะและบทบาทของสถบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทยปัจจุบัน...
              ผลการวิจัยพบวว่า 1) ทัศนคติและควมเชื่อของคนไทยที่ีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มีอย่างเหนียวแน่นผุกพันกันอย่งแยกไม่ออกเสมือน "น้ำ" กับ "ปลา" กล่าวคือประชาชนเป็นเสมือน "น้ำ" และพระมหากษัตริย์เป็นเสมือน "ปลา" ซึ่งทังน้ำและปลาต้องพึงพาอาศัยกันควมเชื่อว่าพระมหากษัตริยืเป็นเสมือน "พ่อ" และประชาชนเป็นเสมือน "ลูก" ที่เคยผูกพันซึ่งกันและกันมาในอดีตก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมาจนถึงปัจจุบันอันส่งผลให้คนไทยส่วนใหญ่เชื่อว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มีคุณูปการต่อคนไทย รัฐ
ไทย และสังคมไทย, 2) สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมีการปรบตัวให้เข้ากับสภาวการณ์ของการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดมาทำให้สถาบัพระมหากษัตริย์ไทยมีความทันสมัยอันส่งผลดีต่อเสถียรภาพทางการเมืองและผลประโยชน์แห่งชาติ 3) สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมีการแลกเปลี่ยนพึ่งพาระหว่างสภาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนได้อย่างเหมาะสมลงตัว 4) สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมีความเป็นตัวแทนของชาติและประชาชน, 5) สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาติทำให้ชาติมีความเข้มแข็งและดำรงความเป็นชาติได้อย่างยั่งยืนตลอดมา, 6) เมื่อเปรียบเที่ยบกับสถบันพระมหากษัตริย์ของประเทศอังกฤษและประเทศญี่ปุ่นมีความแตกต่งกันทั้งสภาพภูมิหลังทางประวัติศสตร์คติความเชื่อในสถบันพระมหากษัตริย์ กล่าวคือคนอังกฤษมีทัศนคติและความเชื่อว่าสถบันพระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ของเอกภาพและคุณความดของชาติ ส่วนคนญี่ปุ่นมีคติความเชื่อว่าจักรพรรดิเป้นส่วนประกอบของรัฐที่ศักดิ์สิทธิ์เสมือนพระอาทิตย์ซึ่งเป็นเสมือนพระเจ้าผุ้ให้กำเนิดและคุ้มคีองชาติและประชาชน ด้วยเหตุนี้สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย สถาบันพระมหากษัตริย์อังกฤษ และสถาบันจักรพรรดิญี่ป่นุจึงมีความแตกต่างกันทั้งในด้านประวัติความเป็นมาคติดความเชื่อและอุดมการณ์ทางการเมืองของประชาชน..
http://kpi.ac.th/media/pdf/M10_636.pdf


            ชีวิตส่วนพระองค์
            กีฬา พระบาทสมเด็จพระปมรินทรมหาภุมิพลอดุลยเดชโปรดกีฬาเรือใบเป้นพิเศษ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของประเทศไทยแข่งเรือใบในกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 9-16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยทรงเข้าค่ายฝึกซ้อมตามดปรแกรมการฝึกซ้อม และทรงได้รับเบี้ยเลี้ยงในฐานะนักกีฬา ซึ่งพระองค์ทรงชนะเลิศเหรียญทอง และทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเหรียญทองจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาภ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงออกแบบและประดิษฐ์เรือใบยามว่างหลายรุ่น พระองค์พระราชทานนามเรือใบปรเภทม็อธ Moth ที่่รงสร้างขึ้นว่ เรือใบมด เรื่อใบซูเปอร์มด และเรือใบไมโครมด ถึงแม้วาเรือใบลฃำสุดท้ายที่พระงอค์ทรงต่อคือ เรืองโม้ค moke เมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 เรือใบซูเปอร์มดยังถุกใช้แข่งขันในระดับนานาชาติที่จัดในประเทศไทยหลายครั้ง ครั้งสุดท้าย คือ เมื่อปี พ.ศ. 2528 ในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 13
           ดนตรี
            พระองค์ทรงดนตรีได้หลายชนิ เช่น แซ็กโซโฟน คราดิเน็ต ทรัมเป็ด กีตาร์ และเปียโน โปรดดนตรีแจ๊สเป็นอย่างมาก และพระองค์ได้ประพันธ์หลายเพลง เช่น เพลงพระราชนิพนธ์แสงเท่ยน เป็นเพลงแรก รวมบทเพลงที่ประพันธ์ทั้งสิ้น 48 เพลง
            เพลงชะตาชีวิต หรือ H.M.Blue เป็นเพลงรพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 5 ทรงพระราชนิพนธ์หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อที่ประทเศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงพระนิพนธ์คำร้องภาษาอังกษhttps://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%8A#.E0.B8.8A.E0.B8.B5.E0.B8.A7.E0.B8.B4.E0.B8.95.E0.B8.AA.E0.B9.88.E0.B8.A7.E0.B8.99.E0.B8.9E.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.84.E0.B9.8C
              VR 009 
               "มนัส ทรงแสง" อดีตรองอธิบดีกรมไปรณีย์โทรเลข และอดีตรองเลขาธการ สำนักงานคณะกรรมการอกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ผุ้ใช้าหัสนักวิทยุสมัคเล่น VR 019 ยกย่อว่พระอัจฉริยภาพทางด้านการสื่อสาร
             
สมเด็จพระปรมินทรมหาภุมิพลอดุลยเดช ทรงสนพระทัยด้านการสื่อสารตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พระองค์ท่านทรงให้ความสำคัญกี่ยวกับการสื่อสารอย่างมาก เพื่อใ้ในกาตอดต่อสื่อสารกับประชาชน ตลอดจนการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ของพสกนิกรชาวไทย ที่ประสบภัยพิพบัติด้วย
               จุดเริ่มจ้รกำเนิดวิทยุสมัครเล่นในไทย ก่อตั้งและผลักดันตั้งแต่เมื่อปี 507 มีเจ้หน้าที่สถานทูตอเมริกา ทหารที่ปฏิบัติงานในประเทศไทย ร่วมกับ ข้าราชการพลเรือน ตังเป้นสมาคนนักวิทยุสมัครเล่นแห่งประเทศไทย แต่ไม่อนุญาตให้ใช้วิทยุได้ เพราะเหตุด้วยภัยความมั่นคง
                หลังจากนั้นปี 2524 พล.ต.ต. สุชาติ เผือกสกนธ์ อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข กราบบังคมทูลสมเด็จพระปรมินทรมหาภุมิพลอดุลยเดช  ขอพระราชวินิจฉัย ให้ใช้วิทยุสื่อสารเพื่อประดยชน์สาธารณะ ให้ถูกกฎหมาย ไม่ต้องแอบใช้กัน
                พระองค์ท่านก็รับสั่งว่า "ก็ดีซิ ที่เค้าจะได้ภาคภูมิใจ"
                 พระองค์ท่านได้รับ การทุลเกล้าทุลกระหม่อม ภวายควอไซท์ VR 009 จาก พล.ต.ต.สุชาติ เผือกสกนธ์ ในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเปิดศูนย์ฯ และตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษา พล.ต.ต.สสุชาติ เป้นคนนำพิธีถวายพระพรชัยมงคลทางวิทยุด้วย จนจบ โดยพล.ต.ต.สุชาติ ได้กล่าวรายงานสรุปว่า มีผุ้มาถวายพระพรกี่คน จากนั้นก็เงียบ..แต่พระองค์ท่านทรงติดต่อเข้ามาว่า "ขอบใจ VR001 (พล.ต.ต.สุชาติ) ที่มาอวยพรวันเกิดให้กับ VR 009 ในวันนี้" ซึ่งทุกคนตื่นเต้นดีใจที่พระงอค์ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อวงการวิทยุสมัครเล่น
               ในช่วงนึง พระองค์ทรงใช้ VR 009 คุยกับ VR019 (มนัส ทรงแสง) พูดถึงเรื่องของเล่น พระองค์ท่านถามมาว่า "ยังจำความได้มั้ยเมื่อสมัยเด็กๆ VR019 มีของเล่น ระหว่างของเล่นที่ซื้อ กับของเล่นที่ประกอบเอง อันไหนมีความหมายมากว่ากัน...? ก็ยัวไม่ทันได้ตอบ พระองค์ท่านก็ตาอบมาว ไของที่ประดิษ์ขึ้เอง ถึงแม้ว่ามันจะไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ แต่มันมีความหมายมาก..."
               ในช่วงเหตุวาตภัยที่อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เมื่อปี 2539 ซึ่งมนักวิทยุสมัคเล่นอย่กออกไปช่วยเหลือชาวบ้าน และติดต่อเข้ามายังศูนย์สายลม เพื่อขอความช่วยเหลือ ต้องเตียมการอย่างไร ขณะนั้น พระองค์ท่านติดต่อเข้าม เพื่อแนะนำวิธีที่ถุต้องให้อาสาสมัครในการออกไปช่ยเหลือประชาชน กล่าวว่า
             "สิ่งสำคัญคือ การไม่เข้าไปเป็นภาระของคนในพื้นที่ พร้อมเตรยมระบบเครื่องมือสื่อสารที่มีความพร้อม ด้วยการนำวิทธยุในรถยนต์ไปติดตั้งในตัวเมือง โดยให้หาพื้นที่สูงติดกับเสาสัญญาณ เพื่อให้นักวิทยุที่เข้าไปในพื้นที่สาารถติดต่อออกมาได้" และยังละเดียวถึงขึ้นต้องเตียมเรื่องแบตเตอรีสำรอง ต้องมีฉนวนหุ้มแบตเตอรีป้องกันไม่ให้โดนโลหะ หรือเศษสตางค์ทำให้ช็อตขั้น และไม่มีพลังงานใช้..https://www.it24hrs.com/2016/vr-009-king-bhumibol-hs1a-vr-009/
              "คุณทองแดง" สุนัขทรงเลี้ยง 
               ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดศุนย์การแพทย์พระราม 9 ก็ได้มีนายแพทย์คนหนึ่ง นำลูกหมาที่มีลักษณะโดดเด่นตัวนี้มาทูลเหล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวทอดพระเนตร แล้วจึงมีรับสังว่า ให้นำเข้ามาเลี้ยงเรพาสภาพของนังแดงผุ้เป็นแม่หนานั้น ทรุดโทรมเ็มที่ ไม่สามารถเลี้ยงลุกเองได้
               เจ้าหมาน้อยตัวนี้ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายตัวเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ขณะที่อายุได้ 5 สัปดาห์ ที่พระตำหนักจตรลดารโหฐาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวพระราชทานชื่อว่า "ทองแดง" และเมื่อเป็นสุนัขทรงเลี้ยง จึงเรียกขานว่า "คุณทองแดง" เช่นเดี่ยวกับสุนัขทรงเลี้ยงตัวอื่นๆ คุณทองแดง นับเป็นสุนัขทรงเลี้ยงตัวที่ 17 ในพระบรมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...
                คุณทองแดงเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากเป็นสุนัขทีแสนรุ้ผิดกับสุนัขทั่วไป รุปร่างของคุณทองแดงนั้น พระบาทสมเด็นพระเจ้าอยู่หัว ทรงระลึกว่า เคยทอดพระเจตเห็นในหนังสือเกี่ยวกับสุนัขพันธ์ุต่างๆ เมื่อทรงค้นในหนงสือเล่นั้น ก็ปรากฎว่า ทองแดงมมีลักษณะบางประการคล้ายคลึงกับสุนัขพันธุ์ "บาเซนจิ"..
               เมื่อเข้ามาอยู่ในวังคุณทองแดงก็เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระจ้าอยุ่หัว เนื่องจากเปนสุนัขทีฉลาดมากความฉลาดของคุณทองแดง เช่น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเรยกให้คุณทองแดงขึ้นเฝ้าเพื่อทีจะชั่งน้ำหนัก แค่เพียงรับสั่งว่า "ทองแดงไปชั่งน้ำหนัก" คุณทองแดงก็จะเดินขึ้นตาชั่ง หรือเวลาที่พระบาทสมเ็จพระเจ้าอยุ่หัว เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่พระตำหนักเปี่ยมสุข พระราชวังไกลกังวล เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงาเพื่อทรงออกกำลังตรงถนนบริเวณชายหาด ซึ่งมีต้นพระตำหนักเปี่ยมสุข พระราชังไกลกังวล เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงมาเพื่อทรงออกกำลังตงภนนบริเวณชายหาด ซึ่งมีต้นมะพร้าวอยุ่ เพียงรับสั่งว่า "อ้อมต้นมะพร้าว" คุณทองแดงก็จะวิ่งอ้อมต้นมะพร้าวทันที่ โดยไม่ต้องมีการสอน และเมื่อวิ่งอ้อมต้นมะพร้าวไปสังครึ่งต้น คุณทองแดงก็จะหยุดหันมามองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว..
           
ในปี พ.ศ. 2545 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัว พระราชนิพนธ์ เรื่องทองแดง The Story of Tongdaeng เผยแพร่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษใสเล่มเดียวกัน เรื่องทองแดงเปนหนังสือพระรชนิพนธ์ที่ติดอันดับขายดีที่สุดของประเทศ โดยมีบริษัท อมรินทร์ บุ๊คเซ้นเตอร์ จำกัด เป้นผุ้รับจัดพิมพ์ ซึ่งสร้งปรากฎการณ์ใหม่ให้วงการหนังสือจากยอดจำหน่ายจำนวน ห้าหมื่นเล่ม ที่สามารถขายหมดเกลี้ยงแผง ในวันแรก ที่สำคัญ หนังสือยังเกิดการขาดตลาดไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชน และมียอดสังจองอีกว่า หนึ่งแสนห้าหมื่นเล่ม และต่อมาทรงพระราชทนพระบรมราชนุญาตให้จัดพิมพ์ "ทองแดงฉบับการ์ตูน"
             28 ธันวาคม 2558 คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ออกแถลงการณ์ ประกาศว่า "คุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสียชีวิตแล้ว ณ วังไกลกังวล...http://news.trueid.net/detail/28748
             พระราชทรัพย์
              พระราชทรัพยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภุมิพลอดุลยเดช ส่วนใหญอยู่ในรูปของที่ดินและหุ้นโดยแบ่งออกได้เป็นส่วนๆ ได้โดยสังเขป คือทรัพย์สินส่วนพระองค์ พระคลังข้างที่ และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งพระองค์อุทิศพระราชทรัพย์ส่วนหนึ่งเพื่อดครงการพระราชดำริ จำนวนกว่า 4,000 โครงการ มูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ เพ่อพัฒนาายในประเทศในด้านกสิกรรม เกษตรกรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย การส่งเสริมอาชีพ สาธารณูปโภ และการศึกษา
             ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ อ้างว่า ทรัพย์สินส่วนรพะมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ โดยอยู่ในบัคับแห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีการแก้ไข สองครั้งในปี พ.ศ.2484 และ พ.ศ. 2491 ซึ่งแยกทรพัย์สินส่วนพระองค์ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินออกจากัน ข้ออ้างที่สำคัญอย่างหนึ่งคือตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์(ฉบัยที่ 3 ) พ.ศ. 2491 กำหนดให้ รัฐมนตรีว่ากรกระทรวงการคลังของไทยเป็นประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 มี พระวรวงศเธอ พระองค์เจ้วิวัฒนไชย เป็นประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์คนแรก และอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ เป้ฯประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัริย์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คนสุดทายตามกฎหมายพะราชบัญญติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2491
           
ทรัพย์สินส่วนใหย่ ได้แก่ ที่ดินและหุ้นทั้งนี้ บริษัท ซีบีริชาร์เอลลิส บริษัทโบรกเกอร์ด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของโลก ได้เคยประมาณการตัวเลขพื้นที่ที่อยุ่ในการดุแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยุ่ที่ 32,500 ไร่ โดยในบางพื้นที่มีมุลค่าสุงกว่า 380 ล้านบาทต่อไร่ ทำให้พระองค์ทรงได้รบการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บ ให้เป็นกษัตรยิ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก.. แต่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ชีแจงถึงบทความดังกล่าวว่า "มีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เนื่องจากในความเป็นจริง ทรัพย์สินที่นำมาประเมินนั้นเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน มิใช้ทรัพย์สินส่วนพระงอค์"...
            ทรัพย์สินส่วนพระองค์ ซึ่งตามพระราชบัญญัติกำหนดว่าการดูแลรักษและการจัดหาผลประดยชน์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย" และหมายรวมถึง เงินทูลเกล้าถวายฯ ตามพระราชอัธยาศัยต่างๆ ซึ่งทรัพย์สินส่วนพระอค์นั้นต้องเสียภาษีอากรตามปกติไม่ได้รับการยกเว้นเรื่องภาษี มูลนิธิอานันทมหิดล กล่าว่า พระองค์ได้พระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์จำนวนมากแก่ โครงการพระราชดำริ มุลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ การกุศล และการพัฒนทรัพยากรมนุษย์...https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%8A#.E0.B8.8A.E0.B8.B5.E0.B8.A7.E0.B8.B4.E0.B8.95.E0.B8.AA.E0.B9.88.E0.B8.A7.E0.B8.99.E0.B8.9E.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.84.E0.B9.8CC
             
             
           
           

วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Sufficient economy

            พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง
             "...การพัฒนาประเทจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องตนก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการเมือได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศราฐฏิจขึ้นที่สูงขึ้นโดยลำดัฐต่อไป.. ( 18 กรกฎาคม 2517)
             "เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานมานานกว่า 30 ปี เป้นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของใวัฒนธรรมไทย เป็นแนวคทางการพัฒนาที่ตั้งบนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี "สติ ปัญญา และความเพียร" ซึงจะนำไปสู่ "ความสุข" ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง
            "..คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบอพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอดยิ่ง แต่ว่ามีความพอยู่พอกิน มีควาสงบ เปรีบเที่ยบกับประเทศือ่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้..." ( 4 ธันวาคม 2517)
             พระบรมราโชวาทนี้ ทรงเห็นว่าแนวทางการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลักแต่ เพรียงอย่งเดียวอาจจะเกิดปัญหาได้ จึงทรงเน้นากรมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหย่ในเบื้องต้นก่อน เมื่อมีพื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงสร้างความเจริญและฐานะทางเศราฐกิจให้สูงขึ้น ซึ่งหมายถึง แทนที่จะเน้นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนำการพฒนาประเทศ ควรที่จะสร้างความมั่คงทางเศราฐกิจพื้นฐานก่อน นั่นคือทำให้ประชาชนในชนบทส่วนใหย่พอมีพอกินก่อน เป้นแนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ เพื่อสร้างพื้นฐานและความมั่นคงทางเศรษบกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนเ้นการพัฒนาในระดับสุงขึ้นไป....
           
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ในโลกจำนวนมากทีทัศนคติในทางลบต่อ TNCs โดยมองว่าเป้นปัญหาต่อการพัฒนาเศรษฐกจิของปรเทศ แต่ในปัจจุบันมอง FDI ว่าเป้ฯวิธีการแก้ปัญหาและช่วยพัฒนาเศรษบกิจ และยายามสนับสนุนจูงใจให้เกิดการไหลเข้า ของ เงินทุนจากต่างประเทศ(FDI) ด้วยมาตรการต่างๆ (ซึ่งเล็งเห็นว่าการลงทุนจากต่างประเทศจะช่วนในการพัฒนาประเทศ) อย่างไรก็ตาม การลงุทนโดยตรงของเอกชนต่างชาติก็มีผลเสีย เช่น อาจทำให้ต้นทุนการได้มาของปัจจัยการผลิจสูงขึ้น เงินลงทุนจากต่างชาติอาจเบียดบังการลงทุนองคนในประเทศและอาจทำให้ธุรกิจของนักลงทุนท้องถ่ินที่ดำเนินกิจการล้มละลายได้ TNCs หรือ บริษัทข้ามชาติกระตุ้นให้เกิดรูปแบบการบริโภคที่ไม่เหมาะสม เกิดต้นทุนทางด้านทรัพยากรในการให้สิทธิพเศษแก่ บริษัทข้ามช้าติ เพื่อดึงดูดให้เข้ามาลงทุนในประเทศ ประเทศผุ้รับการลงทุนอาจต้องประสบปัญหาขาดดุลการต้า การไหลออกของเงินตราต่างประเทศจากประเทศผุ้รับการลงทุนไปยังประเทศผุ้ที่มาลงทุน การถ่ายทอดเทคโนโลยีเกิดขึ้นในประเทศผุ้รับการลงุนนอยกว่าที่ควรจะเป้ฯประเทศผุ้รับการลงุทนต้องพึงพิง FDI อยู่ตลอดเวลา และ เงินลงทุนจากต่างชาติยังอาจทำให้การกระจายรายได้นประเทศผุ้รับลงทุนเลวลงได้ การตั้งราคาโอนทำลายหรอลดการสร้างผุ้ประการในประเทศ ลดความพยายามใน R&D สร้างความไม่เท่าเที่ยม แย่งใช้ทรัพยากรที่จะใช้ประโยชน์ได้โดยคนในประเทศ ก่อให้เกิดการพึ่งพาการนำเข้า สร้างมลภาวะ ทำให้มีการบริโภคสินค้และบิรการที่ฟุ่มเฟือย สร้างผลกระทบทางลบทางการเมืองและสังคมทำให้ประเทศผุ้รับการลงุทนต้องพึ่งพาประเทศผุ้ลทุนตลอดไป
            การเจริฐเติบโตทางเศรษฐกิจประเทศไทยและ เงินลงทุนจากต่างชาติมีความสัมพันะ์ในทิสศทางเดียวกัน!!! (นั่นหมายความว่า...การเติบโตทางเศษฐกิจของประเทศไทยขึ้นอยู่กับเงินลงทุนจากต่างประเทศเป้นสำคัญ...)
             เงินลงทุนจากต่างชาติ ในภาคอุตสาหกรรมทำให้โครงร้างเศรษฐกิจประเทศไทยเปลี่ยนจากเศณาฐกิจที่พึ่งพาการเกษตรสู่เศรษกิจอุตสาหกรรม พัฒนาจากอุตสาหกรรมแปรรูปเกษตร มาเป็นอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าที่ใช้แรงงานและทรัพยากรธรรมชาติเข้มข้น จนมาสู่อุตสากหรรมการผลิตเพื่อส่งออกที่ใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น http://www.chaipat.or.th/site_content/34-13/3579-2010-10-08-05-24-39.html
              ปัจจุบัน อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักรกล ยานยนต์และชิ้นสวน กลายเป้ฯสินค้าอุตสาหกรรมที่สำคัญมากขึน ในปัจจุบัน สัดส่วนของสินค้าส่งออกที่อาศัยทรัพยการธรรมชาิและแรงงานอย่างเข้ามข้นเร่ิมลดลงในขณะที่สินค้าที่มีลักษณะเครืืองจักรกล เช้ินสวนคอนพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเครืองใช้ไฟฟ้ากลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมเหล่านี้ยังต้องอาศัยเงินลงทุนจากต่างชาติ และเทคโนโลยีจากนักลงทุนต่างประเทศและต้องใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนจากต่างประเทศในอัตราสูง...
            ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ คือภาวะที่ราคาของสินทรัพย์ เช่นอสังหาริมทรัพย์หรือหน่วยลงทุนต่างๆ เพ่ิมขึ้นสูงเกินหว่าราคาตามความเป็นจริง จนเกิดอุสงค์เที่ยมจากการเก็งกำไรที่ำทหใ้ราคาเพ่ิมสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นวงจร และขยายตัวเหมือนฟองสบู่ โดยส่วนใหญ่ภาวะฟองสู่นี้จะจบลงเมื่อเกิดเหตุที่ทำให้นักลงทุนเลิกคาดหวังว่าราคาจะเพ่ิมขึ้นอีก หรือรัฐบาลออกนดยบายเพื่อดึคงราคาสู่ภาวะหกติ (เช่นกาขึ้นอัตราดอกเบี้ย) จึงทำให้การเก็งกำไรและราคาที่สุงกว่าความเป็นจริงลดลง
           https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B9%88
ราคาสินทรัพย์ในภาวะฟองสบู่ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าราคาจะเพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเมื่อราคาเร่ิมลดลงภาวะฟองนสบู่ก็จะหดตัวลงอย่างรวดเร็วจนทำให้เกิดภาวะฟองสบู่แตกซึ่งมักจะทำให้เกิดปัญหาเนี้เสียเกิดขึ้นตามมา
            เศรษฐกิจไทยในปี 2530 ก้าสู่เส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์ แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบเศณาฐกจิไทยในช่วงระหว่างปี 2530-2532 ได้สร้างลักษณะอันไม่พึงประสงค์หลายประการ การที่ขนาดการเปิดประเทศกว้างขวางเกินไปทไใ้ระบบเสราฐกจิไทยงายต่อากรที่จะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจการเปลี่ยนแปลงภายนอกประเทศ ผุ้นำรัฐบาลกำลังชื่นชมกับความรุ่งโรจน์ทางเศรฐกิจ โดไม่มีการเตรียมการที่จะรับคลื่นเศรษฐกิจ หากเกิดภาวะตกต่ำทางเศณาฐกิจในชุมชนทุนนิยมโลกอีกครั้งหนึ่ง ผลกระทบของภาวะถอถอยทางเศรษฐกิจจะรุนแรงยิงกว่าที่เกิดขึ้นใช่วงระวห่างปี 2523-2529 การเปิดรับเงินลงทุนจากต่างประเทศโดยปราศจากการกลั่นกรองเท่าที่ควรในช่วงปี 2530-2532 จะสร้างปัญหารในอนคต เพราะการขยายตัวของการลงุทนจากต่างประเทศในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เป็นผลจากการที่เงินเยนมีค่าเพ่ิมขึ้น ภาวะต้อนุทนการผลิตที่เพ่ิมขึ้นในกลุ่มประเทศ อาเซียน อุตสาหกรรมใหม่ และการย้ายที่ตั้งโรงงานโดยหวังสิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากรในโควต้าประเทศไทย ด้วยเหตุนี้เอง การลงทุนจากต่างประเทศอันเกิดจาเหตุปัจจัยเหล่านี้จึง
ก่อให้เกิดมูลค่าเพ่ิมภายในประเทศต่ำ โครงการลงทุนที่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มภายในประเทศต่ำ ไม่เพียงแต่จะไม่เป็นประโยชน์แก่ระบบเศรษบกิจไทยเท่าที่ควรเท่านั้น หากยังพร้อมที่จะย้ายโรงงานไปต้งในประเทศอื่นโดยง่ายอีกด้วย...การหลั่งไหลของเงินทุนต่างประเทศเข้ามาซื้อหุ่นในตลาดหลักทัพย์แห่งประเทศไทย แม้ในระยะสั้นจะช่ยเหล่อเลี้ยงการเติบโตของระบบเศรษบกิจโดยอ้อม แต่การที่เงินทุนจากต่างประเทศบางส่วนถูกใช้ไปในการซ์้อที่ดินเพื่อเก็งกำไรซึ่งมีสวนผลักดันให้ราคาที่ดินเพ่ิมขึ้นเป้นอันมาก ย่อมสร้างอุปสรรคต่อการเติบโตของการผลิตในอนาคต เนื่องจากที่ดินมีราคาสูงเกินไป และ หากกระแสการเคลื่อยย้ายของเวินทุนจต่างประเทศชะงักลงในอนาคต ด้วยเหตุประการใดก็ตาม ย่อมจะก่อให้เกิดปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้อย่างรุนแรง
           พัฒนาการของระบบเสณาฐกิจไทยในทิศทางที่พึ่งพิงตลาดอเมริกันมากขึ้น ก่อให้เกิดจุดเปราะบางแก่ระบบเศราฐกิจไทย เรพาทำให้เสถียรภาพของระบบเสณาฐกิจไทยขึ้นอยู่กับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกามากขึ้น หากรัฐบาลอเมริกันยังคงดำเนินนโยบยการกีดกันทางการต้าต่อไป โอกาศที่สินคึ้าออกไทยจะถูกตัดทอนสิทธิพิเศษด้านภาษีฯย่อมจะมีมากขึ้นในอนาคต  ประเด็นสำคัญคือ ตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาประสบปัญหาความผันผวนทางเศรษบกิจค่อนข้างมาก หากความแปรปรวนทางเศณาฐกิจดังกล่าวนี้ยังไม่ลดลงในอนคต ผลกระทบที่มีต่อระบบเศรษกบิจไทยจะรุนแรงยิ่งกว่าที่เป้ฯมาในอดคต เนื่องจากระบบเศราบกิจไทยได้พัฒนามาพึงพิงระบบเศรษบกจิอเมริกันมากขึ้น...http://econ.tu.ac.th/archan/RANGSUN/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3/%E0%B9%95.%E0%B9%92%20%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%20%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B9%8C.pdf
             
วิกฤตเศรษฐกิจทางการเงินในปี พ.ศ. 2540 หรือเรียกทั่วไปในประเทศไทยว่า วิกฤตตำ้ยำกุ้ง เป้นช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินซึ่งส่งผลกระทบถึงหลายประเทศในทวีปเอเชีย
               วิกฤตดังกล่าวเร่ิมขึ้นในประเทศไทยเมื่อค่าเงินบาทลดลงอย่างมากอันเกิดจากการตัดสินใจของรัฐบาลไทย ซึ่งมีพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ลอยตัวค่าเงินบาท ตัดการอิงเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ หลังจากความพยายามทั้งหมดที่จะสับสนุนค่าเงินบาทเมือเผชิญกับการแผ่ขยายแบบเกินเลยทางการเงิน อย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวนขับเคลือนอสังหริมทรัพย์ ในเวลานั้น ประเทศไทยมีภาระหนี่สาธารณะซึ่งวทำให้ประเทศอยู่นสภาพล้มละลายก่อนหน้าการล่มสลายของค่าเงิน และเมื่อวิกฤตดังกล่าวขยายออกนอกประเทศ ค่าเงินของประเทศส่วนใหย่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และญี่ปุ่นก็ได้ทรุดตัวลงเช่นกัน ตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงและรวมไปถึงราคาสินทรัพย์อื่นๆ และทำให้หนี้เอกชนเพิ่มสูงขึ้น
               แม้จะทราบกันดีแล้วว่าวิกฤตการณืนี้มีอยู่และมีผลกระทบอย่างไร แต่ที่ยังไม่ชัดเจนคือสาเหตุของวิกฤตการณ์ดังกลาว เช่นเดียวกับขอบเขตและทางแก้ไข อินโดนีเซีย เกาหีใต้ และไทยได้รัีบผลกระทบมากที่สุดจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว ฮ่องกง มาเลเซีย ลาวและฟิลิปปินส์ก็เผชิญกับปัญหาค่าเงินทรุเช่นกัน สาธารณัฐประชาชนจีน อินเดียว ไต้หวัน สิงคโปร์ บรูไน และเวียดนาม ได้รับผลกระทบน้อยกว่า ถึงแม้ว่าทุกประเทศที่กล่าวมานี้จะได้รับผลกระทบจากการสูญเสียอุปสงค์และความเชื่อมั่นตลอดภูมิภาค
              สาเหตุหลักๆ โดยคร่าวๆของวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย พ.ศ.2540 อาจกล่าวได้ดังนี้
              - การขาดดุบัญชีเดินสะพัด ในช่วงที่เศราฐกิจของไทยเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง
               -ปัญหาหนี้ต่างประเทศ การเปิดเสรีทางการเงินเมื่อปี 2532-37 ทำให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศได้สะดวก โดยไม่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากค่าเงินที่กำหนดไว้ที่ 25 บาท/ดอลลาร์ ทำให้ผุ้กู้ยืมสามารถยืมเงินและคือเงนิกู้ในสกุลเงินตราต่างประเทศได้ใน อันตรดังกว่าว ซึ่งเป็นผลจากการที่ไทยประกาศรับพันธะสัญญข้อที่ 8 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศในปี 2533 เพื่อเปิดระบบการเงินของไทยสู่สากล...เกิดการขยายตัวของระบบการเงินของประเทศที่ส่งผลต่อการเกิดหนี้อ้อยสภาพขึ้นมากในสถาบันการเงินและการกุ้เงินจากสถาบันการเงินต่างประเทศเพื่อปล่อยกุ้กับธุรกิจในเมืองไทย ณ ปลายปี 2540
               - การลงทุนเกินตัว และฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้เติบโตอย่งมากในช่วงปี 2530-2539 เนื่องจากผุ้ประกอบการกุ้ยืมเงินจากต่างประเทศและระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วประเทศ ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เกิดการเก็งกำไร ซึ่งดึงดุดให้มีผุ้เข้ามาลงทุนในะุรกิจอย่างมากจนกลายเป็นภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่
               - ปัญหารความไม่เชื่อมั่นอย่างรุนแรงต่อสถาบันการเงินในประเทศ
               - ความไม่มีประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบาย ที่อนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรี ดดยไม่มีการเตรียมความพร้อมหรือการกำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ยังคงใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่อยู่...
               - และการโจมตีค่าเงินบาท ปัญหาเศรษกิจที่สั่งสมมานาน ทำให้นักลงทุนต่างชาติถือดอกาศโจมตีค่าเงินบาทของไทย ซึ่งเป็นนักลงทุนขนาดใหญ่และนักลงทุนสถาบันที่ระดมทุนมาเก็งกำรค่าเงิน หรือ โจมตีค่าเงินโดยตั้งเป็นกองทุนที่ชื่อเรียกว่ เฮจ ฟันท์ .th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2540
             เศรษฐกิจพอเพียง
             "..ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียง ความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือทำจากรายได้ 200-300 บาทขึ้นไปเป็นสองหมื่นสามหมื่นบาท คนชอบเอาคำพุดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศราฐกิจพอเพียงคือ ทำเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมาย ไม่ใช่แบบที่ฉันคิด ที่ฉันคิดคือ Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดุทีวีก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู เขาต้องการดุเพื่อความสนุกสนาน ในหมุ่บ้านไกลๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดุแต่ใช้แบตเตอรี เขาไม่มีไฟฟ้า แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรีบเหมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่ และยังใส่เนคไทยเวอร์ซาเช่ อันนีก็เกินไป.."
            เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ยึดหลัก ทางสายกลาง เพื่อให้การดำเนินชีวิตของประชาชนทุกระดับเป็นไปอย่างสมดุลและยั่งยืน สามารถอยู่ได้แม้ในโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสุง ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน จนถึง ระดับประเทศ
           
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภุมิพลอดุลยเดช ทรงมพระราชดำรัสถึง "เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นครั้งแรก ในพระบรมราโชวาทในพิะีพระราชทานปรญญาบัตริแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517 ดังนี้
            "... การพัฒนาประเทศ จำเป็นต้องทำตามลำดับขั้นต้องสร้างพื้นฐ,าน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหย่เพบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ทีประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างเสริมความเจริญและฐานะทาเศรษบกิจขั้นที่สูงขึ้นโยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจให้รวดเร็วแต่ประการเดียว ดดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันะ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วยก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆ ขึน ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหล่วได้ในที่สุด.."
            พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสอธิบายเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงบ่อยมากในโอกาศวันเฉพลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2541 ก็ทรงมีพระราชดำรัสถึงเศรษฐกิจพอเพียงว่า
            "..พอเพียง มีความหมายกว้างขวาง่ิงกว่านี้อีก คือ คำว่าพอ ก็พอพียงนี้ ก็พอแค่นั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อยเมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบยนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียงหมายความว่า พอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยุ่เป็นสุข พอพียงนี้ อาจจะมี มีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าเราต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น.."
            นับถึงวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง มานานถึง 43 ปีแล้ว....https://www.thairath.co.th/content/1099749
           
             

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...