ความสัมพันธ์ของสามมหาพันธมิตรเมื่อใกล้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมีปัญหาความขัดแย้งด้วยเรื่องผลประโยชน์ที่ยังไม่มีข้อยุติให้เป็นที่พอใจแก่อังกฤษและสหรัฐอเมริกาฝ่ายหนึ่ง ปละรุสเซียอีกฝ่ายหนึ่ง
ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ แสดงให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างการประชุมการรบเพื่อพิชิตฝ่ายอักษะ การประชุมที่เตหะราน 28 พฤศจิกายน 1943 การประชุมที่ยัลตา 4-11 กุมภาพันธ์ 1945 การประชุมที่พอตสมดัม กรกฎาคม 1945
ในระหว่างสงคราม สหรัฐอเมริกามุ่งมั่นที่จะปราบฝ่ายอักษะและสถาปนาสันติภาพ โดยจะจัดตั้งองค์การขึ้นเพื่อให้มีหน้าที่ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพโลก คือ องค์การสหประชาชาติ สหรัฐจึงต้องการรักษาความเป็นพันธมิตรไว้มิให้มีวามแตกแยก อันจะทำให้การรบรุกขากประสิทธิภาพ ความร่วมมือจากทุกฝ่ายจึงถือเป็นเรื่องหลักโดยเรื่องผลประโยชน์เป็นเรื่องรองลงมา และต้องเร่งแก้ไขให้ยุติเพื่อมิให้มหาพันธมิตรเกิดรอยร้าวได้ สหรัฐอเมริกาจึงมีทีท่าโอนอ่อนผ่อนปรนต่อรัสเซียในเรื่องต่าง ๆ
อังกฤษนั้นเฝ้าติดตามพฤติกรรมของรุสเซียตั้งแต่ปี 1943 มาแล้วอังกฤษมีความเห็นโดยทั่วไปเหมือนชาวยุโรปในสมัยนั้นว่า การที่รุสเซียรุกรบจนเข้ายึดครองยุโรปตะวันออกเกือบทั้งหมดนั้น มีเหตุมาจากความพยายามที่จะสร้างแนวป้องกันตนเองเพื่อความมันคงปลอดภัยของรุสเซีย ความได้เปรียบทางการทหารมีข้อเท็จจริงที่ชาวยุโรปต้องยอมรับ และเห็นว่าควรหาหนทางประสานผลประโยชน์กับรุสเซีย โดยนำหลักการรักษาดุลยภาพแห่งอำนาจมาใช้
สหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับหลักการนี้ เพราะถือว่าเป็นการดำเนินการทูตแบบเดิม ที่เคยเป็นบ่อเกิดของสงครามโลกครั้งที่ 1 มาแล้ว อีกประการหนึ่ง ถ้ามีการใช้หลักการดุลอำนาจ สหรัฐอเมริกาอาจจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องก่อเกิดภาระผูกพันทางการเมืองอันไม่พึงประสงค์ สหรัฐฯต้องการให้ยุติสงครามโลกและคืนสู่สภาวะปกตอโดยเร็ว
เมื่อสหรัฐสามารถโน้มนำให้อังกฤษคล้อยตามนโยบายสร้างความร่วมมือกับรุสเซียในระหว่างสงคราม รุสเซียย่อมมีโอกาสใช้เชิงการทูตให้เป็นประโยชน์และประสามนกับการปฏิบัติการทางทหารเพื่อเป็นพลังเสริมต่อรองในการทูต ซึ่งรัสเซียตระหนักดีว่าอเมริกามีทัศนะคติอย่างไรต่อตน
ตั้งแต่ปฏิวัติรุสเซียในปี 1917 บรรดามหาอำนาจตะวันตกแทรกแซงกิจการการเมืองภายในอันไม่นคงของรุสเซีย และร่วมปฏิบัติการแทรกแซงทางทหารเพื่อล้มล้างรัฐบาลบอลเชวิค พฤติกรรมเช่นนั้นย่อมทำให้เซียมีความหวาดระแวงไม่ไว้ใจบรรดามหาอำนาจตะวันตกตลอดมา ซึ่งสหรัฐฯและอังกฤษมีความรู้สึกผิดในเรื่องดังกล่าว จึงพยายามแสดงความอดทนและเพียรแสดงเจตนารมณ์อันดี่อรุสเซีย
รุสเซียได้ใช้ความรู้สึกผิดของฝ่ายสหรัฐฯเป็นข้อต่อรองของความเห็นใจที่รุสเซียจำเป็นต้องสร้างความมั่นคงของตน ผลของการปรุชุมที่เตหะรานเป็นมาล้วนเอื้ออำนวยผลประโยชน์ต่อรุสเซียสมประสงค์
สิ่งหนึ่งที่รุสเซียมุ่งมาดปรารถนาจากการประชุมคือ ผลประโยชน์ในยุโรปตะวันออกและในเอเซียตะวันออกในระยะยาว รุสเซียมีความอดทนในการเจรจาต่อรอง โดยเฉพาะสตาลินนั้น ได้ชื่อว่าเป็นนักการทูตผู้ชำนาญการคนหนึ่งของวงการทูต เขาเจรจาหว่านล้อมจนนักการเมืองและนักการทูตของสหรัฐอเมริกาอดมิได้ที่จะมีความเมตตาต่อความรู้สึกไม่มั่นคงของรุสเซีย และได้หยิบยื่นผลประโยชนจ์ให้แก่สตาลินมากมาย ซึ่งต่อมาตกเป็นที่วิพากษ์วิจารย์ว่าเป็นการโอนอ่อนเกินจำเป็นหรือไม่
ที่ยัลตา แลพอตสดัม รุสเซียแสดงบทบาทให้เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า รุสเซียพร้อมที่จะร่วมรบและร่วมสร้างสันติภาพโลก แต่เมื่อสงครามใกล้สิ้นสุด ทีท่าของรุสเซียก็ค่อยๆ ลดลงจาเดิม ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงวยท่าที ชัยชนะในแนวรบได้ทำให้ยุโรปเกิดความนิยมศรัทธารุสเซีย นับถือศักยภาพทางทหารของรุสเซีย และเห็นว่า รุสเซียเป็นมหาอำนาจที่มีเจตจำนงแน่วแน่มากที่สุดประเทศหนึ่งในการปราบฝ่ายอักษะและเป็นผู้ชุบชีวิตชาวยุโรป โดยเฉพาะยุโรปตะวันออก เกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่และศักยภาพทางทหารย่อมทำให้รุสเซียเริ่มดำนินการทูตที่แข.ขึ้น พร้อมด้วยอำนาจต่อรองที่สูงขึ้น
สหรัฐเชื่อว่าการปฏิบัติดีต่อรุสเซียเช่นนั้น รุสเซียจะมีไมตรีตอบสนอง เพราะสหรัฐเชื่อว่าชาวรุสเซียเป็นผู้มีเหตุผลมองการไกลพอที่จะประสานไม่ตรีโดยสันติเพื่อประโยชน์สุขร่วมกัน แต่การณ์กับไม่เป็นดังนั้น
ในปี 1950 ผู้นำรัสเซียได้บอกกล่าวแก่ประชาชนของตนว่า ศัตรูอันดับต่อไปคือ ลัทธิทุนนิยม และกล่าวหา สหรัฐฯและอังกฤษว่ามีเจตนาที่จะทำลายความเป็นรัฐของสหภาพโซเวียต และแสดงธาติแท้ของการต่างประเทศของตนออกมา โดยกล่าวถึงการพลิกฟื้นของการปฏิวัติโลกให้เป็นคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของรุสเซีย
เมื่อเกิดความขัดแย้งในส่วนของผู้นำ โดยสตาลินถือนโยบายสร้างสังคมนิยมในหนึ่งประเทศก่อน กับทรอตสกี ผู้ถือนโยบายปฏิวัติโลก สตาลินเน้นการแสวงหาความร่วมมือ กับบรรดามหาอำนาจตะวันตกเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาชาติและเพื่อความมั่นคงขอรุสเซีย “มีข้อคิดที่ว่า การพัฒนาสังคมนิยมในหนึ่งประเทศนั้นบรรลุผลแล้วหรือ จึงดำเนินนโยบายคลายความร่วมมือกับพันธมิตรของตน และมุ่งปฏิวัติโลก”
สถานการณ์ระหว่าง ปี 1945-1947 เอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายรุสเซีย ความสัมพันธ์ระหว่างรุสเซียกับพันธมิตรได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด บรรดามหาอำนาจตะวันตกได้ตระหนักแล้วว่า ภัยคอมมิวนิสต์นั้นร้ายแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภัยจาก ลัทธินาซี รัฐมนตรีการต่างประเทศรุสเซียได้ประกาศในปี 1946 ว่า “ปัจจุบัน ไม่มีประเด็นใดของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่จะสามารถยุติได้โดยปราศจากสหภาพโซเวียต หรือปราศจากาการฟังเสียงของปิตุภูมิของเรา”
ภัยคอมมิวนิสต์คืบคลานเข้าครอบงำยุโรป กว่ากึ่งหนึ่งในปี 1945 การแบ่งฝ่ายโดยปริยายได้ปรากฎแล้วระหว่างฝ่ายบรรดามหาอำนาจตะวันตกและสหรัฐอเมริกา เรียกกันโดยทั่วไปว่า
“โลกเสรี กับฝ่าย คอมมิวนิสต์”
วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Economic system
สังคมนิยม คือระบอบการปกครองแบบหนึ่ง ทร่รวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางของประเทศ คือคณะรัฐบาลและประมุขของประเทศ เป็ฯระบอบการปกครองที่ไม่มีกษัตริย์เป็นประมุขจึงมีลักษณะเป็นสาธารณรับเสมอ ทรัพย์สินส่วนใหญ่รัฐบาลจะเป็นผู้รวบรมไว้ และแจกจ่ายให้ประชาชนอย่างเท่าเทียมกันที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมและความไม่เท่าเทียม
ระบบสังคมนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากความคิดของผู้คนที่ต้องการที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจที่ พยายามลวล้างข้อด้อยของทุนนิยม โดยช่วงแรก ๆ ยังเป็นเพียงแค่ในจินตนาการเพราะการปฏิบัติทำได้ยากมาก กระทั่ง ระบบสังคมนิยมเกิดขึ้นอย่างเป็นวิทยาศาสตร์แบบแผนครั้งแรกที่สหภาพสาธารณาฐสังคมนิยมโซเวียต โดยโค่นรัฐบาลที่โค่นราชวงศ์โรมานอฟ เมื่อปี 1917 โดยกานำของ วลาดิมีร์ เลนิน
ระบบสังคมนิยมในจินตนาการตั้งอยู่บนความคิดที่ต้องการให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยุติธรรมโดยไม่ต้องมีระบบงิน ทุกคนรวมกันทำงานเพื่อสร้างผลผลิตส่วนรวม และได้รับรัฐสวัสดิการที่ทำได้ยาก เช่นมีโรงอาหารให้รับประทานอาหารฟรี แต่ระบบสังคมนิยมที่เป็นวิทยาศาสตร์จะพยายามกระจายรายได้โดยรัฐให้ประชาชนให้ทั่วถึงทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มีรัฐสวัสดิการที่ควรมีอยู่พอสมควร ระบบสังคมนิยมไม่จำเป็นที่จะภายใต้ระบอบการปกครองแบบเผด็จการหรือระบอบใดระบอบหนึ่งแต่สามรถอยู่ได้ทุกระบอบเพราะเป็นเพียงระบบเศรษฐกิจเท่านั้นไม่ใช่ระบอบการปกครอง
ประเภทของสังคมนิยม
สังคมนิยมแบบบังคับ เป็นรัฐควบคุมกิจการของเอกชนในประเทศทั้งหมดโดยจะใช้ในประเทศกลุ่มควอมมิวนิสต์ ได้แก่ จีน เกาหลีเหนือ เวียดนาม ลาว คิวบา
สังคมนิยมเสรี เป็นการที่รัฐให้อิสระในการบริหารของเอกชน แต่จะผูกขาดกิจการรัฐวิสาหกิจภายในแระเทศโดยจะใช้ในประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวียและบางประเทศในยุโรป
ระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมบังคัย ระบบเศรษฐกิจคอมมิวนิสต์ จะมีการวางแผนจากส่วนกลาง ประเทศแม่แบบคือสหภาพโซเวียต
ลักษณะเด่นของระบบ กลไกราคามิได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ การวางเป้าหมายการผลิตถูกกำหนดทางปริมาษโดยตรง กระบวนการแจกจ่ายทรัพยากรเป็นไปตามการวางแผนส่วนกลาง กระบวนการทางเศรษฐกิจเป็นไปตามแผนส่วนกลาง เพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวม อำนาจอธิปไตยการบริโภค ถูกควบคุมโอกาสเพียงเลือกการบริโภค
ภายใต้ระบบสังคมนิยมแบบบังคับ ไม่ส่งเสริมอำนาจอธปไตยผู้บริโภค กรณี่อุปสงค์ส่วนรวมในสินค้าบริโภคเพิ่มสูงขึ้น รัฐจะเข้าควบคุมปริมาณผลิตให้คงอยู่ ณ ระดับคงเดิม ระดับระคาเพ่มขึ้นแต่เพียงด้านเดียว รัฐบาลจะใช้มาตการเพ่มภาษ๊การเปลี่ยนมือในสินค้า ซึ่งจะทำให้ความพอใจของผู้บริโภคลดลง รัฐบาลกลางเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตทั้งหมด จุดมุ่งหมายการผลิตมิไดมุ่กำรสูงสุด เน้นปริมาณการผลิตปริมาณมากที่สุด
ระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมเสรี สังคมนิยมประชาธิปไตย มีลักษณะเฉพาะระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมเสรีมีลักษณะเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของระบบคือ รัฐบาละข้าควบคุมและเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตขนาดใหญ่ ด้วยเหตุผลคือต้องการให้ระบเศรษฐกิจมีการกระจายรายได้ที่เท่าเทียมกัน บทบาทของรัฐจะเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจด้านกำหนดราคาสินค้า ส่งเสริมการลงทุน การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างม่ประสิทธิภาพการตัดสินใจที่จะทำการผลิต ตลอดถึงการจ้างงานในระบบ
เศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจส่วนรวมทั้งสิ้น รัฐถือว่าบรรดากิจกรรมการลงทุน และสะสมทุนทั้งหมดจะต้องตกเป็นของรัฐอยางสินเชิง ผลกำรอันเกิดจากกิจการผูกขาดในธุรกิจใหญ่โตจะต้อตกเป็นของรัฐทั้งสิ้น ไม่เปิดโอกาสให้มีธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะไปมีบทบาทที่สำคัญด้านการให้เงินกู้ลงทุนเท่านั้นเอง รัฐบาลจะทำหน้าที่ด้านนี้เอง ภายใต้ระบบนี้เปิดโอกาศให้ผู้บริโภคมีอำนาจอธิไตยการบริโภค
ระบบนี้ส่งเสริมให้มีอำนาจอธิปไตยของผู้บริโภคจึงทำให้เกิด
ความแตกต่างกับระบบสังคมนิยมแบบบังคับ การที่ระบบเษรษฐกิจใด ประชาชนภายใต้ระบบจะเกิดอำนาจอธิปไตยของผู้บริโภคมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับระบบกลไกราคา เข้ามามีโอกาสการกำหนดราคามากน้อยเพียงใด ต้องมีสถาบันธุรกิจเอกชนเปิดโอกาสแข่งขันนหน่วยผลิตเป็นตัวส่งเสริมการแข่งขัน แต่สภาพที่ปรากฎเข้าควบคุมการผลิตขนาดใหญ่ ปัจจัยการผลิตเป็นของรัฐ ภายในระบบยังขาดสถาบันธุรกิจเอกชน อันได้แก่กรรมสิทธิในปัจจัยกาผลิต กระบวนการแข่งขันการผลิต ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ใช้เป็นกลไกเพื่อส่งเสริมให้เกิดอำนาจอธิปไตยของผู้บริโภค ทั้งสิ้น จึงเป็นข้อสังเกตว่าระบบนี้สามารถบรรลุได้มาเพียงใด
ระบบทุนนิยม ทุนนิยมจะกล่าวถึง ทุนและที่ดินเป็นสมบัติส่วนบุคคล การตัดสินใจทางเศรษฐกิจเป็นกิจกรรมส่วนบุคคลไม่ใช่การควบคุมบริหารโดยรัฐ และตลาดเสรีหรือเกือบเสรีจะเป็นตัวกำหนดราคา ควบคุมและระบุทิศทางการผลิต รวมถึงเป็นที่สร้างรายรับ บางคนกล่าวว่าระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันของโลกตะวันตกคือระบบุนนิยม ในขณะที่หลายคนมองว่าในบางประเทศก็มีระบบเศรษฐกิจเป็นเศรษฐกิจแบบผสมกล่าวคือมีลักษณะเฉพาะของทั้งทุนนิยมและรัฐนิยม
ระบบธุรกิจเอกชน ถ้าจะศึกษาจุดเริ่มต้นของระบบทุนนิยม เริ่มเกิดปรากฎให้เห็นอย่างเด่นชัดตั้งแต่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา เริ่มขึ้นในประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ระหว่างปี 1770-1840 อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการพัฒนาเทคโนโยใหม่มาใช้ในการผลิต ต่อจากนั้นได้เกิดมีการตื่นตัวที่จะมีความรู้สึกชาตินิยม จะมารวมตัวกันในรูป “รัฐชาติ”ขึ้นในแถบประเทศยุโรป ตังนั้น อาจกล่าวได้ว่าผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมส่งผลให้เกิดการพฒนาระบบตลาด
เท่าที่ผ่านมาระบบทุนนิยมักจะประสบปัญกาด้านพื้นฐานทางเศรษฐกิจ นับตั้งแต่หลังสังครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ปัญกาคือ จะผลิตสินค้าอะไร ผลิตอย่างไร ผลิตเพื่อใครเดิมอาศัยกลไกราคามาเป็นตัวหลักในการแก้ไข ต่มารัฐบาลมีบทบาทเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจ
ลักษณะเด่นของระบบ ตำเนินกลไกเศรษฐกิจโดยอาศัย “กลไกราคา”เป็นตัวจักรสำคัญสร้าง “แรงจูงใจ”ให้เกิดขึ้นภายในระบบเศรษฐกิจ ปราศจากการควบคุมจากส่วนกลางการจะแจกจ่ายปัจจัยการผลิตสิ่งใดและปริมาณเท่าใดอาศัย
อุปสงค์และอุปทานในตลาดเป็นตัวกำหนด การตัดสินใจการบริโภคขึ้ยอยู่กับความพังพอใจสูงสุดเป็นหลักโดยอาศัยอรรถประโยชน์ เป็นเกณฑ์การตัดสินใจ ยินยอมให้มีการถือกรรมสิมธิ์ในทรัพย์สินส่วนตัว การให้มีกรรมสิทธิในปัจจัยการผลิตและทรัพย์สินการตัดสินใจในการผลิต การออม การลงทุน เปิดโอกาสให้มีอิสรภาพในการทำงาน ระบบเศรษฐฏิจดำเนินไปตามกลไกราคา โดยใช้แรงจูงใจด้วยกำไร มาเป็นตัวกำหนดการผลิต ระบบตลาดโดยมีอุปสงค์และอุปทานเข้ามาเป็นตัวกำหนด ยอมรับความสำคัญอำนาจอธิปไตยของผุ้บริโภคผุ้บระโภคมีเสรีภาพในการเลือกบริโภคสินค้าใดก็ได้ตามใจชอบภายใต้การผลิตดำเนินในรูปแบบของการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ ลักษณะการผลิตมุ่งประสิทธิภาพการปลิตไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต การปรับปรุงประสทิธิภาพการผลิตมุ่งประสิทธิภาพการผลิต ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ก่อใกดการแจกจ่ายทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมลังคับ ซึ่งมีความสอดคล้องกับเผด็จการ หรือระบบเศรษฐกิจแบบฟาสซิสม์ รูปแบบเศรษฐกิจยังคงเปิดโอกาสให้เอกชนมีกรรมสิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคลการดำเนินกลไกเศรษฐกิจมิได้เป็นไปตามกลไกราคา อาศัยการวางแผนส่วนกลาง จากรัฐบาลเป็นตัวแทนการแจกจ่ายรัพยาก เพื่อนำมาใช้ในการผลิตตามแผนที่ได้วางไว้
ลักษณะเด่นของระบบ รัฐบาลจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติให้บรรลุผลสำเร็จในระยะสั้น เป็ฯรูปแบบเศรษฐกิจดำเนินในยามสงครา ซึ่งเยอรมันและอิตาลีนำมาใช้ระหว่าสงครามโลกครั้งที่สอง การดำเนินกลไกทางเศรษฐกิจตงข้ามกับลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วยเหตุนี้พวกนายทุนและชนชั้นกลางจึงให้การสนับสนุนระบบเศรษฐกิจธุรกิจเอกชนบังคับไม่เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันการผลิต ลักษณะตลาดดำเนินในปแบบผูกขาด ดำเนินกจิการผูกขาดโดยนายทุนขนาดใหญ่ ลักษณะการผลิตเป็นการรวมกลุ่มเป็น “คาร์เทล” อำนาจอธิปไตยของผู้บริโภค ถูกละเลย การดำเนินการผลิตควบคุมโดยหน่วยงานวางแผนจากส่วยกลาง เสรีภาพการเลือกบริโภคถูกจำกัดจาการควบคุมปริมาณการผลิต เสรีภาพของการเลือกอาชีพ ถูกจำกัด เพราะรัฐบาลจะเข้าควบคุมวางแยนการใช้แรงงานในโรงงานแต่ละประเภท แต่การผลิตและการตัดสินใจเลือกใช้ปัจจัยการผลิตยังคงควบคุมอย่างใกล้ชิดและคำสั่งจากรัฐโดยอาศัยคำสั่ง เรียได้ว่าเป็นระบบเผด็จการทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ลัทธิชาตินิยมเป็นจุดเด่นของระบบเศรษฐกิจ
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม มักเกิดกับประเทศกำลังพัฒนาเป็นส่วนใหญ่ ลักษณะสำคัญยังคงไว้ซึ่งกรรมสิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคล แต่รัฐบาลกลางจะเข้ามามรส่วนในการเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต นับเป็นบทบาทที่สำคัญของรัฐบาล ที่เข้ามารยุ่งเกี่ยวในกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากกว่าประเทศทุนนิยม
มูลเหตุแห่งการดำเนินระบบเศรษฐกิจแบบผสม ต้องการสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ โดยอาศัยกลไกราคามาเป็นตัวช่วย อีกประการหนึ่งง ประเทศเหล่านี้ประบปัญหาความไม่เท่าเทียมด้านกระจายรายได้ บ่อยครั้งที่การควบคุมจากฝ่ายรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพไม่สามารถดำเนินให้ลุล่วงไปได้ ราคาสินค้าในท้องตลดไม่สามรถที่จะบรรลุเป้าหมายไปได้
ลักษณะเศรษฐกิจแบบผสม
- การจัดสรรปัจจัยการผลติ อาศัยกลไกราคา
- ราคาสินค้าถูกควบคุมโดยรัฐบาล
- มีการวางแผนจากส่วนกลาง
- กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ยังคงถูกควบคุมโดยรัฐบาล
- รัฐบาลจะมีบทบาสำคัญในการตัดสินใจในกิจกรรมต่าง ๆ ระบบเศรษฐกิจแบบผสมจะมีการเน้นบทบาทรัฐมากกว่าทุนนิยมก้าวหน้า ระบบเศรษกิจแบบผสมเป็นการดำเนินการระหว่างระบบเศรษฐกิจแบบตลาดควบคู่กันไปกับการวางแผนเศรษฐกิจจากส่วนกลาง
ระบบสังคมนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากความคิดของผู้คนที่ต้องการที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจที่ พยายามลวล้างข้อด้อยของทุนนิยม โดยช่วงแรก ๆ ยังเป็นเพียงแค่ในจินตนาการเพราะการปฏิบัติทำได้ยากมาก กระทั่ง ระบบสังคมนิยมเกิดขึ้นอย่างเป็นวิทยาศาสตร์แบบแผนครั้งแรกที่สหภาพสาธารณาฐสังคมนิยมโซเวียต โดยโค่นรัฐบาลที่โค่นราชวงศ์โรมานอฟ เมื่อปี 1917 โดยกานำของ วลาดิมีร์ เลนิน
ระบบสังคมนิยมในจินตนาการตั้งอยู่บนความคิดที่ต้องการให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยุติธรรมโดยไม่ต้องมีระบบงิน ทุกคนรวมกันทำงานเพื่อสร้างผลผลิตส่วนรวม และได้รับรัฐสวัสดิการที่ทำได้ยาก เช่นมีโรงอาหารให้รับประทานอาหารฟรี แต่ระบบสังคมนิยมที่เป็นวิทยาศาสตร์จะพยายามกระจายรายได้โดยรัฐให้ประชาชนให้ทั่วถึงทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มีรัฐสวัสดิการที่ควรมีอยู่พอสมควร ระบบสังคมนิยมไม่จำเป็นที่จะภายใต้ระบอบการปกครองแบบเผด็จการหรือระบอบใดระบอบหนึ่งแต่สามรถอยู่ได้ทุกระบอบเพราะเป็นเพียงระบบเศรษฐกิจเท่านั้นไม่ใช่ระบอบการปกครอง
ประเภทของสังคมนิยม
สังคมนิยมแบบบังคับ เป็นรัฐควบคุมกิจการของเอกชนในประเทศทั้งหมดโดยจะใช้ในประเทศกลุ่มควอมมิวนิสต์ ได้แก่ จีน เกาหลีเหนือ เวียดนาม ลาว คิวบา
สังคมนิยมเสรี เป็นการที่รัฐให้อิสระในการบริหารของเอกชน แต่จะผูกขาดกิจการรัฐวิสาหกิจภายในแระเทศโดยจะใช้ในประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวียและบางประเทศในยุโรป
ระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมบังคัย ระบบเศรษฐกิจคอมมิวนิสต์ จะมีการวางแผนจากส่วนกลาง ประเทศแม่แบบคือสหภาพโซเวียต
ลักษณะเด่นของระบบ กลไกราคามิได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ การวางเป้าหมายการผลิตถูกกำหนดทางปริมาษโดยตรง กระบวนการแจกจ่ายทรัพยากรเป็นไปตามการวางแผนส่วนกลาง กระบวนการทางเศรษฐกิจเป็นไปตามแผนส่วนกลาง เพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวม อำนาจอธิปไตยการบริโภค ถูกควบคุมโอกาสเพียงเลือกการบริโภค
ภายใต้ระบบสังคมนิยมแบบบังคับ ไม่ส่งเสริมอำนาจอธปไตยผู้บริโภค กรณี่อุปสงค์ส่วนรวมในสินค้าบริโภคเพิ่มสูงขึ้น รัฐจะเข้าควบคุมปริมาณผลิตให้คงอยู่ ณ ระดับคงเดิม ระดับระคาเพ่มขึ้นแต่เพียงด้านเดียว รัฐบาลจะใช้มาตการเพ่มภาษ๊การเปลี่ยนมือในสินค้า ซึ่งจะทำให้ความพอใจของผู้บริโภคลดลง รัฐบาลกลางเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตทั้งหมด จุดมุ่งหมายการผลิตมิไดมุ่กำรสูงสุด เน้นปริมาณการผลิตปริมาณมากที่สุด
ระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมเสรี สังคมนิยมประชาธิปไตย มีลักษณะเฉพาะระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมเสรีมีลักษณะเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของระบบคือ รัฐบาละข้าควบคุมและเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตขนาดใหญ่ ด้วยเหตุผลคือต้องการให้ระบเศรษฐกิจมีการกระจายรายได้ที่เท่าเทียมกัน บทบาทของรัฐจะเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจด้านกำหนดราคาสินค้า ส่งเสริมการลงทุน การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างม่ประสิทธิภาพการตัดสินใจที่จะทำการผลิต ตลอดถึงการจ้างงานในระบบ
เศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจส่วนรวมทั้งสิ้น รัฐถือว่าบรรดากิจกรรมการลงทุน และสะสมทุนทั้งหมดจะต้องตกเป็นของรัฐอยางสินเชิง ผลกำรอันเกิดจากกิจการผูกขาดในธุรกิจใหญ่โตจะต้อตกเป็นของรัฐทั้งสิ้น ไม่เปิดโอกาสให้มีธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะไปมีบทบาทที่สำคัญด้านการให้เงินกู้ลงทุนเท่านั้นเอง รัฐบาลจะทำหน้าที่ด้านนี้เอง ภายใต้ระบบนี้เปิดโอกาศให้ผู้บริโภคมีอำนาจอธิไตยการบริโภค
ระบบนี้ส่งเสริมให้มีอำนาจอธิปไตยของผู้บริโภคจึงทำให้เกิด
ความแตกต่างกับระบบสังคมนิยมแบบบังคับ การที่ระบบเษรษฐกิจใด ประชาชนภายใต้ระบบจะเกิดอำนาจอธิปไตยของผู้บริโภคมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับระบบกลไกราคา เข้ามามีโอกาสการกำหนดราคามากน้อยเพียงใด ต้องมีสถาบันธุรกิจเอกชนเปิดโอกาสแข่งขันนหน่วยผลิตเป็นตัวส่งเสริมการแข่งขัน แต่สภาพที่ปรากฎเข้าควบคุมการผลิตขนาดใหญ่ ปัจจัยการผลิตเป็นของรัฐ ภายในระบบยังขาดสถาบันธุรกิจเอกชน อันได้แก่กรรมสิทธิในปัจจัยกาผลิต กระบวนการแข่งขันการผลิต ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ใช้เป็นกลไกเพื่อส่งเสริมให้เกิดอำนาจอธิปไตยของผู้บริโภค ทั้งสิ้น จึงเป็นข้อสังเกตว่าระบบนี้สามารถบรรลุได้มาเพียงใด
ระบบทุนนิยม ทุนนิยมจะกล่าวถึง ทุนและที่ดินเป็นสมบัติส่วนบุคคล การตัดสินใจทางเศรษฐกิจเป็นกิจกรรมส่วนบุคคลไม่ใช่การควบคุมบริหารโดยรัฐ และตลาดเสรีหรือเกือบเสรีจะเป็นตัวกำหนดราคา ควบคุมและระบุทิศทางการผลิต รวมถึงเป็นที่สร้างรายรับ บางคนกล่าวว่าระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันของโลกตะวันตกคือระบบุนนิยม ในขณะที่หลายคนมองว่าในบางประเทศก็มีระบบเศรษฐกิจเป็นเศรษฐกิจแบบผสมกล่าวคือมีลักษณะเฉพาะของทั้งทุนนิยมและรัฐนิยม
ระบบธุรกิจเอกชน ถ้าจะศึกษาจุดเริ่มต้นของระบบทุนนิยม เริ่มเกิดปรากฎให้เห็นอย่างเด่นชัดตั้งแต่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา เริ่มขึ้นในประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ระหว่างปี 1770-1840 อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการพัฒนาเทคโนโยใหม่มาใช้ในการผลิต ต่อจากนั้นได้เกิดมีการตื่นตัวที่จะมีความรู้สึกชาตินิยม จะมารวมตัวกันในรูป “รัฐชาติ”ขึ้นในแถบประเทศยุโรป ตังนั้น อาจกล่าวได้ว่าผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมส่งผลให้เกิดการพฒนาระบบตลาด
เท่าที่ผ่านมาระบบทุนนิยมักจะประสบปัญกาด้านพื้นฐานทางเศรษฐกิจ นับตั้งแต่หลังสังครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ปัญกาคือ จะผลิตสินค้าอะไร ผลิตอย่างไร ผลิตเพื่อใครเดิมอาศัยกลไกราคามาเป็นตัวหลักในการแก้ไข ต่มารัฐบาลมีบทบาทเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจ
ลักษณะเด่นของระบบ ตำเนินกลไกเศรษฐกิจโดยอาศัย “กลไกราคา”เป็นตัวจักรสำคัญสร้าง “แรงจูงใจ”ให้เกิดขึ้นภายในระบบเศรษฐกิจ ปราศจากการควบคุมจากส่วนกลางการจะแจกจ่ายปัจจัยการผลิตสิ่งใดและปริมาณเท่าใดอาศัย
อุปสงค์และอุปทานในตลาดเป็นตัวกำหนด การตัดสินใจการบริโภคขึ้ยอยู่กับความพังพอใจสูงสุดเป็นหลักโดยอาศัยอรรถประโยชน์ เป็นเกณฑ์การตัดสินใจ ยินยอมให้มีการถือกรรมสิมธิ์ในทรัพย์สินส่วนตัว การให้มีกรรมสิทธิในปัจจัยการผลิตและทรัพย์สินการตัดสินใจในการผลิต การออม การลงทุน เปิดโอกาสให้มีอิสรภาพในการทำงาน ระบบเศรษฐฏิจดำเนินไปตามกลไกราคา โดยใช้แรงจูงใจด้วยกำไร มาเป็นตัวกำหนดการผลิต ระบบตลาดโดยมีอุปสงค์และอุปทานเข้ามาเป็นตัวกำหนด ยอมรับความสำคัญอำนาจอธิปไตยของผุ้บริโภคผุ้บระโภคมีเสรีภาพในการเลือกบริโภคสินค้าใดก็ได้ตามใจชอบภายใต้การผลิตดำเนินในรูปแบบของการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ ลักษณะการผลิตมุ่งประสิทธิภาพการปลิตไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต การปรับปรุงประสทิธิภาพการผลิตมุ่งประสิทธิภาพการผลิต ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ก่อใกดการแจกจ่ายทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมลังคับ ซึ่งมีความสอดคล้องกับเผด็จการ หรือระบบเศรษฐกิจแบบฟาสซิสม์ รูปแบบเศรษฐกิจยังคงเปิดโอกาสให้เอกชนมีกรรมสิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคลการดำเนินกลไกเศรษฐกิจมิได้เป็นไปตามกลไกราคา อาศัยการวางแผนส่วนกลาง จากรัฐบาลเป็นตัวแทนการแจกจ่ายรัพยาก เพื่อนำมาใช้ในการผลิตตามแผนที่ได้วางไว้
ลักษณะเด่นของระบบ รัฐบาลจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติให้บรรลุผลสำเร็จในระยะสั้น เป็ฯรูปแบบเศรษฐกิจดำเนินในยามสงครา ซึ่งเยอรมันและอิตาลีนำมาใช้ระหว่าสงครามโลกครั้งที่สอง การดำเนินกลไกทางเศรษฐกิจตงข้ามกับลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วยเหตุนี้พวกนายทุนและชนชั้นกลางจึงให้การสนับสนุนระบบเศรษฐกิจธุรกิจเอกชนบังคับไม่เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันการผลิต ลักษณะตลาดดำเนินในปแบบผูกขาด ดำเนินกจิการผูกขาดโดยนายทุนขนาดใหญ่ ลักษณะการผลิตเป็นการรวมกลุ่มเป็น “คาร์เทล” อำนาจอธิปไตยของผู้บริโภค ถูกละเลย การดำเนินการผลิตควบคุมโดยหน่วยงานวางแผนจากส่วยกลาง เสรีภาพการเลือกบริโภคถูกจำกัดจาการควบคุมปริมาณการผลิต เสรีภาพของการเลือกอาชีพ ถูกจำกัด เพราะรัฐบาลจะเข้าควบคุมวางแยนการใช้แรงงานในโรงงานแต่ละประเภท แต่การผลิตและการตัดสินใจเลือกใช้ปัจจัยการผลิตยังคงควบคุมอย่างใกล้ชิดและคำสั่งจากรัฐโดยอาศัยคำสั่ง เรียได้ว่าเป็นระบบเผด็จการทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ลัทธิชาตินิยมเป็นจุดเด่นของระบบเศรษฐกิจ
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม มักเกิดกับประเทศกำลังพัฒนาเป็นส่วนใหญ่ ลักษณะสำคัญยังคงไว้ซึ่งกรรมสิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคล แต่รัฐบาลกลางจะเข้ามามรส่วนในการเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต นับเป็นบทบาทที่สำคัญของรัฐบาล ที่เข้ามารยุ่งเกี่ยวในกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากกว่าประเทศทุนนิยม
มูลเหตุแห่งการดำเนินระบบเศรษฐกิจแบบผสม ต้องการสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ โดยอาศัยกลไกราคามาเป็นตัวช่วย อีกประการหนึ่งง ประเทศเหล่านี้ประบปัญหาความไม่เท่าเทียมด้านกระจายรายได้ บ่อยครั้งที่การควบคุมจากฝ่ายรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพไม่สามารถดำเนินให้ลุล่วงไปได้ ราคาสินค้าในท้องตลดไม่สามรถที่จะบรรลุเป้าหมายไปได้
ลักษณะเศรษฐกิจแบบผสม
- การจัดสรรปัจจัยการผลติ อาศัยกลไกราคา
- ราคาสินค้าถูกควบคุมโดยรัฐบาล
- มีการวางแผนจากส่วนกลาง
- กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ยังคงถูกควบคุมโดยรัฐบาล
- รัฐบาลจะมีบทบาสำคัญในการตัดสินใจในกิจกรรมต่าง ๆ ระบบเศรษฐกิจแบบผสมจะมีการเน้นบทบาทรัฐมากกว่าทุนนิยมก้าวหน้า ระบบเศรษกิจแบบผสมเป็นการดำเนินการระหว่างระบบเศรษฐกิจแบบตลาดควบคู่กันไปกับการวางแผนเศรษฐกิจจากส่วนกลาง
วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Thirteen Colonies
มลรัฐ 13 แห่งได้ยอมรับเป็นหลักในการปกครองในเดือนมีนาคม 1781 มีข้อบกพร่อง นั่นคือการปกครองระบบนี้เป็นเพียง “การรวมกันฉันมิตร”ไม่มีระบบบริหารของชาติอย่างงแท้จริง มีสภาคอนติเนนตัลเพียงสภาเดียงซึ่งขาดอำนาจในการเหก็บภาษี เกณฑ์ทหาร ลงโทษผู้ละเมิดกฎหมาย หรือบังคับให้มลรัฐต่าง ๆ ปฏิติตามสนธิสัญญาที่สภาทำกับต่างประเทศ รวมถึงาภาไม่อาจเรียกเก็บเงินสำหรับใช้จายในภารกิจต่าง ๆ ของรัฐบาลกลาง หรือชะระดอกเบี้ยหนี้สินของประเทศได้ อย่างไรก็ตามแม้บทบัญญัตินี้จะไม่สามรถแก้ไขปัญหาการปกครองร่วมกันได้ แต่ก็เป็นแนวทางนำไปสู่กาตกลงที่สำคัญเกียกับการแบ่งปยกอำนาตทั่งไป และอำนาจท้องถ่นอันเหมาะสม บทบัญญัติสมาพันธ์เป็นหลักการดำเนินงานขั้นสำคัญ และที่จำเป็นในการเปลี่ยนแปลงจากความเป็นอสระของมลรัฐต่าง ๆ ซึ่งไม่ขึ้นต่อกัน มาสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในรูปการปกครองแบบสหพันธรัฐในปี 1789
ไม่เพียงแต่ประเทศจะขาดรัฐบาลกลางที่เข้มแข็งเท่านั้น มลรัฐทั้ง 13 แห่งก็ยังปราศจากระเบียบการปกครองอันมั่นคงด้วย ธอมัน เพน ได้เสนอให้มี “การประชุมภาคพื้นทวีปเพื่อรางกฏบัตรการปกครองใหม่” ข้อเสนอดังกล่าวนี้ได้ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเมื่อมีการประชุมเพื่อพิจารณาปัญหาทางการค้า ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีลักษณะเข้าแข็งมั่นคงเป็นพิเศษ จึงได้ถูกราขึ้นในที่สุด
การดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญได้เริ่มขึ้นเมื่ออเล็กซานเดอร์ แฮมิลตันเสนอให้มลรัฐต่าง ๆ แต่งตั้งผู้แทนไปประชุมกันที่เมืองฟิลาเดลเฟียในเดือนพฤษภาคม 1787 เพื่อพิจารณาสถานกาณ์โดยทั่งไปของสหรัฐอเมริกา และ “กำหนดเงื่อไขเท่าที่จำเป็นในอันที่จะยังให้ธรรมนูญแห่งรัฐบาลสหพันธ์เป็นหลักในการปกครองอันเพียงพอแก่ความจำเป็นเร่งด่วนของหภาพมลรัฐทุก ๆ รัฐยกเว้นโรดไอแลนด์ได้ดำเนินการเลือตั้งผู้แทนเข้าร่วมประชุมโดยสภานิติบัญญัติของมลรัฐทำหน้าที่เลื่อกผู้แทนที่จะเข้าประชุม และวอชิงตันได้รัเลือกจาผู้แทนทั้งหมดให้เป็นประธานการประชุมด้วย ผู้แทนเหล่านี้ได้เตรียมร่างหลักการใหม่ซึ่งต่อมาคือรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา และได้ใช้เป็นแนวการพิจารณามากกว่าการยึดตามบทบัญญัติสมาพันธ์เดิม
หลักการโดยทั่งไปของการจัดตังรูปแบบการปกครองของชาติ คือ แบ่งการปกครองเป็น 3 สาขา แต่ละสาขามีอำนาจเท่าเทียมกันและประสานงานกับสาขาอื่นๆ สาขาทั้งสาม คือ นิติบัญญํติ บริหาร และตุลาการ จะต้องรัดกุมและสอดคล้องกัน เพื่อให้การปฏิบัติงานเหมาะสมกลมเกลียวกัน แต่ในเวลาเดียวกันก็จะต้องถ่วงดุลอำนาจกันอย่างดี ในลักษณะที่ไม่ให้ผลประโยชน์ของฝ่ายใดล่วงล้ำกำเกินฝ่ายอื่นได้ บรรดาผู้แทนเห็นชอบให้กำหนดว่า สาขานิตดบัญญัติควรประกอบด้วยสภา 2 สภา คือสภาเซเนต และสภาผู้แทนราษฎร โดยมีข้อยุติคือ มลรัฐเล็กจะมีเสียงในสภาเซเนตเท่ากับมลรัฐใหญ่ แต่ในสภาผู้แทนราษฎรให้กำหนดจำนวนผุ้แทนตามส่วยประชากรของมลรัฐ ในสาขาบริหาร การกำหนดวิธีการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้ข้อสรุปว่า ให้มีการจัดตั้งคณะผู้แทนของมลรัฐเพื่ออกเสียเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่ละมลรัฐมีจำนวนผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีก็มิได้เป็นไปตามเจตนาของผุ้ร่างรัฐธรรมนูญทั้งนี้เพราะไม่มีผู้ใดคาดคิดล่วงหน้าว่า พรรคการเมืองจะวิวัฒนาการขึ้นตั้งแต่เริ่มแรก ส่วนอำนาจสาขาที่สาม คือสาขาตุลาการ ประธานาธิบดีเป็นผุ้แต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุด โดยคำแนะนำและด้วยความยินยอมของสภาเซเนต ให้ดำรงตำแหน่งตลอดชีวิตตราบเท่าที่มีควาประพฤติดี
ความสุขุมและแยบยลในการกำหนดหลักการดำเนินงานของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ได้จัดตั้งระบอบการปกครองที่สลับซับซ้อนที่สุดแต่มั่นคงที่สุดเท่าที่มนุษย์ได้จัดตั้งมา อำนาจแต่ละสาขาเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อกันประสานงานกันแต่ก็ยับยั้งควบคุมซึ่งกันแลกัน ร่างกฏหมายของสภาคองเกรสจะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมือได้รับการับรองของประธานาธิบดี ในทำนองเดียวกัน ประธานาธิบดีต้องเสนอการแต่งตั้งข้าราชการดำนงตำแหน่างสำคัญ ๆ และสนองสนธิสัญญาทั่งปวงที่ทำขึ้น ต่อสภาเซเนตเพื่อของความเห็นชอบ อนึ่ง สภาคองเกรสยังอาจพิจารณาไต่สวนประธานธิบดีในข้อหาใช้อำนาจในทางที่ผิด และถอดถอนจากตำแน่งได้ด้วย สาขาตุลาการมีอำนาจพิจารณาคดีความทั้งปวงตามตัวบทกฎหมายมูลฐานและกฏหมายที่ออกโดยสภานิตดบัญญัติ แต่ผู้พิพากษาซึ่งประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้งและได้รับความเห็นชอบของสภเซเนต ก็อาจจะถูกสภาคองเกรสพิจารณาและถอดถอนจากตำแหน่งได้เช่นกัน โดยที่วุฒิสมาชิกของสภาเซเนตเป็นตำแหน่งที่ได้รับเลือกตั้งโดยสภานิติบัญญัติแห่งมลรัฐ ให้ปฏิบัติหน้าที่คราวละ 6 ปี ส่วนปรธานาธิบดีได้รัเลือกตั้งโดยสภานิติบัญญัติของมลรัฐ และผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นข้ารัฐการพวกเดียวที่ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน
หลังสงครามกลางเมือง การพัฒนาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาได้เจริญก้าวหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะหลังปี 1894 สาขาอุตสาหกรรมได้ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แทนที่สาขาการเกษตร ในบางอุตสาหกรรมได้มีการพัฒนาการผลิตขึ้นเป็นการผลิตขนาดใหญ่ นั้นคือเมื่อระบบทุนนิยมพัฒนาไป จะมีการรวมหน่วยธุรกิจเข้าเป็นหน่วนใหญ่ เป้าหมายเพื่อควบคุมตลาดและขจัดการแข่งขัน พยายามเป้นผู้ผูกขาดในตลาด ในกรณ๊เยอรมันเกิดระบบคาร์เตลและกรณีญี่ปุ่นเกิดระบบไซบัตซึ ส่วนในกรณีของสหรัฐอเมริกาปรากฏการณ์นี้เป็นไปอย่างรุนแรงที่สุด การรวมกลุ่มผูกขาดมีขนาดใหญ๋มาก รวมทั้งมีอำนาจทางเศรษฐกิจมากด้วย
การผลิตส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของกิจการจำนวนน้อย หมายถึงว่า กิจการเพียงกลุ่มน้อยจะเป็นกลุ่มอิทธิพลครอบงำอุสาหกรรมส่วนใหญ่เอาไว้ และการที่ในอุตสาหกรรมหนึ่งมีกิจการขนาดใหญ่อยู่เพียงไม่กี่กิจการ หากมีการแข่งขันระหว่างกิจการใหญ่ ๆ ด้วยกันด้านราคาก็อาจนำปสู่สงครามราคา แข่งขันตัดราคากันจนอาจนำไปสุ่การล้มละลายของกิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่กิจการใหญ่ ๆ พยายามหลีกเลียงการแข่งขันแบบนี้ ด้วยการหันไปตกลงและรวมตัวกันในแบบต่าง ๆ ซึงวิธีการแบบนี้ไม่เพียงหลีกเลียงการแข่งขันกันตัดราคาเท่านั้น ในบางโอกาสยังทำให้สามารถขึ้นราคาและเพิ่มกำไรได้ด้วย
การรวมกลุ่มผูกขาดนี้ ปรากฎในสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ทศวรรษ 1890 การรวมกิจการเพื่อผูกขาดทำกัน 3 วิธี โดยมีการพัฒนาตั้งแต่วิธีแรก เรียกว่า การตกลงรวมตัว วิธีที่ 2 คือการก่อตั้งทรัสต์ และวิธีสุดท้ายคือการก่อตั้งบริษัทถือครองหุ้น
เมื่อถึงปี 1905 ประมาณ สองในห้าของอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกาถูกควบคุมด้วยบริษัทใหญ่มากเพียง 300 บริษัทเท่านั้น และด้วยเงินทุนรวมกว่า 7 พันล้านเหรียญทุนผูกขาดครอบำกิจการรถไฟ เนื้อบรรจุหีบห่อ เหล็กกล้า ทองแดงฯ ตระกูลมอแกนซึ่งคบลคุมธนาคารเพื่อการลงทุน เป็นกรรมการบริษัท 112 แห่ง ซึ่มีสินทรัพย์กว่า 22 พันล้านเหรียญ หมายึวามว่าคนเพียงไม่กี่คน มีอำนาจเศรษฐกิจมากล้น เนื่องจากการรวมทุนเป็นทุนผูกขาด
การควบคุมโดยรัฐบาลกลาง
โดยทั่วไปการที่รัฐบาลกลางจะเข้าควบคุมการดำเนินธุรกิจนั้น มักจะเป็นในช่วงที่เกิดภาวะสงครามหรือเกิดภาวะความปั่นป่วนของตลอดเงินหรือของระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าแทรกแซงระบบเศรษฐกิจ การเช้าแทรกแซงรของรัฐบาลอาจทำให้รูปของการออกกฎหมายเศรษกิจหลักๆ และการจัดตั้งอง์กรควบคุมการดำเนินงานของธุรกิจจากการศึกษาระบบเศรษฐกิจอเมริกันชี้ให้เห็นว่า ระดับการออกกฎหมายควบคุมธุรกิจ และการจัดตั้งองค์กรควบคุมต่อทศวรรษ มีวงจรคล้ายกับการขยายตัวของปริมาณเงินและอัตราเงินเฟ้อนั่นก็คือ มีอัตราการเพิ่มที่พุ่งขึ้นถึงจุดสุงสุดในทุก ๆ 3 ทศวรรษ ยกเว้นในช่วงหลังสงครามกลางเมือง
“ระเบียบกฎหมาย” อาจนิยามได้ว่า คือ การที่รัฐบาลเข้าแทรกแซงในกระบวนการตัดสินใจของเอกขน ตัวอย่งเช่น การออกกฎหมายหรือรัฐบัญญัติกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ มาตรฐานคุณภาพสินค้า รัฐบัญญัติว่าด้วยการห้ามกีดกันการว่าจ้างแรงงานเป็ฯต้น เมื่ออกกฏหมายขึ้นใช้บังคับกิจการใดกิจการหนึ่งแล้ว ก็จะต้องจัดตั้งองค์กรส่วนกลางขึ้นเพื่อควบคุมดูแลให้ปฏิบัติตามกฏหมายนั้น ๆ
การวัดระดับการควบคุมธุรกิจอาจทำได้ 2 วิธี คือ
- พิจารณาจำนวนองค์กรใหม่ๆ ที่ตั้งขึ้นมาควบคุมการดำเนินงานของธุรกิจในแต่ละทศวรรษ หากมีจำนวนมากแสดงวาระดับการควบคุมธุรกิจในช่วงนั้นมีมาก
- พิจารณาจากจำนวนร่างรัฐบัญญัติหรือกฏหมายทางเศรษฐกิจหลัก ๆ ที่สภาคองเกรสฝ่านให้ประกาศใช้เป็นรัฐบัญญัติได้ หากมีจำนวนมากแสดงว่าการแทรกแซงของรัฐบาลมีมากขึ้น ซึ่งการควบคุมธุรกิจก็คือ การที่รัฐบาลเข้าแทรกแซงการดำเนินงานของตลาดนั้นเอง
ดังนั้นเมื่อระบบเศรษฐกิจขยายตัว มาตรการที่จะนำมาใช้ควบคุมธุรกิจย่อมเพิ่มขึ้นด้วย ถ้าระบบเศรษฐกิจขยายตัวแต่องค์กรที่ควบคุมดูแลไม่ได้เพิ่มขึ้น แสดงว่าระดัยการควบคุมต่อธุรกิจลดลงหรือเรียกว่า “ดิเรกกูเรชั่น”สำหรับร่างรัฐบัญญัติเศรษฐกิจหลัก ๆ ก็เช่นเดียวกัน ฉะนั้นในระบบเศรษฐกิจที่ขยายตัว มาตรการที่เหมาะสมในการควบคุมธุรกิจก็คือ จำนวนขององค์กรควบคุมที่ตั้งขึ้นใหม่ หรือจำนวนรัฐบัญญัติเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ประกาศใช้บังคับเพ่มขึ้นในแต่ละทศวรรษ อย่างไรก็ตามก็ควรจะคำนึงถึงองค์กรหรือรัฐบัญญัติที่เลิกล้มหรือเลิกใช้แล้วด้วย
องค์กรควบคุมที่ได้เกิดขึ้นต่อทศวรรษรัฐบาลกลางเริ่มก่อตั้งองค์กรควบคุมส่วนกลางในปี 1836 และในทศวรรษที่ 1860 มีการตั้งองค์กรใหม่ 2 องค์กร ภายหลังสงครามกลางเมืองวงจรได้ชะงักไปและกลับเข้าสูงวงจรปกติโดยพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดในทศวรรษที่ 1910,1940และ1970 จึงสรุปได้ว่า จากวงจรที่ 1 การขยายตัวขององค์กรควบคุมธุรกิจดำเนินไปเป็นวงจรโดยพุ่งถึงจุดสูงสุดในทุก ๆ 3 รอบทศวรรษ ยกเว้นภายหลังสงครามกลางเมือง
การบัญญัติกฏหมายเกียวกับเศรษฐกิจของรัฐ ฉบับสำคัญๆ ที่ผ่านออกมาต่อทศวรรษ แม้วาก่อนหน้าทศวรรษ 1830 ยังไม่มีการก่อตั้งองค์กรควบคุมธุรกิจแต่สภาคองเกรสได้ผ่านร่างรัฐบัญญัติเศรษฐกิจหลัก ๆ แล้ว นับตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอเมริกันอย่างชัดแจ้ง การออกกฏหมายเศรษฐกิจเพื่อควบคุมการดำเนินงานของธุรกิจ ขึ้นถึงจุดสูงสุดในทุก ๆ 3 ทศวรรษ ยกเว้นช่วงหลังสงครามกลางเมือง เพราะฉะนั้นในช่วงกลางระหว่างจุดสูงสุดเหล่นี้ ก็แสดงถึงระดับของการยกเลิกฏหมายด้วย เนื่องจากรัฐบัญญัติที่ประกาศใช้ในระหว่างสงคราม จะถูกยกเลิกไปเมือสงครามยุติลง จำนวนของรัฐบัญญํติท่ตราขึ้นระหว่างช่วง 10 ปีก็อาจเป็นได้ว่าอัตราเพิ่มของรัฐบัญญัติจะติดลบ เมื่อคำนึกถึงข้อเท็จจริงดังนี้แล้วจะเห็นว่าทศวรรษหลังสงคราม คือ ทศวรรษ 1780,1870,1920และ 1950 เป็นทศวรรษที่แสดงว่าระดับของการยกเลิกกฎหมาย หรือรัฐบัญญัติขึ้ถึงจุดสูสุด ดังนั้นระดับการการยกเลิกกฏหมายจะขึ้นถึงจุดสูงสุดในทุก ๆ 3 ทศวรรษเช่นกัน นับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศเรื่อยมา(ยกเว้นช่วงสงครามกลางเมือง)
ไม่เพียงแต่ประเทศจะขาดรัฐบาลกลางที่เข้มแข็งเท่านั้น มลรัฐทั้ง 13 แห่งก็ยังปราศจากระเบียบการปกครองอันมั่นคงด้วย ธอมัน เพน ได้เสนอให้มี “การประชุมภาคพื้นทวีปเพื่อรางกฏบัตรการปกครองใหม่” ข้อเสนอดังกล่าวนี้ได้ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเมื่อมีการประชุมเพื่อพิจารณาปัญหาทางการค้า ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีลักษณะเข้าแข็งมั่นคงเป็นพิเศษ จึงได้ถูกราขึ้นในที่สุด
การดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญได้เริ่มขึ้นเมื่ออเล็กซานเดอร์ แฮมิลตันเสนอให้มลรัฐต่าง ๆ แต่งตั้งผู้แทนไปประชุมกันที่เมืองฟิลาเดลเฟียในเดือนพฤษภาคม 1787 เพื่อพิจารณาสถานกาณ์โดยทั่งไปของสหรัฐอเมริกา และ “กำหนดเงื่อไขเท่าที่จำเป็นในอันที่จะยังให้ธรรมนูญแห่งรัฐบาลสหพันธ์เป็นหลักในการปกครองอันเพียงพอแก่ความจำเป็นเร่งด่วนของหภาพมลรัฐทุก ๆ รัฐยกเว้นโรดไอแลนด์ได้ดำเนินการเลือตั้งผู้แทนเข้าร่วมประชุมโดยสภานิติบัญญัติของมลรัฐทำหน้าที่เลื่อกผู้แทนที่จะเข้าประชุม และวอชิงตันได้รัเลือกจาผู้แทนทั้งหมดให้เป็นประธานการประชุมด้วย ผู้แทนเหล่านี้ได้เตรียมร่างหลักการใหม่ซึ่งต่อมาคือรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา และได้ใช้เป็นแนวการพิจารณามากกว่าการยึดตามบทบัญญัติสมาพันธ์เดิม
หลักการโดยทั่งไปของการจัดตังรูปแบบการปกครองของชาติ คือ แบ่งการปกครองเป็น 3 สาขา แต่ละสาขามีอำนาจเท่าเทียมกันและประสานงานกับสาขาอื่นๆ สาขาทั้งสาม คือ นิติบัญญํติ บริหาร และตุลาการ จะต้องรัดกุมและสอดคล้องกัน เพื่อให้การปฏิบัติงานเหมาะสมกลมเกลียวกัน แต่ในเวลาเดียวกันก็จะต้องถ่วงดุลอำนาจกันอย่างดี ในลักษณะที่ไม่ให้ผลประโยชน์ของฝ่ายใดล่วงล้ำกำเกินฝ่ายอื่นได้ บรรดาผู้แทนเห็นชอบให้กำหนดว่า สาขานิตดบัญญัติควรประกอบด้วยสภา 2 สภา คือสภาเซเนต และสภาผู้แทนราษฎร โดยมีข้อยุติคือ มลรัฐเล็กจะมีเสียงในสภาเซเนตเท่ากับมลรัฐใหญ่ แต่ในสภาผู้แทนราษฎรให้กำหนดจำนวนผุ้แทนตามส่วยประชากรของมลรัฐ ในสาขาบริหาร การกำหนดวิธีการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้ข้อสรุปว่า ให้มีการจัดตั้งคณะผู้แทนของมลรัฐเพื่ออกเสียเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่ละมลรัฐมีจำนวนผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีก็มิได้เป็นไปตามเจตนาของผุ้ร่างรัฐธรรมนูญทั้งนี้เพราะไม่มีผู้ใดคาดคิดล่วงหน้าว่า พรรคการเมืองจะวิวัฒนาการขึ้นตั้งแต่เริ่มแรก ส่วนอำนาจสาขาที่สาม คือสาขาตุลาการ ประธานาธิบดีเป็นผุ้แต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุด โดยคำแนะนำและด้วยความยินยอมของสภาเซเนต ให้ดำรงตำแหน่งตลอดชีวิตตราบเท่าที่มีควาประพฤติดี
ความสุขุมและแยบยลในการกำหนดหลักการดำเนินงานของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ได้จัดตั้งระบอบการปกครองที่สลับซับซ้อนที่สุดแต่มั่นคงที่สุดเท่าที่มนุษย์ได้จัดตั้งมา อำนาจแต่ละสาขาเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อกันประสานงานกันแต่ก็ยับยั้งควบคุมซึ่งกันแลกัน ร่างกฏหมายของสภาคองเกรสจะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมือได้รับการับรองของประธานาธิบดี ในทำนองเดียวกัน ประธานาธิบดีต้องเสนอการแต่งตั้งข้าราชการดำนงตำแหน่างสำคัญ ๆ และสนองสนธิสัญญาทั่งปวงที่ทำขึ้น ต่อสภาเซเนตเพื่อของความเห็นชอบ อนึ่ง สภาคองเกรสยังอาจพิจารณาไต่สวนประธานธิบดีในข้อหาใช้อำนาจในทางที่ผิด และถอดถอนจากตำแน่งได้ด้วย สาขาตุลาการมีอำนาจพิจารณาคดีความทั้งปวงตามตัวบทกฎหมายมูลฐานและกฏหมายที่ออกโดยสภานิตดบัญญัติ แต่ผู้พิพากษาซึ่งประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้งและได้รับความเห็นชอบของสภเซเนต ก็อาจจะถูกสภาคองเกรสพิจารณาและถอดถอนจากตำแหน่งได้เช่นกัน โดยที่วุฒิสมาชิกของสภาเซเนตเป็นตำแหน่งที่ได้รับเลือกตั้งโดยสภานิติบัญญัติแห่งมลรัฐ ให้ปฏิบัติหน้าที่คราวละ 6 ปี ส่วนปรธานาธิบดีได้รัเลือกตั้งโดยสภานิติบัญญัติของมลรัฐ และผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นข้ารัฐการพวกเดียวที่ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน
หลังสงครามกลางเมือง การพัฒนาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาได้เจริญก้าวหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะหลังปี 1894 สาขาอุตสาหกรรมได้ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แทนที่สาขาการเกษตร ในบางอุตสาหกรรมได้มีการพัฒนาการผลิตขึ้นเป็นการผลิตขนาดใหญ่ นั้นคือเมื่อระบบทุนนิยมพัฒนาไป จะมีการรวมหน่วยธุรกิจเข้าเป็นหน่วนใหญ่ เป้าหมายเพื่อควบคุมตลาดและขจัดการแข่งขัน พยายามเป้นผู้ผูกขาดในตลาด ในกรณ๊เยอรมันเกิดระบบคาร์เตลและกรณีญี่ปุ่นเกิดระบบไซบัตซึ ส่วนในกรณีของสหรัฐอเมริกาปรากฏการณ์นี้เป็นไปอย่างรุนแรงที่สุด การรวมกลุ่มผูกขาดมีขนาดใหญ๋มาก รวมทั้งมีอำนาจทางเศรษฐกิจมากด้วย
การผลิตส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของกิจการจำนวนน้อย หมายถึงว่า กิจการเพียงกลุ่มน้อยจะเป็นกลุ่มอิทธิพลครอบงำอุสาหกรรมส่วนใหญ่เอาไว้ และการที่ในอุตสาหกรรมหนึ่งมีกิจการขนาดใหญ่อยู่เพียงไม่กี่กิจการ หากมีการแข่งขันระหว่างกิจการใหญ่ ๆ ด้วยกันด้านราคาก็อาจนำปสู่สงครามราคา แข่งขันตัดราคากันจนอาจนำไปสุ่การล้มละลายของกิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่กิจการใหญ่ ๆ พยายามหลีกเลียงการแข่งขันแบบนี้ ด้วยการหันไปตกลงและรวมตัวกันในแบบต่าง ๆ ซึงวิธีการแบบนี้ไม่เพียงหลีกเลียงการแข่งขันกันตัดราคาเท่านั้น ในบางโอกาสยังทำให้สามารถขึ้นราคาและเพิ่มกำไรได้ด้วย
การรวมกลุ่มผูกขาดนี้ ปรากฎในสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ทศวรรษ 1890 การรวมกิจการเพื่อผูกขาดทำกัน 3 วิธี โดยมีการพัฒนาตั้งแต่วิธีแรก เรียกว่า การตกลงรวมตัว วิธีที่ 2 คือการก่อตั้งทรัสต์ และวิธีสุดท้ายคือการก่อตั้งบริษัทถือครองหุ้น
เมื่อถึงปี 1905 ประมาณ สองในห้าของอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกาถูกควบคุมด้วยบริษัทใหญ่มากเพียง 300 บริษัทเท่านั้น และด้วยเงินทุนรวมกว่า 7 พันล้านเหรียญทุนผูกขาดครอบำกิจการรถไฟ เนื้อบรรจุหีบห่อ เหล็กกล้า ทองแดงฯ ตระกูลมอแกนซึ่งคบลคุมธนาคารเพื่อการลงทุน เป็นกรรมการบริษัท 112 แห่ง ซึ่มีสินทรัพย์กว่า 22 พันล้านเหรียญ หมายึวามว่าคนเพียงไม่กี่คน มีอำนาจเศรษฐกิจมากล้น เนื่องจากการรวมทุนเป็นทุนผูกขาด
การควบคุมโดยรัฐบาลกลาง
โดยทั่วไปการที่รัฐบาลกลางจะเข้าควบคุมการดำเนินธุรกิจนั้น มักจะเป็นในช่วงที่เกิดภาวะสงครามหรือเกิดภาวะความปั่นป่วนของตลอดเงินหรือของระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าแทรกแซงระบบเศรษฐกิจ การเช้าแทรกแซงรของรัฐบาลอาจทำให้รูปของการออกกฎหมายเศรษกิจหลักๆ และการจัดตั้งอง์กรควบคุมการดำเนินงานของธุรกิจจากการศึกษาระบบเศรษฐกิจอเมริกันชี้ให้เห็นว่า ระดับการออกกฎหมายควบคุมธุรกิจ และการจัดตั้งองค์กรควบคุมต่อทศวรรษ มีวงจรคล้ายกับการขยายตัวของปริมาณเงินและอัตราเงินเฟ้อนั่นก็คือ มีอัตราการเพิ่มที่พุ่งขึ้นถึงจุดสุงสุดในทุก ๆ 3 ทศวรรษ ยกเว้นในช่วงหลังสงครามกลางเมือง
“ระเบียบกฎหมาย” อาจนิยามได้ว่า คือ การที่รัฐบาลเข้าแทรกแซงในกระบวนการตัดสินใจของเอกขน ตัวอย่งเช่น การออกกฎหมายหรือรัฐบัญญัติกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ มาตรฐานคุณภาพสินค้า รัฐบัญญัติว่าด้วยการห้ามกีดกันการว่าจ้างแรงงานเป็ฯต้น เมื่ออกกฏหมายขึ้นใช้บังคับกิจการใดกิจการหนึ่งแล้ว ก็จะต้องจัดตั้งองค์กรส่วนกลางขึ้นเพื่อควบคุมดูแลให้ปฏิบัติตามกฏหมายนั้น ๆ
การวัดระดับการควบคุมธุรกิจอาจทำได้ 2 วิธี คือ
- พิจารณาจำนวนองค์กรใหม่ๆ ที่ตั้งขึ้นมาควบคุมการดำเนินงานของธุรกิจในแต่ละทศวรรษ หากมีจำนวนมากแสดงวาระดับการควบคุมธุรกิจในช่วงนั้นมีมาก
- พิจารณาจากจำนวนร่างรัฐบัญญัติหรือกฏหมายทางเศรษฐกิจหลัก ๆ ที่สภาคองเกรสฝ่านให้ประกาศใช้เป็นรัฐบัญญัติได้ หากมีจำนวนมากแสดงว่าการแทรกแซงของรัฐบาลมีมากขึ้น ซึ่งการควบคุมธุรกิจก็คือ การที่รัฐบาลเข้าแทรกแซงการดำเนินงานของตลาดนั้นเอง
ดังนั้นเมื่อระบบเศรษฐกิจขยายตัว มาตรการที่จะนำมาใช้ควบคุมธุรกิจย่อมเพิ่มขึ้นด้วย ถ้าระบบเศรษฐกิจขยายตัวแต่องค์กรที่ควบคุมดูแลไม่ได้เพิ่มขึ้น แสดงว่าระดัยการควบคุมต่อธุรกิจลดลงหรือเรียกว่า “ดิเรกกูเรชั่น”สำหรับร่างรัฐบัญญัติเศรษฐกิจหลัก ๆ ก็เช่นเดียวกัน ฉะนั้นในระบบเศรษฐกิจที่ขยายตัว มาตรการที่เหมาะสมในการควบคุมธุรกิจก็คือ จำนวนขององค์กรควบคุมที่ตั้งขึ้นใหม่ หรือจำนวนรัฐบัญญัติเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ประกาศใช้บังคับเพ่มขึ้นในแต่ละทศวรรษ อย่างไรก็ตามก็ควรจะคำนึงถึงองค์กรหรือรัฐบัญญัติที่เลิกล้มหรือเลิกใช้แล้วด้วย
องค์กรควบคุมที่ได้เกิดขึ้นต่อทศวรรษรัฐบาลกลางเริ่มก่อตั้งองค์กรควบคุมส่วนกลางในปี 1836 และในทศวรรษที่ 1860 มีการตั้งองค์กรใหม่ 2 องค์กร ภายหลังสงครามกลางเมืองวงจรได้ชะงักไปและกลับเข้าสูงวงจรปกติโดยพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดในทศวรรษที่ 1910,1940และ1970 จึงสรุปได้ว่า จากวงจรที่ 1 การขยายตัวขององค์กรควบคุมธุรกิจดำเนินไปเป็นวงจรโดยพุ่งถึงจุดสูงสุดในทุก ๆ 3 รอบทศวรรษ ยกเว้นภายหลังสงครามกลางเมือง
การบัญญัติกฏหมายเกียวกับเศรษฐกิจของรัฐ ฉบับสำคัญๆ ที่ผ่านออกมาต่อทศวรรษ แม้วาก่อนหน้าทศวรรษ 1830 ยังไม่มีการก่อตั้งองค์กรควบคุมธุรกิจแต่สภาคองเกรสได้ผ่านร่างรัฐบัญญัติเศรษฐกิจหลัก ๆ แล้ว นับตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอเมริกันอย่างชัดแจ้ง การออกกฏหมายเศรษฐกิจเพื่อควบคุมการดำเนินงานของธุรกิจ ขึ้นถึงจุดสูงสุดในทุก ๆ 3 ทศวรรษ ยกเว้นช่วงหลังสงครามกลางเมือง เพราะฉะนั้นในช่วงกลางระหว่างจุดสูงสุดเหล่นี้ ก็แสดงถึงระดับของการยกเลิกฏหมายด้วย เนื่องจากรัฐบัญญัติที่ประกาศใช้ในระหว่างสงคราม จะถูกยกเลิกไปเมือสงครามยุติลง จำนวนของรัฐบัญญํติท่ตราขึ้นระหว่างช่วง 10 ปีก็อาจเป็นได้ว่าอัตราเพิ่มของรัฐบัญญัติจะติดลบ เมื่อคำนึกถึงข้อเท็จจริงดังนี้แล้วจะเห็นว่าทศวรรษหลังสงคราม คือ ทศวรรษ 1780,1870,1920และ 1950 เป็นทศวรรษที่แสดงว่าระดับของการยกเลิกกฎหมาย หรือรัฐบัญญัติขึ้ถึงจุดสูสุด ดังนั้นระดับการการยกเลิกกฏหมายจะขึ้นถึงจุดสูงสุดในทุก ๆ 3 ทศวรรษเช่นกัน นับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศเรื่อยมา(ยกเว้นช่วงสงครามกลางเมือง)
The Communist Manifesto
ลัทธิมาร์กซิสม์เป็นผลงานร่วมกันของยุคคล 2 คน คือ คาร์ล มาร์กซ์ และฟรีดริช แองเกลส์
คาร์ล มาร์กซ์ เป็นบุตรทนายชาวยิว เกิดที่เมืองแตร์ ประเทศเยอรมันและในระยะต่อมาได้เปลี่ยนศษสนามานับถือศาสนาคริสต์ ขณะที่เป็นักศึกษาในมหาวิทยาลัยในเยอรมันได้ทำงานเป็นักหนังสือพิมพ์ และแสดงข้อคิดเห็นในแง่ที่เร่งเร้าให้ทำการปฏิวัติโจมตีลักาณะการปกครองในขณะนั้ เขาจึงถูกเนรเทศออกจากเยอรมันและไปใช้ชีวิตระยะหนึ่งในฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม ในที่สุดไปตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ลอนดอน ประเทศอังฏษ เขาได้ใช้เวลาทั้งหมดในการศึกษาค้นคว้าและขียนหนัสือ บทความที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของแนวความคิดสังคมนิยม และขบวนการสหพันธ์กรรมกรในศตวรรษที่ 19
ฟริตริช แองเกลส์ เป็นชาวอังกฤษเกิดในตระกูลชนชั้นกลางที่มีฐานะมั่งคั่งเขาเป็นเจ้าของอุตสาหกรรมทอผ้าและโรงงานทอผ้าหลายแหงในประเทศอังกฤษ แองเกิส์เป็นผู้หนึ่งที่สนใจในแนวความคิดแบบสังคมนิยม เป็นผู้ที่ให้เงินอุดหนุนและถุปถัมภ์มาร์กซ์ตลอดเวลาและยังได้ร่วมมือในการเขียนหนังสือกับมาร์กซ์ด้วย
ผลงานที่ทั้งสองเขียนด้วยกันคือ แถลงการณ์คอมมิวนิสต์ ตีพิมพ์ในปี 1848 จัดได้ว่าเป็นผลงานชิ้นหนึ่งที่มีอิทิพลต่อลัทธิสัคมนิยมมากที่สุด แต่ส่วนใหญ่มุ่งในการโฆษณาในเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิวัติ โครงสร้างของลัทธิเศรษฐกิจของมาร์กซ์อธิบายอย่างละเอียดในหนังสือ The Capital ซึ่งมีทั้งหมด 3 เล่ม จัดพิมพ์โดยแองเกลส์ในปี 1867,1893,และ1894 แนวคิดของมาร์กซ์อาจจะสรุปออกเป็นน 4 ด้าน คือ
-ปรัชญาทั่วไป ของปรากฎการณ์ทุกประการ
-ทฤษฏีประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
-การวิจารณ์ระบบนายทุน
-การทำนายพัฒนาการสังคมของมนุษย์ในอนาคตที่จะไปสู่ความสมบูรณ์แบบที่แท้จริง
อุดมการณ์ของลัทธิมาร์กซิสม์ มีดังนี้
- ประชาชนต้องทำงานเพื่อสังคมตามคามสามรถของตน และควรได้รับการตอบแทนด้วยผลผลิตแห่งงานของตนตามความจำเป็นของตน
- เอกชนไม่ควรมีกรรมสิทธ์ในทรัพย์สิน
- เพื่อประโยชน์ของลัทธิคอมมิวนิสต์นี้ งานสมองก็ด งานฝีมือก็ดี ถือว่ามีความสำคัญในระดับเดียวกัน
ตามปรัชญาของมาร์กซ์ ถือว่าเศรษฐกิจเป็นเครื่องกำหนดความรู้สึกนึกคิดและสภาวะความเป็นอยู่ของมนุษย์ นั่งคือเศรษฐกิจเป็นเครื่องกำหนด ซึ่งรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นปรากฎการณ์ของมนุษยชาติ ก็คือการต่อสู่ของชนชั้น ความขัดแย้งระหว่างผู้เอารัดเอาเปรียบและผู้ถูกเอาเปรียบในทุกสังคม
ตามทฤษฏีพัฒนาการเศรษฐกิจของมาร์กซ์ ระบบเศรษฐกิจและสังคมในประวัติศาสตร์อาจแบ่งออกเป็น 5 พน่
1 สังคมแรกเริ่ม เป้นสังคมที่บุคคลในสังคมจะถูกบังคับให้อยู่ร่วมกัน เป็นเจ้าของร่วมกัน ทำมาหากินร่วมกัน
2 สังคมที่มีการใช้ทาส สังคมนี้วิวัฒนาการมาจากสังคมแรกเริ่ม เป็นสังคมทาส การผลิตมีลักษณะเป็นการประกอบการส่วนตัว มีทั้งการทำงานดดยตนเองและโดยการใช้ทาส คนในสังคมแบ่งเป็น 2 ชั้น คือ เจ้าของทุนและทาส การขัดแย้งระหว่าบุคคลสองชั้นเป็นจุดอ่อนของสังคม และสังคมนี้สิ้นสุดลงเพราะการต่อสู้ระหว่าชน 2 ชั้นนี้
3 สังคมระบบศักดินา ที่ดินเป็นหลักสำคัญของสังคมแบบนี้ ชาวนาเป็นผู้ผลิต ผู้เป็นเจ้าของคือพวกขุนนางเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นชนชั้นปกครอง ยิ่งกว่านั้นความเจริญทางด้านการผลิตได้ก้าวหน้าไปอย่ารวดเร็วเพราะมีการปฏิวัติอตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 และ 19 จึงเกิดมีเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นใหม่ในสังคมและถือว่าเป็นนายทุนในสังคมนี้จึงมีการต่อสู้ระหว่างนายทุนหรือพวกขุนนางกับคนงานหรือพวกไพร่ จึงเป็นเหตุให้สังคมนี้เปลี่ยนไปเป็นสังคมนายทุนเร็วขึ้น
4 สังคมนายทุนหรือระบบทุนนิยม ในสังคมนี้มีชน 2 ชั้น คือชนชั้นกรรมาชีพ และชนชั้นนายทุน นายทุนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ชนชั้นกรรมาชีพคือคนงานที่ทำงานเพื่อรับค่าจ้างโดยขายแรงงาน ทุนจะอยู่ในมือของคนส่วนน้อยคือนายทุน ผลประโยชน์ของนายทุนคือกำไร ซึ่งพวกสังคมนิยมถือว่าเป็นการขูดรีดดังนั้นในสงคมนี้จะเกิดการต่อสู่ระหว่างชน 2 ชั้นอย่างรุนแรง
5 ลัทธิสังคมนิยม คลุมไปถึงลัทธิคอมมิวนิสม์ ผู้ที่เป็นเจ้าของเครื่องมือในการผลิตคือสังคม ชนชันปกครองคือสังคมซึ่งหมายถึงประชาชนทั้งหมด ในงคมนี้ชนชั้นที่ทำงานทั้งหลายจะโค่นระบบนายทุน และพวกรรมกรขึ้นปกครอง ไม่มีการต่อสู้ระหวางชนชั้นเพราะไม่มีชนชันอีกต่อไป
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสม์ซึ่งเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้าย เพราะไม่มีการต่อสู้ระหว่างชนชั้น เป็นระบบที่ไม่มีชนชั้น แต่อย่างไรก็ตามก่อนการเปลี่ยนแปลงจากระบบนายทุนเป็นสังคมนิยม การ์กซ์เห็นว่าควรมีความเจรญในทางอุตสาหกรรมก่อน เพราะการอุตสาหกรรมจะช่วยให้กรรมกรและคนงานรวมตัวกันได้มันคงและภายใต้ระบบทุนนิยม สุดท้ายกลำกการดำเนินงานของระบบทุนนิยมเองจะเป็นสิ่งที่ทำลายระบบทุนนิยม
ทฤษฏีทางเศรษฐกิจ ที่มาร์กใช้นำมาอธิบายว่าระบบนายทุนทำลายตนเอง ก็คือทฤษฏีมูลค่าส่วนเกิน และทฤษฏีมูลค่าของแรงงาน ในความคิดของมาร์กซ์เห็นว่าสิ่งของจะมีค่าหรือไม่ขึ้นอยู่กับ 2 ประการคือ
1 ของนั้นมีประโยชนหรือไม่ เป็นิ่งที่ต้องการหรือเปล่า
2 ของนั้นต้องใช้แรงงานในการผลิตหรือไม่
ทฤษฏีเศรษฐกิจของมาร์กซ์ ย้ำว่าคุณค่าของสิ่งของและสินค้าต่าง ๆ เกิดขึ้นจากแรงงาน และระบบเศรษฐกิจในเวลาหนึ่ง ๆ สามรถผลิตได้มูลค่าเกินกว่าความจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของคนงานและมูลค่าของวัตถุดิบและทุนที่ในการผลิตนั้น ๆ มาร์กซ์เรียกส่วนเกินนี้ว่า surplus value หรือมูลค่าที่ผลิตได้เกิน ซึ่งส่สนนี้จะตกเป็นของนายทุน นอกไปจากนี้การแข่งขันกันเองทไห้นายทุนต้องสะสมทุนมากขึ้น ขณะเดียวกันการสะสมทุนมากขึ้นทำให้ทุนมารวมกันอยู่ในมือนายทุนไม่กี่คน นายทุนซึ่งแข่งขันสู้ไม่ได้ก็จะสลายตัวกลายเป็นชนชันกรรมาชีพไปนอกจากนี้จากการนำเอาเทคนิคใหม่ ๆ หรือเครื่องจักรมาใช้ ทำใหใช้แรงงานน้อยลก่อนให้เกิดคนว่างงานมากขึ้น นายทุนก็สามารถต่อรองลดค่าจ้างของกรรมกรลงไปอีก ทำให้กรรมกรได้รับความทุกข์ยาก เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกกรรมกรก็จะรวมกันโค่นพวกนายทุน
จากแนวคิดดังกล่าวจะเห็นได้ว่า มาร์กซ์ได้อธิบายถึงการดำเนินการเศรษฐกิจในรูปแบบทีเรียกว่าเศรษฐกิจสังคมนิยม โดยเพ่งเล็งถึงการขัดแย้งภายในของระบบนายทุน ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่จุดจบและแทนที่ด้วยสังคมนิยมอันเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดขององค์กรทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตามมาร์กซ์ก็ไม่ได้สาธิตระบบหรือแบบของสังคมนิยมที่เขาเห็นว่าดีเยียมไว้อย่างชัดแจ้ง รวมทั้งวิธีการที่จะจัดการกับระบบเศรษฐกิจดังกล่าวนี้
อันที่จริงแล้วสภาพของรัศเซียนั้นแตกต่างจากทฤษฏีของมาร์กซ์ มาร์กซ์เองก็ไม่เคยคิดว่ารัสเซียจะเป็นประเทศที่ทำการปฏิวัติโค่นล้มระบบนายทุน เพราะรัสเซียยังไม่ก้าวเข้าสู่สังคมนายทุนอย่างสมบูรณ์ และการปฏิวัติบอลเชวิคในปี ค.ศ. 1917 ก็เป็นการปฏิวัติของชนชั้นกลาง ไม่ใช่การปฏิวัติของพวกกรรมกร เพราะว่าในขณะนั้นกรรมกรของรัสเซียยังคงมีน้อย ประชาชนส่วนใหญ๋ของประเทศคือชาวนา ซึ่งเป็นผู้ที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้
ลัทธิมาร์กซ์เข้าสู่รัสเซียโดยผ่านทางนักศึกษาและปัญญาชนที่๔กเนรเทศออกจากรัสเซีย และตีพิมพ์แถลงการณ์คอมมิวนิสต์ออกเป็นภาษารัสเซีย ในปี 1860 และ The Capital ในปี 1872 .. ด้วยเหตุนี้ลัทธิมาร์กซ์จึงเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในศเว๊ยในปลายศตวรรษที่ 19 นั้นเอง ประกอบกับสถานการณ์ในรัสเซียส่งเสริมให้ความนิยมในมาร์กเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการที่อุตสาหรรมขยายตัว จำนนคนงานที่ทำงานในโรงงานเพ่มขึ้น การโฆษณาจึงได้ผล
ช่วงเริ่มแรกก่อนการปฏิวัติในรัฐเซียมีการเคลื่อนไหวจากคน 3 กลุ่ม คือกล่มแรกนั้นส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาและเห็นว่า ระบบการปกครองแบบสังคมนิยมเท่านั้นที่เหมาะกับรัสเซีย รัสเซียสามารถพัฒนาโดยผ่านขั้นตอนศักดินาเข้าสูระบบสังคมนิยมที่เดียว แนวคิดของพวก “นารอดนิค”เกียวกับสังคมนิยม จะเห็นว่าตรงข้ากับความคิดของมาร์กซ์และพวกนักสังคมนิยมในรัสเซียขณะนั้น ซึ่งมีความเนว่าการปฏิวัติไปสู่ระบบสังคมนิยมนั้นจะต้องเป็นไปตามขั้นตอน และผ่านพัฒนาการของระบบนายทุนเสียก่อน ด้วยเตนี้บรรดานักปปฏิวัติในรัสเซียในทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่ 19 จึงพยายามรวมกลุ่มกรรมกรกอ่น
กลุ่มที่ 2 เพลคานอฟ นับว่าเป็นบิดาของมาร์กซิสม์ในรัสเซีย เขาไม่เห็นด้วยกับพวกนารอดนิค เพนืองจากชาวนนาเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมของสังคมพื้นฐานอยู่ห่างไกลจากชนชั้นกลางและกรรมกร การปฏิวัติที่จะเกิดขึ้นในรัสเซียระยะแรกจะต้องเป็นการปฏิวัติของพวกนายทุนชนชั้นกลาง ดังนั้นสิ่งสำคัญจะตองทำลายระบบศักดินา และกระตุ้นให้มีการพัฒราอุตสาหกรรม เมื่อสังคมนายทุนพัฒนาไปแล้วก็จะถึงเวลาสำหรับการปฏิวัติของกรรมกร เพลคานอฟเห็นว่ารัสเซียจะต้องผ่านระบบนายทุนก่อนและคนงานอุตาสหกรรมหรือชนชั้นกรรมาชีพ จะเป็นผู้ที่มีบทบาทที่สำคัญมิใช่ชาวนา การต่อสู้จะต้องกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งเสรีภาพทางการเมือง และกรรมกรจะพอใจแต่การต่อสู้ทางเศรษฐกิจอย่างเดียวมิได้ นั้นคือจะต้องทำการปฏิวัตินายทุนในรัสเซียเสียก่อนเมื่อระบบทุนนิยมพัฒนาแล้ว จงจะมีการปฏิวัติสังคมนิยมหรือการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพ และเพลคานอฟ ก็เป็นผู้จัดตั้งหรือเป็นผุ้นำกลุ่มองค์การปลดปล่อยกรรมกร
บุคคลสำคัญอีกท่านหนึ่งที่เห็นด้วยกับเพลคานอฟคือ วลาดิมีร์ อิลลิช อุลิยานอฟ หรือ “เลนิน” ผู้ซึ่งต่อมาเป็นผู้นไของบอลเชวิค เขาได้เข้าร่วมมือกับมาร์ตอฟ จัดตั้ง “สหภาพการต่อสู้เพื่อการปลดแอกชนชั้นคนงานแห่งเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก”เพื่อเผยแพร่แนวความคิดของมร์กซ์ในหมู่กรรมกร ในที่สุดเขาถูกเนรเทศไปอยู่ไซบีเรีย ในช่วงเวลานี้เขาใช้เวลารวบรวมเอกสารต่าง ๆ เขียนหนังสือการพัฒนาระบบนายทุนในรัสเซีย ซึ่งเป็นหนังสือที่โจมตีพวกปอปปูลิสต์และยืนยันว่านายทุนตามแบบยุโรปตะวันตกได้เกิดขึ้นแล้วในรัสเซียอันเป็นสภาวะการณ์ที่สำคัญของการพัฒนาทางสังคมที่มาร์กซ์ได้ทำนายไว้
สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่เลนินได้ขยายเพ่มเติมลัทธิมาร์กซืและมีอิทธพลต่อสังคมนิยมรัสเซียในปัจจุบันคือ แนวความคิดของเขาในจุลสารที่ระบุว่าประมาณ ปี 1900 ระบบนายทุนในยุโรปและอเมริกาจะเข้าสู่ก้าวใหม่นั้คือระบบจักรวรรดินิยม หรือการผูกขาดของระบบนายทุน ซึ่งจะเข้าแทนที่ระบบการแข่งขันดดยเสรีที่ดำเนินอยู่ ผลิตผลจะมีจำนวนมากขึ้น และอยู่ในกำมือของผุ้ลทุนที่มีเงินทุนมากจำนวนไม่กี่ราซึงจะก่อให้เกิดระบอบคณาธิปไตยทางการเงนิ ซึ่งจะเป็นผู้ควบคุมวิธีการ การดำเนินงานตลอดทั้งโครงสร้างของผลผลิตต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจอันสลับซับซ้อน โดยผ่านทางการเข้าควบคุมธนคารซึ่งเป็นผู้กษาและเป็นผุ้ตัดสินใจในการจัดจหน่ายเงินทุนและสินเชื่อที่ยอมให้เพาะผุ้ผลิตบางคน และอาจจะปกิเสธกับบางคน ซึ่งเมื่อถึงขึ้นนี้แล้วก็เป็นการแยกให้เห็นชัดว่าเป็นผู้ที่มีเงินทุนและผู้ที่ไม่มีเงินทุน…
แนวคิดของเลนินเกี่ยวกับการจัดการเศรษฐกิจภายในของรัฐสังคมนิยมเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง และจัดว่าเป็นระยะเริ่มต้นของระบอบคอมมิวนิสต์ที่ถือว่า ประชาชนทุกคนจะต้องเปลี่ยนไปเป็นลูกจ้างและคนงานของรัฐในรูปของ ซินดิเคท ซึ่งถือว่ากรรมกรเป็นผู้ควบคุมอุตสาหกรรมของประเทศรวมทั้งการกระจายรายได้และการบริโภค ซึ่งในรูปนี้ทุกคนจะทำงานเท่ากันและทำงานในส่วนของตนเป็นประจำและรับค่าจ้าเท่ากัน วิธีการจัดระบบเศรษฐกิจแบบนี้เป็นหลักการที่ดำเนินในสหภาพโซเวียตภายหลังจากการปฏิวัติในปี 1917
……
คาร์ล มาร์กซ์ เป็นบุตรทนายชาวยิว เกิดที่เมืองแตร์ ประเทศเยอรมันและในระยะต่อมาได้เปลี่ยนศษสนามานับถือศาสนาคริสต์ ขณะที่เป็นักศึกษาในมหาวิทยาลัยในเยอรมันได้ทำงานเป็นักหนังสือพิมพ์ และแสดงข้อคิดเห็นในแง่ที่เร่งเร้าให้ทำการปฏิวัติโจมตีลักาณะการปกครองในขณะนั้ เขาจึงถูกเนรเทศออกจากเยอรมันและไปใช้ชีวิตระยะหนึ่งในฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม ในที่สุดไปตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ลอนดอน ประเทศอังฏษ เขาได้ใช้เวลาทั้งหมดในการศึกษาค้นคว้าและขียนหนัสือ บทความที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของแนวความคิดสังคมนิยม และขบวนการสหพันธ์กรรมกรในศตวรรษที่ 19
ฟริตริช แองเกลส์ เป็นชาวอังกฤษเกิดในตระกูลชนชั้นกลางที่มีฐานะมั่งคั่งเขาเป็นเจ้าของอุตสาหกรรมทอผ้าและโรงงานทอผ้าหลายแหงในประเทศอังกฤษ แองเกิส์เป็นผู้หนึ่งที่สนใจในแนวความคิดแบบสังคมนิยม เป็นผู้ที่ให้เงินอุดหนุนและถุปถัมภ์มาร์กซ์ตลอดเวลาและยังได้ร่วมมือในการเขียนหนังสือกับมาร์กซ์ด้วย
ผลงานที่ทั้งสองเขียนด้วยกันคือ แถลงการณ์คอมมิวนิสต์ ตีพิมพ์ในปี 1848 จัดได้ว่าเป็นผลงานชิ้นหนึ่งที่มีอิทิพลต่อลัทธิสัคมนิยมมากที่สุด แต่ส่วนใหญ่มุ่งในการโฆษณาในเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิวัติ โครงสร้างของลัทธิเศรษฐกิจของมาร์กซ์อธิบายอย่างละเอียดในหนังสือ The Capital ซึ่งมีทั้งหมด 3 เล่ม จัดพิมพ์โดยแองเกลส์ในปี 1867,1893,และ1894 แนวคิดของมาร์กซ์อาจจะสรุปออกเป็นน 4 ด้าน คือ
-ปรัชญาทั่วไป ของปรากฎการณ์ทุกประการ
-ทฤษฏีประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
-การวิจารณ์ระบบนายทุน
-การทำนายพัฒนาการสังคมของมนุษย์ในอนาคตที่จะไปสู่ความสมบูรณ์แบบที่แท้จริง
อุดมการณ์ของลัทธิมาร์กซิสม์ มีดังนี้
- ประชาชนต้องทำงานเพื่อสังคมตามคามสามรถของตน และควรได้รับการตอบแทนด้วยผลผลิตแห่งงานของตนตามความจำเป็นของตน
- เอกชนไม่ควรมีกรรมสิทธ์ในทรัพย์สิน
- เพื่อประโยชน์ของลัทธิคอมมิวนิสต์นี้ งานสมองก็ด งานฝีมือก็ดี ถือว่ามีความสำคัญในระดับเดียวกัน
ตามปรัชญาของมาร์กซ์ ถือว่าเศรษฐกิจเป็นเครื่องกำหนดความรู้สึกนึกคิดและสภาวะความเป็นอยู่ของมนุษย์ นั่งคือเศรษฐกิจเป็นเครื่องกำหนด ซึ่งรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นปรากฎการณ์ของมนุษยชาติ ก็คือการต่อสู่ของชนชั้น ความขัดแย้งระหว่างผู้เอารัดเอาเปรียบและผู้ถูกเอาเปรียบในทุกสังคม
ตามทฤษฏีพัฒนาการเศรษฐกิจของมาร์กซ์ ระบบเศรษฐกิจและสังคมในประวัติศาสตร์อาจแบ่งออกเป็น 5 พน่
1 สังคมแรกเริ่ม เป้นสังคมที่บุคคลในสังคมจะถูกบังคับให้อยู่ร่วมกัน เป็นเจ้าของร่วมกัน ทำมาหากินร่วมกัน
2 สังคมที่มีการใช้ทาส สังคมนี้วิวัฒนาการมาจากสังคมแรกเริ่ม เป็นสังคมทาส การผลิตมีลักษณะเป็นการประกอบการส่วนตัว มีทั้งการทำงานดดยตนเองและโดยการใช้ทาส คนในสังคมแบ่งเป็น 2 ชั้น คือ เจ้าของทุนและทาส การขัดแย้งระหว่าบุคคลสองชั้นเป็นจุดอ่อนของสังคม และสังคมนี้สิ้นสุดลงเพราะการต่อสู้ระหว่าชน 2 ชั้นนี้
3 สังคมระบบศักดินา ที่ดินเป็นหลักสำคัญของสังคมแบบนี้ ชาวนาเป็นผู้ผลิต ผู้เป็นเจ้าของคือพวกขุนนางเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นชนชั้นปกครอง ยิ่งกว่านั้นความเจริญทางด้านการผลิตได้ก้าวหน้าไปอย่ารวดเร็วเพราะมีการปฏิวัติอตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 และ 19 จึงเกิดมีเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นใหม่ในสังคมและถือว่าเป็นนายทุนในสังคมนี้จึงมีการต่อสู้ระหว่างนายทุนหรือพวกขุนนางกับคนงานหรือพวกไพร่ จึงเป็นเหตุให้สังคมนี้เปลี่ยนไปเป็นสังคมนายทุนเร็วขึ้น
4 สังคมนายทุนหรือระบบทุนนิยม ในสังคมนี้มีชน 2 ชั้น คือชนชั้นกรรมาชีพ และชนชั้นนายทุน นายทุนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ชนชั้นกรรมาชีพคือคนงานที่ทำงานเพื่อรับค่าจ้างโดยขายแรงงาน ทุนจะอยู่ในมือของคนส่วนน้อยคือนายทุน ผลประโยชน์ของนายทุนคือกำไร ซึ่งพวกสังคมนิยมถือว่าเป็นการขูดรีดดังนั้นในสงคมนี้จะเกิดการต่อสู่ระหว่างชน 2 ชั้นอย่างรุนแรง
5 ลัทธิสังคมนิยม คลุมไปถึงลัทธิคอมมิวนิสม์ ผู้ที่เป็นเจ้าของเครื่องมือในการผลิตคือสังคม ชนชันปกครองคือสังคมซึ่งหมายถึงประชาชนทั้งหมด ในงคมนี้ชนชั้นที่ทำงานทั้งหลายจะโค่นระบบนายทุน และพวกรรมกรขึ้นปกครอง ไม่มีการต่อสู้ระหวางชนชั้นเพราะไม่มีชนชันอีกต่อไป
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสม์ซึ่งเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้าย เพราะไม่มีการต่อสู้ระหว่างชนชั้น เป็นระบบที่ไม่มีชนชั้น แต่อย่างไรก็ตามก่อนการเปลี่ยนแปลงจากระบบนายทุนเป็นสังคมนิยม การ์กซ์เห็นว่าควรมีความเจรญในทางอุตสาหกรรมก่อน เพราะการอุตสาหกรรมจะช่วยให้กรรมกรและคนงานรวมตัวกันได้มันคงและภายใต้ระบบทุนนิยม สุดท้ายกลำกการดำเนินงานของระบบทุนนิยมเองจะเป็นสิ่งที่ทำลายระบบทุนนิยม
ทฤษฏีทางเศรษฐกิจ ที่มาร์กใช้นำมาอธิบายว่าระบบนายทุนทำลายตนเอง ก็คือทฤษฏีมูลค่าส่วนเกิน และทฤษฏีมูลค่าของแรงงาน ในความคิดของมาร์กซ์เห็นว่าสิ่งของจะมีค่าหรือไม่ขึ้นอยู่กับ 2 ประการคือ
1 ของนั้นมีประโยชนหรือไม่ เป็นิ่งที่ต้องการหรือเปล่า
2 ของนั้นต้องใช้แรงงานในการผลิตหรือไม่
ทฤษฏีเศรษฐกิจของมาร์กซ์ ย้ำว่าคุณค่าของสิ่งของและสินค้าต่าง ๆ เกิดขึ้นจากแรงงาน และระบบเศรษฐกิจในเวลาหนึ่ง ๆ สามรถผลิตได้มูลค่าเกินกว่าความจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของคนงานและมูลค่าของวัตถุดิบและทุนที่ในการผลิตนั้น ๆ มาร์กซ์เรียกส่วนเกินนี้ว่า surplus value หรือมูลค่าที่ผลิตได้เกิน ซึ่งส่สนนี้จะตกเป็นของนายทุน นอกไปจากนี้การแข่งขันกันเองทไห้นายทุนต้องสะสมทุนมากขึ้น ขณะเดียวกันการสะสมทุนมากขึ้นทำให้ทุนมารวมกันอยู่ในมือนายทุนไม่กี่คน นายทุนซึ่งแข่งขันสู้ไม่ได้ก็จะสลายตัวกลายเป็นชนชันกรรมาชีพไปนอกจากนี้จากการนำเอาเทคนิคใหม่ ๆ หรือเครื่องจักรมาใช้ ทำใหใช้แรงงานน้อยลก่อนให้เกิดคนว่างงานมากขึ้น นายทุนก็สามารถต่อรองลดค่าจ้างของกรรมกรลงไปอีก ทำให้กรรมกรได้รับความทุกข์ยาก เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกกรรมกรก็จะรวมกันโค่นพวกนายทุน
จากแนวคิดดังกล่าวจะเห็นได้ว่า มาร์กซ์ได้อธิบายถึงการดำเนินการเศรษฐกิจในรูปแบบทีเรียกว่าเศรษฐกิจสังคมนิยม โดยเพ่งเล็งถึงการขัดแย้งภายในของระบบนายทุน ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่จุดจบและแทนที่ด้วยสังคมนิยมอันเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดขององค์กรทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตามมาร์กซ์ก็ไม่ได้สาธิตระบบหรือแบบของสังคมนิยมที่เขาเห็นว่าดีเยียมไว้อย่างชัดแจ้ง รวมทั้งวิธีการที่จะจัดการกับระบบเศรษฐกิจดังกล่าวนี้
อันที่จริงแล้วสภาพของรัศเซียนั้นแตกต่างจากทฤษฏีของมาร์กซ์ มาร์กซ์เองก็ไม่เคยคิดว่ารัสเซียจะเป็นประเทศที่ทำการปฏิวัติโค่นล้มระบบนายทุน เพราะรัสเซียยังไม่ก้าวเข้าสู่สังคมนายทุนอย่างสมบูรณ์ และการปฏิวัติบอลเชวิคในปี ค.ศ. 1917 ก็เป็นการปฏิวัติของชนชั้นกลาง ไม่ใช่การปฏิวัติของพวกกรรมกร เพราะว่าในขณะนั้นกรรมกรของรัสเซียยังคงมีน้อย ประชาชนส่วนใหญ๋ของประเทศคือชาวนา ซึ่งเป็นผู้ที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้
ลัทธิมาร์กซ์เข้าสู่รัสเซียโดยผ่านทางนักศึกษาและปัญญาชนที่๔กเนรเทศออกจากรัสเซีย และตีพิมพ์แถลงการณ์คอมมิวนิสต์ออกเป็นภาษารัสเซีย ในปี 1860 และ The Capital ในปี 1872 .. ด้วยเหตุนี้ลัทธิมาร์กซ์จึงเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในศเว๊ยในปลายศตวรรษที่ 19 นั้นเอง ประกอบกับสถานการณ์ในรัสเซียส่งเสริมให้ความนิยมในมาร์กเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการที่อุตสาหรรมขยายตัว จำนนคนงานที่ทำงานในโรงงานเพ่มขึ้น การโฆษณาจึงได้ผล
ช่วงเริ่มแรกก่อนการปฏิวัติในรัฐเซียมีการเคลื่อนไหวจากคน 3 กลุ่ม คือกล่มแรกนั้นส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาและเห็นว่า ระบบการปกครองแบบสังคมนิยมเท่านั้นที่เหมาะกับรัสเซีย รัสเซียสามารถพัฒนาโดยผ่านขั้นตอนศักดินาเข้าสูระบบสังคมนิยมที่เดียว แนวคิดของพวก “นารอดนิค”เกียวกับสังคมนิยม จะเห็นว่าตรงข้ากับความคิดของมาร์กซ์และพวกนักสังคมนิยมในรัสเซียขณะนั้น ซึ่งมีความเนว่าการปฏิวัติไปสู่ระบบสังคมนิยมนั้นจะต้องเป็นไปตามขั้นตอน และผ่านพัฒนาการของระบบนายทุนเสียก่อน ด้วยเตนี้บรรดานักปปฏิวัติในรัสเซียในทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่ 19 จึงพยายามรวมกลุ่มกรรมกรกอ่น
กลุ่มที่ 2 เพลคานอฟ นับว่าเป็นบิดาของมาร์กซิสม์ในรัสเซีย เขาไม่เห็นด้วยกับพวกนารอดนิค เพนืองจากชาวนนาเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมของสังคมพื้นฐานอยู่ห่างไกลจากชนชั้นกลางและกรรมกร การปฏิวัติที่จะเกิดขึ้นในรัสเซียระยะแรกจะต้องเป็นการปฏิวัติของพวกนายทุนชนชั้นกลาง ดังนั้นสิ่งสำคัญจะตองทำลายระบบศักดินา และกระตุ้นให้มีการพัฒราอุตสาหกรรม เมื่อสังคมนายทุนพัฒนาไปแล้วก็จะถึงเวลาสำหรับการปฏิวัติของกรรมกร เพลคานอฟเห็นว่ารัสเซียจะต้องผ่านระบบนายทุนก่อนและคนงานอุตาสหกรรมหรือชนชั้นกรรมาชีพ จะเป็นผู้ที่มีบทบาทที่สำคัญมิใช่ชาวนา การต่อสู้จะต้องกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งเสรีภาพทางการเมือง และกรรมกรจะพอใจแต่การต่อสู้ทางเศรษฐกิจอย่างเดียวมิได้ นั้นคือจะต้องทำการปฏิวัตินายทุนในรัสเซียเสียก่อนเมื่อระบบทุนนิยมพัฒนาแล้ว จงจะมีการปฏิวัติสังคมนิยมหรือการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพ และเพลคานอฟ ก็เป็นผู้จัดตั้งหรือเป็นผุ้นำกลุ่มองค์การปลดปล่อยกรรมกร
บุคคลสำคัญอีกท่านหนึ่งที่เห็นด้วยกับเพลคานอฟคือ วลาดิมีร์ อิลลิช อุลิยานอฟ หรือ “เลนิน” ผู้ซึ่งต่อมาเป็นผู้นไของบอลเชวิค เขาได้เข้าร่วมมือกับมาร์ตอฟ จัดตั้ง “สหภาพการต่อสู้เพื่อการปลดแอกชนชั้นคนงานแห่งเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก”เพื่อเผยแพร่แนวความคิดของมร์กซ์ในหมู่กรรมกร ในที่สุดเขาถูกเนรเทศไปอยู่ไซบีเรีย ในช่วงเวลานี้เขาใช้เวลารวบรวมเอกสารต่าง ๆ เขียนหนังสือการพัฒนาระบบนายทุนในรัสเซีย ซึ่งเป็นหนังสือที่โจมตีพวกปอปปูลิสต์และยืนยันว่านายทุนตามแบบยุโรปตะวันตกได้เกิดขึ้นแล้วในรัสเซียอันเป็นสภาวะการณ์ที่สำคัญของการพัฒนาทางสังคมที่มาร์กซ์ได้ทำนายไว้
สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่เลนินได้ขยายเพ่มเติมลัทธิมาร์กซืและมีอิทธพลต่อสังคมนิยมรัสเซียในปัจจุบันคือ แนวความคิดของเขาในจุลสารที่ระบุว่าประมาณ ปี 1900 ระบบนายทุนในยุโรปและอเมริกาจะเข้าสู่ก้าวใหม่นั้คือระบบจักรวรรดินิยม หรือการผูกขาดของระบบนายทุน ซึ่งจะเข้าแทนที่ระบบการแข่งขันดดยเสรีที่ดำเนินอยู่ ผลิตผลจะมีจำนวนมากขึ้น และอยู่ในกำมือของผุ้ลทุนที่มีเงินทุนมากจำนวนไม่กี่ราซึงจะก่อให้เกิดระบอบคณาธิปไตยทางการเงนิ ซึ่งจะเป็นผู้ควบคุมวิธีการ การดำเนินงานตลอดทั้งโครงสร้างของผลผลิตต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจอันสลับซับซ้อน โดยผ่านทางการเข้าควบคุมธนคารซึ่งเป็นผู้กษาและเป็นผุ้ตัดสินใจในการจัดจหน่ายเงินทุนและสินเชื่อที่ยอมให้เพาะผุ้ผลิตบางคน และอาจจะปกิเสธกับบางคน ซึ่งเมื่อถึงขึ้นนี้แล้วก็เป็นการแยกให้เห็นชัดว่าเป็นผู้ที่มีเงินทุนและผู้ที่ไม่มีเงินทุน…
แนวคิดของเลนินเกี่ยวกับการจัดการเศรษฐกิจภายในของรัฐสังคมนิยมเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง และจัดว่าเป็นระยะเริ่มต้นของระบอบคอมมิวนิสต์ที่ถือว่า ประชาชนทุกคนจะต้องเปลี่ยนไปเป็นลูกจ้างและคนงานของรัฐในรูปของ ซินดิเคท ซึ่งถือว่ากรรมกรเป็นผู้ควบคุมอุตสาหกรรมของประเทศรวมทั้งการกระจายรายได้และการบริโภค ซึ่งในรูปนี้ทุกคนจะทำงานเท่ากันและทำงานในส่วนของตนเป็นประจำและรับค่าจ้าเท่ากัน วิธีการจัดระบบเศรษฐกิจแบบนี้เป็นหลักการที่ดำเนินในสหภาพโซเวียตภายหลังจากการปฏิวัติในปี 1917
……
วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Dictatorship
ระบอบเผด็จการ หมายถึงการปกครองแบบอัตตาธิปไตย ซึ่งรัฐบาลอยู่ภายใต้การบริหารของบุคคลเพียงคนเดียว หรือ ผู้เผด็จการ โดยไม่มีการสืบทอดตำแหน่างตามสายเลือด
เผด็จการ หมายถึง
- ผู้เผด็จการของสาธารณรัฐโรมัน ซึ่งมีอำนาจปกครองเบ็ดเสร็จในยามฉุกเฉินของบ้านเมืองซึ่งอำนาจจากการใช้ตำแหน่งดังกล่าวไม่ต้องมีเหตุผลหรือไม่ต้องรับผิดชอบแต่อย่างได มีอำนาจอยู่เหนือกฎหมาย และถือว่าการกระทำทั้งหมดนั้นไม่ผิดกฏหมายย้อนหลัง
- รัฐบาลซึ่งปกครองโดยบุคคลเพียงคนเดียว หรือคณะบุคคลเพียงส่วนน้อย
- หรืออาจหมายถึง การปกครองซึ่งรัฐบาลมีอำนาจเด็ดขาด ไม่ถูกจำกัดโดยกฎหมาย รัฐธรรมนูญ หรือปัจจัยทางสังคมหรือการเมืองอืนภายในรัฐนั้น
Military dictatorship คือ รูปแบบการปกครองที่อำนาจทางการเมืองขึ้นอยู่กับกองทัพ โดยถือว่าเป็นการปกครองในระบอบเผด็จการอำนาจนิยม ซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน
รัฐบาลเผด็จการทหารส่วนมากจัดตั้งหลังจากรัฐประหาร ซึ้งล้มล้างอำนาจรัฐบาลชุดก่อนหน้า ตัวอยางที่แตกต่างออกไป คือ การปกครองในสมัยของ ซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งเริ่มจากรัฐที่ปกครองโดย รัฐบาลพรรคเดียว โดย พรคคบะอัธ แต่เมืองเวลาผ่านไปรัฐบาลดังกล่าวเปลี่ยนเป็นเผด็จการทหาร
ในอดีต เผด็จการทหารมักจะอ้างความชอบธรมให้แก่พวกเขาเองว่าเป็ฯการสร้างความสมานฉันท์แกติ และช่วยชาติให้พ้นจากภัยคุกคามของ “อุดมการณ์ที่อันตราย”อันเป็นการสร้างการข่มขวัญ ในละตินอเมิรกา ภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ และทุนนิยม ถูกนำเป็นข้ออ้างในการรัฐประหาร คณะทหารมักจะกล่าวว่าพวกเขาเป็นพวกไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองใด เป็นคณะที่มีความเป็นกลาง สามารถจัดการกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในระยะเวลสั้น ไ ได้ และกล่าวว่านักการเมืองที่มาจากปรระชาชนนั้นคดโกงและไร้ประสิทธิภาพ ลักษณะร่วมประการหนึ่งของรัฐบาลทหารคือการประกาศใช้กฏอัยการศึก หรือการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
รัฐบาลทหารมักจะไม่เคารพต่อสิทธิมนุษยชน และมักใช้วิธีการปิดปากศัตรูทางการเมืองรัฐบาลทหารมักจะไม่คืนอำนาจจนกว่าจะมีการปฏิวัติโดยประชาชน
Fascism ลัทธิฟาสซิสต์ เป็นชาติ-อำนาจมูลวิวัติอย่างหนึ่ง นักฟาสซิสต์มุ่งรวมชาติของตนผ่านรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ ที่ระดมชุมชนแห่งชาติชนานใหญ่ผ่านวินัย การปลูกผังความเชื่อและการฝึกฝนทางกายภาพ ลัทธิฟาสซิสต์ใช้พรรคการเมืองแนวหน้า ในการริเริ่มการปฏิวัติเพื่อจัดระเบียบชาติตามหลักการลัธิฟาสซิสต์ ลัทธิฟาสซิสต์มองการปฏิบัติโดยตรงรวมถึงความรุนแรงทางการเมืองและสงคราม ว่าเป็นวิธีการบรรลุการคืนพลัง เจตนารมณ์และชีวิตนิยมของชาติ
Despotism ระบบใช้อำนาจเด็ดขาด เป็นระบอบการปกครองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เริ่มจากการรมมกลุ่มของมนุษย์ ดดยให้บุคคลเพียงคนเดียวหรือกลุ่มบุคลเป็นผู้มีอำนาจปกครองกลุ่ม โดยมีอำนาขอย่างสมบูรณ์ในระบอบของตน
แนวคิดหลักคือ อำนาจอธิปไตยอยู่ในมือของคนคนเดียวหรือกลุ่มบุคคลขนาดเล็ก โดยอาจเป็นได้ทั้งการปกครองแบบทรราช ซึ่งใช้อำนาจปราบปรามและลงโทษผู้อยู่ใต้การปกครองหรือการปกครองแบบเบ็ดเนร็จซึ่งผู้ปกครองอยู่เหนือกฎหมายใด ๆ
การปกครองแบบราชาธิปไตยซึ่งพระมหากาตริย์มีพระราชอำนาจเต็มและอยู่เหนือกฎหมายี้นเป็นระบอบเผด็จการแบบหนึ่ง แต่มองเตสกีเยอ ได้ระบุถึงความแตกต่าระหว่างระบอบทั้งสองว่า ระบอบราชาธิปไตยใช้อำนาจแบบเปบ็ดเสร็จโดยการตราและแก้ไขกฎหมายขณะที่ระบอบเผด็จการจะใช้อำนาจตามใจตน
แนวคิดเผด็จการ
- เผด็จการในฐานะที่เป็นแนวคิดทางการเมือง ที่เชื่อว่ารัฐเป็นเสมือนพระเจ้าที่เพียบพร้อม รํบเป็นผู้ถ่ายทอดความดีงามให้แก่ประชาชน ดังนั้นประชาชนจึงมีหน้าที่ที่จะต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐยอมตนให้กับัฐโดยปราศจากเงื่อไข ผู้ผู้นำคือตัวแทนของรัฐในการออกคำสั่งให้ประชาชนปฏิบัติตาม อุดมการณ์เผด็จการนั้นมัอ้างว่าผู้นำเป็นผู้มีลักษณะพิเศษ เช่น สามารถล่วงรู้เจตนาราณ์ของประชาชนได้ การกรทำของผู้นำจึงเป็นการกระทำไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน ผู้นำจึงอยู่ในฐานะที่ทำอะไรก็ไม่ผิด เป็นต้น
- เผด็จการในฐานที่เป็นรูปแบบการปกครอง โดยทั่วไป หมายถึง ระบอบรวมอำนาของผุ้ปกคอรงที่ต้องการอำนาจและสามารถยึดอำนาจรัฐไว้ได้ ส่วนใหญ่มักจะใช้วีธีการรุนแรง เช่น การทำรัฐประหาร กุมกองกำลังทหารตำตวจ และใช้ข่มขู่ สร้างความหวาดกลัวต่อผุ้คิดจะต่อต้าน ออกกฏหมายจำกัดสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน..
-เผด็จการในฐานที่เป็นวิถีชีวิต หมายถึง แนวความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ตลอดจนแนวปฏิบัติของคนในสังคมใด ๆ ซึ่งอาจเป็นสังคมประชาธิปไตยก็ได้ พวกนี้เชื่อว่าคนเราเกิดมาแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันในทุกด้านผู้ที่ด้อยกว่าจำเป็นต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้ที่เหนือกวา ทั้งนี้เพื่อที่จะให้สังคมสามารถอยู่รอดปลอดภัยและก้าวหน้า ซึ่งจะพยายามไม่ให้มีความขัดแย้งในสังคม และจะนิยมใช้อำนาจในการกำจัดข้อขัดแย้งซึ่งเสมือนเป็นตัวบ่อนทำลายเสถียรภาพของสนังคมมากกว่าการใช้วิธีการประนีประนอม
ลักษณะสำคัญของเผด็จการ
ลัทธิเผด็จการไม่เห็นความสำคัญของความเสมอภาคหรือไม่เชื่อว่าบุคคลมีความเท่าเทียมกัน ไม่ว่าในด้านชาติกำเนิด การศึกษา ฐานะทางสังคม ด้วยเหตุนี้ลัทธิเผด็จกาจึงแบ่งคนในสังคมออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ผุ้นำ และประชาชนทั่งไป
ลัทธิเผด็จการเป็นลัทธิการเมืองที่ไม่ยอมรับว่าประชาชนทั่วๆ ไปเป็นผุ้ม่เหตุผล ลัทธินี้เชื่อว่าเหตุผลของประชาชนทั่วๆ ไป ไม่สามารถที่จะนำมาแก้ปัญหาของสังคมได้ การใช้เหตุผลเพื่อยตุปัญหาจะนำมาซึ่งความดกลาหล ขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสัคม ลัทธินี้จึงสรุปว่า ประชาชนทั่วๆ ไปเป็นผุ้ไร้เหตุผล ผุ้ปกครองจึงไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลใดๆ และประชาชนโดยทั่วไปต้องมีผู้ปกครองเป็นผู้นำให้ความคุ้มครองแก่พวกเขา
ลัทธิเผด็จการให้ความสำคัญกับเสรีภาพส่วนบุคคลน้อยกว่าอำนาจรัฐ ดังคำกล่าวของมุสโสลินี ว่า “รัฐเป็นนายและเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของชีวิตและสังคม นั้นคือ ลัทธิเผด็จการจะยึดมั่นว่ารัฐเป็นสิ่งสูงสุดที่ประชาชนจะต้องสักการบูชา และอุทิศตนเองเพื่อความิ่งใหญ่และความเจริญก้าวหน้าของรัฐ ประชาชนจะต้องมีภาระที่จะรับใช้รัฐ ฉะนั้นสิ่งใดที่รุฐกำหนดขึ้นทุกคนที่อยู่ในรัฐก็จะต้องปฏิบัติตามโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
ลัทธิเผด็จการไม่อดทนต่อความคิดที่แตกต่างกัน แนวความคิดที่ยึดถือคือ เรื่องอำนาจสูงสุดของรัฐและอำนาจเด็ดขาดของผุ้นำที่เป็นตัวแทนองรัฐ ดังนั้นกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง สมาคมอาชีพ สหพันธ์กรรมกรจะต้องเป็นกลุ่มที่ให้การสนับสนุนผุ้นำจึงจะตั้งอยู่ได้
เผด็จการมีอยู่มานานแล้ว นับตั้งแต่มนุษย์รวมตัวกันเป็นสังคมยุคแรก ๆ สังคมเฟ่าส่วนใหญ่จะมีหัวหน้าเผ่าที่เป็นเผด็จการ ซึ่งปัจจุบันรูปแบบหรือประเภทของเผด็จการก็หลากหลายยิ่งขึ้น เนื่องด้วยความสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจสัง และการเมือง โดยมีจุดประสงค์หลักคือการอยู่บนอำนาจนั้นให้นานที่สุด
เผด็จการอำนาจนิยม คือ รัฐบาลจะเข้าควบคุมสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน มักจะไม่ยอมให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง มีการตรวจสอบหรือใช้อำนาจรัฐสั่งิดหนังสือพิมพ์มักจะอ้างลัทธิชาตินิยมมาสร้าความชอบธรรมให้กับการใช้อำนาจของผุ้ปกครอง แตะรัฐจะยงคงให้เสรีภาพในทางเศรษฐกิจและสังคม พอสมควร จะมีการลงโทษผู้กระทำผิดต่อกฎเกณฑ์ของบ้านเมืองอย่างรุนแรง เพื่อให้ประชาชนเคารพเชื่อฟัง และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครด
เผด็จการเบ็ดเสร็จ คือ การปกครองดยมีผุ้นำที่มีอำนาจสุงสุดและใช้อำนาจเด็ดขาดคนเดีย พยายามที่จะสร้างอุดมการขึ้นมาสร้างวามชอบธรรมให้กับการใช้อำนาจ มีการจัดตั้งพรรคการเมือง หรืออาจอยู่ในรูปขององค์กรผุ้นำพรรคเดียวเข้าควบคุมอำนาจทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมนั้นคือ บุคลรวมทั้งกิจกรรมของบุคคลในสังคมทุกคน ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการเมือง หรือเศรษฐกิจ หรือสังคม จะตกอยู่ภายใต้การสอดสอ่งดุแลและควบคุมกำกับโดยอำนาจรัฐ มีการลงโทษอย่างรุนแรง พยายามสร้างความสำนึกให้ประชาชนเคารพเชื่อฟัง และปฏืบัติตามอำนาจรัฐ หรือคำสั่งของผุ้นำโดยเคร่งครัดโดยถือเป็นหน้าที่ เผด็จการประเภทนี้จะไม่ยอมให้มีฝ่ายตรงข้าม สังคมที่ปกครองโดยลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จจึงมีสภาพเป็นอาณาจักรแห่งความกลัว
เผด็จการ หมายถึง
- ผู้เผด็จการของสาธารณรัฐโรมัน ซึ่งมีอำนาจปกครองเบ็ดเสร็จในยามฉุกเฉินของบ้านเมืองซึ่งอำนาจจากการใช้ตำแหน่งดังกล่าวไม่ต้องมีเหตุผลหรือไม่ต้องรับผิดชอบแต่อย่างได มีอำนาจอยู่เหนือกฎหมาย และถือว่าการกระทำทั้งหมดนั้นไม่ผิดกฏหมายย้อนหลัง
- รัฐบาลซึ่งปกครองโดยบุคคลเพียงคนเดียว หรือคณะบุคคลเพียงส่วนน้อย
- หรืออาจหมายถึง การปกครองซึ่งรัฐบาลมีอำนาจเด็ดขาด ไม่ถูกจำกัดโดยกฎหมาย รัฐธรรมนูญ หรือปัจจัยทางสังคมหรือการเมืองอืนภายในรัฐนั้น
Military dictatorship คือ รูปแบบการปกครองที่อำนาจทางการเมืองขึ้นอยู่กับกองทัพ โดยถือว่าเป็นการปกครองในระบอบเผด็จการอำนาจนิยม ซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน
รัฐบาลเผด็จการทหารส่วนมากจัดตั้งหลังจากรัฐประหาร ซึ้งล้มล้างอำนาจรัฐบาลชุดก่อนหน้า ตัวอยางที่แตกต่างออกไป คือ การปกครองในสมัยของ ซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งเริ่มจากรัฐที่ปกครองโดย รัฐบาลพรรคเดียว โดย พรคคบะอัธ แต่เมืองเวลาผ่านไปรัฐบาลดังกล่าวเปลี่ยนเป็นเผด็จการทหาร
ในอดีต เผด็จการทหารมักจะอ้างความชอบธรมให้แก่พวกเขาเองว่าเป็ฯการสร้างความสมานฉันท์แกติ และช่วยชาติให้พ้นจากภัยคุกคามของ “อุดมการณ์ที่อันตราย”อันเป็นการสร้างการข่มขวัญ ในละตินอเมิรกา ภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ และทุนนิยม ถูกนำเป็นข้ออ้างในการรัฐประหาร คณะทหารมักจะกล่าวว่าพวกเขาเป็นพวกไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองใด เป็นคณะที่มีความเป็นกลาง สามารถจัดการกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในระยะเวลสั้น ไ ได้ และกล่าวว่านักการเมืองที่มาจากปรระชาชนนั้นคดโกงและไร้ประสิทธิภาพ ลักษณะร่วมประการหนึ่งของรัฐบาลทหารคือการประกาศใช้กฏอัยการศึก หรือการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
รัฐบาลทหารมักจะไม่เคารพต่อสิทธิมนุษยชน และมักใช้วิธีการปิดปากศัตรูทางการเมืองรัฐบาลทหารมักจะไม่คืนอำนาจจนกว่าจะมีการปฏิวัติโดยประชาชน
Fascism ลัทธิฟาสซิสต์ เป็นชาติ-อำนาจมูลวิวัติอย่างหนึ่ง นักฟาสซิสต์มุ่งรวมชาติของตนผ่านรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ ที่ระดมชุมชนแห่งชาติชนานใหญ่ผ่านวินัย การปลูกผังความเชื่อและการฝึกฝนทางกายภาพ ลัทธิฟาสซิสต์ใช้พรรคการเมืองแนวหน้า ในการริเริ่มการปฏิวัติเพื่อจัดระเบียบชาติตามหลักการลัธิฟาสซิสต์ ลัทธิฟาสซิสต์มองการปฏิบัติโดยตรงรวมถึงความรุนแรงทางการเมืองและสงคราม ว่าเป็นวิธีการบรรลุการคืนพลัง เจตนารมณ์และชีวิตนิยมของชาติ
Despotism ระบบใช้อำนาจเด็ดขาด เป็นระบอบการปกครองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เริ่มจากการรมมกลุ่มของมนุษย์ ดดยให้บุคคลเพียงคนเดียวหรือกลุ่มบุคลเป็นผู้มีอำนาจปกครองกลุ่ม โดยมีอำนาขอย่างสมบูรณ์ในระบอบของตน
แนวคิดหลักคือ อำนาจอธิปไตยอยู่ในมือของคนคนเดียวหรือกลุ่มบุคคลขนาดเล็ก โดยอาจเป็นได้ทั้งการปกครองแบบทรราช ซึ่งใช้อำนาจปราบปรามและลงโทษผู้อยู่ใต้การปกครองหรือการปกครองแบบเบ็ดเนร็จซึ่งผู้ปกครองอยู่เหนือกฎหมายใด ๆ
การปกครองแบบราชาธิปไตยซึ่งพระมหากาตริย์มีพระราชอำนาจเต็มและอยู่เหนือกฎหมายี้นเป็นระบอบเผด็จการแบบหนึ่ง แต่มองเตสกีเยอ ได้ระบุถึงความแตกต่าระหว่างระบอบทั้งสองว่า ระบอบราชาธิปไตยใช้อำนาจแบบเปบ็ดเสร็จโดยการตราและแก้ไขกฎหมายขณะที่ระบอบเผด็จการจะใช้อำนาจตามใจตน
แนวคิดเผด็จการ
- เผด็จการในฐานะที่เป็นแนวคิดทางการเมือง ที่เชื่อว่ารัฐเป็นเสมือนพระเจ้าที่เพียบพร้อม รํบเป็นผู้ถ่ายทอดความดีงามให้แก่ประชาชน ดังนั้นประชาชนจึงมีหน้าที่ที่จะต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐยอมตนให้กับัฐโดยปราศจากเงื่อไข ผู้ผู้นำคือตัวแทนของรัฐในการออกคำสั่งให้ประชาชนปฏิบัติตาม อุดมการณ์เผด็จการนั้นมัอ้างว่าผู้นำเป็นผู้มีลักษณะพิเศษ เช่น สามารถล่วงรู้เจตนาราณ์ของประชาชนได้ การกรทำของผู้นำจึงเป็นการกระทำไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน ผู้นำจึงอยู่ในฐานะที่ทำอะไรก็ไม่ผิด เป็นต้น
- เผด็จการในฐานที่เป็นรูปแบบการปกครอง โดยทั่วไป หมายถึง ระบอบรวมอำนาของผุ้ปกคอรงที่ต้องการอำนาจและสามารถยึดอำนาจรัฐไว้ได้ ส่วนใหญ่มักจะใช้วีธีการรุนแรง เช่น การทำรัฐประหาร กุมกองกำลังทหารตำตวจ และใช้ข่มขู่ สร้างความหวาดกลัวต่อผุ้คิดจะต่อต้าน ออกกฏหมายจำกัดสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน..
-เผด็จการในฐานที่เป็นวิถีชีวิต หมายถึง แนวความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ตลอดจนแนวปฏิบัติของคนในสังคมใด ๆ ซึ่งอาจเป็นสังคมประชาธิปไตยก็ได้ พวกนี้เชื่อว่าคนเราเกิดมาแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันในทุกด้านผู้ที่ด้อยกว่าจำเป็นต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้ที่เหนือกวา ทั้งนี้เพื่อที่จะให้สังคมสามารถอยู่รอดปลอดภัยและก้าวหน้า ซึ่งจะพยายามไม่ให้มีความขัดแย้งในสังคม และจะนิยมใช้อำนาจในการกำจัดข้อขัดแย้งซึ่งเสมือนเป็นตัวบ่อนทำลายเสถียรภาพของสนังคมมากกว่าการใช้วิธีการประนีประนอม
ลักษณะสำคัญของเผด็จการ
ลัทธิเผด็จการไม่เห็นความสำคัญของความเสมอภาคหรือไม่เชื่อว่าบุคคลมีความเท่าเทียมกัน ไม่ว่าในด้านชาติกำเนิด การศึกษา ฐานะทางสังคม ด้วยเหตุนี้ลัทธิเผด็จกาจึงแบ่งคนในสังคมออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ผุ้นำ และประชาชนทั่งไป
ลัทธิเผด็จการเป็นลัทธิการเมืองที่ไม่ยอมรับว่าประชาชนทั่วๆ ไปเป็นผุ้ม่เหตุผล ลัทธินี้เชื่อว่าเหตุผลของประชาชนทั่วๆ ไป ไม่สามารถที่จะนำมาแก้ปัญหาของสังคมได้ การใช้เหตุผลเพื่อยตุปัญหาจะนำมาซึ่งความดกลาหล ขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสัคม ลัทธินี้จึงสรุปว่า ประชาชนทั่วๆ ไปเป็นผุ้ไร้เหตุผล ผุ้ปกครองจึงไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลใดๆ และประชาชนโดยทั่วไปต้องมีผู้ปกครองเป็นผู้นำให้ความคุ้มครองแก่พวกเขา
ลัทธิเผด็จการให้ความสำคัญกับเสรีภาพส่วนบุคคลน้อยกว่าอำนาจรัฐ ดังคำกล่าวของมุสโสลินี ว่า “รัฐเป็นนายและเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของชีวิตและสังคม นั้นคือ ลัทธิเผด็จการจะยึดมั่นว่ารัฐเป็นสิ่งสูงสุดที่ประชาชนจะต้องสักการบูชา และอุทิศตนเองเพื่อความิ่งใหญ่และความเจริญก้าวหน้าของรัฐ ประชาชนจะต้องมีภาระที่จะรับใช้รัฐ ฉะนั้นสิ่งใดที่รุฐกำหนดขึ้นทุกคนที่อยู่ในรัฐก็จะต้องปฏิบัติตามโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
ลัทธิเผด็จการไม่อดทนต่อความคิดที่แตกต่างกัน แนวความคิดที่ยึดถือคือ เรื่องอำนาจสูงสุดของรัฐและอำนาจเด็ดขาดของผุ้นำที่เป็นตัวแทนองรัฐ ดังนั้นกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง สมาคมอาชีพ สหพันธ์กรรมกรจะต้องเป็นกลุ่มที่ให้การสนับสนุนผุ้นำจึงจะตั้งอยู่ได้
เผด็จการมีอยู่มานานแล้ว นับตั้งแต่มนุษย์รวมตัวกันเป็นสังคมยุคแรก ๆ สังคมเฟ่าส่วนใหญ่จะมีหัวหน้าเผ่าที่เป็นเผด็จการ ซึ่งปัจจุบันรูปแบบหรือประเภทของเผด็จการก็หลากหลายยิ่งขึ้น เนื่องด้วยความสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจสัง และการเมือง โดยมีจุดประสงค์หลักคือการอยู่บนอำนาจนั้นให้นานที่สุด
เผด็จการอำนาจนิยม คือ รัฐบาลจะเข้าควบคุมสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน มักจะไม่ยอมให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง มีการตรวจสอบหรือใช้อำนาจรัฐสั่งิดหนังสือพิมพ์มักจะอ้างลัทธิชาตินิยมมาสร้าความชอบธรรมให้กับการใช้อำนาจของผุ้ปกครอง แตะรัฐจะยงคงให้เสรีภาพในทางเศรษฐกิจและสังคม พอสมควร จะมีการลงโทษผู้กระทำผิดต่อกฎเกณฑ์ของบ้านเมืองอย่างรุนแรง เพื่อให้ประชาชนเคารพเชื่อฟัง และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครด
เผด็จการเบ็ดเสร็จ คือ การปกครองดยมีผุ้นำที่มีอำนาจสุงสุดและใช้อำนาจเด็ดขาดคนเดีย พยายามที่จะสร้างอุดมการขึ้นมาสร้างวามชอบธรรมให้กับการใช้อำนาจ มีการจัดตั้งพรรคการเมือง หรืออาจอยู่ในรูปขององค์กรผุ้นำพรรคเดียวเข้าควบคุมอำนาจทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมนั้นคือ บุคลรวมทั้งกิจกรรมของบุคคลในสังคมทุกคน ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการเมือง หรือเศรษฐกิจ หรือสังคม จะตกอยู่ภายใต้การสอดสอ่งดุแลและควบคุมกำกับโดยอำนาจรัฐ มีการลงโทษอย่างรุนแรง พยายามสร้างความสำนึกให้ประชาชนเคารพเชื่อฟัง และปฏืบัติตามอำนาจรัฐ หรือคำสั่งของผุ้นำโดยเคร่งครัดโดยถือเป็นหน้าที่ เผด็จการประเภทนี้จะไม่ยอมให้มีฝ่ายตรงข้าม สังคมที่ปกครองโดยลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จจึงมีสภาพเป็นอาณาจักรแห่งความกลัว
วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Capitallism
แนวคิดทุนนิยม จะมีแนวคิดตรงข้ามกับสังคมนิยม ที่มีความเห็นคัดค้านว่ากำไรที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดช่องว่างทางสังคมทำให้คนที่มีฐานะมั่งคั่งรวยมากขึ้น โดยกำไรควรจะมีการแบ่งปันให้กับสังคมในชั้นล่างลงมา
ทุนนิยม เป็นระบบเศรษฐกิจที่ซึ่งผลิตภัณฑ์และสินค้ามีการจำหน่ายแลกเปลี่ยนซื้อขายโดยทางเอกชน บริษัท หรือกลุ่มธุรกิจ เพื่อสร้างผลกำไรให้กับหน่วยงาน ดดยการแลกเปลี่ยนสินค้าและการบริการ ที่มีการรองรับทางกฎหมายและมีการแข่งขันการในเชิงการค้าเพื่อทำกำไรสูงสุด ซึ่งไม่ได้ควบคุมโดยหน่วยงานกลางหรือจากทางรัฐบาล
ทุนนิยมจะกล่าวถึง ทุนและที่ดินเป็นสมยบัติส่วนบุคคล การตัดสินใจทางเศรษฐกิจเป็นกิจกรรมส่วนบุคคล ไม่ใช้การควบคุมบริหารโดยรัฐ และตลาดเสรีหรือเกือบเสรีจะเป็นตัวกำหนดราคา ควบคุมและระบุทิศทางการผลิต รวมถึงเป็นที่สร้างรายรับ บางครกล่าวว่าระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันของโลกตะวนตกคือระบบทุนนิยม ในขณะที่หลายครมองว่าในบางประเทศก็มีระบบเศรษฐกิจเป็นเศรษฐกิจแบบผสม กล่าวคือมีลักษณะเฉพาะของทั้งทุนนิยมและรัฐนิยม
ทฤษฎีเกี่ยวกับทุนนิยมถูกพัฒนาขึ้นในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18,19และ 20 ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ยกตัวอย่าง เช่น การปฏิวัติอุตสาหกรรมและลัมธิจักรวรรดินิยมของยุโรป ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ The Great Depression และสงครามเย็น นักทฤษฏีเหล่านี้กล่าวว่าทุนนิยมคือระบบที่ให้คุณค่ากับการที่ราคาถูกตัดสินในตลาดเสรี นั่นคือโดยการค้าที่เป็นผลมาจากการตกลงด้วยความสมัครใจของผู้ซือและผู้ขาย ความคิดเชิงตลาด จิตวิญญาณของผู้ประกอบการ และความเข้าใจเกี่ยวกับทรัพย์สิน และสัญญาที่ชัดเจนและบังคับได้ตามกฎหมาย ทฏษฎีเหล่านี้โดยทั่วไปจะพยายามอะบาว่า ทำไมทุนนิยมจึงมีแนวโน้มที่จะสร้างการเจริญเติบโตทางเษรษฐกิจ มากวาในระบบอื่นๆ ที่รัฐบาลเข้ามามีบทบาทจัดการในระดับที่สูงกว่า มีหลายทฤษฎีเน้นว่าสิทธิการถือคีองส่วนบุคคลของทุนคือแด่นของระบบทุนนิยม ในขณะที่บางทฤษฎีเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของตลาดเสรี ที่เป็นกลจักรที่ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายและสะสมตัวของทุน บางทฤษฎีชี้ให้เก็นถึงการที่แนวปฏิบัติทางเศรษฐกิจหลายๆ แนวได้ถูกทำให้เป็ฯสถาบันในยุดรประหว่างช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 – 19 ที่สำคัญ สิทธิของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่จะสามารถทำการได้แบบ “นิติบุคคล”หรือบรรษัท ในการซื้อและขายสินทรัพย์ และที่ดิน แรงงาน เงินตรา ในตลาดเสรี และสามารถวางใจได้ว่ารัฐจะสามารถบังคับให้เกิดการเคารพสิทธิทรัพย์สินส่วนบุคคล แทนที่จะต้องพึ่งการคุ้มครองแบบศักดินา
องค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ ของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม คือ
- การถูกรองรบด้วยระบบรวมศูนย์อำนาจ
- การครอบครองแหล่งวัตถุดิบและพื้นที่การตลาด
-การก้าวกระโดดในด้านวิทยาศาสสต์และเทคโนโลยี
ภายหลังจากบทบาท “ศาสนจักร” ซึ่งเคยมีอิทธเพลในการกำหนดวิถีทางของรัฐ ระบบสังคม และเป็นศูนย์กลางในการดำเนินชีวิตของปัจเจกบุคคลแต่ละบุคคล ได้เกิดความเสื่อมโทรม เกิดความขัดแย้งภายในกันเอง จนนำไปสู่การพังทลายหรือการแยกอำนาจของศาสนจักรออกจากอำนาจของอาณาจักร สภาวการณ์ดังกล่าวได้นำไปสู่การปลดปล่อยให้เกิดพลังต่าง ๆ ซึ่งกลายมาเป้นองค์ประกอบที่สำคัญคือ
-การเกิดขึ้นของรัฐชาติยุใหม่ที่รวมสูนย์อำนาจอยู่ที่กษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสทิธิราชย์ และพยายามเป็นอิสระจากอำนาจของศาสนจักรทั้งในแง่รูปแบบและเน้อหา ดังจะเห็นได้จากคำอธิบายของนักคิด นักปรัชญาในยุคนั้น “โธมัส ฮอบส์”ซึ่งเคยกล่าวเอาไว้ว่า”แทนที่จะให้ความเคารพแก่พระเจ้าที่ตายไปแลว เราทุกคนเป็นหนี้บุญคุณแก่พระเจ้าที่อยู่กับเรอาชัวนิรันดร์ นั้นก็คือสันติสุขและการป้องกันตนเอง กษัตริย์ที่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยให้เกิดขชึ้นได้นั้น มีคุณกว่าทุกคน ควรที่เราทั้งหลายจะมอบอำนาจให้ในฐานะผู้ที่สร้างหลักประกันให้กับสทิธปวงชน และทำให้รัฐชาติยุคใหม่จำเป็นจะต้องมีศูนย์กลางอำนาจที่ไม่สามารถท้าทายได้ เพื่อควบคุมกิจกรรมั้งหลายภายใต้รัฐทั้งหมด..” หรือ “จอร์จ เฮเกล” ที่ระบุเอาไว้ว่า “รัฐ อันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาโยเหตุผล เพื่อที่จะทำให้มนุษย์สามรถมีชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างมีศีลธรรมก็คือ พระเจ้าที่เดินอยู่บนโลก” วิถุทางของรัฐ ระบบสังคม และชีวิตของปัจเจกบุคลที่อยู่ภายใต้อำนาจรวมศูนย์ของกษัตริย์ จึงมักถูกนำไปใช้เพื่อตแบสนองกับการแข่งขันทางอำนาจ และการสะสมความมั่งคั่ง อันนำไปสู่การสร้างพลังขับเคลื่อนลัทธิทุนนิยมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การขยายตัวของชนชั้นกลาง และบทบาทของพ่อค้าภายใต้อำนาจรวมศูนย์ของกษัตริย์ใต่ละรัฐ มีผลทำให้เกิดการแข่งขนทางการค้า และการขยายตัวของลัทธิทุนนิยมเข้าไปครอบครองแหล่งวัตถุดิบและพื้นที่การตลาดในขอบเขตทั่งโลก ภายใต้ยุคแห่งการ”ล่าอาณานิคม” ของชาวยุโรป ความร่วมือระหว่าง “กษัตริย์” กับ “พ่อค้า”ในยุโรป ทำให้ชายฝั่ง “ซาน ซัลวาดอร์” “เวอร์จิเนีย” นิวอิงแลนด์”ในทวีปอเมริกา กลายเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่าในช่วงเวลาแค่ 2 ศตวรรษหลังจาก “โคลัมปัส”นำเรือของกษัตริย์สเปนขึ้นฝั่ง ทำให้อาณาจักรแอชเทคในเม็กซิโก อาณาจักรอินคาในเปรู พังทลายเพราะความต้องการทองคำ แร่เงิน นิเกิล แร่พลวงที่ถูกขุดขึ้นมาจากแผ่นดินละตินอเมริกาจนแทบไม่มีเหลืออยู่ในขณะนี้ แปรสภาพที่อินในปะรเทศปาราวัย อาร์เจนฯ บราซิล..ให้กลายเป็นไร่ฝ้าย ไร่กาแฟ…และฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ทำให้ทวีปอาฟริกาทั้งทวีปมีสภาพไม่ต่างจากซากปรักหักพังอันเนืองมาจากอุตสาหกรรมเหมืองเพชร ทองแดง โคบอลท์..ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเอเซีย ท้ายที่สุดสิ่งเหล่านี้ได้นำไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจระดับโลกทีเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผล เต็มไปด้วยการแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเที่ยมกัน หรือยังคงลักษณะของความเป็น “โครงสร้างแบบอาณานิคม”ดำรงอยู่ในระบบเศรษฐกิจโลกตราบเท่าปัจจุบัน
- อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลยหากไม่มีการ “ปฏิวัติทางวิทธยาศาสตร์” แบบก้าวกระโดดซึ่งปรากฏขึ้นในยุโรปในห้วงเวลาเดียวกันกับที่อำนาจทางศาสนจักรเสือมถอยลง พลังทางวิทยาศาสตร์กับบทบาทของกษัตริย์และพ่อค้า วิทยาการและสิ่งประดิษฐ์ของนักวทิยาศาสตร์ในยุโรป สามารถครอบครองได้ทั้งโลก กฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์หลายอย่างได้ถูกนำไปแปรสภาพเป็น “แนวคิดแบบวทิยาศษสตร์”และยังสามารถใอธิบายเพื่อรองรับความชอบธรรมของลัทธิทุนิยม สังคมนิยม หรือฟาสซิสต์..ที่ล้วนมุ่งไปสู่ความเป็นจักรวรรดินิยมเหมือนกันทั้งสิ้น
ภายใต้การขับเคลื่อนลัทธิทุนนิยมโดยอาศัยองค์ประกอบสำคัญดังกล่าว เส้นทางของทุนนิยมมักจะหลีกเลี่ยงไม่พ้นการหาข้อยุติและการพฒนาตัวเองในแต่ละระดับขั้น ควบคู่ไปกับ “สงคราม” การแข่งขันเพื่อแย่งชิงแหล่งวัตถุดิบและพื้นที่การตลาดของรัฐต่างๆ ในยุโรปยุคแห่งการล่าอาณานิคมนั้น ท้ายที่สุดก็นำมาซึ่ง “สงครามโลก ครั้งที่ 1” และบานปลายต่อมากลายเป็น “สงครามโลกครั้งที่ 2”และสงครามเย็นอันเนืองมาจากทัศนะที่แตกต่างกันใน “กรรมวิธีทางเศรษฐกิจ” ระหว่างทุนนิยม กับ สังคมนิยม
วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Communism
ลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นขบวนการปฏิบัติสังคมนิยมเพื่อสถปนาระเบียบสังคมที่ปราศจากชนชั้น เงินและรัฐ โดยตั้งอยู่บนการเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตร่วมกัน เช่นเดียวกัยอุดมการณ์ทางสังคม การเมืองและเศรษฐกิจซึ่งมุ่งสถาปนาระเบียบสังคมนี้ ขบวนการดังกล่าว ในการตีความแบบลัท
ธิมากซ์-เลนิน มีอิทธพลอย่างสำคัญต่อประวัติศาสตร์ครอสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีการแข่งขันกันอุดเดือดระหว่าง “โลกสังคมนิยม” และโลกตะวันตก”
ทฤษฎีลัทธิมาซ์ถือว่า คอมมิวนิสต์บริสุทธิ์หรือคอมมิวนิสต์สมบูรณ์เป็นขึ้นของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์โดยเจาะจงที่ถือกำเนิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากการพัฒนากำลังการผลิตซึ่งนำไปสู่ความมั่งคั่งทางวัตถุที่อุดมสมบูรณ์ เพื่อให้การแจกจ่ายยึดความต้องการและความสัมพันธ์ทางสังคมยึดตามปัจเจกบุคคลที่เกี่ยวข้องกันอย่างเสรี นิยมที่แน่ชัดของคอมมิวนิสต์แตกต่างกัน และมักถูกเข้าใจผิด ในวจนิพนธ์การเมืองทั่วไป ว่ามช้แทนคำว่า สังคมนิยมได้ อยางไรก็ดี ทฤษฎีลัทธิมากซ์ยืนยันว่า สังคมนิยมเป็นเพียงขั้นเปลี่ยนผ่านบนวิถีสู่คอมมิวนิสต์ ลัทธิเลนินเพ่มแนวคิดพรรคการเมืองแนวหน้าเพื่อนำการปฏิบัติโดยชนชั้นกรรมมาชีพและเพื่อยึดอำนาจทางการเมืองทั้งหมดหลังการปฏิวัติเพื่อชนชั้นกรรมกร เพื่อการพัฒนาความตระหนักของชนชั้นทั่งโลกและการมีส่วนร่วมของกรรมกร ในขั้นเปลี่ยนผ่านระหว่างทุนนิยมกับสังคมนิยม
ปัจจุบัน คอมมิวนิสต์มัใช้เรียกนโยบายของรัฐคอมมิวนิสต์ นั้นคือ รัฐที่ถูกควบคุมเบ็ดเสร็จโดยพรคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าสาระของระบบเศรษฐกิจในทางปฏิบัติแท้จิรงแล้วเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น นโยบายของสาธารฯรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งระบบเศรษฐกิจรวมไปถึง “โด่ย เหมย” สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งระบบเศรษฐกิจเป็น “เศรษฐกิจตลาดสังคมนิยม” และระบบเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต ซึ่งอธิบายได้ว่าเป็น “ทุนนิยมโดยรัฐ”โดยนักสังคมนิยมที่มิใช่ลัทธิเลนิน และภายหลังโดยนักคอมมิวนิสต์ผู้คัดค้านแบบจำลองโซเวียตยุคหลังสตาลินมากขึ้น ตลอดช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20
รากฐานความคิดที่นำไปสู่ลัทธิคอมมิวนิสต์มีมานานมากในตะวันตก นานกว่าแนวคิดมาร์กซ์และเองเกลส์ คือในยุคกรีกโบราณที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับตำนานเกี่ยวกับยุคทองของมนุษยชาติ ที่ ๆ สังคมอยู่ด้วยกันด้วยความสมัคคีปรองดองกันเสียก่อน จึงร่วมกันสร้างความงอกงามทางวัตถุในภายหลัง แต่บางคนก็แย้งว่า ตำราสาธารณรัฐ ของเพลโตและผลงานอื่น ๆ ของนักทฤษฎีรัฐศาสตร์ในยุคโบราณ เพียงแค่สนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ในด้านการอยู่รวมกันในสังคมอย่างปรองดองเท่านั้น รวมหลาย ๆ นิกายในศาสนาคริสต์สมัยเก่า และเน้นเป็นพิเศษในโบสถ์สมัยเก่า ดังที่บันทึกไว้ในบัญญัติแห่งบรรดาอัครสาวก อีกทั้งชนเผ่าพื้นเมืองแห่งทวิปอเมริกาอ่กนยุคโคลัมบัสบุกเบิก ก็ยังปฏิบัติตามแรวคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์ว่าด้วยการอยู่ด้วยกันเป็นสังคมและครอบครองวัตถุร่วมกัน รวมถึงอีกหลายๆ ชนชาติพยายามที่จะก่อตั้งสังคมคอมมิวนิสต์ได้แก่ นิกายเอซเซนแห่งยิว และนิกายยูดาทะเลทราย
นักบุญ โทมัส มอร์ นักเขียนชาวอังกฤษกล่าวในหนังสือยูโทเปีย ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ว่า สังคมทุกสังคมมีรากฐานอยู่ที่การครอบครองวัตถุชิ้นใดๆ ร่วมกัน โดยมีหัวหน้าอยู่หนึ่งคนหรือหนึ่งคณะที่มีหน้าทที่นำมันไปใช้ตามหลักแห่งเหตุและผลที่เหมาะสม
คริสต์ศตวยรรษที่ 17 แนวคิดคอมมิวนิสต์ผุดขึ้นมาอีกครั้งในประเทศอังกฤษ เมื่อ เอ็ดเวิร์ด เบิร์นสไตน์ กล่าวในผลงานแห่งปี 1895 ของเขา คอรมเวลล์และคอมมิวนิสต์ อย่างเผ็ดร้อนว่ามีหลายกลุ่มในสงครามกลางเมืองอังกฤษ โดยเฉพาะพวกนักขุดหรือผู้เผยเปลือกใน ที่แสดงการสนับสนุนแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน เน้นความสำคัญไปที่บรรดาชาวไร่ชาวนา ซึ่งทัศนคติของ โอลิเวอร์ ครอมเวล ต่อคนกลุ่มนี้มีเป็นความรำคาญ หรือแม้กระทั่งแสดงความเป็นศัตรูต่อคนกลุ่มนี่อย่างชัดเจน ความไม่เห็นด้วยต่อการครอบครองวัตถุแต่เพียงผู้เดียวยังคงถูกแย้งมาโดยตลอด
ยุคแสงสว่าง The Age of Enlightenment แห่งคริสต์ศตวรรษที 18 นักวิชาการชื่อดัง เช่น ชอง-ชาก รุสโว รวมถึงนักเขียนสังคมนิยมยูโทเปีย เช่น โรเบิร์ต โอเวน ซึ่งบรรดาบุคคลเหล่านี้ก็ถูกขนานนามว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในบางครั้ง
คาร์ล ไฮน์ริช มาร์กซ์ นักปรัชญา นักคอมมิวนิสต์ และนักปฏิวัติชาวเยรมัน ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของแนวคิดที่มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาคอมมิวนิสต์ สมัยใหม่ มาร์กซ์สรุปแนวคิดของเขาในบรรทัดแรกของ คำประกาศเจตนาคมอมิวนิสต์ ว่า “ประวัติศาสตร์ของสังคมทั้งหมดที่ผ่านมากระทั่งปัจจุบันล้วนแต่เป็นปรัวติศาสตร์แห่งการต่อสู้ทางชนชั้น”
มาร์กซ์ไม่ใช้เป้นปค่นักทฤษฎีทางสังคมและการเมือง แต่เขายังเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการจัดตั้งสมาคมกรรมกรสากล “องค์กรสากลที่ 1 งานเขียนของเขาเป็แกนหลักของการเคลื่อนไหวในแนวทางคอมมิวนิสต์ สังคมนิยม ลัทธิเลนิน และลัทธิมาร์ก
ความคิดของมาร์กซ์นั้นได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากทั้งแนวคิดวิภาษวิธีประวัติศาสตร์ของเกออร์ก วิลเฮล์ม ฟรีดริช เฮเกิล และเศรษฐศาสตร์การเมืองของอดัม สมิท และเดวิด ริดคาร์โด เขาเชื่อในความเป็นไปได้ที่จะศึกษาประวัติศาสตร์และสังคมในลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึงจะทำให้เข้าใจแนวโน้มของประวัติศาสตร์รวมถึงผลลัพธ์ของข้อแย้งทางสังคมได้
ปรัชญาของมาร์กซ์ นั้นได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากแนวคิดของเฮเกิลที่ว่าความจริง นั้นจะต้องพิจารณาแบบวิภาษวิธี โดยมองว่าเป็นการปะทะกันของแรงคู่ตรงข้ามหลายครั้งแนวคิดนี้ถูกเขียนย่อว่า ข้อวินิจฉัย +ข้อโต้แย้ง ไปสู่การประสม,การสังเคราะห์ เฮเกลเชื่อว่าทิศทางของประวัติศาสตร์นั้นสามารถพิจารณาได้เป็นช่วง ๆ ที่มีเป้าหมายไปสู่ความสมบูรณ์และจริงแท้ เขากล่าวว่าหลายครั้งพัฒนาการจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็อาจมีบางช่วงที่ต้องมีการต่อสู้และเลี่ยนแปลงผู้ทีอยู่ในอำนาจเดิม มาร์กซ์ยอมรับภาพรวมของประวัติศาสตร์ตามที่เฮเกลเสนอ อย่างไรก็ตามเฮเกลนั้นเป็นนักปรัชญาแนวจิตนิยม ส่นมาร์กซ์นั้นต้องการจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในรูปของวัตถุ เขาได้เขียนว่านักปรัชญาสายเฮเกลนั้นวางความเป็นจริงไว้บนหัวดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องจับมันให้วางเสียใหม่บนเท้าของตนเอง
ในการยอมรับวิภาษวิธีเชิงวัตถุ ซึ่งเป็ฯการปฏิบเสธแนวคิดแบบจิตนิยมของเฮเกลนั้น มาร์กซ์ได้รับอิทธิพลมาจาก ลุควิก ฟอยเออร์บาค ในหนังสือ ฟอยเออร์บาคได้อธเบายว่าพระเจ้านั้น คือพลงานสร้างสรรค์ขอมนุษย์ และคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ผู้คนยกย่องพระเจ้า แม้จริงแล้วเป็นคุณลักษณะของความเป็นมนุษย์นั่นเอง มาร์กอธิบายว่า โลกวัตถุนั้นเป็นโลกที่แท้จริงส่วนแนวคิดต่าง ๆ เกียวกับโลกนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากโลกวัตถุ แม้ว่ามาร์กซ์จะเชื่อเช่นเดีวกับเฮเกิลและนักปรัชญาคนอื่นๆ ในการแบ่งแยกโลกที่ปรากฎกับโลกที่แท้จริง เขาไม่เชื่อว่าโลกวัตถุนั้นจะซ่อนโลกที่แท้จริงทางจิตเอาไว้ ในทางกลับกัน มาร์กซ์ยังเชื่อว่าอุดมการณ์ที่ถูกสร้างฝ่านทางประวัติศาสตร์และกระบวนการสังคมนั้น เป็นสิ่งทีปิดบังไม่ให้ผู้คนเห็นสถานทางวัตถุที่แท้จริงในชีวิตของพวกเขา
ผลงานอีกชิ้น ที่มีส่วนสำคัญในการปรับปรุงแนวคิดของเฮเกลของมาร์กซ คือ หนังสือที่เขียนโดย ฟรีดริช เองิงิลส์ ชื่อว่า “สภาพของชนชั้นกรรมาชีพในอังกฤษในปี 1844 หนังสือเล่มนี้ทำให้มาร์กซมองวิภาษวิธีเชิงประวัติศสตร์ออกมาในรุ)ของความขัดแย้งระหว่างชนชั้น และมองเป็นว่าชนชั้นกรรมาชีพสมัยใหม่จะเป็นแรงผลักดันที่ก้าวหน้าที่สุดสำหรับการปฏิวัติ
ปรัชญาของมาร์กซ แนวคิดหลักของมาร์กซวางอยู่บนความเข้าใจเกี่ยวกบ แรงงาน โดยพื้นฐานแล้ว มาร์กซกล่าวว่ามนุษย์มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบข้าง เขาเรียกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ว่าการ ใช้แรงงาน และความมีพลังในการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า กำลังแรงงานสำหรับมาร์กแล้ว การใช้แรงงานนี้นอกจากจะเป็นคามสามารถโดยธรรมชาติของกิจกรรมต่าง ๆ ทางกายภาพแล้ว แรงงานยังเกี่ยวช้องอย่างชักซึ้งกับความคิดและจินตนการของมนุษย์ด้วย
“แมงมุมทำกิจกรรมที่ไม่ต่างไปจากช่างทอฟ้า และการสร้างรังของูงผึ่งก็สามรถทำให้สถาปนิกต้องอับอายได้ แต่ความแตกต่างระหว่างสถาปนิกที่แย่ที่สุดกับผึ้งที่เยียมยอมที่สุดก็คื อสถาปนิกนั้นวาดภาพโครงสร้างของเขาในจินตนาการ ก่อนที่จะสร้างมันขึ้นมาในโลกความเป็นจริง”
นอกเหนือจากการที่อ้างว่าความสามารถของมนุษย์คือการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติแล้ว มาร์กซมิได้ใช้ข้ออ้างอื่น ๆ เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์อีกเลย
มาร์กซอธิบายความเปลี่ยนแปลบางอย่างกับมนุษย์ โดยการเปรียบเทียบระหว่า “ธรรมชาติ”กับ “ประวัติศาสตร์”หลายครั้งพวกเขาจะกว่าวว่า “สภาพการมีอยู่นำหน้าสำนึก” นั่นคือใครคนหนึ่งจะเป็นอย่างใดนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งแห่งหนและเวลาที่เขาอยู่ สถาพทางสังคมมีอำนาจมากกว่าพฤติกรรมดั้งเดิม หรืออาจกล่าวได้ว่าลักษณะสำคัญของมนุษย์คือการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เขาอธิบายว่า การทำงานนั้นเป็นกิจกรรมทางสังคม และเงื่อนไขรวมถึงรูปแบบของการทำงานนั้นถูกกำหนดโดยสังคมและเปลี่ยนแปลงตามเวลา
รูปแบบการผลิต การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ของมาร์กซนั้นว่างอยู่บนความแตกต่างระหว่าง ปัจจัยการผลิต และความสัมพันธ์เชิงสังคมของการผลิต โดยมาร์กซสังเกตว่าในสังคมหนึ่ง ๆ รูปแบบการผลิตนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย สำหรับสังคมทางยุโรปนั้นมีรูปแบบในการพัฒนาดดยเริ่มจากรูปแบบการผลิตแบบศักดินา ไปจนถึงรูปแบบการผลิตแบบทุนนิยม โดยทั่งไปแล้ว มาร์กซเชื่อว่าปัจจัยการผลิตนั้นเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วมากกว่าความสัมพันธ์ของการผลิต
ในการพิจารณาความสัมพันธ์เชิงสังคมของการผลิตนั้น มาร์กซไม่ได้มองแค่ความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกแต่ละคน แต่ยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคน หรือกลุ่มชนชั้น มาร์กซมิได้นิยาม “ชนชั้น”ขึ้นมาโดยอาศัยใช้เพียงแคการบรรยายแบอัตวิสัย เท่านั้น หากแต่ว่าเขายังพยายามจะนิยามชนชั้นด้วยเงื่อนไขที่เป็นแบบวัตถุวิสัย ด้วยเช่นการเข้าถึงทรัพยากรในการผลิต
มาร์กซให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับกำลังแรงงาน ซึ่งเป็นทรัพยากรพื้นฐานที่สุดของมนุษย์เอง ในการอธิบายความสัมพันธ์โดยละเอียด มาร์กซทำโดยผ่านทางปัญหารความแปลงแยก ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้ใช้แรงงาน กล่าวคือเมื่อกำลังแรงงานได้ถูกใช้ไปในการผลิตแต่เมือกิจกรรมนั้นสิ้นสุดลงกรรมสิทธิของผลลัพธ์ที่ได้กลับตกไปเป็นของนายทุน นั่งคือมองได้ว่าเป็นการละทิ้งกรรมสิทธ์ในกำลังแรงงานของตนเอง สภาวะเช่นนี้ก่อให้เกิดความแปลกแยกจากธรรมชาติของตนเอง และก่อให้เกิดความรู้สึกเสียครั้งยิงใหญ่ ภาวะเช่นนี้ก่อให้เกิดสภาพการคลั่งไคล้โภคภัณฑ์ ซึ่งผู้คนจะคิดว่าสิ่งสำคัญที่พวกเขาสร้างขึ้นก็คือสินค้า ความสำคัญทุกอย่งจะกถ่านโอนไปที่วัตถุรอบกายแทนที่จะเป็นผุ้คนด้วยกันเอง ปลังจากนันผู้คนจะมองเห็นและเข้าใจตนเองผ่านทางความสัมพันธ์กับทรัพย์สินหรือสินค้าที่ตนเองครอบครองไว้เท่านั้น
การคลั่งไคล้โภคภัฒฑ์นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของสิ่งที่เองเงิลส์เรียกว่า สำนึกที่ผิดพลาด ซึ่งเกี่ยวกับความเข้าใจในเรื่องของอุดมการณ์ ซึ่งมาร์กซและเองเงิลส์ได้ให้ความหายว่าเป้นความคิดที่สะท้อนผลประโยชน์ของบางชนชั้นในบางช่วงเวลาในประวัติศาสตร์แต่กลับถูกแสดงว่าเป็นวามเชื่อที่ถูกต้องสำหรับทุก ๆ ชนชั้นและทุก ๆเวลา ในความคิดของพวกเขานั้น ความเชื่อดังกล่าวมิได้เป็นเพียงแค่สิ่งทีผิดพลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งท่ำหน้าที่สำคัญทางการเมืองด้วย หล่าวในอีกนัยหนึ่งได้ว่า การควบคุมที่ชนชั้นหนึ่ง ๆ กระทำฝ่านทางการครอบครองเครื่องมือการผลิตนั้นมิได้เกิดขึ้นเฉพาะกับการผลิตอาหารหรือสินค้าเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับการผลิตความคิดหรือความเชื่อด้วยเช่นกัน ความคิดนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่อธิบายว่าทำไม่สมาชิกของชนชั้นที่ถูกกดขี่จึงยังมีความเชื่อที่ขัดแย้งกับผลประโยช์ของตนเอง ดังน้นแม้ว่าความเชื่อบางอย่างจะผิดพลาดแต่มันก็ยงเผยให้เห็นความจริงบางอย่างที่ถูกซ่อนไว้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการเมือง ยกตัวอย่างเช่น ความเชื่อที่ว่าสิ่งของที่คนผลิตขั้นจั้นมีผลิตผลมากกวาคนที่ผลิตมันขึ้นมานั้นอาจฟังประหลาด แต่มันก็แสดงให้เห็น ว่าผุ้คนภายใต้ระบบทุนนิยมนั้นถูกทำให้ปลแยกจากกำลังแรงงานของตนเอง อีกตัวอย่างหนึ่งพบได้ในการทำความเข้าจเกี่ยวกับศาสนาโดยมาร์กซ ที่สรุปได้ในยอ่ห้ารทหนึ่งของ Contribution to the Critique of Hegel’s “Philosophy of Right”
ความทุกข์ทางศาสนานั้นเป็นทั้งการแสดงออกของความทุกข์แท้จริงและการประท้วงไม่ยอมแพ้ต่อความทุกข์ที่แท้จริง ศาสนาคือเสียงกรีดร้องของสิ่งมีชีวิตที่ถูกกดขี่ หัวใจของโลกที่ไร้กัวใจและวิญญาณของสภาพไร้วิญญาณ มันคือฝ่นของมวลชน แม้ว่าในงานวิทยานิพนธ์ระดับเตรียมอุดมศึกษาเขาเคยอ้างว่าหน้าที่หลักของศาสนาคือการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ในที่นี้มาร์กซมองว่าศาสนานั้นเป็นเครื่องมือทางสังคมสำหรับการแสดงออกและจัดการกับความเหลื่อมลำนั้นเอง
ธิมากซ์-เลนิน มีอิทธพลอย่างสำคัญต่อประวัติศาสตร์ครอสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีการแข่งขันกันอุดเดือดระหว่าง “โลกสังคมนิยม” และโลกตะวันตก”
ทฤษฎีลัทธิมาซ์ถือว่า คอมมิวนิสต์บริสุทธิ์หรือคอมมิวนิสต์สมบูรณ์เป็นขึ้นของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์โดยเจาะจงที่ถือกำเนิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากการพัฒนากำลังการผลิตซึ่งนำไปสู่ความมั่งคั่งทางวัตถุที่อุดมสมบูรณ์ เพื่อให้การแจกจ่ายยึดความต้องการและความสัมพันธ์ทางสังคมยึดตามปัจเจกบุคคลที่เกี่ยวข้องกันอย่างเสรี นิยมที่แน่ชัดของคอมมิวนิสต์แตกต่างกัน และมักถูกเข้าใจผิด ในวจนิพนธ์การเมืองทั่วไป ว่ามช้แทนคำว่า สังคมนิยมได้ อยางไรก็ดี ทฤษฎีลัทธิมากซ์ยืนยันว่า สังคมนิยมเป็นเพียงขั้นเปลี่ยนผ่านบนวิถีสู่คอมมิวนิสต์ ลัทธิเลนินเพ่มแนวคิดพรรคการเมืองแนวหน้าเพื่อนำการปฏิบัติโดยชนชั้นกรรมมาชีพและเพื่อยึดอำนาจทางการเมืองทั้งหมดหลังการปฏิวัติเพื่อชนชั้นกรรมกร เพื่อการพัฒนาความตระหนักของชนชั้นทั่งโลกและการมีส่วนร่วมของกรรมกร ในขั้นเปลี่ยนผ่านระหว่างทุนนิยมกับสังคมนิยม
ปัจจุบัน คอมมิวนิสต์มัใช้เรียกนโยบายของรัฐคอมมิวนิสต์ นั้นคือ รัฐที่ถูกควบคุมเบ็ดเสร็จโดยพรคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าสาระของระบบเศรษฐกิจในทางปฏิบัติแท้จิรงแล้วเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น นโยบายของสาธารฯรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งระบบเศรษฐกิจรวมไปถึง “โด่ย เหมย” สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งระบบเศรษฐกิจเป็น “เศรษฐกิจตลาดสังคมนิยม” และระบบเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต ซึ่งอธิบายได้ว่าเป็น “ทุนนิยมโดยรัฐ”โดยนักสังคมนิยมที่มิใช่ลัทธิเลนิน และภายหลังโดยนักคอมมิวนิสต์ผู้คัดค้านแบบจำลองโซเวียตยุคหลังสตาลินมากขึ้น ตลอดช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20
รากฐานความคิดที่นำไปสู่ลัทธิคอมมิวนิสต์มีมานานมากในตะวันตก นานกว่าแนวคิดมาร์กซ์และเองเกลส์ คือในยุคกรีกโบราณที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับตำนานเกี่ยวกับยุคทองของมนุษยชาติ ที่ ๆ สังคมอยู่ด้วยกันด้วยความสมัคคีปรองดองกันเสียก่อน จึงร่วมกันสร้างความงอกงามทางวัตถุในภายหลัง แต่บางคนก็แย้งว่า ตำราสาธารณรัฐ ของเพลโตและผลงานอื่น ๆ ของนักทฤษฎีรัฐศาสตร์ในยุคโบราณ เพียงแค่สนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ในด้านการอยู่รวมกันในสังคมอย่างปรองดองเท่านั้น รวมหลาย ๆ นิกายในศาสนาคริสต์สมัยเก่า และเน้นเป็นพิเศษในโบสถ์สมัยเก่า ดังที่บันทึกไว้ในบัญญัติแห่งบรรดาอัครสาวก อีกทั้งชนเผ่าพื้นเมืองแห่งทวิปอเมริกาอ่กนยุคโคลัมบัสบุกเบิก ก็ยังปฏิบัติตามแรวคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์ว่าด้วยการอยู่ด้วยกันเป็นสังคมและครอบครองวัตถุร่วมกัน รวมถึงอีกหลายๆ ชนชาติพยายามที่จะก่อตั้งสังคมคอมมิวนิสต์ได้แก่ นิกายเอซเซนแห่งยิว และนิกายยูดาทะเลทราย
นักบุญ โทมัส มอร์ นักเขียนชาวอังกฤษกล่าวในหนังสือยูโทเปีย ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ว่า สังคมทุกสังคมมีรากฐานอยู่ที่การครอบครองวัตถุชิ้นใดๆ ร่วมกัน โดยมีหัวหน้าอยู่หนึ่งคนหรือหนึ่งคณะที่มีหน้าทที่นำมันไปใช้ตามหลักแห่งเหตุและผลที่เหมาะสม
คริสต์ศตวยรรษที่ 17 แนวคิดคอมมิวนิสต์ผุดขึ้นมาอีกครั้งในประเทศอังกฤษ เมื่อ เอ็ดเวิร์ด เบิร์นสไตน์ กล่าวในผลงานแห่งปี 1895 ของเขา คอรมเวลล์และคอมมิวนิสต์ อย่างเผ็ดร้อนว่ามีหลายกลุ่มในสงครามกลางเมืองอังกฤษ โดยเฉพาะพวกนักขุดหรือผู้เผยเปลือกใน ที่แสดงการสนับสนุนแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน เน้นความสำคัญไปที่บรรดาชาวไร่ชาวนา ซึ่งทัศนคติของ โอลิเวอร์ ครอมเวล ต่อคนกลุ่มนี้มีเป็นความรำคาญ หรือแม้กระทั่งแสดงความเป็นศัตรูต่อคนกลุ่มนี่อย่างชัดเจน ความไม่เห็นด้วยต่อการครอบครองวัตถุแต่เพียงผู้เดียวยังคงถูกแย้งมาโดยตลอด
ยุคแสงสว่าง The Age of Enlightenment แห่งคริสต์ศตวรรษที 18 นักวิชาการชื่อดัง เช่น ชอง-ชาก รุสโว รวมถึงนักเขียนสังคมนิยมยูโทเปีย เช่น โรเบิร์ต โอเวน ซึ่งบรรดาบุคคลเหล่านี้ก็ถูกขนานนามว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในบางครั้ง
คาร์ล ไฮน์ริช มาร์กซ์ นักปรัชญา นักคอมมิวนิสต์ และนักปฏิวัติชาวเยรมัน ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของแนวคิดที่มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาคอมมิวนิสต์ สมัยใหม่ มาร์กซ์สรุปแนวคิดของเขาในบรรทัดแรกของ คำประกาศเจตนาคมอมิวนิสต์ ว่า “ประวัติศาสตร์ของสังคมทั้งหมดที่ผ่านมากระทั่งปัจจุบันล้วนแต่เป็นปรัวติศาสตร์แห่งการต่อสู้ทางชนชั้น”
มาร์กซ์ไม่ใช้เป้นปค่นักทฤษฎีทางสังคมและการเมือง แต่เขายังเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการจัดตั้งสมาคมกรรมกรสากล “องค์กรสากลที่ 1 งานเขียนของเขาเป็แกนหลักของการเคลื่อนไหวในแนวทางคอมมิวนิสต์ สังคมนิยม ลัทธิเลนิน และลัทธิมาร์ก
ความคิดของมาร์กซ์นั้นได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากทั้งแนวคิดวิภาษวิธีประวัติศาสตร์ของเกออร์ก วิลเฮล์ม ฟรีดริช เฮเกิล และเศรษฐศาสตร์การเมืองของอดัม สมิท และเดวิด ริดคาร์โด เขาเชื่อในความเป็นไปได้ที่จะศึกษาประวัติศาสตร์และสังคมในลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึงจะทำให้เข้าใจแนวโน้มของประวัติศาสตร์รวมถึงผลลัพธ์ของข้อแย้งทางสังคมได้
ปรัชญาของมาร์กซ์ นั้นได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากแนวคิดของเฮเกิลที่ว่าความจริง นั้นจะต้องพิจารณาแบบวิภาษวิธี โดยมองว่าเป็นการปะทะกันของแรงคู่ตรงข้ามหลายครั้งแนวคิดนี้ถูกเขียนย่อว่า ข้อวินิจฉัย +ข้อโต้แย้ง ไปสู่การประสม,การสังเคราะห์ เฮเกลเชื่อว่าทิศทางของประวัติศาสตร์นั้นสามารถพิจารณาได้เป็นช่วง ๆ ที่มีเป้าหมายไปสู่ความสมบูรณ์และจริงแท้ เขากล่าวว่าหลายครั้งพัฒนาการจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็อาจมีบางช่วงที่ต้องมีการต่อสู้และเลี่ยนแปลงผู้ทีอยู่ในอำนาจเดิม มาร์กซ์ยอมรับภาพรวมของประวัติศาสตร์ตามที่เฮเกลเสนอ อย่างไรก็ตามเฮเกลนั้นเป็นนักปรัชญาแนวจิตนิยม ส่นมาร์กซ์นั้นต้องการจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในรูปของวัตถุ เขาได้เขียนว่านักปรัชญาสายเฮเกลนั้นวางความเป็นจริงไว้บนหัวดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องจับมันให้วางเสียใหม่บนเท้าของตนเอง
ในการยอมรับวิภาษวิธีเชิงวัตถุ ซึ่งเป็ฯการปฏิบเสธแนวคิดแบบจิตนิยมของเฮเกลนั้น มาร์กซ์ได้รับอิทธิพลมาจาก ลุควิก ฟอยเออร์บาค ในหนังสือ ฟอยเออร์บาคได้อธเบายว่าพระเจ้านั้น คือพลงานสร้างสรรค์ขอมนุษย์ และคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ผู้คนยกย่องพระเจ้า แม้จริงแล้วเป็นคุณลักษณะของความเป็นมนุษย์นั่นเอง มาร์กอธิบายว่า โลกวัตถุนั้นเป็นโลกที่แท้จริงส่วนแนวคิดต่าง ๆ เกียวกับโลกนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากโลกวัตถุ แม้ว่ามาร์กซ์จะเชื่อเช่นเดีวกับเฮเกิลและนักปรัชญาคนอื่นๆ ในการแบ่งแยกโลกที่ปรากฎกับโลกที่แท้จริง เขาไม่เชื่อว่าโลกวัตถุนั้นจะซ่อนโลกที่แท้จริงทางจิตเอาไว้ ในทางกลับกัน มาร์กซ์ยังเชื่อว่าอุดมการณ์ที่ถูกสร้างฝ่านทางประวัติศาสตร์และกระบวนการสังคมนั้น เป็นสิ่งทีปิดบังไม่ให้ผู้คนเห็นสถานทางวัตถุที่แท้จริงในชีวิตของพวกเขา
ผลงานอีกชิ้น ที่มีส่วนสำคัญในการปรับปรุงแนวคิดของเฮเกลของมาร์กซ คือ หนังสือที่เขียนโดย ฟรีดริช เองิงิลส์ ชื่อว่า “สภาพของชนชั้นกรรมาชีพในอังกฤษในปี 1844 หนังสือเล่มนี้ทำให้มาร์กซมองวิภาษวิธีเชิงประวัติศสตร์ออกมาในรุ)ของความขัดแย้งระหว่างชนชั้น และมองเป็นว่าชนชั้นกรรมาชีพสมัยใหม่จะเป็นแรงผลักดันที่ก้าวหน้าที่สุดสำหรับการปฏิวัติ
ปรัชญาของมาร์กซ แนวคิดหลักของมาร์กซวางอยู่บนความเข้าใจเกี่ยวกบ แรงงาน โดยพื้นฐานแล้ว มาร์กซกล่าวว่ามนุษย์มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบข้าง เขาเรียกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ว่าการ ใช้แรงงาน และความมีพลังในการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า กำลังแรงงานสำหรับมาร์กแล้ว การใช้แรงงานนี้นอกจากจะเป็นคามสามารถโดยธรรมชาติของกิจกรรมต่าง ๆ ทางกายภาพแล้ว แรงงานยังเกี่ยวช้องอย่างชักซึ้งกับความคิดและจินตนการของมนุษย์ด้วย
“แมงมุมทำกิจกรรมที่ไม่ต่างไปจากช่างทอฟ้า และการสร้างรังของูงผึ่งก็สามรถทำให้สถาปนิกต้องอับอายได้ แต่ความแตกต่างระหว่างสถาปนิกที่แย่ที่สุดกับผึ้งที่เยียมยอมที่สุดก็คื อสถาปนิกนั้นวาดภาพโครงสร้างของเขาในจินตนาการ ก่อนที่จะสร้างมันขึ้นมาในโลกความเป็นจริง”
นอกเหนือจากการที่อ้างว่าความสามารถของมนุษย์คือการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติแล้ว มาร์กซมิได้ใช้ข้ออ้างอื่น ๆ เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์อีกเลย
มาร์กซอธิบายความเปลี่ยนแปลบางอย่างกับมนุษย์ โดยการเปรียบเทียบระหว่า “ธรรมชาติ”กับ “ประวัติศาสตร์”หลายครั้งพวกเขาจะกว่าวว่า “สภาพการมีอยู่นำหน้าสำนึก” นั่นคือใครคนหนึ่งจะเป็นอย่างใดนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งแห่งหนและเวลาที่เขาอยู่ สถาพทางสังคมมีอำนาจมากกว่าพฤติกรรมดั้งเดิม หรืออาจกล่าวได้ว่าลักษณะสำคัญของมนุษย์คือการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เขาอธิบายว่า การทำงานนั้นเป็นกิจกรรมทางสังคม และเงื่อนไขรวมถึงรูปแบบของการทำงานนั้นถูกกำหนดโดยสังคมและเปลี่ยนแปลงตามเวลา
รูปแบบการผลิต การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ของมาร์กซนั้นว่างอยู่บนความแตกต่างระหว่าง ปัจจัยการผลิต และความสัมพันธ์เชิงสังคมของการผลิต โดยมาร์กซสังเกตว่าในสังคมหนึ่ง ๆ รูปแบบการผลิตนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย สำหรับสังคมทางยุโรปนั้นมีรูปแบบในการพัฒนาดดยเริ่มจากรูปแบบการผลิตแบบศักดินา ไปจนถึงรูปแบบการผลิตแบบทุนนิยม โดยทั่งไปแล้ว มาร์กซเชื่อว่าปัจจัยการผลิตนั้นเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วมากกว่าความสัมพันธ์ของการผลิต
ในการพิจารณาความสัมพันธ์เชิงสังคมของการผลิตนั้น มาร์กซไม่ได้มองแค่ความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกแต่ละคน แต่ยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคน หรือกลุ่มชนชั้น มาร์กซมิได้นิยาม “ชนชั้น”ขึ้นมาโดยอาศัยใช้เพียงแคการบรรยายแบอัตวิสัย เท่านั้น หากแต่ว่าเขายังพยายามจะนิยามชนชั้นด้วยเงื่อนไขที่เป็นแบบวัตถุวิสัย ด้วยเช่นการเข้าถึงทรัพยากรในการผลิต
มาร์กซให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับกำลังแรงงาน ซึ่งเป็นทรัพยากรพื้นฐานที่สุดของมนุษย์เอง ในการอธิบายความสัมพันธ์โดยละเอียด มาร์กซทำโดยผ่านทางปัญหารความแปลงแยก ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้ใช้แรงงาน กล่าวคือเมื่อกำลังแรงงานได้ถูกใช้ไปในการผลิตแต่เมือกิจกรรมนั้นสิ้นสุดลงกรรมสิทธิของผลลัพธ์ที่ได้กลับตกไปเป็นของนายทุน นั่งคือมองได้ว่าเป็นการละทิ้งกรรมสิทธ์ในกำลังแรงงานของตนเอง สภาวะเช่นนี้ก่อให้เกิดความแปลกแยกจากธรรมชาติของตนเอง และก่อให้เกิดความรู้สึกเสียครั้งยิงใหญ่ ภาวะเช่นนี้ก่อให้เกิดสภาพการคลั่งไคล้โภคภัณฑ์ ซึ่งผู้คนจะคิดว่าสิ่งสำคัญที่พวกเขาสร้างขึ้นก็คือสินค้า ความสำคัญทุกอย่งจะกถ่านโอนไปที่วัตถุรอบกายแทนที่จะเป็นผุ้คนด้วยกันเอง ปลังจากนันผู้คนจะมองเห็นและเข้าใจตนเองผ่านทางความสัมพันธ์กับทรัพย์สินหรือสินค้าที่ตนเองครอบครองไว้เท่านั้น
การคลั่งไคล้โภคภัฒฑ์นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของสิ่งที่เองเงิลส์เรียกว่า สำนึกที่ผิดพลาด ซึ่งเกี่ยวกับความเข้าใจในเรื่องของอุดมการณ์ ซึ่งมาร์กซและเองเงิลส์ได้ให้ความหายว่าเป้นความคิดที่สะท้อนผลประโยชน์ของบางชนชั้นในบางช่วงเวลาในประวัติศาสตร์แต่กลับถูกแสดงว่าเป็นวามเชื่อที่ถูกต้องสำหรับทุก ๆ ชนชั้นและทุก ๆเวลา ในความคิดของพวกเขานั้น ความเชื่อดังกล่าวมิได้เป็นเพียงแค่สิ่งทีผิดพลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งท่ำหน้าที่สำคัญทางการเมืองด้วย หล่าวในอีกนัยหนึ่งได้ว่า การควบคุมที่ชนชั้นหนึ่ง ๆ กระทำฝ่านทางการครอบครองเครื่องมือการผลิตนั้นมิได้เกิดขึ้นเฉพาะกับการผลิตอาหารหรือสินค้าเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับการผลิตความคิดหรือความเชื่อด้วยเช่นกัน ความคิดนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่อธิบายว่าทำไม่สมาชิกของชนชั้นที่ถูกกดขี่จึงยังมีความเชื่อที่ขัดแย้งกับผลประโยช์ของตนเอง ดังน้นแม้ว่าความเชื่อบางอย่างจะผิดพลาดแต่มันก็ยงเผยให้เห็นความจริงบางอย่างที่ถูกซ่อนไว้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการเมือง ยกตัวอย่างเช่น ความเชื่อที่ว่าสิ่งของที่คนผลิตขั้นจั้นมีผลิตผลมากกวาคนที่ผลิตมันขึ้นมานั้นอาจฟังประหลาด แต่มันก็แสดงให้เห็น ว่าผุ้คนภายใต้ระบบทุนนิยมนั้นถูกทำให้ปลแยกจากกำลังแรงงานของตนเอง อีกตัวอย่างหนึ่งพบได้ในการทำความเข้าจเกี่ยวกับศาสนาโดยมาร์กซ ที่สรุปได้ในยอ่ห้ารทหนึ่งของ Contribution to the Critique of Hegel’s “Philosophy of Right”
ความทุกข์ทางศาสนานั้นเป็นทั้งการแสดงออกของความทุกข์แท้จริงและการประท้วงไม่ยอมแพ้ต่อความทุกข์ที่แท้จริง ศาสนาคือเสียงกรีดร้องของสิ่งมีชีวิตที่ถูกกดขี่ หัวใจของโลกที่ไร้กัวใจและวิญญาณของสภาพไร้วิญญาณ มันคือฝ่นของมวลชน แม้ว่าในงานวิทยานิพนธ์ระดับเตรียมอุดมศึกษาเขาเคยอ้างว่าหน้าที่หลักของศาสนาคือการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ในที่นี้มาร์กซมองว่าศาสนานั้นเป็นเครื่องมือทางสังคมสำหรับการแสดงออกและจัดการกับความเหลื่อมลำนั้นเอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...