"ลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่" ในบริบททางประวัติศาสตร์ ลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่แสดงถึงช่วงเวลาของการขยายอาณานิคมดดยมหาอำนาจนุดรป สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นการแสวงหาดินแดนในต่างประเทศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในเวลานั้นรัฐต่างๆ มุ่งความสนใจไปที่การสร้างอาณาจักรของตนด้วยความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยีใหม่ๆ การขยายอาณาเขตของตผ่านการพิชิตและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของประเทศที่ถุกยึดครองในช่วงยุคของลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่ หมาอำนาจของยุดรป (และญี่ปุ่น) ได้เขายึดครองแอฟริกาและบบางส่วนของเอเซีย คลื่นลูกใหม่ของจักรวรรดินิยมสะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันอย่างต่อเนื่องระหว่างมหาอำนาจความต้องการทางเศรษฐกิจสำหรัฐทรัพยากรและตลาดใหม่ และหลักปฏิบัติ "ภารกิจแห่งอารยธรรม" อาณานิคมหลายแห่งที่ก่อตั้งขึ้นในยุคนี้ได้รับเอกราชในยุคของการปลดปล่อยอาณานิคม หลังสงครามโลกครั้งที่สอ
ซึ่งสร้างผลกระทบทางเศราฐกิจและสังคม กล่าวคือ ในขณะที่ลัทะิดาร์วินนิยมทางสังคมได้รัีบความนิยมทั่วยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกา แต่"ภารกิจแห่งอารยธรรม"และโปรตุเกส ได้อุทธรณืต่อรัฐบุรุษชาวยุโรปจำนวนมากทั้งในและนอกฝรั่งเศสแม้จะมีควาเมตตากปรากฏอยุ่ในแนวความคิดรือ่ง "ภาะของคนขาว" แต่ผลที่ตามมาดดยไม่ได้ตั้งใจของลัทธิจักวรรดินิยมก็อาจมีมากกว่าผลประดยชน์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างมาก รัฐบาลเร่ิมมีความเป็นเข้มงวดมากขึ้น และละเลยเสรีภาพส่วนบุคคลของพลเมืองของตน การใช้จ่ายทางทหารขยายตัว ซึ่งมักจะนำไปสู่การ "แผ่ขยายอำนาจของจักวรรดินิยม" และจักรรวรรดินิยมได้สร้างชนชั้นที่ปกครองในต่างประเทศที่โหดร้ายและทุจริต รวบรวมอำนาจผ่านค่าเชาของจักรวรรดิและขัดขวางการเลปี่ยนแปลงทางสังคมและการพัฒนาเศราฐกิจที่ขัดกันควาททะเยิทะยานของพวกเขา นอกจากนี้ "การสร้างชาติ" มักสร้างความรู้สึกทางวัฒนาธรรมของการเหยียดเชื้่อชาติและความหวาดกลัวชาวต่างชาติ
ชนชั้นสูงที่สำคัญขงอยุโรปจำนวนมากยังพบข้อได้เปรียบในการขยายธุรกิจแย่างเป็นทางการในต่างประเทศ เช่น การผูกขาดทางการเงินและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ต้องการการสรับสนุนจากจักวรรดิเพื่อปกป้องการลงทุนในต่างประเทสจาการแข่งขันและความตึงเครียดทางกาเมืองในต่างประเทศ ข้าราชการแสวงหาตำแหน่งราชการเจ้าหน้าท่ี่ทหารต้องการการเลื่อนตำแหน่งชนชั้นสูงที่ยึดครองดินแดนแสวหาผลกำไรเพื่อมขึ้นจารกการลงทุน ตำแหน่งที่เป็นทางการ และตำแหน่งที่สูงขึ้น ผลประดยชน์พิเศษดังกล่าวได้สานต่อการสร้างอาณาจักตลอดประวัติศสาสตร์การบังคับใช้ นดยบาย การค้าขายมีบทบาทในการดำรงไว้ซึ่ลัทธิจักวรรดินิยมใหม่ อาณานิคมที่ถูกจำกัดนี้ให้ทำการค้าเฉพาะกับเมืองหญ่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ซึ่งเสริมาร้างความเข้มแข็งให้กับเศราฐกิจของประเทศบ้านเกิด ในตอนแรกผ่านบริษัทจดทะเบียน ที่เติบโต และต่อมาผ่านรัฐจักรวรรดินิยม ลัทะิจักรวรรดินิยมใหม่เปลี่ยนไปสูก่การใช้การค้าเสรีการลดข้อจำกัดด้านคลาดและภาษีและการบัคงคับตลาดต่างประเทศให้เปิดขึ้น บ่อยครั้งผ่านทางการทูตแบบเรือปืน หรือการแทรกแซง ร่วมกัน เช่น เป็นการกระทำของตำรวจ
เอเซียใต้ อังกฤษควบคุมอนุทวีปอินเดียส่วนใหญ่ และเร่ิมบังคับใช้ความคิดและแนวทางของตนกับผุ้อยู่อาศัยรวมถึงกฎหมรยสืบทอดต่างๆ ที่อนุญาตให้อังกฤษเข้ายึคดครองรัฐโดยไม่มีผู้สืบทอด แะได้รับที่ดินและกองทัพ ภาษีใหม่ และการผูกขาด การควบคุมอุตสาหกรรม อังกฤษยังร่วมมือกับเจ้าหนั้าที่อินเดียเพื่อเพิ่มอิทธิพลในภูมิภาคนี้
เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจาควบคุมอินเดียส่วนใหญ่แล้ว อังกฤษก็ขยายออกไปสู่พม่า มาลายา
สิงคโปร์ และบอร์เนยว อาณานิคมเหล่านี้กลายเป็นแหล่งการต้าแะวัตถุดับเพ่มเติมสำหรับสินคาของอังกฤษ ฝรั่งเศส ผลวกเวียดนาม และกัมพูชาทั้งหมดในทศวรรษที่ 1880 ในทศวรรษถัดมา ฝรั่งเศสสร้างจักรวรรดิน อินโด-จีน โดยการผนวกลาว โดยแบ่งออกมาจากอาณาจักรสยาม(ปัจจุบันคือ ประทเศไทย) อาณาจักรสยามอยู่ในฐานะกันชน ระหวางดินแดนของอังกฤษและฝรังเศส สหรัฐฯ อ้างสิทธิใน ฟิลิปินส์ และหลังสงครามสเปน-อเมริกาก็ได้เข้าควบคุมหมู่เกาะนี้ในฐานะหนึ่งการครอบครองโพ้นทะเล อินโดนีเซีย การตั้งอาณานิคมอย่างเป็นทางการของหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์ (ปัจจุบันึืออิรโดรนีเซีย) เร่ิมต้นช่วงต้นของศตวรรษที่ 19 เมื่อรัฐดัตช์เข้าครอบครองทรัพย์สินของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ ทั้งหมด ก่อนหน้านั้นโดยหลัการแล้ว พ่อค้าของบริษัทอินเดียตวะวันออกของดัตช์ เป็นเพียงอำนาจทางการต้าอีกแห่งหนึ่งในบรรดาหลายๆ แห่งโดยตั้งด่านการค้าและการตั้งถ่ินฐาน (อาณานิคม) ในสถานที่เชิงกลยุทธ์รอบๆ หมู่เกาะ ประชากรพื้นเมืองจำนวนมากถูกควบคุมโดยการจัดการทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพของการปกครองทางอ้อม ชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอยุ่ยังคงอยู กลยุทธ์ที่ถูกกำหนดขึ้น ทำหน้าที่เป็นรัฐกึ่งอธิปไตยอย่างเป็นอิสระภายในรัฐดัตช์ โดยใช้ ประชากร อินโดยูเรเซียนเป็นตัวกลางกันชน
มีผู้บรรยายถึงโครงสร้างการปกครองอาณานิคมในหนังสือของเขา "หมู่เกาะมลายู" ว่า "รูปแบบการปกครองที่นำมาใช้ในชวาคือการรักษาผุ้ปกครองพื้นเมืองทั้งชุดตังแต่หัวหน้าหมุ่บ้านไปจนถึงเจ้าชาย ซึ่งภายใต้ชื่อผุ้สำเร็จาชการแทนพระเง๕์ เป็นหัวหน้าเขตที่มีขนาดพือๆ กับเทศมนตฑลเ็กๆ ในอังกฤษ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่ละคน ถือเป็น"พี่ชาย" และ "คำสั่ง" อยุ่ในรุป "คำแนะนำ" ซึ่งปฏิบัติตามโดยปริยาย "ผู้ช่วย" เป็นผุ้ควบคุม ซึ่งเป็นารวัตรของผุ้ปกครองท้องถ่ินระดับล่างทั้งหมด ซึ่งจะเปเยี่ยมทุกหมู่บ้านในเขตนั้นเป็นระยะๆ ตรวจสอบการพิจารณาคดีของศาลท้องถ่ิน รับฟังคำร้องทุกข์.."
เอเซียตะวันออก ประเทศจีน ในปี 1839 จีนพบว่าตนเองต่อสู้กับสงครามฝ่ินครั้งแรกกับบิรเตนใหญ หลังจากผุ้นำวาการรัฐหูหนานและหู เป่ยยึดการค้าฝิ่นอย่างผิดกฎหมาย จีนพ่ายแพ้ และในปี 1942 ได้ตกลงตามบทบัญญัติของสนธิสัญญานานกิงเกาะฮ่องกลถูกยกให้กับอังกฤษ และท่ทาเรือขางแห่งรวมถึงเชี่ยงไฮ้และกว่างโจวเป้นให้ทำการค้าและให้ชาวอังกฤษเข้าอยู่อาศัย ในปี 1856 สงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ปะทุอีกครั้ง จีนพ่ายแพ้อีกครั้งและุถูกบังคับให้ปฏิบัติตามเลื่อนไขของสนธิสัญญาเทียนสิน ปี 1858 และอนุสัญญาปักกิ่ง ปี 1860 สนธิสัญญาเปิดท่าเรือใหม่เพื่อการค้าและอนุญาตให้ชาาวต่างชาติเดินทางเข้ามาภายในประเทศได้ มิชชันนารีได้รัีบสิทธิในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งในการรุกของชาติตะวันตก สหรัฐอเมริกาและรัศเวียได้รับสิทธิพิเศษเดียวกันในสนธิสัญญาที่แยกกัน
ในช่วงปลาย ศตวรรษที่ 19 จีนตกอยู่บนเส้นทางการแบ่งแยกดินแดนและการเป็นข้าราชบริพารทางเศราฐกิจ ซึ่งเป็นชะตากรรมที่อินเดียเจอมาก่อน บทบัญญัติหลายข้อของสนธิสัญญาเหล่านี้ก่อให้เกิดความขมขื่นและความอัปยศอดสูยาวนานในหมู่ชาวจีน ควาเป็นนอกอาณาเขต "ในข้อพิพาทกับชาวจีน ชาวตะวันตกมีสิทธิที่จะถูกพิจารณาคดีในศาลภายใต้กฎหมายของประเทศของเขาเอง) กฎระเบียบทางศุลกากร และสิทธิในการประจำการเรือรบต่างชาติในนานน้ำจีน...
เอเซียกลาง เป็นการแข่งขันเชิงกลยุทธเศรษฐกิจ และการเมืองซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งระวางจักวรรดิอังกฤษ และจักวรรดิรัสเวียเพื่อชิงอำนาจสูงสุดในเอเช๊ยกลางโดยท่วไปช่วงเวลแแห่งการแข่งขันที่ดุเดอืนนั้นเร่ิมตั้งแต่ "สนธิสัญญารัสเซย-เปอร์เซียปี 1813" - "อนุสัญญาแองโกล-รัสเวียปี 1907"ซึ่งประเทศต่างๆ เช่น เอมิเรตแห่งบูคาราล่มสลาย และช่วงที่เข้มข้นรองลงมาคื อหลังการปกิยวัติ "บอลเชวิคในปี 1917ทำให้เกิดปญหากับเปอร์เซียนและอัฟกานิสถานจนถึงกลายทศวรรษที่ 1920
ในช่วงหลังสงครามดลกครั้งที่ 2 หลังอาณานิคม คำนี้ยังคงใช้อย่างไม่เป็นทางการต่อการให้การอธิบาย "กลไกทางภูมิรัฐศาสตร์ของมหาอำนาจและมหาอำนาจระดับภูมิภาค ในการแย่งชิง อำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์" ตลอดจนอิทะิพลในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอัฟกานิสถานและ อิหร่าน(เปอร์เซีย)
แอฟริกา ระหว่างปี 1850- 1914 อังกฤษควบคุมประชากรแอฟริกาได้เกือบ 30% แบ่งเป็นฝใรั่งเศส 15% เยอรมนี 9% เบลเยียม 7% และอิตาลี 1% ไนจีเรียเพียงประเทศเดียวที่มีส่วนสนับสนุนประชากร 15 ล้านคน.oอังกฤษ ซึ่งมากกว่าประชากรในแอฟริกาตะวันตกของฝรั่งเศสทั้งหมด หรือจักรวรรดิอาณานิคมเยอรมนีทั้งหมด มีเพียง ไลบีเรียและเอธิโอเปียเท่านั้น ที่ไม่ถูกควบคุมโดยยุโรปในปี 1914
หลังจากสมัยอาณานิคมใหม่ ได้มีการปลดปล่อยประเทศตางๆ ซึ่งก่ิให้เกิดปัญหาทางด้านภูมิรัฐศาสาสตร์กระทั่งปัจจุบันอาทิ
เอเซียใต้ แม้ในช่วงเวลาดังกลาวจักรวรรดิอังกฤษจะนำควมเจริมาสู่อนุทวีป เป็นอันมาก การใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ การยกเลิกพิธีทางสังคมที่ส่งผลกระทบต่อสทิธิมนุษยชน การปรับปรุงโครงสาร้างขึ้นพื้นฐาน การยกระดับเส้นทางคมนาคมขนส่งดดยเฉพาะทางราง ฯลฯ แต่ก็ผูกขาดทางการค้าและเศรษฐกิจ การเอารัดเอาเปรียบและการใช้ความรุนแรง การไ่เคารพในวัฒนธรรมและความเชื่อท้องถ่ิน ฯลฯ ด้วยความต้องการเป็นเอกราชของอนุทวีปทำห้อังกษจำใจต้องหให้อิสราภาพให้กับอนุทวีปแห่งนี้ แต่ในขณะเดียวกันเอเชียใต้ก้ไม่สามารถกลับไปเป็นรฐแบบโบราณ เช่นเดิม การจากไปของอังกฤษ และการสิ้นสุดของยุคอาณานิคมในปี 1947 ทำให้อนุทวีปแบ่งออกเป้นหลายรัฐชาติ การเกิดขึั่้นของรัฐชาติต่างๆ ในเอเชียใต้ คือผลพวงของความไม่ลงรอยระหว่างชนชั้นนำแห่งอนุทวีปในขณะที่กลุ่มคองเกราสแหงอินเดีย นำโดย มหาตมะ คานธี และ ยาวะหะราล เนห์รู ประสงค์อยากให้ "อินเดีย" เป็นรัฐโลกวิสัย ที่ไม่นำศาสนาเข้ามาเกี่ยวพ้นกับการเมือง แต่ในขณะเีดยวกันสันนิบาตมุสลิมแห่งอินเดีย นำโดย จินนาห์ อาลี เรียกร้องให้เกิด "ปากีสถาน" เพื่อจัดการปกครองให้เกิดความยุติธรรมสำหรัฐประชากรมุสลิม ข้อขัดแย้งดังกล่าวทำให้อังกฤษตัดสินใจให้เอกราชแก่อินเดียและปากีสถานในปี 1947 การแบ่งประเทศ เช่นนี้ จึงได้สร้างบาดแผลให้กับผุคนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เช่นเดียวกับตะวันออกกลาง...( การแบ่งปาเลสไตน์
https://draft.blogger.com/blog/post/edit/57583117367728393/7966507224509500787?hl=th)
ที่มา : วิกิพีเดีย
https://waymagazine.org/the-conflict-of-southern-asia/