วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561
A Christmas Carol (Charles John Huffam Dickens)
A Christmas Carol นวนิยายของ ชาร์สล์ คิดเก้นส์ ตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1843 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชายชื่อ เอเบเนเซอร์ สครูจ นายธนาคารผุ้เลื่อดเย็นและละโมบ ที่ได้รับการมาเยื่นจากวิญญาณของเพื่อเก่า ที่มาเตื่อนให้ระวังภูมิแห่งเทศกาลคริสต์มาส จำนวน 3 คน ที่จะมาเยื่อนตัวเขา คือ "ภูติแห่งคริสต์มาสในอดีต เป้นภาพชีวิตของสครูจในอดีตเมื่อเริ่มทำงานใหม่ ๆยังยากจนอยู่ แต่ใช้ชีัวิตอย่างมีความสุข มีความเอื้อารีต่อผุ้คน "ภูมิแห่งคริสต์มาสในปัจจุบัน" เป็นภาพชีวิตในปัจจุบันของสครูจ ที่เบียบดเบียบผุ้คนอย่างเลือดเย็น จนเป็นที่หวาดเกรงและเกลียดชังจากคนรอบข้าง และ "ภฺมแห่งคริสต์มาสในอนาคต" เป็นภาพของสครุที่นอนตายอย่างเดียวดาย และถูกหัวขโมยเข้ามารุมทึ้งทรัพย์สมบัติ และหลุมฝังศพ
นวนิยายจบลงเมือสครูจตื่นขึ้นมาในเช้าวันคริสต์มาส สำนึกตัวได้ว่าชีัวิตขเงเขานั้นขาดความรักและความเหนอกเห็นใจต่อคนรอบข้าง เขาใช้เวลาที่เหลือยู่ในวันนั้นไปกับการแบ่งปันให้กับผุ้ยากไร้ และกลับไปอยู่กับครองครัวอย่างมีความสุข
คิดเก้สน์เร่ิมแต่งนวนิยายเรื่องนี้ โดยใช้เวลาเขียน 6 สัปดาห์ และตีพิพม์จำหน่ายในช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาสต์ ปี 1843 ในช่วงนั้นอยู่ในช่วงต้นสมัยวิกตอเรีย ของสหราชอาณาจักร เป็นจุดสูงสุดของการปฏิวัตอุตสาหกรรม และเป็ยุคสูงสุดของจักรวรรดิอังกฤษซึงตรงกับสมัยการปกครองขชอง
สมเด็จพระราชินนีนาถวิกตอเรียระหว่างปี ค.ศ.1837 ถึงปี ค.ศ. 1901
ชาลส์ จอห์น ฮัฟแฟม ดิกคินส์ นักประพันธ์ชาวอังกฤษ และมีนามปกกาว่า "โบซ" เกิดที่เมืองแลนด์พอร์ท แฮมเชียร์อังกฤษใต้ สหราชอาณาจขักรเป็นบุตเสมียนฝ่ายเงินเดือนกองทัพเรือ ในปี พ.ศ. 2357 ดิกคินส์ได้ย้ายมาอยู่ในลอนดอนแล้วย้ายไปอยู่ที่เมืองแชทแธม และที่นี่เขาีโอกาสได้เข้าโรงเรียน และได้ทำงานด้านหนังสือพิมพ์และได้เป็นผุ้สื่อข่าวแลเข้าทำงานกับหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งในลอนดอนในเวลต่อมา
ชาลส์ ดิกคินส์ เป็นคนทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ ผิตงานวรรณกรรมรวมทั้งงานเขียนเพื่อรณรงค์ต่อต้านความชั่วร้ายในสังคมสมัยนั้นออกมาอย่างสม่ำเสมอเป็นจำนวนมาก และไม่เคยส่งเรื่องช้ากว่ากำหนด ดิกคินส์เริ่มงานวรรณกรรมด้วยการเขียนลงหนังสือพิมพ์รายเดือน เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในต่างประเทศ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B9%8C_%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%8C
ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีวรรณกรรมประเภทหนึ่งเร่ิมปรากฎครั้งแรกในประวัติวรรณคดีอังกฤษ คือ นวนิยาย โดยเขียนสะท้อนถึงชีวิตของชนชั้นกลางและชนชั้นล่างมากขึ้นก่าชนชั้นขุนนางดังในช่วงเวลาก่อนสมัยครสต์ศตวรรษที่ 18 เนื่องจากทั้งสองชนชั้นนี้มีจำนวนประชากรมากขึ้นในยุดรป ตอ่มา เมื่อเข้าสูคริสต์ศตวรรษที่ 19 การเขียนวรรณกรรมเร่ิมเขียนด้วยจินตนาการของผุ้เขียน มีลักษณะสนับสนุนเสรีภาพ ต่อต้านการกดขี่ หรือที่เรียกว่า สมัย
"โรแมนติก" ซึ่งาจเกิดจากแนวคิดในกาปฏิวัติอเมริกา ใชนช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 18 และปฏิวัติฝรั่งเศส ในค.ศ. 1789 ก็เป็นได้ นอกจากนี้ ยังเกิดการปฏิวัติอุตสา่เร่ิมขึ้นต้งแต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในอังกฤษ ผุ้เป็นเจ้าอาณานิคมหลายแห่งบนโลกเวลานั้น การปฎิวัติดังล่าวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศราฐกิจอย่างมา เนื่องมาจากการค้นพบพลังงานถ่านหินที่มีอย่างล้นเหลือกับเครื่องจักรไอน้ำ และอื่นๆ อันช่วยให้การผลิตมีประสิทธิภาพและรวมเร้ซย่ิงขึ้น ซึ่งชนชั้นกลางมีส่วนอย่างมากในการส่งเสริมอุตสาหกรรมในกรสนับสนุน เศรษฐกิจ บ้างก็เป็นเจ้าของกิจการอุุตสาหกรรม และเจ้าของธุรกิจส่วนตัวที่ได้รับการสนับสนุนจากระบบอุตสาหกรรมแต่กลับสร้างความเดือนร้อนให้กับชนชั้นกรรมาชีพ ด้วยระบบเศรษฐกิจแบบตัวใครตัวมันดังทฎีของ อดัม สมิทซ์ ที่แถลงไว้ในหนังสือ "ความมั่งคั่งของชาติ"
ทั้งหมดที่นี้ คือ พัฒนาการของการเขียนวรรณกรรมผ่านช่วงเวลาต่างๆ ตั้งแต่ในคริสต์ศตวรรตที่ 18 จนในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งจะปรากฎในวรณกรรมในสมัยพระราชินีวิกตอเรีย แห่งสหราชอาณาจักร โดยมีนักเขียนคนสำคัญของอังกฤษที่เขียนสะท้อนสภาพของสังคมไว้หลายแง่มุม ซึ่งในเรื่อง "อาถรรพ์วันคริสมาสต์" เป้นวรรณกรรมทีสะท้อนวิถีชีวิตชนชั้นกลางระดับต่างๆ จนถึงชนชั้นล่
งสุดของังคมอังกฤษ รวมถึงความเห็นแก่ตัวและความมีน้ำใจของชนชั้นกลางระดับสูงอีกด้วยดังนั้น วรรณกรรมเรื่องนี้จะเป็นวรรณกรรมเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ที่สำคัญเรื่องหนึ่งของยุโรปที่สะท้อนสังคมในหลายๆ แง่มุม...https://creative-path.wixsite.com/creativepath/single-post/AChristmasCarolwithEnglishCultureHistory
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561
Madame Bovary (Gustave Flaubert)
กุสตาฟ โฟลแบรต์ เป็นนักเขียนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเร่ิมการเขียนนวนิยายในแนวเหมือนจิรงหรือสัจนิยม หลักสำคัญของวรรณกรรมแนวนี้คือการวางตัวเป้นกลางของผุ้แต่งโดยปล่อยให้ผุ้อ่านตัดสินและประเมินค่าตัวละครหรือเหตุการณ์ต่างๆด้วยตนเอง เอมิล โซลา นักเขียนชั้นนำของกลุ่มสัจนิยมถึงกับยบยกย่องให้นวนิยายเรื่องมาดามโบวารี ของโฟลแบรต์ให้เป็นแม่บทของนวนิยายในแนวนี้ มาในยุคปัจจุบัน นักวรรณคดีล้วนเห้ฯพ้องต้องกันว่าโฟลแบรต์คือนักเขียนผุ้บุกเบิกการเขชียนนวนิยายแนวใหม่โดยดูจากเทคนิคหลายๆ ประการที่เขาใช้ไม่ว่าจะเป้น วิธีการเขียนบทพรรณนาที่มีความหมารยกลมกลืนไปกับองค์ประกอบอื่นๆ ของนวนิยาย การเสนอตัวละครจากทรรศนะของตัวละครด้วยกันเอง วมไปถึงวิธีการตัดต่อเหตุการณ์และฉากต่างๆ วึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับการตัดต่อภาพยนตร์
นอกจากนี้ โฟลแบรต์ยังเป้นผุ้ที่ให้ความสำคัญกับการค้นคว้าหาข้อมูลพอๆ กับการเชียนอย่างประณีตบรรจง ตามปกติแล้วเขาจะใช้เวลาเขียนนวนิยายแต่ละเรื่อง นาน 4 ข-5 ปี หรือมากกว่านั้น นวนิยายแต่ละเรื่องของเขานอกจากจะมี
ความสมจริงแล้ว ถ้อยคำและสำนวนต่างๆ ที่เขาใช้ยังมีเสียงไพเราะเสนาะโสต มีความบรรสารกลมกลืน และมีจังหวะจะโคนที่ดีอีกด้วย ที่เป้นเช่นนี้ก็เรพาะสำหรับโฟลแตรต์แล้วหัวใตจของการสร้างสรรค์ความงามทางวรรณศิลป์นั้น อยุ่ที่ลีลาการเขียนเป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลงใจเลยที่นวนิยายหลายเรืองของเขาซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นนวนิยายที่ยิ่งใหญ่ของโลกวรรณกรรมตะวันตกนั้น เรียกวได้ว่ามีเนื่้อเรื่องที่ธรรมดาที่สุดในสมัยนั้น เช่น เรื่อง มาดามโบวารี ซึ่งมีเนื้อหารเกี่ยวกับประเด็นทางด้านชู้สาว หรือเกือบไม่มีเนื้อเรื่องเลย เช่น เรื่องบทเรียนชีวิต ซึ่งมีเนื้อเรื่องเพียงแค่ชีวิตของชายหนุ่มผุ้หนึ่งซึ่งรำลึกได้ในตอนอวสานว่าตนได้ประสบความล้มเหลวในชีวิต
มาดามโบวารี เอ็มมา รูโอต์/เอ็มมา โบวารี ในสายตาชาย/ชู้
โฟรแบรต์ใชการเล่าเรื่องด้วยบุรุษที่ 3 และใช้เสียงผุ้เล่าที่มิได้เป็นตัวละครหนึ่งในนวนิยาย แต่ใช้มุมองการเล่าเรื่องผ่านาสายตาตัวละครผู้เล่าทอดเรื่องราวผ่านสายตาของชาร์ลส์สลับกับเอ์มมาเป้นหลัก
การบรรยายอารมร์ของตัวละครเกคือเอ็มมา หรือบทพรรณนาฉากภายในบ้านของครอบครั้งโบวารี ฉากสถานที่ของเมือโตตส์และมืองยองวิล มีรายละเอดียดลึกซึ้งจนกระทั่งผุ้อ่านเข้าใจได้ ถึงความเบื่อหน่ายหดหู้ของเอ้ฒมาที่มีต่อสภาพแวดล้อมรอบกาย ตัวอย่าง เช่น โฟลแบรต์เปิดฉากแรกของบทที 1 ภาค 2 ด้วยบทพรรณนาภาพเมืองยองวิลจากระยะไกล เร่ิมจากบริเวณนอกเมืองแล้วเขาสู่ตัวเมือง แต่โผลแบรต์มิได้ใช้กลวิธีเดียวกันนี้ในการนำเสนอรูปลักษณ์ของตัวละครเอ็มมา ผุ้อ่านมิได้เห็นภาพของเอ็มมาอย่างละเอียดในข้อความแนะนำตัวละครเป็นเนื้อเดียวกันตั้เงแต่ต้นเรื่อง ผุ้อ่รนต้องเก็บรายละเอดียดที่ละน้อยด้วยตนเองแล้วนำมาประติดประต่อกัน ที่สำคัญคือโฟลแบรต์นำเสนอภาพเอ็มมาผ่านสายตาของตัวละครอื่นๆ ซึ่งเป็นชายที่เข้ามาอยู่ในแวดวงชีวิตของเธอโดยเฉาพะอย่างยิ่งด้านชู้สาว กลวิธีนำเสนอตัวละครหนึ่งผ่านสายตาของอีกตัวละครหนึ่งทำให้ผุ้ประพันธ์ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครสู่ผู้อ่านได้อย่างแยบยล
ตั้งแต่ครั้งังเป้นนางสาวเอ็มมา รูโอต์ ก่อนจะกลายเป็นมาดามโบวารี ตัวละครนี้เป็นศูนย์กลางการมองของตัวละครชายโฟลแบรต์เปิดตัวนางเอกของเรื่องด้วยการนำเสนอภาพตัวละครผ่านสายตาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขชื่อชาร์ลส์ โบวารี ซึ่งถูกตามตัวมารักษาบิดาของเธอ เอ็มมามิได้ปรากฎตัวต่อสายตาผุ้อ่านทันที่อย่างเต็มตัวในการพบกันครั้งแรกของตัวละครทั้งสอง ในชั้นแรก ตามสายตาชของขชาร์ลส์ ผุ้อ่านเห็นเล็บมือที่ "เงางามปลายเรียบขัดสะอาดยิ่งกว่างาช้างจากเดียป"ของเอ็มมา ซึ่งชาร์ลส์ประทับใจมาก ล้วจึงมองเห็นภาพมือที่ "ไม่สวย" แต่ส่วนที่ชาร์ลส์มองห็นว่าสวยมากคือดวงตาสีน้ำตาลที่แลดูเป็นสีเข้มจัดเนื่องจากขนตาดกหนา ต่อจากนั้นผุ้อ่านมองเห็ฯภาพริฝีปากอ่ิมเต็มและลำคอระหง รวมทังแก้มแดงระเรื่อเป็นสีกุหลาบ โฟลแบรต์ทำให้ผุ้อ่านมองเห็นภาพสาวสวนเอ็มมาผ่านสายตาของชขาร์ลส์ แลฃะทำให้ผุ้อ่านล่วงรุ้ความในยใจของชาร์ลส์ที่นึกเปรียบเทียบเอ็มมากับภรรยาคนปัจจุบันของตนซึ่งเป็นหญิงม่ายมาก่อน อายุมากก่า และมีรูปฃลักษณ์ "ขีเหร่แห้งกระงลางเหมือนไม้ซากและเนื้อตัวอุดมไปด้วยดอกดวงราวกับฤดูใบไม้ผลิ ด้วยเหตุนี้ ตามสายตาของชาร์ลส์ เอ็มมาย่อมเป็นาวน้อยโฉมงามทรงเสน่ห์ ภายหลังการแต่งงานของทั้งสอง ความงามของเอ็มมาผนวกความเย้ายวนย่ิงกลายเป็นเสน่ห์มัดใจชาร์ลส์ให้หลงไหลในตัวภรรยาสาวไม่เสื่อมคลาย "เช่นเดียวกับเมื่อแต่างงานกันใหม่ๆ ชาร์ลส์เห็นว่าเธองมหยดย้อยและมีเสน่ห์อย่างสุดที่จะต้านทานได้...
การที่ผลแบรต์ใช้เสียงผุ้เล่าที่มิใช้ตัวละคร เป็นกลวิธีซึ่งเอื้อให้ผุ้อ่นม่โอกาศล่วงรุ้ความรุ้สึกของโรดอล์ฟที่มีต่อเอ็มมา ผุ้อ่านได้ยินเสียงถ้อยคำในความคิดของโรดอล์ฟ และติดตามจินตนาการของตัวละครชายหนุ่มผุ้จัดเจนเชิงโลกีญื ที่โลดแล่นไปไกลถึงขนาดนึดวาดภาพร่างเปลื่อยเปล่าของเอ็มมา
โอเมส์ เจ้าของร้านปรุงยาแห่งเมืองยองวิล กฃล่าวชมเอ้ฒมาเมื่อชาร์ลส์กำลังจะพาเธอไปชมละครที่เมืองรูอัง โฟลแบรต์ช้ภาษาภาพพจน์เพียงสั้นๆ ผ่านคำชมของโอเมส์ ว่่า "คุณงามราวกับงีนัส" ..การเปรียบเทียบเอ็มมากับวินัส กล่าวคือ วีนัสเป็นชื่อเรียกตาทเทพปกรณัมโรมันของเทวีแอโฟไดต์ ในเทพปกรณัมกรีก และเป็นเทพธิดาแห่งความงามแบบเย้ายวน ความปรารถนา และกามารมณ์ เมื่อแอโฟรไดต์ผุดขึ้นจากฟองสมุทรและถูกนำตัวไปยังภูเขาโอลิมปัสซึ่งเป็นที่สถิตแห่งทวยเทพ เอรอส หรือเทพแห่งความรัก และเทพฮิเมรอส หรือเทพแห่งความปรารถนา ได้ร่วมเดินทางไปด้วย นัยยะเชิงนิทานเปรียบเทียบ จากเทพปรกณัมกรีก-โรมัน ได้แก่ ความงาม ความรัก และความปรารถนา เป้นสิงที่ไ่อาจแยแยกจากกันได้ ... บางส่วนจาก บทความ มาดามโบวารี : เพศหญิง เพศชาย ความตาย ชายชู้ โดยวรุณีอุดมศิลป
วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561
Les Lettres philosophiques ou Lettres anglaises (François-Marie Arouet : Voltaire)
ฟร็องซัว มารี อรูเอ หรือเป็นที่รู้จักกันในนามปากกาว่า วอลแตร์ เป็นปราชย์ นักเขียนและนักปรวัติศาสตร์ในยุคเรื่องปัญญาของฝรั่งเศส เขาเป็นผุ้โจมตีการจัดตั้งศาสนจักรคาทอลิกในฝรังเศส และยังสนับสนุนเสรีภาพทางศาสนา เสรีภาพในการพูดและยังผลักดันให้มีการแบ่งแยกศาสนจักรออกจากรัฐ
ผลงานองวอลแตร์มีจำนวนมากมายหลากหลายประเภททั้ง บทละคร นิยาย นิทาน เชิงปรัชญา ประวัติศาสตร์ และบทกวี เขาได้รับยกย่องจากคนร่วมสมัยว่าเป็นนักเขียนบทละครชั้นนำและกวีชั้นนำ แต่ในปัจจบันเขากลับเป็นที่ยกย่องในฐานะนักเขียนเชิงเสียดสี วิพาก วิจารณื ผลงานของเขาส่วนใหญ่เป็นการเผยแพร่ความคิดทางปรัชญาไปสู่สาะารณชน เพื่ปลุกความคิดวิพากษืวิจารณืให้แก่ชาวฝรั่งเส เพื่อต่อต้านความคิดระบบสภาบันแบบเก่า การต้อสู้เพื่อขจัดความอยุติธรรมในสังคม ารวมทั้งความเชื่อที่งมงายและความบ้าคลั่งทางศาสนา นอกจากนี้เขายังส่งเสริมเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพและการแสดงความคิดเห็นอีกด้วย
ผลงานของวอลแตร์เกิดสิ่งที่เรียกว่า "ความคิดวิพากษ์วิจารณื" แก่ชาวฝรั่งเศสโดยรวม ความคิดวิพากวิจารณ์นี้ทำให้ชาวฝรั่งเศสตั้งคำถามต่อทุกเรื่องทุกเหตุการณืที่ปากฎในสังคมขอฦ.ตน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสถาบันการเมืองการปกครอง โดยเขาได้โจมตีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิาชย์ สถาบันกษัตริย์ การใช้อำนาจตามอำเภอใจของกษัตริย์ สถาบันศาสนา โจมตีคำสอนความเชื่อที่
งมงาย เป็นต้น
วอลแตร์ได้นำหลักการใช้เหตุผล มาแพร่หลายให้แก่ประชาชน เพือมาใช้ในการดำเนินชีวิต โดยการใช้เหตุผลแก้ปัญหา และรู้จักคิดพิจารณาก่อนจะเชื่ออะไรง่ายๆ เขาใช้ผลงานของเขามาเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่แนวความคิดทางปรัชญาและนำไปสู่สาธารณชน เืพ่อทไใ้ประชาชนได้เห็นได้เข้าใจและตระหนักถึงส่ิงเหล่านั้น วางแนวคึิดและควารู้เหล่านี้จึงเปรียบเสมือนกับแสงสว่างทางปัญญาให้แก่ประชาชน วอลแตร์จึงเป้นผู้ที่มีส่วนทำให้ประชาชนมีเสรีภาพทางความคิดและทำให้ผุ้คนสนใจการเมืองการปกครองแบบอังกฤษ
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าวาอลแตร์มีอิทะิพลต่อคริสตวรรษที่ 18 เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งย่ิงใหญ่ทั้งทางด้านการเมือง เศราฐกิจ สังคมและศาสที่รุ้จักกันในนาม "การปฏิวัติฝรั่งเศส พ.ศ. 2332"
Les Lettres philosophiques ou Lettres anglaises หรือ Letters on the Rnglish จดหมายปรัชญา
หรือ จดหมายจากอังกฤษ ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาอังกฤษ ที่กรุงลอนดอน เมื่อปี ค.ศ. 1733 และปีต่อมาจึงตีพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศส ผลงานช้ินนี้เขียนขึ้นในรูปแบบขอจดหมายรวมทั้งสิ้น 25 ฉบับ ซึ่งเหนื้อหาส่วนใหญ่จะเล่าถึงสภาพสังคมของประเทศอังกฤษ ผ่านประสบการณ์ขงตัววอลแตร์ โดยเชียนด้วยโวหารที่คมคายและสอดแทรกด้วยการเสียดสีถากถางวอลแตร์ได้ใช้สภาพสังคมดงกล่าวเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ชาวฝรั่งเศสได้รู้จักถงศาสนา เศรษฐกิจการเมือง ปรัชญาและวันธรรมของประเทศอังกฤษ แล้วนำมาเปรียบเทีียบกับประเทศฝรั่งเศสทำให้เห็นว่าประเทศฝรั่งเศนั้นยังล้าสมัยอยู่ อีกทั้งเขายังต้องการให้เกิดความเท่าเทียมกันในการเสียภาษีระหวา่งชนชั้นสามัญกับชนชั้นอภิสิทธิ์ ต้องการให้เกิดความสมดุลของอำนาจทางการเมืองและต้องการให้รัฐบาลส่งเสริมเสรีภาพด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์อีกด้วย ส่วนตอนท้ายของผลงานชิ้นนี้ วอลแตร์ได้กล่าววิจารณ์ ปาสกาล นักคิดคนสำคัญในศตวรรษที่ 17 อย่างดุเดอดในแง่ความเชื่อความสรัทธาในพระจ้า เนื่องจากปาสคาเห้ฯว่า "ความทุกข์ของมนุษย์จะเกิขึ้นเมื่อมนุษย์ปราศจากพระเจ้า และมนุษย์จะค้นพบความสุขได้เื่อมีศรัทธาในพระเจ้า "ซึงแนวคิดนี้ได้ขัดแย้งกับความิด้านศษสนาของวอลแตร์โดยสิ้นเชิง อาจกล่าวไดว่าผลงานชิ้นนี้ทำให้วอลแตร์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C
วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2561
Social Contract (Jean Jacques Rousseau)
".. มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนหทุกแห่งเขาอยู่ในเครื่องพันธนาการ ตราบเท่าที่ราษฎรถูกบังคับให้เชขื่อฟัง และก็เชื่อฟัง เขาก็ทำดีแล้ว แต่ทว่าเขาจะทำดียิ่งขึ้น ถ้าหากเขาสลัดอกจากบ่าในทันที่ที่เขาสามารถสลัดได้ เื่อมีใครถือสิทธิเข้าแย่งชิงเสรีภาพราษ๓ร ราษฎรก็ย่อมจะมีสิทธิเช่นกันที่จะยื้อแย่งเสรีภาพกลับคืน ราษฎรมีสิทธิจะกู้เสรีภาพของตนได้ แต่ไม่มีใครจะมีสิทธิชิงเอาเสรีภาพไปจากราษฎร.."
Jean Jacques Rousseau ฌ็อง ฌัก รุสโซ เป็นนักปรัชญา นักเขียน นักทฤษฎีการเมือง และนักประพนธ์เพลงที่ฝึกหันด้วยตนเองแห่งยุคเรืองปัญญา
คำสอนของเขาสอนให้คนหันกลัยไปหาธรรมชาติ เป็นการยกย่องคุณค่าของคนว่า "ธรรมชาติของคนดีอยู่แล้วแต่สังคมทำใหนไม่เสมอภาคกัน" เขาบอกว่า "เหตุผลมีประโยชน์ แต่มิใช่คำตอบของชีวิต ดังนั้นเราจึงต้องพึงความรู้สึก สัญชาตญาณและอารมณ์ของเราเอง ให้มากกว่าเหตุผล"
ทฤษฎีคนเถือนใจธรรม รุสโซ่ เชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นคนดีโดยธรรมชาติ หรือเป็น "คนเถือนใจธรรม" เมื่ออยู่ในสภาวะธรรมชาติเดียวกนกับสัตว์อื่นๆ และเปนสภาพที่มนุษย์อยุ่มาก่อนที่จะมีการสร้างอารยธรรม แลสังคมแต่ถูกทำให้เเปดเปื้อนโดยสังคม เขามองสังคมว่าเป็นส่ิงที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น และเชื่อว่าการพัฒนาของสังคม ดดยเฉาพะการเพิ่มขึ้นของการพึงพากันในสังคมนั้น เป็นสิ่งที่อันตรายต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์
ในหนังสือ "สัญญาประชาคม" รุสโซ กล่าวถึงสัญญาประชาคมว่า หมายถึง สัญญาที่แต่ละคนเข้าร่วมกับทุกคนภายใต้เอกภาพและเจตจำนงอันเดียวกัน โดยที่ประาชนสามารถก่อตั้งรัฐบาลขึ้นได้และให้อำนาจแก่รัฐบาลเพื่อรับใช้ประชาชนแต่ถ้าเมื่อใดที่ประชาชนไม่พอใจรัฐบาลก็อาจเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ รุสโซ่ ชี้ให้เห็นว่าสภาวะธรรมชาตินั้นเป็นสภาวะที่มนุษย์มีความผาสุก มีอิสระเสรี และความเสมอภาคอย่างไรก็ตามแม้มนุษย์จะเกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งมนุษย์ก็ถูกตรึงด้วยโซ่ตวนแห่งพันธนาการ แนวความคิดของรุสโซถือว่าเป็นรากฐานของระบอบประชาธิไตยในเวลาต่อมา
รุสโซอธิบายการกำเนิดสังคมว่ามีสาเหตมาจากการเกิดและการขยายการปฏิสัมพันะ์ระหว่างครอบครัวและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวก็บังเกิดขึ้น รุสโซ ชี้ถึงปัจจัยสำคัญคื อพัฒนาการทางเสณษบกิจ และความรักแบบโรแมนติก เขาเน้นถึงบทบาทสำคัญของเศรษบกิจที่มีค่อการก่อตัวของสังคมเมือง ดังที่กล่าวได้ว่า "คน แรกที่กั้นรั่วแผ่นดินคือผุ้เร่ิมสังคมเมืองที่แท้จริง" การคิดค้นการเกษตรกรรมที่นำไปส.ู่การสร้าง กฎ กติกา เพื่อความยุติธรรมขึ้นเป็นครั้งแรก ลบะในที่สุดแล้ว ด้วยการแนะนำของผุ้มั่งคั่ง ก็จะนำไปสู่การสถาปนาการเมืองการปกคอรงขึ้นมาหมายความว่าการเกิดการปกครองขึ้นมานั้นจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าปราศจาก เงื่อนไขของการเกิดกรรมสิทธิในทรัพย์สินส่วนตัวในที่ดิน มาก่อนหน้าและแท้ที่จริงแลว พัฒนาการการเกษตรที่เกิดขึ้นั้น เป็นผลพวงมาจากการเกิดครอบครัวก่อนหน้านี้ แต่กระนั้น ก็เสนอด้วยว่า
"เศรษฐกิจการเกษตรในตัวของมันเอง เป็สิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองพัฒนาการของความต้องการทางเพศ เรื่อง เพศ คือสะพานนำไปสู่การเมือง โดยมีนัยของการเปลี่ยนแปลงเรื่องความสัมพันะ์ทางเพศของมนุษ์เป็นปัจจัย เงือนไขที่จำเป็นอย่างยิ่งในการกำเนิดสังคมการเมือง รุสโซ อธิบาย ความขัดแย้ง ความไร้ระเบียบ ที่อุบัติขึ้นเมื่อสังคมได้ถือกำเนิดไว้ดังนี้คือความขัแย้งจะเกิดขึ้นเมื่อสภาวะของมนุษย์ในสงคมไม่เพื่ออำนวย หรือไม่เหมาะสมกับพวกเขา ความขัดแยง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อมนุษญ์มองมนุษย์ด้วยกันว่า เป็นศัตรูที่แข่งขันกับพวกเขา เพื่อความโดดเด่นหรือเพื่อความเหนือกว่า หรือเพื่อสิงที่พึงปรารถนา และสุดท้ายความขัดแย้งยังคง่ำรงอยู่ ภายในปัจเจกบุคคล เมื่อจิตใจของเขาตกอยู่ภายใต้พันธนาการของกิเลสตัณหาอันไม่มีขีดจำกัด อารยธรรมหรือความเจริญก้าวหน้าของศิลปะวิยากานี้ทำให้ศัลธรรมการดำเนินชีวิตของมนุษย์เสื่อทรามลงเสียมากกว่าที่จะทำให้ดีขึ้น เมื่อมนุษย์ตกเป็นทาสของศิลปะวิทยาการเสรีภาพที่เคยมีและเป็นแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ก้ไ้สูญหายไป
http://www.stou.ac.th/forum/page/Answer.aspx?idindex=142283
ด้วยเหตุนี้เองที่รุสโซ ได้กล่าวขึ้นต้นใน "สัญญาประชาคม" ไว้ว่า มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งเขาอยู่ในพันะนาการ ใครที่่คิดว่านเป็นนายคนดื่อน ย่อมไม่วายจะกลับเป็นเสียทาศยิ่งกว่า" ความผันแปรเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรไม่ทราบ อะไรเล่าที่จะพึงทำให้ความผันแปรนั้นกลายเป็นส่ิงที่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อนี้คิดว่าจะตอบปัญหาได้เพราะในสภาวะสังคมมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดระเบียบเงือ่นไขที่กลีเลี่ยงไม่ได้ที่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่โดยไม่เหยียบหัวแย่งชิง หลอกลวง ทรยศ และทำลายซึ่งกันและกัน การแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่ มนุษย์มาอยุ่ร่วมกันเป้นสังคมเขาเสนอให้มีการสร้าง หรือการจัดระเบียบสังคมใหม่ขึ้นมา นั้นคือเราจะทำอย่างไรที่จะหารูปแบบของการอยู่ร่วมกันที่ สามารถปกป้องบุคคล และส่ิงที่พึงปรารถนาของสมาชิกแต่ละคนในสังม ดดยการ่วมพลังของทุกคน และเป้นรูปแบบการอยู่ร่วมกันที่ปัจเจกบุคคลแต่ละคน แม้ว่าจะรวมตัวเข้ากันกับคนอื่น แต่ก็มิได้ต้องเชื่อฟังใคร นอกจากตัวเขาเอง และยังควมีอิสรเสรีเหมือนแต่ก่อนคำตอบนั้นคือ "สัญญาประชาคม" และคือคำตอบสำหรับการหลุดจากสภาวะอันไม่อำนวย่อการดำรงชีวิตความเป็นมนุษย์มาทำใัญญา่วกัน หมายถึงการยอมเสียเสรีภาพตามธรรมชาติที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของเขาเพื่อแลกกับเสรีภาพทางสังมการเมือง รุสโซ กล่าวว่าแก่นของ
สัญญาประชาคม คือการที่พวกเราแต่ละคนยอมเเละตัวเอง และอำนาจหน้าที่ ที่เขามีอยุ่ทั้งหมดให้กับส่วนร่วม ภายใต้การนำสุงสุดของ "เจตนำนงร่วม" และในฐาานะองค์ร่วม เราได้รวมสมาชิกทุกคนเข้าไเปนเนื้อเดียวกันในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของทั้ง หมดที่แบ่งแยดไม่ได้ อันประกอบด้วยจำนวนสมาชิกที่มีจำนวนเท่ากับผุ้ออกเสียงในที่ประชุมซึงทำให้องค์รวม ดังกล่าวมีชีวิต มีเจตจำนง และในฐานะองค์รวม เราไมด้รวมสมาชิกทุกคนเข้าเป็นเนื้อเดียวกันในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของทั้ง หมดที่แบ่งแยกไม่ได้ อันประกอบด้วยจนวนสมาชิกที่มีจำนวนเท่ากับผู้ออกเสียงในที่ประชุมซึ่งทำให้ องค์รวม ดังกล่าวมีชีวิต มีเจตจำนง มีตัวตน และมีเอกภาพ ของตัวเองขึ้นมา องค์รวมทางการเมืองหรือ บุคคล สาธารณะที่ก่อตัวขึ้นนี้ คือสังคมเมือง หรือสาธารณรัฐ และในสภานะที่เป็นผู้ถูกกระทำซึ่งเรียกว่ารัฐ แต่ถ้าอยุ่ในสภานะ ผุ้ถูกกระทำ เรียกว่ องค์อธิปัตย์ และเมื่อมีการเปรียบเทียบระหว่างองค์อธิปัต ด้วยกน เราเรียกว่า "อำนาจ"และสำหรับผุ้ที่เข้าร่วมอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐ เรียกว่า "ประชาชน" และเรียกว่า "พลเมือง" ตราบเท่าที่พวกเขามีส่วนร่วมในอำนาจอธิไตย และเรียกวพเขาว่ "ราษฎร" ตรบเท่าที่พวเกขาอยู่ภายใต้กฎหมายของรัฐ...
Jean Jacques Rousseau ฌ็อง ฌัก รุสโซ เป็นนักปรัชญา นักเขียน นักทฤษฎีการเมือง และนักประพนธ์เพลงที่ฝึกหันด้วยตนเองแห่งยุคเรืองปัญญา
คำสอนของเขาสอนให้คนหันกลัยไปหาธรรมชาติ เป็นการยกย่องคุณค่าของคนว่า "ธรรมชาติของคนดีอยู่แล้วแต่สังคมทำใหนไม่เสมอภาคกัน" เขาบอกว่า "เหตุผลมีประโยชน์ แต่มิใช่คำตอบของชีวิต ดังนั้นเราจึงต้องพึงความรู้สึก สัญชาตญาณและอารมณ์ของเราเอง ให้มากกว่าเหตุผล"
ทฤษฎีคนเถือนใจธรรม รุสโซ่ เชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นคนดีโดยธรรมชาติ หรือเป็น "คนเถือนใจธรรม" เมื่ออยู่ในสภาวะธรรมชาติเดียวกนกับสัตว์อื่นๆ และเปนสภาพที่มนุษย์อยุ่มาก่อนที่จะมีการสร้างอารยธรรม แลสังคมแต่ถูกทำให้เเปดเปื้อนโดยสังคม เขามองสังคมว่าเป็นส่ิงที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น และเชื่อว่าการพัฒนาของสังคม ดดยเฉาพะการเพิ่มขึ้นของการพึงพากันในสังคมนั้น เป็นสิ่งที่อันตรายต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์
ในหนังสือ "สัญญาประชาคม" รุสโซ กล่าวถึงสัญญาประชาคมว่า หมายถึง สัญญาที่แต่ละคนเข้าร่วมกับทุกคนภายใต้เอกภาพและเจตจำนงอันเดียวกัน โดยที่ประาชนสามารถก่อตั้งรัฐบาลขึ้นได้และให้อำนาจแก่รัฐบาลเพื่อรับใช้ประชาชนแต่ถ้าเมื่อใดที่ประชาชนไม่พอใจรัฐบาลก็อาจเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ รุสโซ่ ชี้ให้เห็นว่าสภาวะธรรมชาตินั้นเป็นสภาวะที่มนุษย์มีความผาสุก มีอิสระเสรี และความเสมอภาคอย่างไรก็ตามแม้มนุษย์จะเกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งมนุษย์ก็ถูกตรึงด้วยโซ่ตวนแห่งพันธนาการ แนวความคิดของรุสโซถือว่าเป็นรากฐานของระบอบประชาธิไตยในเวลาต่อมา
รุสโซอธิบายการกำเนิดสังคมว่ามีสาเหตมาจากการเกิดและการขยายการปฏิสัมพันะ์ระหว่างครอบครัวและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวก็บังเกิดขึ้น รุสโซ ชี้ถึงปัจจัยสำคัญคื อพัฒนาการทางเสณษบกิจ และความรักแบบโรแมนติก เขาเน้นถึงบทบาทสำคัญของเศรษบกิจที่มีค่อการก่อตัวของสังคมเมือง ดังที่กล่าวได้ว่า "คน แรกที่กั้นรั่วแผ่นดินคือผุ้เร่ิมสังคมเมืองที่แท้จริง" การคิดค้นการเกษตรกรรมที่นำไปส.ู่การสร้าง กฎ กติกา เพื่อความยุติธรรมขึ้นเป็นครั้งแรก ลบะในที่สุดแล้ว ด้วยการแนะนำของผุ้มั่งคั่ง ก็จะนำไปสู่การสถาปนาการเมืองการปกคอรงขึ้นมาหมายความว่าการเกิดการปกครองขึ้นมานั้นจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าปราศจาก เงื่อนไขของการเกิดกรรมสิทธิในทรัพย์สินส่วนตัวในที่ดิน มาก่อนหน้าและแท้ที่จริงแลว พัฒนาการการเกษตรที่เกิดขึ้นั้น เป็นผลพวงมาจากการเกิดครอบครัวก่อนหน้านี้ แต่กระนั้น ก็เสนอด้วยว่า
"เศรษฐกิจการเกษตรในตัวของมันเอง เป็สิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองพัฒนาการของความต้องการทางเพศ เรื่อง เพศ คือสะพานนำไปสู่การเมือง โดยมีนัยของการเปลี่ยนแปลงเรื่องความสัมพันะ์ทางเพศของมนุษ์เป็นปัจจัย เงือนไขที่จำเป็นอย่างยิ่งในการกำเนิดสังคมการเมือง รุสโซ อธิบาย ความขัดแย้ง ความไร้ระเบียบ ที่อุบัติขึ้นเมื่อสังคมได้ถือกำเนิดไว้ดังนี้คือความขัแย้งจะเกิดขึ้นเมื่อสภาวะของมนุษย์ในสงคมไม่เพื่ออำนวย หรือไม่เหมาะสมกับพวกเขา ความขัดแยง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อมนุษญ์มองมนุษย์ด้วยกันว่า เป็นศัตรูที่แข่งขันกับพวกเขา เพื่อความโดดเด่นหรือเพื่อความเหนือกว่า หรือเพื่อสิงที่พึงปรารถนา และสุดท้ายความขัดแย้งยังคง่ำรงอยู่ ภายในปัจเจกบุคคล เมื่อจิตใจของเขาตกอยู่ภายใต้พันธนาการของกิเลสตัณหาอันไม่มีขีดจำกัด อารยธรรมหรือความเจริญก้าวหน้าของศิลปะวิยากานี้ทำให้ศัลธรรมการดำเนินชีวิตของมนุษย์เสื่อทรามลงเสียมากกว่าที่จะทำให้ดีขึ้น เมื่อมนุษย์ตกเป็นทาสของศิลปะวิทยาการเสรีภาพที่เคยมีและเป็นแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ก้ไ้สูญหายไป
http://www.stou.ac.th/forum/page/Answer.aspx?idindex=142283
ด้วยเหตุนี้เองที่รุสโซ ได้กล่าวขึ้นต้นใน "สัญญาประชาคม" ไว้ว่า มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งเขาอยู่ในพันะนาการ ใครที่่คิดว่านเป็นนายคนดื่อน ย่อมไม่วายจะกลับเป็นเสียทาศยิ่งกว่า" ความผันแปรเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรไม่ทราบ อะไรเล่าที่จะพึงทำให้ความผันแปรนั้นกลายเป็นส่ิงที่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อนี้คิดว่าจะตอบปัญหาได้เพราะในสภาวะสังคมมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดระเบียบเงือ่นไขที่กลีเลี่ยงไม่ได้ที่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่โดยไม่เหยียบหัวแย่งชิง หลอกลวง ทรยศ และทำลายซึ่งกันและกัน การแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่ มนุษย์มาอยุ่ร่วมกันเป้นสังคมเขาเสนอให้มีการสร้าง หรือการจัดระเบียบสังคมใหม่ขึ้นมา นั้นคือเราจะทำอย่างไรที่จะหารูปแบบของการอยู่ร่วมกันที่ สามารถปกป้องบุคคล และส่ิงที่พึงปรารถนาของสมาชิกแต่ละคนในสังม ดดยการ่วมพลังของทุกคน และเป้นรูปแบบการอยู่ร่วมกันที่ปัจเจกบุคคลแต่ละคน แม้ว่าจะรวมตัวเข้ากันกับคนอื่น แต่ก็มิได้ต้องเชื่อฟังใคร นอกจากตัวเขาเอง และยังควมีอิสรเสรีเหมือนแต่ก่อนคำตอบนั้นคือ "สัญญาประชาคม" และคือคำตอบสำหรับการหลุดจากสภาวะอันไม่อำนวย่อการดำรงชีวิตความเป็นมนุษย์มาทำใัญญา่วกัน หมายถึงการยอมเสียเสรีภาพตามธรรมชาติที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของเขาเพื่อแลกกับเสรีภาพทางสังมการเมือง รุสโซ กล่าวว่าแก่นของ
สัญญาประชาคม คือการที่พวกเราแต่ละคนยอมเเละตัวเอง และอำนาจหน้าที่ ที่เขามีอยุ่ทั้งหมดให้กับส่วนร่วม ภายใต้การนำสุงสุดของ "เจตนำนงร่วม" และในฐาานะองค์ร่วม เราได้รวมสมาชิกทุกคนเข้าไเปนเนื้อเดียวกันในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของทั้ง หมดที่แบ่งแยดไม่ได้ อันประกอบด้วยจำนวนสมาชิกที่มีจำนวนเท่ากับผุ้ออกเสียงในที่ประชุมซึงทำให้องค์รวม ดังกล่าวมีชีวิต มีเจตจำนง และในฐานะองค์รวม เราไมด้รวมสมาชิกทุกคนเข้าเป็นเนื้อเดียวกันในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของทั้ง หมดที่แบ่งแยกไม่ได้ อันประกอบด้วยจนวนสมาชิกที่มีจำนวนเท่ากับผู้ออกเสียงในที่ประชุมซึ่งทำให้ องค์รวม ดังกล่าวมีชีวิต มีเจตจำนง มีตัวตน และมีเอกภาพ ของตัวเองขึ้นมา องค์รวมทางการเมืองหรือ บุคคล สาธารณะที่ก่อตัวขึ้นนี้ คือสังคมเมือง หรือสาธารณรัฐ และในสภานะที่เป็นผู้ถูกกระทำซึ่งเรียกว่ารัฐ แต่ถ้าอยุ่ในสภานะ ผุ้ถูกกระทำ เรียกว่ องค์อธิปัตย์ และเมื่อมีการเปรียบเทียบระหว่างองค์อธิปัต ด้วยกน เราเรียกว่า "อำนาจ"และสำหรับผุ้ที่เข้าร่วมอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐ เรียกว่า "ประชาชน" และเรียกว่า "พลเมือง" ตราบเท่าที่พวกเขามีส่วนร่วมในอำนาจอธิไตย และเรียกวพเขาว่ "ราษฎร" ตรบเท่าที่พวเกขาอยู่ภายใต้กฎหมายของรัฐ...
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561
Les Misérables (Victor-Marie Hugo)
เลมีเซราบล์ หรือ เหยืออธรรม เป็นนวนิยายประพันธ์โดย วิกเตอร์ อูโก ชาวฝรั่งเสส และเรียกได้ว่าเป็นหนึง่ในนิยายที่ดีที่สุดในศตวรรษที่ 19
วิตอร์-มารี อูโก เป็นกวี นักเขียนบทละคร นักประพันธ์ ศิลปิน รัฐบุรุษ และนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนชาวฝรั่งเศส เป็นผุ้มีบทบาทอย่างสูงสำหรับการเคลื่อนไหวทางวัฒธรรมยุคโรแมนติกในประเทศฝรั่งเศส
ชื่อเสียงของอูโกทางด้านงานวรรณกรรมในประเทศฝรั่งเศสมาจากงานกวีนิพนธ์และบทละคร ส่วนงานนวนิยายเป็นที่รู้จักรองลงมา ในบรรดางาน กวีนิพนธ์ของเขา คือLes Contemplations และ La Légende des siècles จัดเป็นงานที่โดดเด่นและถุกวิพากษ์วิจารณือย่างมาก บางครั้งอูโกได้รัยการกล่าวขวัญถึงในฐานะกวีผุ้ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศสขณะที่เขาเป็นที่รู้จักภายนอกประเทศจากผลงานนวนิยาย เรื่อง เหยือ่อธรรม
ตัวละคร
ฌอง วับฌอง นายมาดแลน อูลติม โฟชเลอวองต์ นายเลออล็อง, อูร์แบง ฟาบร์ หรือ 20601 เป็นตัวละครหลักของเรื่อง เขาต้องโทษฐานขโมยขนมปัง้ก้อนหนึ่ง แต่อีกสิบเก้าปีต่อมาก็พ้นโทษโดยมีทัณฑ์บน เขาไม่ได้รับการต้อนรับจากสังคมโดยหาวาเขาเคยเป็นนักโทษ บิชอบมีเรียล จึงเข้ามาอ้มขูเขา และชี้ทางสว่างในเขาดำเนินชีวิตใหม่อันสะอาดบริสุทธิ์กระทั่งเขาได้เป็นเจ้าของโรงงานและเป็นนายกเทศมนตรีตามลำดับ ต่อมาเขาได้รับบุตรสาวของฟองตีน นามว่า "โกแซต" ไว้เป็นบุตรบุญธรรมและอุปการะจนกระทั่งเธอเติบใหญ่ แต่ต้องการไม่ให้โกแซตรู้ถึงอดีตของเขา จึงตัดสินใจกันตนออกห่างทำให้เขาอ่อนแอลง และล้มป่วย แต่ท้ายสุดมริอุสและโกแซตก็มาเยี่ยม เขาจึงสิ้นใจที่นั่น
ฌาแวร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีบุคลิกภาพย้ำคิดยำ้ทำ และปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานสืบสวน เขาได้รับหน้าที่ให้ตามล่าตัวฌอง วัลฌองหลายครั้งหลายครา ครั้งหนึ่ง ฌอง วับฌองมีโอกาสสังหารเขาแต่ก็ปล่อยเขาไป ในครั้งต่อมาที่เจ้าหน้าที่ฌาแวร์เผชิญหน้ากับฌอง วัลฌอง เขารู้สึกว่าการกระทำความผิดของฌอง วัลฌองเป็นส่งิอันมิชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่อีกใจหนึ่งของเขากลับบอกว่าฌอง วัลฌอง มีบุญคุณต่อเขา ท้ยที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่ฌาแวร์ก็ตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรม โดยกระโดดลงแม่น้ำแซน เพื่อยุตความขัดแย้งในจิตใจ
บิชอบมีเรียล สัฆราชแห่งดีญ ผุ้มีจิตใจเมตตาอารี เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบิชอบในครั้งที่ได้เข้าเผ้าจักรพรรดินโปรเลียนที่ 1 โดยบังเอิญ บิชอบมีเรียลได้ชีทางสว่างให้ฌอง วัลฌอง ดำเนินชีวิตใหม่หลังจากที่ฌอง วัลฌอง เข้ามาขโมยเครื่องเงินและเชิงเทียนของเขา
ฟองดีน กรรมกรหญิงชาวปรรีสผุ้ถุกสามีคือ เฟล็กซ์ โตโลมีแย ทอดทิ้งให้อยู่กับทารกน้อยเพศหญิง นาม "โกแซต" ซึ่งเป็นบุตของทั้งสอง ฟองดีนนั้นได้ฝากบุตรสาวให้อยู่ในความดุแลของคู่สามีภรรยาเตนาร์ดีแยร์ซึ่งมีอาชีพเป็นผู้จัดการรเตี๊ยมในหมู่บ้านมงต์แฟร์ แมย โชคร้ายที่สามีภรรยาคู่นี้มักข่มเหงโกแซตและบังคับใช้แรงงานเยี่ยงทาส ระยะนั้นฟองดีนก็ได้งานทำที่โรงงานของนายมาดแลน และครั้งหนึงเธอซึ่งไม่รู้หนังสือวานให้คนช่วยเขียนจดหมายไปถึงคู่สามาีภรรยาเจ้าของ
โรงเตี๊ยมให้ ทำให้นายหญิงจับได้ว่าเธอให้กำเนิดบุตรทั้งที่ยังมิได้สมรสและไล่เธอออกจากงาน ซ้ำร้ายถุกเตนาร์ดิเยร์หลอกว่าโกแซตป่วยเป็นโรคไข้ผื่นคัน เพื่อให้ได้เงินมาช่วยลูกของตน ฟองดีนจึงขายเส้นผมและฟันหน้าของเธอ สุดท้ายแล้วก็ขายตัวเป็นหญิงโสเภณี ต่อมา ฌอง วัลบฌอง ทราบถึงชะตากรมอันรันทดของฟองตีนขณะที่เธอถูกเจ้าหน้าที่เาแวร์จับกุมตัวเพราะเข้าทำร้ายชายคนหนึ่งที่ร้องด่าเธอและทุ่มหิมะใส่หลังเธอ และก่อนที่ ฌอง วัลบฌอง จะสามารถนำโกแซตมาพบกับฟองตีน เธอก็หมดลมหายใจไปก่อนด้วยโรค ซึ่งคล้ายวัฒโรค
โกแซต, ยูฟราซี, เป็นบุตรสาวของฟงอตีนกับเฟล็กซ์ โตโลมีแย เมื่ออายุได้สามขวบมารดาฝากเธอไว้ในวามดุแลของคู่สามีภรรยาแห่งสกุลเตนาร์ดีเยร์ เธอถูกสามีภรรยาคุ่นี้เฆี่ยนและบังคับให้ใช้แรงงานอย่างหนักกระทั่งฌอง วัลฌอง เข้าช่วยเหลือเมื่อเธอมีอายุได้แปดปีโดยำนเงินมาไถ่ตัวโกแซตไปจากสามีภรรยาคู่นี้ และขณะที่จะนำเธอไปพบกับฟองตีนผุ้เป็นมารดานั้น ฟองตีนก็หมดลมหายใจลงก่อน ฌอง วัลฌอง จึงรับเธอไว้เป็นบุตรบุญธรรม โกแซตมีความรักกับมารียูส ปงต์แมร์ซีและสมรสกับเขาในตอนท้ายของเรื่อง...เป็นต้นhttps://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C_%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%81
นอกจากนี้ยังมีตัวละครตัวหลักอีกหลายตัวละคร และตัวและครตัวรอง อีกหลายตัวละครเช่นกัน หาอ่านฉบับสมบุรณ์กันได้ โดย "เลส์ มี -เซ-ราบลส์" เคยได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้วตั้แต่ปี พ.ศ.2503 ในชื่อ "เหยื่ออธรรม" แปลเพียง 2 ภาคจากทั้งหมด 5 ภาคและไม่สมบูรณ์
ต่อมาในปี 2545 สำนักพิมพ์ข้าวฟ่างได้จักให้มีการแปล ออกมาอีกครั้งในชื่อ "ตรวนชีวิต" ซึ่งเป็นเพียงฉบับย่อ
ปี พ.ศ. 2546 ได้มีการแปลชื่อภาษาไทยว่า "เหยื่ออธรรม" ฉบับสมบูรณ์ขึ้นมา โดย วิภาดา กิตติโกวิทhttps://web.facebook.com/notes/10150187153513139/
วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561
Lyrical Ballads (William Wordsworth)
Age of Enlightenment คือการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมของเหล่าปัญญาชนในยุโรปและอาณานิคมบนทวีปอเมริกา ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป้าหมายเพื่อปฏิรูปสังคมและส่งสเริมการใช้หลักเหตุผลมากกว่าการใช้หลักจารีต, คามเชื่อ และการเปิดเผยจากพระเจ้า รวมไปถึงส่งเสริมความรุทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง การเคลื่อนไหวยังสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความรู้หรือการใช้ปัญญา ต่อต้านความเชื่อทางไสยศาสตร์ โมหาคติ การชักนำให้ผิดเพี้ยนจากคริสตจักรและรัฐบาล
ยุคเรืองปัญญา
ยุคเรื่องปัญญาเร่ิมต้นขึ้นในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1650-1700 และถูกจุดประกายโดยเหล่าปัญญาชน เช่น บารุค สิโนซา จอห์น ล็อก ปิแยร์ เบย์ล, ไอแซก นิวตัน, วอลแต่ร์ นอกจานี้เจ้าผุ้ปกครองก็มักจะรับรองและคล้อยตามบุคคลสำคัญเหล่านี้จนในที่สุดก็รับเอาแนวคิดจากชนชั้นปัญญามาปรับใช้กับรัฐบาลของตน จึงมีการเรียกเจ้านายเหล่านี้ว่า ประมุขผู้ทรงภุมิธรรม การเรืองปัญญานี้อยู่จนกระทั่งช่วงปี ค.ศ. 1790-1800 เมื่อความสำคัญของเหตุผลุูกแทนที่ด้วยความสำคัญ
ของอารมณ์ความรู้สึกนแนวคิดแบบศิลปะจิตตนิยม ซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านการเรืองปัญญา
ศิลปะจิรตนิยม เร่ิมต้นขึ้นในช่วงหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในยุโรปตะวันตก เป็นการเปลี่ยนแปลงของแนวคิดทาง ปรัชญา วรรณกรรม และศิลปกรรม อันนำมาซึงการปฏิวัิตอุตสาหกรรมในยุโรป กำเนิดของศิลปะจิตตนิยมมีสวนมาจาการต่อต้านแนวคิดทงสังคแมละการเมืองแบเก่าของยุคเรื่องปัญญา รวมถึงปฏิกิริยาต่อต้านการศึกษาวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับธรรมชาติ โดยมากแนวคิดของศิลปะ ใน
ยุคนี้จะสะท้อนออกมาในงานศิลปะแบบภาพวาด ดนตรี และวรรณกรรม
วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ธ William Wordsworth เป็นกวีจินตนิยมชวอังกฤษผู้เริ่มยุคจิตนิยมของวรรณกรรมอังกฤษร่วมกับแซมมวล เทย์เลอร์ คอเลริดจ์ ในปี 1798 ด้วยงานตีพิมพ์ร่วม ชื่อ Lyrical Ballads งานที่ได้รับยกย่องว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของเวิร์ดThe Prelude บทกวีกึงอัตชีวประวัติในช่วงแรกในชีวิตของเขาซึ่งได้ผ่านการปรับปรุงแก้ไขและต่อเติมมาเป้นจำนวนหมายครั้ง ชื่อผลงานนี้ตั้งขึ้นในโอกาสทีตีพิมพ์หลังจากเขาเสียชีวิตแล้ว
สเวิร์ธ คือ
วิลเลียม เวิร์ดสเวอิร์ธ กวีแนวโรแมนติกผู้ยิ่งใหญ่ชาวอังกฤษ เข้าเรียนที่วิทยาลัยเซนต์จอห์น มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ระหว่างนั้นได้เข้าร่วมปฏิวัติฝรั่งเศส เมื่อเรียนจบเดินทงไปท่องเที่ยวฝรั่งเศสและอิตาลี ผลงานบทเล่มแรกคือ An Evening Walk และ Descriptive Sketches บทกวีของเขามักได้แรงบันดาลใจจากความงดงามของทิวทัศน์ในธรรมชาติ ผลงานบทกวีเรื่อง Lyrical Ballads ได้มส่วนในการสร้างกระแสโรแมนติก ซึ่งหลีกเลี่ยงรูปแบบกฎเกณฑืฉันทลักษณ์แบบเดิมๆ แต่เน้นแสดงความรู้สกภายในจองกวีออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ผลงานของเขาแสดงทัศนะต่อชีวิตในแนวจิตนิยม ซึ่งเชื่อในความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างธรรมชาติและจิตวิญญาณของมนุษย์
Lyrical Ballads คือการรวบรวมบทกวีโดย เวิเลียมเวิร์ดสเวิร์ธ และ ซามูเอลเทย์เลอร์โคลริดจ์ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1798 และเป็นจุดเร่ิมต้นของการเคลื่อนไหววรรณกรรมแนวโรแมนติก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงวงการวรรกรรม และบทกวีของอังกฤษ
บทกวีในฉบัยที่ 1798 เขียนขึ้นโดยเวิร์ดสเวิร์ด และ คอเลอริจ เป็นบทกวีเพียง สี่บทที่ได้รับความตอบรับและโด่งดังมากที่สุด
แซมมวล เทย์เลอร์ คอเลริดจ์ เป็นกวี นักวิจารณ์ และนักปรัชญาชาวอังกฟษ เป็นหนึ่งในผู้ริเร่ิมการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมของยุคโรแมนติกในประเทศอังกฤษ ร่วมกับสหายของเขาคือ วิลเลียม
เวิร์ดสเวิร์ธ เขามีชื่อสเียงเป็นทีุ่้จักในผลงานกวีนพนธ์ชุด บทกวีของกละาสีชรา..
แซมมวล เทย์เลอร์ คอเลริดจ์ เป็นกวี นักวิจารณ์ และนักปรัชญาชาวอังกฟษ เป็นหนึ่งในผู้ริเร่ิมการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมของยุคโรแมนติกในประเทศอังกฤษ ร่วมกับสหายของเขาคือ วิลเลียม
เวิร์ดสเวิร์ธ เขามีชื่อสเียงเป็นทีุ่้จักในผลงานกวีนพนธ์ชุด บทกวีของกละาสีชรา..
The Rime of the Ancient Mariner เป็นบทกวีที่สำคัญ กล่าวคือ ความมั่คงคั่งของกะลาสีเรือโบราณเกี่ยข้องกับประสบการณ์ของกะลาสีที่เดินทงกลับจากการเดินทางด้วยทะเลเป็นเวลานาน เรือเดินสมุทรซึ่งมีผุ้ที่กำลังจะไปพิธีแต่งงานอยู่บนเรือเดินสมุทรนั้น และเร่ิมเล่าเรืองปฏิกิริยาของแขกรับเชิญ ที่จะเปลี่ยนจากความสับสนวุ่นวายไปสู่ความไ่อดทนต่อความกลัว ผุ้เขยนใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง อาทิ การสร้างตัวตน การทำซ้ำเพื่อสร้างความรู้สึคกอันตราย ความเหนือธรรมชาิตหรือสันติสุข ซึ่งขึ้นอยู่กับอารมณ์ในส่วนต่างๆ ของบทกวีนั้น
เรื่องของกะลาสีเร่ิมต้นด้วยเรือของเขาที่ออกเดินทาง แม้จะมีความโชดดีในเริ่มต้นซึ่งแม้จะเจอเข้ากับพายุก็สามารถมาถึงน่าน้ำแอนตาร์กติด เมื่องฝูงนกอัลบาทรอปรากฎและน้ำทางเรือให้ออกจากธารน้ำแข็ง แต่ฝูงนกกับได้รับการตอบแทนด้วยการถูกยิง
I shot the albatross.
ลูกเรือโกรธกละาลสีเรือ เพราะเชื่อว่า ฝูงนกอัลบาทรอ จะนำลมไใต้ และพาพวกเขาออกจากแอตแลนติก แต่สถานะการณ์ดีขึ้นเมื่ออากาศร้อนและหมอกที่หายไปเปลี่ยนแปลงความคิดของลูกเรือ
'Twas right, said they, such birds to slay,
That bring the fog and mist.
ในไม่ช้าพวกเขาก็พบว่าการกระทำของพวกเขาเป็นความผิดพลาดร้ายแรง ทีสนับสนุนให้มีการยิ่งฝูงนกนั้น ความโกรธเกรียวของวิญญาณที่ติตามเรือ "จากแผนดินหมอกและหิมะ" ทำให้ลมใต้ซึ่งในตอนแรกพาพวกเขาออกจาดินแดนแห่งน้ำแข็ง กลับพาเรือเข้าสุ่น่าน้ำใกล้เส้นศุนย์สูตรซึ่งเป็นที่อับลม
Day after day, day after day,
We stuck, nor breath nor motion;
As idle as a painted ship
Upon a painted ocean.
Water, water, every where,
And all the boards did shrink;
Water, water, every where,
Nor any drop to drink.
The very deep did rot – Oh Christ!
That ever this should be.
Yea, slimy things did crawl with legs,
Upon the slimy sea.
We stuck, nor breath nor motion;
As idle as a painted ship
Upon a painted ocean.
Water, water, every where,
And all the boards did shrink;
Water, water, every where,
Nor any drop to drink.
The very deep did rot – Oh Christ!
That ever this should be.
Yea, slimy things did crawl with legs,
Upon the slimy sea.
ลูกเรือพากันตำหนิกะลาสีเรือ และสำหรับการลงโทษ ของการกระทำนี้ ด้วยความโกรธลูกเรือบังคับให้กะลาสีเรือ นำซากศพนกอัลบาทรอส มาแขวนที่คอ เพือตระหนักถึงสิ่งที่กระทำและเพื่อแสดงความเสียใจ...https://en.wikipedia.org/wiki/The_Rime_of_the_Ancient_Mariner
วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561
Printing (Johannes Gutenberg)
กระบวนการพิมพ์เร่ิมต้นับตั้งแต่ พณฯ ไซหลิน เสนาบดีเกษตรของจีนในสมัยแผ่นดินของจักรพรรดิ์
โฮวเต้ ได้นวัตกรรมกระดาษขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกเมื่อ พ.ศ. 648 ต่อมาชาวจีนได้คิดประดิษญ์หมึกจีนจากเขม่าและกาว ใน พ.ศ. 943 และได้สร้างตัวพิมพ์ไม้บล๊อคไม้แกะขึ้นใช้พิมพ์ โดยการทาตัวพิมพ์ไว้ด้วยหมึกน้ำ แล้วใช้กระดาษที่ทำขึ้นด้วยมือวางทับลงบนตัวพิมพ์ ใช้ลูกประคบถูหลังของกระดาษ หรือใช้แรงปัดและใชไ้ตะเกียบถู ซึ่งจัดเป็นวิธีการพิมพ์ที่ใช้ในยุคแรกเร่ิมเื่อราว พ.ศ. 1283 -1289
ต่อมาญี่ปุ่นซึ่งได้รับอารยธรรมและเทคโนโลยีในด้านภาษา อักษร และการทำกระดาษจากจีน โดยผ่านทางเกาหลี ได้สร้างวงล้อสำหรับใส่ตัวพิมพ์เรียงไว้ในขอบของวงล้อไม้ เมื่อถุด้วยหมึกน้ำล้วรีบนำไปกลิ้งนนกระดาษที่ทำขึ้นด้วยมื อและวง้อสำหรับใส่ตัวเรียงพิมพ์เพื่อนำไปกล้ิงพิมพ์ เมื่อเลิกใช้งานพิมพ์แล้วจะนำไปรวมตั้งซ้อนกันไว้บนฐานแลบะสวมยอดข้าบน ตั้งซ้อนแล้วก็จะมีรูปเป็นองค์ฺพระเจดีย์แบบญี่ปุ่นขนาดเล็กที่งดงาม ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า "เฮียกกึมันโต ดาละนิ" สร้างขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 1307-1313
ต่อมาชาวจีนชื่อ ไปเซง ได้คิดประดิษฐ์ตัวพิมพ์สำหรับใช้เรียงพิมพ์ โดยใช้ผงของหินชนิดหนึ่งผสมกับน้ำพอเหลว เทใส่แบบหล่อตัว
พิมพ์ เมื่อแห้งแล้วนำออกจากพิมพ์ไปเผาอบด้วยความร้อนจนแข็งแกร่ง สามารถนำไปใช้ในการพิมพ์ได้ ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 1584-1592
ต่อมาชาวเกาหลีได้คิดประดิษฐ์พิมพ์หล่อด้วยโลหะเจือทองแอง และดีบุกหรือบรอนซ์
กระทั้ง กเตนเบิร์ก ( ค.ศ. 1941-2011) ได้นวัตกรรมกระบวนการพิมพ์หนังสือ ขึ้นอย่างสมบูรณืครบวงจร โดยสร้างแม่แบบหล่อตัวอักษร ทำการหล่อตัวพิมพ์แบบหล่อด้วยมือ คืดประดิษฐ์โลหะสำหรับใช้หล่อตัวพิมพ์ด้วยตะกั่วเจือ คือประดิษฐ์หมึกพิมพ์ เกลียวกดพิมพ์ ด้วยไม้ เป็นเครื่องพิมพ์เครื่องแรกของโลก..http://library.dip.go.th/multim/edoc/01839.pdf
Johannes Gutenberg โยฮันส์ กูเตนเบิร์ก เป็นที่ยอมรับว่าเป็น บิดาแห่งการพิมพืขจองโลก และเป็นผู้คิตคค้น การเรียงพิมพ์ การพิมพ์ระบบเลตเตอร์เพราะ (กดพิมพ์) ซึ่งเป็นรากฐานการพิมพ์ระบบเฟลกโซกราฟี ในเวลาต่อมาอีกด้วย
กูเทนเบิร์ก เป็นชาวเยรอมัน เป็นช่างตีเหล็ก ช่างทอง ช่าวเครื่องพิมพ์ และมีสำนักพิมพ์ เป็นผุบุกเบิกการพิมพ์ในยุโรป ด้วยการกดพิมพ์ การพิมพ์แพบบกลไก ด้วยวิธีการเรียงอังกษ เปนระบบ โดยเครือ่งพิมพ์สามารถเคลบื่อนย้ายได้ ทำให้เกิดการปฏิวัติการพิมพ์ขึ้นใยุโรป และได้รับการยอย่องว่ามเป็นก้าวใหม่แห่งสหัสวรรษที่2 นำประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเข้าสู่สมัยใหม่ ซึ่งมีบทบามสำคัญในการพัฒนาในสมัยฟื้นฟู้ศิลปวิทยาในยุโรป และการปฏิรูปในยุคเรื่องปัญญา และปฏิวัติทางวิทาศาสตร์ และวางพื้นฐาน ในเศรษฐกิจฐานความรู้ และการแพร่กระจายของการเรียนรู้เพื่อมวลชน
กูเทนเบิร์ก เป็นคนยุโรปคนแรกที่สามารถประดิษฐ์เครื่องพิมพ์แบบเคลื่อนย้ายได้ ใน ค.ศ. 1439 เขา ทำการประดิษฐญ์กระบวนการผลิตแแบบเคลื่อนย้ายได้ การใช้หมึกนำ้มันสำหรับพิมพ์หนังสือ แม่ประดิษฐ์แม่พิมพ์ที่ปรับได้ โดยเคลื่อนย้ายด้วยกลไก และการใช้ไม่กดพิมพ์ คล้ายกับการเกษตรที่เรียกว่าเครื่องรีดสกรู เข้าได้รวบรวมองค์ประกอบต่างเข้าลงในระบบปฏิบัติที่สามารถใช้ในการพิมพ์หนังสือพิมพ์ ซึ่งประหยัดค่าใช้จ่าย กว่าวิธีเดิม
ในสมัยฟื้นฟูศิปลวิทยาการ การพิมพ์ของกูเทนเบิร์กได้ทำให้ยุคของการสื่อสารมวลชนเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และรวมถึงโครงสร้างของสังคมด้วย การไหลเวียนของข้อมูลที่ไ่จำกัด รวมถึงแนวความคิดในการปฏิวัติ ข้ามพรมแดน การปฏิรูป อนาจาทางการเมืองและศาสนา เพิ่มมากขึ้นเมื่องคนเร่ิมอ่านออกเขียนได้ การเรียรู้ การศึกษา และการหมุนเวียนข้อข้อมูลทำให้เกิดชนชั้นกลาง ขึ้นทั่วยุโรป ซ฿่งเป็นการเ่พมิความตระกนักในวัฒนธรรมของตน ทำให้เกิดชาตินิยม
ครื่องกดแบบโรตารีแบบขับเคลื่อนด้วยมือ แบบใช้มือ ของ กูเทนเบิร์กได้รับอนุญาตให้ใช้ในการพิมพืในระดับอุตสาหกรรม จึงทำให้การพิมพ์แบบตะวันตกถูกนำไปใช้ทั่วโลก กลายเป็นเครื่องมื่อที่ใช้ในการพิมพ์ที่ทันสมัย เทคโนโลยีการพิมพ์ของกูเทินเบิร์ก แพร่หลายไปทั่วยุโรปและทั่วโลกhttps://en.wikipedia.org/wiki/Johannes_Gutenberg
โฮวเต้ ได้นวัตกรรมกระดาษขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกเมื่อ พ.ศ. 648 ต่อมาชาวจีนได้คิดประดิษญ์หมึกจีนจากเขม่าและกาว ใน พ.ศ. 943 และได้สร้างตัวพิมพ์ไม้บล๊อคไม้แกะขึ้นใช้พิมพ์ โดยการทาตัวพิมพ์ไว้ด้วยหมึกน้ำ แล้วใช้กระดาษที่ทำขึ้นด้วยมือวางทับลงบนตัวพิมพ์ ใช้ลูกประคบถูหลังของกระดาษ หรือใช้แรงปัดและใชไ้ตะเกียบถู ซึ่งจัดเป็นวิธีการพิมพ์ที่ใช้ในยุคแรกเร่ิมเื่อราว พ.ศ. 1283 -1289
ต่อมาญี่ปุ่นซึ่งได้รับอารยธรรมและเทคโนโลยีในด้านภาษา อักษร และการทำกระดาษจากจีน โดยผ่านทางเกาหลี ได้สร้างวงล้อสำหรับใส่ตัวพิมพ์เรียงไว้ในขอบของวงล้อไม้ เมื่อถุด้วยหมึกน้ำล้วรีบนำไปกลิ้งนนกระดาษที่ทำขึ้นด้วยมื อและวง้อสำหรับใส่ตัวเรียงพิมพ์เพื่อนำไปกล้ิงพิมพ์ เมื่อเลิกใช้งานพิมพ์แล้วจะนำไปรวมตั้งซ้อนกันไว้บนฐานแลบะสวมยอดข้าบน ตั้งซ้อนแล้วก็จะมีรูปเป็นองค์ฺพระเจดีย์แบบญี่ปุ่นขนาดเล็กที่งดงาม ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า "เฮียกกึมันโต ดาละนิ" สร้างขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 1307-1313
ต่อมาชาวจีนชื่อ ไปเซง ได้คิดประดิษฐ์ตัวพิมพ์สำหรับใช้เรียงพิมพ์ โดยใช้ผงของหินชนิดหนึ่งผสมกับน้ำพอเหลว เทใส่แบบหล่อตัว
พิมพ์ เมื่อแห้งแล้วนำออกจากพิมพ์ไปเผาอบด้วยความร้อนจนแข็งแกร่ง สามารถนำไปใช้ในการพิมพ์ได้ ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 1584-1592
ต่อมาชาวเกาหลีได้คิดประดิษฐ์พิมพ์หล่อด้วยโลหะเจือทองแอง และดีบุกหรือบรอนซ์
กระทั้ง กเตนเบิร์ก ( ค.ศ. 1941-2011) ได้นวัตกรรมกระบวนการพิมพ์หนังสือ ขึ้นอย่างสมบูรณืครบวงจร โดยสร้างแม่แบบหล่อตัวอักษร ทำการหล่อตัวพิมพ์แบบหล่อด้วยมือ คืดประดิษฐ์โลหะสำหรับใช้หล่อตัวพิมพ์ด้วยตะกั่วเจือ คือประดิษฐ์หมึกพิมพ์ เกลียวกดพิมพ์ ด้วยไม้ เป็นเครื่องพิมพ์เครื่องแรกของโลก..http://library.dip.go.th/multim/edoc/01839.pdf
Johannes Gutenberg โยฮันส์ กูเตนเบิร์ก เป็นที่ยอมรับว่าเป็น บิดาแห่งการพิมพืขจองโลก และเป็นผู้คิตคค้น การเรียงพิมพ์ การพิมพ์ระบบเลตเตอร์เพราะ (กดพิมพ์) ซึ่งเป็นรากฐานการพิมพ์ระบบเฟลกโซกราฟี ในเวลาต่อมาอีกด้วย
กูเทนเบิร์ก เป็นชาวเยรอมัน เป็นช่างตีเหล็ก ช่างทอง ช่าวเครื่องพิมพ์ และมีสำนักพิมพ์ เป็นผุบุกเบิกการพิมพ์ในยุโรป ด้วยการกดพิมพ์ การพิมพ์แพบบกลไก ด้วยวิธีการเรียงอังกษ เปนระบบ โดยเครือ่งพิมพ์สามารถเคลบื่อนย้ายได้ ทำให้เกิดการปฏิวัติการพิมพ์ขึ้นใยุโรป และได้รับการยอย่องว่ามเป็นก้าวใหม่แห่งสหัสวรรษที่2 นำประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเข้าสู่สมัยใหม่ ซึ่งมีบทบามสำคัญในการพัฒนาในสมัยฟื้นฟู้ศิลปวิทยาในยุโรป และการปฏิรูปในยุคเรื่องปัญญา และปฏิวัติทางวิทาศาสตร์ และวางพื้นฐาน ในเศรษฐกิจฐานความรู้ และการแพร่กระจายของการเรียนรู้เพื่อมวลชน
กูเทนเบิร์ก เป็นคนยุโรปคนแรกที่สามารถประดิษฐ์เครื่องพิมพ์แบบเคลื่อนย้ายได้ ใน ค.ศ. 1439 เขา ทำการประดิษฐญ์กระบวนการผลิตแแบบเคลื่อนย้ายได้ การใช้หมึกนำ้มันสำหรับพิมพ์หนังสือ แม่ประดิษฐ์แม่พิมพ์ที่ปรับได้ โดยเคลื่อนย้ายด้วยกลไก และการใช้ไม่กดพิมพ์ คล้ายกับการเกษตรที่เรียกว่าเครื่องรีดสกรู เข้าได้รวบรวมองค์ประกอบต่างเข้าลงในระบบปฏิบัติที่สามารถใช้ในการพิมพ์หนังสือพิมพ์ ซึ่งประหยัดค่าใช้จ่าย กว่าวิธีเดิม
ในสมัยฟื้นฟูศิปลวิทยาการ การพิมพ์ของกูเทนเบิร์กได้ทำให้ยุคของการสื่อสารมวลชนเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และรวมถึงโครงสร้างของสังคมด้วย การไหลเวียนของข้อมูลที่ไ่จำกัด รวมถึงแนวความคิดในการปฏิวัติ ข้ามพรมแดน การปฏิรูป อนาจาทางการเมืองและศาสนา เพิ่มมากขึ้นเมื่องคนเร่ิมอ่านออกเขียนได้ การเรียรู้ การศึกษา และการหมุนเวียนข้อข้อมูลทำให้เกิดชนชั้นกลาง ขึ้นทั่วยุโรป ซ฿่งเป็นการเ่พมิความตระกนักในวัฒนธรรมของตน ทำให้เกิดชาตินิยม
ครื่องกดแบบโรตารีแบบขับเคลื่อนด้วยมือ แบบใช้มือ ของ กูเทนเบิร์กได้รับอนุญาตให้ใช้ในการพิมพืในระดับอุตสาหกรรม จึงทำให้การพิมพ์แบบตะวันตกถูกนำไปใช้ทั่วโลก กลายเป็นเครื่องมื่อที่ใช้ในการพิมพ์ที่ทันสมัย เทคโนโลยีการพิมพ์ของกูเทินเบิร์ก แพร่หลายไปทั่วยุโรปและทั่วโลกhttps://en.wikipedia.org/wiki/Johannes_Gutenberg
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...