มติจะำเนินไปอย่างไรและผลการลงคะแนนเสียงจะเป็นอย่างไร ระบบการเลือกต้้งสใช้ในทางการเมืองเพื่อเลือกรัฐบาล ในขณะที่การเลือกตั้งที่ไม่ใช่ทางการเมืองอาจเกิดขึ้ในะุรกิจองค์กรไม่แสวงหากำไรและองคกรทีไม่เป็นทางการกฎเหล่านี้ควบคุมทุ่กแง่มุมของกระบวนการลงคะแนนเสียง และปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ ระบบการเลือกตั้งากงารเมืองถุกกำหนดโดยรัฐะรรมนูญและกฎมหายการเลือกตั้ง โดยทั่วไปดำินินการโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และสามารถใช้การเลือตตั้งประเภทต่างสำไรับตำแหน่งต่างๆ ได้
ระบบเลือกตั้งบางะรบบจะเลือกผุ้ชนะเพียงคนเดียวให้ดำรงตำแหน่งพิเศษ เช่น นายกรัฐมนตรี ประานาธิบดี หรือผุ้ว่าการรัฐ ในขณะที่ระบบอื่น จะเลือกผุ้ชนะหลายคน เช่น สมาชิกรัฐสภาหรือคณะกรรมการบริหาร เมืองเลิกสภาพนิติบัญญัติพื้นที่อาจถุกแบ่งออกป็นเขตเลือกตั้งทีมีตัวแทนหนึ่งคนหรือมากกว่านั้น หรือผุ้มีสิทธิเลือกตั้งอาเลือกตัวแทนเป็นหน่วยเดียว ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งอาจลงคะแนนโดยตรงให้กับผุ้สมัครแต่ละคนหรือให้กับรายชื่อผุ้สมัครที่พรรคการเมืองหรือพันธมิตรเสนอชื่อระบบการเลือกตั้งมีหลายรูปแบบโดยรูปแบบที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ ระบบการเป็นตัวแทนตามสัดส่วนแบบบัญชีรายชือพรรค การลงคะแนนเสียงแบบ คะแนนเสียงข้างมาก การลงคะแนนเสยง แบบสองรอบ(การลงคะแนนเสียงรอบสุดท้ายป และการลงคะแนนเสียงแบบจัดอันดับ(STV หรือการลงคะแนนเสียงรอบสุดท้ายทันจที) ระบบแบบผสมและระบการเลือกตั้งอื่นๆ พยายามที่จะรวมข้อดีของระบบที่ไม่เป็นสัดส่วนและระบบตามสัดส่วนเข้าด้วยกัน
สหรัฐอเมริการมีระบบการปกครองแบบประธานาธิบดี ซึ่งหมายคึวามว่าฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญัติได้รับการเลือกตั้งแกจากกัน มาตรา II ของรัฐธรมนูญสหรัญฯกำหนให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยคณะผ้เลือกต้องเกิดขึ้นในวันเดียวกันทั่วทั้งประเทศมาตรา I กำหนดว่าการเลือกตึ้งตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาสามารถจัดขึ้นในเวลาต่างกันได้การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาและประธานาธิบดีจะจัดขึันพร้อมกันทุกๆ สี่ปี และการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาระหว่างนั้นซึ่งจัดขึ้นทุกๆ สองปี เรียกว่าการเลือกตั้งกลางเทอม
รัฐธรรมนูญระบุว่าสมาชิกสภาผุ้แทรราษำรของสหรัฐอเมริกาต้องมีอายุอย่างน้อย 25 ปี เป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกามาแล้วอย่างน้อย 7 ปี และเป็นอยุ่อาศัย(ถูกกฎหมาย) ในรัฐที่ตนเป็นตัวแทนวุฒิสมาชิกต้องมีอายุอย่างน้อย 30 ปี เป็นพลเมืองของสหรัฐที่ตนเป็นตัวแทน ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีต้องมีอายุอยางน้อย 35 ปี เป็นพลเมืองโดยกำเนิดของสหรัฐอเมริกา และเป็นผุ้อยุ่อาศัยในสหรัฐอเมริกามา
แล้ว14 ปี เป็นความรับผิดชอบของสภานิติบัญญัติของรัฐในการควบคุมคุณสมบัติของผุ้สมัครที่ปรากฎบนบัตรลงคะแนน แม้ว่าเพื่อที่จะได้ลงบัตรลงคะแนน ผุ้สมัครมักจะต้องรวบรวมลายเซ็นให้ได้จำนวนที่กำหนดตามกฎหมายหรือปฏิบัติตามข้อกำหนดเฉพาะของรัฐอื่นๆ
การเลือกตั้งประธานาธิบดี
ประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีได้รับเลือกพร้อมกันในการเลือกตั้งประธานาะิบดีเป้นการเลือกตั้งทางอ้อม โดยผุ้ชนะจะถูกกำหนดโดยคะแนนเสียงที่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งจากคณะผุ้เลือกตั้งมอบให้ ในยุคปัจจุบัน ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละรัฐจะเลือกกลุ่มผุ้มีสิทะิเลือกตั้งจากรายชื่อกลุ่มผุ้มีสิทธิเลือกตั้งหลายกลุ่มที่กำหนดดดยพรรคการเมืองหรือผุ้สมัครที่แตกต่างกัน และผุ้มีสิทธิเลือกตั้งมักจะสัญญาล่วงหน้าวาจะลงคะแนนเสียงให้กับผุ้สมัครของพรรคของตน (ซึ่งโดยปกติชื่อของผุ้สมัครชิงตำแหน่งประถธานาธิบดีจะปรากฎบนบัตรลงคะแนนมากกวา่ชื่อผุ้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคน) ผุ้ชนะการเลือกตั้งคือผุ้สมัครที่มีคะแนนเสียงคณะผุ้เลือกต้งอยางน้อย 270 คะแนน ผุ้สมัครอาจชนะคะแนนเสียงเลือกตั้งและแพ้คะแนนนิยม(ทั่วประเทศ) (ได้รับคะแนนเสียงน้อยกวาผุ้สมัครอันดับสองทั่วประเทศ) เหตุการณืนี้เกิดขึ้น ห้าครั้งในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะมีการให้สัตยาบัน (การแก้ไขเพ่ิมเติมครั้งที่ 12 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ) ผู้ที่ได้ตำแหน่งรองประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปรธานาธิบดี ได้กลายมาเป็นรองประธานาธิบดี
คะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้งจะมาจากแต่ละรัฐโดยกลุ่มผุ้เลือกตัง ดดยผุ้เลือกตั้งแต่ละคนจะลงะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้งหนึ่งเสียง จนกระทั่งมีการแก้ไขเพื่มเติมรัฐะรรมนูญสหรัฐฯครั้งที่ 23 พลเมืองจากเขาโคลัมเบียไม่มีตัวแทนและ/หรือผุ้เลือกตั้งในคณะผุ้เลือกตั้ง ในยุคปัจจุบัน ผุ้เลือกต้งมักจะมุ่งเน้นที่จะลงคะแนนเสียงให้กับผุ้สมัครจากพรรคการเมืองล่วงหน้า ผุ้เลือกตั้งที่ลงคะแนนเสียงไม่เห็นด้วยกับคะแนนนิยมในรัฐของตนจะถูกเรียกว่าผุ้เลือกตั้งที่ไม่ซื่อสัตย์และเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นน้อยมาก กฎหมายของรับควบคุมวิะีที่รัฐต่างๆ ลงคะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้ง ใสนรัฐทั้งหมดยกเว้นเมนและเนเบรสกา ผุ้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดในรัฐจะไดรับคะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้งทั้งหมาด(ระบบ"ผู้ชนะได้ทั้งหมด") ตั้งแตปี 1972 ในรัฐเมน และตั้งแต่ปี 1996 ในรัฐเนแรสกา คะแนนเสียงเลือกต้งสองคะแนนจะมองให้กับผุ้ชนะการเลือตั้งระดับรัฐ และคะแนนที่เหลือ (สองคะแนนในรัฐเมน และสามคะแนนในรัฐเนเบรสกา) มอบให้กับผุ้ชนะคะแนนเสียงสูงสุดในแต่ละเขตเลือกตั้งของรัฐ
การเลือกตั้งวุฒิสภา
วุฒิสภาแระกอบด้วยสมาชิก 100 คน ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง 6 ปี ในเขตเลือกตั้งที่ มีที่นั่ง 2 ที่นั่ง (รัฐละ2 ที่นั่ง) โดยหนึ่งในสามจะได้รับการต่ออายุทุกๆ สองปี กลุ่มที่นั่งในวุฒิสภาที่ขึ้นสู่การเลือกตั้งในแต่ละปีเรียกว่า "คลาส" โดยทั่งสามคลาสจะสลับกันเพื่อให้มีการต่ออายุเพียงกลุ่มเดียวจากสามกลุ่มทุกๆ สองปี จนกระทั่งการแก้ไขเพิ่มเติม รัฐะรมนูญสหรัฐอเมริกาครั้งที่ 17 ในปี 1913 รัฐต่างๆ เป็นผุ้เลือกวิธีเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา และมักได้รับเลือกโดยสภานิติบัญญัติของรัฐ ไม่ใช้ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งของรัฐ
สภาผุ้แทนราษำรมีสมาชิก 435 ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง 2 ปี ในเขตเลือกตั้ง ที่มีที่นั่งเดียวการเลือกตั้งสภาผุ่้แทนราษฎรจัดขึ้นุกๆ สองปี ในวันอังคารแรกหลังวันที่ 1 พฤศจิกายนในปี คู่ การเลือกตั้งสภาผุ้แทรราษฎรพิเศษสามารถเกิดขึ้นได้หากสมาชิกเสียชีวิตหรือลาออกระหว่าดำรงตำแหน่ง การเลือกตั้งสภาผุ้แทรราษฎรเป็นการเลือกตั้ง แบบคะแนนเสียงข้างมาก ซึ่งเลือกผุ้แทนจากเขตเลือกตั้งของสภาผุ้แทนราษฎร 435 เขตที่่ครอบคลุมสหรัฐอเมริกาผุ้แทนที่ไม่มีสิทธิออกเสียง เลือกตั้งจากวอชิงตัน ดี.ซี. และดินแดนของอเมริกันซาัว กวม หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียน เปอร์โตริโก และหมุ่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา ก็ได้รับการเลือกตั้งเช่นกัน
การเลือกตั้งสภาผู้แทนราษำรจะเกิดขึ้นทุกๆ สองปี โดยสอดคล้องกับการเลือกตั้งปรธานาะิบดีหรือในขช่วงกลางวาระของประธานาธิบดีผุ้แทนสภาผุ้แทนราษฎรของเปอร์โตริโก ซึ่งเรียกอย่างเป็นทางการว่ากรรมาธิการประจำเปอร์โตริโกจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสี่ปี ซึ่งตรงกับวาระของประธานาธิบดี
เนื่องจากคณะกรรมการแบ่งเตเลือกตั้งของรัฐต่างๆ มักมีการแบ่งเขตเลือกตั้ตามพรรคการเมือง จึงมักมีการแบ่งเขตเลือกตั้งเพื่อให้ผุ้ดำรงตำแหน่งได้รับประโยชน์ แนวโน้มที่เพ่ิมขึ้นคือผุ้ดำรงตำแหน่งจะได้เปรียบอยางท่วมท้นในการเลือกต้งสภาผุ้แทนราษฎร และตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 1994 เป็นต้นมา จำนวนที่นั่งที่เปลี่ยนมือไปในแต่ละการเลือกตั้งมีจำนวนน้อยผิดปกติ เนืองจากการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบไม่เป็นธรรม ทำให้ที่นั่งในสภาผุ้แทนราษฎรไม่ถึง 10% ของที่นั่งทั้งหมดในแต่ละรอบการเือกต้ง สมาชิกสภาผุ้แทนราษฎรมากว่า 90% ได้รับการเลือกตั้งใหม่ทุกสองปี เนือ่งจากไม่มีการแข่งขันในการเลือกตั้ง การแบ่งเขตเลือกตังแบบไม่เป็นธรรมในสภาผุ้แทนราษฎร ร่วมกับข้อบกพร่องทั่วไปของ ระบบการลงคะแนนเสียง
แบบคะแนนเสียงข้างมากและการแบ่งแยกที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติในวุฒิสภและคณะผุ้เชือกตัง ส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างเปอร์เซ็นต์การสนับสนุนจากประชาชนต่อพรรคการเมืองต่างๆ กับระดับการเป็นตวแทนของพรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพบว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบไม่เป็นธรรมเป็นประโยชน์ต่อพรรครีพับลิกันมากกวาพรรคเดโมแครต
การเลือกตั้งระดับรัฐ
กำหมายของรัฐและรัฐธรรมนูญซึ่งควบคุมโดยสภานิติบัญัติของรัฐจะควบคุมการเลือกตั้งในระดับรัฐและระดับท้องถ่ิน เจ้าหน้าที่ต่างๆ ในระดับรัฐได้รับการเลือกตั้งเนื่องจากการแบ่งแยกอำนาจมีผลใช้กับรัฐและรัฐบาลกลาง สภานิติบัญญัติของรัฐและฝ่ายบริหาร(ผุ้ว่าการรัฐ) จึงได้รับการเลือกตั้งแยกกันผุ้ว่าการรัฐ และรองผุ้ว่าการรัฐได้รับการเลือกตั้งในทุกๆ รัฐ ในบางรัฐ จะได้รับการเลือกตั้งแบบร่วมกัน และบางรัฐจะได้รับการเลือกตั้งแยกกัน บางแห่งจะได้รับการเลือกตั้งแยกกันในรอบการเลือกตั้ง ที่แตกต่างกัน ผุ้วา่ การรัฐในดินแดนอเมริกันซามัว กวม หมุ่เกาะนอร์เทิร์มาเรียนา เปอร์โตริโก และหมุ่เกาะเวอร์จินของสหรัฐฯ ก็ได้รับการเลือกตั้งเช่นกัน ในบางรัฐตำแหน่งผุ้บริหาร เช่นอัยการสูงสุดและเลขาะิการรัฐ ก็ไดัรบการเลือกตั้งเช่นกัน สมาชิก สภานิติบัญญัติของรับและสภานิติบัญญัติในเขตอำนาจศาลทั้งหมดได้รับการเลือกตั้ง ในบางรัฐ สมาชิกของศาลฎีกาของรัฐและสมาชิกคนอื่นๆ ของตุลาการของรัฐจะได้รับการเลือกตั้งข้อเสนอแก้ไขรัฐะรรมนูญของรับยังถุกนำไปลงคะแนนเสียงในบางรัฐด้วย
เพื่อความสำดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย การเลือกต้งสำหรับตำแหน่งระดับรัฐและระดับท้องถิ่นหลายแห่งจึงจัดขึ้นในเวลาเดีวยกันกับการเลือกตั้งประธานาะิบดีระดับกลางหรือการเลือกต้งกลางเทอมอย่างไรก็ตาม มีรัฐจำนวนหนึ่งที่จัดการเลือกตั้งใน "ปีคี่" แทน
การเลือกตั้งท้องถ่ิน
ในระดับท้องถ่ิน ตำแหน่งในรัฐบาล ระดับเทศมณฑล และเมืองมักถุกเติมเต็มโดยการเลือกตั้ง ดดยเฉาพะอยางยิ่งภายในฝ่ายนิติบัญญัติขอบเขตของตำแหน่งในฝ่ายบริหารหรือฝ่ายตุลาการได้รับการเลือกตั้งแตกต่างกันไปในแต่ละเทศมณฑลหรือแต่ละเมือง ตัวอยางบางส่นขอตำแหน่งที่ได้รับการเลือกตั้งในระดับท้องถ่ิน ได้แก่ นายอำเภอในระดับเทศมณฑลนายกเทศมนตรีและสมาชิก ๕ณะกรรมการโรงเรียน ในระดับเมือง เช่นเดียวกับการเลือกตั้งระดับรัฐ การเลือกตั้งสำหรับตำแหน่งในท้องถ่ินเฉพาะอาจจัดขึ้นในเวลาเดียวกันกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี การเลือกตั้งกลางเทอม หรือการเลือกตั้งนอกปี
การเลือกต้งชนเผ่า
ตำแหน่งในรัฐบาลของชนเผ่า พื้นเมืองอเมริกันหลายตำแหน่งรวมถึงตำแหน่งบริหารและนิติบัญญํติ มักจะได้รับการเลือกตั้ง ในบางกรณ๊พลเมืองของชนเผ่าจะเลือกสมาชิกสภาซึ่งจะเลือกหัวหน้าฝ่ายบริหาร
จากในองค์กรของตน จำนวนตำแหน่งและตำแหน่งที่ใช้แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐบาลของชนเผ่า แต่ตำแหน่งทั่วไปสำหรัีบตำแหน่งหัวหร้าฝ่ายบริหารของรับบาลของชนเผ่า ได้แก่ ประธานาธิบิดีผุ้ว่าการ หัวหน้าใหญ่ ประธาน และหัวหน้าเผ่า การเลือกตั้งเหล่านี้อาจจัดขึ้นร่วมกับการเลือกตั้งระดับรัฐบาลกลาง ระดับรัฐ หรือระดับท้องถิ่น แต่บ่อยครั้งที่จัดขึ้นดดยอิสระภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานการเลือกตั้งของชนเผ่า
ชาวอเมริกันลงคะแนนเสียงให้กับผุ้สมัครรายหนึ่งโดยเฉพาะแทนที่จะเลือกพรรคการเมืองดดพรรคการเมืองเหนึ่งโดยตรงรฐะรรมฯุญของสหรัฐอเมริกาไม่เคยกล่าวถึงประเด็นของพรรคการเืองอย่างเป็นทางการบรรพบุรุษผุ้ก่อตั้งประเทศเช่น อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตันและเจมส์ เมดิสัน ไม่สนับสนุนกลุ่มการเมืองในประเทศ ในช่วงเวลาที่ร่างรัฐะรรมนูญ นอกจากนี้ ประธานาะิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา จอร์จ วอชิงตัน ไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใด ในช่วงเวลาที่ไดรับการเลือกต้งหรือตลอดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนอกจานี้ เขายังหวังว่าจะไม่มีการจัดตั้ง พรรคการเมืองขึ้นเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความขัดแย้งและความซบเซา อย่างไรก็ตารม จุดเริ่มต้นของระบบสองพรรค ของอเมริกา เกิดขึ้นจากกลุ่ม ที่ปรึกษาใกล้ชิดของเขา โดยแฮมิลตันและเมดิสันกลายเป็นผุ้นำหลักในระบบพรรคการเมืองที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่นี้ เนื่องจากกฎของดูแวร์เจอรืระบบสองพรรคจึงดำเนินต่ไปหลังจากการก่อตั้งพรรคการเมือง ดดยยังคงใช้ระบบการเลือกตั้งแบบคะแนนเสียงข้างมาก (กฎของดูแวร์เจอร์ ระบุว่าในระบบการเมืองที่มีผุ้ชนะเพียงคนเดียว เช่นในอเมริกา มีแนวโน้มทีจะมีพรรคการเมืองหลักสองพรรคเกิดขั้นดดยที่พรรคการเืองรองมักจะแบ่งคะแนนเสียงออกจากพรรคการเมืองหลักทีมีความคล้ายคลึงกัมากที่สุด ในทางตรงกันข้าม ระบบที่มีการเลือกตั้งตามสัดส่วนมักจะมีตัวแทนของพรรคการเมืองรองในรัฐบาลมากกว่า)
https://en.wikipedia.org/wiki/Duverger%27s_law
https://en.wikipedia.org/wiki/Electoral_system