วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Steps to plan advocacy campaigns

             ชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2020 และ 2022 สร้างแรงบนดาลใจให้ผุ้ใมัครจากพรรเดโมแครตและพรรคก้าวหน้าทั่วประเทศก้าวขึ้นมาและงะลสมัครรับเลือกตั้งในชุมชนของตน การเร่ิมต้นแคมเปญเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่ก็ต้องมี"แผนงานที่คิดมาอย่างดี"ด้วยเช่นกัน

           วันเปิดตัวควรเป็นวันที่มีการระดมทุนและประชาสัมพันธ์แคมเปญของคุณมากที่สุด เพื่อริ่มต้นอยางแข็งแกร่งและรักษาโมเมนตัมนั้นไว้ ผุ้สมัครควรเตรียมเครื่องมือและกลยุทธ์ที่ดีที่สุดให้กับตนะอง

           สิบขึ้นตอนนี้เพื่อเตรียมแคมเปยของคุณให้พร้อมสำหรับวันเปิดตึวและดำินินการแคมเปญที่ประสบความสำเร็จ

          1. กำหนด "เหตุผล"ของคุน คำถามอันดับหนึ่งที่จะถฏถามมากที่สุดในช่วงหาเสียงคือ "ทำไมถึงลงวสมัครรับเลือกตั้ง" แม้ใว่าอาจจมีเหตุผลหลายประการ แต่คำตอบควรจะเป็นตอบสั้นๆ กระชับ คำตองบที่สั้น กระชับ และสร้างผลกระทบนั้นสามารถทำซ้ำได้ง่าย และสามารถช่วยสร้างแบรนด์ของคุณให้เป็นที่รู้จักในใจผุ้ลงคะแนนเสียง เมื่อกำหนด "เหตุผล" ของคุณให้ลองตอบคำถามเหล่านี้ : มีปัญหาในพื้นที่ที่คุณกไลังดำิเนินการแก้ไขอยู่หรือไม่ ?.. คุณกำลังดำเนินการเพื่อให้มีตัวแทนข้ามามีสวรร่วมในรัฐบาลท้องถ่ินของคุณมากขึ้นหรือไม่ ? .. คุณรู้สึกหวุดหงุดกับการผ่านนโยบายอนุรักษ์นิยมหรือไม่ ? พิจารณาเหตุผลส่วนตัวของคุณและตำตอบลที่น่าจะตรงกับฐานเสียง ด้วยอย่างเช่น หากผุ้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าที่ลงสมัครรับเลือกตั้งมีคะแนนนิยมต่ำ การพูดถึงวิะีที่คุณจะสร้างความเปลี่ยนแปลงหรือเป้นตัวแทนผลประดยชน์ของชุมชนของคุณ ได้ดีขึ้นอาจขวยเอาชนะใจผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่ผิดหวังได้ เตรียม "เหตุผล"ให้พร้อมก่อนวันเปิดตัวเพื่อให้สามารถตอบคำถามของสาะารชนได้อยางง่ายดายและมีกรอบที่สอดค้องกันสำหรับส่วนที่เหลือของแคมเปน

            2. ระบุกลุ่มเป้าหมายผุ้ลงคะแนน ใหคคือกลุ่มเป้าหมายของแคมเปญ ในตอนแรกคำตอบอาจอยุ่ทีผ่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในเขต อย่างไรก็ตาม การติดต่อผุ้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ และอาจไม่ใช่วิะีที่มีประสิทธิภาพหรอืประสิทธิผลที่สุดในการใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดของแคมเปญของคุณ ลองพิจารณากลุ่มเป้าหมายโดยตอบคำถามเหล่านี้

         ต้องได้รับการโหวตกีโหวตถึงจะชนะ

         ใช้ข้อมูลจาแคมเปญที่ผ่านมาเพื่อพิจารณาว่ามีผุ้มีสิทธิเลือกตั้งกีคนในเขตของคุณ และมีแนวโน้มว่าจะลงคะแนนเสียงกี่เปอร์เซ็นต์ในการเลอกตั้งรอบนี้ ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณคำนวนจำนวนผุ้มีสิทธิเลือกตั้ง และตัดสินใจว่าคุณต้องให้ความสำคัญกับผุ้มีสิทธิเลือกตัี้งคนใดจึงจะชนะการเลือกตั้งได้ สมมติว่าหากคาดว่าจะมีผุ้มีสิทธิเลือกตั้ง 10,000 คนลงคะแนนเสียงวในการเลือกตั้ของคุณ แต่มีผุ้สมัครเพียงสองคนในการแข่งขัน ดังนั้น ต้องได้คะแนนเสียง 50% บวกหนึ่ง (5,001 คะแนนเสียง) จึงจะชนะ ตอนนี้เราสามารถคำนวณได้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้คะแนนเสียงดังกล่าว

         ใครมีแนวโน้มที่จะโหวตให้ ? 

          แคมเปญแต่ละแคมเปยจะมีเส้นทางเฉพาะตัวในการระบุวิธีการหาเสียงให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไป แต่จะมีฐานผุ้สนับสนุนจำนวนหนึ่งที่ควรงคะแนนให้แคมเป็น ตัวอย่าง ในบารัฐ ผุ้ลงคะแนนจะต้องลงทะเบียนสังกัดพรรคการเมือง ในขณะที่บางรัฐอนุญาตให้ผู้ลงคะแนนเสียงลงคะแนนในการเลือกตั้งขึ้นต้นของพรรคใดพรรคหนึ่งก็ได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งการลงทะเบียนสังกัดพรรค ประวัติการลงคะแนนในการเลือกตั้ขึ้นต้นในอดีต และคะแนนความลำเอียงของพรรคกมารเมืองสมารถเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่าน่าจะสนับสนุนแคมเปญของคุณอย่างไร คุณจะต้องแบ่งกลุ่มผุ้ลงคะแนนเสียงเหล่านี้ออกเป็น กลุ่ม Get Out Vote (GOTV) เนื่องจากต้องการระดมพวกเขาให้ลงคะแนนให้แคมเปย หากกลุ่มผุ้ลงคะแนนเสียงดังกล่าวมีผุ้ลงคะแนนเสียง 4,000 คน จำเป็นจ้องได้รับคะแนนเสียงเพียง 1,001 คะแนนจากผุ้ลงคะแนนเสียงอิสระหรือผุ้ลงคะแนนเสียงที่ลงทะเบียนกับหรือมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนพรรคกือ่น แม้ว่าคุณอาจต้องการเพ่ิมเบาะรองเพื่อติดต่อผุ้ลงคะแนนเสียงมากกว่า 1,001 คนเพือชนะ แต่ผุ้ลงคะแนนเสียงเหล่านี้คือฐานสำหรับกลุ่มการโน้มน้าวใจ(ผู้ลงคะแนนเสียงที่ต้องโน้มน้าวใจให้สนับสนุนแคมเปญ)

          ใครบ้างที่น่าจมีสิทธิลงคะแนนเสียง

           ปัจจัยอื่นท่ต้องพิจารราคือว่าใครมีแนวโน้มที่จะลงคะแนนเสียงหรือไม่ สามารถดึงรายชื่อผุ้ลงคะแนนเสียงใน VAN ตามประวัติการลงคะแนนเียงในอดีตของพวกเขา หรือใช้คะแนนเพื่อกำหนดว่าใครมีแนวโน้มที่จะลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป อีกครั้ง แคมเปญความีหมายเลขชัยชนะที่เฉพาะเจาะจง และจะต้องคิดหาวิะีบรรลุหมายเลขนั้น เส้นทางสู่ชัยชนะอาจรวมถึงการสนับสนุนผุ้ลฝคะแนนเสยงที่ไม่น่าจะลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งให้ลงคะแนนเสียงสนับสนุนแคมเปญ อย่างไรก็ตาม ต้องกำหนดสิ่งที่โดยพิจารณาจากทรัพยากรที่มีอยุ่ขึ้นอยุ่กับเส้นทางสุ่ชัยชนะ สามารถกำหนดกรอบข้อความการรณรงค์เพิื่อโน้มน้าวหรือระดมผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องการให้ได้รับชัยชนะได้ หากต้องการกระตุ้นฐานผุ้สนับสนุนที่มีแนวดน้มน้ามผุ้มีสิทธิเลือกตั้งให้สนับสนุนการรณรงค์มากขึ้น ให้กำหนดข้อความเกี่ยวกับประเด็นที่สำคัญที่สุดสำหรับชุมชน และเร่ิมโน้มน้าวผุ้มีสิทธิเลือกตั้ง ให้สนับสนุนการรณรงค์ 

          เคล็ดลับ : จำนวนชัยชนะควรกำหนดด้วยตัวเองการตัดสินใจเกือบทั้งหมดที่ทำในแคมเปญ การคำนวนจำนวนนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อกำหนดว่าต้องมีผุ้มีสิทธิเลือกตั้งกี่คนจึงจะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งจะช่วยกำหนดได้ว่าต้องระดมทุนเท่าไร  ต้องเคาะประตูบ้านกี่หลัง ต้องส่งจดหมายหาเสียงกี่ฉบับ ฯลฯ

           3 . การสร้างแผนการสื่อสาร

           เมื่อได้กำหนดเหตุผลที่ลงสมัครและผุ้มีสิทธิเลือกตังที่ต้องการกำหนดเป้าหมายแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะจัดเตรียมข้อความหลักและประเด็นสำคัญในการพุดคุย แม้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องมีทุกองค์ประกอบของแพลตฟอร์มในวันเปิดตัว แต่จุดยืนเกี่ยวกับประเด็สำคัญควรมั่นคง

          พบปะกับทีมงานหลัก และตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกคนเข้าใจจุดยบือนในประเด็นหลัก และพร้อมที่จะคิดวิเคราะห์อย่างรวดเร็วเมื่อต้องตอบคำภามต่างๆ รับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นและแคมเปยโจมตีด้วยการสร้างแผนตอบสนองอย่างรวดเร็วร่วมกับทีมงาน เืพ่อให้พร้อมที่จะปิดปากคำที่เป็นเท็จและสงข้ัอความที่มุ่งเน้นและสอดคล้องกัน

          นากต้องการเผยแพราค่อสื่อ ให้เขียนบทความเพื่อระกาศเหตุผลที่ลงสมัคร และให้ทีมสื่อสารทำงานเพื่อลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ทด้องถ่ินหรือสิ่งพิมพ์ท้องถ่ินอื่นๆ บทความนี้อาจคลัายกับคำปราศัรัยประกาศ แต่อาจมีการปรับเปล่ยนเล็กน้อยในการเผยแพร่

         นอกจากนี้วันเปิดตัว รวมถึงวันหลังจากนั้น จะเป้นวันที่ได้รับสื่อที่เสรีมากที่สุด(หรือที่เรียกว่า สือ่ที่ได้รับป ดังนั้น จงเตรียมพร้อมที่จะใช้สื่อเหล่านี้นให้เกิดประโยชน์สุงสุด หากสถานี้ข่าวหรือสถานีวิทยุท้องถ่ินต้องการสัมภาษณ์ ให้จัดสรรเวลาสำหรับการสัมภาษณ์นั้น เพราะโอกาศนั้นอาจไม่เกิดขึ้นอีก เตรียมชุดข้อมูลสำหรับสื่อมวลชนพร้อมคำแนะนำด้านสื่อและเอกสารประกอบ เช่น ประวัติโดยย่อ รายชื่อความสำเร็จ และรูปถ่ายจากมืออาชีพ

        4. มีเว็บไซต์ 

        วลีที่ว่า "ถ้าไม่อยุ่บนอินเเทอร์เน็ต ก็ไม่มีตัวตนอยู่จริง" นั้นเป็นความจริงยิ่งขึ้นในวันเปิดตัวแคมเปญ เว็บไซต์ช่วยให้ผุ้ลงคะแนนเสียงและผุสนับสุนุนค้นหาข้อมูลเพื่อเติมเกี่ยวกับแคมเปย ยอมรับการบริจาคออนไลน์รับสมัครอาสาสมัคร ควบคุมการเ่ล่าเรื่องเกี่ยวกับแคมเปญ ฯลฯ

        การออกแบบเว็บไซต์อาจเป็กระบวนการที่ยาวนานและซับซ้อน แต่ไม่จำเป็นต้องทำให้เสร็จทุกหน้าก่อนวันเปิดตัว ในวันแรกๆ ของแคมเปญ เว็บไซต์ที่เรียบง่ายแต่ดึงดูดใจพร้อมประวัติย่อสั้น และสรุปสถานะในประเด็สำคัญ พร้อมแบบฟอร์มสำหรับลงทะเบียนรับอีเมล สมัครเป็นอาสาสมัครในแคมเปญ และบริจาค จะเป็นตัวช่วยที่ดีพอสำหรับในการสร้างหน้าที่มีรายลเะอียดมากขึ้น หั

         ทำหน้าสำคัญที่ต้องการพัฒนาในช่วงเร่ิมต้นสำหรับเว็บไซต์ได้แก่

         หร้าแรกควารทำให้เหน้าเพจนี้สร้างความประทับใจแรกพบที่ดีด้วยการออกแบบที่ดึคงดูดใจและลิงก์ที่ใช้งานได้ ไม่ว่าใครจะเข้ามาที่เว็บไซต์  เพื่อบริจาคหรือเรียนรุ้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปย เว้บไซต์ควรนำทางได้ง่ายและกระตุ้นให้เกิดการดำเนินการเพิ่มเติม

          หน้า "เกี่ยวกับ" ใสรูปถ่ายใบหน้า รูปถ่ายขณะโต้ตอบกับชุมชน และประวัติย่อ ในประวัติย่อ ให้เน้านอาชีพ กลุ่มชุมชนที่เกี่ยวข้อง และภูมิหลัง ส่งผลต่อ "เหตุผล" อย่างไร หลังจากระบุความเชื่อมโยงนั้นแล้วให้อธิบาย "เหตุผล" โดยละเอียด ความเพิ่มตัวเลือกให้ผุ้คนดำเนินการเพื่อเติม เช่น การกรองแบบฟอร์มอาสาสมัคร ลงทะเบียนรับอีเมลจากคุณ หรืออ่านจุดยือนเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ 

          หน้า "ประเด็น" อะิบายจุดยืนด้วยภาษาที่เรียบงว่ายและตรงไปตรงมามากที่สุด ผุ้สมัครหลายคนเลือกที่จะสรุปจุดยืนของตนในรุปแบบรายการสั้นๆ จากนั้นจึงให้คำอธิบายที่ยาวขึ้นด้านล่างหรือในหน้าอ ่น คุณยังสามารถสร้างแบบฟอร์มสำหรับให้ผุ้คนถามคำถามเกี่ยวกับประเด็นเฉพาะที่สำคัญสำหรับพวกเขาได้อีกด้วยในหน้านี้ คุณสามารถเพ่ิมคำหระตุ้นการตัดสินใจ(CAT) เพื่อกระตุ้นให้ผุ้คนช่วยกระจายข่าวโดยสมัครเป็นอาสาสมัครและลิงก์ไปยังแบบฟอร์สมัครเป็นอาาสมัคร

          หน้า "ดำเนินการ" นี้เป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญที่สุดของเว็บไซต์และต้องใสช้งานได้เมือเป้ดตัวแคมเปญ สามารถเพ่ิมหน้าต่างไลท์บ็อกซ์ (หรือป็อปอัป) เพื่อขอให้ทุกคนที่มาเยี่ยมชม เว็บไซต์ของบริจาคเงินได้ แพลตฟอร์มบริจากบางแห่งยังยังสามารถเปลี่ยนเส้นทางการเข้าชมหลังจากบริจาคเงินแล้ว หากทำได้ให้ส่งผุ้บริจาคไปที่หน้า "ดำเนินการ" เพื่อให้พวกเขาสามารถลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครได้เช่นกัน

         แต่ละหน้าควรมีแท็บในเมนูของเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังสามาารถนสร้างส่วนท้ายด้วยข้อมูลติดต่อและแบบฟอร์มสมัครรับอีเมลเพื่อให่้ผุ้สนับสนุนสามารถสมัครหรือติดต่อได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะอยุ่ที่ใดในเว็บไซต์

         สุดท้าย อย่าลืมออกแบบเว็บไซต์โดยคำนึงถึงผุ้เขาชมที่ใช้มือถือเป็นหลัก ผุ้เยียมชม เว้บไซต์มากกว่าครึ้่งหนึ่ง อาจดูเพ่ิมเพจจากโทรศัพท์ของตนเอง ครวจสอบให้แน่ใจว่าทุกคนที่มาเยี่ยมชมเว็บไซต์มีประสบการณ์ที่ดี

       5. รับ CRM  Customer Relationship Management สำหรีับจัดระเบียบและจัดการข้อมูล 

       ก่อนที่จะร่ิมแคมเปญ อาจเร่ิมสร้างรายชื่อผุ้สนับสนุน อาสาสมัคร และผุ้บริจาค และแคมเปญจะต้องพร้อมสำหรับพวกเขาหากต้องการรวบรวมและจัดระเบียบข้อมุลผุ้สนับสนุน ต้องมี CRM ที่ออกแบบมาสำหรับแคมเปญทางการเมือง 

       คุณสมบัติต่างๆ เช่น อีเมลที่กำหนดเป้าหมาย การดำเนินการออนไลน์ การผสานรวมหลายร้อยรายการ และอื่นๆ ทำให้เรแต่ต่างจากที่เหลือ การมีเครื่องมือทั้งหมดเหล่นนี้ภายในแพลตฟอร์มรวมศุน์ทำให้แคมเปยต่างๆ สามารถสร้างโปรไฟลืผุ้สนนับสนุนที่ครอบคลุมได้อยางง่ายด้าย ติดต่อกับบุคคลเหล่านีั้น และเพ่ิมประวัติการตอิต่อ บันทึกย่อ และอื่นๆ ที่มีคุณต่ามากขึ้นลงในโปรไฟล์ผุ้สนับสนุนของพวกเขา 

         เคล็ดลับ: การลงทุนในวอฟต์แวร์นี้ตั้งแต่เน่ินๆ จะช่วยให้แคมเปญ เรียนรู้วิธีใช้ได้ง่ายขึ้นก่อนที่ฤดูกาลเลือกตั้งจะร่ิมต้นขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้สร้างฐานข้อมุลได้ตั้งแต่เร่ิมต้นแคมเปญ ทำให้สามารถเริ่มสร้างโปรไฟล์ที่ครอบคลุมและแคมเปญการเข้าถึงหลายช่องทางไปยังผุ้สนับสนุน ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อช่วยขับเคลื่อนการดำเะนินการและระดมาทุนได้มากขึ้น..

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Political Campaign Strategies


             "นักยุทธศสตร์การเมือง" เป็นอาชีพที่สังคมการเมืองไทยอาจยังไม่ค้นเคยนัก แต่ในต่างประเทศที่
การเมืองพัฒนาแล้วอาชีพนี้มีบทบามสำคัญอย่างในการทำงานทางกรเมือง โดยเฉพาะ การวางกลยุทธ์เลือกตั้งในช่วงหาเสียง

             หนึ่งในคนที่ฝันนและเลือกทำงานในสายอาชีพนี้ จากประสบบกาณ์การเมืองเร่ิมถุกปัหมุดมกาข้นในฐานะหัวหน้าทีมสื่อสารทางการเมืองซึ่งชนะเลือกตั้งแบบ "แลนด์สไลด์" ในนามเมืองหลวงแบบไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน หลังเลือตตั้งผ่านไป เขาได้ทุนศึกษาดูงานการเมืองที่สหรัฐอเมริกา และได้รับข้อเสนอให้ทำงานในฐานะ "นักยุทธศาสตร์การเมือง" ขององค์กรภาคประชาสังคมฝ่ายก้าวหน้าแห่งหนึ่งที่นิวยอร์ก โดยมีความท้าทายสำคัญคือ การเลือกตัึ้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้น ได้วิเคราะห์กลยุทธของพรรคการเมืองต่างๆ และกล่าวถึงปรากฎการ์ใหม่ของการวางกลยุทธ์การเมืองทั้งในและต่างประเทศ

       เขากล่าวว่า "...ในภาพใหญ่มีการทำงานทางเมืองสามรุปแบบเิดขึ้นพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่า่ตื่นเต้นมา แบบที่หนึ่งคือ "การเมืองบ้านใหญ๋" ซึ่งยังสำคัีญในหลายพื้นที่ แบบที่สองคือ "การเมืองเชิงนโยบาย" และแบบที่สามคือ "การเมืองเชิงคุณค่า" การเมืองแต่ละรูปแบบมองความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมืองนักการเมืองแต่ละรุปแบบมองความสัมพันธ์๋ระหว่างพรรคการเมืองนักการเมืองและผุ้มีสิทธิเลือกตั้งแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลให้การทำแคมเปญหาเสียงต่างกันด้วย

            "การเมืองบ้านใหญ่" มองผุ้มีสิทธิเลือกตั้งแบบเครือช่วยอุปถัมภ์ นักการเมืองมีหน้าทีที่ต้องดุแลประชาชนในพื้นที่เพื่อแลกกับคะแนนเสียง ความสัมพันะ์แบบนี้ไม่ใช้เรื่องถุกหรือผิด เพราะสังคมไทยมีปัญหาจำนวนมากที่คนประสบพบเจอ แต่รัฐกลับไม่ทำหน้าี่ได้อย่างที่ควรจะเป็น จึงเกิดข่องว่างให้คนที่มีทักษะ อำนาจ ลบารมีเข้าไปเป็นตัวกลางในการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้าน ส่วน "การเมืองเชิงนโยบาย" มองประชาชนเป็นลุกค้า จุดเดนของการเมืองเชิงนโยบายคือ การตีโจทย์ว่าประชานมีปัญหา แล้วคิดนดยบายไปนำเสนอให้ตรงใจที่สุดเพื่อให้ประชาชนเลือก และแบบที่สามคือ "การเมืองเชิงคุณค่า" ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องอุดมการณืเท่านั้น แต่ยังรวมไปึงคุณค่าใีความหมายกว้างด้วย เช่น ความตรงไปตรงมา ความมั่นคง ความโผงผาง ความสู้สุดทาง เป็นต้น จุดเด่นของการเมืองเชิงคุณค่าคือ การมทืองผุ้มีสิทธิเลือกตั้งเป็น "ผุ้สร้างความเปลี่ยนแปลง" คือ มองผุ้มีิสิทธิเลือกตั้งเหมือนคนมาม็อบ วิธีหาเสียงก็คือการส่งเสริม ให้คนมาช่วยเผยแพร่ชุดคุณค่าบางอย่างร่วมกัน

            การเเมืองทั้งสามแบบไม่ได้แยกขาดจากกัน เพราะการเลือกตั้งเป็นเกมแบบมีคนได้ คนเสีย ถ้าพรรคไหนมีคะแนนเสียงเพิ่มขึ้น แดงว่าต้องมีพรรคที่เสียคะแนนไป ถ้าคุณทำแต่การเมืองเชิงนดยบาย หรือการเมืองเชบิงคุณค่าอย่างเดียว คุณก็ไม่มีทางชนะ ในบงพื้นที่ ผุ้สมัครฯ ก็ต้องหาวิะีการทำงานการเมืองที่มอบบริการให้เหมือนที่การเมืองบ้านใหญ่ให้บริการ การเลือกตั้งจึงไม่ใช้การเลือกเล่นเกมที่ตัวเองถนัดที่สุด แต่โครงสร้างเศราฐกิจและสังคมไทยบังคับให้แต่ละพรรคต้องเล่นการเมืองทุกรูปแบบ และไครเล่นการเมืองสามรูปแบบนีิ้รวมกันได้ผลลัพธ์ดีที่สุด คนน้นจะมีโอกาสชนะมากที่สุด...

          ... "เลี้ยงทหารพันวัน ใช้งานวันเดียว" การเลือกตั้งคือเรื่องนี้และเวทีหาเสียงค่ือการเอาทรัพยากรที่ตนเองสั่งสมมาประลองกัน เอาเข้าจติง ทางเลอืกหรืความได้เปรียบทากลยุทธใดๆ ในช่วงเลือกตั้งแทบไม่ได้เกิดจากการแก้เแมในช่วงเวลาเลือกตั้ง แต่คือการวัดกันว่าคุณมีของที่สะสมไว้ในมือมากน้อยแค่ไหน และคุณสามารรถเลือกใช้เพื่อตอบโจทยืสถานการณ์ได้ หรือ การทำงานยุทธศาสตร์การเมืองการออกแบบแคมเปยทางการเมืองท้งระบบ เืพ่อให้เมือถึงวันจริงแล้ว พรรคมีทางเลือกในการหาเสียงที่จะทำให้ได้เปรียบที่สุด คล้ายกับนักกีฬาที่เล่นในสนามแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ใช้เวลาเป็นปีเพื่อสะสมแทกติกและฟิตสภาพ


ร่างกายให้พร้อมในการแข่งมากที่สุด

          ทั้งนี้ได้กล่าวถึงแคมเปญที่น่าสนใจของพรรคการเมืองหนึ่ง ว่า "...เป็นแคมเปญที่ถุกออาเบบตั้งแต่ตั้นว่าอยากส่งเสริมให้คนมีส่วนร่วม ดยส่งสัญญาณให้ผุ้สนับสนุนพรรคกตาระหนักว่า เขาสามารถทำอะรบางอย่างงเพื่อช่วยเหลือพรรคได้ ตัีวอย่างรูปะรรมในกรณีนี้คือแคมเปญ 300 นโยบายที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ จุดเด่นของแคมเปญนี้คือ การนำเสนอ "แพลตฟอร์นดยบาย" ที่เปิดโอกาสในคนสามารถไปค้นหาสิ่งที่อยากเห็นและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของตัวเองได้ ใครชอบอันไหนก็ึงไปต่อยอดในโซเชียลมีเดียส่วนตัวการทำแพลตฟอร์มนดยบายทำให้พรรคไม่ต้องเหนื่ยกับการคิดกลยุทธ์การสื่อสารในโซเซียลมีเดีย เพราะท้านทีุ่ดแล้วไม่มีกลยุทธ์ไหนสามารถสู้คอนเทนต์ที่ผุ้บริโภคเป็นคนสร้างได้ user-generated content..

       ต่อคำถามที่ว่า - ในอดีตคุรเคยพูดถึงบทบาทของบิ๊กดาต้าและโซเซียลมีเดัยกับการเลือกตั้งไว้อย่างน่าสนใจ แต่ทุกวันนี้แพลตฟอร์มก้เปลี่ยนไปพอสมควร "เฟสบุ๊ค" ไม่ใช่ข่องทางหลัีกในการสื่อสารทางการเมืองอีกต่อไป ดีเบตทางการเมืองย้ายไปอยุ่ใน "ทวิตเตอร์" ในขณะที่ "ติก ตอก"ก็กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ตอนนี้ภุมิทัศน์การสื่อสารการเมืทองในปัจจุบันเป็นอย่างไร..

        เขาตอบว่า.." ในต่างประเทศ คำทำงานยุทธศาสตร์การเมืองให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดียน้อยลงมาก หัวใจของข้อถกเถียงในเรื่องนี้คือ เราความองว่าโซเชีลมีเดียเป็น "สารตั้งต้น (เป็นเหตุ) หรือ "ผลลัพธ์" ของกระแสทางการเมือง ในภุมิทัศน์ที่โซเซีลมีเดียมีความหลากหลายขึ้น แต่คนรับสื่อมีเวลาใช้ชีวิต 24 ชัวโมงเท่าเดิม สิ่งที่เกดขึ้คือคนต้องแบ่งเวลาในการรับสื่อจากแต่ละแพลตฟอร์ม ดังนั้น ต้นทุนในการทำให้ตัวเองถุกเห็นในทุกแพลตฟอร์มก็แพงขึ้นและยากขึ้น ดังนั้น การทำงานยุทะศาสตร์การเมืองจึงมีแรงจุงใจที่จะก้าวข้ามโซเซียลมีเดีย และมองหาวิธีการสื่อสารใหม่ๆ ที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ และให้โซเซียลมีเดียเป็นภาพสะท้อนของกระแสมากกว่า พุดง่ายๆ คือ คุณทำคอนเทนต์ที่เป็นสารตั้งต้นขึ้นมา ถ้าคนชอบเดี๋ยวเขาจะเอาไปลงต่อยอดในโซเซียลมีเดียของตัวเอง "นิวยอร์ก ไทม์ และ วอชิงตันโพสต์" เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้สื่อสองเจ้านี้เน้นทำคอนเทนต์กลางในแพลตฟอร์มของตัวเอง และทำให้ตัวเองมีภูมิต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโซเซียลมีเดีย ในอเมริกาคำทำงานยุทธศาสตร์ก็เร่ิมหันมาพัฒนาสิ่งทีต้องการจะสื่อสารให้ดีให้คนเข้าถึงได้ง่าย แล้วให้ผุ้สนับสนุนนำไปต่อยอดกันเอง

       
และยังกล่าวต่อว่า.."อัตราเข้าถึงอินเตอร์ของสังคมต้อนนี้ ที่ 85% และยังเพื่อมสูงขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งหมายึความว่า กระแสที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ส่งผลต่ออฟไลน์แน่นอน อย่างไรก็ตาม อย่างไรก็ตามการส่งผลไม่ได้เกิดแบบตรงไปตรงมา เช่น ในวันๆหนึ่ง อาจมีปฏิสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับข่าวการเมืองคิดเป็น 10% ของโซเชียลทั้งหมด นั่นหมายความว่า ต่อใไ้เกิดกระแสในสื่อการเมือง แต่จะมีอีก 90% ของโซเซียลที่ยังไม่เห็นส่ิงที่เกิดขึ้นในวันแรก ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กระแสในโลกออนไลน์เชื่อมกับโลกจริงคือ ความต่อเนื่องของกระแส เพราะกระแสออนไลน์จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการกระจายไปให้ถึงคนในสัดส่วนที่มากขึ้น อีกประเด็นที่ควรระมัดระวังคือ ในโซเชียลมีเดียคนจำนวนน้อยสามารถสร้างกระแสที่มีขนาดใหญ่ได้ ถ้าเป็นกรณีนี้ก็ิย่งต้องการความต่อเนื่องของกระแสมากขึ้นไปอีก

       และเขายังกล่าวถึงสิ่งที่น่าสนใจในวงการเมืองสหรัฐฯ ว่า "..ในตอนแรกมีคำถามในใจที่อยากรุู้คือ ระบบนิวเศ ของการทำงานทางการเมืองในสหรัฐฯเป็นแบบไหน ทำไม่กลุ่มภาคประชาสังคมในสหรัฐฯ จึงสามารถเร่มต้นและตเบดตกลายเป็นองค์กรที่ทำงานต่อเนืองยาวนาน หลายเป็นองค์กรระดับชาติได้ เพราะดดยส่วนตัวรุ้จักนักเคลื่อนไหวหลายคน ซึ่งมีความมุ่งมัี่นและมีความรู้ความสามารถไม่แพ้กัน แต่อะไรคือปัจจัยที่ทำให้การเคลื่อนไหวเติบโตกลายเป็นองค์กรได้ยาก อะไรคือสิ่งที่ขาดหายไป  ซึ่งหนึ่งในคำตอบหลักคือ ในสหรัฐฯมีการพัฒนาสะสมองค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาองค์กร มาอย่างต่อเนื่องมาเป็น 100 ปี ซึ่งระบบนิวเศเราไม่สามารถทำได้ เพราะถูกปราบปรามมาโดยตลอด โจทย์นี้เลยกลายเป็นคำถามต่อว่า ถ้าไม่มีเวลา 100 ปี และไม่ได้มีขนาดการเมืองหใหญ่เหมือนที่สหรัฐฯ จะซับพอร์ตคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร

       โจทย์ที่ 2 คือทำมกลุ่มหัวก้าวหน้าในสหรัฐฯถึงเติบโตและมีอำนาจทางการเมืองได้ มีผุ้สมัครหน้าใหม่จำนวนมากที่สามารถเข้าสุ่การเมืองและชนะเลืกอตั้ง ชนะ establishment ของพรรคเดียวกันและเติบดตขึ้นมารได้ในช่วงที่ผ่านมาได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาพูดคุยกับกลุ่มที่เป็นเบื้องหลังในการผลักดันนัการเมืองรุ่นใหม่ๆ พบว่าพวกเขามีกรถอดบทเรียนกันอย่างจิรงจังและเข้มข้นหลังจากที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง คำถามเช่น หลังจากเกิด Occupy Wall Street ผุ้คมมีความหวังกันมาก ทำไมผ่านไป 5 ปี คนเลือกทรัมป์ เหล่าบรรดาองค์กรสิทธิต่างๆ ทำงานเคลื่อนไหวสุ้แทบตายสุดท้ายทำไมประชาชนคนอเมริกันเลือกทรัมป์ หลังจากโอบามาชนะเลือกตั้ง คนะชื่อว่าความขัดแย้งเรื่องสีผิวจะเบาบางลง แต่ทำไมกลับกลายเป็นรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งสุดท้านยก็ถอดบทเรียนกันได้วาต้องมี ยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง กล่วคื อภาคประชาสังคมต้องทำงานกับประชาชนกลุ่มต่างๆ เพื่อชี้เป็นชี้ตายนัการเมืองในช่วงเลือกตั้งให้ได้

         สมมติว่า ผุ้สมัครทางการเมืองคนหนึ่งลงสมัครในพื้นที่จังหวัดของคุณ และ้วสมมติคุณถือเครือข่ายผุ้ประกอบการหรือเครือข่ายสหภาพแรงงานในพื้นที่นี้ ็เขาไปต่อร่องเลยว่าคุณยินดีสนับสนุนเขาหากเขาจะเขัาไปผลักดันนดยบายที่คุณต้องการ แต่หากเขาปฏิเสธ คุณก็ไปสนับสนุนผุ้สมัครคนอื่นที่รับปากเราว่าจะทำเรื่องนี้ กลุ่มต่างๆ ลักษณะนี้ีคือกลุ่มที่เติบดตมากในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เช่น ในการเลือกตั้งของ Alexandria Ocasio-Cortez ถ้าเรามาองจากภายนอกก็จะนึกว่าเขามีทีมงวานสร้างแบรนดิ้งและบุคลิกภาพเฉพาะตัวขึ้นมา แต่ถ้าเข้าไปดูเว็บไซต์แคมเปยของเขามีองค์กรสนับสนุนเป็นร้อยเลย นี่คือปรากฎการณ์ใหม่ เพราะในอดีตนักการเมืองสหรัฐฯ จะลงเลือกตั้งก็ต้องไปของรับการสนับสุนจากชนชั้นนำในพรรค แต่ภายใต้ระบบนิเวศใหม่ที่องคก์กรภาคประชาสังคมเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งมากขึ้น หากองค์กรประกาศสนับสนุนผุ้สมัครแล้ว ก็จะส่งคนเข้าไปช่วยหาเสียงด้วย วิธีการนี้ทำให้ผุ้สมัครหน้าใหม่มีโอกาสในการเข้าสุ่การเมืองมากขึ้น ในแง่หนึ่ง องค์กรได้กลายมาเป็นตัวกลางระกวางการเมืองในสภากับประชาชน และช่วยให้ประชาชนรู้สึกสบายใจกว่าในการผุกยึดโยงตัวเองกับองค์กรภาคประชาสังคมแทนที่จะเป็นนักการเมืองหรือพรรคการเมือง ส่วนนี้คือระบบนิเวศที่เปลี่ยนไปมากในช่วง 10 ที่ผ่านมา.." อ่านฉบับเต็มได้ที่ https://www.the101.world/interview-prab-on-election/

          

           

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Assassination

            การลอบสังหาร การสังหารบุคคลสาะารณะ โดยทั่วไปแล้วคำนี้หมายถึงการสั้งหารผุ้นำรัฐบาล
และบุคคลสำคัญอื่นๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง เช่นการยึดอำนาจ การก่อการปฏิวัติ การดึงความสนใจไปที่สาเหตุ การแก้แค้น หรือการบ่อนทำลายระบอบการปกครองหรือผุ้วิพากษ์วิจารณ์ การสังหารโดยมีแรงจูงใจทางการเมืองดัลกล่าวเกิดขึ้นในทุกสวนของโลกและในทุกช่วงของประวัติศาสตร์

           คำว่า "การลอบสังหารมาจากคำว่า "นิชารี อิสมาอิลียะห์ไ ขบวนการทางศาสนาและการเมืองที่เกิดขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 11-13 ในกลุ่มอสิมาอิลียะห์ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ ซึ่งเป็นขบวนการทางศาสนาและการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 11 ชาว นิชารี ซึ่งมีฐานอำนาจอยุ่ในเทือกเขา เอลบัรซ์ซึ่งปัจจุบันอยุ่ในบริเวณทางตอนเหนือของอิหหร่รานขาดกำลังทหารที่จะเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามในภูมิภาค เขาใช้วิธีการแทรกซึมเพื่อโจมตีบุคคลสำคัญทางทหารและการเมืองภายในจัรวรรดิทั้งสอง

         นักรบครูเสด ชาวยุโรปได้ยินและตีความตำแหน่งเหียวกับชาวนิซารีในยุคแรกอย่างผิดๆ แล้วนำเรื่องราวเหล่านี้กลับไปยังบ้านเกิดของพวกขา ความเข้าใจผิดสอบประการนี้ ซึ่งน่าจะมีต้นต่อมาจากศัตรูของชาวนิซารี คือ ชาวนิซารีเป็นพวกคลั้งไคล์ภายใต้การปกครองของ "ชายชราแห่งภูเขา" ผุ้ลักลับและพวกเขาใช้กัญชาเพื่อสร้างภาพนิมิตแห่งสวรรค์ก่อนจะออกเดินทางไปสุ่การพลีชีพ คำว่า hashishi ในภาษาอาหรับ ("ผุ้บริโภคกัญชา) ซึ่งเป็นคำ ที่ใช้ในการดูถูกเหยียดหยาม ชาวนิซารีกลายเป็นรากศัพท์ของคำ่า่มือสังหารในภาษาอังกฤษและคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันในภาษาอื่นๆ ของยุูโรป นักฆ่าได้รับความหมายว่าเป็นนักห่าที่ไม่ลดละ

เป้าหมายการลอบสังหาร หัวหน้ารัฐบาล เชน ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีและพระมหากษัตริย์ มักตกเป็นเป้าหมายของการลอบสังหาร ประธานาะิบดี สหรัฐฯ 4 คน ถูกลอบสังหาร และ 12 คนตกเป็นเป้าหมายของการลอบสังหารที่ไม่ประสบความสำเร็จ

          ในปี 1914 การลอยสังหารอาร์ชดยุค ฟรันซ์ เฟอร์ดิมานด์ รัชทายาทแห่งออสเตรีย-ฮังการี ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ภายหลังการลอบสังหารไม่กี่สัปดาห์

        เหยือการ่ลอบสังหารในศตวรรษที่ 20 กว่ายี่สิบคนทั่วโลก เหยื่อสังหารได้แก่ รัฐมนตรี สมาชิกสภานิติยัญญัติ ผุ้พิพากษา และเจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ สมาชิกของกองทหารหรือตำรวจ สมชิกของพรรคการเมืองและกลุ่มการเมือล และผุ้นำทางศาสนา และผุ้มีชื่อเสียงของขบวนการทางสังคมและการเมือง 

         แม้ว่าการฆาตกรรมจะถูกใช้น้อยลงในฐานะเครื่องมือทางการเมืองในศตวรรษที่ 21 แต่ก็ยังมีเหตุการณ์ที่มีความหมายบางประการ เช่น ในปี 2003 นายกรัฐมนตรีเซอร์เบีย ถูกสังหารโดยมือปืนที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอาชญากร และระบอบการปกครองของอดีตรัฐมนตรีของเลบบานอน "ราวิค อัล ฮารีรี่" ถูกสังหารด้วยระเบิดรถยนตืใสนปี 2005 เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าซีเรีย มีความรับผิดชอบต่อการบอลสังหาร ฮารีรี่ และในความไม่สงบที่เกิดขึ้้ตามมากองทหารซีเรียถูกบังคับให้ยุติการยึดครองเลบานอนที่กิเวบานานเกือบสามทศวรรษ, เบนาซิร บุโต อดีตนายกรัฐมนตรีของประกีสถาน ถุกสังหารในเหตุระเบิดฆ่าตัวตายปี  2007, ประธานาธิบดีเฮติ "โจวีนีล มอยซ์ ถูกยิงเสียชีวิตที่บ้านของเขา 2021 โดยทหารรับจ้าง โคลอมเบีย กรกฎาคม 2022 อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ ถูกยิงเสียชีวิตในงานหาเสียงของนักการเมืองพรรคเสรีนิยมประชาธิปไตย เช่นกัน

        ฝ่ายตรงข้ามของประธานาะิบดี "วลาติมีร์ ปูตินแห่ง รัสเซีย ตกเป็นเหยื่อของการลอบสังหารบ่อยครั้ง
ในปี 2006 นักข่าวสืบสวนสองสวน แอนนา โพลิคอฟสกายา ถูกยิงเสียชีวิตในอาคารอพาร์ตเมนต์ของเธอในมอสโกว เธอเป็นหนึ่งในนักข่าวกว่าสองโหลที่ถูกลอบสังหารในช่วงที่ปูตินดำรงตำแหน่ง ผุ้เสียชีวิตเกือบหนึ่งในสี่มาจาหนังสือพิมพ์อิสระ Novaya Gazeta ในปี 2021 ดมิทรี มุราดอฟ บรรณธิการบริหารหนังสือพิมพ์ดังกล่าว ได้รับรางวัง โนเบลสาขาสันติภาพ สำหรับ "ความพยายามในการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก"  นักการเมืองฝ่ายค้าน บอริส เนมต์ซอฟ ถุกยิงเสียชีวิตในจุดที่เครมลินมองเห็น ในปี 2015 และ อเล็กเซย์ นาวัลนี นักรณรงค์ต่อต้านการทุจริตถุกวางยาพิษ ปี 2020 ด้วย โนวิช็อก ซึ่งเป็นสารพิษที่โซเวียตคิดค้นขึ้น นาวัลนี ป่วยหนักและต้องใจ้เวบาหนึ่งเดือนในการพักฟื้นที่เยอรมัน แต่ถูกจำคุกทันทีเมือกลับถึงรัสเซีย นอกจากนักข่าวและผุ้นำฝ่ายค้านแล้ว เจ้าหน้าที่ข่าวกรองรัสเซียที่แปรพักตร์ไปอยู่กับตะวันตกก็ตกเป็นเป้าหมายด้วยเช่นกัน อดีต เจ้าหน้าที่ หน่วยข่าวกรองของรัฐบาลกลาง อเล็กซานเดอร์ ลิทวิเนนโก ถูกวางยาพิษโพโลเนียม-210 จะเสียชีวิต ในปี 2006 ขณะกำลังดื่มชาในดรงแรมในลอนดอน และอดีตเจ้าหน้าที่ หน่วยข่าวกรองทหารรัสเซียเชอร์เกย์ สคริปาล ถุกวางยาพิษ 2018 พร้อมกับลุกสาวของเขาในการโจมตีด้วย โนวิช็อก ที่เมือง ซอลส์บรี ประเทศอังกฤษแม้ว่าครอบครัวเขาจะฟื้นตัวได้ในที่สุด แต่หญิงชาวอังกฤษซึ่งสัมผัสกับภาชนะที่ใช้ขนส่งก็ล้มป่วยและเสียชีวิต 

แรงจูงใจในการลอบสังหารนั้นแตกต่างกันไป (และมักจะซับซ้อนและหลากหลาย) ในบางกรณี นักฆ๋าต้องการบัคับให้เกิดการเแลี่ยนแปลงในความเป็นผุ้นำหรือรุปแบบของรัฐบาล การลอบสังหารดังกล่าวมักเกิดขึ้นระกว่างการ รัฐประหารทางทหาร เช่นกรณีการโค่นล้มประานาธิบดี โง ดินห์ เดียม ในเวียดนามใต้ ปี 1963 และ โทมัส ซังการา ในบูร์กินาฟาโซปี 1987 นักฆ่าอาจต้องการอำนาจ หรือกาจมุ่งไปที่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในลักษณะที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคม (หรือทั้งสองอย่างป ในบางครัง ชาวกรีก และดรมันโบราณ ใช้การสังหารทรราชหรือการสังหารทรราชหรือเผด็จการเพื่อประโยชน์สาธารณะ 

          การสังหารอีกประเภหนึ่ง มักเรียกว่า "การโฆษณาชวนเชื่อโดยการกระทำ" ออกแบบมาเพื่อสร้างกระแสให้กับดลกทัศน์นักอนาธิปไตยบางคน ในศตวรรษทีี 19 เป็นผุ้สนบสนุนการฆาตกรรมเชิงสัญลักษณ์


ดังกล่าวซึ่งพวกเขาหวังว่่าจะแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของรัฐบาลและสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการกบฎ นักอนาธิปไตยสังหารผุ้ปกครองหลายคนในยุดรปในช่วงปลายศตวรรษทีี 19 (รวมทั้งในอิตาลี สเปน และฝรั่งเศส) ช่นเดียวกับประธานาะิบดี วิลเลียมแม็กคินลีย์แห่งสหรัฐอเมริกาสในปี 1901 องค์กร ก่อการร้ายและกึ่งทหารจำนวนหนึ่งใช้การลอบสังหารผเช่นเดียวกับการสังหาพลเมืองทั่วไป) เพื่อวัตถุประสงค์ในการโฆษณาชวนเชื่อ ในศตวรรษที่ 20 องค์กรดังกล่าวรวมถึงกองทัพแดงในเยอมันกองพลแดงในอิตาลี กองทัพสาะารณรัฐไอร์แลนด์ในไอร์แลนด์เหนือกุ่มแบงแยกดินแดนบาสก์ ในสเปน และกลุ่มกองดจรและหน่วยกึ่งทหารในหลายส่วนของโลก

       
 รัฐบาบเองก็ใช้การลอบสังหารเป็นอาวุธต่อต้านคู่แข่ง ผุ้เห็นต่าง และภัยคุกคามอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น ในหมู่พลเมืองของตนเองและของประเทศอื่นๆ ตัวอย่างที่โดดเด่น ของการปฏิบัติการคือ ปฏิบัติการ Wrath of God ซึ่งเป็นการลอบสังหารของอิสราเอลที่มุ่งแก้แค้นการลักพาตัวและสังหารนักกีฆาอิสราเอล 11 คน ดดยนักรบปาเลสไตน์ในปี 1972 ที่การแข่งขันกีฆาโอลิมปิกที่มิวนิกในบางกรณี นักฆ่าพยายามแก้แค้นการกระทผิดที่เกิดขึ้นจริงหรือที่คิดไปเอง การลอบสังหารประธานาธิบดี เจมส์ เอ. การ์ฟิลด์ แห่งสหรัฐอเมริกา ในปี 1881 เป็นตัวอย่างทั่วไปของการลอบสังหารเพื่อแก้แค้น การ์ฟิลด์ถุกชาร์ลส์ กีโด ผุ้แสวงหาตำแหน่งที่ขัดขวางไม่ให้เข้าดำรงตำแหน่ง ซึค่งเชื่อว่าเขาไปม่ได้รับคำตอบแทนทางการเมืองที่สมควรได้รับอย่างไม่ถูกต้อง การลอบสังหารประธานธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นแห่งสหรัฐอเมริกาในปี 1865 เป็นอีกตัวอย่างของการลอบสังหารเพื่อแก้แค้น นักฆ่าซึ่งเป็นผุ้สนับสนุนการมีทาสอย่างคลั่งไคล้ชื่อ จอห์น วิลค์ส บุธ พยายามแก้แค้นให้กับความพ่ายแพ้ของสมาพันธรัฐ ในสงครามกลางเมืองอเมริกา

        แรงจูงใจในการลอบสังหารไม่ชัดเจนเสมอไป ความไม่แน่นอนได้เกิดขึ้นรอบ ๆ สภานการณ์การลอบสังหารประะานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดีแหงสหรัฐอเมริกาในปี 1963 เป็นต้น คณะกรรมาะิการวาร์เรน ได้ค้นพบอย่างเป็นทางการวา่มือปืนคนเดียวชื่อ ลี อาร์วีย์ ออสวอลด์ สังหารเคนเนดี้ด้วยแรงจูงใจส่วนตัวบางอย่างที่ยังไม่ได้เปิดเผย อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีสมคบคิด จำนวนมาก กล่าวหาว่าออสวอลด์เป็นส่วนหนึ่งของแผนการบางอยางที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผย...https://www.britannica.com/topic/assassination

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Electoral System

            ระบบการเลือกต้้งหรือระบบการลงคะแนนเสียงเป็นชุดกฎที่กำหนดว่าการเลือกตั้งแลการลงประชา
มติจะำเนินไปอย่างไรและผลการลงคะแนนเสียงจะเป็นอย่างไร ระบบการเลือกต้้งสใช้ในทางการเมืองเพื่อเลือกรัฐบาล ในขณะที่การเลือกตั้งที่ไม่ใช่ทางการเมืองอาจเกิดขึ้ในะุรกิจองค์กรไม่แสวงหากำไรและองคกรทีไม่เป็นทางการกฎเหล่านี้ควบคุมทุ่กแง่มุมของกระบวนการลงคะแนนเสียง  และปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ ระบบการเลือกตั้งากงารเมืองถุกกำหนดโดยรัฐะรรมนูญและกฎมหายการเลือกตั้ง โดยทั่วไปดำินินการโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และสามารถใช้การเลือตตั้งประเภทต่างสำไรับตำแหน่งต่างๆ ได้

          ระบบเลือกตั้งบางะรบบจะเลือกผุ้ชนะเพียงคนเดียวให้ดำรงตำแหน่งพิเศษ เช่น นายกรัฐมนตรี ประานาธิบดี หรือผุ้ว่าการรัฐ ในขณะที่ระบบอื่น จะเลือกผุ้ชนะหลายคน เช่น สมาชิกรัฐสภาหรือคณะกรรมการบริหาร เมืองเลิกสภาพนิติบัญญัติพื้นที่อาจถุกแบ่งออกป็นเขตเลือกตั้งทีมีตัวแทนหนึ่งคนหรือมากกว่านั้น หรือผุ้มีสิทธิเลือกตั้งอาเลือกตัวแทนเป็นหน่วยเดียว ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งอาจลงคะแนนโดยตรงให้กับผุ้สมัครแต่ละคนหรือให้กับรายชื่อผุ้สมัครที่พรรคการเมืองหรือพันธมิตรเสนอชื่อระบบการเลือกตั้งมีหลายรูปแบบโดยรูปแบบที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ ระบบการเป็นตัวแทนตามสัดส่วนแบบบัญชีรายชือพรรค การลงคะแนนเสียงแบบ คะแนนเสียงข้างมาก การลงคะแนนเสยง แบบสองรอบ(การลงคะแนนเสียงรอบสุดท้ายป และการลงคะแนนเสียงแบบจัดอันดับ(STV หรือการลงคะแนนเสียงรอบสุดท้ายทันจที) ระบบแบบผสมและระบการเลือกตั้งอื่นๆ พยายามที่จะรวมข้อดีของระบบที่ไม่เป็นสัดส่วนและระบบตามสัดส่วนเข้าด้วยกัน

         สหรัฐอเมริการมีระบบการปกครองแบบประธานาธิบดี ซึ่งหมายคึวามว่าฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญัติได้รับการเลือกตั้งแกจากกัน มาตรา II ของรัฐธรมนูญสหรัญฯกำหนให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยคณะผ้เลือกต้องเกิดขึ้นในวันเดียวกันทั่วทั้งประเทศมาตรา I กำหนดว่าการเลือกตึ้งตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาสามารถจัดขึ้นในเวลาต่างกันได้การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาและประธานาธิบดีจะจัดขึันพร้อมกันทุกๆ สี่ปี และการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาระหว่างนั้นซึ่งจัดขึ้นทุกๆ สองปี เรียกว่าการเลือกตั้งกลางเทอม

        รัฐธรรมนูญระบุว่าสมาชิกสภาผุ้แทรราษำรของสหรัฐอเมริกาต้องมีอายุอย่างน้อย 25 ปี เป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกามาแล้วอย่างน้อย 7 ปี และเป็นอยุ่อาศัย(ถูกกฎหมาย) ในรัฐที่ตนเป็นตัวแทนวุฒิสมาชิกต้องมีอายุอย่างน้อย 30 ปี เป็นพลเมืองของสหรัฐที่ตนเป็นตัวแทน ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีต้องมีอายุอยางน้อย 35 ปี เป็นพลเมืองโดยกำเนิดของสหรัฐอเมริกา และเป็นผุ้อยุ่อาศัยในสหรัฐอเมริกามา


แล้ว14 ปี เป็นความรับผิดชอบของสภานิติบัญญัติของรัฐในการควบคุมคุณสมบัติของผุ้สมัครที่ปรากฎบนบัตรลงคะแนน แม้ว่าเพื่อที่จะได้ลงบัตรลงคะแนน ผุ้สมัครมักจะต้องรวบรวมลายเซ็นให้ได้จำนวนที่กำหนดตามกฎหมายหรือปฏิบัติตามข้อกำหนดเฉพาะของรัฐอื่นๆ 

          การเลือกตั้งประธานาธิบดี

          ประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีได้รับเลือกพร้อมกันในการเลือกตั้งประธานาะิบดีเป้นการเลือกตั้งทางอ้อม โดยผุ้ชนะจะถูกกำหนดโดยคะแนนเสียงที่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งจากคณะผุ้เลือกตั้งมอบให้ ในยุคปัจจุบัน ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละรัฐจะเลือกกลุ่มผุ้มีสิทะิเลือกตั้งจากรายชื่อกลุ่มผุ้มีสิทธิเลือกตั้งหลายกลุ่มที่กำหนดดดยพรรคการเมืองหรือผุ้สมัครที่แตกต่างกัน และผุ้มีสิทธิเลือกตั้งมักจะสัญญาล่วงหน้าวาจะลงคะแนนเสียงให้กับผุ้สมัครของพรรคของตน (ซึ่งโดยปกติชื่อของผุ้สมัครชิงตำแหน่งประถธานาธิบดีจะปรากฎบนบัตรลงคะแนนมากกวา่ชื่อผุ้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคน) ผุ้ชนะการเลือกตั้งคือผุ้สมัครที่มีคะแนนเสียงคณะผุ้เลือกต้งอยางน้อย 270 คะแนน ผุ้สมัครอาจชนะคะแนนเสียงเลือกตั้งและแพ้คะแนนนิยม(ทั่วประเทศ) (ได้รับคะแนนเสียงน้อยกวาผุ้สมัครอันดับสองทั่วประเทศ) เหตุการณืนี้เกิดขึ้น ห้าครั้งในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะมีการให้สัตยาบัน (การแก้ไขเพ่ิมเติมครั้งที่ 12 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ) ผู้ที่ได้ตำแหน่งรองประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปรธานาธิบดี ได้กลายมาเป็นรองประธานาธิบดี

            คะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้งจะมาจากแต่ละรัฐโดยกลุ่มผุ้เลือกตัง ดดยผุ้เลือกตั้งแต่ละคนจะลงะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้งหนึ่งเสียง จนกระทั่งมีการแก้ไขเพื่มเติมรัฐะรรมนูญสหรัฐฯครั้งที่ 23 พลเมืองจากเขาโคลัมเบียไม่มีตัวแทนและ/หรือผุ้เลือกตั้งในคณะผุ้เลือกตั้ง ในยุคปัจจุบัน ผุ้เลือกต้งมักจะมุ่งเน้นที่จะลงคะแนนเสียงให้กับผุ้สมัครจากพรรคการเมืองล่วงหน้า ผุ้เลือกตั้งที่ลงคะแนนเสียงไม่เห็นด้วยกับคะแนนนิยมในรัฐของตนจะถูกเรียกว่าผุ้เลือกตั้งที่ไม่ซื่อสัตย์และเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นน้อยมาก กฎหมายของรับควบคุมวิะีที่รัฐต่างๆ ลงคะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้ง ใสนรัฐทั้งหมดยกเว้นเมนและเนเบรสกา ผุ้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดในรัฐจะไดรับคะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้งทั้งหมาด(ระบบ"ผู้ชนะได้ทั้งหมด") ตั้งแตปี 1972 ในรัฐเมน และตั้งแต่ปี 1996 ในรัฐเนแรสกา คะแนนเสียงเลือกต้งสองคะแนนจะมองให้กับผุ้ชนะการเลือตั้งระดับรัฐ และคะแนนที่เหลือ (สองคะแนนในรัฐเมน และสามคะแนนในรัฐเนเบรสกา) มอบให้กับผุ้ชนะคะแนนเสียงสูงสุดในแต่ละเขตเลือกตั้งของรัฐ

            การเลือกตั้งวุฒิสภา

            วุฒิสภาแระกอบด้วยสมาชิก 100 คน ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง 6 ปี ในเขตเลือกตั้งที่ มีที่นั่ง 2 ที่
นั่ง (รัฐละ2 ที่นั่ง) โดยหนึ่งในสามจะได้รับการต่ออายุทุกๆ สองปี กลุ่มที่นั่งในวุฒิสภาที่ขึ้นสู่การเลือกตั้งในแต่ละปีเรียกว่า "คลาส" โดยทั่งสามคลาสจะสลับกันเพื่อให้มีการต่ออายุเพียงกลุ่มเดียวจากสามกลุ่มทุกๆ สองปี จนกระทั่งการแก้ไขเพิ่มเติม รัฐะรมนูญสหรัฐอเมริกาครั้งที่ 17 ในปี 1913 รัฐต่างๆ เป็นผุ้เลือกวิธีเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา และมักได้รับเลือกโดยสภานิติบัญญัติของรัฐ ไม่ใช้ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งของรัฐ

           สภาผุ้แทนราษำรมีสมาชิก 435 ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง 2 ปี ในเขตเลือกตั้ง ที่มีที่นั่งเดียวการเลือกตั้งสภาผุ่้แทนราษฎรจัดขึ้นุกๆ สองปี ในวันอังคารแรกหลังวันที่ 1 พฤศจิกายนในปี คู่ การเลือกตั้งสภาผุ้แทรราษฎรพิเศษสามารถเกิดขึ้นได้หากสมาชิกเสียชีวิตหรือลาออกระหว่าดำรงตำแหน่ง การเลือกตั้งสภาผุ้แทรราษฎรเป็นการเลือกตั้ง แบบคะแนนเสียงข้างมาก ซึ่งเลือกผุ้แทนจากเขตเลือกตั้งของสภาผุ้แทนราษฎร 435 เขตที่่ครอบคลุมสหรัฐอเมริกาผุ้แทนที่ไม่มีสิทธิออกเสียง เลือกตั้งจากวอชิงตัน ดี.ซี. และดินแดนของอเมริกันซาัว กวม หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียน เปอร์โตริโก และหมุ่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา ก็ได้รับการเลือกตั้งเช่นกัน

          การเลือกตั้งสภาผู้แทนราษำรจะเกิดขึ้นทุกๆ สองปี โดยสอดคล้องกับการเลือกตั้งปรธานาะิบดีหรือในขช่วงกลางวาระของประธานาธิบดีผุ้แทนสภาผุ้แทนราษฎรของเปอร์โตริโก ซึ่งเรียกอย่างเป็นทางการว่ากรรมาธิการประจำเปอร์โตริโกจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสี่ปี  ซึ่งตรงกับวาระของประธานาธิบดี

          เนื่องจากคณะกรรมการแบ่งเตเลือกตั้งของรัฐต่างๆ มักมีการแบ่งเขตเลือกตั้ตามพรรคการเมือง จึงมักมีการแบ่งเขตเลือกตั้งเพื่อให้ผุ้ดำรงตำแหน่งได้รับประโยชน์ แนวโน้มที่เพ่ิมขึ้นคือผุ้ดำรงตำแหน่งจะได้เปรียบอยางท่วมท้นในการเลือกต้งสภาผุ้แทนราษฎร และตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 1994 เป็นต้นมา จำนวนที่นั่งที่เปลี่ยนมือไปในแต่ละการเลือกตั้งมีจำนวนน้อยผิดปกติ เนืองจากการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบไม่เป็นธรรม ทำให้ที่นั่งในสภาผุ้แทนราษฎรไม่ถึง 10% ของที่นั่งทั้งหมดในแต่ละรอบการเือกต้ง สมาชิกสภาผุ้แทนราษฎรมากว่า 90% ได้รับการเลือกตั้งใหม่ทุกสองปี เนือ่งจากไม่มีการแข่งขันในการเลือกตั้ง การแบ่งเขตเลือกตังแบบไม่เป็นธรรมในสภาผุ้แทนราษฎร ร่วมกับข้อบกพร่องทั่วไปของ ระบบการลงคะแนนเสียง


แบบคะแนนเสียงข้างมากและการแบ่งแยกที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติในวุฒิสภและคณะผุ้เชือกตัง ส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างเปอร์เซ็นต์การสนับสนุนจากประชาชนต่อพรรคการเมืองต่างๆ กับระดับการเป็นตวแทนของพรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพบว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบไม่เป็นธรรมเป็นประโยชน์ต่อพรรครีพับลิกันมากกวาพรรคเดโมแครต

        การเลือกตั้งระดับรัฐ 

        กำหมายของรัฐและรัฐธรรมนูญซึ่งควบคุมโดยสภานิติบัญัติของรัฐจะควบคุมการเลือกตั้งในระดับรัฐและระดับท้องถ่ิน เจ้าหน้าที่ต่างๆ ในระดับรัฐได้รับการเลือกตั้งเนื่องจากการแบ่งแยกอำนาจมีผลใช้กับรัฐและรัฐบาลกลาง สภานิติบัญญัติของรัฐและฝ่ายบริหาร(ผุ้ว่าการรัฐ) จึงได้รับการเลือกตั้งแยกกันผุ้ว่าการรัฐ และรองผุ้ว่าการรัฐได้รับการเลือกตั้งในทุกๆ รัฐ ในบางรัฐ จะได้รับการเลือกตั้งแบบร่วมกัน และบางรัฐจะได้รับการเลือกตั้งแยกกัน บางแห่งจะได้รับการเลือกตั้งแยกกันในรอบการเลือกตั้ง ที่แตกต่างกัน ผุ้วา่ การรัฐในดินแดนอเมริกันซามัว กวม หมุ่เกาะนอร์เทิร์มาเรียนา เปอร์โตริโก และหมุ่เกาะเวอร์จินของสหรัฐฯ ก็ได้รับการเลือกตั้งเช่นกัน ในบางรัฐตำแหน่งผุ้บริหาร เช่นอัยการสูงสุดและเลขาะิการรัฐ ก็ไดัรบการเลือกตั้งเช่นกัน สมาชิก สภานิติบัญญัติของรับและสภานิติบัญญัติในเขตอำนาจศาลทั้งหมดได้รับการเลือกตั้ง ในบางรัฐ สมาชิกของศาลฎีกาของรัฐและสมาชิกคนอื่นๆ ของตุลาการของรัฐจะได้รับการเลือกตั้งข้อเสนอแก้ไขรัฐะรรมนูญของรับยังถุกนำไปลงคะแนนเสียงในบางรัฐด้วย 

         เพื่อความสำดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย การเลือกต้งสำหรับตำแหน่งระดับรัฐและระดับท้องถิ่นหลายแห่งจึงจัดขึ้นในเวลาเดีวยกันกับการเลือกตั้งประธานาะิบดีระดับกลางหรือการเลือกต้งกลางเทอมอย่างไรก็ตาม มีรัฐจำนวนหนึ่งที่จัดการเลือกตั้งใน "ปีคี่" แทน

          การเลือกตั้งท้องถ่ิน

          ในระดับท้องถ่ิน ตำแหน่งในรัฐบาล ระดับเทศมณฑล และเมืองมักถุกเติมเต็มโดยการเลือกตั้ง ดดยเฉาพะอยางยิ่งภายในฝ่ายนิติบัญญัติขอบเขตของตำแหน่งในฝ่ายบริหารหรือฝ่ายตุลาการได้รับการเลือกตั้งแตกต่างกันไปในแต่ละเทศมณฑลหรือแต่ละเมือง ตัวอยางบางส่นขอตำแหน่งที่ได้รับการเลือกตั้งในระดับท้องถ่ิน ได้แก่ นายอำเภอในระดับเทศมณฑลนายกเทศมนตรีและสมาชิก ๕ณะกรรมการโรงเรียน ในระดับเมือง เช่นเดียวกับการเลือกตั้งระดับรัฐ การเลือกตั้งสำหรับตำแหน่งในท้องถ่ินเฉพาะอาจจัดขึ้นในเวลาเดียวกันกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี การเลือกตั้งกลางเทอม หรือการเลือกตั้งนอกปี

           การเลือกต้งชนเผ่า

           ตำแหน่งในรัฐบาลของชนเผ่า พื้นเมืองอเมริกันหลายตำแหน่งรวมถึงตำแหน่งบริหารและนิติบัญญํติ มักจะได้รับการเลือกตั้ง ในบางกรณ๊พลเมืองของชนเผ่าจะเลือกสมาชิกสภาซึ่งจะเลือกหัวหน้าฝ่ายบริหาร


จากในองค์กรของตน จำนวนตำแหน่งและตำแหน่งที่ใช้แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐบาลของชนเผ่า แต่ตำแหน่งทั่วไปสำหรัีบตำแหน่งหัวหร้าฝ่ายบริหารของรับบาลของชนเผ่า ได้แก่ ประธานาธิบิดีผุ้ว่าการ หัวหน้าใหญ่ ประธาน และหัวหน้าเผ่า การเลือกตั้งเหล่านี้อาจจัดขึ้นร่วมกับการเลือกตั้งระดับรัฐบาลกลาง ระดับรัฐ หรือระดับท้องถิ่น แต่บ่อยครั้งที่จัดขึ้นดดยอิสระภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานการเลือกตั้งของชนเผ่า

            ชาวอเมริกันลงคะแนนเสียงให้กับผุ้สมัครรายหนึ่งโดยเฉพาะแทนที่จะเลือกพรรคการเมืองดดพรรคการเมืองเหนึ่งโดยตรงรฐะรรมฯุญของสหรัฐอเมริกาไม่เคยกล่าวถึงประเด็นของพรรคการเืองอย่างเป็นทางการบรรพบุรุษผุ้ก่อตั้งประเทศเช่น อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตันและเจมส์ เมดิสัน ไม่สนับสนุนกลุ่มการเมืองในประเทศ ในช่วงเวลาที่ร่างรัฐะรรมนูญ นอกจากนี้ ประธานาะิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา จอร์จ วอชิงตัน ไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใด ในช่วงเวลาที่ไดรับการเลือกต้งหรือตลอดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนอกจานี้ เขายังหวังว่าจะไม่มีการจัดตั้ง พรรคการเมืองขึ้นเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความขัดแย้งและความซบเซา อย่างไรก็ตารม จุดเริ่มต้นของระบบสองพรรค ของอเมริกา เกิดขึ้นจากกลุ่ม ที่ปรึกษาใกล้ชิดของเขา โดยแฮมิลตันและเมดิสันกลายเป็นผุ้นำหลักในระบบพรรคการเมืองที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่นี้ เนื่องจากกฎของดูแวร์เจอรืระบบสองพรรคจึงดำเนินต่ไปหลังจากการก่อตั้งพรรคการเมือง ดดยยังคงใช้ระบบการเลือกตั้งแบบคะแนนเสียงข้างมาก (กฎของดูแวร์เจอร์ ระบุว่าในระบบการเมืองที่มีผุ้ชนะเพียงคนเดียว เช่นในอเมริกา มีแนวโน้มทีจะมีพรรคการเมืองหลักสองพรรคเกิดขั้นดดยที่พรรคการเืองรองมักจะแบ่งคะแนนเสียงออกจากพรรคการเมืองหลักทีมีความคล้ายคลึงกัมากที่สุด ในทางตรงกันข้าม ระบบที่มีการเลือกตั้งตามสัดส่วนมักจะมีตัวแทนของพรรคการเมืองรองในรัฐบาลมากกว่า)

           https://en.wikipedia.org/wiki/Duverger%27s_law

          https://en.wikipedia.org/wiki/Electoral_system



วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

The assassination attempt "Trump"


        ชัยชนะหลังจากความพยายามลอบสังหาร

         เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผุ้ได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาะิบดีอย่างเป็นทางการของพรรครีพัลลิกันในการประชุมใหญ่แห่งชาติของพรรคที่วิสคอนซิน 

           ตัวทรัมปืเองได้รับกำลังใจอย่าเต็มเปี่ยมจากผุ้เข้าร่วมและวิทยากรในเมืองมิวอกี ขณะที่เขากำลังฟื้นตัวจากความพยายามบอลสังหารที่การชุมนุมหาเสียงในวันเสาร์ ในขณะที่หน่วยงานหนึ่งของกระทรวงยุติธรรมยังคงดำเนินการสืบสวนแรงจูงใจของชายก่อเหตุ ในเช้าวันจันทร์ผุ้พิพกาษาของรัฐบาลกลางไดอ้ออกามาประการสิ่งที่น่าตกตะลึกอีกครังนั้นคือ ผุ้พิพากษา Aileen Cannon ได้ยกฟ้องคดีของรับบาลกลางทังหมดที่ฟ้องอดีตประธานาะิบดีเกี่ยวกับการจัดการกับเอกสารลับของเขา คำตัดสินของแคนนอนทำให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะทากฎหมายที่สำคัญในวันแรกของการประชุม RNC 

            ทรัมป์แสดงความยินดีกับการเคลื่อไหวดังกล่าวและเรียกอร้งให้ยกฟ้องคดีอาญาอีก 3 คดีที่ตนถุ
กดำเนินคดี

            การพยายามลอบสังหาร FBI ระบุวา ดทมัส แมทธิว ครุกส์ ชายที่ถูกกล่าวหาว่ยิงทรัมปื ในการชุมนุมทางการเมืองที่เมืองบัตเลอร์ รับเพนซิลเวเนีย เมื่อวันเสาร์ เช่อว่าลงมือเพียงลำพัง เจ้าหน้าที่เปิดเผยกับสื่อเมื่อสุดสัปดาหืนี้ว่า ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าครุกส์ก่อเหตุดังกล่าว

           ทรัมป์กล่าวว่า กระสุนปืนเจาะเข้าที่หูขวาส่วนบนของเขา มีผุ้เสียชีวิต 1 ราย ซึ่งระบุในวันอาทิตย์ว่าชื่อ คอรี คอมเพอราทอรี อายุ 50 ปี จากการโจมตีครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีผุ้ได้รับบาดเจ็บอีก 2 ราย ก่อนที่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองจะสังหารคุกส์

           
ผู้สืบสวนกล่าว่าพ่อของเขาซื้ออาวุธที่ใช้ในการโจมตี ซึ่งเป็นปืน ไรเฟิลแบบ AR556 และตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังพยายามหาคำตอบว่า ครุกส์ เข้าถึงอาวุธนั้นได้อยางไร 

           แหล่งข่าวใกล้ชิดกับการสอบสวนซึ่งได้ได้รับอนุญาจให้เปิดเผยต่อสาธารณะ กล่าวว่า ปืนกระบอกดับกล่าวซื้อมาเมือประมาณ 6 เดือนที่แล้ว นอกจากนี แหล่งข่าวยังยืนยันด้วยว่าพบอุปกร์ระเบิดที่อาจใช้งานได้อย่าง้อย 1 ชิ่้น ในรถของผุ้ต้องสงสัยที่เสียชีวิต
           โรเบิร์ต เวลส์ ผุ้ช่วยผุ้อำนวยการฝ่ายต่อต้านการก่อการร้ายของ เอฟบีไอ กล่าวเมือวันอาทิตย์ว่า สำนักงานกำลังสืบสวนเหตุการณ์นี้ในฐานะ "การก่อการร้ายภายในประเทศ"


                  ที่มา : https://www.npr.org/2024/07/14/nx-s1-5039185/who-was-alleged-trump-rally-shooter-thomas-matthew-crooks

Party Factions

      กลุ่มการเมืองคือกลุ่มบุคคลที่มี จุดมุ่งหมาย ทางการเมือง ร่วมกั้นโดยเฉพาะกฃุ่มยอ่ยของรรคการเมืองที่มีผลประดยชน์หรือความคิดเห็นที่แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ ความขัดแย้งภายในกลุ่มระหวางกลุ่มต่างๆ อาจนำไปสู่การแตกแยกของพรรคการเมืองออกเป็นสองพรรคการเมือง ระบบการเลือกตั้ง เลย์ เดอ เลมัสส์ เป็นรูปแบบการเลือกตัวแทนตามสัทดส่วนแบบรายชื่อเป็น ซึงใช้หรือเคยใช้้ในการเลือกตั้งในอาร์เจนติน่า อุรุกวัย และฮอนดูรัส อนุญาตให้ผู้ลงคะแนนเสียงระบุในบัตรลงคะแนนว่าตนชอบกลุ่มการเมืองใดภายในพรรคการเมืองหนึ่ง หลุ่มการเมืองสามารถเป็นตัวแทนของกลุ่มผุ้ลงคะแนนเสียงได้ 



           จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิดบีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ได้เตือนถึงกลุ่มการเมืองต่างๆ ในคำอำลาที่่โด่งดังของเขา

           " โดยไม่ต้องมองไปข้องกหน้าถึงความสุดโต่งในลักษณะนี้(ซึ่งอย่างไรก็ตามไม่ควรจะหลุดลอยไปจากสายตาโดยสิ้นเชิง) ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั่วไปและต่อเนื่องของจิตวิญญาณแห่งพรรคก็เพียงพอที่จะทไใ้เป็นผลประดยชน์และหน้าที่ของประชาชนผุ้ชาญฉลาดทีจะขัดขวางและยับยั้งมัน(การก่อตัวและการภักดีต่อผลประโยชน์ของพรรคการเมือง มากเกินไปต่อหลักการหรือประเทศของตน)

           กลุ่มต่างๆ ในพรรครีพับลิกัน (สหรัฐอเมริกา)

           ประกอบด้วยกลุ่มต่างๆ หลายกลุ่ม ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 อาทิ กลุ่มฮาล์ฟบรีด ซึ่งสนับสนุนการปฏิรูประบราชการ กลุ่มเรดิคัลรีพับลิกัน สนับสนุนการยกเลิกทาสทันที่และโดยสิ้นเชิง และต่อมาสนับสนุนสิทธิพลเมืองของทาสที่ได้รับอิสรภาพในยุคการฟื้นฟู และกลุ่มสตัลวาร์ด ซึ่งสนับสนุนการเมืองแบบเครื่องจักร

          ในศตวรรษที่ 20 ได้แก่ พรรครีพับลิกันสายก้าวหน้า พรรคร่วมรัฐบาลของเรแกน และ พรรครีพับลิกันสายเสรีนิยมของร็อกกี้เฟลเลอร์

          ศตวรรษที่ 21 กลุ่มรีพับลิกันประกอบด้วกกลุ่มอนุรัษ์นิยม (ซึ่งมีตัวแทนในสภาผุ้แทนราษฎร โดยคณะกรรมการศึกษาพรรครีพับลิกัน และกลุ่มเสรีภาพ) กลุ่มสายกลาง (ซึ่งมีตัวแทนในสภา ผุแทนราษฎร โดยกลุ่มการปกครอง พรรครีพับลิกัน กลุ่มถนนสายหลักของพรรคริพับฃิกัน และสมาชิกกลุ่มแก้ปัญหาพรรครีพับลิกัน) และกลุ่มเสรีนิยม (ซึ่งมีตัวแทนในรัฐสภา ดดยกลุ่มเสรีภาพรรครีพับลิกัน กลุ่มที่สนับสนุนทรัมป์ และต่อต้านทรัมป์ 

        กลุ่มต่างๆ ในพรรคเดโมแครต (สหรัฐอเมริกา)

        เป็นพรรคการเมืองที่ประกอบด้วยกลุ่มต่างๆ กลุ่มเสรีนิยมสนับสนุนเสรีนิยมใหม่ที่เร่ิมต้นด่้วยนโยบาย นิวดีล ในช่วงทศวรรษที่ 1930 และดำเนินต่อไปด้วยนโยบาย นิวฟรอนเทียร์ และเกรทโซไซตี้ในช่วงทศวรรษท 1960 กลุ่มสายกลางสนับสนุนการเมือง แนวที่สาม ซึ่งรวมถึงนดยบายสังคมฝ่ายกลางซ้ายและนดยบายการคลังสายกลาง กลุ่มกาวหน้าสนับสนุนแนวคิดก้าวหน้า

          ในอเมริกาความผิดปกติทางการเมืองกระตุ้นให้เกิดความสนใจในการปฏิรูปพรรคการเมืองอีกครั้ง บางคนต้องการให้พรรคการเมืองกระจายอำนาจออกไปเพื่อให้มีระบบกลายพรรคการเมือง ในขณะที่บางคนต้องการให้พรรคการเมืองทั้งสองพรรคของรามีความเข้มแข็งและมีลำดับชั้นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการเปลียนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการเมือง อาจต้องหารวิธีที่จะทำงานภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยุ่ และในช่วงศตวรรษครั่งที่ผ่านมา กลุ่มต่างๆ ภายในพรรคได้บรรลุเป้าหมายหลายประการที่นักปฏิรูปหวังไว้ กลุ่มต่างๆ เหบ่านี้มีบทบาทสำคัญแต่ไม่ได้รับการยอมรับมากนักในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกา อย่างน้อยก็ตั้งแต่สงครามกลางเมือง

          การเน้นเฉพาะกลุ่มภายในพรรคการเมืองมากกวาพรรคการเมืองโดยรวมทำให้ระบบพรรคการเมืองของอเมริกามีมุมมองใหม่ และทำให้เราได้แนวคิดทีา่ชีดเจนเกี่ยวักบการปฏิรูปรรคการเมือง แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากในสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่แตกแยกและแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่การสร้างกลุ่มการเมืองที่มุ่งเน้นการบริหารที่เน้นในทางปฏิบัติ ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเืพ่อมิติของความหลากหลายในเชิงเนื้อหาให้กับระบบสองพรรคการเมือง ขณะเดียวกันก็เพ่ิมความแข็งแกร่งให้กับพรรคการเมืองในฐานะเครื่องมือในการบริหารการรวมกลุ่มดังกล่วอาจทำให้ความสามัคคีของพรรคการเมืองลดลง แต่ในทางกลับกัน กลุ่มการเมืองเหล่านี้อาจเพ่ิมความสมารถในการาบริหารของพรรคการเมืองได้เช่นกัน 

             พรรคการเมืองอเิมริกันทั้งสองพรรคเป็น "พรรคใหญ่" โครงสร้างพื้นฐานของระบอเมริกัน ซึ่งก็คือกฎที่ผุ้ชนะกินรวบในการเลือกต้้ง สมาชิกสภาพผุ้แทนราษฎร วุฒิสมาชิก และประธานาธิบดี (ผ่านคณะผุ้เลือกตั้ง) หมายความว่าการได้ที่สอง ไม่ต้องพูดถึงที่สามหรือที่สี่ ก็ไม่มีความหมายในแง่ของการปกครอง ในระบบที่ผุ้ชนะกินรวบ พรรคการเมืองที่สามเป็นเพียงผุ้ทำลาย ซึ่งเป็นเหตุว่่าทำไมพรรคการเมืองที่สามจึงมักอยุ่ได้ไม่เกินสองสามรอบการเลือกต้้ง แต่การที่พรรคการเมืองสองพรรคยังคงดำรงอยุ่ ไม่ได่้หมายความวว่าการเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ต้องมองภายในพรรคการเมืองแต่ละพรรคกในช่งหลายปีหลังสงครามกลางเมือง พรรครีพับลิกันแม้จะครองอำนาจอยุ่ แต่ก็ต้องต่อสู้ภายในอยางตอเนื่อง ระหวาง "พวกมักวัมพ์" "พวกหัวแข็ง" และ "พวกลูกครึ่ง" เมื่อถึงศตวรรษใหม่ พวกเขาถุกท้าทายโดยกลุ่มก้าวหน้า และต่อมาในช่วงทศวรรษ 1950 ก็ถูกท้่าทายโดยพรรครีพับลิกัน "ขวาใหม่" ขบวนการ "ทีปาร์ตี้" ยืนหยัดอยุ่ในแนวหน้าของการท้าทายภายในที่ยาวนานต่อผุ้ที่กุมอำนาจในพรรครีพับลิกัน

            เช่นเดียวกับพรรคเดโมแครต ซึ่งหลังจากสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลงพรรคได้เปลี่ยนมาเปฯพรรคประชานิยมที่เรียกว่า "ไม้กางเขนทองคำ" ในช่วผลายศตวรรษที่ 19 การเปลี่ยนแปลงพรรคดังกล่าวเป็นพรรคเพื่อสิทธิพลเมือง สิทธิสตรี และต่อมาเปนพรรคประชาธิปไตยใหม่เป็นผลจากการต่อสู้ภายในพรรคที่แบ่งแยกกัน

           ในการเมืองอเมริกันยุคใหม่ สถานที่ที่จะมองเห็นว่าเหตุใดและอย่างไรที่พรรคกาเรมืองจงเปลี่ยนแปลงไปก็คือการเลือกตั้งขั้นต้น ไม่เพียงแต่แค่การเลือกตั้งขั้นต้นของรัฐสภาพที่ "รอนแรง" เท่านั้น แต่รวมถึงการเลือกตั้งขั้นต้นของรับสภา ทุกครั้งที่มีการแข่งขันกัน แม้ว่าผุ้ท้าชิงจะไม่น่าจะชนะก็ตาม การต่อสุ้ภายในพรรคจะเกิดขึ้นดดยที่สาะารณชนไม่รับรุ้ การเลือกตั้งขั้ต้นเป็นเรื่องหใหม่ในวงการการเมืองอเมริกัน ตลอดประวัติศาสตร์ส่วนหใย่ ของอเมริกา การแข่งขันระหวางกลุ่มต่างๆ เพื่อชิงตำแหน่งผุ้นำพรรคและประเด็นที่พวกเขาจะเป็นตัวแทนนั้นเกิดขึ้นในห้องที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ตามสุภาษิตของการประชุมใหญ่พรรคการเมืองของรัฐ

        จากกาวิเคราะห์ในปี 2014 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มต่างๆ เป็นตัวขับเคลื่อแนวคิดภายในพรรคการเมือง  เช่น ความแตกแยกภายในกลุ่มต่างๆ ของพรรครีพัลลิกัน เกี่ยวกับการย้ายถ่ินฐาน ในขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันแทบทุกคนที่พุดถึงการย้ายถ่ินฐานคัดค้านการปฏิรุปการย้ายถ่ินฐานอยางครอบคลุม ผุ้สมัครพรรครีพัลลิกัน  41% กลับเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ ในบรรดาผุ้ที่พุดถึงเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีความสำคัญต่องพรรค "ที ปาร์ตี้" มากกว่ากลุ่มอื่นๆ ของพรรครีพับลิกัน เห็นได้ว่ากลุ่ม "ที ปาร์ตี้" จะพยายามขัดขวางการปฏิรูปการย้ายถ่ินฐานต่อไป

        เดโมแครต ผุ้สมัครเกือบครึ่งหนึ่งไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ แต่สำหรับผุ้ที่พุดนั้น เห็นได้ชัดจากสถิติว่า พรรคเดโมแครตที่ระบุตนเองว่าเป็น "ฝ่ายก้าวหน้า" กำังชับเคลื่อนประเด็นจี้ภายในพรคในระบบสองพรรคการเมืองซึ่งสนับสนุนโดยระบบการเลือกตั้งที่ผุ้ชนะได้ทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเืองพรรคการเมืองหนึ่งพรรคใดเปลี่ยนไปเป็นพรรคอื่นอัเป็นผลจากสงครามภายในระหวางกลุ่มของตนเอง

           มีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยวกับสภาแวดล้อมทางการเมืองในปัจจุบันของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเพื่อมขค้นและความแข็งแกร่งของกลุ่มการเมืองต่างๆ เนื่องจากผุ้ที่มีแนวคิดเหมือนกันมีความผูกพันกันอยางใกล้ชิดมากขึ้นในการผลักดันกฎหมายและการเปลี่ยนแปลง จึงมีแนวโน้มวาการทำงานร่วมกันในกลุ่มที่เหนียวแน่นจะมีอำนาจในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายผ่านรัฐสภา และยิ่งกลุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นก็จะยิ่งมีอำนาจมากขึ้น แต่เรืองนี้เป็นความจริงหรือไม่..

         เราได้ทำการวิเคราะห์เชิงคุณภาพตัวอยางขนาดใหญ่ของกลุ่มการเมืองภายในสภาผุ้แทรราษำรจำนวน 8 กลุ่มผ4 กลุ่มเป็นพรรครีพัลลิกัน 4 กลุ่มเป็นพรรคเดโมแครตป ซึ่งมีสมาชิกครอบคลุมกลุ่มอุดมการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ปี 1995-2016 และได้วิเคราะห์ว่าการสังกัดกลุ่มการเมืองของสมาชิกรัฐสภาเหล่านี้มีผลต่อคะแนนประสิทธิผลของนิติบัญัติหรือไม่

        เราพบหลังกฐานเชิงประจักษืว่าสมาชิกกลุ่มย่อยในพรรคการเมืองนี้มีประสิทธิผลมากกว่ากผุ้สมัครที่ไม่ได้อยุ่ในกลุ่มย่อย แต่ผุ้สมัคตที่อยุ่ในพรรคการเมืองเสียงข้างมากกลับไม่ประสบผลสำเร็จดังกล่าว ผลการศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่าการเป็นสมาชิกกลุ่มย่อยมในพรรคการเมืองเสียงข้างมากอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลของกฎหมายได้ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจย่ิงกว่าก็คือการวิจัยนั้น ขัดแย้งกับสมมติฐานสองข้อ คือ 1 ขนาดของกลุ่มมีผลกระทบต่ออำนาจและความสามัคคี และส่งผลต่อประสิทะิผลในการตรกกฎหมายและ 2 กลุ่มที่มีแนวทางสายกลางจะมีอิทธิพลมากกว่า

         กลุ่มพรรคกรเมืองต่างๆ สามารถมีอิทธิพลในกระบวนการออกกฎกหมายได้ แต่ไม่ใช่้ในลักษณะที่นักวิชาการและผุ้สังเกตุการณ์ทางการเมืองร่วมสมัยจะเข้าใจได้อย่างเ็มที่กล่าวอยางง่ายๆ ก็คือ ขนาดและจุดยืนทางอุดมการณ์ของกลุ่มพรรคการเมืองต่างๆ ไม่มีผลต่อประสิทธิผลในการออกกฎหมายของสมาชิกแต่กลุ่มต่างๆ มักจะมีอิทธิพลมากที่สุดเมื่อพรรคการเมืองที่พวกเขาสังกัดเสียเปรียบมากที่สุดในกระบวนการออกกฎหมายเนื่องจากสถานะของพวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อยในช่วงเวลาดังกล่าว สมาชิกกรรมาะิการเสนอโอกาสและหนทางให้นักกฎหมายก้าวไปข้งหน้า ซึ่งพวกเขาอาจไม่มีทางเลือกอื่น ผลการวิจัยเลห่รนี้มีความหมายสำคัญต่อความเข้าใจของเราเกี่ยวกับ รัฐสภา และมีความเกี่ยวข้องในทางปฏิบัติกับสมารชิกรัฐสภาที่อาจตึ้งคำถามถึงคุณค่าสัมพันธทของการเข้าร่วมกลุ่มการเมืองต่างๆ ในแง่ของประสิทธผลและความสำเร็จในการออกกฎหมายของตนเอง

              ที่มา : https://thelawmakers.org/legislative-research/how-effective-are-party-faction-members-in-congress

                       https://www.nationalaffairs.com/publications/detail/party-factions-and-american-politics

                       https://en.wikipedia.org/wiki/Democratic_Party_(United_States) 

                       https://en.wikipedia.org/wiki/Factions_in_the_Republican_Party_(United_States)

                       https://en.wikipedia.org/wiki/Political_faction

                        

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Political philosophy


           ปรัชญาการเมือง หรือ ทฤษำีการเมือง คือการ ศึกษาเชิงปรัชญาของรัฐบาลโดยจะกล่าวถึงประเด็น
ต่างๆ เกี่ยวกับธรรมชาติ ขอบเขต และความชอบธรรมของตัวแทรนแลสถาบันของรัฐ และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา หัวข้อต่างๆ ได้แก่การเมือง ความยุติธรรม เสรีภาพ ทรัพย์สิน สิทธิกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายโดยผุ้มีอำนาจสิงเหล่านี้คืออะไต จำเป็น หรือไม่ อะไรทำให้รัฐบาลมีความชอบธรรมสิทะิและเสรีถาำใดบ้าง ที่รัฐบาลควรปกป้อง ความีรุปแบบอย่างไร กฎหมายคืออะไร ละประชานมีหน้าทีใดบ้างต่อรัฐบาลที่มีความชอบธรรม และเมือใดที่รัฐบาลอาจถูกโค่นล้มโดยชอบธรรม หากเป็นไปได้

            ทฤษฎีการเมืองยังเกี่ยวข้องกับคำถามที่มี ขอบเขต กว้างขึ้น โดยเกี่ยวข้องกับ ธรรมชาติทางการเมืองของปรากฎการณืและหมวดหมุ่ต่างๆ เช่นอัตลักษณ์วัฒนธรรมเพศเช ้อชติความมั่งคั่งความสัมพันธืระหวางมนุษย์กับสิ่งอื่นๆ จริยะรรมศาสนาและอื่นๆอีกมากมาย

           รัฐศาสตร์ซึ่งเป็นการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเมืองมักใช้ในรูปเอกพจน์แต่ในภาษาฝรั่งเศสและสเปน จะใช้รูปพหุพจน์ ซึ่งอาจะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของสาขาวิชานี้

           ปรัชญาการเมืองเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา แต่ยังมีบทบาทสำคัญในรัฐศาสตร์ด้วยโดยมีการให้ความสำคัญอย่างมากกับประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมืองและทฤษฎีการเมืองรวมสมัย

          ปรัชญาการเมืองมีการศึกษากันมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ ทว่าตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี 1971 เมือจอห์น รอลส์ ตีพิมพ์ A Theory of Justice ปรัชญาการเมืองก็เสื่อมถอยลงในโลกวิชาการของอังกฤษ-อเมริกา เนืองจากนักปรัชญาเชิงวิเคราะห์แสดงความสงสัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ทีการตัดสินเชิงบรรทัดฐานจะมีเนือหาเชิงความรู้ และรัฐศาสตร์หันไปใข้วิธีการทางสถิติและพฤติกรรมนิยม ในทางกลับกัน ในยุโรปแผ่นดินใหญ่ ทศวรรษหลังสงครามได้เห็นการเจริญรุ่งเรืองของปรัชญาการเมืองอย่างมาก โดยมี ลัทธิมากซ์ครอบงำสาขานี้ โลกในยุคนั้นเป็นช่วงเวลาของ ฌอง-ปอล ซาร์ตร์และหลุยส์ อัลธู สเซอร์ และชัยชนะของเหมาเจ๋อตุง ในจีน และฟิเดล คสาดตรในคิวบา รวมถึงเหตุกาณ์ในเดื่อนพฤษภาคม 1969 ซึ่งนำไปสู่ความสนใจในอุดมการณืปฏิวัติที่เพ่ิมมากขึ้นโดยเแฑาะกลุ่ม นิวเลฟต์ ผุ้อพยพชาวยุโรปแผ่นดินหใญ่ไปยังบิรเตนและสหรัฐอเมริกา จึงมีการสนับสนุนให้มีการศึกษาปรัชญาการเมืองอย่างต่อเนื่องในโลกแองโกล-อเมริกา แต่ก็ยังคงมีความขัดแย้งกับสถาบันเชิงวิเคราะห์...

         ...ลัทธิคอมมิวนิสต์ยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงทศวรรษท 1950 และ 1960 ลัทะิล่าอาณานิคมและการเหยียดเชื้อชาติเป็นประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้น ดดยทั่วไปมีแนวโน้มที่ชัดเจนในการใช้แนวทางเชิงปฏิบัติต่อประเด็นทางการเมือง มากกว่าแนวทางเชิงปรัชญา การอภิปรายทางวิชาการจำนวนมากพิจารณาถึงหัวข้อเชิงปฏิยัติหนึ่งหรอืทั้งสองหัวข้อ ได้แก่ วิธี (หรือว่า) จะนำแนวคิดประดยชน์นิยม ไปใช้กับปัญหาของนดยบายการเมือง หรือ วิธี(หรือวา) จะนำแบบจำลองทางเศราฐกิจ (เช่นทฤษำีการเลือกที่มีเหตุผล)ไปใช้กับประเด็นทางการเมือง กาเพ่ิมขึ้นของบัทะิสตรีนิยมการเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่ม รักร่วมเพศ และการสิ้นสุดของการปกครองแบบอาณานิคมและการกีดกันทางการเมืองของชนกลุ่มน้อย เช่นชาวแอฟริกันอเมริกัน และชนกลุ่มน้อยทางเพศในโลกที่พัฒนาแล้ว ทำให้ความคิดของลัทะิสตรีนิยมหลังอาณานิคมและพหุวัฒนธรรมมีความสำคัญ สิ่งนี้ทำให้ชาร์ลส์ ดับเบิลยุ มิสส์ นักปรัชญา และ แคโรล เพตแมน ท้าทายสัญญาทางสังคมในหนังสือของเขาและเธอว่า สัญญาทางสังคมกัดกันบุคคลที่มีสีผิวและผุ้หญิงตามลำดับ

        ในปรัชญาการเมืองแบบวิชาการของแองโกล-อเมริกัน การตีพิม "อะ เธียรี ออฟ จัสติก" ของ จอห์น รอวลส์ ถือเป็นเหตุากรณืสำคัญ รอวลส์ ใช้การทดลองทางความคิด ซึ่งเป็นจุดยืนตั้งเดิมดดยที่พรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนเลือกหลักการแห่งความยุติะรรมสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของสังคมจาเหบื้องหลังม่านแห่งความไม่รู้ รอวลส์ ยังเสนอคำวิจารณืเกี่ยวกับแนวทางประโยชน์นิยมต่อคำถามเกี่ยวกับความยุติธรรมทางการเมืองอีกด้วย "โรเบิร์ต โนซิค ตอบสนองต่อ "รอวลส์" จากมุมมองของเสรีนิม ด้วยงานเขียนของเขาซึ่งได้ับรางวัลและความนับถือทางวิชาการสำหรับมุมมองเสรีนิยม

       ในเวลาเดียวกันกับที่จริยะรรมเชิงวิเคราะห์ให้ความคิดแบบแองโกล-อเมริกัน เร่ิมปรากฎขึ้นในยุโปร มีแนวปรัชญาใหม่หลายแนวที่มุ่งวิจารณืสังคมที่มีอยุ่  ส่วนใหญ่ใช้องค์ประกอบของการวิเคราะห์เศราฐกิจแบบมาร์กาซิสต์ แต่ผสมผสานเข้ากับการเน้นทางวัฒนะรรมหรอือุดมการ์มากขึ้น Guy Debord ได้นำการวิเคราะห์ของลัทะิมาร์กซิสต์เกี่ยวกับ การหลงไหลในสินค้าโภคภัณฑ์มาสู่ขอบเขตของการบริโภค และพิจารณาความสัมพันธ์ระหวางการบริโภคนิยมแลการก่อตัวของอุดมการณ์ที่ครอบงำ

       การอภิปรายอีกกรณีหนึ่ง อภิปราย ระหวางเสรีนิยมและชุมชนนิยม มักถุำมอง่ามีค่าในการสร้างปัญหาทางปรัชญาชุดใหม่ มากกว่าที่จะเป็นการปะทะกันของมุมอง ี่ลึกซึ้งและแจ่มแจ้ง ชุชนนิยมเหล่านี้และชุมชนนิยมอื่นๆ โต้แย้งว่า ขุมขนมีความสำคัยเหนือปัจเจกบุคคล ดังนั้นจึงควรเป็นศุนย์กลางของความสนใจทางการเมืองชุมใชนนิยมมักสนับสนุน การควบคุมในื้องถ่ินมากขึ้น รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจและสังคมที่ส่งเสริมการเติลโตของทุนทางสังคม

          มุมมองทางการเมืองทีทับซ้อนกันสองประการที่เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ได้แก่รีพับลิกันนิสม์ หรือ สาธารณชนแบใหม่หรือแบบพลเมืองป และแนวทางความสามารถ ขบวนการ สาธารณะที่ฟื้นคืนชีพมีเป้าหมายที่จะให้คำจำกัดความทางเลือกของเสรีภาพจาก รูปแบบเสรีภาพเชิงบวกและเชิงบลของ ไอเซย์ เบอร์บิน นั้นคือ "เสรีภพาในฐานะการไม่ครอบงำ" ซึ่งแตกต่างจากขบวนการเสรีนิยมอเมริกันที่เข้าใจเสรีภาพว่าเป็น "การไม่แทรกแซง" "การไม่ครอบงำ" หมายถึงปัจเจกบุคลที่ไม่ตกอยู่ภายใต้เจตจำนงตามอำเภอใจของบุคคลอื่น ...

           เสรีนิยม เป็นปรัชญาทางการเมืองและศีลธรรมที่ยึดตามสิทธิของปัจเจกบุคคลเสรีภาพความยินยอมของผุ้ปกครอง ความเสมอภาค ทางการเมือง สิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคล และความเสมอภาคทางกฎหมาย เสรีนิยมสนับสนุนมุมมองที่หลากหลายและมักขัดแย้งกันข้นอยุ่กับความเข้าใจของพวกเขาเกี่วกับหลักการเหล่านั้น แต่โดยทั่วไปสนับสนุนทรัพย์สินส่วนบุคคลเศรษฐกิจตลาดสิทธิส่วนบุคคล(รวมถึงสิทธิพลเมืองและสิทธิมนุษยชน) ประชาธิปไตยเสรีนิยมฆราวาสหลักนิติะรรม เสรีภาพทางเศรษฐกิจ และการเมือง เสรีภาพในการพุด เสรีภาพของสื่อ เสรีภาพในการชุมนุม และเสรีภาพในการนับถือศาสนา  เสรีนิยมมักถุกอ้างถึงว่่าเป็นอุดมการณืทีโดดเด่น ของประสวัติศาสตร์สมัยใหม่

           เสรีนิยมกลายเป็น กระแสหลักในยุคแห่การตรัสรุ้ซึ่งได้รับความนิยมในสหมุ่นักปรัชญาและนักเศรษฐศาสตร์ชาวตะวันตก เสรีนิยมพยายามแทนที่บรรทัดฐานของสิทะิิเศษทางกรรมพันนธุ์ ศาสนาประจำรัฐราชาธิปไตยสมบุรณาญาสิทะิราชย์ สิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์และการอนุรักษ์นิยมแบบดั้งเดิมด้วย ประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน หลักนิตะธรรทม และความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายเสรีนิยมยังได้ยุตินโยบาย การค้าขาย การผุกขาดของราชวงศ์ และอุปสรรคทางการค้าอื่นไ โดยส่งเสริมการค้าเสรีและการตลาดแทน นักปรัชญา จอห์น ล็อก มักไ้รับการยกย่องว่าเป็ฯผุ้ก่อตั้งเสรีนิยมในฐานะประเพณีเฉพาะที่อิงตาม สัญญาทางสังคม โดดยให้เหตุผลว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิตามธรรมชาติในการมีชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สิน และรัฐบาลจะต้องไม่ละเมิดสิทธิเหล่านี้ ในขณะที่ประเพณีเสรีนิยมของอังกฤษเน้นที่การขยายประชาธิปไตยโดยเสรีนิยมของฝรั่งเศสเน้นที่การปกิเสธอำนาจนิยมและเชื่อมโยงกับการสร้างชาติ

          ผุ้นำในการปกิวัติอันรุ่งดรจน์ของอังกฤษ การปกิวัติอเมริกา และการปฏิวัติฝรั่งเศส ใชัปรัชญาเสรีนิยมเพื่อเป็นเหตุผลในการ้มล้างอำนาจ อธิปไตยของราชวงศ์ ด้วยอาวุธ 

          ในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ลัทธิเสรีนิยมในจักรวรรดิออออตโตมันและตะวันออกกลางมีอิทธิพลต่อช่วงเวลาแห่งการปฏิรูป เช่นทันซิมัน และอัลนาห์ดา และการเพื่ิมขึ้นของรัฐะรรมฯูญชาตินิยมและลัทธิฆราวาส การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ช่วยสร้างความรุ้สึกถึงวิกฤตภายในศาสนอิสลาม ซงยังคงดำเนินต่อไปจนถึงทุกวันนี้ นำไปสู่การฟื้นฟุอ่ิสลามก้่อนปี 1920 ฝ่ายตรงข้ามทางอุดมการณ์หลักของเสรีนิยมคือลัทะฺคอมมิวนิสต์ลัทะิอนุรักษ์นิยมและลัทะิสัีงคมนิยม เสรีนิยมเผชิญกับความท้าทายทางอุดมการณ์ครั้งใหญ่จากลัทะิาสซิสต์ และลัทะิมาร์กซ์-เลนิน ในฐานฝ่ายตรงข้ามใหม่ ในช่วงศตวรรษที่ 20 แนวคิดเสรีนิยมแพร่หลายไปไกลย่ิงขึ้น โดยเฉพาะในยุโรปตะวันตก เนื่องจากประชาธิปไตยเสรีนิยมพบว่าตนเองเป็นผุ้ชนะในสงครามโลกทั้งสองครั้งและในสงครามเย็น

        เสรีนยิมแสงหาและจัดตั้งระเบียรัฐธรรมนูญให้ความสำคัญกัเสรีภาพส่วนบุคคลที่สำคัญ เช่นเสรีภาพในการพูดและเสรีภาพในการวมตัว ตุลากรอิสระแ ะลการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน และการยกเลิกสิทธิพิเศษของชนชั้นสูง คลื่นความคิดและการต่อสู้ของเสรีนิยมสมัยใหม่ในเวลาต่อมาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากความจำเป็นในการขยายสิทธิพลเมือง เสรีนิยมสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศและเชื้อชาติในการผักดันเพื่อส่งเสริมสิทธิพลเมือง และขบวนการสิทธิพลเมือง ทั่วโลก ในศตวรรษที่ 20 บรรลุวัตุประสงค์หลายประการเพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งสอง เป้าหมายอื่นๆ ที่เสรีนิยมมักยอมรับ ได้แก่สิทธิเลือกตั้งทั่วไป และการเข้าถึงการศึกษาทั่วไปในยุดรปและอเมริกาเหนือ การก่อตั้งเสรีนิยมทางสัังคม(มักเรียกง่ายๆ ว่า เสรีนิยมในสหรัฐอเมริกา)กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขยายรัฐ สวัสดิการ ปัจจุบันพรรคเสรีนิยมยังคงสช้พลังและอทิธิพลทั่วโลกองคืประกอบพื้นฐานของสังคมร่วมสมัย มีรากฐานมาจากเสรีนิยมคลื่อลูกแรกของลัทธิเสรีนิยมทำให้ลัทะิปัจเจกนิยมทางเศรษฐกิจเป็นที่นยมในขณ๖ะที่ขยายอำนาจการปกครองตามรัฐะรรมนูญและอำนาจ

            สังคมนิยมประชาธิปไตย ปรัชญาทางการเมืองสังคมและเศรษฐกิจในสังคมนิยม ที่สนับสนุน ประชาธิปไตยทางการเมืองและเศษฐกิจและสนับสนุนแนวทาง แบบค่อยเป็นค่อยไปปฏิรูปและประชาธิปไตย เพื่อบรรลุสังคมนิยมในทางปกิบัติ สังคมประชาธิปไตยมีรุปแบบหนึ่งของ ระบบทุนนิยมสวัสดิการ ที่บริหารจัดการโดยสังคม ซึ่บรรลุผลได้ด้วยการเป็นเจ้าของสาะารณะบางส่วน การแทรกแซง ทางเศรษฐกิจและนดยบายที่ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางสังคม

            ประชาธิปไตยแบบสังคมนิยมยึดมั่นในความมุ่งมี่นต่อประชาะิปไตยแบมีตัวแทนและแบบมีส่วนร่วม เป้าหมายร่วมกัน ได้แก่ การลดความไม่เท่าเทียมกันการขจัดการกดขี่กลุ่มผู้ด้อยโอกาส การขจัดความยากจนและการสนับสนุนบริการสาธารณะที่เข้าถึงได้ทัี่วไป เช่นการดุแลเด็กการศึกษาการดุแลผุ้สูงอายุการดุแลสุขภาพและ ค่าชดเชยแรงงาน ในทางเศราฐกิจ ประชาธิปไตยสนับสนุนการกระจายรายได้และการควบคุมเศราฐกิจใน ผลประโยชน์สาธารณะ

            ประชาธิปไตยทางสังคมมีความเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้กและยาวนานกับสหภาพแรงงานและขบวนการแรงงาน โดยรวมนอกจากนี้ยังสนับนุนมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการตัดสินใจที่เป็นประชาะิปไตยมากขึ้นในแวดวงเศรษฐกิจรวมถึงการ่วมกำหนด สิทธิในการต่อรองร่วมกันสำหรับคนงาน และการขยายความเป็นเจ้าของให้กับพนักงานและผุ้มีสวนได้ส่วนเสียอื่นๆ 

           สังคมประชาะิไตยย้อนกลับไปถึงขบวนการแรงงานในศตวรรษที่ 19 เดิมที่เป็นคำรวมสำหรับนักสังคมนิยมที่มีแนวโน้มแตกต่างกัน หลังจาการปฏิวัติรัสเซียคำนี้จึงหมายถึงนักสังคมนิยมปฏิรูปที่ต่อต้านรุปแบบ สังคมนิยม แบบเผด็จการและรวมอำนาจของสหภาพโซเวียตในยุคหลัสงคราม สังคมประชาธิปไตยยอมรับ เศรษฐกิจแบบผสม มี่มี ทรัพย์สินส่วนตัวเป็นหลัและสนับสนุนการควบคุมทุนนิยมแทรที่จะแทนที่ด้วยระบบเศรษฐกิจ สังคมนิยมที่มีคุณภาพต่างกัน ตั้งแต่นั้นมา สังคมประชาะิไตยมีความเกี่ยวกับเศราฐศาสตร์แบบเคนส์ โมเดลนอร์ดิกและรัฐสวัสดิการ

         สังคมประชาะิปไตยถุกอะิบายวว่าเป็นรุปแบบที่พบได้บ่อยที่สุดของสังคมนิยมตะวันตกหรือสมัยใหม่ ในหมู่ักสังคมประชาธิปไตย ทัศนคติต่อสังคมนิยมแตกต่างกันไปบางคนบังคงรักาาสังคมนิยมไว้เป็นเป้าหมายระยะยาว ในขณะที่บางคนมองว่าเป็นอุดมคติทางจริยะรรมในการขั้นำการปกิรูปในระบบทุนนิยม วิธีหนึ่งที่สามารถแยแยะสังคมประชาธิปไตยจากสังคมนิยมประชาธิปไตยได้ก็คือ สังคมประชาธิไตยมุ่งหวังที่จะสร้าสมดุลโดยสนับสนุนเศรษฐกิจตลาดผสม ที่ทุนนิยมได้รับการควบคุมเพื่อแก้ไขความไม่เท่าเทียมกันผ่านดครงการสวัสดิการสังคม โดยสนับสนุนการเป็นเจ้าของส่วนตัวด้วยกาเน้นย้ำอย่างหนักแน่นในตลาดที่มีการควคุมอย่างดี ในทางกลับกันสังคนิยมประชาธิปไตยเน้นย้ำมากขึ้นในการยกเลิการเป็นเจ้าของทรัพย์สินส่วนตัวอย่างไรก็ตาม ความแตกต่างยังคงไม่ชัดเขน และคำนี้มักใชัแทนกัน

            เสรีนิยมใหม่ เป็นคำที่ใช้เพื่อแสดงถึงการกลับมาปกรากฎของแนวคิดของศตวรรษที่ 19 ที่เกี่ยวกับทุนนิยมตลาดเสรีในทงการเมืองในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 คำนี้มีความหมายที่ขัดแย้งกันมากมายและมักใช้ในเชิงลบ ในการใช้งานทางวิชาการ คำนี้มักไม่มีการกำหนดความหายหรือใชัอะิบายปรากฎการณ์ที่หลากหลาย แต่ส่วนใหญ่ใช้เพื่ออธิายการเปลี่นแปลงของสังคมอันเนื่องมาจากการปฏิรุปที่อิงตามตลาด

            ในฐานะปรัชญาเศรษฐศาสตร์ ลัทะิเสรีนิยมใหม่เกิดขึ้นในหมู่นักวิชาการ เสรีนิยมยุโรปในช่วงทศวรรษท 1930 ดดยพวกเขาพยายามที่จะฟื้่นคือนและต่ออายุแนวคิดหลักของเสรีนิยมแบบคลาสสิกเนืองจากพวกเขาเห็นว่าแนวคิดเหล่รนี้ลดความนิยมลง ถุกแทนที่ด้วยความปรารถนาที่จะควบคุมตลาดหลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งหใญ่และแสดงออกมาในนดยบายที่ออกแบบมาเพื่อรับามือกับความผันผวนของตลาดเสรี แรงผลักดันประการหนึ่งในการกำหนดนดยบายเพื่อบรรเท่า ความผันผวนของตลาดเสรี แบบทุนนิยม คือความปรารถนาที่จะหลคกเลี่ยงการเกิดความ้ล้มเหลวทางเศราฐกิจซ้ำรอยในช่วงต้นทศวรรษ 1930 ซึ่งบางครั้งความล้มเหลวมักเกิดจากนโยบายเศรษฐกิจของเสรีนิยมแบบคลาสสิกเป็นหลักในการกำหนดนดยบาย ลัทะิเสรีนิยมใหม่นมักหมายถึงสิง่ที่เป็นสวนหนึ่งของการเลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ที่เกิดขึ้นหลังจากความล้มเหล่วที่รับรุ้ได้ของฉัทามติหลังสงครมมและเศรษบกิศาสตร์นีโอคีนส์ในการแก้ไขปัญหาภาวะเศรา.ฐกิจตกต่ำพร้อมภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงทศวรรษ 1970 การล่ามสลายของสหภาพโวเวียตและการสิ้นสุดของสงครามเย็นยังทำสให้ลัทะิเสรีนิยมใหม่ประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกอีกด้วย

           แนวทางที่สาม หรือที่รุ้จักกันในชื่อประชาธิปไตยสังคมสมัยใมห่ เป็นจุดยืนทางการเมืองที่เป็นกลาง อย่างโดดเด่น ซึ่งพยายามที่่ประสาน การเมือง ฝ่ายกลางขวา( กลุ่มอุดมการณืทางการเมืองฝ่ายขวาที่เอนเอียงไปทางการเมืองฝ่ายกลางมากขึ้น มักเกี่ยวข้องกับอนุรักษนิยมประชาธิปไตยคริสเตียนอนุรักษ์นิยม เสรีนิยมา และเสรีนิยมอนุรักษ์นิยม พรรคการเมือง ่ายกลางขวาอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยมมักประสบความสำเร้จมากกว่าในกลุ่มประเทศที่พุดภาษาอังกฤษ ในขณะที่ประขาะิไตยคริสเตียนเป็นอุดมการฝ่ายกลางขวาหลักในยุโรป) และ ฝ่ายกลางซ้าย (เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองฝ่ายซ้ายที่เอนเอียงไปทางการเมืองฝ่ายกาง และสอดคล้องกับแนวคิดก้าวหน้า อุดมการณ์ของฝ่ายกลางซ้ายได้แก่ประชาธิไตยสังคมเสรีนิยม สังคมและการเมืองสีเขียว แนวคิดที่ฝ่ายกลางซ้ายสนับสนุนโดยทั่วไปได้แก่ทุนนิยม สวัสดิการ ความยุติธรรม ทางสังคม เสรีนิยม ระหว่างประเทศและพหุวัฒนธรรมในทางเศราฐกิจ ฝ่ายกลางซ้ายสนับสนุนเศรษบกิจแบบผสมผสานในระบบ ทุนนิยมประชาธิปไตยซึ่งมักรวมถึงการแทรกแซงทางเศราฐกิจแารเก็บภาษีแบบก้ายหน้าและสิทธิในการวมตัวเป็นสหภาพการเมองฝ่ายกลางซ้ายมีความแตกต่างกับการเมืองฝ่ายซ้ายจัดที่ปฏิเสธทุนนิยมหรือสนับยสนุนการปฏิวัติ) เข้าด้วยกัน โดยผสมผสานนดยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมและประชาะิปไตยสังคมเข้ากับนะยบายสังคมวฝ่ายกลางซ้าย

              แนวทางน้เป็นการสร้างแนวคิดใหม่ให้กับประชาธิปไตยทางสังคมและจัดวางตำแหน่งไว้ทางขวาของฝ่าย กลาง-ซ้าย โดยสนับสนุนงาน สวัสดิการ แทนสวัสดิการโปรแกรมฝึกอบรมการทำงาน โอากสทางการศึกษา และโปรแกรมอื่นๆ ของรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนแทนการแจกเงิน แนวทางที่สามนี้ต้องการหาทางประนีประนอมระหว่างระบบเศรษฐกิจที่แทรกแซงน้อยลง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากลุ่มเสรีนิยมใหม่และนโยบายการใช้จ่ายตามแนวทางสังคมประชาธิปไตยแบบเคนส์ ซึ่งได้รับการสนับสนนุจ จากกลุ่มสังคมประชาธิปไตย และกลุ่มก้าวหน้า

              ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Political_philosophy

                       https://en.wikipedia.org/wiki/Political_philosophy

“rural resentment.”

         บางส่วนจากบทสัมภาษณ์  Jon K. Lauck  ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งมหา วิทยาลัยเซาท์ดาโกตา ซึ่งได้คิดค้นสาขาการศึกษาเก...