อิสราเอลประกาศทันที่อย่งเป็นทางการรวมดินแดนซึกตะวันออกของกรถงยะรูซาเล็มเป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอล สงครามหกวันปี 1967 อิสราเอลขนะกลุ่มชาติอาหรับ แสนยานุภาพกองกำลังอิสราเอลเหนือกลุ่มชาติอาหรับ กลุ่มชาติอาหรับเพิ่มความโกรธแค้นอิสราเอล สหรัฐอเมริกาและอังกฤษสนับสนุนอิสราเอล รุสเซียสนับสนุนกลุ่มชาติอาหรับ ในวันที่ 11 มถุนายน 1967 องค์การสหประชาชาติยื่นมติกำหนดให้อิสราเอลถอนทหารออกจากดินแดนที่ยึดครองได้ในสงครามหกวัน ด้วยเกรงกลุ่มชาติอาหรับอาจใช้ดินแดนเหล่านี้เป็นเส้นทางคุกคามเอกราชอิสราเอลในอนาคต การถอนทหารอาจเกิดได้ในอนาคตต่อเมือกลุ่มชาติอาหรับยอมรับในเอกราชของอิสราเอลเท่านั้น และจากการที่อิสราเอลได้ยึดครองฉนวนกาซาและดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน มีผลให้ชาวปาเลสไตน์เชื้อสายอาหรับ ส่วนหนึ่งลี้ภัยออกจากปาเลสไตน์เข้าอาศัยในอียิปต์ ซีเนีย จอร์แดน และเลบานอน และปาเลสไตน์เชื้อสายอาหรับมีความคิดใฝ่ฝันจัดตั้งรัฐอาหรับในดินแดนปาเลสไตน์บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน เร่มการรวมตัวทางการเมืองเป็นสมพันธ์ในปี 1964 ภายใต้ชื่องค์การปลดแอกปาเลสไตน์ กระบวนการต่อสู้นิยมการต่อสู้แบบกองโจรปฏิบัติการก่อการร้าย ปละปฏิบัติการจู่โจม ผู้นำกลุ่มชาติอาหรับให้การสนับสนุนกองกำลังองค์การปลดแอกปาเลสไตน์ปฏิบัติการต่อต้านอิสราเอล ในปี 1969 ยาเซอ อาราฟัด ก้าวขึ้นเป็นผู้นำองค์การปลดแอกปาเลสไตน์ อิสราเอลไม่เกรงกลัวการปฏิบัติการใด ๆ ขององค์การปลดแอกปาเลสไตน์ ทั้งมั่นใจในแสนยานุภาพกองกำลังอิสราเอล และไม่เกรงคำขู่ใด ๆ ของกลุ่มชาติอาหรับ
วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Six day War
การปะทะระหว่างอาหรับกับยิวที่โลกรับรู้อย่างเป็นทางการมีขึ้นครั้งแรกในปี 1948 เมื่อยิวประกาศจัดตั้งประเทศอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์ในวันที่ 14 พฤษภาคม 1948 กองกำลังอาหรับประกอบด้วยกองทหารจากอียิปต์ อิรัก ซีเรีย เลบานอน และจอร์แดน ได้บุกโจมตีอิสราเอลในวันที่ 15 พฤษภาคม 1948 เพื่อทำลายล้างอิสราเอล ผลการสู้รบยิวสามารถรักษาความเป็นชาตอิสราเอลไว้ได้ การปะทะระหว่างอาหรับกับยิวครั้งที่สองมีขึ้นในปี 1956 ในปัญหาวิกฤติการณ์คอลองสุเอช โดยในวันที่ 29 ตุลาคม 1956 กองกำลังอิสราเอลรุกรานอียิปต์ ยึดได้ดินแดนในปกครองของอียิปต์คือฉนวนกาซา และคาบสมุทรไซนาย กองกำลังอังกฤษและฝรั่งเศสสามารถเข้าควบคุมปากทางตอนเหนือของคลองสุเอชของอียิปต์ได้ สหรัฐอเมริกาและรุสเซียให้การหนุนหลังองค์การสหประชาชาติเข้าระงับเหตุ สหประชาชาติมีมติให้อิสราเอล อังกฤษ และฝรั่งเศสถอนกองกำลังออกจากเขตยึดครองของอียิปต์ และกำหนดจัดตั้งกองกำลังรักษาสันติภาพประจำในฉนวนกาซาและคาบสมุทรไซนาย เพื่อป้องกันกรณ๊พิพาทพรมแดนอันอาจจะเกิดได้ระหว่างอียิปต์กับอิสราเอลในอนาคต การปะทะระหว่างอาหรับกับยิวครั้งที่สามมีขึ้นในปี 1967 ในสงครามหกวันปี 1967 เหตุแห่งสงครามคือปัญหา สามประการ ปัญหาประการที่หนึ่งคือปัญหาพรมแดน กล่าวคือ อิสราเอลมีพรมแดนทางตะวันตกติดกับคาบสมุทรไซนายของอียิปต์ พรมแดนทางตะวันออกติดกับจอร์แดน และพรมแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับซีเรีย นับจากปี 1956 ทั้งซีเรียและจอร์แดน และพรมแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับซีเรีย นับจากปี 1956 ทั้งซีเรียและจอร์แอนให้การสนับสนุนชนชาวอาหรับแอบข้ามพรมแดนเข้ามารุกรานโจมตีชนชาวยิวสร้างความขมขื่นไม่พอใจอิสราเอล ปัญหาประการที่สองคือ อียิปต์ ภายใต้การนำของนัสเซอร์ ในวันที่ 18 พฤษภาคม 1967 ประกาศเรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติถอนกองกำลังทหารรักษาสันติภาพออกจากฉนวนกาซาและคาบสมุทรไซนาย ซึ่งมีพรมแดนอียิปต์ อิสราเอล อูถั่น เลขาธิการสหประชาชาติขณะนั้นไม่ปฏิบัติตามคำเรียกร้องอย่างเร่งด่วนของอียิปต์ เป็นผลให้นัสเซอร์ปฏิบัติการสร้างปัญหาที่สามคือในวันที่ 22 พฤษภาคม 1967 อียิปต์ประกาศปิดช่อแคบทีราน ช่องแคบทีรานอยู่ระหว่างทะเลแดง กับอ่าวอะคาบา อันมีผลสกัดกั้นเรื่อสินค้าอิสราเอลจากทะเลแดงไม่อาจเข้าสู่อ่าวอะคาบามุ่งสู่เมืองท่าอีลาท เมื่องท่าทางใต้ของอิสราเอลได้ ด้วยปัญหาทั้งสามประการสหรัฐอเมริกาและอังกฤษไม่เห็นด้วยกับการก้าวร้าวรุกรานของซีเรียกและจอร์แดนและคัดค้านการกระทำของอียิปต์ รุสเซียให้การสนับสนุนท่าทีกลุ่มชาติอาหรับ อิสราเอลไม่พอใจ ขมขื่น มั่นใจว่าไม่อาจเกิดข้อตกลงสันติภาพได้ อิสราเอลหวาดกลัวการถูกกองกำลังอาหรับโจมรี ได้เตรียมพร้อมด้านกองกำลังอาวุธ และปฏิบัติการบุกโจมตีอียิปต์ จอร์แดนแบบสายฟ้าแลบในช่วงวันที่ 5-10 มิถุนายน 1967 เรียกสงครามหกวันปี 1967 ผูงบินอิสราเอลทำลายกองกำลังทางอากาศของสามชาติอาหรับย่อยยับและกองกำลังทางบกของอิสราเอลมีชัยชนะเหนือกองกำลังทางบกของสามชาติอาหรับ ผลอย่งเป็นทางการของสงครามหกวันปี 1967 คืออิสราเอลสามารถยึดคาบสมุทรไซนาย และฉนวนกาซา จากอียิปต์ ยึดที่ราบสูงโกลาน จากซีเรีย ยึดดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน รวมทั้งดินแดนฝั่งตะวันตกของแมน้ำจอร์แดน รวมั่งดินแดนซีกตะวันออกของกรุงยะรูซาเล็ม จากจอร์แดน ทั้งนี้
อิสราเอลประกาศทันที่อย่งเป็นทางการรวมดินแดนซึกตะวันออกของกรถงยะรูซาเล็มเป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอล สงครามหกวันปี 1967 อิสราเอลขนะกลุ่มชาติอาหรับ แสนยานุภาพกองกำลังอิสราเอลเหนือกลุ่มชาติอาหรับ กลุ่มชาติอาหรับเพิ่มความโกรธแค้นอิสราเอล สหรัฐอเมริกาและอังกฤษสนับสนุนอิสราเอล รุสเซียสนับสนุนกลุ่มชาติอาหรับ ในวันที่ 11 มถุนายน 1967 องค์การสหประชาชาติยื่นมติกำหนดให้อิสราเอลถอนทหารออกจากดินแดนที่ยึดครองได้ในสงครามหกวัน ด้วยเกรงกลุ่มชาติอาหรับอาจใช้ดินแดนเหล่านี้เป็นเส้นทางคุกคามเอกราชอิสราเอลในอนาคต การถอนทหารอาจเกิดได้ในอนาคตต่อเมือกลุ่มชาติอาหรับยอมรับในเอกราชของอิสราเอลเท่านั้น และจากการที่อิสราเอลได้ยึดครองฉนวนกาซาและดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน มีผลให้ชาวปาเลสไตน์เชื้อสายอาหรับ ส่วนหนึ่งลี้ภัยออกจากปาเลสไตน์เข้าอาศัยในอียิปต์ ซีเนีย จอร์แดน และเลบานอน และปาเลสไตน์เชื้อสายอาหรับมีความคิดใฝ่ฝันจัดตั้งรัฐอาหรับในดินแดนปาเลสไตน์บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน เร่มการรวมตัวทางการเมืองเป็นสมพันธ์ในปี 1964 ภายใต้ชื่องค์การปลดแอกปาเลสไตน์ กระบวนการต่อสู้นิยมการต่อสู้แบบกองโจรปฏิบัติการก่อการร้าย ปละปฏิบัติการจู่โจม ผู้นำกลุ่มชาติอาหรับให้การสนับสนุนกองกำลังองค์การปลดแอกปาเลสไตน์ปฏิบัติการต่อต้านอิสราเอล ในปี 1969 ยาเซอ อาราฟัด ก้าวขึ้นเป็นผู้นำองค์การปลดแอกปาเลสไตน์ อิสราเอลไม่เกรงกลัวการปฏิบัติการใด ๆ ขององค์การปลดแอกปาเลสไตน์ ทั้งมั่นใจในแสนยานุภาพกองกำลังอิสราเอล และไม่เกรงคำขู่ใด ๆ ของกลุ่มชาติอาหรับ
อิสราเอลประกาศทันที่อย่งเป็นทางการรวมดินแดนซึกตะวันออกของกรถงยะรูซาเล็มเป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอล สงครามหกวันปี 1967 อิสราเอลขนะกลุ่มชาติอาหรับ แสนยานุภาพกองกำลังอิสราเอลเหนือกลุ่มชาติอาหรับ กลุ่มชาติอาหรับเพิ่มความโกรธแค้นอิสราเอล สหรัฐอเมริกาและอังกฤษสนับสนุนอิสราเอล รุสเซียสนับสนุนกลุ่มชาติอาหรับ ในวันที่ 11 มถุนายน 1967 องค์การสหประชาชาติยื่นมติกำหนดให้อิสราเอลถอนทหารออกจากดินแดนที่ยึดครองได้ในสงครามหกวัน ด้วยเกรงกลุ่มชาติอาหรับอาจใช้ดินแดนเหล่านี้เป็นเส้นทางคุกคามเอกราชอิสราเอลในอนาคต การถอนทหารอาจเกิดได้ในอนาคตต่อเมือกลุ่มชาติอาหรับยอมรับในเอกราชของอิสราเอลเท่านั้น และจากการที่อิสราเอลได้ยึดครองฉนวนกาซาและดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน มีผลให้ชาวปาเลสไตน์เชื้อสายอาหรับ ส่วนหนึ่งลี้ภัยออกจากปาเลสไตน์เข้าอาศัยในอียิปต์ ซีเนีย จอร์แดน และเลบานอน และปาเลสไตน์เชื้อสายอาหรับมีความคิดใฝ่ฝันจัดตั้งรัฐอาหรับในดินแดนปาเลสไตน์บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน เร่มการรวมตัวทางการเมืองเป็นสมพันธ์ในปี 1964 ภายใต้ชื่องค์การปลดแอกปาเลสไตน์ กระบวนการต่อสู้นิยมการต่อสู้แบบกองโจรปฏิบัติการก่อการร้าย ปละปฏิบัติการจู่โจม ผู้นำกลุ่มชาติอาหรับให้การสนับสนุนกองกำลังองค์การปลดแอกปาเลสไตน์ปฏิบัติการต่อต้านอิสราเอล ในปี 1969 ยาเซอ อาราฟัด ก้าวขึ้นเป็นผู้นำองค์การปลดแอกปาเลสไตน์ อิสราเอลไม่เกรงกลัวการปฏิบัติการใด ๆ ขององค์การปลดแอกปาเลสไตน์ ทั้งมั่นใจในแสนยานุภาพกองกำลังอิสราเอล และไม่เกรงคำขู่ใด ๆ ของกลุ่มชาติอาหรับ
Impeachment (Richard M.Nixon Part 2)
คดีอื้อฉาววอเตอร์เกท ปี่ 1972 มีผลให้ประธานาธิบดีนิกสันต้องประกาศลาออกจากการเป็นประธานาธิบดี วอเตอร์เกท เป็นชื่ออาคารอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ถูกใช้เป็นสำรักงานใหญ่ศูนย์บัญชาการเลือกตั้งของพรรคเดโมเครติกเพื่อการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 1972 ในเดื่อนมิถุนายปี 1972 ตำรวจเข้าจับกุมชายฉกรรจ์ 5 คน ขณะกำลังรับโทรศัพท์บนชั้นหกของอาคารวอเตอร์เกท ทุกคนมีกล้องถ่ายรูปและเพิ่งหยุดการรื้อค้นเอกสาร หนึ่งในกลุ่มจารชนคือ เจมส์ ดับเบิลยู แมคคอร์ด เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองกลาง CIA รับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานด้านความมั่นคงของคณะกรรมการเพื่อการเลือกตั้ง
ประธานาธิบดีของพรรครีพลับบลิกันจารชนอี 4 คนเป็นชาวคิวบากลุ่มต่อต้านคัสโตรจากไมอามี่ ฟลอริดา ตำรวจไม่รู้ว่ามีอีกสองคนหลบอยู่ในอาคารวอเตอร์เกท อดีตเจ้าหน้าที่หน่วย่าวกรองกลาง CIA รับงานเป็นหัวหน้าด้านความมั่นคงของคณะกรรมการเพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน และจี. กอร์ดอน ลิคดี เจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับภายในประเทศ รับงานเป็นสมาชิกในคณะกรรมการจัดการกิจการภายในประเทศของทำเนียบขาว สามในเจ็ดจารชนล้วนใกล้ชิดประธานาธิบดีนกสัและเป็นคนในทำเนียบขาว มีการตั้งคำถามกันว่า จารชนเหล่านี้พยายามค้นหาอะไรในอาคารวอเตอร์เกท ซึ่งเป็นสำนักงานของพรรคเดโมแครต..จารชนได้ยินอะไรจากโทรศัพย์..และใครเป็นผู้สั่งดำเนินการ..
การสอบสวนเบื้องต้นรู้ว่าจารชนทั้งเจ็ดคนเป็นคนของพรรครีพลับบลิกันส่งมาทำการจารกรรม เพื่อความคืบหน้าในคดี ศาลชั้นต้น คนของประธานาธิบดีนิกสันเข้าทำการสอบสวน ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภาเพื่อตรวจสอบปฏิบัจิการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
ผลการสอบสวนช่วงพฤษภา-พฤศจิกายน 1973 รุกหน้ามาก ผู้ต้องหาคนแรกให้การเปิดเผยความจริงว่าได้รับเงินจากทำเนียบขาวให้ทำจารกรรม หากถูกจับได้จะได้รับการอภัยถ้าไม่ให้การใด ๆ แก่คณะผู้สอบสวน และซัดทอดว่าจอห์น ดีนที่ปรึกษาของประธานาธิบดีนกสันและ เจบ แมกรูเอร์ หนึ่งในคณะกรรมการเพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีของพรรครัพับบลิกันว่ามีส่วนร่วมในคดีวอ
เตอร์เกท ทั้งสองเข้าให้การคล้ายกันว่าประธานาธิบดีนิกสันมีส่นร่วมรู้เห็นและปกปิดรายชื่อผู้วางแผนสั่งการในคดีวอเตอร์เกทประธานาธิบดีนกสันชอบใช้เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐบาลข่มขู่รังควาญคู่แข่งและชื่นชอบการรณรงค์กาเสียงด้วยวิธีการผิดกฏหมายทั้งได้มอบรายชื่อศัตรูของทำเนียบขาว จอห์น อีร์ลิชแมน หัวหน้าคณะที่ปรึกษางานกิจการภายในประเทศของทำเนียบขาวและจอห์น มิทเชล อดีตอธิบดีกรมอับการช่วงปี 1969-1971 และริชาร์ด จี.คลินเดนส์ อธิบดีกรมอัยการขณะนั้น ร่วมพยายามปกปิดรายชื่อผู้วางแผนสั่งการในคดีวอเตอร์เกท การสอบสวนถูกเปิดเผยเข้าใกล้ตัวประธานาธิบดี นิกสัน คณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภาฯเชื่อในคำให้การของผู้ใกล้ชิดประธานาธิบดีนิกสันแต่ขาดหลักฐานสนับสนุนว่าประธานาธิบดี นิกสัน ร่วมกระทำความผิดจริง
30 เมษายน 1973 ประธานาธิบดีนิกสันปฏิบัติการสองเรื่อง คือ ประกาศรับการลาออกของเอช อาร์. เฮลเดแมน และจอห์น อีร์ลิชแมน สองหัวหน้าคณะผู้ทำงานของทำเนียบขาว และจอห์น มิทเชล อดีตอธิบดีกรมอัยการ และริชาร์ด จี. คลินเดนส์ อธิบดีกรมอัยการและแต่งตั้งอัยการพิเศษ คุมคดีวอเตอร์เกท
อเล็กซานเดอร์ บัตเตอร์ฟิล หนึ่งในเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเข้าเปิดเผยให้การต่อคณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภาฯว่าตั้งแต่ปี 1971 ประธานาธิบดีนิกสันกำหนดให้มีการติดตั้งระบบการบันทึกเสียง การสนทนาในห้องรูปไข่ และการ
สนทนาเกี่ยวกับคดีวอเตอร์เกทตั้งมีการบันทึกเสียงเก็บไว้แน่นอนในม้วนเทป เพราะในเดือนกรกฎาคม จากการได้รู้ว่ามีม้วนเทปบันทึกจากสนทนาของประธานาธิบดีนิกสันที่ทำเนียบขาวเป็นผลให้อาร์ชิบอล คอดซ์ซึ่งเป็นอัยการพิเศษ และคณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภาฯร้องขอให้ประธานาธิบดีนิกสันมอบม้วนเทปดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการสอบสวน ประธานาธิบดีนิกสันปฏิเสธการมอบม้วยเทปโดยให้เหตุผลว่า การบันทักเสียงในห้องทำงานประธานาธิบดีทำไปเพื่อผลงานเป็ฯการส่วนตัว และรัฐธรรมนูญให้ประธานาธิบดีมีสิทธิคงรักษาการสนทนาที่เป็นการส่วนตัวของประธานาธิบดีเป็นความลับได้
เพราะประธานาธิบดีนิกสันไม่ยอมมอบม้วนเทปเป็นผลให้ในเดือนสิงหาคม 1973 อาร์ชิบอล คอดซ์ และคณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภาฯ ร้องขอต่อศาลในการสั่งให้ประธานาธิบดีนิกสันมอบม้วนเทป ผู้พิพากษาจอห์น เจ.ซิริกา ตัดสินใจจะเป็นผู้ตวจสอบฟังม้วนเทปด้วยตนเอง และสังให้ประธานาธิบดีมอบม้วนเทปแก่ตน ประธานาธิบดีนิกสันไม่ยอมมอบม้วนเทปและอุทธรร์คำสั่ง แต่คณะผูพิพากษาสนับสนุนคำสั่งของผู้พิพากษาจอห์น เจ.ซิริกา
ในวันที่ 19 ตุลาคม 1973 ประธานาธิบดีนิกสันเสนอจะมอบม้วนเทปสรุปย่อการสนทนาแก่ อาร์ชิบอล คอตซ์ และคณะกรรมการธิการแห่งวุฒิสภาฯ อาร์ซิบอล คอดซ์ ปฏิเสธไม่รับม้วนเทปสรุปย่อด้วยเหตุผลใช้เป็นหลักฐานในศาลไม่ได้ต้องใช้ม้วนเทปดังเดิม ประธานาธิบดีนิกสันไม่พอใจในความเคร่งครัดจริงจังของอาร์ซิบอล คอตซ์ และใอนาจบริหารก้าวก่ายอำนาจตุลาการทันที โดยสังการในคืนต่อมา ในสามเรื่องคือ หนึงให้เอลไลออท ริชาร์ดสันออกจากการเป็นอธิบดีกรมอัยการ สองสั่งให้รองอธิบดีกรมอัยการปลดอร์ชิบอล คอดซ์ออกจากการเป็ฯอัยการพิเศษ และส่งอาร์ชิบอล คอตซ์ กลับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สามแต่งตั้งลี
ออง จาโวร์สกี้ คนของประธานาธิบดีนิกสันเป็ฯอัยการพิเศษแทนอาร์ชิบอล คอดซ์ คนอเมริกันเรียกคือวันที่ 20 ตุลาคม 1973 ว่าการฆาตกรรมหมู่คืนวันเสาร์ปี 1973 “The Saturday Night Massacre of 1973” คนอเมริกันประท้วงคัดค้านการกระทำที่ไม่ถูกต้องของประธานาธิบดีนิกสัน หนังสือพิมพ์และผู้สื่อข่าวกลาวโจมตีการก้าวก่ายอำนาจบริหารในอำนาจตุลาการ เปิดเผยรายละเอียดในประเด็นจำนวนเงินมหาศาลที่ใช้เพื่อการรณรงค์หาเสียงเพื่อการทำลายล้างคู่แข่งขันและปิดปากพยานถึงอ้างชื่อกลุ่มบุคคลที่มีส่วนร่วมในคดีวอเตอร์เกท สำหรับลีออง จาโวร์สกี มีความสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบรีบทวงม้วนเทปทันทีจากทำเนียบขาวเมื่อเขารับตำแหน่งอัยการพิเศษ สร้างความผิดหวังอย่างมากแก่ประธานาธิบดีนิกสัน
24 กรกฎาคม 1974 ศาลฎีกามีคำสั่งให้ประธานาธิบดีนิกสันมอบม้วนเทปแก่ผู้พิพากษาจอห์น เจ. ซิริกา ประธานาธิบดีนิกสันคงเพิกเฉย ปฏิเสธ นับจากเดื่อนตุลาคม 1973 คณะกรรมาธิการตุลาการแห่งสภาผู้แทนราษฎรร่วมพยายามเรียกร้องอย่างเป็นทางการเพื่อให้ประธานาธิบดีนิกสันมอบม้วนเทป แต่ประธานาธิบดีคงเพิกเฉยและปฏิเสธเช่นที่ผ่านมา เป็นผลให้ปลายเดือน กรกฎาคม 1974 คณะกรรมาธิการตุลาการแห่งสภาผู้แทนราษฎร มีมติยื่นฟ้องเพื่อการถอดถอน Impeachment ประธานาธิบดีนิกสันต่อวุฒิสภา ในข้อหาสามประการคือ หนึ่ง ขัดขวางขบวนการยุติธรรม ด้วยกาการปกปิดชื่อผู้วางแผนสั่งการและใช้เงินปิดปากพยานทำให้การสอบสวนเป็นไปอย่างล้าช้า สองใช้อำนาจประธานาธิบดี เกินขอบเขตด้วยการใช้อำนาจบริหารก้าวก่ายอำนาจตุลาการ สามไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ที่สั่งให้มอบม้วนเทป
ประธานาธิบดีนิกสันมอบม้วนเทปในวันที่ 5 สิงหาคม 1974 สาเหตุจากการทวงม้วนเทปของคณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภา ในเดือนกรกฎาคม ผู้พิพากษาศาลจอห์น เจ. ซิริกา สั่งมอบม้วนเทปในเดื่อน
สิงหาคม อัยการพิเศษลีออง จาโวร์สกียืนยันทวงม้วนเทปในเดือน ตุลาคม 1973 ศาลฎีกาสั่งมอบม้วนเทปในเดือนกรกฎาคม 1974 , คนอเมริกันโจมตีประธานาธิบดีนิกสันที่ก้าวก่ายอำนาจตุลาการและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล และปรธานาธิบดีนิกสันรู้มติในเดือน กรกฎาคม 1974 ของคณะกรรมาธิการตุลาการแห่งสภาผู้แทนราษฎร เป็นผลให้ในวันที่ 5 สิงหาคม 1974 ประธานาธิบดียอมมอบม้วนเทปแก่คณะผู้สอบสวน การสนทนาจากม้วนเทปยืนยันว่าประการแรกประธานาธิบดีนิกสันรู้เรื่องทุกอย่างของคดีวอเตอร์เกท เมื่อรู้เรื่องคดีวอเตอร์เกทเป็นเป็นอย่างดีแล้วประธานาธิบดีนิกสันปกป้องพรรคพวกไม่เปิดเผยชื่อ และปกปิดเรื่องเสแสร้งว่าไม่รู้ (ออกโทรทัศน์ในวันที่ 30 เมษายน 1973 บอกคนอเมริกันว่าจะพยายามหาข้อเท็จจริงและจะนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ) เป็นการหลอกลวงคนอเมริกัน ประการที่สองไม่มีข้อความการสนทนาตอนใดบ่งชี้ว่าประธานาธิบดีนิกสันร่วมวางแผนคดีวอเตอร์เกทในคือวันที่ 17 มิถุนายน 1972
ผลจากการฟังม้วนเทปต่อสถานภาพความเป็นประธานาธิดี ประการแรกคือวุฒิสมาชิกในวุฒิสภาเลิกให้การสนับสนุนประธานาธิบดีนิกสัน ประการที่สองบรรดาผู้นำรีพลับบลิกันทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรเตือนประธานาธิบดีนิกสันว่า ประธานาธิบดีต้องเผชิญกับการถูกฟ้องเพื่อการถอดถอน จากสภาผุ้แทนราษฎรและถูกถอดถอน จากวุฒิสภา ควรลาออกจากการเป็นประธานาธิบดีก่อนมีการฟ้องร้อง เพราะจะเป็นคดีอาณาต้องโทษจำคุกและจะไม่ได้รับเงินตอบแทนและสวัสดิการหลังการพ้นตำแหน่งประธานาธิบดี
ในวันที่ 7 สิงหาคม 1974 ประธานาธิบดีนิกสันบอกสมาชิกในครอบครัวถึงการจะลาออกจากการเป็นประธานาธิบดี ในวันที่ 8 สิงหาคม 1974 ประธานาธิบดีนิกสันออกโทรทัศน์บอกคนอเมริกันถึงความจำเป็นต้องลาออกจากการเป็นประธานาธิบดีเพราะขาดเสียงสนับสนุนทางการเมืองจากรัฐสภา และในเช้าวันที่ 9 สิงหาคม 1974 ประธานาธิบดีนิกสันลงนามลาออกจากการเป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ และในเวลาเที่ยงของวันที่ 9 สิงหาคม 1974 รองประธานาธิบดีเจอรัล อาร์.ฟอร์ด เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีลำดับที่ 38 ของสหรัฐอเมริกา
ประธานาธิบดีของพรรครีพลับบลิกันจารชนอี 4 คนเป็นชาวคิวบากลุ่มต่อต้านคัสโตรจากไมอามี่ ฟลอริดา ตำรวจไม่รู้ว่ามีอีกสองคนหลบอยู่ในอาคารวอเตอร์เกท อดีตเจ้าหน้าที่หน่วย่าวกรองกลาง CIA รับงานเป็นหัวหน้าด้านความมั่นคงของคณะกรรมการเพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน และจี. กอร์ดอน ลิคดี เจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับภายในประเทศ รับงานเป็นสมาชิกในคณะกรรมการจัดการกิจการภายในประเทศของทำเนียบขาว สามในเจ็ดจารชนล้วนใกล้ชิดประธานาธิบดีนกสัและเป็นคนในทำเนียบขาว มีการตั้งคำถามกันว่า จารชนเหล่านี้พยายามค้นหาอะไรในอาคารวอเตอร์เกท ซึ่งเป็นสำนักงานของพรรคเดโมแครต..จารชนได้ยินอะไรจากโทรศัพย์..และใครเป็นผู้สั่งดำเนินการ..
การสอบสวนเบื้องต้นรู้ว่าจารชนทั้งเจ็ดคนเป็นคนของพรรครีพลับบลิกันส่งมาทำการจารกรรม เพื่อความคืบหน้าในคดี ศาลชั้นต้น คนของประธานาธิบดีนิกสันเข้าทำการสอบสวน ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภาเพื่อตรวจสอบปฏิบัจิการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
ผลการสอบสวนช่วงพฤษภา-พฤศจิกายน 1973 รุกหน้ามาก ผู้ต้องหาคนแรกให้การเปิดเผยความจริงว่าได้รับเงินจากทำเนียบขาวให้ทำจารกรรม หากถูกจับได้จะได้รับการอภัยถ้าไม่ให้การใด ๆ แก่คณะผู้สอบสวน และซัดทอดว่าจอห์น ดีนที่ปรึกษาของประธานาธิบดีนกสันและ เจบ แมกรูเอร์ หนึ่งในคณะกรรมการเพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีของพรรครัพับบลิกันว่ามีส่วนร่วมในคดีวอ
เตอร์เกท ทั้งสองเข้าให้การคล้ายกันว่าประธานาธิบดีนิกสันมีส่นร่วมรู้เห็นและปกปิดรายชื่อผู้วางแผนสั่งการในคดีวอเตอร์เกทประธานาธิบดีนกสันชอบใช้เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐบาลข่มขู่รังควาญคู่แข่งและชื่นชอบการรณรงค์กาเสียงด้วยวิธีการผิดกฏหมายทั้งได้มอบรายชื่อศัตรูของทำเนียบขาว จอห์น อีร์ลิชแมน หัวหน้าคณะที่ปรึกษางานกิจการภายในประเทศของทำเนียบขาวและจอห์น มิทเชล อดีตอธิบดีกรมอับการช่วงปี 1969-1971 และริชาร์ด จี.คลินเดนส์ อธิบดีกรมอัยการขณะนั้น ร่วมพยายามปกปิดรายชื่อผู้วางแผนสั่งการในคดีวอเตอร์เกท การสอบสวนถูกเปิดเผยเข้าใกล้ตัวประธานาธิบดี นิกสัน คณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภาฯเชื่อในคำให้การของผู้ใกล้ชิดประธานาธิบดีนิกสันแต่ขาดหลักฐานสนับสนุนว่าประธานาธิบดี นิกสัน ร่วมกระทำความผิดจริง
30 เมษายน 1973 ประธานาธิบดีนิกสันปฏิบัติการสองเรื่อง คือ ประกาศรับการลาออกของเอช อาร์. เฮลเดแมน และจอห์น อีร์ลิชแมน สองหัวหน้าคณะผู้ทำงานของทำเนียบขาว และจอห์น มิทเชล อดีตอธิบดีกรมอัยการ และริชาร์ด จี. คลินเดนส์ อธิบดีกรมอัยการและแต่งตั้งอัยการพิเศษ คุมคดีวอเตอร์เกท
อเล็กซานเดอร์ บัตเตอร์ฟิล หนึ่งในเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเข้าเปิดเผยให้การต่อคณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภาฯว่าตั้งแต่ปี 1971 ประธานาธิบดีนิกสันกำหนดให้มีการติดตั้งระบบการบันทึกเสียง การสนทนาในห้องรูปไข่ และการ
สนทนาเกี่ยวกับคดีวอเตอร์เกทตั้งมีการบันทึกเสียงเก็บไว้แน่นอนในม้วนเทป เพราะในเดือนกรกฎาคม จากการได้รู้ว่ามีม้วนเทปบันทึกจากสนทนาของประธานาธิบดีนิกสันที่ทำเนียบขาวเป็นผลให้อาร์ชิบอล คอดซ์ซึ่งเป็นอัยการพิเศษ และคณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภาฯร้องขอให้ประธานาธิบดีนิกสันมอบม้วนเทปดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการสอบสวน ประธานาธิบดีนิกสันปฏิเสธการมอบม้วยเทปโดยให้เหตุผลว่า การบันทักเสียงในห้องทำงานประธานาธิบดีทำไปเพื่อผลงานเป็ฯการส่วนตัว และรัฐธรรมนูญให้ประธานาธิบดีมีสิทธิคงรักษาการสนทนาที่เป็นการส่วนตัวของประธานาธิบดีเป็นความลับได้
เพราะประธานาธิบดีนิกสันไม่ยอมมอบม้วนเทปเป็นผลให้ในเดือนสิงหาคม 1973 อาร์ชิบอล คอดซ์ และคณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภาฯ ร้องขอต่อศาลในการสั่งให้ประธานาธิบดีนิกสันมอบม้วนเทป ผู้พิพากษาจอห์น เจ.ซิริกา ตัดสินใจจะเป็นผู้ตวจสอบฟังม้วนเทปด้วยตนเอง และสังให้ประธานาธิบดีมอบม้วนเทปแก่ตน ประธานาธิบดีนิกสันไม่ยอมมอบม้วนเทปและอุทธรร์คำสั่ง แต่คณะผูพิพากษาสนับสนุนคำสั่งของผู้พิพากษาจอห์น เจ.ซิริกา
ในวันที่ 19 ตุลาคม 1973 ประธานาธิบดีนิกสันเสนอจะมอบม้วนเทปสรุปย่อการสนทนาแก่ อาร์ชิบอล คอตซ์ และคณะกรรมการธิการแห่งวุฒิสภาฯ อาร์ซิบอล คอดซ์ ปฏิเสธไม่รับม้วนเทปสรุปย่อด้วยเหตุผลใช้เป็นหลักฐานในศาลไม่ได้ต้องใช้ม้วนเทปดังเดิม ประธานาธิบดีนิกสันไม่พอใจในความเคร่งครัดจริงจังของอาร์ซิบอล คอตซ์ และใอนาจบริหารก้าวก่ายอำนาจตุลาการทันที โดยสังการในคืนต่อมา ในสามเรื่องคือ หนึงให้เอลไลออท ริชาร์ดสันออกจากการเป็นอธิบดีกรมอัยการ สองสั่งให้รองอธิบดีกรมอัยการปลดอร์ชิบอล คอดซ์ออกจากการเป็ฯอัยการพิเศษ และส่งอาร์ชิบอล คอตซ์ กลับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สามแต่งตั้งลี
ออง จาโวร์สกี้ คนของประธานาธิบดีนิกสันเป็ฯอัยการพิเศษแทนอาร์ชิบอล คอดซ์ คนอเมริกันเรียกคือวันที่ 20 ตุลาคม 1973 ว่าการฆาตกรรมหมู่คืนวันเสาร์ปี 1973 “The Saturday Night Massacre of 1973” คนอเมริกันประท้วงคัดค้านการกระทำที่ไม่ถูกต้องของประธานาธิบดีนิกสัน หนังสือพิมพ์และผู้สื่อข่าวกลาวโจมตีการก้าวก่ายอำนาจบริหารในอำนาจตุลาการ เปิดเผยรายละเอียดในประเด็นจำนวนเงินมหาศาลที่ใช้เพื่อการรณรงค์หาเสียงเพื่อการทำลายล้างคู่แข่งขันและปิดปากพยานถึงอ้างชื่อกลุ่มบุคคลที่มีส่วนร่วมในคดีวอเตอร์เกท สำหรับลีออง จาโวร์สกี มีความสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบรีบทวงม้วนเทปทันทีจากทำเนียบขาวเมื่อเขารับตำแหน่งอัยการพิเศษ สร้างความผิดหวังอย่างมากแก่ประธานาธิบดีนิกสัน
24 กรกฎาคม 1974 ศาลฎีกามีคำสั่งให้ประธานาธิบดีนิกสันมอบม้วนเทปแก่ผู้พิพากษาจอห์น เจ. ซิริกา ประธานาธิบดีนิกสันคงเพิกเฉย ปฏิเสธ นับจากเดื่อนตุลาคม 1973 คณะกรรมาธิการตุลาการแห่งสภาผู้แทนราษฎรร่วมพยายามเรียกร้องอย่างเป็นทางการเพื่อให้ประธานาธิบดีนิกสันมอบม้วนเทป แต่ประธานาธิบดีคงเพิกเฉยและปฏิเสธเช่นที่ผ่านมา เป็นผลให้ปลายเดือน กรกฎาคม 1974 คณะกรรมาธิการตุลาการแห่งสภาผู้แทนราษฎร มีมติยื่นฟ้องเพื่อการถอดถอน Impeachment ประธานาธิบดีนิกสันต่อวุฒิสภา ในข้อหาสามประการคือ หนึ่ง ขัดขวางขบวนการยุติธรรม ด้วยกาการปกปิดชื่อผู้วางแผนสั่งการและใช้เงินปิดปากพยานทำให้การสอบสวนเป็นไปอย่างล้าช้า สองใช้อำนาจประธานาธิบดี เกินขอบเขตด้วยการใช้อำนาจบริหารก้าวก่ายอำนาจตุลาการ สามไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ที่สั่งให้มอบม้วนเทป
ประธานาธิบดีนิกสันมอบม้วนเทปในวันที่ 5 สิงหาคม 1974 สาเหตุจากการทวงม้วนเทปของคณะกรรมาธิการแห่งวุฒิสภา ในเดือนกรกฎาคม ผู้พิพากษาศาลจอห์น เจ. ซิริกา สั่งมอบม้วนเทปในเดื่อน
สิงหาคม อัยการพิเศษลีออง จาโวร์สกียืนยันทวงม้วนเทปในเดือน ตุลาคม 1973 ศาลฎีกาสั่งมอบม้วนเทปในเดือนกรกฎาคม 1974 , คนอเมริกันโจมตีประธานาธิบดีนิกสันที่ก้าวก่ายอำนาจตุลาการและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล และปรธานาธิบดีนิกสันรู้มติในเดือน กรกฎาคม 1974 ของคณะกรรมาธิการตุลาการแห่งสภาผู้แทนราษฎร เป็นผลให้ในวันที่ 5 สิงหาคม 1974 ประธานาธิบดียอมมอบม้วนเทปแก่คณะผู้สอบสวน การสนทนาจากม้วนเทปยืนยันว่าประการแรกประธานาธิบดีนิกสันรู้เรื่องทุกอย่างของคดีวอเตอร์เกท เมื่อรู้เรื่องคดีวอเตอร์เกทเป็นเป็นอย่างดีแล้วประธานาธิบดีนิกสันปกป้องพรรคพวกไม่เปิดเผยชื่อ และปกปิดเรื่องเสแสร้งว่าไม่รู้ (ออกโทรทัศน์ในวันที่ 30 เมษายน 1973 บอกคนอเมริกันว่าจะพยายามหาข้อเท็จจริงและจะนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ) เป็นการหลอกลวงคนอเมริกัน ประการที่สองไม่มีข้อความการสนทนาตอนใดบ่งชี้ว่าประธานาธิบดีนิกสันร่วมวางแผนคดีวอเตอร์เกทในคือวันที่ 17 มิถุนายน 1972
ผลจากการฟังม้วนเทปต่อสถานภาพความเป็นประธานาธิดี ประการแรกคือวุฒิสมาชิกในวุฒิสภาเลิกให้การสนับสนุนประธานาธิบดีนิกสัน ประการที่สองบรรดาผู้นำรีพลับบลิกันทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรเตือนประธานาธิบดีนิกสันว่า ประธานาธิบดีต้องเผชิญกับการถูกฟ้องเพื่อการถอดถอน จากสภาผุ้แทนราษฎรและถูกถอดถอน จากวุฒิสภา ควรลาออกจากการเป็นประธานาธิบดีก่อนมีการฟ้องร้อง เพราะจะเป็นคดีอาณาต้องโทษจำคุกและจะไม่ได้รับเงินตอบแทนและสวัสดิการหลังการพ้นตำแหน่งประธานาธิบดี
ในวันที่ 7 สิงหาคม 1974 ประธานาธิบดีนิกสันบอกสมาชิกในครอบครัวถึงการจะลาออกจากการเป็นประธานาธิบดี ในวันที่ 8 สิงหาคม 1974 ประธานาธิบดีนิกสันออกโทรทัศน์บอกคนอเมริกันถึงความจำเป็นต้องลาออกจากการเป็นประธานาธิบดีเพราะขาดเสียงสนับสนุนทางการเมืองจากรัฐสภา และในเช้าวันที่ 9 สิงหาคม 1974 ประธานาธิบดีนิกสันลงนามลาออกจากการเป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ และในเวลาเที่ยงของวันที่ 9 สิงหาคม 1974 รองประธานาธิบดีเจอรัล อาร์.ฟอร์ด เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีลำดับที่ 38 ของสหรัฐอเมริกา
วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Japan(Cold war)
ตั้งแต่ปี 1960-1970 ในประเทศญี่ปุ่นเองมีเสียงเรียกร้องให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนนโยบายใหม่ คือ เลิกระบบพันธมิตรกับอเมริกา และดำเนินนโยบายเป็นกลาง ไม่แทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับสงครามเย็นอีกฝ่ายหนึ่งก็เห็นด้วยเพราะสำนึกผิดที่ญี่ปุ่นได้กระทำทารุณกรรมต่อจีนอย่างสาหัสสากรรจ์ กระนั้นประชาชนส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนพรรคเสรีประชาธิปไตย ซึ่งถือนโยบายพันธมิตรและรัฐบาลก็ยังยึดมั่นในพันธกรณีต่อโลกเสรีไม่เปลี่ยนแปลง ญี่ปุ่นได้แถลงการณ์ร่วมกับอเมริกาว่า “การธำรงรักษาสันติภาพละเสถียรภาพในบริเวณเกาะไต้หวันเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญยิ่งของการธำรงรักษาเสถียรภาพความมั่นคงของญี่ปุ่น” ความดังกล่าว โดยเนื้อแท้แล้ว จีนคอมมิวนิสต์ไม่อาจรวมไต้หวันได้เพราะมีมหาอำนาจอเมริกาขัดขวงาอยู่การที่ญี่ปุ่นร่วมแถลงการณ์ว่าจะช่ยรักษาเอกราชยองไต้หวันย่อมจะทำให้จีนคอมมิวนิสต์ไม่พอใจทั้งนี่ญี่ปุ่นยังได้รับยอมรับโดยประยายว่า รัฐบาลจีนที่ไต้หวันเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายของจีนอยู่
โดยเหตุดังกล่าวดังนี้ จะเห็นได้ว่า ญี่ปุ่นจะเปิดสัมพันธภาพทางการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์ได้ยาก จีนคอมมิวนิสต์ยังคงตราหน้าญี่ปุ่นว่า เป็นชาตินิยมลัทธิทหาร ชอบตามหลังอเมริกา และเริ่มไม่สบายใจที่ญี่ปุ่นมีทีท่าว่าจะมัสัมพันธ์ภาพอันดีกับรัสเซียศัตรูหมายเลขหนึ่งของตน ส่วนญี่ปุ่นเองก็มองเห็นอุปสรรคมากมายที่จะเปิดการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์
เสียงเรียกร้องในญี่ปุ่นให้เปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศต่อจีนและอเมริกาเร่มหนาหูขึ้นเนื่องจากความบาดหมางกันทางการค้าระหว่างญี่ปุ่นและอเมริกาตั้งแต่ปี 1970 รัฐบาลทั้งสองพยายามหาหนทางแก้ปัญหาดุลการค้า แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะต่างฝ่ายต่างยืนกรานในหลักการทีอีกฝ่ายปฏิบัติไม่ได้ ความบาดหมางนี้ในวงการเศรษฐกิจทั่วโลกมองไปในแง่ที่ว่าทังสองมหาอำนาจได้เปิดฉากสงครามเศรษฐกิจ กันแล้ว การเจรจาเรื่องค้าผ้าหยุดชงักหลายครั้ง อเมริกาเรียกร้องให้ญี่ปุ่นหยุดส่งผ้าเป็ฯสินค้าออกไปอเมริกา 5 ปี ญี่ปุ่นทำตามไม่ได้ เลยต้องต่อรองเรื่องกำหนดเวลา แม้ว่าจะเจรจาไม่สำเร็จและวงการอุตสาหกรรมผ้าในญี่ปุ่นจะพออกพอใจนัก ความล้มเหลวในการเจรจานี้ส่งผลไปถึงความบาดหมางระหว่างประเทศ ความบาดหมางนี้ยังทวีขึ้นอีกเมื่อเกี่ยวพันไปถึงปัญหาเรื้อรังของญี่ปุ่นคือเรื่องเกะโอกินาวา ญี่ปุ่นเรียกร้องให้อเมริกาถอนทัพและคืนเกาะนี้ให้ญี่ปุ่น แต่อเมริกาหน่วงเหนี่ยวไว้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับอเมริกานี้ทำให้ฐานะของรัฐบาลโดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น นายซาโตะ ทรุดหนักและสั่นคลอนไปด้วย
นอกจากปัญหาการค้าขายแล้ว ญี่ปุ่นยังต้องประสบปัญานโยบายจีนในปี 1970 ญี่ปุ่นมีทีท่ามากพอใช้ที่จะพิจารณาเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์ ทางฝ่ายกระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่นได้กล่าวเป็นนัยหลายครั้งว่า ญี่ปุ่นพร้อมที่จะเปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการกับจีนคอมมิวนิสต์ นายซาโตะ เคยปราระว่า อยากเปิดการทูตกับจีนที่ปักกิ่งและที่ไต้หวัน ญี่ปุ่นรู้ตัวดีว่า การเจรจากับจีนแดงนั้นคงยาก เพราะญี่ปุ่นต้องคำนึงถึงสัมพันธภาพระหว่างญี่ปุ่นกับไต้หวันและกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นยังต้องยืนกรานในนโยบายเดิมของตน และยังได้พูดถึงสัจิภาพและเสถียรภาพของเอเซียตะวันออกว่า ถ้าองค์การสหประชาชาติพิจารณากับจีนคอมมิวนิสต์เป็นสมาชิก ควรใช้ระบบสองในสามในการลงคะแนนตัดสินวินิจฉัย ซึ่งจีนคอมมิวนิสต์ไม่พอใจมาก
ปัญหาจีนทำให้วงการเมืองญี่ปุ่นสั่นคลอนมากขึ้น ในปี 1971 มีการถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์มากว่า ญีปุ่นจะยอมเป็นชาติสุดท้ายในโลกที่จะมีการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์หรือ..ญี่ปุ่นควรเลือกนดยบายและวิถีทางใดในการติดต่อกับจีนคอมมิวนิสต์ จะรับรองทั้งจีนคอมมิวนิสต์และจีนที่ไต้หวัน ที่เรียกว่านโยบายสองจีน หรือจะรับรองเพียงชาติเดียว คือ ไม่จีนคอมมิวนิสต์ ก็ จีนไต้หวัน และหรือ จะติดต่อกับจีนคอมมิวนิสต์วิธีใดโดยมิให้จีนไต้หวันโกรธเคือง ที่เป็นปัญหาเช่นนี้เพราะทั้งจีนคอมมิวนิสต์และจีนไต้หวัน ต่างก็อ้างว่าตนเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎกมายของจีนญี่ปุ่นเองก็รับรองจีนที่ไต้หวัน ปัญหายังยุ่งยากซับซ้อนขึ้นอีก เนืองจากญี่ปุ่นมีผลประโยชน์ทางการค้ากับจีนคอมมิวนิสต์และจีนที่ไต้หวัน ญี่ปุ่นไม่อาจจะตัดสินใจอะไรได้มากนักในปัญหาจีน ดังที่นาย ซาโตะ ได้ยอมรับว่า “ญี่ปุ่นไม่มีการทูต(กับจีนคอมมิวนิสต์)จนกว่าเราจะแก้ปัญหาจีนได้ก่อน”
ต้นปี 1971 ญี่ป่นต้องการให้สหรประชาชาติพิจารณาเรื่องการลงคะแนนตัดสินขับไล่ไต้หวัยอออกจากการเป็นสมาชิก และเรื่องรับจีนคอมมิวนิสต์เป็นสมาชิกเป็นประเด็นสำคัญญี่ปุ่นจะถือหลักไม่เข้าแทรกแซงในกรณีทั้งสองนี้ โดยไม่ออกเสียงลงคะแนน แสดงว่าญี่ปุนถือนโยบาย 2 จีน ต้องการให้จีนคอมมิวนิสต์และจีนชาติเป็นสมาชิกสหประชาชาติ ในขณะที่ญี่ปุ่นออกความเห็นเป็ฯทางการไว้เช่นนี้ ญี่ปุ่นก็เริ่มทาบทามจีนคอมมิวนิสต์ รัฐมนตรีต่างชาติญี่ปุ่น นายเอชิ กิชิ เปิดเผยว่า ญี่ปุ่นเต็มใจที่จะพูดกับจีนคอมมิวนิสต์แต่จะทำได้อย่างไร ญี่ปุ่นเองต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวพันไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนที่ไต้หวัน รวมทั้งการที่ญี่ปุ่นต้องคำนึงถึงการเมืองระหว่างประเทศ กล่าวคือ ญี่ปุ่นต้องปรึกษาพันธมิตรของตนก่อนได้แก่อเมริกาและเอเซียอาคเนย์
เมื่อมีเสียงเรียกร้องให้ญี่ปุ่นปรับปรุงหรือเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศ นายซาโตะ จึงได้แต่กล่าวเตือนผู้เรียกร้องเช่นนั้นให้พิจารณาใคร่ครวญถึงผลประโยชน์ของชาติและความผูกพันที่ญี่ป่นมีต่อชาติอื่น รัฐบาลขอร้องให้ญี่ปุ่นใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการแก้ปัญหาจีนมิให้กระทบกระเทือนถึงเกียรติภูมิญี่ป่น การเมืองระหว่างประเทศและผลประโยชน์ของชาติ ความค้องการที่จะแก้ปัญหาจีนนี้มีผู้วิจารณ์ไว้ว่า การกระทำของรัฐบาลนายซาโตะนี้ได้ถูกบั่นทอนไประหว่างการตัดสินใจต้องการจะเปิดการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์ และการที่ต้องยอมรับความจริงคือสถานการณ์โดยสิ่งแวดล้อม
ทางจีนคอมมิวนิสต์เองได้สร้างอุปสรรคด้วยการเรียกร้องให้ญี่ปุ่นทำตามกติกาเบื้องตนของตนก่อน กติกาเหล่านี้ล้วนเป็นข้อเรียกร้องที่ญี่ปุ่นทำตามได้ยากเต็มที กติกาเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ที่สำคัญคือ ญี่ปุ่นต้องยอมรับว่าตนกำลังฟื้นฟูลัทธนิยมทหารคือสร้างกำลังแสนยานุภาพ และจีนต้องการให้ญี่ปุ่นยกเลิกสัญญาสันติภาพกับไต้หวัน
ถึงกระนั้น ความเคลื่อนไหวเพื่อเปิดการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์ก็ปรากฎขึ้นในปี 1971 รัฐบาลญี่ปุ่นตัวแทนเจรจาการค้ากับจีนคอมมิวนิสต์ จุดประสงค์คือการหาลู่ทางและดูท่าทีของฝ่ายจีนคอมมิวนิสต์ว่าคิดหรือมีทีท่าต่อญี่ปุ่นอย่างไร ความเคลื่อนไหวอีกประการหนึ่งคือ สมาชิกสภาผู้แทนสังกัดพรรครัฐบาล 20 คนเดินทางไปไต้หวันเพื่อดูท่าทีไต้หวัน ความเตื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นในระยะที่มีกาวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาจีนกับญี่ปุ่นมากขึ้น อันสืบเนื่องมาจากการที่จีนคอมมิวนิสต์และอเมริกาใช้กีฬาเป็นสื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ ที่เรียกว่า ปิงปองการทูต ชาวญี่ปุ่นวิตกว่ามหาอำนาจทั้งสองอาจจะมีข้อตกลงบางประการที่ขัดผลประโยชน์ของญี่ปุ่น
แม้จะมีแรงผลักดันและการเรียกร้องมากมายเพียงใด ก็ไม่อาจจะทำให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงนดยบายได้ รัฐบาลเรียกร้องให้ชาวญี่ปุ่นถือนโยบายรอดูท่าที กล่าวคือ ญี่ปุ่นควรรอจังหวะเหมาะก่อน ที่ญี่ปุ่นใช้นโยบายนี้เพราะต้องการเวลาพิจารณาปัญหาจีนให้ถ่องแท้และระมัดระวังมากกว่านี้ ไม่ต้องการเร่งรัดแก้ปัญหาทั้งญี่ปุ่นต้องการรอดูท่าทีของอเมริกาว่าจะดำเนินนโยบายติดต่อกับจีนคอมิวนิสต์ก้าวหน้าเพียงใดเพื่อจะได้ใช้เป็นข้อมมูลพิจารณาปรับปรุงที่ของตนต่อจีนคอมมิวนิสต์ได้ถูกต้อง เป็นการดำเนินนโยบายสอดคล้องกับอเมริกา ด้วยหาหลักากรดีไม่ได้ การใช้นโยบายรอดูก่อนจึงเป็นหารเหมาะสมสำหรับระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงนโยบาย
โดยเหตุดังกล่าวดังนี้ จะเห็นได้ว่า ญี่ปุ่นจะเปิดสัมพันธภาพทางการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์ได้ยาก จีนคอมมิวนิสต์ยังคงตราหน้าญี่ปุ่นว่า เป็นชาตินิยมลัทธิทหาร ชอบตามหลังอเมริกา และเริ่มไม่สบายใจที่ญี่ปุ่นมีทีท่าว่าจะมัสัมพันธ์ภาพอันดีกับรัสเซียศัตรูหมายเลขหนึ่งของตน ส่วนญี่ปุ่นเองก็มองเห็นอุปสรรคมากมายที่จะเปิดการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์
เสียงเรียกร้องในญี่ปุ่นให้เปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศต่อจีนและอเมริกาเร่มหนาหูขึ้นเนื่องจากความบาดหมางกันทางการค้าระหว่างญี่ปุ่นและอเมริกาตั้งแต่ปี 1970 รัฐบาลทั้งสองพยายามหาหนทางแก้ปัญหาดุลการค้า แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะต่างฝ่ายต่างยืนกรานในหลักการทีอีกฝ่ายปฏิบัติไม่ได้ ความบาดหมางนี้ในวงการเศรษฐกิจทั่วโลกมองไปในแง่ที่ว่าทังสองมหาอำนาจได้เปิดฉากสงครามเศรษฐกิจ กันแล้ว การเจรจาเรื่องค้าผ้าหยุดชงักหลายครั้ง อเมริกาเรียกร้องให้ญี่ปุ่นหยุดส่งผ้าเป็ฯสินค้าออกไปอเมริกา 5 ปี ญี่ปุ่นทำตามไม่ได้ เลยต้องต่อรองเรื่องกำหนดเวลา แม้ว่าจะเจรจาไม่สำเร็จและวงการอุตสาหกรรมผ้าในญี่ปุ่นจะพออกพอใจนัก ความล้มเหลวในการเจรจานี้ส่งผลไปถึงความบาดหมางระหว่างประเทศ ความบาดหมางนี้ยังทวีขึ้นอีกเมื่อเกี่ยวพันไปถึงปัญหาเรื้อรังของญี่ปุ่นคือเรื่องเกะโอกินาวา ญี่ปุ่นเรียกร้องให้อเมริกาถอนทัพและคืนเกาะนี้ให้ญี่ปุ่น แต่อเมริกาหน่วงเหนี่ยวไว้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับอเมริกานี้ทำให้ฐานะของรัฐบาลโดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น นายซาโตะ ทรุดหนักและสั่นคลอนไปด้วย
นอกจากปัญหาการค้าขายแล้ว ญี่ปุ่นยังต้องประสบปัญานโยบายจีนในปี 1970 ญี่ปุ่นมีทีท่ามากพอใช้ที่จะพิจารณาเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์ ทางฝ่ายกระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่นได้กล่าวเป็นนัยหลายครั้งว่า ญี่ปุ่นพร้อมที่จะเปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการกับจีนคอมมิวนิสต์ นายซาโตะ เคยปราระว่า อยากเปิดการทูตกับจีนที่ปักกิ่งและที่ไต้หวัน ญี่ปุ่นรู้ตัวดีว่า การเจรจากับจีนแดงนั้นคงยาก เพราะญี่ปุ่นต้องคำนึงถึงสัมพันธภาพระหว่างญี่ปุ่นกับไต้หวันและกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นยังต้องยืนกรานในนโยบายเดิมของตน และยังได้พูดถึงสัจิภาพและเสถียรภาพของเอเซียตะวันออกว่า ถ้าองค์การสหประชาชาติพิจารณากับจีนคอมมิวนิสต์เป็นสมาชิก ควรใช้ระบบสองในสามในการลงคะแนนตัดสินวินิจฉัย ซึ่งจีนคอมมิวนิสต์ไม่พอใจมาก
ปัญหาจีนทำให้วงการเมืองญี่ปุ่นสั่นคลอนมากขึ้น ในปี 1971 มีการถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์มากว่า ญีปุ่นจะยอมเป็นชาติสุดท้ายในโลกที่จะมีการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์หรือ..ญี่ปุ่นควรเลือกนดยบายและวิถีทางใดในการติดต่อกับจีนคอมมิวนิสต์ จะรับรองทั้งจีนคอมมิวนิสต์และจีนที่ไต้หวัน ที่เรียกว่านโยบายสองจีน หรือจะรับรองเพียงชาติเดียว คือ ไม่จีนคอมมิวนิสต์ ก็ จีนไต้หวัน และหรือ จะติดต่อกับจีนคอมมิวนิสต์วิธีใดโดยมิให้จีนไต้หวันโกรธเคือง ที่เป็นปัญหาเช่นนี้เพราะทั้งจีนคอมมิวนิสต์และจีนไต้หวัน ต่างก็อ้างว่าตนเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎกมายของจีนญี่ปุ่นเองก็รับรองจีนที่ไต้หวัน ปัญหายังยุ่งยากซับซ้อนขึ้นอีก เนืองจากญี่ปุ่นมีผลประโยชน์ทางการค้ากับจีนคอมมิวนิสต์และจีนที่ไต้หวัน ญี่ปุ่นไม่อาจจะตัดสินใจอะไรได้มากนักในปัญหาจีน ดังที่นาย ซาโตะ ได้ยอมรับว่า “ญี่ปุ่นไม่มีการทูต(กับจีนคอมมิวนิสต์)จนกว่าเราจะแก้ปัญหาจีนได้ก่อน”
ต้นปี 1971 ญี่ป่นต้องการให้สหรประชาชาติพิจารณาเรื่องการลงคะแนนตัดสินขับไล่ไต้หวัยอออกจากการเป็นสมาชิก และเรื่องรับจีนคอมมิวนิสต์เป็นสมาชิกเป็นประเด็นสำคัญญี่ปุ่นจะถือหลักไม่เข้าแทรกแซงในกรณีทั้งสองนี้ โดยไม่ออกเสียงลงคะแนน แสดงว่าญี่ปุนถือนโยบาย 2 จีน ต้องการให้จีนคอมมิวนิสต์และจีนชาติเป็นสมาชิกสหประชาชาติ ในขณะที่ญี่ปุ่นออกความเห็นเป็ฯทางการไว้เช่นนี้ ญี่ปุ่นก็เริ่มทาบทามจีนคอมมิวนิสต์ รัฐมนตรีต่างชาติญี่ปุ่น นายเอชิ กิชิ เปิดเผยว่า ญี่ปุ่นเต็มใจที่จะพูดกับจีนคอมมิวนิสต์แต่จะทำได้อย่างไร ญี่ปุ่นเองต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวพันไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนที่ไต้หวัน รวมทั้งการที่ญี่ปุ่นต้องคำนึงถึงการเมืองระหว่างประเทศ กล่าวคือ ญี่ปุ่นต้องปรึกษาพันธมิตรของตนก่อนได้แก่อเมริกาและเอเซียอาคเนย์
เมื่อมีเสียงเรียกร้องให้ญี่ปุ่นปรับปรุงหรือเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศ นายซาโตะ จึงได้แต่กล่าวเตือนผู้เรียกร้องเช่นนั้นให้พิจารณาใคร่ครวญถึงผลประโยชน์ของชาติและความผูกพันที่ญี่ป่นมีต่อชาติอื่น รัฐบาลขอร้องให้ญี่ปุ่นใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการแก้ปัญหาจีนมิให้กระทบกระเทือนถึงเกียรติภูมิญี่ป่น การเมืองระหว่างประเทศและผลประโยชน์ของชาติ ความค้องการที่จะแก้ปัญหาจีนนี้มีผู้วิจารณ์ไว้ว่า การกระทำของรัฐบาลนายซาโตะนี้ได้ถูกบั่นทอนไประหว่างการตัดสินใจต้องการจะเปิดการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์ และการที่ต้องยอมรับความจริงคือสถานการณ์โดยสิ่งแวดล้อม
ทางจีนคอมมิวนิสต์เองได้สร้างอุปสรรคด้วยการเรียกร้องให้ญี่ปุ่นทำตามกติกาเบื้องตนของตนก่อน กติกาเหล่านี้ล้วนเป็นข้อเรียกร้องที่ญี่ปุ่นทำตามได้ยากเต็มที กติกาเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ที่สำคัญคือ ญี่ปุ่นต้องยอมรับว่าตนกำลังฟื้นฟูลัทธนิยมทหารคือสร้างกำลังแสนยานุภาพ และจีนต้องการให้ญี่ปุ่นยกเลิกสัญญาสันติภาพกับไต้หวัน
ถึงกระนั้น ความเคลื่อนไหวเพื่อเปิดการทูตกับจีนคอมมิวนิสต์ก็ปรากฎขึ้นในปี 1971 รัฐบาลญี่ปุ่นตัวแทนเจรจาการค้ากับจีนคอมมิวนิสต์ จุดประสงค์คือการหาลู่ทางและดูท่าทีของฝ่ายจีนคอมมิวนิสต์ว่าคิดหรือมีทีท่าต่อญี่ปุ่นอย่างไร ความเคลื่อนไหวอีกประการหนึ่งคือ สมาชิกสภาผู้แทนสังกัดพรรครัฐบาล 20 คนเดินทางไปไต้หวันเพื่อดูท่าทีไต้หวัน ความเตื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นในระยะที่มีกาวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาจีนกับญี่ปุ่นมากขึ้น อันสืบเนื่องมาจากการที่จีนคอมมิวนิสต์และอเมริกาใช้กีฬาเป็นสื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ ที่เรียกว่า ปิงปองการทูต ชาวญี่ปุ่นวิตกว่ามหาอำนาจทั้งสองอาจจะมีข้อตกลงบางประการที่ขัดผลประโยชน์ของญี่ปุ่น
แม้จะมีแรงผลักดันและการเรียกร้องมากมายเพียงใด ก็ไม่อาจจะทำให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงนดยบายได้ รัฐบาลเรียกร้องให้ชาวญี่ปุ่นถือนโยบายรอดูท่าที กล่าวคือ ญี่ปุ่นควรรอจังหวะเหมาะก่อน ที่ญี่ปุ่นใช้นโยบายนี้เพราะต้องการเวลาพิจารณาปัญหาจีนให้ถ่องแท้และระมัดระวังมากกว่านี้ ไม่ต้องการเร่งรัดแก้ปัญหาทั้งญี่ปุ่นต้องการรอดูท่าทีของอเมริกาว่าจะดำเนินนโยบายติดต่อกับจีนคอมิวนิสต์ก้าวหน้าเพียงใดเพื่อจะได้ใช้เป็นข้อมมูลพิจารณาปรับปรุงที่ของตนต่อจีนคอมมิวนิสต์ได้ถูกต้อง เป็นการดำเนินนโยบายสอดคล้องกับอเมริกา ด้วยหาหลักากรดีไม่ได้ การใช้นโยบายรอดูก่อนจึงเป็นหารเหมาะสมสำหรับระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงนโยบาย
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
World Political(Cold War)
สัมพันธ์ภาพสามเส้าระหว่างจีน รุสเซียและสหรัฐอเมริกาเป็นปัจจัยมที่สำคัญของการเมืองโลกาในช่วงสงครามเย็น ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจาก สงครามเวียดนาม วิกฤติการณ์เชโกสโลวะเกีย และกรณีพิพาทระหว่างจีนและรัสเซียทวีความซับซ้อนมากขึ้นตามลำดับ
รุสเซียมีเหตุต้องกังวลสองประการ คือ สัมพันธภาพระหว่างตนกับยุโรป และระหว่างตนกับตะวันออกกลาง นับวันสัมพันธภาพกับสองภูมิภาคนั้นได้ทำให้รุสเซียบังเกิดความยากลำบากมากขึ้นในการดำเนินนธยบายที่จะแทรกแซงโดยไม่ต้องการเผชิญหน้ากับสหรัฐอเมริกา การรณรงค์พิทะษ์ลัทธิคอมมิวนิสต์และการแสวงหาอำนาจอิทธิพลในตะวันออกกลางสิ้นเปลืองมากสำหรับรุสเซีย และเสี่ยงต่อการก่อสงครามมากรุสเซียตั้งแต่ ค.ศ.1968 มีจุดประสงค์แน่วแน่ที่จะตึงพลังวกำลังของตนในโลกคอมมิวนิสต์มิให้แตกแยกมากขึ้นและแสวงหาอำนาจอิทธพลใรตะวันออกกลางและโลกที่สาม แต่ปัญหาดูจะมีอยู่ว่า รุสเซียจะดำเนินนโยบายอยู่ร่วมกับสหรัฐแมริกาและจีนโดยสันติด้วยมาตรการใดสัมพันธภาพระหว่างจีนกับรุสเซีย และระว่างรุสเซียกับสหรัฐอเมริกาจะแยกความสำคัญออกจากกันมิได้อย่งเด่นชัด รุสเซียเพร้อมที่จะเจรจากับทั้งสองประเทศ แต่จักยืนหยัดในควารมเป็นหนึ่งไม่อ่อนแดด้วยเหตุที่มีปัญหาเดือดร้อนนโลฃกคอมิวนิสต์
รุสเซียจำเป็นต้องผ่อนคลายความตรึงเครียดกับสหรัฐอเมริกาด้วยเหตุหลายประการโดยประวัติศาสตร์และว ต่างไม่เคยเป็นปฏิปักษ์กระทำศึกสงครามต่อกันโดยตรง ไม่มีพรมแดนประชิดกันอันจะก่อเกิดกรณีพิพาทชายแดน ต่างก็มี “หัวอกเดียวกัน” คือ ประสบปัญหาการปกครองค่ายของตนที่แตกแยกและมหามิตรของตน “แปรพักตร์” ต่างก็เผชิญกับความจริงที่ว่า อาวุธนิวเคลียร์มีประสทิธิภาพสูงสุดในการทำลายล้างมวลมนุษยชาติ ทั้งสองฝ่ายมีจุดประสงค์ป้องปรามสงครามนิวเคลียร์มิหใกดขึ้น ต่างก็มีเสถียรภาพความมั่นคงในด้านอาวุธยิทูศาสตร์ และต่างก็ตระหนักดีถึงคุณประโยชน์อันจำกัดของอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งสองอภิมหาอำนาจจึงเป็นประโยชน์จากการที่จะร่วมมือกันมากกว่าเผชิญหน้ากันซึ่งจะไม่ก่อเกิดผลประโยชน์อันใดแก่ฝ่ายใด อีกประการหนึ่ง สถานการร์โลกโดยเฉพาะในโลกที่สามได้ก่อเกิดการเสี่ยงที่จะต้องเผชิญหน้ากันสามฝ่าย คือ จีน รุสเซีย
และสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศที่เกิดใหม่ล้วนมุ่งพัฒนาประเทศในลักษณะหวังผลประโยชน์จากทั้งโลกคอมมิวนิสต์และโลกเสรี อภิมหาอำนาจต้องระมัดระวังมากในการปฏิบัติต่อโลกที่สามให้สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ แม้แต่ในโลกเสรีและโลกคอมมิวนิสต์เองก็มิได้มีนโยบายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะแต่ละฝ่ายมีความแตกแยกภายในและแข่งขันกันสร้างอิทธพลภายในโลกที่สามด้วย ยิ่งกว่านั้นฐานะอำนาจของรุสเซยในการเผชิญหน้าจีนไม่เข้มแข็งมั่นคงเท่าที่ควร เพราะต้องระมัดระวังสัมพันธภาพกับสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตกด้วย ภัยจีนเร่มคุกคามรุสเซียมาก จนรุสเซียจำเป็นต้องดำเนินนโยบายสมานฉันท์กับสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตกเพื่อจะใช้มาตรการเด็ดขาดกับจีนได้สะดวกขึ้น
รุสเซียมีเหตุต้องกังวลสองประการ คือ สัมพันธภาพระหว่างตนกับยุโรป และระหว่างตนกับตะวันออกกลาง นับวันสัมพันธภาพกับสองภูมิภาคนั้นได้ทำให้รุสเซียบังเกิดความยากลำบากมากขึ้นในการดำเนินนธยบายที่จะแทรกแซงโดยไม่ต้องการเผชิญหน้ากับสหรัฐอเมริกา การรณรงค์พิทะษ์ลัทธิคอมมิวนิสต์และการแสวงหาอำนาจอิทธิพลในตะวันออกกลางสิ้นเปลืองมากสำหรับรุสเซีย และเสี่ยงต่อการก่อสงครามมากรุสเซียตั้งแต่ ค.ศ.1968 มีจุดประสงค์แน่วแน่ที่จะตึงพลังวกำลังของตนในโลกคอมมิวนิสต์มิให้แตกแยกมากขึ้นและแสวงหาอำนาจอิทธพลใรตะวันออกกลางและโลกที่สาม แต่ปัญหาดูจะมีอยู่ว่า รุสเซียจะดำเนินนโยบายอยู่ร่วมกับสหรัฐแมริกาและจีนโดยสันติด้วยมาตรการใดสัมพันธภาพระหว่างจีนกับรุสเซีย และระว่างรุสเซียกับสหรัฐอเมริกาจะแยกความสำคัญออกจากกันมิได้อย่งเด่นชัด รุสเซียเพร้อมที่จะเจรจากับทั้งสองประเทศ แต่จักยืนหยัดในควารมเป็นหนึ่งไม่อ่อนแดด้วยเหตุที่มีปัญหาเดือดร้อนนโลฃกคอมิวนิสต์
รุสเซียจำเป็นต้องผ่อนคลายความตรึงเครียดกับสหรัฐอเมริกาด้วยเหตุหลายประการโดยประวัติศาสตร์และว ต่างไม่เคยเป็นปฏิปักษ์กระทำศึกสงครามต่อกันโดยตรง ไม่มีพรมแดนประชิดกันอันจะก่อเกิดกรณีพิพาทชายแดน ต่างก็มี “หัวอกเดียวกัน” คือ ประสบปัญหาการปกครองค่ายของตนที่แตกแยกและมหามิตรของตน “แปรพักตร์” ต่างก็เผชิญกับความจริงที่ว่า อาวุธนิวเคลียร์มีประสทิธิภาพสูงสุดในการทำลายล้างมวลมนุษยชาติ ทั้งสองฝ่ายมีจุดประสงค์ป้องปรามสงครามนิวเคลียร์มิหใกดขึ้น ต่างก็มีเสถียรภาพความมั่นคงในด้านอาวุธยิทูศาสตร์ และต่างก็ตระหนักดีถึงคุณประโยชน์อันจำกัดของอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งสองอภิมหาอำนาจจึงเป็นประโยชน์จากการที่จะร่วมมือกันมากกว่าเผชิญหน้ากันซึ่งจะไม่ก่อเกิดผลประโยชน์อันใดแก่ฝ่ายใด อีกประการหนึ่ง สถานการร์โลกโดยเฉพาะในโลกที่สามได้ก่อเกิดการเสี่ยงที่จะต้องเผชิญหน้ากันสามฝ่าย คือ จีน รุสเซีย
และสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศที่เกิดใหม่ล้วนมุ่งพัฒนาประเทศในลักษณะหวังผลประโยชน์จากทั้งโลกคอมมิวนิสต์และโลกเสรี อภิมหาอำนาจต้องระมัดระวังมากในการปฏิบัติต่อโลกที่สามให้สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ แม้แต่ในโลกเสรีและโลกคอมมิวนิสต์เองก็มิได้มีนโยบายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะแต่ละฝ่ายมีความแตกแยกภายในและแข่งขันกันสร้างอิทธพลภายในโลกที่สามด้วย ยิ่งกว่านั้นฐานะอำนาจของรุสเซยในการเผชิญหน้าจีนไม่เข้มแข็งมั่นคงเท่าที่ควร เพราะต้องระมัดระวังสัมพันธภาพกับสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตกด้วย ภัยจีนเร่มคุกคามรุสเซียมาก จนรุสเซียจำเป็นต้องดำเนินนโยบายสมานฉันท์กับสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตกเพื่อจะใช้มาตรการเด็ดขาดกับจีนได้สะดวกขึ้น
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
Leonid Brezhnev
รุสเซียภายใต้คณะผู้นำใหม่ประกอบอ้วยบุคคลสำคัญคือ เลโอนิค เบรสเนฟ เลขาธิการพรรค,อเล็กซีโคลซีกิน นายกรัฐมนตรี, นิโคลัย พอดโกนี ประมุขแห่งรัฐ และมิคาอิล ซุสลอฟ ผู้ประสานงานสัมพันธภาพระหว่างรุสเซียกับพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลก
รุสเซียภายใต้การนำโดยหมู่คณะต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ครุสเชฟได้ใช้วิธีค่อนข้างเสียงท้าทายโลกเสรีเกิดความจำเป็น เช่นในกรณีอเบอร์ลินและวิกฤติการณ์คิวบา คณะผู้นใหม่ตระหนักว่า การข่มขู่ใช้กำลังอาวุธก็ดี แสดงตนเผชิญหน้าก็ดี หรือการแสดงทีทาเสี่ยงก้าวร้าวรุกรานก็ดี ล้วนเป็นวิธีการที่ไม่ความเสียงในภาวะที่รุเซียเองไม่อยู่ในฐานะพร้อมที่จะรบหรือเผชิญหน้าอี เพราะสถานกาณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว และสำคัญที่สุดคือ ดุลยภาพแห่งอำนาจโลกได้เปลี่ยนแปลง โดยเหตุที่จีนและฝรั่งเศสกลายเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์แล้ว โลกที่สามกำลังเพิ่มจำนวนสมาชิกมากขึ้น เป็นพลังที่รุสเซียควรสนใจหาเสียทาบทามเป็นมิตรมากกว่าก่อศัตรู โลกก้าวสู่วันเวลาที่รุสเซียและสหรัฐสิ้นสุดอำนาจเผด็จการบงการโลกดังที่เคยกระทำ และ อาวุธนิวเคลียร์สร้างอันดับฐานะทางการเมืองได้ผล แต่ไม่อาจจะทำให้รุสเซียแผ่ขยายอำนาจอิทธิพลไปทั่วโลก เพราะอีกฝ่ายก็มีอาวุธเช่นกัน ประการสุดท้าย ปัญหาในโลกคอมมิวนิสต์เอง ความซับซ้อนที่ทวีขึ้นในวิกฤติการณ์อินโดจีน ความสัมพันธ์ระหว่างรุสเซียและจีนที่มีลักษณะซับซ้อน สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุรุสเซยต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเจริญสัมพันธไมตรีกับโลกเสรี โลกคอมมิวนิสต์และโลกที่สาม
คณะผู้นำใหม่แสดงเจตจำนงที่จะดำเนินนโยบายอยู่ร่วมกันโดยสันติดังเดิม เพียงแต่จำเป็นจ้องเปลี่ยนวิธีที่จะดำเนินนโยบายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป ผุ้นำคณะใหม่ปรับปรุงวิธีการโดยลดระดับการเสี่ยงท้าทายฝ่ายตรงข้าม แสดงพร้อมที่จะอยู่ร่วมกันโดยสันติ อำพรางเจตนารมณ์ที่แท้จริง และแสวงหาโอกาสจังหวะเหมาะที่จะขยายอำนาจอิทธิพล ระเซียเลิกใช้วิธีการข่มขู่โดยอาวุธนิวเครียทางการทูต
นโยบายต่อโลกคอมมิวนิสต์เปลี่ยแปลงไปภายใต้คณะผุ้นำใหม่ นโยบายต่อโลกคอมมิวนิสต์มิได้เปลี่ยนแปลงเท่าใดดังที่คาดหวัง ความสัมพันธ์กับรฐคอมมิวนิสต์ยังคงเหมือนเดิม โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับจีน
ทันที่ฝ่ายนรุสเซียมีการเปลี่ยนผู้นำ พรรคจีนคอมมิวนิสต์ได้จับตามองอย่างใกล้ชิดเป็นที่รู้กันอยู่ว่า กาเปลี่ยนผู้นำในรุสเซียอาจจมีผลทำให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้ามาคืนดีกันได้อีก รุสเซียแสดงทีท่าเป็ฯมิตรต่อจีนอย่างออนนอกหน้า อนาคตของจีนจึงควรจะสดในเป็นอย่างยิ่งเพราะคู่ปฏิปักษ์คือครุสเชฟก็หมดอำนาจไปแล้ว จีนแสดงคามกระตือรือร้นที่จะฟื้นผู่สัมพันธภาพอันดีงานกับรุสเซีย จู เอนไล ได้นำคณะผุ้แทนจีนเข้าร่วมฉลองวันครบรอบปีแป่งการปฏิวัติ ณ มอสโก เป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรี แสดงท่าที่ว่าจีนมีความเป็นมิตรต่อผุ้นำใหม่รุสเซีย ในขณะเดียวกัน ย่อมเป็นที่แน่นอนใจได้ว่า จีนต้องการจะหยั่งท่าทีของรุสเซียจากสุนทรพจน์ของนายเบรสเนฟเองด้วย จีนคาดว่าคงมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงนโยบายต่างประเทศไปในแนวที่จีน้องประสงค์บ้าง
จีนรู้สึกผิดหวังกัยถ้อยแถลงการณ์ของ เบรสเนฟ ซึ่งมิได้ให้ความหว้งมากมายแก่จีนเพีงแสดงทีท่าว่าต้องการเจรจาฟื้นฟูความสัมพันธ์อันดีกับจีน และยินดีให้ความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจและทหาร ที่สำคัญ รุสเซียเสนอให้จัดการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลก รุสเซียหวังอย่างเดียวที่จะให้จีนเป็นพ้องกับนโยบายทั่วไปของตน ต้องการให้จีนเป็ฯมิตรกับผู้นำใหม่บ้างและต้องการขอร้องจีนมิให้ยุแยงบรรดาพรรคคอมมิวนิสต์ให้แตกความสามัคคี
ข้อเสนอและท่าทีของรุสเซียก่อให้เกิดความขัดแย้งในชนชั้นผุ้นำของจีนมีบางคนเห็นควรรับไม่ตรีรุสเซียและรับข้องเสนอบางส่วน แต่ เมา เช ตุง ปฎิเสธข้อเสนอโดยถือว่าเป็นนโยบายของครุสเชฟ ซึ่งมีแนวโน้มไปสู่การปรองดองกับโลกเสรีและพัฒนาประเทศไปสู่หนทางลัทธิทุนนิยม เป็นการทรยศต่องอุดมการ์และเป็นการพยายามแก้ไขปรับปรุงลัทธิ ปรากฎว่า ผู้นำใหม่ยังยึดปฏิบัติตามเป็ฯส่วนใหญ่ เป็นเพียงวิธีการเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงในทรรศนะของ เมา เช ตุง ผู้นำใหม่ไม่แตกต่างจาครุสชอฟ แสดงว่า รุสเซียมีแนวโน้เอียงไปในการแก้ไขปรับปรุงลัทธิ ทั้นี้มิได้เป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายโดยเอกเทศส่วนบุคคลว่าครุสเชฟคิดเอง เปลี่ยนแปลงเอง หากแต่กลายเป็นว่าบุคคลชั้นนำของรุสเซียคิดเปลี่ยนแปลงเองในวิถีทางเช่นนั้น การเปลี่ยนผู้นำมิได้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบาย เพียงแต่เปลี่ยนผู้นำใหม่ที่มีวิธีการใหม่ในการดำเนินนโยบายเดิมหลักาการเดิมเท่านั้นเอง ซึงเมา เช ตุง ถือว่าเป็นนโยบายเดิมของครุเชฟ ผู้นำใหม่ล้วนปฏิบัติตามนโยบายเดิมของครุสซอฟ ผู้นำใหม่เป็นพวกนิยมหรือเจริญรอยตามครุซอฟ เป็นความนิยมแก้ไขปรับปรุงลัทธิที่ปรากฎเด่นชัดแม้ปราศจากครุสซอฟแล้วก็ตา ในที่สุด จีนได้ตอบ
โต้ของเสนอของรุสเซยโดยพิมพ์บทความของเมา เช ตุง ชือ “เหตุใดครุซอฟหมอำนาจ” ลงในหนังสือพิมพ์ “ธงแดง”บทความสาธยายความผิดพลาดต่าง ๆ ของครุซอฟตั้งแต่การภายในถึงการภายนอกประเทศ เตือนผู้นำรุสเซียใหม่ให้สังวรณ์ว่าไม่ควรดำเนินนโยบายในแนวนั้น และเป็นการยื่นเงื่อนไขโดยพฤตินัยว่า ถ้ารุสเซียไม่ปฏิบัติตาม โอกาสคืนดีกันก็คงเป็นไปมิได้ รุสเซียเร่มลังเลแต่ยังหวังฝ่ายที่เห็นชอบข้อเสนอของตนในจีนจะมีอิทธิพลอยู่บ้างในขณะเดียวกัน รุสเซยก็เร่มตระเตรียมระเบียบวาระสำหรับการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลก รุปการณ์ส่อให้เห็นว่าจำเป็นต้องพึ่งพรรคเหล่านั้นให้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย จีนแสดงท่าทีชาเย็นอย่างเต็มที่ ทำให้โอกาสคืนดียิ่งยากขึ้น
ลักษณะสัมพันธภาพของทังสองฝ่ายเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบกัน โดยเนื้อแท้รุสเซียไม่อาจหลักกนีพันธกรณีตามความผูกพันทางอุดมการณ์ต่อเวียดนามเหนือได้ในฐานะผู้นำโลกคอมมิวนิสต์ รุสเซียควรยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องช่วยเหลือโดยตรง แต่วิกฤติกาณ์เวียดนามนั้นเป็นเรื่องอันตราย เพราะถ้าข้องเกี่ยโดยตรง รุสเซียได้ต้องเผชิญหน้าสหรัฐอมเมริกา เป็นการเสี่ยงอันตรายเกินไปและผิดจุประสงค์นโยบายหลักของรุสเซียแต่ถ้ารุสเซียวางเฉย โลกคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะจีนคอมมิวนิสต์ก็อาจประณามรุสเซียไม่อาจผลักภาระหน้าที่ ตราบใดที่รุสเซียยังต้องการเป็นผุ้นำโลกคอมมิวนิสต์แต่ในขณะเดียวกัน รุสเซียก็ไม่ต้องการเผชิญหน้าสหรัฐอเมริกา รุสเซียจึงต้องแสวงหาทางออกที่ดีพอมี่จะรักษาฐานะอำนาจและศักดิ์ศรีของรุสเซียทั้งในโลกคอมมิวนิสต์และโลกเสรีวิกฤติการณ์เวียนามท้าทายรุสเซียยิ่งนัก
นโยบายของรุสเซยที่เรียกร้องพลังโลกคอมมิวนิสต์ให้ต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกาในเวียดนามใต้นั้น ว่าไปแล้ว มีความมิวนิสต์จีนระดับผุ้นำหลายคนเห็นด้วยว่าควรช่วยเหลือเวียดนามเหนือ รุสเซียจึงหวังว่าคนกลุ่มนี้จะทวีพลังมากพอที่จะเป็นเสียงข้ามมากในการกำหนดวินิจฉัยนโยบายของจีน แต่แล้วบุคคลชั้นนำของกลุ่มนัน คือ โล ยุย ชิง ประธานคณะกรรมการกิจการทหารและเสนาธิการฝ่ายวางแผนได้ถูกคลื่นขบวนการปฏิวัติวัฒนธรรมถาโถมเข้าโจมตีอย่างรุนแรงจน โล ยุย ชิง ต้องจำนนต่อข้อกล่าวหาทุกประการและค่อย ๆ หายหน้าหายตาไปจากวงการเมืองและวงการทหาร ต่อมา เผงเจิน ซึ่งแอนตั้รุสเซียได้เป็นผู้นำในการปฏิวัติวัฒนธรรมในแวงวงวรรณกรรม ช่วงระยะที่จีนเริ่มเผชิญคลื่อนปฉวัตินี้ รุสเซียได้เผ้าสงเกตการณ์อย่างใกล้ชิด และมีทีท่าพร้อมที่จะแทรกแซง ถ้าฝ่ายปฏิปักษ์ของเมาจะแสดงพลังความสามาถรพโดยมีนโยบายนิยมรุสเซียให้เป็ฯที่ประจักษ์ ในขณะเดียวกันจีนกับรุสเซยก็เปิดฉากก่อกรณีพิพาทชายแดนและรุสเซียเองก็มีที่ท่าพร้อมที่จะลิดรอนเอกราชอำนาจอธิปไตยของมองโกเลียนอก โดยลังเลที่จะต่ออายุสนธิสัญญาพันธมิตร ในระยะนั้นรุสเซียมีความเคลื่อนไหวภายในมาก เกี่ยวด้วยเรื่องส่งทหารไปมองโกเลียนอกเพื่อข่มขวัญจีนโดยเฉพาะปักกิ่ง ซึ่งมีชัยภูมิที่ตั้งใกล้กับมองโกเลียนอกทางตะวันออก
ระหว่างที่เหตุการณ์ภายในจีนปั่นป่วนจับต้นชนปลายไม่ได้แน่ชัดนั้น ทั้งจีนและรุสเซียต่งอถอนทูตกลับประเทศเป็ฯการภายใน ความวุ่นวายเป็นจลาจลในประเทศจีนย่อมทำให้รุสเซียสนใจเป็นอย่างยิ่ง รุสเซียได้เฝ้ารอดูหลิวเชาชี และเติ้งเสี่ยวผิงว่าจะสามารถต้านคลื่นปฏิวัติได้ตลอดรอดฝั่ง และสามารถนำจีนมาสู่ฝ่ายรุสเซียได้ในภายหน้าหรือไม่ แต่ปรากฎว่าสองคนมิอาจทานคลื่นปฏิวัติได้ในปลายปี 1966 ทั้งสองคนค่อย ๆ หมดอำนาจทางการเมืองโดยพฤตินัย
นโยบายจีนทวีความสลับซับซ้อนไม่มีผุ้ใดคาดได้ว่า โดยเหนื้อแท้แล้วระหว่างปกิวัติวัฒนธรรมนั้นจีนมีนโยบายต่างประเทศที่แน่นอนลักษณะใด ถ้าพิเคราะห์โดยถ่องแท้จะเห็นได้ว่า การปฏิวัติวัฒนธรรมมิได้เป็นแต่เพียงจุดหัวเลี่ยวหัวต่อทางการเมืองและอุดมการณ์ว่า จีนควรยืนหยัดต่อต้านแนวโน้มเอียงในการก้าวไปสู่วิถีทางนายทุนหรือไม่เท่านั้น หากแต่การปฏิวัติวันธรรมยังเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อทางนโยบายต่างประเทศด้วยว่ามีนโยบายใดที่เหมาะสม ส่วนนโยบายต่างประเทศทั่วไปอื่น ๆ ของจีนคงยังไม่มีข้อยุติและเห็นได้ชัดว่าคงจะมีการพิจารณาเปลี่ยนแปลงบ้างนโยบายที่เด่นชัดคือ นโยบายเป็นปฏิปักษ์กับรุสเซียและการทูตโดยใช้เรดการ์ดเป็นสื่อแสดงแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ดังปรากฎว่าจีนเรียกบรรดาทูตกลับประเทศและปล่อยให้เรดการ์ดโจมตีกระทรวงการต่างประเทศแล้วประณามนายเชินยิ ผุ้เป็นรัฐมนตรีอย่างสาดเสียเทเสีย พร้อมกันนั้นก็ก่อกวยสถานทูตของฝ่ายรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ที่จีนเห็นว่าไม่เป็นมิตรเท่าใดนักกับจีนที่สำคัญคือ สถานทูตรุสเซยถูกพวกเรดการ์ดล้อ เรอดการ์ดประณามรุสเซียว่าเป็นพวกนิยมแก้ไขปรับปรุงลัทธิและส่อจักรวรรดินิยมเพราะแอบอ้างดินแดนไปจากจีน
ทั่วโลกให้ความสนใจมากกับกรณีพิพาทชายแดนระหว่างจนกบรุสเซย อินแดนที่เป็ฯปัญหาคือ พรมแดนระหว่างรุสเซียกับมณฑลซินเกียงและระว่างรุสเซียกับแมนจูเรียจีนเรียกร้องให้รุสเซียสารภาพว่า ดินแดนที่ไปในสมัยจักรวรรดิจีนนั้นเป็นไปตามสนธิสัญญากับซาร์อย่างไม่เป็นธรรมและไม่เสมอภาค ข้อเรียกร้องนั้นเป็นเงื่อนไขเบื้งต้นของการเจรจารุสเซียไมยอมรับผิดเช่นนั้น ในระหว่างการประคารม การปฏิวัติวัฒนธรรมผลักดันให้ชนกลุ่มน้อย ยูกูร์ อพยพข้ามพรมแดนจากซินเกียงเข้าไปในดินแดนรุสเซียประมาณเกือบแสน ต่างฝ่ายต่างปิดพรมแดนและลาดตระเวนชาแดนอย่างเข้มวงดกวดขันบางครั้งบางคราวก็มีพวกเรดการ์ดก่อกวนตามพรมแดนทางซินเกียงและแมนจูเรีย การต่อต้านเป็นปฏิปักษ์ต่อรุสเซียนี้ดำเนินไปอย่างรุนแรงถึงขั้นทำลายทรัพย์สินและทำร้ายชาวรุสเซียตามเมืองท่าเดเรน จนรุสเซียต้องขู่คุกคามว่าจะตัดการค้าขายด้วย รัฐบาลจีนจึงพยายามจำกัดขอบเขตของการประท้วงรุสเซียไว้ แต่ก็ทำได้ยากมิใช้น้อยเพราะเรดการ์ดมีพลังยากแก่การควบคุม
เอกภาพของโลกคอมมิวนิสต์นั้นไร้ความมหายและเป็นไปมิได้แล้วสำหรับรุสเซียโดยเฉพาะความแตกแยกระหว่างจีนกับรุสเซยได้เปิดโอกาสให้บรรดารัฐบริวารฉวยโอกาสปกครองตนเองที่ละน้อย ที่สำคัญคือ แอลบาเนีย ยูโกสลาเวีย รูเมเนีย ภายในโลกคอมมิวนิสต์เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์วิธีการที่รุเซียปกครองรัฐบริวาร โลกคอมมิวนิสต์แตกแยกแต่ยังมิได้มีขบวนการแยกออกจากโลกคอมมิวนิสต์ เพราะรัฐบริวารยังเกรงกลัวกำลังแสนยานุภาพและอำนาจของรุสเซีย อีกทั้งรัฐบริวารยังต้องพึ่งพาอาศัยความคุ้มครองปกป้องจากรุสเซียเพราะรัฐบริวารเองส่วนใหญ่มิได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนัก รุสเซียสามารถให้หลักค้ำประกันเสถียรภาพความมั่นคงแก่โลกคอมมิสวนิสต์มาก ประการสุดท้าย สงครามเวียดนามมีส่วนทำให้ความผิดพ้องหมองใจในโลกคอมมิวนิสต์ในด้านต่าง ๆ ลดลงมากและอำพรางข้อเท็จจริงว่า โลกคอมมิวนิสต์ขาดเสียงเอกฉันท์ในการกำหนดจุดประสงค์ร่วมกันเพื่อโลกคอมมิวนิสต์ รุสเซียเน้นเสมอว่า ความช่วยเหลือที่รุสเซียจะให้ขบวนการมีลักษณะฮักเหิมก่อศึกสงครามซึ่งจะทำให้เกิดภาวะการเผชิญหน้ากันเองของอภิมหาอำนาจและอาจทำให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ได้
รุสเซียภายใต้การนำโดยหมู่คณะต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ครุสเชฟได้ใช้วิธีค่อนข้างเสียงท้าทายโลกเสรีเกิดความจำเป็น เช่นในกรณีอเบอร์ลินและวิกฤติการณ์คิวบา คณะผู้นใหม่ตระหนักว่า การข่มขู่ใช้กำลังอาวุธก็ดี แสดงตนเผชิญหน้าก็ดี หรือการแสดงทีทาเสี่ยงก้าวร้าวรุกรานก็ดี ล้วนเป็นวิธีการที่ไม่ความเสียงในภาวะที่รุเซียเองไม่อยู่ในฐานะพร้อมที่จะรบหรือเผชิญหน้าอี เพราะสถานกาณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว และสำคัญที่สุดคือ ดุลยภาพแห่งอำนาจโลกได้เปลี่ยนแปลง โดยเหตุที่จีนและฝรั่งเศสกลายเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์แล้ว โลกที่สามกำลังเพิ่มจำนวนสมาชิกมากขึ้น เป็นพลังที่รุสเซียควรสนใจหาเสียทาบทามเป็นมิตรมากกว่าก่อศัตรู โลกก้าวสู่วันเวลาที่รุสเซียและสหรัฐสิ้นสุดอำนาจเผด็จการบงการโลกดังที่เคยกระทำ และ อาวุธนิวเคลียร์สร้างอันดับฐานะทางการเมืองได้ผล แต่ไม่อาจจะทำให้รุสเซียแผ่ขยายอำนาจอิทธิพลไปทั่วโลก เพราะอีกฝ่ายก็มีอาวุธเช่นกัน ประการสุดท้าย ปัญหาในโลกคอมมิวนิสต์เอง ความซับซ้อนที่ทวีขึ้นในวิกฤติการณ์อินโดจีน ความสัมพันธ์ระหว่างรุสเซียและจีนที่มีลักษณะซับซ้อน สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุรุสเซยต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเจริญสัมพันธไมตรีกับโลกเสรี โลกคอมมิวนิสต์และโลกที่สาม
คณะผู้นำใหม่แสดงเจตจำนงที่จะดำเนินนโยบายอยู่ร่วมกันโดยสันติดังเดิม เพียงแต่จำเป็นจ้องเปลี่ยนวิธีที่จะดำเนินนโยบายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป ผุ้นำคณะใหม่ปรับปรุงวิธีการโดยลดระดับการเสี่ยงท้าทายฝ่ายตรงข้าม แสดงพร้อมที่จะอยู่ร่วมกันโดยสันติ อำพรางเจตนารมณ์ที่แท้จริง และแสวงหาโอกาสจังหวะเหมาะที่จะขยายอำนาจอิทธิพล ระเซียเลิกใช้วิธีการข่มขู่โดยอาวุธนิวเครียทางการทูต
นโยบายต่อโลกคอมมิวนิสต์เปลี่ยแปลงไปภายใต้คณะผุ้นำใหม่ นโยบายต่อโลกคอมมิวนิสต์มิได้เปลี่ยนแปลงเท่าใดดังที่คาดหวัง ความสัมพันธ์กับรฐคอมมิวนิสต์ยังคงเหมือนเดิม โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับจีน
ทันที่ฝ่ายนรุสเซียมีการเปลี่ยนผู้นำ พรรคจีนคอมมิวนิสต์ได้จับตามองอย่างใกล้ชิดเป็นที่รู้กันอยู่ว่า กาเปลี่ยนผู้นำในรุสเซียอาจจมีผลทำให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้ามาคืนดีกันได้อีก รุสเซียแสดงทีท่าเป็ฯมิตรต่อจีนอย่างออนนอกหน้า อนาคตของจีนจึงควรจะสดในเป็นอย่างยิ่งเพราะคู่ปฏิปักษ์คือครุสเชฟก็หมดอำนาจไปแล้ว จีนแสดงคามกระตือรือร้นที่จะฟื้นผู่สัมพันธภาพอันดีงานกับรุสเซีย จู เอนไล ได้นำคณะผุ้แทนจีนเข้าร่วมฉลองวันครบรอบปีแป่งการปฏิวัติ ณ มอสโก เป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรี แสดงท่าที่ว่าจีนมีความเป็นมิตรต่อผุ้นำใหม่รุสเซีย ในขณะเดียวกัน ย่อมเป็นที่แน่นอนใจได้ว่า จีนต้องการจะหยั่งท่าทีของรุสเซียจากสุนทรพจน์ของนายเบรสเนฟเองด้วย จีนคาดว่าคงมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงนโยบายต่างประเทศไปในแนวที่จีน้องประสงค์บ้าง
จีนรู้สึกผิดหวังกัยถ้อยแถลงการณ์ของ เบรสเนฟ ซึ่งมิได้ให้ความหว้งมากมายแก่จีนเพีงแสดงทีท่าว่าต้องการเจรจาฟื้นฟูความสัมพันธ์อันดีกับจีน และยินดีให้ความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจและทหาร ที่สำคัญ รุสเซียเสนอให้จัดการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลก รุสเซียหวังอย่างเดียวที่จะให้จีนเป็นพ้องกับนโยบายทั่วไปของตน ต้องการให้จีนเป็ฯมิตรกับผู้นำใหม่บ้างและต้องการขอร้องจีนมิให้ยุแยงบรรดาพรรคคอมมิวนิสต์ให้แตกความสามัคคี
ข้อเสนอและท่าทีของรุสเซียก่อให้เกิดความขัดแย้งในชนชั้นผุ้นำของจีนมีบางคนเห็นควรรับไม่ตรีรุสเซียและรับข้องเสนอบางส่วน แต่ เมา เช ตุง ปฎิเสธข้อเสนอโดยถือว่าเป็นนโยบายของครุสเชฟ ซึ่งมีแนวโน้มไปสู่การปรองดองกับโลกเสรีและพัฒนาประเทศไปสู่หนทางลัทธิทุนนิยม เป็นการทรยศต่องอุดมการ์และเป็นการพยายามแก้ไขปรับปรุงลัทธิ ปรากฎว่า ผู้นำใหม่ยังยึดปฏิบัติตามเป็ฯส่วนใหญ่ เป็นเพียงวิธีการเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงในทรรศนะของ เมา เช ตุง ผู้นำใหม่ไม่แตกต่างจาครุสชอฟ แสดงว่า รุสเซียมีแนวโน้เอียงไปในการแก้ไขปรับปรุงลัทธิ ทั้นี้มิได้เป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายโดยเอกเทศส่วนบุคคลว่าครุสเชฟคิดเอง เปลี่ยนแปลงเอง หากแต่กลายเป็นว่าบุคคลชั้นนำของรุสเซียคิดเปลี่ยนแปลงเองในวิถีทางเช่นนั้น การเปลี่ยนผู้นำมิได้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบาย เพียงแต่เปลี่ยนผู้นำใหม่ที่มีวิธีการใหม่ในการดำเนินนโยบายเดิมหลักาการเดิมเท่านั้นเอง ซึงเมา เช ตุง ถือว่าเป็นนโยบายเดิมของครุเชฟ ผู้นำใหม่ล้วนปฏิบัติตามนโยบายเดิมของครุสซอฟ ผู้นำใหม่เป็นพวกนิยมหรือเจริญรอยตามครุซอฟ เป็นความนิยมแก้ไขปรับปรุงลัทธิที่ปรากฎเด่นชัดแม้ปราศจากครุสซอฟแล้วก็ตา ในที่สุด จีนได้ตอบ
โต้ของเสนอของรุสเซยโดยพิมพ์บทความของเมา เช ตุง ชือ “เหตุใดครุซอฟหมอำนาจ” ลงในหนังสือพิมพ์ “ธงแดง”บทความสาธยายความผิดพลาดต่าง ๆ ของครุซอฟตั้งแต่การภายในถึงการภายนอกประเทศ เตือนผู้นำรุสเซียใหม่ให้สังวรณ์ว่าไม่ควรดำเนินนโยบายในแนวนั้น และเป็นการยื่นเงื่อนไขโดยพฤตินัยว่า ถ้ารุสเซียไม่ปฏิบัติตาม โอกาสคืนดีกันก็คงเป็นไปมิได้ รุสเซียเร่มลังเลแต่ยังหวังฝ่ายที่เห็นชอบข้อเสนอของตนในจีนจะมีอิทธิพลอยู่บ้างในขณะเดียวกัน รุสเซยก็เร่มตระเตรียมระเบียบวาระสำหรับการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลก รุปการณ์ส่อให้เห็นว่าจำเป็นต้องพึ่งพรรคเหล่านั้นให้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย จีนแสดงท่าทีชาเย็นอย่างเต็มที่ ทำให้โอกาสคืนดียิ่งยากขึ้น
ลักษณะสัมพันธภาพของทังสองฝ่ายเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบกัน โดยเนื้อแท้รุสเซียไม่อาจหลักกนีพันธกรณีตามความผูกพันทางอุดมการณ์ต่อเวียดนามเหนือได้ในฐานะผู้นำโลกคอมมิวนิสต์ รุสเซียควรยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องช่วยเหลือโดยตรง แต่วิกฤติกาณ์เวียดนามนั้นเป็นเรื่องอันตราย เพราะถ้าข้องเกี่ยโดยตรง รุสเซียได้ต้องเผชิญหน้าสหรัฐอมเมริกา เป็นการเสี่ยงอันตรายเกินไปและผิดจุประสงค์นโยบายหลักของรุสเซียแต่ถ้ารุสเซียวางเฉย โลกคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะจีนคอมมิวนิสต์ก็อาจประณามรุสเซียไม่อาจผลักภาระหน้าที่ ตราบใดที่รุสเซียยังต้องการเป็นผุ้นำโลกคอมมิวนิสต์แต่ในขณะเดียวกัน รุสเซียก็ไม่ต้องการเผชิญหน้าสหรัฐอเมริกา รุสเซียจึงต้องแสวงหาทางออกที่ดีพอมี่จะรักษาฐานะอำนาจและศักดิ์ศรีของรุสเซียทั้งในโลกคอมมิวนิสต์และโลกเสรีวิกฤติการณ์เวียนามท้าทายรุสเซียยิ่งนัก
นโยบายของรุสเซยที่เรียกร้องพลังโลกคอมมิวนิสต์ให้ต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกาในเวียดนามใต้นั้น ว่าไปแล้ว มีความมิวนิสต์จีนระดับผุ้นำหลายคนเห็นด้วยว่าควรช่วยเหลือเวียดนามเหนือ รุสเซียจึงหวังว่าคนกลุ่มนี้จะทวีพลังมากพอที่จะเป็นเสียงข้ามมากในการกำหนดวินิจฉัยนโยบายของจีน แต่แล้วบุคคลชั้นนำของกลุ่มนัน คือ โล ยุย ชิง ประธานคณะกรรมการกิจการทหารและเสนาธิการฝ่ายวางแผนได้ถูกคลื่นขบวนการปฏิวัติวัฒนธรรมถาโถมเข้าโจมตีอย่างรุนแรงจน โล ยุย ชิง ต้องจำนนต่อข้อกล่าวหาทุกประการและค่อย ๆ หายหน้าหายตาไปจากวงการเมืองและวงการทหาร ต่อมา เผงเจิน ซึ่งแอนตั้รุสเซียได้เป็นผู้นำในการปฏิวัติวัฒนธรรมในแวงวงวรรณกรรม ช่วงระยะที่จีนเริ่มเผชิญคลื่อนปฉวัตินี้ รุสเซียได้เผ้าสงเกตการณ์อย่างใกล้ชิด และมีทีท่าพร้อมที่จะแทรกแซง ถ้าฝ่ายปฏิปักษ์ของเมาจะแสดงพลังความสามาถรพโดยมีนโยบายนิยมรุสเซียให้เป็ฯที่ประจักษ์ ในขณะเดียวกันจีนกับรุสเซยก็เปิดฉากก่อกรณีพิพาทชายแดนและรุสเซียเองก็มีที่ท่าพร้อมที่จะลิดรอนเอกราชอำนาจอธิปไตยของมองโกเลียนอก โดยลังเลที่จะต่ออายุสนธิสัญญาพันธมิตร ในระยะนั้นรุสเซียมีความเคลื่อนไหวภายในมาก เกี่ยวด้วยเรื่องส่งทหารไปมองโกเลียนอกเพื่อข่มขวัญจีนโดยเฉพาะปักกิ่ง ซึ่งมีชัยภูมิที่ตั้งใกล้กับมองโกเลียนอกทางตะวันออก
ระหว่างที่เหตุการณ์ภายในจีนปั่นป่วนจับต้นชนปลายไม่ได้แน่ชัดนั้น ทั้งจีนและรุสเซียต่งอถอนทูตกลับประเทศเป็ฯการภายใน ความวุ่นวายเป็นจลาจลในประเทศจีนย่อมทำให้รุสเซียสนใจเป็นอย่างยิ่ง รุสเซียได้เฝ้ารอดูหลิวเชาชี และเติ้งเสี่ยวผิงว่าจะสามารถต้านคลื่นปฏิวัติได้ตลอดรอดฝั่ง และสามารถนำจีนมาสู่ฝ่ายรุสเซียได้ในภายหน้าหรือไม่ แต่ปรากฎว่าสองคนมิอาจทานคลื่นปฏิวัติได้ในปลายปี 1966 ทั้งสองคนค่อย ๆ หมดอำนาจทางการเมืองโดยพฤตินัย
นโยบายจีนทวีความสลับซับซ้อนไม่มีผุ้ใดคาดได้ว่า โดยเหนื้อแท้แล้วระหว่างปกิวัติวัฒนธรรมนั้นจีนมีนโยบายต่างประเทศที่แน่นอนลักษณะใด ถ้าพิเคราะห์โดยถ่องแท้จะเห็นได้ว่า การปฏิวัติวัฒนธรรมมิได้เป็นแต่เพียงจุดหัวเลี่ยวหัวต่อทางการเมืองและอุดมการณ์ว่า จีนควรยืนหยัดต่อต้านแนวโน้มเอียงในการก้าวไปสู่วิถีทางนายทุนหรือไม่เท่านั้น หากแต่การปฏิวัติวันธรรมยังเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อทางนโยบายต่างประเทศด้วยว่ามีนโยบายใดที่เหมาะสม ส่วนนโยบายต่างประเทศทั่วไปอื่น ๆ ของจีนคงยังไม่มีข้อยุติและเห็นได้ชัดว่าคงจะมีการพิจารณาเปลี่ยนแปลงบ้างนโยบายที่เด่นชัดคือ นโยบายเป็นปฏิปักษ์กับรุสเซียและการทูตโดยใช้เรดการ์ดเป็นสื่อแสดงแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ดังปรากฎว่าจีนเรียกบรรดาทูตกลับประเทศและปล่อยให้เรดการ์ดโจมตีกระทรวงการต่างประเทศแล้วประณามนายเชินยิ ผุ้เป็นรัฐมนตรีอย่างสาดเสียเทเสีย พร้อมกันนั้นก็ก่อกวยสถานทูตของฝ่ายรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ที่จีนเห็นว่าไม่เป็นมิตรเท่าใดนักกับจีนที่สำคัญคือ สถานทูตรุสเซยถูกพวกเรดการ์ดล้อ เรอดการ์ดประณามรุสเซียว่าเป็นพวกนิยมแก้ไขปรับปรุงลัทธิและส่อจักรวรรดินิยมเพราะแอบอ้างดินแดนไปจากจีน
ทั่วโลกให้ความสนใจมากกับกรณีพิพาทชายแดนระหว่างจนกบรุสเซย อินแดนที่เป็ฯปัญหาคือ พรมแดนระหว่างรุสเซียกับมณฑลซินเกียงและระว่างรุสเซียกับแมนจูเรียจีนเรียกร้องให้รุสเซียสารภาพว่า ดินแดนที่ไปในสมัยจักรวรรดิจีนนั้นเป็นไปตามสนธิสัญญากับซาร์อย่างไม่เป็นธรรมและไม่เสมอภาค ข้อเรียกร้องนั้นเป็นเงื่อนไขเบื้งต้นของการเจรจารุสเซียไมยอมรับผิดเช่นนั้น ในระหว่างการประคารม การปฏิวัติวัฒนธรรมผลักดันให้ชนกลุ่มน้อย ยูกูร์ อพยพข้ามพรมแดนจากซินเกียงเข้าไปในดินแดนรุสเซียประมาณเกือบแสน ต่างฝ่ายต่างปิดพรมแดนและลาดตระเวนชาแดนอย่างเข้มวงดกวดขันบางครั้งบางคราวก็มีพวกเรดการ์ดก่อกวนตามพรมแดนทางซินเกียงและแมนจูเรีย การต่อต้านเป็นปฏิปักษ์ต่อรุสเซียนี้ดำเนินไปอย่างรุนแรงถึงขั้นทำลายทรัพย์สินและทำร้ายชาวรุสเซียตามเมืองท่าเดเรน จนรุสเซียต้องขู่คุกคามว่าจะตัดการค้าขายด้วย รัฐบาลจีนจึงพยายามจำกัดขอบเขตของการประท้วงรุสเซียไว้ แต่ก็ทำได้ยากมิใช้น้อยเพราะเรดการ์ดมีพลังยากแก่การควบคุม
เอกภาพของโลกคอมมิวนิสต์นั้นไร้ความมหายและเป็นไปมิได้แล้วสำหรับรุสเซียโดยเฉพาะความแตกแยกระหว่างจีนกับรุสเซยได้เปิดโอกาสให้บรรดารัฐบริวารฉวยโอกาสปกครองตนเองที่ละน้อย ที่สำคัญคือ แอลบาเนีย ยูโกสลาเวีย รูเมเนีย ภายในโลกคอมมิวนิสต์เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์วิธีการที่รุเซียปกครองรัฐบริวาร โลกคอมมิวนิสต์แตกแยกแต่ยังมิได้มีขบวนการแยกออกจากโลกคอมมิวนิสต์ เพราะรัฐบริวารยังเกรงกลัวกำลังแสนยานุภาพและอำนาจของรุสเซีย อีกทั้งรัฐบริวารยังต้องพึ่งพาอาศัยความคุ้มครองปกป้องจากรุสเซียเพราะรัฐบริวารเองส่วนใหญ่มิได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนัก รุสเซียสามารถให้หลักค้ำประกันเสถียรภาพความมั่นคงแก่โลกคอมมิสวนิสต์มาก ประการสุดท้าย สงครามเวียดนามมีส่วนทำให้ความผิดพ้องหมองใจในโลกคอมมิวนิสต์ในด้านต่าง ๆ ลดลงมากและอำพรางข้อเท็จจริงว่า โลกคอมมิวนิสต์ขาดเสียงเอกฉันท์ในการกำหนดจุดประสงค์ร่วมกันเพื่อโลกคอมมิวนิสต์ รุสเซียเน้นเสมอว่า ความช่วยเหลือที่รุสเซียจะให้ขบวนการมีลักษณะฮักเหิมก่อศึกสงครามซึ่งจะทำให้เกิดภาวะการเผชิญหน้ากันเองของอภิมหาอำนาจและอาจทำให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ได้
วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
Richard M. Nixon (part 1)
สหรัฐอเมริการภายใต้การนำของประธานนาธิบดีริชาร์ด เอ็ม. นิกสัน Richard M. Nixon 1969-1977 ประธานารธิบดี จิมมี่ คาเตอร์ Jimmy Carter 1977-1981ความคลุมเครือน่าสงสัย มัวหมองอับจนและไม่แนนอนในทศวรรษที่ 1970 ปรากฏเด่นชันทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม สืบเนื่องมาจากคดีอื้อฉาววอเตอร์เกทปี 1972 ซึ่งเกิดจากพรรคพวกของประธานาธิบดีนิกสันส่งคนไปทำจารกรรมในอาคารวอเตอร์เกทซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการเลือกตั้งของพรรคเดโมเเครต ซึ่งประธานนาธิบดีรับรู้เรื่องราวและรู้ตัวผู้สังการแต่ปิดังเรื่องราวและปกป้องพรรคพวกผู้รทำผิด ทั้งใช้อำนาจประธานาธิบดีเกินขอบเขตคือปลดและโยกย้ายคณะผู้สอบสวน ตลอดจนไม่ให้ความร่วมมือขัดขวางขบวนการยุติธรรมไม่ยอมมอบเทปตาคำสั่งศาล ประธานาธิบดีรู้ตัวว่าผิดจริงจึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นประธานนาธิบดี ก่อนจะถูกฟ้องร้อง Impeachment ถอดถอนจากวุฒิสภาออกจากความเป็นประธานาธิบดี
เมื่อเจอรัล อาร์.ฟอร์ด ขึ้นเป็นประธานาธิบดีได้ประกาศให้อภัยแก่อดีตประธานาธิบดีนิกสันที่มีส่วนพัวพันในคดีอื้อฉาววอเตอร์เกท อันมีผลให้คนอเมริกันขาดศรัทธาไม่ไว้วางใจในประธานาธิบดี นักการเมืองและพรรคการเมือง ความมัวหมองทางเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ ตลอดช่วงทศวรรษที่ 70 โดยรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำซบเซา ปัญหาเงินเฟ้อ คนว่างงานเพื่มขึ้น และภาวะการขาดแลนน้ำมันอย่างรุนแรง ความมัวหมองทางสังคมเกิดจากชนกลุ่มน้อยก่อความวุ่นวายเพ่อเรียกร้องขอความช่วยเหลือดูแลจากรัฐบาลและเรียกร้องสิทธิที่ควรได้รับการยอมรับจากสังคม ชนกลุ่มน้อยมีหลายกลุ่มเร่มจากอเมริกันผิวดำเรียกร้องเลิการแบ่งแยกเหยีอดผิดและร้องของการมีสิทธิเท่าเทียมกันเช่นอเมริกันผิวขาว อเมริกันอินเดียนมีการเคลื่อนไหวภายใต้ชื่อกรบวนการอเมริกันอินเดียนเรียกร้องให้รัฐบาลอเมริกันยอมรับในสทิธิของอเมริกันอินเดีย และยอมรับความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินคือที่ดินของอเมริกันอินเดียนเช่นอเมริกันผิวขาวได้รับจากรัฐบาลอเมริกัน เม็กซิกันอเมริกัน จากเม็กซิโกเข้ามาในสหรัฐอเมริกาอย่างถูกต้องตามกฎหมายช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อเป็นแรงงาน..นอกจากนี้แม็กวิกันอเมริกายังรวมตัวจัดตั้งองค์กรทางการเมือง ร่วมมีบทบาททางการเมืองในระดับท้องถ่นและระดับมลรัฐ ชาวเปอร์โตริโก ซึ่งได้รัการยอมรับเป็นประชากรชาวอเมริกันส่วนใหญ่อพยพเข้าตั้งถ่นฐานในนิวยอร์กมีปัญหาเรื่องภาษา ความยากจน มีการศึกษาน้อยและว่างงาน มีสภาพความเป็นอยู่ไม่ต่างจากอเมริกันผิวดำ ชาวเปอร์โตริโกต้องการให้รัฐบาลอเมริกันช่วยจัดหางานให้ เพื่อการมีสภาพเป็นอยู่ที่ดีข้น ชาวคิวบา อพยพจาคิวบาเข้ามาตั้งมั่นที่เมืองไมอามี่ ในฟลอริดา ชาวคิวลาในฟลอลิดา ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ มีชีวิตความเป็นอยู่ดี มักตกงานหรือได้งานบริการระดับต่ำ กลุ่มสตรีอเมริกัน ภายใต้การนำของเบ็ทที ไฟรเดน ทำการจัดตั้งองค์การสตรีแห่งชาติ เรียกร้องความเสมอภาคแก่สตรีในการเข้าทำงานโดยไม่ยึดเพศเป็นตัวกำหนด เรื่องมลภาวะเกิดจากการเติบโตอย่งรวดเร็วของอุตสาหกรรมและการเพ่มมากขึ้นของประชากรทำให้สภาวะแวดล้อมสกปรก กล่าวคืออากาศปกปรกเพราะควันจากโรงงานและรถยนต์ปลายทศวรรษที่ 60 ชาวอเมริกันเรียกร้องให้มีการควบคุมมลพิษ รัฐบาลผ่านกฎหมายกำจัดมลภาวะหลายฉบับแต่แก้ไขไม่สำเร็จ
ประธานาธิบดี ริชาร์ด เอ็ม. นิกสัน
เคยเป็นรองประธานาธิบดีในสมัย ดไวท์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ประธานนาธิบดีนิกสันเน้นงานด้านการต่างผระเทศมากกว่างานบริหารภายในประเทศ ซึ่งมีส่วนอย่างมากในอันคลี่คลายความตึงเครียดของโลก ความสำเร็จในการดำเนินนโยบายต่างประเทศเกิดจากปัจจัยหลักสองประการคือหนึ่งปรธานาธิบดีนิกสันมีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในเรื่องการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และมีผู้ช่วยที่ความรู้วามสามารถคือ ดร.เฮนรี่ เอ. คิสซิงเจอร์ กล่าวคือการแสวงหาแนวทางยุติสงครามเวียดนาม สร้างคามสัมพันะอันดีกับจีนโดยเดินทางไปเยือนจีนในปี 1972 สาม สหรัฐฯลดความตรึงเครียดกับรัสเซียโดยการเยื่อนรุสเซียมีการร่วมลงนามในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ปี 1972
เข้าร่วมในสงครามเวียดนามโดยการสู้รบในสงครามตัวแทนในขณะที่ฝ่ายเวียดนามเหนือมีรุสเซียและจีนเป็นผู้การสนับสนุนกำลังด้านอาวุธยุทธปัจจัย สงครามดำเนินอยู่เป็นเวลา 8 ปี ด้วยข้อตกลงหยุดยิงปี 1973 เป็นการยุติบทบาทการร่วมสู้รบของกองกำลังอเมริกัน สงครามเวียดนามยุติลงในวันที่ 21 เมษายน 1975 โดยเวียดนามใต้พ่ายแพ้คอมมิวนิสต์เวียดกงและเวียดนามเหนือ ทหารอเมริกันเสียชีวิตเกือบหกหมืนคน บาทเจ็บกว่าสามแสนนาย สูญเสียงินในสงครามกว่าร้อยห้าสิบล้านเหรียญยูเอส. ทหารเวียดนามใต้เสียชีวิตในสงครามราวสองแสนห้าหมือนคน ทหารเวียดนามเหนือและเวียดกงประมาณล้านกว่าคน เวียดนามใต้ถูกนำรวมกับเวียดนามเหนือภายใต้ชื่อประเทศเวียนามและยอมรับลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นแนวทางในการปกครองประเทศ ไซ่ง่อนถูกเปลี่ยนชื่อเป็นนครโฮจิมิน ลาวและกัมพูชากลายเป็นชาติคอมมิวนิสต์
ความสัมพันอันดีกับจีน สหรัฐไม่การรับรองในเอกราชของประเทศสาธารณรับประชาชนจีนและเรียกร้องสาธารณรับประชาชนจีนว่าจีนคอมมิวนิสต์หรือจีนแดง และยับยั้งทุกครั้งเมือสาธารณรัฐประชาชนจีนเสนอตัวเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ขณะเดียวกันให้การรบรองในเอกราชของสาธารณรัฐจีน จัดตั้งที่เกาะไต้หวันมีกรุงไทเปเป็นเมืองหลวงโดยกลุ่มจีนประชาธิปไตยภายใต้การนำของเจียง ไค เชค จีนคอมมิวนิสต์มีเพียงรุสเซียเป็นพันธมิตร
สหรัฐอเมริกาเห็นความจำเป็นต้องเสริมสร้างความสัมพันะอันดีกับจีนด้วยเหตุผลประการที่หนึ่งเพื่อแสดงการยอมรับในเอกราชของจีนคอมมิวนิสต์ สองเพื่อให้จีนคอมมิวนิสต์ลดหรือเลิกหนุนเสริมเวียดนามเหนือ และสามเพื่อให้จีนคอมมิวนิสต์และรุสเซียหวาดระแวงกันเองในความสัมพันะที่มีต่อสหรัฐฯ และเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของจีนคอมมิวนิสต์ สหรัฐกำหนดแนวทางสร้างความสัมพันะกับจีนคอมมิวนิสต์..
ลดความตรึงเครียดกับรุสเซียโดยการเดินทางเยื่อนรุสเซียในเดือนพฤษภาคม 1972
การเยือนรุสเซียนำสู่การลงนามร่วมกันระหว่างสหรัฐอเมริกากับรุสเซียในสนธิสัญญาจำกันอาวุธยุทธศาสตร์ ปี 1972 และพัฒนาความสัมพันะด้านการค้าความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์และรักษาสภาพแวดล้อม เหตุที่มาของการเยือนรุสเซียเนื่องจากรุสเซียช่วงนี้ภายใต้การนำของ ลีโอนิค ไอ.เบรสเนฟ เศรษฐกิจไม่สู้ดีนัก รุสเซียจึงเห็นความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายสร้างความสัพันธ์อันดีกับกลุ่มประเทศโลกเสรีและผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างตะวันออกและตะวันตก ภายใต้ชื่อเดทานเต้ ตัวแทน 62 ชาติทั้งที่มีนิวเคลียร์ในครอบครองและไม่มีนิวเคลียร์ในครอบครองรวมทั้งสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และรุสเซยได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาไม่เผยแพร่นิวเคลียร์ และชาติที่ยังไม่มีนิวเคลียร์ในครอบครองจะหยุดการคิดค้นนิวเคลียร์
ยุติปัญหาเบอร์ลินด้วยข้อตกลงปี 1971 สืบเนื่องจากในวันที่ 21 กันยายน 1949 ดินแดนเยอรมันในส่วนทางตะวันตกภายใต้การดูแลของสามชาติตะวันตก ประกาศจัดตั้งประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอมนีหรือเยอรมันตะวันตก มีกรุงบอนน์เป็นเมืองเหลวง ดินแดนเยอมนีในส่วนทางตะวันออกภายใต้การดูแลของ
รุสเซียประกาศจัดตั้งประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีเหรือเยรมนีตะวันออกเป็นเมืองหลวงในส่วนเบอร์ลินตะวันตก คงมีกองกำลังสมชาติประจำการอยู่ เพราะเศรษฐกิจตกต่ำและไม่พอใจในการปกครองในลัทธิคอมมิวนิสต์ทำให้คนในเยอรมันตะวันออกพากันอพยพเข้าเยอรมันตะวันตก อันเป็นกาบ่งชี้ถึงความล้มเหลวในเศรษฐกิจและการปกครองของเยอรมันตะวันออก เป็นผลให้ในเดื่อสิงหาคม รัฐบาลเยอมันตะวันออกสร้างกำแพงเบอร์ลินกั้นระหว่างเบอร์ลินตะวันตกกับเบอร์ลินตะวันออกและเยอรมันตะวันออก ขณะเดียกันรัฐบาลเยอมันตะวันออกและรุสเซียภายใต้การนำของครุสซอฟประกาศขู่จะปิดทุกเส้นทางคมนาคมจากเยอรมันตะวันออกสู่กรุงเบอร์ลินตะวันตก เพื่อบีบกองกำลังสามชาติตะวันตกให้ถอนออกจากเยอรมันซึ่งเป็นการเพิ่มความตรึงเครียดระหว่งโลกคอมมิวนิสต์และโลกเสรี
เมื่อรุสเซียอยู่ภายใต้การนำของลีโอนิค ไอ. เบรสเนฟ ผุ้ยึดมั่นในนโยบายผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างโลกคอมมิวนิสต์กับโลกเสรี นำสู่การแก้ไขปัญหาเบอร์ลินในปี 1971 ด้วยข้อตกลงเบอร์ลินปี 1971 กำหนดทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศษ สหรัฐอเมริกา และรุสเซีย ยุติการคุกคามแทรกแซงด้านการคมนาคมระหว่างกรุงเบอร์ลินและเยอรมันตะวันตก รวมทั้งให้การยอมรับในเอกราชของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอมันและสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมันด้วย
ประธานาธิบดี ริชาร์ด เอ็ม. นิกสัน
เคยเป็นรองประธานาธิบดีในสมัย ดไวท์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ประธานนาธิบดีนิกสันเน้นงานด้านการต่างผระเทศมากกว่างานบริหารภายในประเทศ ซึ่งมีส่วนอย่างมากในอันคลี่คลายความตึงเครียดของโลก ความสำเร็จในการดำเนินนโยบายต่างประเทศเกิดจากปัจจัยหลักสองประการคือหนึ่งปรธานาธิบดีนิกสันมีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในเรื่องการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และมีผู้ช่วยที่ความรู้วามสามารถคือ ดร.เฮนรี่ เอ. คิสซิงเจอร์ กล่าวคือการแสวงหาแนวทางยุติสงครามเวียดนาม สร้างคามสัมพันะอันดีกับจีนโดยเดินทางไปเยือนจีนในปี 1972 สาม สหรัฐฯลดความตรึงเครียดกับรัสเซียโดยการเยื่อนรุสเซียมีการร่วมลงนามในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ปี 1972
เข้าร่วมในสงครามเวียดนามโดยการสู้รบในสงครามตัวแทนในขณะที่ฝ่ายเวียดนามเหนือมีรุสเซียและจีนเป็นผู้การสนับสนุนกำลังด้านอาวุธยุทธปัจจัย สงครามดำเนินอยู่เป็นเวลา 8 ปี ด้วยข้อตกลงหยุดยิงปี 1973 เป็นการยุติบทบาทการร่วมสู้รบของกองกำลังอเมริกัน สงครามเวียดนามยุติลงในวันที่ 21 เมษายน 1975 โดยเวียดนามใต้พ่ายแพ้คอมมิวนิสต์เวียดกงและเวียดนามเหนือ ทหารอเมริกันเสียชีวิตเกือบหกหมืนคน บาทเจ็บกว่าสามแสนนาย สูญเสียงินในสงครามกว่าร้อยห้าสิบล้านเหรียญยูเอส. ทหารเวียดนามใต้เสียชีวิตในสงครามราวสองแสนห้าหมือนคน ทหารเวียดนามเหนือและเวียดกงประมาณล้านกว่าคน เวียดนามใต้ถูกนำรวมกับเวียดนามเหนือภายใต้ชื่อประเทศเวียนามและยอมรับลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นแนวทางในการปกครองประเทศ ไซ่ง่อนถูกเปลี่ยนชื่อเป็นนครโฮจิมิน ลาวและกัมพูชากลายเป็นชาติคอมมิวนิสต์
ความสัมพันอันดีกับจีน สหรัฐไม่การรับรองในเอกราชของประเทศสาธารณรับประชาชนจีนและเรียกร้องสาธารณรับประชาชนจีนว่าจีนคอมมิวนิสต์หรือจีนแดง และยับยั้งทุกครั้งเมือสาธารณรัฐประชาชนจีนเสนอตัวเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ขณะเดียวกันให้การรบรองในเอกราชของสาธารณรัฐจีน จัดตั้งที่เกาะไต้หวันมีกรุงไทเปเป็นเมืองหลวงโดยกลุ่มจีนประชาธิปไตยภายใต้การนำของเจียง ไค เชค จีนคอมมิวนิสต์มีเพียงรุสเซียเป็นพันธมิตร
สหรัฐอเมริกาเห็นความจำเป็นต้องเสริมสร้างความสัมพันะอันดีกับจีนด้วยเหตุผลประการที่หนึ่งเพื่อแสดงการยอมรับในเอกราชของจีนคอมมิวนิสต์ สองเพื่อให้จีนคอมมิวนิสต์ลดหรือเลิกหนุนเสริมเวียดนามเหนือ และสามเพื่อให้จีนคอมมิวนิสต์และรุสเซียหวาดระแวงกันเองในความสัมพันะที่มีต่อสหรัฐฯ และเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของจีนคอมมิวนิสต์ สหรัฐกำหนดแนวทางสร้างความสัมพันะกับจีนคอมมิวนิสต์..
ลดความตรึงเครียดกับรุสเซียโดยการเดินทางเยื่อนรุสเซียในเดือนพฤษภาคม 1972
การเยือนรุสเซียนำสู่การลงนามร่วมกันระหว่างสหรัฐอเมริกากับรุสเซียในสนธิสัญญาจำกันอาวุธยุทธศาสตร์ ปี 1972 และพัฒนาความสัมพันะด้านการค้าความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์และรักษาสภาพแวดล้อม เหตุที่มาของการเยือนรุสเซียเนื่องจากรุสเซียช่วงนี้ภายใต้การนำของ ลีโอนิค ไอ.เบรสเนฟ เศรษฐกิจไม่สู้ดีนัก รุสเซียจึงเห็นความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายสร้างความสัพันธ์อันดีกับกลุ่มประเทศโลกเสรีและผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างตะวันออกและตะวันตก ภายใต้ชื่อเดทานเต้ ตัวแทน 62 ชาติทั้งที่มีนิวเคลียร์ในครอบครองและไม่มีนิวเคลียร์ในครอบครองรวมทั้งสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และรุสเซยได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาไม่เผยแพร่นิวเคลียร์ และชาติที่ยังไม่มีนิวเคลียร์ในครอบครองจะหยุดการคิดค้นนิวเคลียร์
ยุติปัญหาเบอร์ลินด้วยข้อตกลงปี 1971 สืบเนื่องจากในวันที่ 21 กันยายน 1949 ดินแดนเยอรมันในส่วนทางตะวันตกภายใต้การดูแลของสามชาติตะวันตก ประกาศจัดตั้งประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอมนีหรือเยอรมันตะวันตก มีกรุงบอนน์เป็นเมืองเหลวง ดินแดนเยอมนีในส่วนทางตะวันออกภายใต้การดูแลของ
รุสเซียประกาศจัดตั้งประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีเหรือเยรมนีตะวันออกเป็นเมืองหลวงในส่วนเบอร์ลินตะวันตก คงมีกองกำลังสมชาติประจำการอยู่ เพราะเศรษฐกิจตกต่ำและไม่พอใจในการปกครองในลัทธิคอมมิวนิสต์ทำให้คนในเยอรมันตะวันออกพากันอพยพเข้าเยอรมันตะวันตก อันเป็นกาบ่งชี้ถึงความล้มเหลวในเศรษฐกิจและการปกครองของเยอรมันตะวันออก เป็นผลให้ในเดื่อสิงหาคม รัฐบาลเยอมันตะวันออกสร้างกำแพงเบอร์ลินกั้นระหว่างเบอร์ลินตะวันตกกับเบอร์ลินตะวันออกและเยอรมันตะวันออก ขณะเดียกันรัฐบาลเยอมันตะวันออกและรุสเซียภายใต้การนำของครุสซอฟประกาศขู่จะปิดทุกเส้นทางคมนาคมจากเยอรมันตะวันออกสู่กรุงเบอร์ลินตะวันตก เพื่อบีบกองกำลังสามชาติตะวันตกให้ถอนออกจากเยอรมันซึ่งเป็นการเพิ่มความตรึงเครียดระหว่งโลกคอมมิวนิสต์และโลกเสรี
เมื่อรุสเซียอยู่ภายใต้การนำของลีโอนิค ไอ. เบรสเนฟ ผุ้ยึดมั่นในนโยบายผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างโลกคอมมิวนิสต์กับโลกเสรี นำสู่การแก้ไขปัญหาเบอร์ลินในปี 1971 ด้วยข้อตกลงเบอร์ลินปี 1971 กำหนดทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศษ สหรัฐอเมริกา และรุสเซีย ยุติการคุกคามแทรกแซงด้านการคมนาคมระหว่างกรุงเบอร์ลินและเยอรมันตะวันตก รวมทั้งให้การยอมรับในเอกราชของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอมันและสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมันด้วย
วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
Comparative Economic System
ระบบเศรษฐกิจแต่ละระบบมีแนวโน้มที่จะทำให้เศรษฐกิจก้าวหน้า การศักษาปัญหาขั้นพื้นฐานของแต่ละระบบมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใด ระบบเศรษฐกิจแต่ละระบบมีแนวโน้มที่จะทำให้เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าอยางใดบ้างเพื่อเป็นการศึกษาปัญหาขั้นพื้นฐานของแต่ละสังคมที่มีส่วนแตกต่างและคล้ายคลึงกัน
นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา มีการแข่งขันด้านเศรษฐกิจกันมากโดยเฉพาะรูปแบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมาสเซ๊ยเร่มเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ในปี 1930 และหลังจากนั้น 20 ปีจึงเกิดกลุ่มประเทศบริวารเกิดตามมา
การวิเคราะห์พื้นฐานรูปแบบของระบบเศรษฐกิจ ต้องทราบปัจจัย คือ ชาตินิยม สังคม,ความสัมพันธ์กับวิชาแขนงอื่นพอควร,ปรัชญา,โครงสร้างระบบเศรษฐกิจ
หน้าที่ของกลไกทางเศรษฐกิจ คือ ตัดสินว่าใคร หน่วยใด จะเป็นผุ้มีอำนาจตัดสินใจด้านเศรษฐกิจ เกี่ยวข้องกับทางเศรษฐกิจ การบริโภค การผลิต รวมั่งตัดสินจในรูปใด โดยมีเป้าหมายวัตถุประสงค์เป็ฯสำคัญ โดยเป้าหมายคือ
.. จะทำอย่างไรจึงจะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ
..ก่อให้เกิดการกระจายรายได้ที่เป็ฯธรรมให้เท่าเทียมกัน
.. ความเจริญทางด้านเศรษฐกิจเป็นที่ตั้ง
สังคมนิยม
สังคมนิยม หมายถึง ชุมชนทางเศรษฐกิจที่ยอมรับกรรมสิทธิและปัจจัยทางเศรษฐกิจโดยเน้นหนัก หรือการผลิตอุตสาหกรรมในสาขาเศรษฐกิจที่สำคัญเป็นของส่วนรวม การดำเนินการมุ่งประโยชน์ส่วนรวม ในแง่ว่าเพื่อให้รายได้เท่าเทียมกัน และในขณะเดียวกันระบบก็มิได้ทำลายเสรีภาพของบุคคลในการบริโภค การอาชีพแบ่งเป็นสังคมนิยมภายใต้ระบบเศรษฐกิจมีการวางแยปส่วนกลาง และสังคมนิยมประชาธิปไตย
ระบบทุนนิยมไม่สามารถสร้างอุปสงค์รวมให้ได้เพียงพอ แล้วในขณะเดียวกัน ไม่สามารถตอบสนองได้เสมอไป และพบว่าบางครั้งอุปสงค์รวมมากกว่าอุปทาน ผลจะทำให้ระดับราคาเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำกลไกของราคาไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ระบบนายทุนไม่สามารถแห้ไขได้เพราะฉะนั้น รัฐบาลจึงต้องเข้ามาควบคุมราคา การผลิต กำหนดอุปทานรวม และค้านว่าการควบคุมราคา การผลิต กำหนดอุปทานรวม และค้าวาการควบคุมราคา โดยอาศัยนโยบายการเงินและการคลัง ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ จึงต้องมีการปฏิรูปพื้นฐานทางเศรษฐกิจก่อน
ในระบบนายทุนทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจ เกิดความไม่เท่าเทียมทั้งทางการศึกษาและการเงิน เน้นบทบาทเอกชน ซึ่งระบบสังคมนิยมโจมตีว่าให้เสรีภาพแก่เอกชนมากเกินไปการแข่งขัน การโฆษณา เกินความจำเป็นและไม่เหมาะสม ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้ระบบเศรษฐกิจเน้นหนักด้านสินค้าอุปโภคบริโภค มากว่าสินค้าทุนซึ่งมีผลสะท้อนไปถึง เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล สวนสาธารณะ ทางแก้ไขคือ แก้ไขระบบของสังคมเสียใหม่
การควบคุมเศรษฐกิจในระบบสังคมนิยมทำได้ 2 ทางคือ การควบคุมทางด้านราคาและการควบคุมทางด้านปริมาณการผลิตแต่ละชนิด โดยรัฐเข้าควบคุมการผลิตทั้งหมด โดยมีหน่วยงานวางแผนจากส่วนกลาง เข้าทำการควบคุม
การวางแผนจากส่วนกลาง
เร่มจะเด่นชัดเมื่อประเทศเมื่อรัสเซียเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นแบบสังคมนิยมแบบบังคับ ส่วนกลางจะเป็นผู้จัดสรรปัจจัยการผลิตให้เกิดความสมดุลกัน
ปัจจุบันประเทศที่มีการวางแผนจากสวนกลาง ได้กลายเป็นหลักและวิธีปฏิบัติ ได้แก่ ประเทศเนเธอร์แลนด์ สแกนดิเนเวย ฝรั่งเศส จุดมุ่งหมายของการวางแผนจากส่สวนกลางคือ มุ่งพัฒนาอัตราการขยายตัวและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ มุ่งให้ระบบเศรษฐกิจมีการจ้างงานเต็มที่ การจะบรรลชุผลตามแผนเศรษฐกิจส่วนกลางที่ได้วางไดว้ขึ้นอยู่กับชนิดของแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ได้วางไว้ถายใต้การปกครองรูปแบบสังคมนิยม สังคมนิยมประชาธิปไตย ถ้ารูปแบบเศรษฐกิจเป็นแบบทุนนิยม แผนที่ออกมาจะเป็นในรูปแบบแผนของการชี้แนะ มากกว่าสร้างแบบขึ้นมามิได้บังคับต้องเป็นไปตามแผนเพียงแต่เป็นเครื่องมือในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ต้องการให้การเจริญเติบโตเศรษฐกิจเป็นไปอย่างมีสมดุล ระบบทุนนิยมจะรวบรวมข่าวสารข้อมูลจากหน่วยผลิตทุกระดับเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเป็นข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อการตัดสินใจที่จะวางแผนการผลิต การลงทุนในอนาคตได้
การวางแผนจากส่วนกลางเป็นความตั้งใจที่จะให้เกิด ความกลมกลืน ความประสานงานระหว่างหน่วยผลิตกับการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจของตน รัฐบาลกลางจะรวบรวมข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงทุน การบริโภค การเคลื่อนไหวของสภาวะตลาด ดัชนีราคาสินค้า รัฐบาลสมารถจะชี้แนะปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น พร้อมทั้งแนวทางในการแก้ไขปัญหารเศรษฐกิจ ถ้าการกระทำเช่นนี้ประสบผลสำเร็จถือว่าเป็นส่วนดีของระบบเศษฐกิจที่เกิดการประหยัดต้นทุน ไม่เกิดความซ้ำซ้อน ในแต่ละหน่วยงานอันจะเกิดการไม่ประหยัดทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น
การวางแผนจากส่วนกลาง ผสมผสานกับการกระจายอำนาจจากส่วนกลาง
จะเปิดโอกาสให้หน่วยผลิตเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อการวางแผนจากส่วนกลาง กระจายความรับผิดชอบไปยังหน่วยงานภูมิภาคหรือองค์กรภูมิภาคด้วยเหตุผลเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นกับหน่วยผลิต โดยมีโครงสร้างการบริหารดังนี้
การกระจายอำนาจการบริหาร ยุคครุสซอฟ โครงสร้างการปบริหาร..มีจุดมุ่งหมายเพ่อเป็นแรวทางในการสร้างแรงจูงใจ ยอมรับว่า “กำไร” เป็นหน่วยงานบรรทัดฐานที่สำคัญต่อหน่วยผลิต เป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงขีดความสามารถของหน่วยผลิตรัฐพยายามก็จะไม่ส่งเสริมการอุดหนุนให้แก่หน่วยผลิต
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม รูปแบบของการกระจายอำนาจการวางแผน ยังคงสงวนให้ “ราคาสินค้า”ถูกกำหนดโดยตรงมาจากผุ้บริหารจากการวางแผนจากส่วนหลาง แต่มีข้อดีตรงที่ว่า ราคาสินค้าที่กำหนดให้นั้นจะใกล้เคียงกับค่าใช้จ่ายในการผลิต ราคาสินค้าจะมีการปรับให้เกิดการสมดุลกับท้องตลอดอยู่เสมอ ส่งเสริมให้มีการเลือการบริโภคแต่ถึงอย่งไร การจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ก็ยังไม่เกิดขึ้นในรูปแบบนี้
แม้นว่าจะมีการวางแผนจากสวนกลางแบบกระจายอำนาจ แต่กลไกราคายังไม่มีโอกาศเข้ามามีบทบาทได้อย่างเต็มที่
ยูโกสลาเวียแม่แบบ “Democratic Socialism”
ยูโกสลาเวียนำกลไกตลาดมาใช้ในระบบเศรษฐกิจ ยูโกสลาเวยเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่เคยตกอยู่ในอิทธิพลของกลุ่มคอมมิวนิสต์ ในฐานะประเทศบริวาร โดยมีรัสเซียเป็นหัวหน้ากลุ่ม ภายหลังขัดแย้งกับรัสเซียจึงแยกตัวออกมา
ระบบเศรษฐกิจยูโกสลาเวียมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นคอมมิวนิสต์ แบบประชาธิปไตย ได้พยายามต่อสู้ขจัดความขัดแย้งและการครอบงำ ทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ จากรัสเซีย แม้จะเป็นคอมมิวนิสต์ แต่การดำเนินงานด้านเศรษฐกิจอาศัยลาด และกลไกต่างๆ อยู่
ยูโกสลาเวียมีการดำเนินรูปแบบเศรษฐกิจแบบ Democratic Socialism ยูโกสลาเวียได้พยายามที่จะต่อสู้ ขจัดการขัดแย้งการครอบงำทั้งด้านการเมืองเศรษฐกิจ ในที่สุดยูโกสลาเวียสามารถหลุดพ้นจากรัสเซียโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ยูโกสลาเวียยังคงไว้ซึ่งความเป็นคอมมิวนิสต์ การดำเนินเศรษฐกิจยูโกสลาเวียแตกต่างไปจากประเทศอเมริกาปละปรเทศอื่น ๆ ในแถบยุโรปตะวันตก ยูโกสลาเวียยังคงรักษาไว้ซึ่งความเป็ฯประเทศคอมมิวนิสต์ ทั้ง ๆ ที่การดำเนินกิจกรรมเศรษฐกิจ จะยังคงอาศัยกลไกต่าง ๆ ในการดำเนินงานทางเศรษฐกิจ
ยูโกสลาเวียก้านการปกครองเป็นรูปแบบคอมมิวนิสต์ แต่ด้านการบริหารด้านเศรษฐกิจเป็นปบบประชาธิปไตย เปิดโอกาสด้านการให้เสรีภาพด้านการผลิตการบริหาร
ยูโกสลาเวียแยกตัวจากรัสเซีย มีความจำเป็นต้องพึ่งตนเองโดยอาศัยความร่วมือทางด้านกรรมกร เพราะฉะนั้นขาดความช่วยเหลือจากรัศเซีย ทั้งทางด้านเทคโนโลยี ด้านทุน โดยอาศัยคนงานเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่จะนำเศรษฐกิจให้อยู่รอด ซึ่งเป็นที่มาของการกระจายอำนาจออกจากส่วนกลาง
สาระสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบยูโกสลาเวียถือเป็นระบบเศรษฐกิจแบบประชาธิปไตย แม้รัฐบาลจะเข้ามามีส่วนร่วมคุมแต่รัฐจะเข้ามายุ่งดดยพิจารณาถึงสภาพแวดล้อม ภาวะเศรษฐกิจต่าง ๆ
ระบบเศรษฐกิจของยูโกสลาเวีย เน้นความสำคัญของประสิทธิภาพการผลิตมากเพราะการที่อุตสาหกรรมของยูโกสลาเวียจะสามารถแข่งขันหรือสู้กับตลาดของต่างประเทศอื่นๆ ได้ และให้การผลิตภายในประเทศเพียงพอ
ลักษณะพิเศษของเศรษฐกิจยูโกสลาเวีย
ความคิดที่ขึ้นค่าแรงงานของกรรมกร จัดการโรงงานที่เกิดขึ้นนี้มาจากเหตุผลที่ว่ากรรมกรหรือกลุ่มของกรรมกรย่อมรู้ปัญหาต่าง ๆ ของโรงงานได้ดีหว่ารัฐ กรรมกรในฐานะผู้บริหารจะได้ดูแลความมั่นคง และการครองชีพที่ดีพอให้แก่กรรมกรด้วยกัน ขจัดการเอาเปรียบและถือว่ากรรมกรเป็นคนต่างชั้น
สาเหตุที่ยูโกสลาเวียตีตัวออกห่างจากรัสเซีย เพราะการดำเนินเศรษฐกิจตามแบบรัสเซียก่อให้เกิดปัญหา
ลักษณะพิเศษในระบบเศรษฐกิจยูโกสลาเวียคือ รัฐเป็นเจ้าของหน่วนผลิตทุกหน่วย แต่การจ้างทำงานเป็นของกรรมกรของโรงงาน โดยให้กรรมกรเป็นผู้บริหารโรงงาน โดยที่โรงงานแต่ละแห่ง จะมีสภากรรมกรของโรงงาน ที่ได้รับเลือกตั้งโดยกรรมกรของโรงงานนั้น และดำรงตำแหน่งคราวละ 1 ปี จะทำหน้าที่เลือกคณะผู้บริหารงานเพื่อจะมาทำหน้าที่บริหารงานตามนโยบายที่สภากรรมกรได้วางไว้ และปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของรัฐบาลด้วย การปฏิบัติหน้าที่เพิ่มนี้ กรรมกรจะไม่รับเงินเพิ่มแต่อย่างใดคงได้แต่เงนิเดือนตามปกตอก่อนได้รับเลือก
โรงงานแต่ละแห่งจะมีหัวหน้าผู้จัดการ Chief Nanager คนหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่บริหารประจำวันต่าง ๆ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยสภาตำบลที่โรงงานนั้นตั้งอยู่ จะมีการแข่งขันตำแหน่งผู้จัดการจากบุคคลทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเป็นคนงานในโรงงานนั้น จึงทำให้ผู้จัดการไม่อยู่ในบังคับของสภากรรมกรโดยเด็ดขาด แต่มีความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน
ระบบราคาในยูโกสลาเวีย ไม่สามรถจะดำเนินตามกลไกตลาดได้ และยังคงเป็นปัญหาในยูโกสลาเวีย ทางด้านการควบคุมทุน และการตัดสินใจ ยังคงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลอยู่มิได้ผ่าน “ตลาดอัตราดอกเบี้ย”
ระบบสังคมประชาธิปไตยแบบอังกฤษ
รูปแบบเศรษฐกิจมีการควบคุมการดำเนินเศรษฐกิจการคลังรวมอยู่ด้วยกันภายใต้ระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมประชาธิปไตย จะยึดถือหลักกลไกทางการเมือง โดยอาศัยกฎหมายผ่านสภาเป็นองค์กรที่จะให้มีการรับรองประเทศ เปลี่ยนไปสู่ประเทศสังคมนิยม ประเทศแม่แบบคือ อังกฤษ
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเกิดขึ้น ประเทศอังกฤษมีเศรษฐกิจดี หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษประสบปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้อังกฤษต้องสูญเสียความเป็นผุ้นำทางเศรษฐกิจ ประมาณการส่งสินค้าไปขายยังตลาดต่าประเทศลดลง ประสบปัญหาคู่แข่งขันรายใหม่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ประเทศลูกค้าผลิตสินค้าทดแทนการนำเข้า ..อังกฤษได้รับความเสียหายจากสงครามมาก รายจ่ายจำนวนมากมายมหาศาลที่ใช้ทำสงคราม การลงทุนต่างประเทศหยุดชะงัก รัฐบาลต้องเข้าแก้ไขสภาวะเศรษฐกิจทรุดโทรม โดยใช้ “ระบบเสรีนิยม”ระบบนี้ส่งเสริมการค้าเสรี เอกชนดำเนินการค้าได้เต็มที่รัฐบาลใช้มารตรการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเก็บภาษีขาเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในอัตราที่สูง
ในการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีการปรับปรุงวิทยาการที่ทันสมัย นำเอาเครื่งอจักรมาใช้ในการผลิตแทนแรงงาน ช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม คาร์ล มาร์กซ์ได้แนวความคิดจากอังกฤษ นักเศรษฐศาสตร์ของอังกฤษคือ ได้เห็นว่าการที่เอกชนยังมีกรรมสิทธิในทรัพย์สินต่าง ๆ นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในสังคมเกิดขึ้น ใครมีกรรมสิทธิในทรัพย์สินมากบุคคลนั้นจะมีความเหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้น นักเศรษฐศาสตร์ชาวสวีเดน ได้โจมตีการเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันระวห่างเอกชน เป็นการนำความชั่วร้ายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เกิดการขูดรีด เกิดการเอารัดเอาเปรียบ สร้างอำนาจการผูกขาด ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่พึงปรารถนาที่จะให้เกิดในระบบ การขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกิดขึ้นหากกรรมกรจะมารวมตัวกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ เพื่อขจัดการเอรัดเอาเปรียบ การรวมตัวของกรรมกรครั้งนี้เป็นที่มาของพรรคกรรมกรในเวลาต่อมา
กรรมกรแต่ละกลุ่มจะรวมตัวกันเป็น เทรด ยูเนียนขนาดเล็กๆ รวมกลุ่มกันเป็นพรรคขนาดใหญ๋เกิดขึ้น นับตั้งแต่ปี 1924 เป็นต้นไป พรรคแรงงานได้รับการเลื่อกตั้งเข้าบริหารประเทศเป็นครั้งแรก ตามประวัติศาสตร์การเมืองของอังกฤษ เมื่อใดที่พรรคกรรมกรได้มีโอกาสเป็นรัฐบาล เมื่อนั้นจะมีแนวโน้มที่จะโอนกิจการขั้นพื้นฐานเข้าเป็นของรัฐ
ระบบเศรษฐกิจของอังกฤษเป็นแบบสังคมนิยมประชาธิปไตย แม้ว่าจะมีการโอนกิจการต่าง ๆ เข้าเป็นของรัฐแต่ได้ใช่วิธีเผด็จการ แต่อาศัญวิธีการทางด้านประชาธิปไตย…
ระบบทุนนิยม
โครงสร้างระบบทุนนิยมมีการพัฒนาโดยได้รับแนวความคิด นักเศรษฐศาสตร์ตามลำดับดังนี้ คือ อดัมสมิธ คลาสสิค และเคนส์
อดัม สมิธ เป็นผู้มีบทบาทในการวางโครงสร้างแบบทุนนิยม รุปแบบระบบทุนนิยม บรรดาปัจจัยการผลิตทั้งหมดจะตกอยู่กับกรรมสิทธิส่วนบุคคล เน้นถึงความสำคัญของการประกอบการวิสาหกิจแบบเสรี โดยที่รัฐบาลมไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว
แนวความคิดการดำเนินกลไกเศรษฐกิจของคลาสสิค จะเป็นไปโดยกลไกอัตโนมัติ ไม่ว่าระบบเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปใด ราคาจะเป็นตัวแข้ปรับไม่ว่าจะเป็นด้านอัตราดอกเบี้ย ค่าเช่า ค่าจ้าง การมีงานทำ ขณะใดขณะหนึ่ง ที่ระบบเศรษฐกิจการว่างงานเกิดขึ้นระดับค่าจ้างก็จะลดลงจนกว่าเข้าจุดสมดุล การจ้างงานจะเพิ่มขึ้นแนวความคิดของคลาสสิค ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศสหรัฐได้นำแนวความคิดแบบนี้มาใช้ในกลไกเศรษฐกิจตรบเท่าหลักสงครามโลกครั้งที่ 2 สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก แนวความคิดของเคนส์ มามีอิทธิพลต่อการแก้ไขสภาวะเศรษฐกิจตกตำได้สำเร็จ
เคนส์ ไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดของคลาสสิค การปรับตัวของอัตราค่าจ้าง โดยอาศัยกลไกราคา ไม่ประสบผลสำเร็จ ยังไม่สามารถในการแก้ไขสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในปี 1932 ปรากฏว่าการใช้มาตรการปรับตัวดดยอัตโนมัติ และกลไกราคา ไม่ช่วยแขสภาวะการว่างงานมีจำนวนมากในระยะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เลย รัฐบาลจำเป็นต้องเข้าแทรกแซง เคนส์ ได้เสนอให้นำนโยบายการเงิน และนธยบายการคลัง มาใช้ ในการควบคุมอัตราดอกเบี้ย เป็นการปิจารณาด้านเงินเฟ้อ การว่างงานซึ่งจัดเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ ในระยะเริ่มแรกมีการคัดค้านเกิดขั้น เคนส์ แก้ไขเศรษฐกิจทั้งระบบ กล่าวคือ มองในแง่มหภาค ซึ่งในระยะต่อมากลาเป็นที่ยอมรับเมื่อสหรัฐอเมริกามีบทบาทด้านอำนาจในทางเศรษฐกิจแทนอังกฤษ
ข้อดีของระบบทุนนิยม
- สามารถแก้ไขสภาวะเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว จัดเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีความยือหยุ่นดีกว่าบบเศรษฐกิจแบบอื่น
- มาตรฐานการครองชีพ ระบบทุนนิยมตั้งความหวังไว้ว่าจะยกระดับมารตรฐานการครองชีพของประชาชนให้ดีขึ้นพร้อม ๆ กับการเพื่อของประชากร
- พลังในทางประกอบการ ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะของสังคมที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ได้ดีมากเพียงไร ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวผุ้ประกอบการ ข้อนี้ถือเป็นจุดเด่นของระบบทุนนิยม
- ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ระบบทุนนิยมจะมีสถาบันต่าง ๆ ที่จะส่งเสริมให้บุคคลมีความต้องการที่จะค้นพบวิธีการต่างๆ เพื่อจะลดต้นทุนการผลิตซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ซึ่งมีผลต่อการก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม
- ส่งเสริมโอกาสของแต่ละบุคคล จุดเด่นระบบทุนนิยมเน้น ภายใต้ระบบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นบุคคลเหรือบริษัทก็ตามจะอาศัยกำไรเป็นแรงจูงใจในการผลิต ตลอดจนแสวงหามาตรฐานการครองชีพที่สูงสุด สนับสนุนในภายใต้ระบบมีการเสียง โดยมีกำไรสูงสุดเป็นเป้าหมายอันสำคัญ
ข้อบกพร่องระบบทุนนิยม
- ความไม่เท่าเทียมการกระจายรายได้ สาเหตุการนำไปสู่ความไม่เท่าเทียม ซึ่งมีหลายสาเหตุด้วยกันอาทิ ชนิดของปัจจัยการผลิตสามารถเกิดมูลค่าเพิ่มได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน ความสามารถของแรงงาน สถาบันทรัพย์สินส่วนบุคคล การสืบทอดมรดก เป็นต้น ซึ่งนำมาสู่ผลกระทบอันเกิดจากความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ จะกอ่ให้เกิด โอกาสในการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมกัน,สถาบันพื้นฐานทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยม ไม่อาจจะช่วยให้มีสวัสดิการสูงขึ้นได้,คุณต่าของชีวิตกับคุณค่าของเงิน ควาสำเร็จของธุรกิจเอกชนในระบบทุนนิยม วัดด้วยผลกำไรที่ได้รับ ราคาสินค้า ต้นทุนการผลิต เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเงินตราล้วนแต่มองข้ามสวัสดิการมนุษย์จะได้รับ
- นำไปสู่การผูกขาด ระยะเริ่มแรกจะมีการผลิตในรูปแบบของการแข่งขัน ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายไม่มีบทบาทในการกำหนดราคา กลไกราคาจะเป็นผู้กำหนดราคาสินค้า แต่ระยะหลังต่อมาผู้ผลิตรายใหญ่จะพยายามใช้วิถีทางของการได้เปรียบเชิงเศรษฐกิจ เข้าช่วงชิงการผลิตอาจจะมาใน สภาพการผูกขาดราคาสินค้าที่กำหนด จะมีราคาสูงกว่าระบบราคาในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ การผูกขาดย่อมก่อให้เกิดการแจกจ่ายทรัพยากรการผลิตแบบไม่มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด เพราะราคาต่อหน่วยสุดท้ายที่ผู้บริโภคต้องการซื้อสินค้า จะสูงมากกว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมุ่งแสวงหากำไรสูงสุดจากการผลิต กำไรเช่นนี้มิได้เกิดจากประสิทธิภาพในการผลิต แต่เกิดจากสภาพการผูกขาด
นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา มีการแข่งขันด้านเศรษฐกิจกันมากโดยเฉพาะรูปแบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมาสเซ๊ยเร่มเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ในปี 1930 และหลังจากนั้น 20 ปีจึงเกิดกลุ่มประเทศบริวารเกิดตามมา
การวิเคราะห์พื้นฐานรูปแบบของระบบเศรษฐกิจ ต้องทราบปัจจัย คือ ชาตินิยม สังคม,ความสัมพันธ์กับวิชาแขนงอื่นพอควร,ปรัชญา,โครงสร้างระบบเศรษฐกิจ
หน้าที่ของกลไกทางเศรษฐกิจ คือ ตัดสินว่าใคร หน่วยใด จะเป็นผุ้มีอำนาจตัดสินใจด้านเศรษฐกิจ เกี่ยวข้องกับทางเศรษฐกิจ การบริโภค การผลิต รวมั่งตัดสินจในรูปใด โดยมีเป้าหมายวัตถุประสงค์เป็ฯสำคัญ โดยเป้าหมายคือ
.. จะทำอย่างไรจึงจะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ
..ก่อให้เกิดการกระจายรายได้ที่เป็ฯธรรมให้เท่าเทียมกัน
.. ความเจริญทางด้านเศรษฐกิจเป็นที่ตั้ง
สังคมนิยม
สังคมนิยม หมายถึง ชุมชนทางเศรษฐกิจที่ยอมรับกรรมสิทธิและปัจจัยทางเศรษฐกิจโดยเน้นหนัก หรือการผลิตอุตสาหกรรมในสาขาเศรษฐกิจที่สำคัญเป็นของส่วนรวม การดำเนินการมุ่งประโยชน์ส่วนรวม ในแง่ว่าเพื่อให้รายได้เท่าเทียมกัน และในขณะเดียวกันระบบก็มิได้ทำลายเสรีภาพของบุคคลในการบริโภค การอาชีพแบ่งเป็นสังคมนิยมภายใต้ระบบเศรษฐกิจมีการวางแยปส่วนกลาง และสังคมนิยมประชาธิปไตย
ระบบทุนนิยมไม่สามารถสร้างอุปสงค์รวมให้ได้เพียงพอ แล้วในขณะเดียวกัน ไม่สามารถตอบสนองได้เสมอไป และพบว่าบางครั้งอุปสงค์รวมมากกว่าอุปทาน ผลจะทำให้ระดับราคาเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำกลไกของราคาไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ระบบนายทุนไม่สามารถแห้ไขได้เพราะฉะนั้น รัฐบาลจึงต้องเข้ามาควบคุมราคา การผลิต กำหนดอุปทานรวม และค้านว่าการควบคุมราคา การผลิต กำหนดอุปทานรวม และค้าวาการควบคุมราคา โดยอาศัยนโยบายการเงินและการคลัง ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ จึงต้องมีการปฏิรูปพื้นฐานทางเศรษฐกิจก่อน
ในระบบนายทุนทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจ เกิดความไม่เท่าเทียมทั้งทางการศึกษาและการเงิน เน้นบทบาทเอกชน ซึ่งระบบสังคมนิยมโจมตีว่าให้เสรีภาพแก่เอกชนมากเกินไปการแข่งขัน การโฆษณา เกินความจำเป็นและไม่เหมาะสม ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้ระบบเศรษฐกิจเน้นหนักด้านสินค้าอุปโภคบริโภค มากว่าสินค้าทุนซึ่งมีผลสะท้อนไปถึง เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล สวนสาธารณะ ทางแก้ไขคือ แก้ไขระบบของสังคมเสียใหม่
การควบคุมเศรษฐกิจในระบบสังคมนิยมทำได้ 2 ทางคือ การควบคุมทางด้านราคาและการควบคุมทางด้านปริมาณการผลิตแต่ละชนิด โดยรัฐเข้าควบคุมการผลิตทั้งหมด โดยมีหน่วยงานวางแผนจากส่วนกลาง เข้าทำการควบคุม
การวางแผนจากส่วนกลาง
เร่มจะเด่นชัดเมื่อประเทศเมื่อรัสเซียเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นแบบสังคมนิยมแบบบังคับ ส่วนกลางจะเป็นผู้จัดสรรปัจจัยการผลิตให้เกิดความสมดุลกัน
ปัจจุบันประเทศที่มีการวางแผนจากสวนกลาง ได้กลายเป็นหลักและวิธีปฏิบัติ ได้แก่ ประเทศเนเธอร์แลนด์ สแกนดิเนเวย ฝรั่งเศส จุดมุ่งหมายของการวางแผนจากส่สวนกลางคือ มุ่งพัฒนาอัตราการขยายตัวและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ มุ่งให้ระบบเศรษฐกิจมีการจ้างงานเต็มที่ การจะบรรลชุผลตามแผนเศรษฐกิจส่วนกลางที่ได้วางไดว้ขึ้นอยู่กับชนิดของแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ได้วางไว้ถายใต้การปกครองรูปแบบสังคมนิยม สังคมนิยมประชาธิปไตย ถ้ารูปแบบเศรษฐกิจเป็นแบบทุนนิยม แผนที่ออกมาจะเป็นในรูปแบบแผนของการชี้แนะ มากกว่าสร้างแบบขึ้นมามิได้บังคับต้องเป็นไปตามแผนเพียงแต่เป็นเครื่องมือในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ต้องการให้การเจริญเติบโตเศรษฐกิจเป็นไปอย่างมีสมดุล ระบบทุนนิยมจะรวบรวมข่าวสารข้อมูลจากหน่วยผลิตทุกระดับเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเป็นข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อการตัดสินใจที่จะวางแผนการผลิต การลงทุนในอนาคตได้
การวางแผนจากส่วนกลางเป็นความตั้งใจที่จะให้เกิด ความกลมกลืน ความประสานงานระหว่างหน่วยผลิตกับการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจของตน รัฐบาลกลางจะรวบรวมข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงทุน การบริโภค การเคลื่อนไหวของสภาวะตลาด ดัชนีราคาสินค้า รัฐบาลสมารถจะชี้แนะปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น พร้อมทั้งแนวทางในการแก้ไขปัญหารเศรษฐกิจ ถ้าการกระทำเช่นนี้ประสบผลสำเร็จถือว่าเป็นส่วนดีของระบบเศษฐกิจที่เกิดการประหยัดต้นทุน ไม่เกิดความซ้ำซ้อน ในแต่ละหน่วยงานอันจะเกิดการไม่ประหยัดทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น
การวางแผนจากส่วนกลาง ผสมผสานกับการกระจายอำนาจจากส่วนกลาง
จะเปิดโอกาสให้หน่วยผลิตเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อการวางแผนจากส่วนกลาง กระจายความรับผิดชอบไปยังหน่วยงานภูมิภาคหรือองค์กรภูมิภาคด้วยเหตุผลเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นกับหน่วยผลิต โดยมีโครงสร้างการบริหารดังนี้
การกระจายอำนาจการบริหาร ยุคครุสซอฟ โครงสร้างการปบริหาร..มีจุดมุ่งหมายเพ่อเป็นแรวทางในการสร้างแรงจูงใจ ยอมรับว่า “กำไร” เป็นหน่วยงานบรรทัดฐานที่สำคัญต่อหน่วยผลิต เป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงขีดความสามารถของหน่วยผลิตรัฐพยายามก็จะไม่ส่งเสริมการอุดหนุนให้แก่หน่วยผลิต
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม รูปแบบของการกระจายอำนาจการวางแผน ยังคงสงวนให้ “ราคาสินค้า”ถูกกำหนดโดยตรงมาจากผุ้บริหารจากการวางแผนจากส่วนหลาง แต่มีข้อดีตรงที่ว่า ราคาสินค้าที่กำหนดให้นั้นจะใกล้เคียงกับค่าใช้จ่ายในการผลิต ราคาสินค้าจะมีการปรับให้เกิดการสมดุลกับท้องตลอดอยู่เสมอ ส่งเสริมให้มีการเลือการบริโภคแต่ถึงอย่งไร การจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ก็ยังไม่เกิดขึ้นในรูปแบบนี้
แม้นว่าจะมีการวางแผนจากสวนกลางแบบกระจายอำนาจ แต่กลไกราคายังไม่มีโอกาศเข้ามามีบทบาทได้อย่างเต็มที่
ยูโกสลาเวียแม่แบบ “Democratic Socialism”
ยูโกสลาเวียนำกลไกตลาดมาใช้ในระบบเศรษฐกิจ ยูโกสลาเวยเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่เคยตกอยู่ในอิทธิพลของกลุ่มคอมมิวนิสต์ ในฐานะประเทศบริวาร โดยมีรัสเซียเป็นหัวหน้ากลุ่ม ภายหลังขัดแย้งกับรัสเซียจึงแยกตัวออกมา
ระบบเศรษฐกิจยูโกสลาเวียมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นคอมมิวนิสต์ แบบประชาธิปไตย ได้พยายามต่อสู้ขจัดความขัดแย้งและการครอบงำ ทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ จากรัสเซีย แม้จะเป็นคอมมิวนิสต์ แต่การดำเนินงานด้านเศรษฐกิจอาศัยลาด และกลไกต่างๆ อยู่
ยูโกสลาเวียมีการดำเนินรูปแบบเศรษฐกิจแบบ Democratic Socialism ยูโกสลาเวียได้พยายามที่จะต่อสู้ ขจัดการขัดแย้งการครอบงำทั้งด้านการเมืองเศรษฐกิจ ในที่สุดยูโกสลาเวียสามารถหลุดพ้นจากรัสเซียโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ยูโกสลาเวียยังคงไว้ซึ่งความเป็นคอมมิวนิสต์ การดำเนินเศรษฐกิจยูโกสลาเวียแตกต่างไปจากประเทศอเมริกาปละปรเทศอื่น ๆ ในแถบยุโรปตะวันตก ยูโกสลาเวียยังคงรักษาไว้ซึ่งความเป็ฯประเทศคอมมิวนิสต์ ทั้ง ๆ ที่การดำเนินกิจกรรมเศรษฐกิจ จะยังคงอาศัยกลไกต่าง ๆ ในการดำเนินงานทางเศรษฐกิจ
ยูโกสลาเวียก้านการปกครองเป็นรูปแบบคอมมิวนิสต์ แต่ด้านการบริหารด้านเศรษฐกิจเป็นปบบประชาธิปไตย เปิดโอกาสด้านการให้เสรีภาพด้านการผลิตการบริหาร
ยูโกสลาเวียแยกตัวจากรัสเซีย มีความจำเป็นต้องพึ่งตนเองโดยอาศัยความร่วมือทางด้านกรรมกร เพราะฉะนั้นขาดความช่วยเหลือจากรัศเซีย ทั้งทางด้านเทคโนโลยี ด้านทุน โดยอาศัยคนงานเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่จะนำเศรษฐกิจให้อยู่รอด ซึ่งเป็นที่มาของการกระจายอำนาจออกจากส่วนกลาง
สาระสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบยูโกสลาเวียถือเป็นระบบเศรษฐกิจแบบประชาธิปไตย แม้รัฐบาลจะเข้ามามีส่วนร่วมคุมแต่รัฐจะเข้ามายุ่งดดยพิจารณาถึงสภาพแวดล้อม ภาวะเศรษฐกิจต่าง ๆ
ระบบเศรษฐกิจของยูโกสลาเวีย เน้นความสำคัญของประสิทธิภาพการผลิตมากเพราะการที่อุตสาหกรรมของยูโกสลาเวียจะสามารถแข่งขันหรือสู้กับตลาดของต่างประเทศอื่นๆ ได้ และให้การผลิตภายในประเทศเพียงพอ
ลักษณะพิเศษของเศรษฐกิจยูโกสลาเวีย
ความคิดที่ขึ้นค่าแรงงานของกรรมกร จัดการโรงงานที่เกิดขึ้นนี้มาจากเหตุผลที่ว่ากรรมกรหรือกลุ่มของกรรมกรย่อมรู้ปัญหาต่าง ๆ ของโรงงานได้ดีหว่ารัฐ กรรมกรในฐานะผู้บริหารจะได้ดูแลความมั่นคง และการครองชีพที่ดีพอให้แก่กรรมกรด้วยกัน ขจัดการเอาเปรียบและถือว่ากรรมกรเป็นคนต่างชั้น
สาเหตุที่ยูโกสลาเวียตีตัวออกห่างจากรัสเซีย เพราะการดำเนินเศรษฐกิจตามแบบรัสเซียก่อให้เกิดปัญหา
ลักษณะพิเศษในระบบเศรษฐกิจยูโกสลาเวียคือ รัฐเป็นเจ้าของหน่วนผลิตทุกหน่วย แต่การจ้างทำงานเป็นของกรรมกรของโรงงาน โดยให้กรรมกรเป็นผู้บริหารโรงงาน โดยที่โรงงานแต่ละแห่ง จะมีสภากรรมกรของโรงงาน ที่ได้รับเลือกตั้งโดยกรรมกรของโรงงานนั้น และดำรงตำแหน่งคราวละ 1 ปี จะทำหน้าที่เลือกคณะผู้บริหารงานเพื่อจะมาทำหน้าที่บริหารงานตามนโยบายที่สภากรรมกรได้วางไว้ และปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของรัฐบาลด้วย การปฏิบัติหน้าที่เพิ่มนี้ กรรมกรจะไม่รับเงินเพิ่มแต่อย่างใดคงได้แต่เงนิเดือนตามปกตอก่อนได้รับเลือก
โรงงานแต่ละแห่งจะมีหัวหน้าผู้จัดการ Chief Nanager คนหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่บริหารประจำวันต่าง ๆ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยสภาตำบลที่โรงงานนั้นตั้งอยู่ จะมีการแข่งขันตำแหน่งผู้จัดการจากบุคคลทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเป็นคนงานในโรงงานนั้น จึงทำให้ผู้จัดการไม่อยู่ในบังคับของสภากรรมกรโดยเด็ดขาด แต่มีความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน
ระบบราคาในยูโกสลาเวีย ไม่สามรถจะดำเนินตามกลไกตลาดได้ และยังคงเป็นปัญหาในยูโกสลาเวีย ทางด้านการควบคุมทุน และการตัดสินใจ ยังคงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลอยู่มิได้ผ่าน “ตลาดอัตราดอกเบี้ย”
ระบบสังคมประชาธิปไตยแบบอังกฤษ
รูปแบบเศรษฐกิจมีการควบคุมการดำเนินเศรษฐกิจการคลังรวมอยู่ด้วยกันภายใต้ระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมประชาธิปไตย จะยึดถือหลักกลไกทางการเมือง โดยอาศัยกฎหมายผ่านสภาเป็นองค์กรที่จะให้มีการรับรองประเทศ เปลี่ยนไปสู่ประเทศสังคมนิยม ประเทศแม่แบบคือ อังกฤษ
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเกิดขึ้น ประเทศอังกฤษมีเศรษฐกิจดี หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษประสบปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้อังกฤษต้องสูญเสียความเป็นผุ้นำทางเศรษฐกิจ ประมาณการส่งสินค้าไปขายยังตลาดต่าประเทศลดลง ประสบปัญหาคู่แข่งขันรายใหม่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ประเทศลูกค้าผลิตสินค้าทดแทนการนำเข้า ..อังกฤษได้รับความเสียหายจากสงครามมาก รายจ่ายจำนวนมากมายมหาศาลที่ใช้ทำสงคราม การลงทุนต่างประเทศหยุดชะงัก รัฐบาลต้องเข้าแก้ไขสภาวะเศรษฐกิจทรุดโทรม โดยใช้ “ระบบเสรีนิยม”ระบบนี้ส่งเสริมการค้าเสรี เอกชนดำเนินการค้าได้เต็มที่รัฐบาลใช้มารตรการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเก็บภาษีขาเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในอัตราที่สูง
ในการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีการปรับปรุงวิทยาการที่ทันสมัย นำเอาเครื่งอจักรมาใช้ในการผลิตแทนแรงงาน ช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม คาร์ล มาร์กซ์ได้แนวความคิดจากอังกฤษ นักเศรษฐศาสตร์ของอังกฤษคือ ได้เห็นว่าการที่เอกชนยังมีกรรมสิทธิในทรัพย์สินต่าง ๆ นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในสังคมเกิดขึ้น ใครมีกรรมสิทธิในทรัพย์สินมากบุคคลนั้นจะมีความเหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้น นักเศรษฐศาสตร์ชาวสวีเดน ได้โจมตีการเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันระวห่างเอกชน เป็นการนำความชั่วร้ายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เกิดการขูดรีด เกิดการเอารัดเอาเปรียบ สร้างอำนาจการผูกขาด ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่พึงปรารถนาที่จะให้เกิดในระบบ การขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกิดขึ้นหากกรรมกรจะมารวมตัวกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ เพื่อขจัดการเอรัดเอาเปรียบ การรวมตัวของกรรมกรครั้งนี้เป็นที่มาของพรรคกรรมกรในเวลาต่อมา
กรรมกรแต่ละกลุ่มจะรวมตัวกันเป็น เทรด ยูเนียนขนาดเล็กๆ รวมกลุ่มกันเป็นพรรคขนาดใหญ๋เกิดขึ้น นับตั้งแต่ปี 1924 เป็นต้นไป พรรคแรงงานได้รับการเลื่อกตั้งเข้าบริหารประเทศเป็นครั้งแรก ตามประวัติศาสตร์การเมืองของอังกฤษ เมื่อใดที่พรรคกรรมกรได้มีโอกาสเป็นรัฐบาล เมื่อนั้นจะมีแนวโน้มที่จะโอนกิจการขั้นพื้นฐานเข้าเป็นของรัฐ
ระบบเศรษฐกิจของอังกฤษเป็นแบบสังคมนิยมประชาธิปไตย แม้ว่าจะมีการโอนกิจการต่าง ๆ เข้าเป็นของรัฐแต่ได้ใช่วิธีเผด็จการ แต่อาศัญวิธีการทางด้านประชาธิปไตย…
ระบบทุนนิยม
โครงสร้างระบบทุนนิยมมีการพัฒนาโดยได้รับแนวความคิด นักเศรษฐศาสตร์ตามลำดับดังนี้ คือ อดัมสมิธ คลาสสิค และเคนส์
อดัม สมิธ เป็นผู้มีบทบาทในการวางโครงสร้างแบบทุนนิยม รุปแบบระบบทุนนิยม บรรดาปัจจัยการผลิตทั้งหมดจะตกอยู่กับกรรมสิทธิส่วนบุคคล เน้นถึงความสำคัญของการประกอบการวิสาหกิจแบบเสรี โดยที่รัฐบาลมไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว
แนวความคิดการดำเนินกลไกเศรษฐกิจของคลาสสิค จะเป็นไปโดยกลไกอัตโนมัติ ไม่ว่าระบบเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปใด ราคาจะเป็นตัวแข้ปรับไม่ว่าจะเป็นด้านอัตราดอกเบี้ย ค่าเช่า ค่าจ้าง การมีงานทำ ขณะใดขณะหนึ่ง ที่ระบบเศรษฐกิจการว่างงานเกิดขึ้นระดับค่าจ้างก็จะลดลงจนกว่าเข้าจุดสมดุล การจ้างงานจะเพิ่มขึ้นแนวความคิดของคลาสสิค ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศสหรัฐได้นำแนวความคิดแบบนี้มาใช้ในกลไกเศรษฐกิจตรบเท่าหลักสงครามโลกครั้งที่ 2 สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก แนวความคิดของเคนส์ มามีอิทธิพลต่อการแก้ไขสภาวะเศรษฐกิจตกตำได้สำเร็จ
เคนส์ ไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดของคลาสสิค การปรับตัวของอัตราค่าจ้าง โดยอาศัยกลไกราคา ไม่ประสบผลสำเร็จ ยังไม่สามารถในการแก้ไขสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในปี 1932 ปรากฏว่าการใช้มาตรการปรับตัวดดยอัตโนมัติ และกลไกราคา ไม่ช่วยแขสภาวะการว่างงานมีจำนวนมากในระยะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เลย รัฐบาลจำเป็นต้องเข้าแทรกแซง เคนส์ ได้เสนอให้นำนโยบายการเงิน และนธยบายการคลัง มาใช้ ในการควบคุมอัตราดอกเบี้ย เป็นการปิจารณาด้านเงินเฟ้อ การว่างงานซึ่งจัดเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ ในระยะเริ่มแรกมีการคัดค้านเกิดขั้น เคนส์ แก้ไขเศรษฐกิจทั้งระบบ กล่าวคือ มองในแง่มหภาค ซึ่งในระยะต่อมากลาเป็นที่ยอมรับเมื่อสหรัฐอเมริกามีบทบาทด้านอำนาจในทางเศรษฐกิจแทนอังกฤษ
ข้อดีของระบบทุนนิยม
- สามารถแก้ไขสภาวะเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว จัดเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีความยือหยุ่นดีกว่าบบเศรษฐกิจแบบอื่น
- มาตรฐานการครองชีพ ระบบทุนนิยมตั้งความหวังไว้ว่าจะยกระดับมารตรฐานการครองชีพของประชาชนให้ดีขึ้นพร้อม ๆ กับการเพื่อของประชากร
- พลังในทางประกอบการ ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะของสังคมที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ได้ดีมากเพียงไร ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวผุ้ประกอบการ ข้อนี้ถือเป็นจุดเด่นของระบบทุนนิยม
- ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ระบบทุนนิยมจะมีสถาบันต่าง ๆ ที่จะส่งเสริมให้บุคคลมีความต้องการที่จะค้นพบวิธีการต่างๆ เพื่อจะลดต้นทุนการผลิตซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ซึ่งมีผลต่อการก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม
- ส่งเสริมโอกาสของแต่ละบุคคล จุดเด่นระบบทุนนิยมเน้น ภายใต้ระบบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นบุคคลเหรือบริษัทก็ตามจะอาศัยกำไรเป็นแรงจูงใจในการผลิต ตลอดจนแสวงหามาตรฐานการครองชีพที่สูงสุด สนับสนุนในภายใต้ระบบมีการเสียง โดยมีกำไรสูงสุดเป็นเป้าหมายอันสำคัญ
ข้อบกพร่องระบบทุนนิยม
- ความไม่เท่าเทียมการกระจายรายได้ สาเหตุการนำไปสู่ความไม่เท่าเทียม ซึ่งมีหลายสาเหตุด้วยกันอาทิ ชนิดของปัจจัยการผลิตสามารถเกิดมูลค่าเพิ่มได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน ความสามารถของแรงงาน สถาบันทรัพย์สินส่วนบุคคล การสืบทอดมรดก เป็นต้น ซึ่งนำมาสู่ผลกระทบอันเกิดจากความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ จะกอ่ให้เกิด โอกาสในการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมกัน,สถาบันพื้นฐานทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยม ไม่อาจจะช่วยให้มีสวัสดิการสูงขึ้นได้,คุณต่าของชีวิตกับคุณค่าของเงิน ควาสำเร็จของธุรกิจเอกชนในระบบทุนนิยม วัดด้วยผลกำไรที่ได้รับ ราคาสินค้า ต้นทุนการผลิต เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเงินตราล้วนแต่มองข้ามสวัสดิการมนุษย์จะได้รับ
- นำไปสู่การผูกขาด ระยะเริ่มแรกจะมีการผลิตในรูปแบบของการแข่งขัน ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายไม่มีบทบาทในการกำหนดราคา กลไกราคาจะเป็นผู้กำหนดราคาสินค้า แต่ระยะหลังต่อมาผู้ผลิตรายใหญ่จะพยายามใช้วิถีทางของการได้เปรียบเชิงเศรษฐกิจ เข้าช่วงชิงการผลิตอาจจะมาใน สภาพการผูกขาดราคาสินค้าที่กำหนด จะมีราคาสูงกว่าระบบราคาในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ การผูกขาดย่อมก่อให้เกิดการแจกจ่ายทรัพยากรการผลิตแบบไม่มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด เพราะราคาต่อหน่วยสุดท้ายที่ผู้บริโภคต้องการซื้อสินค้า จะสูงมากกว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมุ่งแสวงหากำไรสูงสุดจากการผลิต กำไรเช่นนี้มิได้เกิดจากประสิทธิภาพในการผลิต แต่เกิดจากสภาพการผูกขาด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...