วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556
วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Russian Federation
การล่มสลายของสหภาพโวเวียต เป็นชื่อเรียกช่วงเวลาระหว่างปี 1985-1991 ซึ่งเป็นช่วงเวลที่มีฮาอิล กอบาชอฟ ผู้นำของสหภาพโซเวียต เดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมืองของสหภาพโซเวียต ภายใต้นโยบายกลาสนอสต์-เปเรสทรอยกา ซึ่งเป็นการเพิ่มสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเปิดโอกาสให้ประชาชนเป็จเจ้าของธุรกิจส่วนบุคคล การปฏิรูปดังกล่าวทำให้ประชาชนในสหภาพโซเวียตตระหนักถึงเสรีภาพในการดำรงชีวิต ต่อมาจึงส่งผลให้สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991
มิฮาอิล เซร์เกเยวิช กอร์บาชอฟ เป็นอดีตประธานาธิบดีและรัฐบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต รวมทังยังเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตอีกด้วย ความพยายามปฏิรูปสหภาพของกอร์บาชอฟได้นำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต และการยิตุสงครามเย็น ด้วยเหตุนี้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
กอร์บาชอฟได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยผู้บิรหารสูงสุดของ “สหภาพสาะรณรัฐสังคมนิยมโซเวียต”และเป็นสมาชิกกรรมการกลางของพรรคในปี 1971 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรระหว่างปี 1980-1985 เป็นสมาชิกโปลิตบูโร(คณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง) และเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสค์ แทนเชร์เนนโกที่เสียชีวิต กระทั่งได้เป็นประธานคณะผู้บริหารโซเวียตสูงสุด ในปี 1990 ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกและคนสุดท้ายของระบอบใหม่ก่อนการล่มสลายของสหภาพ
ในระหว่างการดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค กอร์บาชอฟได้ริเริ่มโครงการปฏิรูปและปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจและการเมืองจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยนโยบายที่รู้จักกนในชือ “เปเรสตรอยกา”เป็นการให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้นยอมให้มีการวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ และนโยบาย “กลาสนอสต์”ที่ยอมให้มีการประเมินและแก้ไขประวัติศาสตร์ของประเทศ
ด้านนโยบายการต่างประเทศและกลาโหม กอร์บาชอฟได้ตัดทอนลดงบประมาณด้านการทหาร นนโยบาย “การผ่อนคลายสงครามเย็น”กลับมาใช้ใหม่ ลดอาวุธนิวเคลียร์กับฝ่ายตะวันตก พร้อมทั้งถอนทหารออกจากระเทศอัฟกานิสถาน ในที่สุดฝ่ายอนุรักษนิยมในกองทัพยอมไม่ได้จึงกระทำรัฐประหารในเดือนสิงหาคม ซึ่งกอร์บาชอฟรอดมาได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ จากการประท้วงของประชานนำโดยบอริส เยลต์ซิน แต่ในที่สุดถูกบังคับให้ลาออก หลังพรรคคิมมิวนิสต์ถูกยุบและสหภาพล่มสลายในเดือนธันวาคมของปีเดียวกัน
บอริส นีโคลาเยวิช เยลต์ซิน เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหพันธรัฐรัสเซีย ดำรงตำแหน่งระหว่าง1991-1999 เดิมเป็นผู้สนับสนุนมิคาอิล กอร์บาชอฟ เยลต์ซินเกิดขึ้นภายใต้การปฏิรูปเปเรสตรอยกาเป็นหนึ่งในคู่แข่งทางการเมืองที่ทรางพลังที่สุดของกอร์บาชอฟ ในปี 1999 เขาได้รับเลื่อกด้วยเสียงประชาชนเป็นประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียซึ่งเป็นตำแหน่างที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ ขณะนั้นเป็นหนึ่งใน 15 สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญสหภาพโซเวียต เขาได้รับคะแนนเสียงชนะผู้เข้าชิงตำแหน่งอีก 5 คน และเป็นผู้นำที่ได้รับเลื่อกตั้งตามแนวทางประชาธิปไตยคนที่สองของรัสเซียในประวัติศาสตร์ หลังมิคาอิล กอร์บาชอฟลาออกจากตำแหน่างและสหภาพโซเวียตยุบลงครั้งสุดท้าย เยลต์ซินยังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัพนธรัฐรัสเซีย ซึ่งเป็นรัฐสืบทอดของสหภาพโซเวียต
มิฮาอิล เซร์เกเยวิช กอร์บาชอฟ เป็นอดีตประธานาธิบดีและรัฐบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต รวมทังยังเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตอีกด้วย ความพยายามปฏิรูปสหภาพของกอร์บาชอฟได้นำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต และการยิตุสงครามเย็น ด้วยเหตุนี้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
กอร์บาชอฟได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยผู้บิรหารสูงสุดของ “สหภาพสาะรณรัฐสังคมนิยมโซเวียต”และเป็นสมาชิกกรรมการกลางของพรรคในปี 1971 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรระหว่างปี 1980-1985 เป็นสมาชิกโปลิตบูโร(คณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง) และเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสค์ แทนเชร์เนนโกที่เสียชีวิต กระทั่งได้เป็นประธานคณะผู้บริหารโซเวียตสูงสุด ในปี 1990 ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกและคนสุดท้ายของระบอบใหม่ก่อนการล่มสลายของสหภาพ
ในระหว่างการดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค กอร์บาชอฟได้ริเริ่มโครงการปฏิรูปและปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจและการเมืองจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยนโยบายที่รู้จักกนในชือ “เปเรสตรอยกา”เป็นการให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้นยอมให้มีการวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ และนโยบาย “กลาสนอสต์”ที่ยอมให้มีการประเมินและแก้ไขประวัติศาสตร์ของประเทศ
ด้านนโยบายการต่างประเทศและกลาโหม กอร์บาชอฟได้ตัดทอนลดงบประมาณด้านการทหาร นนโยบาย “การผ่อนคลายสงครามเย็น”กลับมาใช้ใหม่ ลดอาวุธนิวเคลียร์กับฝ่ายตะวันตก พร้อมทั้งถอนทหารออกจากระเทศอัฟกานิสถาน ในที่สุดฝ่ายอนุรักษนิยมในกองทัพยอมไม่ได้จึงกระทำรัฐประหารในเดือนสิงหาคม ซึ่งกอร์บาชอฟรอดมาได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ จากการประท้วงของประชานนำโดยบอริส เยลต์ซิน แต่ในที่สุดถูกบังคับให้ลาออก หลังพรรคคิมมิวนิสต์ถูกยุบและสหภาพล่มสลายในเดือนธันวาคมของปีเดียวกัน
บอริส นีโคลาเยวิช เยลต์ซิน เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหพันธรัฐรัสเซีย ดำรงตำแหน่งระหว่าง1991-1999 เดิมเป็นผู้สนับสนุนมิคาอิล กอร์บาชอฟ เยลต์ซินเกิดขึ้นภายใต้การปฏิรูปเปเรสตรอยกาเป็นหนึ่งในคู่แข่งทางการเมืองที่ทรางพลังที่สุดของกอร์บาชอฟ ในปี 1999 เขาได้รับเลื่อกด้วยเสียงประชาชนเป็นประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียซึ่งเป็นตำแหน่างที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ ขณะนั้นเป็นหนึ่งใน 15 สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญสหภาพโซเวียต เขาได้รับคะแนนเสียงชนะผู้เข้าชิงตำแหน่งอีก 5 คน และเป็นผู้นำที่ได้รับเลื่อกตั้งตามแนวทางประชาธิปไตยคนที่สองของรัสเซียในประวัติศาสตร์ หลังมิคาอิล กอร์บาชอฟลาออกจากตำแหน่างและสหภาพโซเวียตยุบลงครั้งสุดท้าย เยลต์ซินยังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัพนธรัฐรัสเซีย ซึ่งเป็นรัฐสืบทอดของสหภาพโซเวียต
Glasnost&Perestroika
นโยบายกาสนอสต์ คือ การ “เปิด”ประเทศให้กว้างขึ้น ให้เป็ประชาธิปไตยมากขึ้น ดดยให้ปรชาชนมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นของตน
นโยบายเปเรสตรอยกา คือ การ “ปรับ”สภาพเศรษฐกิจและสังคมของสหภาพโซเวียตให้คลายจากความชะงักงัน เพื่อยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนชาวโซเวียตให้ดีกว่าเดิม
มิคคาอิล กอร์บาชอฟ ประสบความสำเร็จในการนำนโยบายทั้ง 2 มาปฏิรูปการปกครองให้เป็น
ประชาธิปไตยมากขึ้น มีการจัดตั้งสมัชชาผู้แทนประชาชนขึ้น ประกอบด้วยสมาชิก 2,250 คน ดดยรัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนมีโอกาสได้เลือกตั้งบุคคลที่ตนเชื่อมั่นและศรัทธาในความสามารถ ซึ่งก่อนหน้านี้จะต้องเป็นผู้ที่รัฐเป็นผู้กำหนดตัวไว้ มีการให้สิทธิเสรีภาพแก่สื่อมวลชน ให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการชุมนุมกัน และเลือกนับถือศาสนา ปล่อยนักโทษการเมือง ล่าสุดสมัชชาผู้แทนประชาชนได้ลงมติด้วยเสียงข้างมากให้กอร์บาชอฟเป็นประธานาธิบดีที่มีอำนาจลริหารอย่างหว้างขวาง เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติต่าง ๆ ของประเทศ
แต่กอร์บาชอฟประสบความล้มเหลวด้ารเศรษฐกิจและสังคม เพราะชาวโซเวียตยังคงดำรงชีวิตอย่างยากแค้นต่อไป อาหารและปัจจัยในการดำรงชีวิตยิ่งขาดแคลนมากขึ้นกว่าเดิม เงินเฟ้อ และราคาสินค้าแพงขึ้นมาก
ชาวโลกจึงพากันตั้งคำถามว่า “ประธานาธิบดีอาร์บาชอฟจะไปรอดหรือไม่”ขณะดียวกันนโยบายกลาสนอสต์ก็ได้นำผลกระทบมาสู่โซเวียตโดยปริยาย โดยประเทศคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก 6 ประเทศ ถือโอกาส “เปิด”และ “ปรับ”ตนเองเช่นกัน ทำให้ระบบสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ในยุโรปต้องล่มสลายลงทั้งยังเกิดปัญหาเชื้อชาติในโซเวียตติดตามา 15 สาธารณรัฐอันประกอบเป็นสหภาพโซเวียตนั้น ประกอบด้วยประชาชนที่มีความแตกต่างกันทั้งด้านเชือชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม แต่ที่ตลอดเวลาสามารถอยู่ร่วมกันได้เพราะกลไกการบริหารและควบคุมที่เคร่งครัดเฉียบขาดของพรรคคอมมิวนิสต์ ครั้นเมื่อรัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงออกได้ ความรู้สึกเกลียดชังระหว่างเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมจึงปะทุขึ้นอย่างเปิดเผย ดังจะเห็นได้จาการปะทะกันระหว่างชาวอาเซอร์ไบจาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม กับชาวอาร์เมเนีย ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ เพื่อแย่งกันถือสิทธิครอบครองดินแดน นากอร์โน-การาบาฮ์ ซึ่งยังไม่สามารถแก้ไขได้จนทุกวันนี้
นอกจากนี้ สาธารณรัฐต่าง ๆ บนชายฝั่งทะเลบอลติกยังพากันเคลื่อไหวเรียกร้องเอกราชและขอแยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองของโซเวียต โดยเฉพาะลิทัวเนียได้ตัดสินใจประกาศเอกราช ทำให้ลัตเวีย เอสโตเนีย ประสงค์จะดำเนินรอยตา รวมทั้งรัฐยูเครน จอร์เจีย และมอลตาเวีย ด้วย กอร์บาชอฟจึงตัดสินใจอย่างเฉียบขาดโดยส่งกำลังทหารไปยังเมืองหลวงของลิทัวเนีย ยึดสำนักงานหนังสือพิมพ์และสำนักงานกรมอัยการ และตัดความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ให้เกิดปัญหาร้ายแรงเกิดตามมา คือการล่มสลายของสหภาพโซเวียตถ้าสาธารณรัฐอื่นๆ พากันแยกตัวเป็นอิสระ
นโยบาย “เปิด”และ “ปรับ” จึงเป็นเสมือนดาบสองคม ทำให้ประธานาธิบดีกอร์บอชอฟต้องตกอยู่ในภาวะลำบาก ถ้าต้องยอมผ่อนตามข้อเรียกร้องของสาธารณรัฐต่าง ๆ สภาพโซเวียตคงเลหือแต่มอสโกและบิรเวณรอบ ๆ เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตไม่สามารถจะยอมได้ เมือเป็นเช่นนี้ชาวโลกจงพากนติดตามผลงานของประธานาธิบดีกอร์บาชอฟอย่างใจจดใจจ่อและเอาใจช่วยเพื่อให้นโยบายดังกล่าวบรรลุผลแม้จะไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถอยู่ในอำนาจได้นานสักเพียงไร
นโยบายเปเรสตรอยกา คือ การ “ปรับ”สภาพเศรษฐกิจและสังคมของสหภาพโซเวียตให้คลายจากความชะงักงัน เพื่อยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนชาวโซเวียตให้ดีกว่าเดิม
มิคคาอิล กอร์บาชอฟ ประสบความสำเร็จในการนำนโยบายทั้ง 2 มาปฏิรูปการปกครองให้เป็น
ประชาธิปไตยมากขึ้น มีการจัดตั้งสมัชชาผู้แทนประชาชนขึ้น ประกอบด้วยสมาชิก 2,250 คน ดดยรัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนมีโอกาสได้เลือกตั้งบุคคลที่ตนเชื่อมั่นและศรัทธาในความสามารถ ซึ่งก่อนหน้านี้จะต้องเป็นผู้ที่รัฐเป็นผู้กำหนดตัวไว้ มีการให้สิทธิเสรีภาพแก่สื่อมวลชน ให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการชุมนุมกัน และเลือกนับถือศาสนา ปล่อยนักโทษการเมือง ล่าสุดสมัชชาผู้แทนประชาชนได้ลงมติด้วยเสียงข้างมากให้กอร์บาชอฟเป็นประธานาธิบดีที่มีอำนาจลริหารอย่างหว้างขวาง เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติต่าง ๆ ของประเทศ
แต่กอร์บาชอฟประสบความล้มเหลวด้ารเศรษฐกิจและสังคม เพราะชาวโซเวียตยังคงดำรงชีวิตอย่างยากแค้นต่อไป อาหารและปัจจัยในการดำรงชีวิตยิ่งขาดแคลนมากขึ้นกว่าเดิม เงินเฟ้อ และราคาสินค้าแพงขึ้นมาก
ชาวโลกจึงพากันตั้งคำถามว่า “ประธานาธิบดีอาร์บาชอฟจะไปรอดหรือไม่”ขณะดียวกันนโยบายกลาสนอสต์ก็ได้นำผลกระทบมาสู่โซเวียตโดยปริยาย โดยประเทศคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก 6 ประเทศ ถือโอกาส “เปิด”และ “ปรับ”ตนเองเช่นกัน ทำให้ระบบสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ในยุโรปต้องล่มสลายลงทั้งยังเกิดปัญหาเชื้อชาติในโซเวียตติดตามา 15 สาธารณรัฐอันประกอบเป็นสหภาพโซเวียตนั้น ประกอบด้วยประชาชนที่มีความแตกต่างกันทั้งด้านเชือชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม แต่ที่ตลอดเวลาสามารถอยู่ร่วมกันได้เพราะกลไกการบริหารและควบคุมที่เคร่งครัดเฉียบขาดของพรรคคอมมิวนิสต์ ครั้นเมื่อรัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงออกได้ ความรู้สึกเกลียดชังระหว่างเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมจึงปะทุขึ้นอย่างเปิดเผย ดังจะเห็นได้จาการปะทะกันระหว่างชาวอาเซอร์ไบจาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม กับชาวอาร์เมเนีย ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ เพื่อแย่งกันถือสิทธิครอบครองดินแดน นากอร์โน-การาบาฮ์ ซึ่งยังไม่สามารถแก้ไขได้จนทุกวันนี้
นอกจากนี้ สาธารณรัฐต่าง ๆ บนชายฝั่งทะเลบอลติกยังพากันเคลื่อไหวเรียกร้องเอกราชและขอแยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองของโซเวียต โดยเฉพาะลิทัวเนียได้ตัดสินใจประกาศเอกราช ทำให้ลัตเวีย เอสโตเนีย ประสงค์จะดำเนินรอยตา รวมทั้งรัฐยูเครน จอร์เจีย และมอลตาเวีย ด้วย กอร์บาชอฟจึงตัดสินใจอย่างเฉียบขาดโดยส่งกำลังทหารไปยังเมืองหลวงของลิทัวเนีย ยึดสำนักงานหนังสือพิมพ์และสำนักงานกรมอัยการ และตัดความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ให้เกิดปัญหาร้ายแรงเกิดตามมา คือการล่มสลายของสหภาพโซเวียตถ้าสาธารณรัฐอื่นๆ พากันแยกตัวเป็นอิสระ
นโยบาย “เปิด”และ “ปรับ” จึงเป็นเสมือนดาบสองคม ทำให้ประธานาธิบดีกอร์บอชอฟต้องตกอยู่ในภาวะลำบาก ถ้าต้องยอมผ่อนตามข้อเรียกร้องของสาธารณรัฐต่าง ๆ สภาพโซเวียตคงเลหือแต่มอสโกและบิรเวณรอบ ๆ เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตไม่สามารถจะยอมได้ เมือเป็นเช่นนี้ชาวโลกจงพากนติดตามผลงานของประธานาธิบดีกอร์บาชอฟอย่างใจจดใจจ่อและเอาใจช่วยเพื่อให้นโยบายดังกล่าวบรรลุผลแม้จะไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถอยู่ในอำนาจได้นานสักเพียงไร
วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Soviet-Afganistan
เป็นการต่สู้ระหว่างกองโจรมุสลิมต่อต้านมูจาฮีดีน กับรัฐบาลอัฟกันฯ และกองทัพโซเวียต สงครามเริ่มต้นจากการทำรัฐประหาร ในปี 1978 โค่นล้มประธานาธิบดีของอัฟกานิสถาน คือ ซาร์ดาร์ เดาวด์ คาน ผู้ซึ่งขึ้นมามีอำนาจโดยการโค่นล้มกษัตริย์ ตัวประธานาธิบดีถูกลอบสังหารและ รัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่ฝักใฝ่โซเวียตภายใต้การปกครองของ นัวร์ มูฮามัด ทารากิ ก็ถูกจัดตั้งในปี 1979 การทำรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งได้ทำให้ ฮาฟิซูลล่าห์ อามิน มีอำนาจ เป็นปัจจัยให้โซเวียตเข้ามารุกราน และตั้งให้ บาบราก คาร์มาล เป็นประธานาธิบดี
การรุกรานของโซเวียตซึ่งทำให้ชาวอัฟกันลุกขึ้นต่อต้าน เกิดจากกองทหารเพียง 30,000 นาย ซึ่งได้เพิ่มขึ้นในที่สุดเป็น 100,000 นาย โดยได้รับการสนับสนุนจาก อเมริกา ซาอุดิอาระเบีย อิสราเอล จีน ปากีสถาน และกลุ่มอิสลามมู จาฮีดีน จากประเทศมุสลิมอื่น ๆ ทั้งโลก ผ่านปากีสถาน ถึงแม้ว่าโซเวียตจะมีอาวุธที่เหนือกว่า และมีกำลังอากาศเพียงฝ่ายเดียว ฝ่ายต่อต้านก็สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้นได้ สงครามได้กลายเป็นการปักหลักสู้กันโดยกองทัพของโซเวียตควบคุมพื้ที่ในเมือง และกลุ่มกองโจรได้ปฏิบัติการอย่างเป็นอิสระในพื้นที่ชนบท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภูเขา เมือสงครามได้ขยายตัว ฝ่ายต่อต้านได้ปรับปรุงองค์กรและเริ่มใช้อาวุธที่ได้รับการสนับสนุน และที่ยึดได้รวมไปถึง อาวุธต่อต้านอากาศยานของอเมริกา ทำให้โซเวียตไม่ได้เปรียบในเรืองของอาวุธที่ทันสมัย คาร์มัล ลาออก และมูฮามัด นาจิบูลลาห์ ได้ลกายเป็นผู้นำสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสจ์ ประธานาธิบดีมิคคาเอล กอร์บาชอฟ ประกาศการถอนกองทัพโซเวียต ซึ่งเพราะประชาชนของโซเวียตนั้นเร่มไม่พอใจกับสงครามซึ่งยือเยื้อและไม่มีท่าทีจะประสบความสำเร็จนอกจากการสูญเสียของทหารไปเรื่อยๆ
จากเอกสารจากหอจดหมายเหตุของโซเวียตเก่าและบันทึกช่วยจำของผู้นำทางการเมืองและกองทัพของโซเวียตได้นำเสนอภาพอันน่าเศร้าและซับซ้อนของการเข้าเกี่ยวข้องของกองทัพโซเวียตเป็นเวลสสิบปีในอัฟกานิสถาน ผู้สังเกตการณ์เกือบทั้งหมดเห็นร่วมกันว่าสงครามครั้งสุดท้ายของโซเวียตได้ก่อให้เกิดากรเคลื่อไหวภายในซึ่งทำให้เกิดการล่มสลายของประเทศตัวเอง เอกสารซึ่งถูกนำเสนอในที่นี้จะให้ความกระจ่างแก่ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสงครามโซเวียตในอัฟกานิสถาน นั้นคือการร้องขอของรัฐบาลอัฟกัน.สำหรับความช่วยเหลือ และการปฏิเสธในช่วงแรก ๆ ของโซเวียตในการส่งกำลังทหาร การผกผันนโยบายนี้โดยคณะโปลิสบูโรกลุ่มเล็ก ๆ และการตัดสินใจของโซเวียตในการเข้ารุกราน และการขยายตัวของปฏิบัติการช่วงเริ่มต้นซึ่งรวมไปถึงการทำสงครามกับฝ่ายต่อต้านชาวอัฟกัน และการวิพากษ์ในช่วงต้น ๆ ต่อนโยบายของโซเวียตและรัฐบาลภายใต้พรรคประชาธิปไตยประชาชนอัฟกานิสถาน และการตัดสินใจการถอนกองกำลังทหาร เอกสารเหล่านั้นเมือนำมารวมกันแล้วก็ได้ให้บทเรียนบลางประการซึ่งอาจจะเกิดจากการประสบการณ์ของโซเวียตในการทำสงครามในอัฟกานนิสถาน
การตัดสินใจในการส่งกองกำลังทหารเกิดขึ้นภายหลังการแสดงความตั้งใจอย่างยานานและการร้องขอซ้ำๆ ซาก ๆ จากผู้นำของพีดีพีเอนั้นคือประธานาธิบดีฮาฟิซูลลาห์ อามินและประธานาธิบดีนูร์ มุฮามัด ทารากิ การถกเถียงกันในคณะโปลิสบูโรแสดงให้เห็นบรรดาผู้นำโซเวียตนั้นลังเลใจอย่างมากในการส่งกองกำลังทหารและตอบสนองความต้องการของรัฐบาลอัฟกัน..โดยการส่งอุปกรณ์การทหารทาให้แต่ไม่ใช่กำลังทหารตลอดฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนในปี 1979 อย่างไรก็ตามการโค่นล้มทารากิโดยอามินในเดือนกันยายนภายหลบงจากที่ทรารกิได้เดินทางกลับจากรุงมอสโคว์ได้ทำให้ความวิตกกังวลของโซเวียตว่าอามินอาจจะหันไปพังสหรัฐฯเพื่มสูงขึ้น การตัดสินใจที่แท้จิรงในการรุกรานนันมีขึ้นอย่งลับ ๆ โดยกลุ่มเล็ก ๆในคณะโปลิสบูโร ซึ่งต้องพบกับการต่อต้านอย่างเปิดเผยและแข็งขันของกองทัพและโดยสมาชิกคณะโปลิสคนอื่นๆ ผุ้นำของกองทัพคือจอมพล โอการ์คอฟและผุ้ช่วยของเขาคืออาค์โรมีฟแสดงความไม่เห็นด้วอย่างมากในการส่งกองกำลังเข้าไปในพื้นที่ซึ่งกองกำลังซึ่งมีจำนวนจำกัดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้
การตัดสินใจส่งทหารเข้าไปตั้งบนพื้นฐานของข้อมูลที่จำกัน เนื่องจากอิทธิพลของประธานเคจีบีคือ ยูริ อันโดรปอฟผู้ซึ่งควบคุมข้อมูลที่ถูกส่งไปยังเลขาธิการพรรคคือเบรซเนฟผู้ซึ่งป่วยและเริ่มบกพร่องเรื่องความสามารถในการตัดสินใจ ตลอดปี 1979 รายงานของเคจีบีจากอัฟกานิสถานได้สร้างภาพของความจำเป็นอันเร่งด่วนและได้มุ่งเน้นอย่งมากต่อความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ของอามินและซีไอเอและกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลของสหรัฐฯในภูมิภาคต่างๆ อัฟการนิสถานนั้นไม่ได้เข้ากับกรอบทางอุดมการณ์และแผนที่ความคิดของเหล่าผู้นำโวเวียตเลย พวกเขามองไม่เห็นความเป็นจริงของสังคมชนเผ่าซึ่งมีมาตั้งแต่โบราณของประเทศนี้ พวกเขามองอัฟกันฯว่าเป็น “มองโกเลียแห่งที่สอง” นำมาสู่ความพยายามในการนำวิธีการปฏิบัติแบบต่างชาติมาสู่สังคมอัฟกันเช่นการปฏิรูปที่ดินเชิงบังคับ และในส่วนของบทบาทความสำคัญของอิสลามชาวอัฟกันมองโซเวียตว่าเป็น “ผู้ทรยศ” รายงานจากอัฟกันฯแสะงให้เห็นถึงความตระหนักต่อ “ปัจจัยของศาสนาอิสลาม”ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในส่วนของนายทหารและนักการเมืองของโซเวียต
กองทัพโซเวียตตระหนักต่อการเตีรยมตัวและการวางแผนที่ไม่ดีของตนต่อภารกิจนอัฟกันฯ ภารกิจช่วงตนคือการป้องกันเมืองสำคัญ ๆ และการบูรณะประเทศในไม่ช้กายเป็นการต่อสู้ ซึ่งเพิ่มความรุนแรงอย่างรวดเร็ว กองหนุนในฐานะส่วนใหญ่ของกองทัพของโซเวียตในช่วงแรก ๆ ทีถูกส่งไปนั้นถูกดึงเข้าปสู่การสู้รบเต็มรูปแบบกับฝ่ายต่อต้าน ในขณะที่กองทัพประจำของอัฟกันฯนั้นมักจะไม่ได้รับความไว้วามใจเพระมีแต่คนหนีทหารและขาดวินัย
กองทัพโซเวียตไมได้รับการฝึกให้พบกับการสู้รบแบบกองโจร ในขณะที่ภารกิจแบบเป็นทางการ
ของกองทัพนั้นคือกาปกป้องพลเรือนจากพวกต่อต้านรัฐบาล ตามความเป็นจริงแล้ว ทหารดซเวียตมักจะพบว่าพวกตนต่อสู้กับพลเรือนที่เคยตั้งใจจะมาปกป้อง สิ่งที่หลายครั้งได้นำปสู่การฆ่าชาวบ้านแบบไม่เลือกหน้า ปกิบัติการในการติกตามและจับกุมกลุ่มต่อต้านนั้นมักจะไร้ผลสำเร็จและต้องถูกทำซ้ำ ๆ กันในพื้นที่เดียวกันเพราะกองกำลังต่อต้านนั้นมัจะล่าถอยไปยงภูเขาและกลับไปยังปมู่บ้านของพวกตนทันที่ที่กองทัพโซเวียตกลับไปที่ค่ายทหาร อาวุธและอุทกรณ์ทางทหารของโซเวียตโดยเฉพาะรถและรถถังหุ้มเกราะนั้นเปราะบางอย่างมากต่อพื้นที่ของอัฟกานิสถาน
กองทัพโซเวียตยังต้องสับสนในเป้าหมายของตัวเองนั้นคือภารกิจอย่งเป็นทางการในครั้งแรกคือการปกป้องรัฐบาลของพีดีพีเอ แต่เมือกองทัพเข้าถึงกรุงคาบูล คำสั่งที่พวกเขาได้รับคือการโค่นล้มรัฐบาลของอามิน และคำสั่งก็เปลี่ยนอีกครั้ง แต่บรรดาผุ้นำไม่ได้ตั้งใจที่จะยอมรับว่ากองทัพโซเวียตนั้นที่จริงแล้วต่อสู้ในสงครามกลางเมืองของอัฟกานิสถานเพื่อพีดีเอ ความคิดว่า “หน้าที่ของวัรบุรุษแห่งโลก “ซึ่งกองกำลังที่มีอยู่อย่างจำกัดของโซเวียตกำลังปฏิบัติอยู่นั้นเป็นอุดมการณ์แบบล้วน ๆ เกิดจากความคิดที่ว่ากองทัพของสหภาพโซเวียตกำลังปกป้องการปฏิวัติของสังคมนิยมในอัฟกานิสถาน ในขณะที่ประสบการณ์ภาคพื้นดินก็ได้ทำลายเหตุผลเหล่านั้น…
การรุกรานของโซเวียตซึ่งทำให้ชาวอัฟกันลุกขึ้นต่อต้าน เกิดจากกองทหารเพียง 30,000 นาย ซึ่งได้เพิ่มขึ้นในที่สุดเป็น 100,000 นาย โดยได้รับการสนับสนุนจาก อเมริกา ซาอุดิอาระเบีย อิสราเอล จีน ปากีสถาน และกลุ่มอิสลามมู จาฮีดีน จากประเทศมุสลิมอื่น ๆ ทั้งโลก ผ่านปากีสถาน ถึงแม้ว่าโซเวียตจะมีอาวุธที่เหนือกว่า และมีกำลังอากาศเพียงฝ่ายเดียว ฝ่ายต่อต้านก็สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้นได้ สงครามได้กลายเป็นการปักหลักสู้กันโดยกองทัพของโซเวียตควบคุมพื้ที่ในเมือง และกลุ่มกองโจรได้ปฏิบัติการอย่างเป็นอิสระในพื้นที่ชนบท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภูเขา เมือสงครามได้ขยายตัว ฝ่ายต่อต้านได้ปรับปรุงองค์กรและเริ่มใช้อาวุธที่ได้รับการสนับสนุน และที่ยึดได้รวมไปถึง อาวุธต่อต้านอากาศยานของอเมริกา ทำให้โซเวียตไม่ได้เปรียบในเรืองของอาวุธที่ทันสมัย คาร์มัล ลาออก และมูฮามัด นาจิบูลลาห์ ได้ลกายเป็นผู้นำสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสจ์ ประธานาธิบดีมิคคาเอล กอร์บาชอฟ ประกาศการถอนกองทัพโซเวียต ซึ่งเพราะประชาชนของโซเวียตนั้นเร่มไม่พอใจกับสงครามซึ่งยือเยื้อและไม่มีท่าทีจะประสบความสำเร็จนอกจากการสูญเสียของทหารไปเรื่อยๆ
จากเอกสารจากหอจดหมายเหตุของโซเวียตเก่าและบันทึกช่วยจำของผู้นำทางการเมืองและกองทัพของโซเวียตได้นำเสนอภาพอันน่าเศร้าและซับซ้อนของการเข้าเกี่ยวข้องของกองทัพโซเวียตเป็นเวลสสิบปีในอัฟกานิสถาน ผู้สังเกตการณ์เกือบทั้งหมดเห็นร่วมกันว่าสงครามครั้งสุดท้ายของโซเวียตได้ก่อให้เกิดากรเคลื่อไหวภายในซึ่งทำให้เกิดการล่มสลายของประเทศตัวเอง เอกสารซึ่งถูกนำเสนอในที่นี้จะให้ความกระจ่างแก่ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสงครามโซเวียตในอัฟกานิสถาน นั้นคือการร้องขอของรัฐบาลอัฟกัน.สำหรับความช่วยเหลือ และการปฏิเสธในช่วงแรก ๆ ของโซเวียตในการส่งกำลังทหาร การผกผันนโยบายนี้โดยคณะโปลิสบูโรกลุ่มเล็ก ๆ และการตัดสินใจของโซเวียตในการเข้ารุกราน และการขยายตัวของปฏิบัติการช่วงเริ่มต้นซึ่งรวมไปถึงการทำสงครามกับฝ่ายต่อต้านชาวอัฟกัน และการวิพากษ์ในช่วงต้น ๆ ต่อนโยบายของโซเวียตและรัฐบาลภายใต้พรรคประชาธิปไตยประชาชนอัฟกานิสถาน และการตัดสินใจการถอนกองกำลังทหาร เอกสารเหล่านั้นเมือนำมารวมกันแล้วก็ได้ให้บทเรียนบลางประการซึ่งอาจจะเกิดจากการประสบการณ์ของโซเวียตในการทำสงครามในอัฟกานนิสถาน
การตัดสินใจในการส่งกองกำลังทหารเกิดขึ้นภายหลังการแสดงความตั้งใจอย่างยานานและการร้องขอซ้ำๆ ซาก ๆ จากผู้นำของพีดีพีเอนั้นคือประธานาธิบดีฮาฟิซูลลาห์ อามินและประธานาธิบดีนูร์ มุฮามัด ทารากิ การถกเถียงกันในคณะโปลิสบูโรแสดงให้เห็นบรรดาผู้นำโซเวียตนั้นลังเลใจอย่างมากในการส่งกองกำลังทหารและตอบสนองความต้องการของรัฐบาลอัฟกัน..โดยการส่งอุปกรณ์การทหารทาให้แต่ไม่ใช่กำลังทหารตลอดฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนในปี 1979 อย่างไรก็ตามการโค่นล้มทารากิโดยอามินในเดือนกันยายนภายหลบงจากที่ทรารกิได้เดินทางกลับจากรุงมอสโคว์ได้ทำให้ความวิตกกังวลของโซเวียตว่าอามินอาจจะหันไปพังสหรัฐฯเพื่มสูงขึ้น การตัดสินใจที่แท้จิรงในการรุกรานนันมีขึ้นอย่งลับ ๆ โดยกลุ่มเล็ก ๆในคณะโปลิสบูโร ซึ่งต้องพบกับการต่อต้านอย่างเปิดเผยและแข็งขันของกองทัพและโดยสมาชิกคณะโปลิสคนอื่นๆ ผุ้นำของกองทัพคือจอมพล โอการ์คอฟและผุ้ช่วยของเขาคืออาค์โรมีฟแสดงความไม่เห็นด้วอย่างมากในการส่งกองกำลังเข้าไปในพื้นที่ซึ่งกองกำลังซึ่งมีจำนวนจำกัดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้
การตัดสินใจส่งทหารเข้าไปตั้งบนพื้นฐานของข้อมูลที่จำกัน เนื่องจากอิทธิพลของประธานเคจีบีคือ ยูริ อันโดรปอฟผู้ซึ่งควบคุมข้อมูลที่ถูกส่งไปยังเลขาธิการพรรคคือเบรซเนฟผู้ซึ่งป่วยและเริ่มบกพร่องเรื่องความสามารถในการตัดสินใจ ตลอดปี 1979 รายงานของเคจีบีจากอัฟกานิสถานได้สร้างภาพของความจำเป็นอันเร่งด่วนและได้มุ่งเน้นอย่งมากต่อความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ของอามินและซีไอเอและกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลของสหรัฐฯในภูมิภาคต่างๆ อัฟการนิสถานนั้นไม่ได้เข้ากับกรอบทางอุดมการณ์และแผนที่ความคิดของเหล่าผู้นำโวเวียตเลย พวกเขามองไม่เห็นความเป็นจริงของสังคมชนเผ่าซึ่งมีมาตั้งแต่โบราณของประเทศนี้ พวกเขามองอัฟกันฯว่าเป็น “มองโกเลียแห่งที่สอง” นำมาสู่ความพยายามในการนำวิธีการปฏิบัติแบบต่างชาติมาสู่สังคมอัฟกันเช่นการปฏิรูปที่ดินเชิงบังคับ และในส่วนของบทบาทความสำคัญของอิสลามชาวอัฟกันมองโซเวียตว่าเป็น “ผู้ทรยศ” รายงานจากอัฟกันฯแสะงให้เห็นถึงความตระหนักต่อ “ปัจจัยของศาสนาอิสลาม”ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในส่วนของนายทหารและนักการเมืองของโซเวียต
กองทัพโซเวียตตระหนักต่อการเตีรยมตัวและการวางแผนที่ไม่ดีของตนต่อภารกิจนอัฟกันฯ ภารกิจช่วงตนคือการป้องกันเมืองสำคัญ ๆ และการบูรณะประเทศในไม่ช้กายเป็นการต่อสู้ ซึ่งเพิ่มความรุนแรงอย่างรวดเร็ว กองหนุนในฐานะส่วนใหญ่ของกองทัพของโซเวียตในช่วงแรก ๆ ทีถูกส่งไปนั้นถูกดึงเข้าปสู่การสู้รบเต็มรูปแบบกับฝ่ายต่อต้าน ในขณะที่กองทัพประจำของอัฟกันฯนั้นมักจะไม่ได้รับความไว้วามใจเพระมีแต่คนหนีทหารและขาดวินัย
กองทัพโซเวียตไมได้รับการฝึกให้พบกับการสู้รบแบบกองโจร ในขณะที่ภารกิจแบบเป็นทางการ
ของกองทัพนั้นคือกาปกป้องพลเรือนจากพวกต่อต้านรัฐบาล ตามความเป็นจริงแล้ว ทหารดซเวียตมักจะพบว่าพวกตนต่อสู้กับพลเรือนที่เคยตั้งใจจะมาปกป้อง สิ่งที่หลายครั้งได้นำปสู่การฆ่าชาวบ้านแบบไม่เลือกหน้า ปกิบัติการในการติกตามและจับกุมกลุ่มต่อต้านนั้นมักจะไร้ผลสำเร็จและต้องถูกทำซ้ำ ๆ กันในพื้นที่เดียวกันเพราะกองกำลังต่อต้านนั้นมัจะล่าถอยไปยงภูเขาและกลับไปยังปมู่บ้านของพวกตนทันที่ที่กองทัพโซเวียตกลับไปที่ค่ายทหาร อาวุธและอุทกรณ์ทางทหารของโซเวียตโดยเฉพาะรถและรถถังหุ้มเกราะนั้นเปราะบางอย่างมากต่อพื้นที่ของอัฟกานิสถาน
กองทัพโซเวียตยังต้องสับสนในเป้าหมายของตัวเองนั้นคือภารกิจอย่งเป็นทางการในครั้งแรกคือการปกป้องรัฐบาลของพีดีพีเอ แต่เมือกองทัพเข้าถึงกรุงคาบูล คำสั่งที่พวกเขาได้รับคือการโค่นล้มรัฐบาลของอามิน และคำสั่งก็เปลี่ยนอีกครั้ง แต่บรรดาผุ้นำไม่ได้ตั้งใจที่จะยอมรับว่ากองทัพโซเวียตนั้นที่จริงแล้วต่อสู้ในสงครามกลางเมืองของอัฟกานิสถานเพื่อพีดีเอ ความคิดว่า “หน้าที่ของวัรบุรุษแห่งโลก “ซึ่งกองกำลังที่มีอยู่อย่างจำกัดของโซเวียตกำลังปฏิบัติอยู่นั้นเป็นอุดมการณ์แบบล้วน ๆ เกิดจากความคิดที่ว่ากองทัพของสหภาพโซเวียตกำลังปกป้องการปฏิวัติของสังคมนิยมในอัฟกานิสถาน ในขณะที่ประสบการณ์ภาคพื้นดินก็ได้ทำลายเหตุผลเหล่านั้น…
วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556
KGB Komitet gosudarstvennoi bezopasnost'i
คณะกรรมาธิการเพื่อความมั่นคงแห่งรัฐ หรือ เคจีบีเป็นอดีตหน่วยงานกลาง ดูแลการข่าว ความมั่นคง ตำรวจสันติบาล และ กิจการชายแดนของสหภาพโซเวียตั้งแต่ปี 1954-1991 โดย เคจีบีถูกยุบไปหลังจากหัวหน้าเคจีบีได้ร่วมก่อกบฏรัฐบาลประธานาธิบดี กอร์บาชอฟแต่ไม่สำเร็จ จึงถูกแทนที่โดยสำนักงานความมั่นคงกลางFederalnaya sluzhba bezopasnosti, FSB แทน
มีนาคม ปี 1954 องค์การมั่นคงปลอดภัยแห่งรัฐ ได้แยกเป็นกองอิสระเรียกว่า “KGB” มีหน้าที่ควบคุมตำรวจลับ ตำรวจตระเวณชายแดน และกองทหารรักษาความปลอดภัยภายในให้ความคุ้มครองเจ้าหน้าที่รัฐบาลและสมาชิกพรรคในระดับสูง ทำการจารกรรมในต่างประเทศ ตำรวลับประเทสและในประเทศควบคุมการติดต่อในต่างประเทศ ควบคุมแหล่งข่าวต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบความไม่จงรักภักดีต่อรัฐบาล
เคจีบีมีสัญลักษณ์ ดาบและโล่ คอยพิทักษ์สังคมโซเวียต มีอำนาจและอิทธิพลมาก พรรคคอมมิวนิสต์จึงต้องควบคุมอย่างใกล้ชิดอีกต่อหนึ่ง เพราะอาสเป็นอันตรายต่อพรรคได้ หลังจากสตาลินถึงแก่รรม อำนาจความทะเยอทะยานของแบเวีย หัวหน้าเคจีบี ทำให้คณะกรรมการ โปลิสบูโร หวาดกลัวมาก จึงตั้งข้อหาเขาว่ามีความผิดฐานทรยศและฝ่าฝืนกฎหมายแห่งรัฐ จนถูกัดสินประหารชีวิตในที่สุด ตั้งแต่นั้นมา ภายใต้การนำของแอนโตรปอฟ เคจีบี จึงคำนึงถึงเรื่องความจรงรักภักดีต่อพรรค รัฐบาล และความถูกต้องของสังคมนิยม แอนโดรปอฟ ได้เป็นหัวหน้าเคจีบีในเดื่อนพฤษภาคม ปี 1967 ทำให้เคจีบี เป็นหน่วยสืบราชการลับที่ทันสมัย กระตือรือร้นและเด็ดขาด และฉับไว มีชื่อเสียงเป็นที่น่าเกรงขามมาก
เคจีบี เป็นหน่วยงานที่มีลักษณะการทำงานคล้ายกับซีไอเอและเอฟบีไอ ผสมกัน โดยเฉพาะในหน่วย โบเดอร์ การ์ด ที่ทำหน้าที่ปกป้องผู้นำคนสำคัญ ๆ และคอยรักษาความปลดภัย หน่วยงานของรัฐ ยิ่งกว่านั้นเคจีบียังมีหน้าที่ ให้การอบรมและควบคุมงานราชการลับของประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ ด้วยที่ สำคัญ คือ หน่วยสตาซี่ ของประเทศเยอรมันตะวันออกและของประเทศคิวบา แอนโดรบอฟ ได้ทำการปฏิรูปเคจีบี ใหม่ให้มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น คัดเลือกคนดีและมีความสามารถเข้าเป็นสายลับ มีรายได้เป็น 3 เท่า ของศลยแพทย์ผ่าตัดสมองและเป็น 5 เท่าของวัศวกร มีอพาร์ตเม้นท์ให้อยู่ฟรี มีรถยนต์ให้ใช้ มีอภิสิทธิ์จองตั้งดูกีฬาหรือการแสดงต่าง ๆ ก่อนผู้อื่น เขาได้บริหารองค์การได้เป็นอย่างดียิ่ง ปรับปรุงโครงสร้าง และทิศทางของหน่วยงานนี้จนเป็นที่ยอมรับว่า เป็นสถาบันที่สำคัญยิ่งสถาบันหนึ่งของโซเวียต
ในช่วงสมัยของ เบรนเนฟ เคจีบี กลายเป็นตัวจักรสำคัญที่ใช้ต่อต้านการคอร์รัปชั่น ต่อต้านอาชญากรรมด้านเศรษฐกิจ คุ้มครองผู้นำ รักษาความสงบบริเวณชายแดน สร้างสายลับ เคจีบีในยุคนี้จึวมีอนาจมาก และหัวหน้า KGB ที่มีชื่อเสียงในยุคนี้คือ Yuri Andropov ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นผู้นำประเทศต่อจาก เบรสเนฟ ซึ่งดำรงตำแหน่งในปี 1983-1984 เป็นปรธานาธิบดีคนที่ 9 แห่งสหภาพโซเวียต เป็นประธานเคจีบีคนที่ 4 ดำรงตำแหน่งปี 1967-1982
มีนาคม ปี 1954 องค์การมั่นคงปลอดภัยแห่งรัฐ ได้แยกเป็นกองอิสระเรียกว่า “KGB” มีหน้าที่ควบคุมตำรวจลับ ตำรวจตระเวณชายแดน และกองทหารรักษาความปลอดภัยภายในให้ความคุ้มครองเจ้าหน้าที่รัฐบาลและสมาชิกพรรคในระดับสูง ทำการจารกรรมในต่างประเทศ ตำรวลับประเทสและในประเทศควบคุมการติดต่อในต่างประเทศ ควบคุมแหล่งข่าวต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบความไม่จงรักภักดีต่อรัฐบาล
เคจีบีมีสัญลักษณ์ ดาบและโล่ คอยพิทักษ์สังคมโซเวียต มีอำนาจและอิทธิพลมาก พรรคคอมมิวนิสต์จึงต้องควบคุมอย่างใกล้ชิดอีกต่อหนึ่ง เพราะอาสเป็นอันตรายต่อพรรคได้ หลังจากสตาลินถึงแก่รรม อำนาจความทะเยอทะยานของแบเวีย หัวหน้าเคจีบี ทำให้คณะกรรมการ โปลิสบูโร หวาดกลัวมาก จึงตั้งข้อหาเขาว่ามีความผิดฐานทรยศและฝ่าฝืนกฎหมายแห่งรัฐ จนถูกัดสินประหารชีวิตในที่สุด ตั้งแต่นั้นมา ภายใต้การนำของแอนโตรปอฟ เคจีบี จึงคำนึงถึงเรื่องความจรงรักภักดีต่อพรรค รัฐบาล และความถูกต้องของสังคมนิยม แอนโดรปอฟ ได้เป็นหัวหน้าเคจีบีในเดื่อนพฤษภาคม ปี 1967 ทำให้เคจีบี เป็นหน่วยสืบราชการลับที่ทันสมัย กระตือรือร้นและเด็ดขาด และฉับไว มีชื่อเสียงเป็นที่น่าเกรงขามมาก
เคจีบี เป็นหน่วยงานที่มีลักษณะการทำงานคล้ายกับซีไอเอและเอฟบีไอ ผสมกัน โดยเฉพาะในหน่วย โบเดอร์ การ์ด ที่ทำหน้าที่ปกป้องผู้นำคนสำคัญ ๆ และคอยรักษาความปลดภัย หน่วยงานของรัฐ ยิ่งกว่านั้นเคจีบียังมีหน้าที่ ให้การอบรมและควบคุมงานราชการลับของประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ ด้วยที่ สำคัญ คือ หน่วยสตาซี่ ของประเทศเยอรมันตะวันออกและของประเทศคิวบา แอนโดรบอฟ ได้ทำการปฏิรูปเคจีบี ใหม่ให้มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น คัดเลือกคนดีและมีความสามารถเข้าเป็นสายลับ มีรายได้เป็น 3 เท่า ของศลยแพทย์ผ่าตัดสมองและเป็น 5 เท่าของวัศวกร มีอพาร์ตเม้นท์ให้อยู่ฟรี มีรถยนต์ให้ใช้ มีอภิสิทธิ์จองตั้งดูกีฬาหรือการแสดงต่าง ๆ ก่อนผู้อื่น เขาได้บริหารองค์การได้เป็นอย่างดียิ่ง ปรับปรุงโครงสร้าง และทิศทางของหน่วยงานนี้จนเป็นที่ยอมรับว่า เป็นสถาบันที่สำคัญยิ่งสถาบันหนึ่งของโซเวียต
ในช่วงสมัยของ เบรนเนฟ เคจีบี กลายเป็นตัวจักรสำคัญที่ใช้ต่อต้านการคอร์รัปชั่น ต่อต้านอาชญากรรมด้านเศรษฐกิจ คุ้มครองผู้นำ รักษาความสงบบริเวณชายแดน สร้างสายลับ เคจีบีในยุคนี้จึวมีอนาจมาก และหัวหน้า KGB ที่มีชื่อเสียงในยุคนี้คือ Yuri Andropov ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นผู้นำประเทศต่อจาก เบรสเนฟ ซึ่งดำรงตำแหน่งในปี 1983-1984 เป็นปรธานาธิบดีคนที่ 9 แห่งสหภาพโซเวียต เป็นประธานเคจีบีคนที่ 4 ดำรงตำแหน่งปี 1967-1982
วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Ronald Wilson Regan
การเลื่อกตั้งในปี 1980 พรรครรีพับลิกันส่งโรนัล เรแกน ได้รับเลือกในตำแหน่งประธานาธิบดี และจอห์น เอ็ช.ดับเบิลยู.บุช George Herbert Walker Bush ได้รับเลือกใรตำแหน่างรองประธานาธิบดี โรนัล เริแกน กล่าววิจร์ผลงานภายในประเทศของประธานาธิบดีคาร์เตอร์ว่าไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ คือภาวะเงินฟ้อยังสูงและอัตราคนว่างงานสุง โรนัล เรแกน เสนอแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจคือลดการเก็บภาษีรายได้คนอเมริกัน ลดการใข้จ่ายเงินที่ไม่จำเป็นของรัฐบาลกลางอันรวมถึงหยุดการรับเจ้าหน้าที่ใหม่ในหน่วยงานของรัฐ สร้างความสมดุลย์ในงบประมาณรายรับรายจ่าย ลดการแทรกแซงของรัฐบาลกลางในธุรกิจ มอบงานสวัสดิการให้อยู่ภายใต้การดำเนินการของรัฐบาลมลรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น ลดค่าจ้างแรงงานต่ำสุดลงอีกเพื่อลดอัตรคนว่างงานลงและสร้างงานที่จำเป็นเพิ่ม และทั้งจะปฏิรูปการทำงานของกระทรวงพลังงานและกระทรวงศึกษาธิการ โรนับ เรแกนกล่าววิจารณ์ผลงานต่างประเทศของประธานาธิบดีคาร์เตอร์ว่าทำให้สหรัฐอเมริกาแสนยานุภาพด้านกองกำลังและอาวุธด้อยกว่ารุสเซียและทั้งลดบทบาทสหรัฐอเมริกาในเวที่การเมืองโลก โดยอิหร่านกล้าจับคนอเมริกันในสถานทูตอเมริกันที่กรุงเตหะรานในอิหร่างเป็นตัวประกันในวันที่ 4 พฤศจิกายน 1979 และรุสเซียกล้ารุกรานอัฟกานิสถานในวันที่ 27 ธัมวาคม 1979 โรนัล เรแกนเสอนแนวทางแก้ไขคือ จะเพิ่มงบประมาณด้านการทหารเพื่อเสริมสร้างกองกำลังและอาวุธของสหรัฐอเมริกาให้แข็งแกร่งประสิทธิภาพสูง จะยืนหยัดต่อต้านรุสเซยและอิหร่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะดำเนินการให้อิหร่านปลดปล่อย 52 ตัวประกันอเมริกันให้เร็วที่สุดและจะนำสหรัฐอเมริกาก้าวสู่การเป็นชาติผู้นำในเวทีการเมืองโลก พรรคเดโมเครติกส่งประธานาธิบดี เจมส์ อี. คาร์เตอร์ รับเลือกในตำแหน่างประธานาธิบดีอีกหนึ่งสมัย และวอลเตอร์ เอฟ.มอนเดล รับเลือกในตำแหน่งรองประธานาธิบดีเช่นกัน คะแนนนิยมที่คนอเมริกันจะให้แก่พรรคเดโมเครตลดลงอย่างมาก ประนาธิบดีคาร์เตอร์ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และไม่สามารถปลดปล่อย 52 ตัวประกันอเมริกันได้ ผลการนับคะแนนโรนัล เรแกนได้ชัยชนะ 489 คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกประธานาธิบดี ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ได้เพียง 49 คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกประธานาธิบดี อันหมายความว่าในวันที่ 20 มกราคม 1981 โรนับ เรแกนจะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาลำดับที่ 40
ปัญญาชนต่างกังขาเกี่ยวกับความสามารถในการเป็นผู้นำของเขาเนืองจากเขาเขาไม่มีความเฉลียวฉลาดเท่าใดนัก ขณะเดียวกันนายเรแกนก็มีรูปแบบการทำงานแตกต่างจากประธานาธิบดีคนก่อน ๆ เป็นอย่างมากโดยคนก่อน ๆ ต้องประชุมอย่างเคร่งครัดกันทั้งวันเพื่อหารือในเรื่องปวดหัวต่างๆ มากมาย แต่นายเรแกนกลับทำงานเปรียบเสมือนกับเป็นปรธานกรรมการบริษัท โดยมอบอำนาจให้บรรดาซีอีโอของบริษทัทไปดำเนินการแทนตนเอง
เขาทำงานแบบสบาย ๆ แบบ 9 โมง-5 โมงเย็น ทั้งนี้ นอกจากนอนเต็มอิ่มในเวลากลางคืนแล้วในเวลาบ่ายก็งีบหลับด้วยตามแต่โอกาสจะอำนวย ปล่อยให้ลูกน้องดำเนินการอย่างค่อนข้างอิสระ ดังนั้นภาพลักษณ์การเป็นผู้นำประเทศที่ทำงานหนักและยากลำบากจึงไม่ปรากฎให้เห็น แต่กลับดูเสมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ สบาย ๆ และสนุกสนานด้วยซ้ำเดิมทิสทางการดำเนินนดยลายเศรษฐกิจของรัฐบาลประเทศต่างๆ จะเน้นดำเนินการเก็บภาษีมาก ๆ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ โดยมีปรัชญาในการบริการรัฐกิจ คือยิ่งรัฐเก็บภาษีและนำมาใช้จ่ายมากเท่าไร เศรษฐกิกจของประเทศก็ยิ่งพัฒนารวดเร็วเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อภาษีมีอัตราสูง ขณะเดียวกันรัฐบาลใช้จ่ายเงินในด้านสวัสดิการสังคมจำนวนมาก ประชาชนก็มีแรงจูงใจในการประกอบอาชีพลอน้อยลง ต่างหันมาแบมือของเงินจากรัฐบาล
สำหรับทิศทางใหม่ในการพัฒนาเศรษฐกิจสหรัฐฯได้รับการกล่าวขานกันว่า “เรแกนโนมิกส์”โดยเป็นการรวม 2 คำเข้าด้วยกัน คือ “เรแกน”และอีโคโนมิกส์ ซึ่งมีความหมายวา “เศรษฐศาสตร์” โดยเปลี่ยนจากนโยบายแบบที่เน้นด้าน “อุปสงค์”กล่าวคื อการเก็บภาษีและการใช้จ่ายงบประมาณมาก ๆ ก็เปลี่ยนมาเน้นในด้าน “อุปทาน”หรือที่เรียกว่า โดยพยายามกระตุ้นให้ภาคธุรกิจเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นมีมาตรการต่าง ๆ เช่น ลดอัตรภาษีอากรลง ฯ ขณะเดียวกันเมื่อมีอุปทานมากขึ้นสินค้าและบิรการก็จะมีราคาถูกลง ส่งผลดีทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง
สาระสำคัญอีกประการหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจ คือ ลดบทบาทของรัฐบาลลงโดยนายเรแกนได้กล่าวอุปมาอุปไมยว่าประชาชนเปรียบเสมือนกับคนขับ ขณะที่รัฐบาลเปรียบเสมือนกับเป็นรถยนต์เท่านั้น ประชาชนเป็นผู้ขับหรือสั่งการให้รัฐบาลดำเนินการไม่ใช่รัฐบาลเป็นผู้สั่งให้ประชาชนดำเนินการเป็นผู้ชับหรือสั่งการให้รัฐบาลดำเนินการไม่ใช่รัฐบาลเป็นผู้สั่งให้ประชานดำเนินการ
ในระยะแรกเศรษฐศาสตร์ของ เร แกน ได้รับการวิพากวิจารณ์มาก โดย จอร์จ บุช จูเนียร์ ซึ่งกำลังแย่งชิงเพื่อเป็นตัวแทนพรรครีพลับลิกันในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้กล่วถากถางว่าเป็น “นโยบายเศรษฐศาสตร์ของพ่อมดหมดผี”
เมื่อนายเรแกนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงแรกเศรษฐกิจสหรัฐฯยิ่งตกต่ำลงไปอีก คนตกงานจำนวนมาก จึงมีการเรียกขานสถานการณ์ช่วงนั้นว่า “ภาวะเศรษฐกิจถอถอยของเรแกน” ดดยเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้นแทนที่จะเป็นผลเสียกลับเป็นผลดี กล่าวคือ สามารถแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่เดิมสูง เมื่อเขารับตำแหน่งให้ลดลงเหลือเพียงแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ จากนั้น เศรษฐกิจสหรัฐฯก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือโดยได้เติบโตในอัตราสูงมาก ทำให้คะแนนนิยมของนายเรแกนพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อประเมินนโยบายเรแกนโนมิกส์จะพบว่าประสบผลสำเร็จคอ่นข้างมาก โดยทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯที่อยู่ในภาวะตำต่ำกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่งมีการสร้างงานเป็นจำนวนมาก แม้ในช่วงนั้นจะมีนักเศรษฐกศาสตร์จำนวนมากตั้งข้อกังขาว่านโยบายเศษรฐกิจซึ่งเน้นตลาดเสรีของสหรัฐฯอเมริกาเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากสินค้าญี่ปุ่นตีตลาดสหรัฐฯอเมริกา ส่งงผลให้บริษัทสหรัฐฯเป็นจำนวนมากย่ำแย่ ขณะที่นักลงทุนญี่ปุ่นเข้าไปกว้านซื้อกิจการในสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลเรแกนได้พยายามต่อต้านกระแสเรียกร้องให้คุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งปัจจุบันกาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นทิศทางที่ถุกต้อง เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯใช้วิกฤตการณ์ในครั้งนั้นมาเป็นโอกาส มีการปรับโครงสร้างการดำเนินการเพื่อเพเมความสามารถในการแข่งขัน ทำให้สหรัฐฯแข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้งในเวลาต่อมา…
ปัญญาชนต่างกังขาเกี่ยวกับความสามารถในการเป็นผู้นำของเขาเนืองจากเขาเขาไม่มีความเฉลียวฉลาดเท่าใดนัก ขณะเดียวกันนายเรแกนก็มีรูปแบบการทำงานแตกต่างจากประธานาธิบดีคนก่อน ๆ เป็นอย่างมากโดยคนก่อน ๆ ต้องประชุมอย่างเคร่งครัดกันทั้งวันเพื่อหารือในเรื่องปวดหัวต่างๆ มากมาย แต่นายเรแกนกลับทำงานเปรียบเสมือนกับเป็นปรธานกรรมการบริษัท โดยมอบอำนาจให้บรรดาซีอีโอของบริษทัทไปดำเนินการแทนตนเอง
เขาทำงานแบบสบาย ๆ แบบ 9 โมง-5 โมงเย็น ทั้งนี้ นอกจากนอนเต็มอิ่มในเวลากลางคืนแล้วในเวลาบ่ายก็งีบหลับด้วยตามแต่โอกาสจะอำนวย ปล่อยให้ลูกน้องดำเนินการอย่างค่อนข้างอิสระ ดังนั้นภาพลักษณ์การเป็นผู้นำประเทศที่ทำงานหนักและยากลำบากจึงไม่ปรากฎให้เห็น แต่กลับดูเสมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ สบาย ๆ และสนุกสนานด้วยซ้ำเดิมทิสทางการดำเนินนดยลายเศรษฐกิจของรัฐบาลประเทศต่างๆ จะเน้นดำเนินการเก็บภาษีมาก ๆ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ โดยมีปรัชญาในการบริการรัฐกิจ คือยิ่งรัฐเก็บภาษีและนำมาใช้จ่ายมากเท่าไร เศรษฐกิกจของประเทศก็ยิ่งพัฒนารวดเร็วเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อภาษีมีอัตราสูง ขณะเดียวกันรัฐบาลใช้จ่ายเงินในด้านสวัสดิการสังคมจำนวนมาก ประชาชนก็มีแรงจูงใจในการประกอบอาชีพลอน้อยลง ต่างหันมาแบมือของเงินจากรัฐบาล
สำหรับทิศทางใหม่ในการพัฒนาเศรษฐกิจสหรัฐฯได้รับการกล่าวขานกันว่า “เรแกนโนมิกส์”โดยเป็นการรวม 2 คำเข้าด้วยกัน คือ “เรแกน”และอีโคโนมิกส์ ซึ่งมีความหมายวา “เศรษฐศาสตร์” โดยเปลี่ยนจากนโยบายแบบที่เน้นด้าน “อุปสงค์”กล่าวคื อการเก็บภาษีและการใช้จ่ายงบประมาณมาก ๆ ก็เปลี่ยนมาเน้นในด้าน “อุปทาน”หรือที่เรียกว่า โดยพยายามกระตุ้นให้ภาคธุรกิจเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นมีมาตรการต่าง ๆ เช่น ลดอัตรภาษีอากรลง ฯ ขณะเดียวกันเมื่อมีอุปทานมากขึ้นสินค้าและบิรการก็จะมีราคาถูกลง ส่งผลดีทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง
สาระสำคัญอีกประการหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจ คือ ลดบทบาทของรัฐบาลลงโดยนายเรแกนได้กล่าวอุปมาอุปไมยว่าประชาชนเปรียบเสมือนกับคนขับ ขณะที่รัฐบาลเปรียบเสมือนกับเป็นรถยนต์เท่านั้น ประชาชนเป็นผู้ขับหรือสั่งการให้รัฐบาลดำเนินการไม่ใช่รัฐบาลเป็นผู้สั่งให้ประชาชนดำเนินการเป็นผู้ชับหรือสั่งการให้รัฐบาลดำเนินการไม่ใช่รัฐบาลเป็นผู้สั่งให้ประชานดำเนินการ
ในระยะแรกเศรษฐศาสตร์ของ เร แกน ได้รับการวิพากวิจารณ์มาก โดย จอร์จ บุช จูเนียร์ ซึ่งกำลังแย่งชิงเพื่อเป็นตัวแทนพรรครีพลับลิกันในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้กล่วถากถางว่าเป็น “นโยบายเศรษฐศาสตร์ของพ่อมดหมดผี”
เมื่อนายเรแกนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงแรกเศรษฐกิจสหรัฐฯยิ่งตกต่ำลงไปอีก คนตกงานจำนวนมาก จึงมีการเรียกขานสถานการณ์ช่วงนั้นว่า “ภาวะเศรษฐกิจถอถอยของเรแกน” ดดยเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้นแทนที่จะเป็นผลเสียกลับเป็นผลดี กล่าวคือ สามารถแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่เดิมสูง เมื่อเขารับตำแหน่งให้ลดลงเหลือเพียงแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ จากนั้น เศรษฐกิจสหรัฐฯก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือโดยได้เติบโตในอัตราสูงมาก ทำให้คะแนนนิยมของนายเรแกนพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อประเมินนโยบายเรแกนโนมิกส์จะพบว่าประสบผลสำเร็จคอ่นข้างมาก โดยทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯที่อยู่ในภาวะตำต่ำกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่งมีการสร้างงานเป็นจำนวนมาก แม้ในช่วงนั้นจะมีนักเศรษฐกศาสตร์จำนวนมากตั้งข้อกังขาว่านโยบายเศษรฐกิจซึ่งเน้นตลาดเสรีของสหรัฐฯอเมริกาเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากสินค้าญี่ปุ่นตีตลาดสหรัฐฯอเมริกา ส่งงผลให้บริษัทสหรัฐฯเป็นจำนวนมากย่ำแย่ ขณะที่นักลงทุนญี่ปุ่นเข้าไปกว้านซื้อกิจการในสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลเรแกนได้พยายามต่อต้านกระแสเรียกร้องให้คุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งปัจจุบันกาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นทิศทางที่ถุกต้อง เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯใช้วิกฤตการณ์ในครั้งนั้นมาเป็นโอกาส มีการปรับโครงสร้างการดำเนินการเพื่อเพเมความสามารถในการแข่งขัน ทำให้สหรัฐฯแข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้งในเวลาต่อมา…
วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556
The Iranian Hostage Crisis 1979
ความรู้สึกบาดหมางของรุสเซียและสหรัฐอเมริกาทำให้การลงนมในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ฉบับที่ 2 ล่าช้า สนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศษสตร์ฉบับที่ 1 มีการลงนามที่มอสโคว์ระหว่างประธานาธิบดีนิกสันกับลีโอนิค ไอ. เบรสเนฟ ในปี่ 1972 กำหนดอายุสนธิสัญญา 5 ปี การเตรียมการกำหนดแนวทางข้อตกลงในสนะสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ฉบับที่ 2 เริ่มในวันที่ 1974 ระหว่างประธานาธิบดีฟอร์ดกับลีโอนิค ไอ. เบรสเนฟ ที่วลาดิวอสต๊อก รุสเซีย เกิดข้อตกลงวลาติวอสต๊อก 1974 ความบาดหมางระหว่างสหรัฐอเมริกากับรุสเซียเร่มจากประธานาธ่บดีคาร์เตอร์ชูนโยบายสิทธิมนุษยชนและกว่างวิจารณ์รุสเซ๊ยว่ากดขี่ข่มเหงชาวยิวในรุสเซีย รวมถึงมีแนวโน้มที่จะเปิดความสัมพันะทางการทูตอย่งเป็นทางการกับจีนแผ่นดินใหญ่ในอนาคต ทั้งสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนสร้างจรวดขีปนาวุธเอ็มเอ็ก และจรวดขีปนาวุธเพอร์ชิง 2 ซึ่งล้วนมีประสิทธภาพเหนือกว่าจรวดขีปนาวุธยิงข้ามทวีป ต้านการบุกโจมตีของรุสเซีย สร้างความไม่พอใจอย่างมากแก่รุสเซีย ขณะเดียวกันรุสเซียจับกุม คุมขัง ทรมานและเนรเทศประชาชนที่ต่อต้านกล่าววิจารณ์โจมตีรัฐบาลรุสเซียรวมถึงยับยั้งปราบปรามชนชาวยิวในรุสเซีย
ที่เรียกร้องอพยพจากรุสเซียสู่โลกเสรี ล้วนเป็นการกดขี่ข่มเหงแระชาชนอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนจริง และรุสเซียจัดส่งคณะนายทหารผู้เชี่ยวชาญด้านวางแผนปฏิบัติการรและการใช้อาวุธมาคิวบาเป็นที่ปรึกษาแก่ฟิเดล คัสโตร เพื่อการวางแผนให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มกบฎโค่นล้มรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศ ละตินอเมริกา ในขณะเดียวกันรุสเซียเร่งคิดค้นพัฒนาอาวุธร้ายแรงชนิดใหม่คือจรวดขีปนาวุธเอสเอส-20 มีประสิทธิภาพทำลายล้างสูงเหนือกว่าจรวดขีปนาวุธข้ามทวีป เช่นกัน สร้างความไม่พอใจแก่สหรัฐอเมริกา อันมีผลทำให้ตัวแทนขงอทั้งสองประเทศที่ร่วมร่างสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ฉบับที่ 2 ทำงานได้ไม่คล่องตัว ข้อตกลงไม่เสร็จสมบูรณ์ตามกำหนดในปี 1977 ต้องล่าช้าออกไป อย่างไรก็ตามการลงนามร่วมในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ฉบับที่ 2 ปี 1979ระหว่างประธานาธิบดีคาร์เตอร์กับลีโอนิค ไอ. เบรสเนฟ มีขึ้นในปี 1979 ที่กรุงเวียนา ออสเตรีย กำหนดจำกัดจำนวนอาวุธร้ายแรงสี่ประเภทระหว่างกันคือหนึ่งจรวดขีปนาวุธยิงข้ามทวีป ในสัดส่วนสหรัฐอเมริกาต่อรุสเซียคือ 1054 ลูกต่อ 1400 ลูก สองจรวดขีปนาวุธยิงจากเรือดำน้ำในสัดส่วนสหรัฐอเมริกาต่อรุสเซียคือ 656 ลูกต่อ 950 ลูก สามจรวดขีปนาวุธในสัดส่วนขีปนาวุธ ในสัดส่วนสหรัฐอเมริกาต่อรุสเซียคือ 350 ลูกต่อ 150 ลูก และสี่หัวรบนิวเคลียร์ ในสัดส่วนสหรัฐอเมริกาต่อรุสเซียคือ 9200 ลูกต่อ 5000 ลูก ไม่มีการกำหนดจำนวนจรวดขีปนาวุธเอสเอส-20 ของรุสเซีย หรือจำนวนจรวดชีปนาวุธเอ็ม เอ็ม และจำนวนจรวดขีปนาวุธเพอร์ชิง 2 ของสหรัฐอเมริกาในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ฉบับที่ 2 ปี 1979 ซึ่งอาวุธร้ายแรงทั้งสมประเภทมีประสิทธิภาพเหนือกว่าอาวุธร้ายแรงสี่ประเภทที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ฉบับที่ 2 ปี 1979 อันบ่งชี้ได้ถึงปัญหาและความตึงเครียดระหว่างประเทศทั้งสองในอนาคตรัฐสภายังไม่ทันให้การับรองในนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศษสตร์ฉบับที่ 2 ก็พอดีเกิดเหตุการณ์รุสเซียรุกรานอัฟกานิสถานในเดื่อนธันวาคม 1979
สหรัฐอเมริกาไม่พอใจที่รุสเซียรุกรามอัฟกานิสถานในเดื่อนธันวาคม 1979 อัฟกานิสถาน เป็นประเทศอยู่ทางตะวันออกสุดของตะวันออกกลาง อัฟกานิสถานทางตอนเหนือติดกับรุสเซีย ทางตะวันตกติดกับอิหร่าน ทางตะวันออกและทางตอนใต้ติดกับปากีสถาน ใรเดื่อนสิงหาคม 1919 อังกฤษปลดปล่อยอัฟกานิสถานจากการเป็นอาณานิคม เพราะภายในอัฟกานิสถานวุ่นวายเร่มกลางศตวรรษที่ 20 และรับความช่วยเหลือจากรุสเซียนำพาให้รุสเซียเข้ารุกรานอัฟกานิสถานใน เดือนธันวาคมปีเดียวกัน ประวัติศาสตร์อัฟกานิสถาน ที่ควรจดจำเริ่มจากกษํตริย์มูฮัมหมัด นาเดียร์ ข่าน ปกครองอัฟกานิสถานระหว่างปี 1929-1933 นำการปฏิรูปในทุกด้าน กษัตริย์นาเดียร์ ข่าน ถูกลอบปลงพระชนม์มีผลให้ลูกชายคือมูฮัมหมัด ซาเฮอ ขึ้นปกครองอัฟกานิสถาน โดยมีมูฮัมหมัด เดา ข่าน เป็ฯนายกรัฐมนตรีอัฟการนิสถานวางตนเป็นกลางในสงครามเย็นและรับความช่วยเหลือทั้งจากรุสเว๊ยและสหรัฐอเมริกา ในปี 1973 เดา ข่าน พร้อมกองกำลังทหารก่อการปฏิวัติโค่นอำนาจกษัตริย์ซาเฮอได้สำเร็จ คณะนายทหารเข้ากุมอำนาจการปกครองและประกาศจัดตั้งประเทศสาธารณรัฐแห่งอัฟกานิสถาน มีเดา ข่าน ดำรงตำแหน่งทั้งนายกรัฐมนตรีและปรธานาธิบดี ในปี 1078 กองกำลังทหารนิยมลัทะคอมมิวนิสต์ก่อการปฏิวัติโค่นอำนาจและฆ่า เดา ข่าน หลังจากนั้นรัฐบาลทหารนำโดยบรรดานายทหารกลุ่มนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ากุมอำนาจทางการเมืองและยอมให้รุสเซียเข้าแทรกแซงในอัฟกานิสถานโดยยอมรับความช่วยเหลือด้านการเงินและอาวุธยุทธโธปกรณ์จากรุสเซีย ชาวอัฟกานิสถานส่วนใหญ่ต่อต้านรัฐบาลทหารเพราะเชื่อว่านโยบายการปกครองของรัฐบาลทหารที่ชื่นชอบในลัทธิคอมมิวนิจสต์ขึดต่อหลักคำสอนในศาสนาอิสลาม และทั้งไม่พอใจรัฐบาลทหาที่ยอมให้รุสเซียเข้ามีอิทธิพลแทรกแซงการเมืองการปกครองของอัฟกานิสถาน ชาวอัฟกานิสถานรวมตัวต่อต้านรัฐบาลทหารภายใต้ชื่อ มูจาฮีดดิน มูจาฮีดดีนปฏิบัติการต่อต้านรัฐบาลทหารด้วยการสู้รบแบบกองโจร
ธันวาคม 1979 กองกำลังรุสเซียเคลื่อนเข้าอัฟกานิสถานเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า วิกฤติการณ์อัฟกานิสถานปี 1979 โดยรุสเซียอ้างว่าเพราะรัฐบาลทหารอัฟกานิสถานร้องของความช่วยเลหือเพ่อการปราบปรามมูจาฮีดดิน ประธานาธิบดีคาร์เตอร์มองว่ารุสเซีย สั่งเคลื่อนกองกำลังทหารรุสเซียเข้าอัฟกานิสถานเพื่อการเข้าควบคุมและมีอิทธิพลเหนือแหล่งน้ำมันโลกบริเวณอ่าวเปอร์เซีย นับเป็นปฏิบัติการทำลายสันติภาพของโลกครั้งรุนแรงที่สุดนับจากสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 และทั้งเป็ฯการเริ่มต้นการขยายอำนาจของรุสเซียเข้าสู่น่านน้ำและพื้นที่แถบทะเลอาหรับในมหาสมุทรอินเดีย ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ตอบโต้วิกฤติการณ์อัฟกานิสถานในปี 1979 ทันที่โดยหนึ่งหยุดการส่งข้าวสาลี และอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงแก่รุสเซีย และทั้งทั้งกล่าวประณามการเคลื่อนกองกำลังรุสเซียเข้าอัฟกานิสถานว่าเป็นการก้าวร้าวรุกอธิปไตยของอัฟกานิสถานและทำลายสันติภาพของโลกครั้งรุนแรงที่สุดนับจากปี
1945 รุสเซียเพิกเฉยคำกล่าวประณามของสหรัฐอเมริกาและคงกองกำลังรุสเซียในอัฟกานิสาน สองประท้วง ไม่ส่งนักกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1984 ที่ลอสแอนเจลิส สามเตรียมกำลังพล กำหนดให้เยาวชนอเมริกันทั้งชายและหยิงรายงานตัวขึ้นทะเบียนเพื่อรับการเกณฑ์กำลังพลในอนาคต ถ้าจำเป็นเพื่อปกป้องอ่าวเปอร์เซีย จากการอาจถูกกองกำลังรุสเซียเข้ารุกล้ำ สี่ประธานาธิบดีคาร์เตอร์กล้าพูดว่าประเมินรุสเซียผิดอย่างไม่คาดคิดดมาก่อน และดึงกลับสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ฉบับที่ 2 จากการพิจารณาของวุฒิสภาห้า ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ประกาศหลักการคาร์เตอร์ปี 1980 กำหนดสหรัฐอเมริกนำเป็นต้องเข้าขัดขวางแรกแซงด้วยกองกำลังอเมริกัน ถ้าจำเป็นด้วยปฏิบัติการที่หนักหน่วงและเฉียบขาด เพื่ปกป้องแหล่งน้ำมัน บริเวณอ่านเปอร์เซียด้วยกลักการคาร์เตอร์ เป็นการบ่งชี้ชัดว่าสหรัฐอเมริกาต้องการให้กองกำลังรุสเซียหยุดอยู่ที่อัฟกานิสถาน และเป้นกาตัดสินใจอย่งเด่นชัดในการนำสหรัฐอมเริกาเข้ายุ่งเกี่ยวในปัญหาอันเนื่องกับน้ำมัน บริเวณอ่าวเปอร์เซีย
จากการต่อสู้รบระหว่างกองกำลังรุสเวียและกองกำลังรัฐบาลทหารอัฟกานิสถานฝ่ายหนึ่งกับกองกำลังมูจาฮีดดีนอีกฝ่ายหนึ่ง นับจากเดือนธันว่าคม ผลปรากฎว่าชาวอัฟกานิสถานส่วนใหญ่หลบหนีการปะทะเข้าอาศัยบริเวณชายแดนปากีสถานและอิกร่าน กองกำลังรุสเซียเริ่มถ่อยออกจากอัพกานิสถาน และถอนหมดสิ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ในอัฟการนิสถานคงมีสงครมลกางเมืองระหว่างกองกำลังมูจาฮีดดินกับกองกำลังรัฐบาลอัฟกานนิสถาน
สหรัฐอเมริกามีกรณีพิพาทกับอิหน่าน เกิดวิกฤติการณ์อิหร่านจับคนอเมริกันเป็นตัวประกันหรือวิกฤติการณ์อิหร่าน ปี 1979 เป็นประเทศอยู่ทางตะวันออกกลาง ดินแดนทางเหนือติดทะเลแคสเปียน และรุสเซีย ทางตะวันออกติดอัฟกานิสถานและปากีสถานทางใต้ติดอ่าวเปอร์เซีย ทางตะวันตกติดอิรักและตุรกี ในศตวรรษที่ 19 ชาติตะวันตกที่เข้าแทรกแซงอิหร่านคือรุสเซียและอังกฤษ รุสเซียรุกรานอิหร่านเพราะต้องการขยายดินแดนและหาทางออกสู่อ่าวเปอร์เซีย อังกฟษแทรกแซงอิหร่านต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อทำธุรกิจน้ำมัน ในแหล่งน้ำมันในพื้นที่ทางตะวันตกเฉพียงใต้ของอิหร่าน ในสงครามโลกครั้งที่ 1 อิหร่านวางตนเป็นกลาง ในสปี 1925 เรซา ข่าน นายทหารแห่งกองทหารม้านำกองกำลังทหารโค่นอำนาจอษัตรยิ์หรือชาห์ ในราชวงศ์คาชร์ และสถาปนาตนเองเป็นชาห์แห่งราชวงศ์ปาห์ลาวี ชาห์ เรชามุ่งพัฒนาอิหร่านให้ทันกับโลกสมัยใหม่ พร้อทั้งรับการเข้ามาของชาติตะวันตกเพื่มมากขึ้น อิหร่านประกาศวางตนเป็นกลางใสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษต้องการใช้เส้นทางรถไฟอิหร่าน ขนยุทธปัจจัยให้แก่รุสเซีย ชาห์ เรซา ปฏิเสธให้ความร่วมมือเป็นผลให้ในปี 1941 กองกำลังผสมอังกฤษ-รุสเซยบุกเข้า อิหร่าน บังคัยให้ชาห์ เรซา สละราชสมบัติ และให้โมฮัมหมัด เรซา ปาห์เลวียอมลงนามให้อังกฟษและรุสเซียร่วมใช้เส้นทางรถไฟอิหร่านและให้คงกองกำลังทหารของทั้งสองชาติอยู่ในอิหร่านจนกว่าสงครามจะยุติ เพื่อ
ปกป้องธุรกิจนำมันและการขนส่งยุทะปัจจัย แรมีกองกำลังทหารต่างชาติในอิหร่านทำให้ชาวอิหร่านกลุ่มชาตินิยมไม่พอใจเกิดขบวนการชาตินิยม ภายใต้ชื่อเมลิส เรียกร้องยุติอิทธิพลอังกฤษในธุรกิจน้ำมันในอิหร่านสร้างความไม่พอใจอย่างมากแก่อังกฤษและอังกฤษโต้ตอง โดยหยุดดำเนินธุรกิจน้ำมันในอิหร่านพร้อมทั้งไม่นำน้ำมันอิหร่านออกสู่ตลาดโลกน้ำมันในตลาดโลก จึงไม่สามารถนำนำมัออกสู่ตลาดโลกด้วยตนเอง ดิกร่านต้องเผชิญปัญหาเศรษฐกิจการเงิน กลางปี 1953 ชาห์ เรซา ปาห์เลวีบังคับให้ขบวนการชาตินิยมเมลิสเลิการต่อต้านอังกฤษ ขบวนการชาตินิยมเมลิสจับกุมชาห์ เรซา ปาห์เลวีและบังคับให้ลี้ภัยออกนอกอิหร่านสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประนาะบดีไอเซนฮาวร์ สั่งให้หน่วยสืบราชการลับนอกประเทศ เข้าช่วยชาห์ เรซา ปาห์เวลี กลับขึ้นมีอำนาจอีกครั้งในปี 1953 หลังถูกจับกุมอยู่สามวันและชาห์ เรซา ปากห์เลวีสั่งปราบปรามสมาชิกขวบนการชาตินิยมเมลิสทันที่เมืองกลับมีอำนาจ
ทศวรรษที่ 1960 การปฏิรูปทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองประกฏเด่นชัน ขณะเดียวกันชาวอิหร่านเริ่มการเริ่มการต่อต้านชาห์ เพราะไม่พอใจการปฏิรูป ชาห์ เรซาปาห์เลวีนำการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมภายใต้ชื่อปฏิวัติขาวหรือการเปลี่รยแปลงโดยสิ้นเชิงอย่างรวดเร็ว ได้แก่ปผนปฏิรูปที่ดินดวยการจัดสรรแจกจ่ายที่ดินแก่ชาวนาและเกษตรกร แผนส่งเสริมการศึกษา แผนส่งเสริมสวัสดิการและการให้บริการสังคม แผนให้สิทธิสตรีในการลงคะแนน แผนพัฒนาอตาสหกรรมและส่งเสริมเศรษฐกิจด้วเงิยรายได้ที่เพิ่มขึ้จจากการขายน้ำมัน ชาห์ เราซา ปาห์เลวีกุมอำนาจทางการเมืองปกครองด้วยการจับกุม คุมขัง ทรมาน และเนรเทศผู้ต่อต้านทุกคน ชาห์ เรซา ปาห์เลวีสังจับกุมและเนรเทศอะยาโทลลาห์ รูโฮลลาห์ โดไมนี ผุ้นำศาสนานิกายชีอะ จากอิหร่านต้องเข้าอาศํยในอิรัก 13 ปี อยู่ฝรั่งเศสหนึ่งปี ในเดื่อน กุมภาพันธ์ 1979 เดินทางกลับอิหร่าน ศัตรูของชาห์ เรซา ปาห์เลวีมีสองกลุ่ม ๆ แรกคือ นักศึกษาและนักวิชาการ กลุ่มที่สองคือผู้นำศาสนา กลุ่มนักศึกษาและนักวิชาการรวมตัวต่อต้านวิจารณ์โจมตีด้านการปกครองและเสรษฐกิจ ในประเด็นหนึ่งชาห์ เรซา ปาห์เลวี ปฏิเสธในสิทธิเสรีภาพของชาวอิหร่านกดขี่ข่มเหงลิดรอนสิทธิประชาชนในการแสดงความคิดเห็นด้วยการพูด การเขียน การพิมพ์สองใช้เจ้าหน้าที่ลับซาวัค ปราบปรามบดขยี้กลุ่มต่อต้านซาห์อย่างทารุณโหดเหี้ยม สามรัฐบาลกระทำการทุจริตเอื้อประโยชน์แก่ต่างชาติอันเป็นการทำลายเศรษฐกิจอิหร่าน กลุ่มผู้นำศาสนารมถึงคนอิหน่านผุ้ยึดมั่นในขนบประเพณีดังเดิมหรือพวกคนหัวเก่า ต่อต้านวิจารณ์โจมตีด้านสังคมใน ประเด็นการปฏิรูปสังคมของชาห์เป็นไปอย่างรวดเร็วไปอย่างรวดเร็วให้ทักับโลกภายนอก เช่น เรื่องสิทธิสตรีและการแต่งกายของสตรีล้วนขัดต่อหลักคำสอนในศาสนาอิสบามและขัดต่อประเพณีดีงามของมุสลิม
ช่วงทศวรรษ คนอิหร่านต่อต้านชาห์ เรซา ปาห์เลวี ทีความรุนแรง เริ่มโดยสหรัฐอเมริกาเพิ่มการสั่งซื้อนำมันจากอิหร่านเพื่อขจัดปัญหาวิกฤติพลังงานปี 1973 ขณะเดียวกันชาห์ เรซา ปาห์เลวี เพิ่มการสั่งซื้ออาวุธที่ประสิทธิภาพสู
เพื่อการปราบปรามกลุ่มต่อต้านชาห์ที่เพ่มจำนวนขึ้นและคิดโค่นอำนาจชาห์ ปาห์เลวี ทั้งสหรัฐอเมริกาเองก็ยินดีขายอาวุธแก่อิหร่านในราคามิตภาพที่สุดเพื่อรักษาเสถียรภาพความมั่นคงของธุรกิจน้ำมันอเมริกันในอ่าวเปอร์เซีย มีการบัญญัติศัพท์เฉพาะในธุรกิจขายน้ำมันเพื่อซื่ออาวุธหรือขายอาธเพื่อซื้อนำมัน ว่าปิโครดอลล่าร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงปี 1972-1979 มีการซื้อขายน้ำมันและอาวุธระหว่างกันมีมุลค่าถึง ยี่สิบพันล้านดอลล่าร์ และประธานาธิบดีคาร์เตอร์เดินทางเยือนอิหร่านเพื่อกระชับความสัมพันะห้แน่นแฟ้นในปี 1977 การปฏิบัติการของกลุ่มต่อต้านชาห์ นับจากปี 1960 ได้รับการสั่งการมาโดยตลอดจาอะยาโทลลาห์รูโฮลลาห์ โคไมนี ทั้งขณะอยู่ใอหร่าย ถูกเนรเทศต้องเข้าอาศัยในอิรักและฝรั่งเศส กลุ่มต่อต้านชาห์ กล่าวโจมตีและวิจารณ์ชาห์ทั้งสร้างความโกลาหลวุ่นวายในอิหร่านด้วยการเดินขบวน นัดหยุดงาน ทำลายทรัพย์สินทางราชการ ทำร้ายร่างกาย ฆ่าและทำลายทรัพย์สินกลุ่มผู้สนับสนุนชาห์มีการปล้นสดมภสร้างความเดื่อร้อนอย่างมากแก่ประชาชนโดยเจ้าหน้าที่ไม่อาจเข้าช่วยเหลือได้ อิหร่านขาดวินัยในการปกครองและเศรษฐกิจหยุดชะงัก ด้วยสภาพดังกล่าวสร้างแรงบีบคั้นอย่างมากแก่ชาห์ เรซา ปาห์เลวี เป็นผลให้ในวันที่ 16 มกราคม ชาห์ เรชา ปาห์เลวีตัดสินใจลั้ภัยการเมืองจากอิหร่าน ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1979 โคไม่นีจากฝรั่งเศสเดินทางกลับอิหร่าน ประกาศจัดตั้งประเทศสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน และใช้คำสอนในศาสนาอิสลามเป็นหลักในการปกครองประเทศ
ท่าทีประธานาธิบดีคาร์เตอร์ต่อวิกฤติการณ์อิหร่านจับคนอเมริกันเป็นตัวประกัน 1979 ประการแรกคือ ปฏิเสธการส่งตัวชาห์แห่งอิหร่านให้แก่รัฐบาลอิหร่าน ภายใต้การนำของโคไมนี สองสั่งตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจด้วยการหยุดขายและส่งอาวุธตลอดจนความช่วยเหลือใด ๆ แก่อิหร่าน สามสั่งควบคุมเงินและของมีค่าของชาวอิหร่านที่นำฝากในธนาคารอเมริกัน สี่จัดส่งนักเรียนนักศึกษาอิหร่านที่ศึกษาในสหรัฐอเมริกากลับอิหร่าน ห้าสหรัฐอเมริกและมวลประเทศสมาชิกโลกเสรีร่วมกันประณามการกระทำของอิหร่าน ว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและเรียกร้องให้รัฐบาลอิหร่านปล่อยตัวประกันอเมริกันทั้ง 52 คน หก ประธานาธิบดีคาร์เตอร์สั่งกองทัพเรื่ออเมริกันประจำน่านน้ำมหาสมุทรอินเดียเตรียมพร้อมปฏิบัติการ เพื่อเป็นการแสดงสัญญาณเตือนรัฐบาลอิหร่านถึงความพร้อมปฏิบัติการของกองกลังอเมริกันถ้าจำเป็น เจ็ดประธานาธิบดีคาร์เตอร์ประกาศหลัการคาร์เตอร์ปี 1980 กำหนดสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องเข้าขัดขวางแทรกแซงด้วยกองกำลังอเมริกันถ้าจำเป็นก้วยการปฏิบัติการที่หนักหน่วงและเฉียบขาดเพื่อปกป้องแหล่งน้ำมัน บริเวณอ่าวเปอร์เซีย ประธานาธิบดีคาร์เตอร์มุ่งใช้หลักการคาร์เตอร์ ปี 1980 กับทั้งอิหร่านและรุสเซีย รวมถึงกระตุ้นคนอเมริกันให้รับรู้ถ้าจำเป็นต้องการเกณฑ์ทหารเพื่อการปราบปราม และท้งเป็นการตัดสินใจอย่างเด่นชัดในการนำสหรัฐอเมริกาเข้ายุ่งเกี่ยวในปัญหาอันเดี่ยวเหนื่องกับน้ำมันบริเวณอ่านเปอร์เซีย แปด ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านในเดือนเมษายนปี 1980 และเก้าประธานาธิบดีคาร์เตอร์สั่งชิงตัวประกันอเมริกันด้วยปฏิบัติการเฮลิคอบเตอร์แปดลำ ผลการปฏิบัติการล้มเหลวรัฐบาลอิหร่านภายใต้การนำของโคไมนียึดตัวประกันอเมริกันที่ 52 คนไว้เพื่อใช้เป็นโล่ป้องกันมาตรการการโจมตีใดๆ ที่สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีคาร์เตอร์อาจจะกระทำต่ออิหร่าน อย่างไรก็ตามตัวประกันทั้ง 52 คนได้รับการปล่อยตัวในปี 1981 ในวันพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโรแนล ดับเบิลยู เรแกน รวมเวลาการกักขังตัวประกันชาวอเมริกัน 444 วัน
ที่เรียกร้องอพยพจากรุสเซียสู่โลกเสรี ล้วนเป็นการกดขี่ข่มเหงแระชาชนอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนจริง และรุสเซียจัดส่งคณะนายทหารผู้เชี่ยวชาญด้านวางแผนปฏิบัติการรและการใช้อาวุธมาคิวบาเป็นที่ปรึกษาแก่ฟิเดล คัสโตร เพื่อการวางแผนให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มกบฎโค่นล้มรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศ ละตินอเมริกา ในขณะเดียวกันรุสเซียเร่งคิดค้นพัฒนาอาวุธร้ายแรงชนิดใหม่คือจรวดขีปนาวุธเอสเอส-20 มีประสิทธิภาพทำลายล้างสูงเหนือกว่าจรวดขีปนาวุธข้ามทวีป เช่นกัน สร้างความไม่พอใจแก่สหรัฐอเมริกา อันมีผลทำให้ตัวแทนขงอทั้งสองประเทศที่ร่วมร่างสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ฉบับที่ 2 ทำงานได้ไม่คล่องตัว ข้อตกลงไม่เสร็จสมบูรณ์ตามกำหนดในปี 1977 ต้องล่าช้าออกไป อย่างไรก็ตามการลงนามร่วมในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ฉบับที่ 2 ปี 1979ระหว่างประธานาธิบดีคาร์เตอร์กับลีโอนิค ไอ. เบรสเนฟ มีขึ้นในปี 1979 ที่กรุงเวียนา ออสเตรีย กำหนดจำกัดจำนวนอาวุธร้ายแรงสี่ประเภทระหว่างกันคือหนึ่งจรวดขีปนาวุธยิงข้ามทวีป ในสัดส่วนสหรัฐอเมริกาต่อรุสเซียคือ 1054 ลูกต่อ 1400 ลูก สองจรวดขีปนาวุธยิงจากเรือดำน้ำในสัดส่วนสหรัฐอเมริกาต่อรุสเซียคือ 656 ลูกต่อ 950 ลูก สามจรวดขีปนาวุธในสัดส่วนขีปนาวุธ ในสัดส่วนสหรัฐอเมริกาต่อรุสเซียคือ 350 ลูกต่อ 150 ลูก และสี่หัวรบนิวเคลียร์ ในสัดส่วนสหรัฐอเมริกาต่อรุสเซียคือ 9200 ลูกต่อ 5000 ลูก ไม่มีการกำหนดจำนวนจรวดขีปนาวุธเอสเอส-20 ของรุสเซีย หรือจำนวนจรวดชีปนาวุธเอ็ม เอ็ม และจำนวนจรวดขีปนาวุธเพอร์ชิง 2 ของสหรัฐอเมริกาในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ฉบับที่ 2 ปี 1979 ซึ่งอาวุธร้ายแรงทั้งสมประเภทมีประสิทธิภาพเหนือกว่าอาวุธร้ายแรงสี่ประเภทที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ฉบับที่ 2 ปี 1979 อันบ่งชี้ได้ถึงปัญหาและความตึงเครียดระหว่างประเทศทั้งสองในอนาคตรัฐสภายังไม่ทันให้การับรองในนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศษสตร์ฉบับที่ 2 ก็พอดีเกิดเหตุการณ์รุสเซียรุกรานอัฟกานิสถานในเดื่อนธันวาคม 1979
สหรัฐอเมริกาไม่พอใจที่รุสเซียรุกรามอัฟกานิสถานในเดื่อนธันวาคม 1979 อัฟกานิสถาน เป็นประเทศอยู่ทางตะวันออกสุดของตะวันออกกลาง อัฟกานิสถานทางตอนเหนือติดกับรุสเซีย ทางตะวันตกติดกับอิหร่าน ทางตะวันออกและทางตอนใต้ติดกับปากีสถาน ใรเดื่อนสิงหาคม 1919 อังกฤษปลดปล่อยอัฟกานิสถานจากการเป็นอาณานิคม เพราะภายในอัฟกานิสถานวุ่นวายเร่มกลางศตวรรษที่ 20 และรับความช่วยเหลือจากรุสเซียนำพาให้รุสเซียเข้ารุกรานอัฟกานิสถานใน เดือนธันวาคมปีเดียวกัน ประวัติศาสตร์อัฟกานิสถาน ที่ควรจดจำเริ่มจากกษํตริย์มูฮัมหมัด นาเดียร์ ข่าน ปกครองอัฟกานิสถานระหว่างปี 1929-1933 นำการปฏิรูปในทุกด้าน กษัตริย์นาเดียร์ ข่าน ถูกลอบปลงพระชนม์มีผลให้ลูกชายคือมูฮัมหมัด ซาเฮอ ขึ้นปกครองอัฟกานิสถาน โดยมีมูฮัมหมัด เดา ข่าน เป็ฯนายกรัฐมนตรีอัฟการนิสถานวางตนเป็นกลางในสงครามเย็นและรับความช่วยเหลือทั้งจากรุสเว๊ยและสหรัฐอเมริกา ในปี 1973 เดา ข่าน พร้อมกองกำลังทหารก่อการปฏิวัติโค่นอำนาจกษัตริย์ซาเฮอได้สำเร็จ คณะนายทหารเข้ากุมอำนาจการปกครองและประกาศจัดตั้งประเทศสาธารณรัฐแห่งอัฟกานิสถาน มีเดา ข่าน ดำรงตำแหน่งทั้งนายกรัฐมนตรีและปรธานาธิบดี ในปี 1078 กองกำลังทหารนิยมลัทะคอมมิวนิสต์ก่อการปฏิวัติโค่นอำนาจและฆ่า เดา ข่าน หลังจากนั้นรัฐบาลทหารนำโดยบรรดานายทหารกลุ่มนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ากุมอำนาจทางการเมืองและยอมให้รุสเซียเข้าแทรกแซงในอัฟกานิสถานโดยยอมรับความช่วยเหลือด้านการเงินและอาวุธยุทธโธปกรณ์จากรุสเซีย ชาวอัฟกานิสถานส่วนใหญ่ต่อต้านรัฐบาลทหารเพราะเชื่อว่านโยบายการปกครองของรัฐบาลทหารที่ชื่นชอบในลัทธิคอมมิวนิจสต์ขึดต่อหลักคำสอนในศาสนาอิสลาม และทั้งไม่พอใจรัฐบาลทหาที่ยอมให้รุสเซียเข้ามีอิทธิพลแทรกแซงการเมืองการปกครองของอัฟกานิสถาน ชาวอัฟกานิสถานรวมตัวต่อต้านรัฐบาลทหารภายใต้ชื่อ มูจาฮีดดิน มูจาฮีดดีนปฏิบัติการต่อต้านรัฐบาลทหารด้วยการสู้รบแบบกองโจร
ธันวาคม 1979 กองกำลังรุสเซียเคลื่อนเข้าอัฟกานิสถานเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า วิกฤติการณ์อัฟกานิสถานปี 1979 โดยรุสเซียอ้างว่าเพราะรัฐบาลทหารอัฟกานิสถานร้องของความช่วยเลหือเพ่อการปราบปรามมูจาฮีดดิน ประธานาธิบดีคาร์เตอร์มองว่ารุสเซีย สั่งเคลื่อนกองกำลังทหารรุสเซียเข้าอัฟกานิสถานเพื่อการเข้าควบคุมและมีอิทธิพลเหนือแหล่งน้ำมันโลกบริเวณอ่าวเปอร์เซีย นับเป็นปฏิบัติการทำลายสันติภาพของโลกครั้งรุนแรงที่สุดนับจากสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 และทั้งเป็ฯการเริ่มต้นการขยายอำนาจของรุสเซียเข้าสู่น่านน้ำและพื้นที่แถบทะเลอาหรับในมหาสมุทรอินเดีย ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ตอบโต้วิกฤติการณ์อัฟกานิสถานในปี 1979 ทันที่โดยหนึ่งหยุดการส่งข้าวสาลี และอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงแก่รุสเซีย และทั้งทั้งกล่าวประณามการเคลื่อนกองกำลังรุสเซียเข้าอัฟกานิสถานว่าเป็นการก้าวร้าวรุกอธิปไตยของอัฟกานิสถานและทำลายสันติภาพของโลกครั้งรุนแรงที่สุดนับจากปี
1945 รุสเซียเพิกเฉยคำกล่าวประณามของสหรัฐอเมริกาและคงกองกำลังรุสเซียในอัฟกานิสาน สองประท้วง ไม่ส่งนักกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1984 ที่ลอสแอนเจลิส สามเตรียมกำลังพล กำหนดให้เยาวชนอเมริกันทั้งชายและหยิงรายงานตัวขึ้นทะเบียนเพื่อรับการเกณฑ์กำลังพลในอนาคต ถ้าจำเป็นเพื่อปกป้องอ่าวเปอร์เซีย จากการอาจถูกกองกำลังรุสเซียเข้ารุกล้ำ สี่ประธานาธิบดีคาร์เตอร์กล้าพูดว่าประเมินรุสเซียผิดอย่างไม่คาดคิดดมาก่อน และดึงกลับสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ฉบับที่ 2 จากการพิจารณาของวุฒิสภาห้า ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ประกาศหลักการคาร์เตอร์ปี 1980 กำหนดสหรัฐอเมริกนำเป็นต้องเข้าขัดขวางแรกแซงด้วยกองกำลังอเมริกัน ถ้าจำเป็นด้วยปฏิบัติการที่หนักหน่วงและเฉียบขาด เพื่ปกป้องแหล่งน้ำมัน บริเวณอ่านเปอร์เซียด้วยกลักการคาร์เตอร์ เป็นการบ่งชี้ชัดว่าสหรัฐอเมริกาต้องการให้กองกำลังรุสเซียหยุดอยู่ที่อัฟกานิสถาน และเป้นกาตัดสินใจอย่งเด่นชัดในการนำสหรัฐอมเริกาเข้ายุ่งเกี่ยวในปัญหาอันเนื่องกับน้ำมัน บริเวณอ่าวเปอร์เซีย
จากการต่อสู้รบระหว่างกองกำลังรุสเวียและกองกำลังรัฐบาลทหารอัฟกานิสถานฝ่ายหนึ่งกับกองกำลังมูจาฮีดดีนอีกฝ่ายหนึ่ง นับจากเดือนธันว่าคม ผลปรากฎว่าชาวอัฟกานิสถานส่วนใหญ่หลบหนีการปะทะเข้าอาศัยบริเวณชายแดนปากีสถานและอิกร่าน กองกำลังรุสเซียเริ่มถ่อยออกจากอัพกานิสถาน และถอนหมดสิ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ในอัฟการนิสถานคงมีสงครมลกางเมืองระหว่างกองกำลังมูจาฮีดดินกับกองกำลังรัฐบาลอัฟกานนิสถาน
สหรัฐอเมริกามีกรณีพิพาทกับอิหน่าน เกิดวิกฤติการณ์อิหร่านจับคนอเมริกันเป็นตัวประกันหรือวิกฤติการณ์อิหร่าน ปี 1979 เป็นประเทศอยู่ทางตะวันออกกลาง ดินแดนทางเหนือติดทะเลแคสเปียน และรุสเซีย ทางตะวันออกติดอัฟกานิสถานและปากีสถานทางใต้ติดอ่าวเปอร์เซีย ทางตะวันตกติดอิรักและตุรกี ในศตวรรษที่ 19 ชาติตะวันตกที่เข้าแทรกแซงอิหร่านคือรุสเซียและอังกฤษ รุสเซียรุกรานอิหร่านเพราะต้องการขยายดินแดนและหาทางออกสู่อ่าวเปอร์เซีย อังกฟษแทรกแซงอิหร่านต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อทำธุรกิจน้ำมัน ในแหล่งน้ำมันในพื้นที่ทางตะวันตกเฉพียงใต้ของอิหร่าน ในสงครามโลกครั้งที่ 1 อิหร่านวางตนเป็นกลาง ในสปี 1925 เรซา ข่าน นายทหารแห่งกองทหารม้านำกองกำลังทหารโค่นอำนาจอษัตรยิ์หรือชาห์ ในราชวงศ์คาชร์ และสถาปนาตนเองเป็นชาห์แห่งราชวงศ์ปาห์ลาวี ชาห์ เรชามุ่งพัฒนาอิหร่านให้ทันกับโลกสมัยใหม่ พร้อทั้งรับการเข้ามาของชาติตะวันตกเพื่มมากขึ้น อิหร่านประกาศวางตนเป็นกลางใสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษต้องการใช้เส้นทางรถไฟอิหร่าน ขนยุทธปัจจัยให้แก่รุสเซีย ชาห์ เรซา ปฏิเสธให้ความร่วมมือเป็นผลให้ในปี 1941 กองกำลังผสมอังกฤษ-รุสเซยบุกเข้า อิหร่าน บังคัยให้ชาห์ เรซา สละราชสมบัติ และให้โมฮัมหมัด เรซา ปาห์เลวียอมลงนามให้อังกฟษและรุสเซียร่วมใช้เส้นทางรถไฟอิหร่านและให้คงกองกำลังทหารของทั้งสองชาติอยู่ในอิหร่านจนกว่าสงครามจะยุติ เพื่อ
ปกป้องธุรกิจนำมันและการขนส่งยุทะปัจจัย แรมีกองกำลังทหารต่างชาติในอิหร่านทำให้ชาวอิหร่านกลุ่มชาตินิยมไม่พอใจเกิดขบวนการชาตินิยม ภายใต้ชื่อเมลิส เรียกร้องยุติอิทธิพลอังกฤษในธุรกิจน้ำมันในอิหร่านสร้างความไม่พอใจอย่างมากแก่อังกฤษและอังกฤษโต้ตอง โดยหยุดดำเนินธุรกิจน้ำมันในอิหร่านพร้อมทั้งไม่นำน้ำมันอิหร่านออกสู่ตลาดโลกน้ำมันในตลาดโลก จึงไม่สามารถนำนำมัออกสู่ตลาดโลกด้วยตนเอง ดิกร่านต้องเผชิญปัญหาเศรษฐกิจการเงิน กลางปี 1953 ชาห์ เรซา ปาห์เลวีบังคับให้ขบวนการชาตินิยมเมลิสเลิการต่อต้านอังกฤษ ขบวนการชาตินิยมเมลิสจับกุมชาห์ เรซา ปาห์เลวีและบังคับให้ลี้ภัยออกนอกอิหร่านสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประนาะบดีไอเซนฮาวร์ สั่งให้หน่วยสืบราชการลับนอกประเทศ เข้าช่วยชาห์ เรซา ปาห์เวลี กลับขึ้นมีอำนาจอีกครั้งในปี 1953 หลังถูกจับกุมอยู่สามวันและชาห์ เรซา ปากห์เลวีสั่งปราบปรามสมาชิกขวบนการชาตินิยมเมลิสทันที่เมืองกลับมีอำนาจ
ทศวรรษที่ 1960 การปฏิรูปทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองประกฏเด่นชัน ขณะเดียวกันชาวอิหร่านเริ่มการเริ่มการต่อต้านชาห์ เพราะไม่พอใจการปฏิรูป ชาห์ เรซาปาห์เลวีนำการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมภายใต้ชื่อปฏิวัติขาวหรือการเปลี่รยแปลงโดยสิ้นเชิงอย่างรวดเร็ว ได้แก่ปผนปฏิรูปที่ดินดวยการจัดสรรแจกจ่ายที่ดินแก่ชาวนาและเกษตรกร แผนส่งเสริมการศึกษา แผนส่งเสริมสวัสดิการและการให้บริการสังคม แผนให้สิทธิสตรีในการลงคะแนน แผนพัฒนาอตาสหกรรมและส่งเสริมเศรษฐกิจด้วเงิยรายได้ที่เพิ่มขึ้จจากการขายน้ำมัน ชาห์ เราซา ปาห์เลวีกุมอำนาจทางการเมืองปกครองด้วยการจับกุม คุมขัง ทรมาน และเนรเทศผู้ต่อต้านทุกคน ชาห์ เรซา ปาห์เลวีสังจับกุมและเนรเทศอะยาโทลลาห์ รูโฮลลาห์ โดไมนี ผุ้นำศาสนานิกายชีอะ จากอิหร่านต้องเข้าอาศํยในอิรัก 13 ปี อยู่ฝรั่งเศสหนึ่งปี ในเดื่อน กุมภาพันธ์ 1979 เดินทางกลับอิหร่าน ศัตรูของชาห์ เรซา ปาห์เลวีมีสองกลุ่ม ๆ แรกคือ นักศึกษาและนักวิชาการ กลุ่มที่สองคือผู้นำศาสนา กลุ่มนักศึกษาและนักวิชาการรวมตัวต่อต้านวิจารณ์โจมตีด้านการปกครองและเสรษฐกิจ ในประเด็นหนึ่งชาห์ เรซา ปาห์เลวี ปฏิเสธในสิทธิเสรีภาพของชาวอิหร่านกดขี่ข่มเหงลิดรอนสิทธิประชาชนในการแสดงความคิดเห็นด้วยการพูด การเขียน การพิมพ์สองใช้เจ้าหน้าที่ลับซาวัค ปราบปรามบดขยี้กลุ่มต่อต้านซาห์อย่างทารุณโหดเหี้ยม สามรัฐบาลกระทำการทุจริตเอื้อประโยชน์แก่ต่างชาติอันเป็นการทำลายเศรษฐกิจอิหร่าน กลุ่มผู้นำศาสนารมถึงคนอิหน่านผุ้ยึดมั่นในขนบประเพณีดังเดิมหรือพวกคนหัวเก่า ต่อต้านวิจารณ์โจมตีด้านสังคมใน ประเด็นการปฏิรูปสังคมของชาห์เป็นไปอย่างรวดเร็วไปอย่างรวดเร็วให้ทักับโลกภายนอก เช่น เรื่องสิทธิสตรีและการแต่งกายของสตรีล้วนขัดต่อหลักคำสอนในศาสนาอิสบามและขัดต่อประเพณีดีงามของมุสลิม
ช่วงทศวรรษ คนอิหร่านต่อต้านชาห์ เรซา ปาห์เลวี ทีความรุนแรง เริ่มโดยสหรัฐอเมริกาเพิ่มการสั่งซื้อนำมันจากอิหร่านเพื่อขจัดปัญหาวิกฤติพลังงานปี 1973 ขณะเดียวกันชาห์ เรซา ปาห์เลวี เพิ่มการสั่งซื้ออาวุธที่ประสิทธิภาพสู
เพื่อการปราบปรามกลุ่มต่อต้านชาห์ที่เพ่มจำนวนขึ้นและคิดโค่นอำนาจชาห์ ปาห์เลวี ทั้งสหรัฐอเมริกาเองก็ยินดีขายอาวุธแก่อิหร่านในราคามิตภาพที่สุดเพื่อรักษาเสถียรภาพความมั่นคงของธุรกิจน้ำมันอเมริกันในอ่าวเปอร์เซีย มีการบัญญัติศัพท์เฉพาะในธุรกิจขายน้ำมันเพื่อซื่ออาวุธหรือขายอาธเพื่อซื้อนำมัน ว่าปิโครดอลล่าร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงปี 1972-1979 มีการซื้อขายน้ำมันและอาวุธระหว่างกันมีมุลค่าถึง ยี่สิบพันล้านดอลล่าร์ และประธานาธิบดีคาร์เตอร์เดินทางเยือนอิหร่านเพื่อกระชับความสัมพันะห้แน่นแฟ้นในปี 1977 การปฏิบัติการของกลุ่มต่อต้านชาห์ นับจากปี 1960 ได้รับการสั่งการมาโดยตลอดจาอะยาโทลลาห์รูโฮลลาห์ โคไมนี ทั้งขณะอยู่ใอหร่าย ถูกเนรเทศต้องเข้าอาศัยในอิรักและฝรั่งเศส กลุ่มต่อต้านชาห์ กล่าวโจมตีและวิจารณ์ชาห์ทั้งสร้างความโกลาหลวุ่นวายในอิหร่านด้วยการเดินขบวน นัดหยุดงาน ทำลายทรัพย์สินทางราชการ ทำร้ายร่างกาย ฆ่าและทำลายทรัพย์สินกลุ่มผู้สนับสนุนชาห์มีการปล้นสดมภสร้างความเดื่อร้อนอย่างมากแก่ประชาชนโดยเจ้าหน้าที่ไม่อาจเข้าช่วยเหลือได้ อิหร่านขาดวินัยในการปกครองและเศรษฐกิจหยุดชะงัก ด้วยสภาพดังกล่าวสร้างแรงบีบคั้นอย่างมากแก่ชาห์ เรซา ปาห์เลวี เป็นผลให้ในวันที่ 16 มกราคม ชาห์ เรชา ปาห์เลวีตัดสินใจลั้ภัยการเมืองจากอิหร่าน ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1979 โคไม่นีจากฝรั่งเศสเดินทางกลับอิหร่าน ประกาศจัดตั้งประเทศสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน และใช้คำสอนในศาสนาอิสลามเป็นหลักในการปกครองประเทศ
ท่าทีประธานาธิบดีคาร์เตอร์ต่อวิกฤติการณ์อิหร่านจับคนอเมริกันเป็นตัวประกัน 1979 ประการแรกคือ ปฏิเสธการส่งตัวชาห์แห่งอิหร่านให้แก่รัฐบาลอิหร่าน ภายใต้การนำของโคไมนี สองสั่งตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจด้วยการหยุดขายและส่งอาวุธตลอดจนความช่วยเหลือใด ๆ แก่อิหร่าน สามสั่งควบคุมเงินและของมีค่าของชาวอิหร่านที่นำฝากในธนาคารอเมริกัน สี่จัดส่งนักเรียนนักศึกษาอิหร่านที่ศึกษาในสหรัฐอเมริกากลับอิหร่าน ห้าสหรัฐอเมริกและมวลประเทศสมาชิกโลกเสรีร่วมกันประณามการกระทำของอิหร่าน ว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและเรียกร้องให้รัฐบาลอิหร่านปล่อยตัวประกันอเมริกันทั้ง 52 คน หก ประธานาธิบดีคาร์เตอร์สั่งกองทัพเรื่ออเมริกันประจำน่านน้ำมหาสมุทรอินเดียเตรียมพร้อมปฏิบัติการ เพื่อเป็นการแสดงสัญญาณเตือนรัฐบาลอิหร่านถึงความพร้อมปฏิบัติการของกองกลังอเมริกันถ้าจำเป็น เจ็ดประธานาธิบดีคาร์เตอร์ประกาศหลัการคาร์เตอร์ปี 1980 กำหนดสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องเข้าขัดขวางแทรกแซงด้วยกองกำลังอเมริกันถ้าจำเป็นก้วยการปฏิบัติการที่หนักหน่วงและเฉียบขาดเพื่อปกป้องแหล่งน้ำมัน บริเวณอ่าวเปอร์เซีย ประธานาธิบดีคาร์เตอร์มุ่งใช้หลักการคาร์เตอร์ ปี 1980 กับทั้งอิหร่านและรุสเซีย รวมถึงกระตุ้นคนอเมริกันให้รับรู้ถ้าจำเป็นต้องการเกณฑ์ทหารเพื่อการปราบปราม และท้งเป็นการตัดสินใจอย่างเด่นชัดในการนำสหรัฐอเมริกาเข้ายุ่งเกี่ยวในปัญหาอันเดี่ยวเหนื่องกับน้ำมันบริเวณอ่านเปอร์เซีย แปด ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านในเดือนเมษายนปี 1980 และเก้าประธานาธิบดีคาร์เตอร์สั่งชิงตัวประกันอเมริกันด้วยปฏิบัติการเฮลิคอบเตอร์แปดลำ ผลการปฏิบัติการล้มเหลวรัฐบาลอิหร่านภายใต้การนำของโคไมนียึดตัวประกันอเมริกันที่ 52 คนไว้เพื่อใช้เป็นโล่ป้องกันมาตรการการโจมตีใดๆ ที่สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีคาร์เตอร์อาจจะกระทำต่ออิหร่าน อย่างไรก็ตามตัวประกันทั้ง 52 คนได้รับการปล่อยตัวในปี 1981 ในวันพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโรแนล ดับเบิลยู เรแกน รวมเวลาการกักขังตัวประกันชาวอเมริกัน 444 วัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...