วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

The Game Theory

            ฉากทัศน์ที่ประกอบด้วยผู้คนจำนวนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ซึ่งแต่ละคนต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
แล้วได้รับผลตอบแทนตามการตัดสินใจนั้น โดยที่การตัดสินใจของแต่ละบุคคลมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของสมาชิกทุกคนในกลุ่ม นี่เป็นปริศนาที่นักคณิตศาสตร์เรียก หลักการที่ใช้ในการตัดสินใจว่า ทฤษฎีเกม (Game Theory) และสิ่งที่เกิดตามมา คือ การเข้าใจหลักการที่ทุกคนใช้ตัดสินใจในการเล่นเกม เพื่อจะได้ชัยชนะ ได้ทำให้เราเข้าใจจิตใจและวิธีคิดของผู้คนในสังคม และในสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น

           ในการศึกษาที่มีลักษณะทางทฤษฎีเกมก่อนปี 1950 มีหัวใจสำคัญคือแนวคิดแบบมินิแมกซ์ ( ผุ้แล่นแต่ละฝ่ายเปรีบเทียบผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดที่เป็นไปได้ของทางเลือกแต่ละทางของตัวเองและ้วเลือกทางเกลือการันตีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด = ผลลัพธ์ที่แย่ทีสุดของทางเลือกนั้น ดีกว่าผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดของทางเลือกอื่นๆ.) การวิเคราะห์เกมในลักษณะของมินินแมกซ์มีหลักฐานย้อนไปถึงปี 1713 ที่การวิเคราะห์เกมไพ่ เลอ แอร์ (ฝรั่งเศส le Her) ซึ่งได้เขียนถึงในจดหมาย

         ในปี 1913 แอนสท์ แซร์เมโล นักคณิศาสตร์ขาวเยอรมัน ตีพิมพ์บทความ "ว่าด้วยการประยุกต์ทฤษฎีเชตในด้านทฤษฎีหมากรุก" ซึ่งพิสูจน์ว่่า ผลลัทธพืแบบมินินแมกซืของเกมหมากรุกสากลมีผลแพ้ชนะเพียงหนึ่งแบบ แต่ไม่มีการพิสูจน์ว่าผลมินินแมกซืของเกมส์มีลักษณะเป็นฝ่ายใดชนะหรือเสมอกัน  เกมที่ผลลัพธ์แบบมินินแมกซ์มีผลแพ้ชนะแบบเดียวนี้เรียกว่าเป็นเกมที่กำหนดแล้วโดยแท้ ทฤษฎีบทของแซร์เมโล ใช้ได้กับเกมแบบขยายที่มีผุ้เล่นสองคน มีทางเลือกที่จำกัด มีผลแพ้ชนะและผุ้เล่นมีสารสนเทศสมบูร์(ไม่มีการเดินพร้อมกัน และสารสนเทศทุกอย่างเปิดเผยให้ผุ้เล่นทุกฝ่ายทราบ) เช่น หมากฮอส หมากล้อม เฮกซ์ เป็นต้น

       เอมิล บอรแรล นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ตีพิมพ์บทความแบับในปี 1921,1924,1927 โดยเป็นการวิเคราะห์กลยุทธ์ผสมและผลเฉลยแบบมินินแมกซ์ทางคณะศาสตร์อย่างเป็นระบบครั้งแรกแต่บอแรลพิสูน์เฉพาะใกรณีอย่างง่าย และสันนิษฐานว่าผลเฉพลยแบบมินินแมกซ์นี้ไม่ได้อยู่เป็นการทัวไป แต่ข้อสันนิษฐาน ฟอน นอยมันน์ ได้พิสุจน์ในภายหลังว่าไม่เป็นจริง

           ในปี 1928 จอห์น ฟอน นอยมันส์ ตีพิมพ์บทความ "ว่าด้วยทฤษำีของกมนันทนาการ บทความของฟอน นอยมันน์นำเสนอทฤษำของเกมที่มีลักษณะทั่วไปกว่างานก่อนหน้า โดยตั้งคำถามว่า "ผู้เล่น n คน เล่นเกมส์ G ผุ้เล่นคนใดคนหนึ่งจะต้องเล่นอย่างไรจึงจะได้ผลลัทธ์ที่ดีที่สุด" ในบทความนี้ ฟอน นอยมันน์ ได้กำหนดเกมรูแบบขยาย และนิยาม "กลยุทธ์" ว่าหมายถึงแผนการเล่นที่ระบุการตัดสินใจของผุ้เล่นที่จุดต่างๆ ในเกม โดยชขึ้นกับสารสนเทศที่ผุ้เล่นมีในจุดนั้นๆ ซึ่งเป็นลักษณะ เดี่ยวกับแนวคิดวิะีการเล่นของบอแรล การนิยามกลยุทธ์ในลักษณะนี้ทำให้ ฟอน นอยมันน์ สามารถลดรุปเกมแบบขยายให้เลหือเพ่ียงการเลือกกลยุทธ์ของผัะ้เล่นแต่ละฝ่ายโดยอิสระจากกันก่อนเร่ิมเกมเท่านั้น ฟอน นอยมันน์ พิสูจน์ว่า ในเกมที่มีผุ้เล่นสองฝ่ายที่ผลรวมเป็นศุนย์และแต่ละฝ่ายมีทางเลือกจำนวนจำกัด หากว่าผุ้เล่นสามรรถใช้กลยุทธ์ผสมได้ เกมนี้จะมีจุดมินินแมกซืหนึ่งจุดเสมอ เนื่อหาการพิสูน์ทฤษฎบทของฟอน นอยมันน์ มีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีบทจุดตรังของเบราว์เออร์ แม้ว่า ฟอน นอยมันน์ ยกตัวอย่างเกมส์นั้นทรนาการในบริบทนี้ว่าอาจหมายถึงเกมหลายประเภท เช่น รูเล็ตต์ และหมากรุกสากล แต่ก็กล่าวถึงด้วย ความสัมพันธ์ในลักษณะของเกมนี้สามรรถอะิบายสถานการณ์อื่นๆ ได้ด้วย โดยได้เขียนในเชิงอรรถว่าคำถามนี้มีลักษณะเหมือนคำถามในวิขาเศราฐศาสตร์

          อ็อตสตาร์ มอร์เกินสแตร์น เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ขระนั้นสนใจเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ระหวา่งการตัดสินใจของบุคคลหลายฝ่ายในหนังสือเรืองการพยากรณืทางเศรษฐกิจที่ตีพิมพ์ในปี 1928 มอร์เกินสแตร์น ได้ยกตัวอย่างการต่อกรกันระหว่างตัวละคร "เชอร์ล็อก โฮมส์กับ มอริอาร์ตี" ที่โฮมส์พิจารณาหลายชั้นว่ามอริอาร์ตีคิดว่าเขาจะทำอย่างไร มอร์เกินสแตร์น ได้รับคำแนนำจากนักคณิศาสตร์ เอดูอาร์ด เช็ค ระหว่างนำเสนอบทควาทที่งานสัมมนาในกรุงเวียนนาในปี 1935 ว่าหัวข้องานของมอร์เกินสแตร์นมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับงานทฤษำีเรื่องเกมของ ฟอน นอยมันน์ กลังจากการผนวกออสเตรียเข้ากับนาซีเยอรมันในปี 1938 มอร์แกนสแตร์นย้าายจากเวียนนาไปยังมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัสในสหรัฐอเมริกา และพบกับ ฟอน นอยมันน์ แ่ละมีโอการได้ร่วมกัน จนมีผลงานเป็นหนังสือ "ทฤษฎีว่าด้วยเกมและพฤติกรรมทางเศรษฐกิจ" 

            หลังจากที่หนังสือของ ฟอน นอยมันน์และมอร์เกินสแตร์นได้รับการตีพิมพ์ ทศวรรษ 1950 เป็นช่วงที่มีผลงานด้านทฤษฎีเกมส์ ที่สำคัญหลายอย่าง โดยมีสถาบันสำัญที่เป็นสูนย์กลางสองแห่งคือมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และ แรนด์ คอร์เปอเรชัน สถาบันวิจัยเอกชนที่ตั้งขึ้นใหม่ที่มุ่งเน้นการทำวิจัยด้านความมั่นคงให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ

           ในช่วงปี 1950-1953 จอห์น แนช ได้ตีพิมพ์บทความสำคัญสี่บทความซึ่งมีบ่บาทสำคัญอย่างมากต่อสาขาทฤษำีเกม จากนิยมเกมรูปแบบทั่วไปของฟิน นอยมันน์ และมอร์เกินสแตร์น แนชได้นิยามแนวคิดสมดุลสำหรับเกมในรูปแบบทั่วไปที่มีผุ้เล่นและกลยุธ์จำกัดทุกเกมที่ผุ้เล่นสามารถใช้กลยุทธ์ผสมจะมีจุดสมดุลอย่างน้อยหนึ่งจุด ผลงานนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในบทความสั้นชื่อ "จุดสมดุลในเกมที่มีผุ้เล่น n ฝ่าย" ในปี 1950 แนชเขียนถึงแนวคิดสมดุลนี้ในวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก และตีพิมพืพ์เหนือหาฉบับสมบูรณืยิ่งขึ้นในบทความปี 1951 ชือ "เกมแบบไม่ร่วมมือ" 

        จากเดิมที่เนือหาในหนังสือของ ฟอน นอยมันน์ และมอร์เกิสแตร์นไม่ได้แยกระหว่างการที่ผุ้เล่นแต่ละฝ่ายเลือกกลยุทธ์อย่างเป็นอิสระจากกันและการ่วมมือกัน แนชเป็นคนแรกที่จำแนกทฤษฎเกมแบบร่วมมือและแบบไม่ร่วมมือ ดดยแนวคิดสมดุลแบบแนชเป็นแนวคิดแบบไม่รวมมือ แนชยังได้ตีพิมพืบทความในลักษณะของทฤษฎีเกมแบบร่วมมือ โดยในบทความปี 1950 ชื่อ "ปัญหาการต่อรอง" แนชได้เสแนผลลัทธ์ของเกมการต่อรองระหวางผุ้เล่นสองฝ่ายโดยใช้สัจพจน์สี่ประการ บทความนี้เป็นงานช้ินแรกในมสาขาทฤษำีเกมที่ไม่ใช้สมมติว่าอรรถประดยชน์สามารถยกให้กันได้ระหว่างผุ้เล่น บทความนี้มีที่มาจากขอ้เขียนของแนชตั้งแต่สมัยเรียนวิชาเศษฐศาสตร์ระหว่างประเทศในระดับปริญญาตรี ในปี 1953 แนชตีพิมพ์บทความ "เกมแบบร่วมมือที่มีผุ้เล่นสองฝ่าย" 

       ทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมา 

        ในปี 1965 ไรน์ฮาร์ท เซ็ลเทิน ได้ตีพิมพ์บทความที่วิเตราะห์แบบจำลองการผุกขาดโดยผุ้ขาน้อยรายด้วยทฤษำีเกม ในบทครวามนี้ เช็ลเทินได้เสนอแนคิดสมดุลแบบสมบูรณ์ทุกเกมย่อย ซึ่งเป็นการนิยามสมดุลแบบเนชที่ละเอียดขึ้นเพื่อแยกสมดุแบบแนชที่มีลักษณะไม่สมเหตุสมผลในเกมที่ีลำดับก่อนหลังออกไป การนิยามสมดุลที่ละเอียดย่ิงขึ้นเป็นหัวข้อวิจัยสำคัญในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 โดยในปี 1975 เซ็ลเทินได้เสนอแนวคิดสมดุลแบบสมบูรณ์ ที่นยิามจุดสมดุลที่สมมติว่าผุ้เล่นอาจจะ "มือลั่น" เลือกกลยุทธ์ทีผิดจากกลยุทธ์ในจุดสมดุลได้

        พัฒนาการสำคัญในทฤษำีเกมแบบไม่ร่วมมือที่เกิดขึ้นในทศวรรษที่ 1960 อีกข้อหนึ่งคือการจำลองสถานการณ์ที่ผุ้เล่นมีสารสนเทศไม่เท่ากัน จอห์น ฮาร์ชาณี ได้ตีพิมพ์บทความที่เสอนแนวคิด เกมปบบเบยส์ ที่ตอนเร่ิมเกมส์ผุ้เล่นแต่ละฝ่ายมีสารสนเทสส่วนตัวที่ทราบแต่เพียงฝ่ายเดียว เรียกว่าเป็น "ประเทภ" ของผุ้เล่น และระบุว่าผุ้เล่นฝ่ายอื่นชเื่อว่ ประเภทของผุ้เล่นนี้มีการแจกแจงความน่าจะเป็นแต่ละแบบอย่างไร

        นักวิจัยในสาขาทฤษำีเกมได้รับรางวัลเพื่อระชักถึง อัลเหรด โนเบล สาขา เศราฐศาสตร์หลายคน ดดยในปี 1994 จอห์น แนช. ไรน์ฮาร์ท เซ็ลเทิน และจอห์น ฮาร์ชาญี   ได้รับรางวัลในปี 1994 ต่อมา รอเบิร์ด ออมันนื และทอมัส เชลลิง ได้รับรางวังร่วมกันในปี 2005 โดยเชลลิงศึกษาทางด้านแบบจำลองพลวัต วึ่งเป้นตัวอย่างแรกๆ ของทฤษฎีเกมส์เชิงวิวัฒนาการ ออมันน์ เน้นศึกษาเกี่ยวกับดุลยภาพ ได้ริเร่ิมดุลยภาพแบบหยาบ ดุลยภาพสหสัมพันธ์ และพัฒนาการวิเคราะห์ที่เป็นระเบียบมากขึ้นสำหรับสมมติฐานที่เกี่ยวกับความรุ้่วมแลผลที่ตามมา เลออนิล คูร์วิช.เอริก มัสกิน และโรเจอร์ ไมเออร์สัน ได้รับรางวัล โนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2007 จาก "การวางรากฐานทฤษฎีการออกแบบกลไก" และ อัลวิน รอธ และลอยด์ แชปลีย์ ได้รับรางวัลในปี 2012 "สำหรับทฤษำีการจัดสรรอย่างคงที่และการใช้การออกแบบตลาด" 

                           https://th.wikipedia.org/wiki

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Hilbert's nineteenth problem

           ปัญหาของฮิลเบิร์ตคือปัญหาทางคณิตศาสตร์ 23 ข้อ ที่ตีพิมพื์ทโดยนักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน
เดวิด ฮิลเบิร์ต ในปี 1900 ปัญหาทั้งหมดยังไม่ได้รับการแก้ไขในเวลนั้น และบางข้อก็พิสูจน์แล้วว่่ามีอิทธิอย่างมากต่อคณิตศาสตร์ในศตวรรษที่ 20 ฮิลเบิร์ตนำเสนอปัญหา 10 ข้อ ( 1,2,6,7,8,13,16,19,21,และ 22)ในการประชุมที่ปารีส ของ  International Congress of Mathematicians  ซึ่งกล่าวสุทรพจน์เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม รายชื่อปัญหาทั้งหมด 23 ข้อได้รับการตีพิมพ์ในภายหลัง โดยแปลเป็นภาษาอังกษในปี 1902 

          ปัญหาของฮิลเบิรตีหัวข้อและความแม่นยำที่หลากหลาย บางปัญหา เชน ปัญหาที่ 3 ซึ่งเป็นปัญหาแรกที่ได้รับการแก้ไข หรีอปัญหาที่ 8 (สมมติฐานของรีมันน์ป ซึ่งยังคงไม่ได้รับการแก้ไข ไดรับการนำเสนออย่างแม่นยำเพียงพอที่จะให้คำตอบยืนยันหรือปฏิเสธที่ชัดเจน สำหรับปัญหาอื่นๆ เช่น ปัญหาที่ 5 ผุ้เชี่ยวชาญมักจะตกลงกันในการตีความแบบเดียว และได้มีการให้คำตอบสำหรับการตีความที่ยอมรับแล้ว แต่ยังคงมีปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขที่เีก่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดอยู่ คำกล่าวของฮิลเบิรตบางคำไม่แม่นยำเพียงพอที่จะระบุปัญหาเฉพาะเจาะจง แต่ชี้แนะเพียงพอที่ปัญหาบางอย่างในะรรมชาติร่วมสมัยดุเหมือนจะสามารถใช้ได้ ตัีวอย่างเช่น นักทฤษฎีจำนวน สมัยใหม่ ส่วนใหญ่ คงจะมองว่าปัญหาที่ 9 อ้างถึงการโต้ตอบของ Langlands เชิงสันนิษฐาน เกี่ยวกัการแสดงของกลุ่มของ Galois สัมบูรณ์ ของฟิลด์จำนวน ปัญหาอื่นๆ เช่น ศควรรษที่ 11 และ 16 เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นสาขาย่อยทางคณิตศาสตร์ที่กำลัีงรุ่เรือง เช่น ทฤษฎีของรูปแบบกำลังสองและเส้นโค้งพีชคณิตจริง มีปัญหาสองประการที่ไม่เพียงแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าน้้น แต่ยังอาจไม่สามารถแก้ไขไ้ตามมาตรฐานสมัยใหม่ด้วย ปัญหาที่ 6 เกี่ยวข้องกับการกำหนดสัจพนน์ของฟิสิกส์ซึ่งเป็นเป้าหมายที่การพัฒนาในศตวรรษที่ 20 ดูเหมือนจะห่างไกลและไม่สำคัญเท่ากับในสมัยของฮิลเบิร์ต นอกจากนี้ ปัญหาที่ 4 ยังเกี่ยวข้องกับรากฐานของเรขาคณิต ซึ่งในปัจจุบันโดยทั่วไปถือว่าคลุมเครือเกินกว่จะให้คำตอบที่ชัดเจนได้

           ฮิลเบิร์ตั้งใจให้ปญหาที่ 23เป็นข้อบ่งชี้ทั่วไปเพื่อเน้นย้ำแคลคูลัสของการปแรผันซึ่งเป็นสาขาที่ไม่ได้รับการชื่นชมและศึกษาอย่างเพียงพอ ในการบรรยายแนะนำปัญหาเหล่านนี้ ฮิลเบิร์ตได้กล่าวแนะนำปัญหาที่ 23 ดังนี้

         " จนถึงขณะนี้ แันได้กล่าวถึงปัญหาต่างๆ อย่างชัดเจนและพิเศษที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเห็นวา่ปัญหาที่ชัดเจนและพิเศษเท่านั้นที่ดึงดูดเรามากที่สุดและมักมีอิทธิพลต่อวิทยาศาสต์อยา่งยาวนานที่สุด อย่างไรก็ตาม แันอยากจะปิดท้ายด้วยปัญหาทั่วไป นั่นคื อการกล่าวถึงสาขาหนึ่งของคณิตศาสตร์ที่กล่าวถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการบรรยายครั้งนี้ซึ่งแม้ว่าไวเออร์สภตราสส์จะพัฒนาไปอย่างมากในช่วงหลังแต่ก็ไม่ได้รับการชื่นชมโดยทั่ยไป ซึ่งในความเห็นของฉัน สมควรได้รับ นั้นคือ แคลคูลัสของการแปรผัน"

 ปัญหาอื่นๆ อีก 21 ข้อได้รับความสนใจอย่างมา และในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 งานเกี่ยวกับปัญหานี้ยังคงถือเป็นส่ิงสำคัญที่สุด พอลโดเฮน ได้รับเหรียญฟิลด์สในปี 1966 สำหรับผลวานของเขาในปัญหาแรก และการแด้ปัญหาเชิงลบของปัญหาที่ 10 ในปี 1970 โดยยูริ มาติยาเซวิชผซึ่งทำงานเสร็จสิ้นโดยจูเลีย โรบินสันฮิลารี พัทนัมและมาร์ติน เดวิส) สร้างเสียงชื่นชมที่คล้ายคลึงกัน แง่มุมต่างๆ ของปัญหาเหล่านี้ยังคงเป็นที่สนใจอย่างมากในปัจจุบัน

          จากปัญหาของฮิลเบิร์ตที่จัดทำขึ้นอย่างชัดเจน จำนวน 3,7,10,14,17,18,19และ 20 มีมติที่ได้รับการยอมรับโดยฉันทามติของชุมชนคณิตศาสตร์ ปัญหา 1,2,5,6,9,11,12,15,21 และ 22 มีคำตอบที่ได้รับการยอมรับบางส่วน แต่ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่วา่คำตอบเหล่านี้สามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่

          นั้นทำให้เหลือ ข้อ 8(สมติฐานของรีมันน์) 13 และ 16 ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข และ 4 และ 23 นั้คลุมเคลือเกิดกว่าที่จะอธิบายว่าได้รัยการแก้ไขแล้ว 24 ที่ถุกถอนออกจะอยุ่นขั้นนีั้เช่นกัน

            ปัญหาที่ สิบเก้าของฮิลเบิร์ต เป็น 1 ใน 23 ปัญหาของฮิลเบิร์ตซึ่งระบุไว้ในรายการที่รวบรวมโดยเดวิด ฮิลเบิร์ตในปี 1900 โดยตั้งคำถามว่าคำตอบของปัญหาปกติในแคลคูลัสของการแปรผันเป็นเชิงวิเคราะห์ฺ เสมอ ห่รือไม่ อย่างไม่เป็นทางการและอาจไม่ตรงไปตรงไปตรงมา เนื่องจากแนวคิดของฮิลเบิร์ตเกี่ยวกับ "ปัญหาการแปรผันปกติ" ระบุอย่างชัดเจนว่า นี้เป็นปัญาการปแรผันที่มีสมการออยเลอิร์-ลากรองจ์ เป็นสมการเชิงอนุพันธ์ย่อยเชิงวงรีที่มีสัมประสิทธิ์เชิงวิเคราะห์ ปัญหาที่สิบเก้าของฮิลเบิร์ต แม้จะดูเหมือนเป็นข้อความทางเทคนิค แต่ก็เพียงแตค่ถามว่าในสมการเชิงอนุพันธ์ย่อย ประเภทนี้คำตอบใดฟๆ สืบทอดคุณสมบัติที่ค่อนข้างเรียบง่ายและเข้าใจได้ดีของการเป็นฟังก์ชันเชิงวิเคราะห์ฺจากสมการที่มัีนตอบสนองหรือไม่ ปัญหาที่สิบเก้าของฮิลเิบร์ตได้รับการแห้ไขโดยอิสระในช่วงปลายทศวรรษที่ 1950 โดย เอนนโอ เด จอร์จี นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีผุ้ทำงานเกี่ยวกับสมการเชิงอนุพันธ์ย่อยและรากฐานของคณิตศาสตร์็ และ จอห์น ฟอร์บส์ แนช จูเนียร์ 

          แนช ได้แนะนำแนวคิดจำนวนหนึ่ง รวมถึง สมดุลของแนชและวิธีแก้ปัญหาการต่อรองของแนช ซึ่งปัจจุบันถือเป็นศุนย์กลางของทฤษำีเกมและการประยุกต์ใช้ในศาสตร์ต่างๆ ในช่วงทศวรรษปี 1950 แนชได้ค้นพบและพิสูจน์ ทฤษฎีบทฝังตัวของแนช โดยการแก้ระบบสมการเชิงอนุพันธ์ยอ่ยไม่เชิงเส้นที่เกิขึ้นในเรขาคณิแบบรัมันน์ งานนี้ซึ่งแนะนำรูปแบบเบื้องต้นของ ทฤษฎี แนช-โมเซอร์ ด้วย ไดรับการยอมรับจากสมาคมคณิตศาสตร์อเมริกัน ด้วยรางวัล Leroy P.Steele Prize สำหรับการมีส่วนสนับสนุนที่สำคัญต่อการวิจัย ในภายหลัง เอ็นนิโอ เค จิออร์จิ และแนชค้นพบชุมผลลัทพ์ด้วยวิธีการแยกกัน ซึ่งปุ้ทางไปสุ่ความเข้าอยางเป็นระบบเกี่ยวกับสมการเชิงอนุพันธ์ย่อยแบบวงรีและ พาราโบลา ทฤษฎีบทของ De Giorgi-Nash เกี่ยวกับความเรียบเนียนของตำตอบของสมการดังกล่าวสามารถแก้ปัญหาชข้อที่ 19 ของฮิลเบิร์ตเกี่ยวกับความสม่ำเสมอในแคลคูลัสของการแปรผันซึ่งเป็นปัญหาเปิดที่รู้จักกันดี เมื่อกว่า 60 ปีกอ่น

                https://en.wikipedia.org/wiki/John_Forbes_Nash_Jr.

                https://en.wikipedia.org/wiki/Hilbert%27s_nineteenth_problem

               https://en.wikipedia.org/wiki/Ennio_De_Giorgi

               https://en.wikipedia.org/wiki/David_Hilbert


วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Steps to plan advocacy campaigns(2)

          


  6. ใช้ภาพถ่ายคุณภาพสูง

             แคมเปญทางการเมืองทุกครั้งต้องมีโลโก้ โทนสี และภาพถ่ายคุณภาพสูง โดยปกติแล้ว โลโก้ของ
คุณจะมีชื่อของคุณ สำนักงานหรือเขตลงสมัร และองค์ประกอบกราฟิกบางอย่าง เช่น แถบและดาว ใช้สีหลักขงแคมเปญของคุณ แล้วใช้สีที่สม่ำเสมอเพื่อให้แคมเปญของคุณจดจำได้ทันที นอกจากโลโก้และรูปแบบสีแล้ว ควรจ้งช่างภาพมืออาชีพถ่ายรูปเพื่อใช้ในเว็บไซต์ เอกสารแคมเปญ และโซเชียลมีเดียของคุณ การมีรูปภาพคุณภาพสุงจะช่วยให้คุณสร้างเอกลักษณ์ทางภาพที่ดีขึ้นสำหรับตัวคุณเองและแคมเปญของคุณได้ รูปภาพที่มีประโยชน์ต่อแคมเปญ อาทิ การถ่ายภาพแบบมืออาชีพ ภาพถ่ายที่มีองค์ประกอบครบ ภาพถ่ายครอบครัว ภาพถ่่ายที่สถานทีี่สำคัญหรือละแวกใหล้เคียงในชุมชน 

           เมื่อมีรูปภาพเหล่านี้แล้ว จะสามารนำปใช้ประดยชน์ ได้มากมาย  สามารถส่งรูปภาพเหล่านี้่ไปยังสื่อท้องถ่ินได้เมือพวกเขาต้องการรุปภาพเพ่ิมเติมเพื่อใช้ในการเผยแพร่ กลุ่มต่าง อาจใช้รูภาพเล่านี้เพื่อประกาศการสนับสนุนผุ้สมัคร ละที่สำคัญที่สุดแมเปญสามารถใช้รูปภาพเหล่านี้เพื่อส่งทางไปรษณีย์ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย เอกสารประกอบการณรงค์ และอื่นๆ อีกมากมาย

         เคล็ดลับ เมื่อส่งโลโก้ไปยังสื่อท้องถ่ินและหลุ่มส่งเสริมการขายอื่นๆ โลโก้ควรอยุ่ในรูปแบบเวกเตอร์ (.ai หรือ .eps) เพื่อไม่เกิดพิกเซลหรือยืดออก นอกจากนี้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีโลโก้ที่มีพื้อนหลังโปร่งใสในรูปแบบ .png

          7. เตรียมบัญชีโซเชียลมีเดียของคุณ

           แคมเปญควรเร่ิมต้นด้วยบัญชีโซเชียลมีเดียไดๆ ก็ตามที่สามารถอัปเดตเนื้อหาที่มีคุณภาพได้อย่างสมำ่เสมอ แคมเปญสวนใหญเร่ิมต้นด้วยลัญชี "เฟสบุค" และ " X" แต่ด้วยการเพ่ิมขึ้นของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ๆ คุณอาจต้องการพิจารณาแพลตฟอร์มอื่นๆ หากคิดว่าสามารถสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและสมำ่เสมอได้ การได้รับการสนับสนุนเพ่ิมเติมสำหรับโซเชียลมีเดียจากอาสาสมัครหรือเจ้าหน้าที่สามรถทำให้การขยายไปยังแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น "อินสตราแกรม" เธีร์ดส์" หรือ "ติกตอก" ง่ายขึ้น การมีสมาชิก


ในทีมที่เช่อถือได้ซึ่งเชียวชาญด้านโซเชียลมีเดียเพื่อจัดการบัญชีอาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

          สมาชิกที่เชื่อถือได้ในทีมควรมีความรุ้ด้านโซเชียลมีเดียเป็นอย่างดี และจะต้องรับผิดชอบในการเสนอไอเดียที่น่าสนใจสำหรับเนื้อหา สร้างเนื้อหา และโพสต์ลงในบัญชีโซเชียลมีเดียของคุรเป็นประจำ กิจกรรมบนเพจโซเชียลมีเดียน่าจะเพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ ในวันเปิดตัว ดังนั้นเตรียมที่จะมีส่วนรวมกับผุ้สนับสนุน กดถูกใจความคิดเห็นของพวกเขา และขอบคุณวกเขาสำหรับการสนับสนุนเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมเพ่ิมเติม และเพ่ิมอันดับขอในอัลกอริธึมโซเชียลมีเดีน

         นอกจากนี้อย่าใช้โซเชียลมีเดียส่วนตัวสำหรับแคมเปญ แม้ว่าควรเชร์เนื้อหาแคมเปญของคุณกับบัญชีส่วนตัวของคุณบ่อยๆ แต่คุณควรสร้างบัญ๙ีแคมเปญโดยเฉพาะเพือแชร์การอัฟเดตแคมเปญ รับผุ้ติดตามใหม่ และช่วยขับเคลื่อนการดำเนินการสำหรับแคมเปญของคุณ

          8 ตั้งค่าโปรแกรม sms และมือถือ

          sms เป็นวิธีที่มีประสิทธภาพสูงุดวิะีหนึ่งในการเชื่อมต้อและระดมผุ้คนไม่วาจะเป็นอาสาสมัครหาเสียง หรือผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในวันเลือกตคั้งกุญแจสำคัญในการสร้างรายชื่อผุ้มีสิทธิเลือกตั้งบนมือถือคือการเร่ิมต้นแต่เนิ่นๆ และทำให้พวกเขาเลือกที่จะรับข้อูลอัปเดตจากแคมเปผยแจ้งให้ผุ้สนับสนุนของคุณลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลอัปเดตในสุนทรพจน์ประกาศและในงานอื่นๆ เมือคุณพูดหน้าโพเดียม ให้มีป้ายที่มีโลโก้เว็บไซต์ และหมายเลขโทรศัท์(ถ้ามี) ผุ้ลงคะปนนสามารถส่งข้อความเพื่อรับข้อมูลอัปเดตทาง sms ได้ เมื่อถึงเวลาลงคะแนนเสียง จะรู้สึกขอบคุณที่ได้ลงทุนสร้างโปรแกรมมือถือที่แข็งแกร่ง

          9. ลงโฆษณาทางดิจิทัล


           ในวันเปิดตัว อาตต้องการลงโฆษณาดิจิทัลเพื่อเพิ่มการมอืงเห็นแคมเปญ วางแผนให้โฆษณาดิจิทัลแสดงเป็นเวลาหอย่างน้อยสองถึงสามสัปดาห์หลังจากเปิดตัว โฆษณาเหล่านี้มีประโยชน์ตลอดรอบแคมเปญทั้งหมด แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเปิดตัวเพื่อสร้างแรงปผลักดันเบื้องต้นที่ีุณสามารถนไปไใช้ต่อได้จนถึงวันเลือกตั้งนี้คือรายละเอียดของประเภทโฆษณาที่ควรลงทุน

          Google Search ผุ้มีสิทธิเลือกต้งจะค้นหาผุ้สมัตร ทำให้พวกเขาสามารถค้นหาคุณได้ง่ายด้วยโฆษณาผลการค้นหา โฆษณาเหล่านี้จะปรากฎที่ต้านบนของหน้าผลการค้นหาของ Google สำหรับคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับแคมเปญ ตัวอย่างเช่น อาจสร้างโฆษณาที่กำหนดเป้าหมายด้วยคียเวิร์ด เช่น "เจน สมิท คองเกรส" หรือ "เจน สมิท เดมโมแครทเมื่อผุ้คนค้นหาชื่อเว็บไซต์จะอยุ่ที่ด้านบนสุดของหน้าผลการค้นหา

          Google Display โฆษณาประเภทืนี้จะแสดงบนแถบด้าน้างของเว็บไซต์ แม้วาจะมีอัตราการคลิกผ่านตำ่กว่าโฆษณาที่แสดงบนผลการค้นหา แต่ก็ช่วยเพิ่มการรับรุ้เกี่ยวกับแคมเปญของคุณได้เป็นอย่างดี

        การซื้อกิจการผ่าน "เฟสบุค" หากต้องการสร้างรายชืออีเมง "เฟสบุ" เป็นตัวเลือกที่ดีในการดึงดูดผุ้บริจาคที่มีศักยภาพด้วยต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ โฆษณาการซื้อกิจการผ่าน "เฟสบุค" จะถูกวางไว้บนฟีดข่าวของผุ้คน เมือผุ้ลงคะแนนคลิกโฆษณา ให้พวกเขาไปที่หน้าลงทะเบียนอีเมลของคุณพร้อมช่องกรอกข้อมุลสำหรับชื่อ ที่อยุ่อีเมล และรหัสไปรษณีย์ อย่ลืมเปลียนเส้นทางพวกเขาไปที่หน้าระดมทุนหลังจากที่พวกเขาสมัครสมาชิกเสร้๗แล้ว เพื่อกระตุ้นให้พวกเขาก้าวไปอีกขึ้นด้วยการสนับสนุนทางการเงินให้กับแคมเปญ


         10 จัดงานเปิดตัวแคมเปญทางเมือง

          หลังจากดำเนินการตามขั้นตอนอื่นๆ แล้ว ก็ถึงเวลาวางแผนเปิดตัวแคมเปญทางการเมือง เร่ิมต้นด้วยการเลือกสถานที่จัดงาน วันที่ และเวลา ประเมินวา่จะมีผุ้เข้าร่วมงานกี่คน จากนั้นจึงเร่ิมมองหาสภานที่จัดงานโดยคำนึงถึงจำนวนผุ้เข้าร่วมงาน หากคุณต้องการจัดงานเป็นจำนวนมาก ควรพิจารณาใช้ระบบลำโพงเพื่อให้ทุกคนได้ยินคุณ ซื้อของตกแต่ง พิมพ์เอกสารการรณรงค์ และจัดเตรียมงานที่จำเป็นทัังหมด

         โดยทั่วไป การเปิดตัวแคมเปญจะใช้เวบาประมาณ 1-2 ชัวโมง มีอาสาสมัครคอยให้การสนับสนุนการเปิดตัวแคมเปญทางการเมืองของคุณ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผุ้จัดเตรียมงาน ดำเนินการบริจาค หรือรับสิ่งของที่จำเป็นในนาที่สุดท้าย อาสาสมัครก็มีความสำคัญต่อการเปิดตัวแคมเปญอยางราบรื่น

         เคล็ดลับ อย่าลืมฝึกอาสาสมัครให้ทำหน้าที่ที่ละเอียดอ่อน เช่น การรับบริจาค แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว การแนะนำให้ผุ้ลงคะแนนบริจาคออนไลน์จะดัที่สุด เพราะคุณสามารถรวบรวมอีเมลและข้อมูลผู้บริจาคอืนๆ ได้ แต่บางคนอาจต้องการเขียนเช็คให้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอาสาสมัคทราบข้อมูลใดๆ ที่ต้องรวบรวมพร้อมกับการบริจาคเช็ค เืพ่อให้แคมเปญปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด..https://www.ngpvan.com/blog/political-campaign-strategies/

            

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Steps to plan advocacy campaigns

             ชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2020 และ 2022 สร้างแรงบนดาลใจให้ผุ้ใมัครจากพรรเดโมแครตและพรรคก้าวหน้าทั่วประเทศก้าวขึ้นมาและงะลสมัครรับเลือกตั้งในชุมชนของตน การเร่ิมต้นแคมเปญเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่ก็ต้องมี"แผนงานที่คิดมาอย่างดี"ด้วยเช่นกัน

           วันเปิดตัวควรเป็นวันที่มีการระดมทุนและประชาสัมพันธ์แคมเปญของคุณมากที่สุด เพื่อริ่มต้นอยางแข็งแกร่งและรักษาโมเมนตัมนั้นไว้ ผุ้สมัครควรเตรียมเครื่องมือและกลยุทธ์ที่ดีที่สุดให้กับตนะอง

           สิบขึ้นตอนนี้เพื่อเตรียมแคมเปยของคุณให้พร้อมสำหรับวันเปิดตึวและดำินินการแคมเปญที่ประสบความสำเร็จ

          1. กำหนด "เหตุผล"ของคุน คำถามอันดับหนึ่งที่จะถฏถามมากที่สุดในช่วงหาเสียงคือ "ทำไมถึงลงวสมัครรับเลือกตั้ง" แม้ใว่าอาจจมีเหตุผลหลายประการ แต่คำตอบควรจะเป็นตอบสั้นๆ กระชับ คำตองบที่สั้น กระชับ และสร้างผลกระทบนั้นสามารถทำซ้ำได้ง่าย และสามารถช่วยสร้างแบรนด์ของคุณให้เป็นที่รู้จักในใจผุ้ลงคะแนนเสียง เมื่อกำหนด "เหตุผล" ของคุณให้ลองตอบคำถามเหล่านี้ : มีปัญหาในพื้นที่ที่คุณกไลังดำิเนินการแก้ไขอยู่หรือไม่ ?.. คุณกำลังดำเนินการเพื่อให้มีตัวแทนข้ามามีสวรร่วมในรัฐบาลท้องถ่ินของคุณมากขึ้นหรือไม่ ? .. คุณรู้สึกหวุดหงุดกับการผ่านนโยบายอนุรักษ์นิยมหรือไม่ ? พิจารณาเหตุผลส่วนตัวของคุณและตำตอบลที่น่าจะตรงกับฐานเสียง ด้วยอย่างเช่น หากผุ้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าที่ลงสมัครรับเลือกตั้งมีคะแนนนิยมต่ำ การพูดถึงวิะีที่คุณจะสร้างความเปลี่ยนแปลงหรือเป้นตัวแทนผลประดยชน์ของชุมชนของคุณ ได้ดีขึ้นอาจขวยเอาชนะใจผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่ผิดหวังได้ เตรียม "เหตุผล"ให้พร้อมก่อนวันเปิดตัวเพื่อให้สามารถตอบคำถามของสาะารชนได้อยางง่ายดายและมีกรอบที่สอดค้องกันสำหรับส่วนที่เหลือของแคมเปน

            2. ระบุกลุ่มเป้าหมายผุ้ลงคะแนน ใหคคือกลุ่มเป้าหมายของแคมเปญ ในตอนแรกคำตอบอาจอยุ่ทีผ่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในเขต อย่างไรก็ตาม การติดต่อผุ้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ และอาจไม่ใช่วิะีที่มีประสิทธิภาพหรอืประสิทธิผลที่สุดในการใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดของแคมเปญของคุณ ลองพิจารณากลุ่มเป้าหมายโดยตอบคำถามเหล่านี้

         ต้องได้รับการโหวตกีโหวตถึงจะชนะ

         ใช้ข้อมูลจาแคมเปญที่ผ่านมาเพื่อพิจารณาว่ามีผุ้มีสิทธิเลือกตั้งกีคนในเขตของคุณ และมีแนวโน้มว่าจะลงคะแนนเสียงกี่เปอร์เซ็นต์ในการเลอกตั้งรอบนี้ ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณคำนวนจำนวนผุ้มีสิทธิเลือกตั้ง และตัดสินใจว่าคุณต้องให้ความสำคัญกับผุ้มีสิทธิเลือกตัี้งคนใดจึงจะชนะการเลือกตั้งได้ สมมติว่าหากคาดว่าจะมีผุ้มีสิทธิเลือกตั้ง 10,000 คนลงคะแนนเสียงวในการเลือกตั้ของคุณ แต่มีผุ้สมัครเพียงสองคนในการแข่งขัน ดังนั้น ต้องได้คะแนนเสียง 50% บวกหนึ่ง (5,001 คะแนนเสียง) จึงจะชนะ ตอนนี้เราสามารถคำนวณได้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้คะแนนเสียงดังกล่าว

         ใครมีแนวโน้มที่จะโหวตให้ ? 

          แคมเปญแต่ละแคมเปยจะมีเส้นทางเฉพาะตัวในการระบุวิธีการหาเสียงให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไป แต่จะมีฐานผุ้สนับสนุนจำนวนหนึ่งที่ควรงคะแนนให้แคมเป็น ตัวอย่าง ในบารัฐ ผุ้ลงคะแนนจะต้องลงทะเบียนสังกัดพรรคการเมือง ในขณะที่บางรัฐอนุญาตให้ผู้ลงคะแนนเสียงลงคะแนนในการเลือกตั้งขึ้นต้นของพรรคใดพรรคหนึ่งก็ได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งการลงทะเบียนสังกัดพรรค ประวัติการลงคะแนนในการเลือกตั้ขึ้นต้นในอดีต และคะแนนความลำเอียงของพรรคกมารเมืองสมารถเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่าน่าจะสนับสนุนแคมเปญของคุณอย่างไร คุณจะต้องแบ่งกลุ่มผุ้ลงคะแนนเสียงเหล่านี้ออกเป็น กลุ่ม Get Out Vote (GOTV) เนื่องจากต้องการระดมพวกเขาให้ลงคะแนนให้แคมเปย หากกลุ่มผุ้ลงคะแนนเสียงดังกล่าวมีผุ้ลงคะแนนเสียง 4,000 คน จำเป็นจ้องได้รับคะแนนเสียงเพียง 1,001 คะแนนจากผุ้ลงคะแนนเสียงอิสระหรือผุ้ลงคะแนนเสียงที่ลงทะเบียนกับหรือมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนพรรคกือ่น แม้ว่าคุณอาจต้องการเพ่ิมเบาะรองเพื่อติดต่อผุ้ลงคะแนนเสียงมากกว่า 1,001 คนเพือชนะ แต่ผุ้ลงคะแนนเสียงเหล่านี้คือฐานสำหรับกลุ่มการโน้มน้าวใจ(ผู้ลงคะแนนเสียงที่ต้องโน้มน้าวใจให้สนับสนุนแคมเปญ)

          ใครบ้างที่น่าจมีสิทธิลงคะแนนเสียง

           ปัจจัยอื่นท่ต้องพิจารราคือว่าใครมีแนวโน้มที่จะลงคะแนนเสียงหรือไม่ สามารถดึงรายชื่อผุ้ลงคะแนนเสียงใน VAN ตามประวัติการลงคะแนนเียงในอดีตของพวกเขา หรือใช้คะแนนเพื่อกำหนดว่าใครมีแนวโน้มที่จะลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป อีกครั้ง แคมเปญความีหมายเลขชัยชนะที่เฉพาะเจาะจง และจะต้องคิดหาวิะีบรรลุหมายเลขนั้น เส้นทางสู่ชัยชนะอาจรวมถึงการสนับสนุนผุ้ลฝคะแนนเสยงที่ไม่น่าจะลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งให้ลงคะแนนเสียงสนับสนุนแคมเปญ อย่างไรก็ตาม ต้องกำหนดสิ่งที่โดยพิจารณาจากทรัพยากรที่มีอยุ่ขึ้นอยุ่กับเส้นทางสุ่ชัยชนะ สามารถกำหนดกรอบข้อความการรณรงค์เพิื่อโน้มน้าวหรือระดมผุ้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องการให้ได้รับชัยชนะได้ หากต้องการกระตุ้นฐานผุ้สนับสนุนที่มีแนวดน้มน้ามผุ้มีสิทธิเลือกตั้งให้สนับสนุนการรณรงค์มากขึ้น ให้กำหนดข้อความเกี่ยวกับประเด็นที่สำคัญที่สุดสำหรับชุมชน และเร่ิมโน้มน้าวผุ้มีสิทธิเลือกตั้ง ให้สนับสนุนการรณรงค์ 

          เคล็ดลับ : จำนวนชัยชนะควรกำหนดด้วยตัวเองการตัดสินใจเกือบทั้งหมดที่ทำในแคมเปญ การคำนวนจำนวนนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อกำหนดว่าต้องมีผุ้มีสิทธิเลือกตั้งกี่คนจึงจะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งจะช่วยกำหนดได้ว่าต้องระดมทุนเท่าไร  ต้องเคาะประตูบ้านกี่หลัง ต้องส่งจดหมายหาเสียงกี่ฉบับ ฯลฯ

           3 . การสร้างแผนการสื่อสาร

           เมื่อได้กำหนดเหตุผลที่ลงสมัครและผุ้มีสิทธิเลือกตังที่ต้องการกำหนดเป้าหมายแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะจัดเตรียมข้อความหลักและประเด็นสำคัญในการพุดคุย แม้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องมีทุกองค์ประกอบของแพลตฟอร์มในวันเปิดตัว แต่จุดยืนเกี่ยวกับประเด็สำคัญควรมั่นคง

          พบปะกับทีมงานหลัก และตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกคนเข้าใจจุดยบือนในประเด็นหลัก และพร้อมที่จะคิดวิเคราะห์อย่างรวดเร็วเมื่อต้องตอบคำภามต่างๆ รับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นและแคมเปยโจมตีด้วยการสร้างแผนตอบสนองอย่างรวดเร็วร่วมกับทีมงาน เืพ่อให้พร้อมที่จะปิดปากคำที่เป็นเท็จและสงข้ัอความที่มุ่งเน้นและสอดคล้องกัน

          นากต้องการเผยแพราค่อสื่อ ให้เขียนบทความเพื่อระกาศเหตุผลที่ลงสมัคร และให้ทีมสื่อสารทำงานเพื่อลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ทด้องถ่ินหรือสิ่งพิมพ์ท้องถ่ินอื่นๆ บทความนี้อาจคลัายกับคำปราศัรัยประกาศ แต่อาจมีการปรับเปล่ยนเล็กน้อยในการเผยแพร่

         นอกจากนี้วันเปิดตัว รวมถึงวันหลังจากนั้น จะเป้นวันที่ได้รับสื่อที่เสรีมากที่สุด(หรือที่เรียกว่า สือ่ที่ได้รับป ดังนั้น จงเตรียมพร้อมที่จะใช้สื่อเหล่านี้นให้เกิดประโยชน์สุงสุด หากสถานี้ข่าวหรือสถานีวิทยุท้องถ่ินต้องการสัมภาษณ์ ให้จัดสรรเวลาสำหรับการสัมภาษณ์นั้น เพราะโอกาศนั้นอาจไม่เกิดขึ้นอีก เตรียมชุดข้อมูลสำหรับสื่อมวลชนพร้อมคำแนะนำด้านสื่อและเอกสารประกอบ เช่น ประวัติโดยย่อ รายชื่อความสำเร็จ และรูปถ่ายจากมืออาชีพ

        4. มีเว็บไซต์ 

        วลีที่ว่า "ถ้าไม่อยุ่บนอินเเทอร์เน็ต ก็ไม่มีตัวตนอยู่จริง" นั้นเป็นความจริงยิ่งขึ้นในวันเปิดตัวแคมเปญ เว็บไซต์ช่วยให้ผุ้ลงคะแนนเสียงและผุสนับสุนุนค้นหาข้อมูลเพื่อเติมเกี่ยวกับแคมเปย ยอมรับการบริจาคออนไลน์รับสมัครอาสาสมัคร ควบคุมการเ่ล่าเรื่องเกี่ยวกับแคมเปญ ฯลฯ

        การออกแบบเว็บไซต์อาจเป็กระบวนการที่ยาวนานและซับซ้อน แต่ไม่จำเป็นต้องทำให้เสร็จทุกหน้าก่อนวันเปิดตัว ในวันแรกๆ ของแคมเปญ เว็บไซต์ที่เรียบง่ายแต่ดึงดูดใจพร้อมประวัติย่อสั้น และสรุปสถานะในประเด็สำคัญ พร้อมแบบฟอร์มสำหรับลงทะเบียนรับอีเมล สมัครเป็นอาสาสมัครในแคมเปญ และบริจาค จะเป็นตัวช่วยที่ดีพอสำหรับในการสร้างหน้าที่มีรายลเะอียดมากขึ้น หั

         ทำหน้าสำคัญที่ต้องการพัฒนาในช่วงเร่ิมต้นสำหรับเว็บไซต์ได้แก่

         หร้าแรกควารทำให้เหน้าเพจนี้สร้างความประทับใจแรกพบที่ดีด้วยการออกแบบที่ดึคงดูดใจและลิงก์ที่ใช้งานได้ ไม่ว่าใครจะเข้ามาที่เว็บไซต์  เพื่อบริจาคหรือเรียนรุ้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปย เว้บไซต์ควรนำทางได้ง่ายและกระตุ้นให้เกิดการดำเนินการเพิ่มเติม

          หน้า "เกี่ยวกับ" ใสรูปถ่ายใบหน้า รูปถ่ายขณะโต้ตอบกับชุมชน และประวัติย่อ ในประวัติย่อ ให้เน้านอาชีพ กลุ่มชุมชนที่เกี่ยวข้อง และภูมิหลัง ส่งผลต่อ "เหตุผล" อย่างไร หลังจากระบุความเชื่อมโยงนั้นแล้วให้อธิบาย "เหตุผล" โดยละเอียด ความเพิ่มตัวเลือกให้ผุ้คนดำเนินการเพื่อเติม เช่น การกรองแบบฟอร์มอาสาสมัคร ลงทะเบียนรับอีเมลจากคุณ หรืออ่านจุดยือนเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ 

          หน้า "ประเด็น" อะิบายจุดยืนด้วยภาษาที่เรียบงว่ายและตรงไปตรงมามากที่สุด ผุ้สมัครหลายคนเลือกที่จะสรุปจุดยืนของตนในรุปแบบรายการสั้นๆ จากนั้นจึงให้คำอธิบายที่ยาวขึ้นด้านล่างหรือในหน้าอ ่น คุณยังสามารถสร้างแบบฟอร์มสำหรับให้ผุ้คนถามคำถามเกี่ยวกับประเด็นเฉพาะที่สำคัญสำหรับพวกเขาได้อีกด้วยในหน้านี้ คุณสามารถเพ่ิมคำหระตุ้นการตัดสินใจ(CAT) เพื่อกระตุ้นให้ผุ้คนช่วยกระจายข่าวโดยสมัครเป็นอาสาสมัครและลิงก์ไปยังแบบฟอร์สมัครเป็นอาาสมัคร

          หน้า "ดำเนินการ" นี้เป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญที่สุดของเว็บไซต์และต้องใสช้งานได้เมือเป้ดตัวแคมเปญ สามารถเพ่ิมหน้าต่างไลท์บ็อกซ์ (หรือป็อปอัป) เพื่อขอให้ทุกคนที่มาเยี่ยมชม เว็บไซต์ของบริจาคเงินได้ แพลตฟอร์มบริจากบางแห่งยังยังสามารถเปลี่ยนเส้นทางการเข้าชมหลังจากบริจาคเงินแล้ว หากทำได้ให้ส่งผุ้บริจาคไปที่หน้า "ดำเนินการ" เพื่อให้พวกเขาสามารถลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครได้เช่นกัน

         แต่ละหน้าควรมีแท็บในเมนูของเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังสามาารถนสร้างส่วนท้ายด้วยข้อมูลติดต่อและแบบฟอร์มสมัครรับอีเมลเพื่อให่้ผุ้สนับสนุนสามารถสมัครหรือติดต่อได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะอยุ่ที่ใดในเว็บไซต์

         สุดท้าย อย่าลืมออกแบบเว็บไซต์โดยคำนึงถึงผุ้เขาชมที่ใช้มือถือเป็นหลัก ผุ้เยียมชม เว้บไซต์มากกว่าครึ้่งหนึ่ง อาจดูเพ่ิมเพจจากโทรศัพท์ของตนเอง ครวจสอบให้แน่ใจว่าทุกคนที่มาเยี่ยมชมเว็บไซต์มีประสบการณ์ที่ดี

       5. รับ CRM  Customer Relationship Management สำหรีับจัดระเบียบและจัดการข้อมูล 

       ก่อนที่จะร่ิมแคมเปญ อาจเร่ิมสร้างรายชื่อผุ้สนับสนุน อาสาสมัคร และผุ้บริจาค และแคมเปญจะต้องพร้อมสำหรับพวกเขาหากต้องการรวบรวมและจัดระเบียบข้อมุลผุ้สนับสนุน ต้องมี CRM ที่ออกแบบมาสำหรับแคมเปญทางการเมือง 

       คุณสมบัติต่างๆ เช่น อีเมลที่กำหนดเป้าหมาย การดำเนินการออนไลน์ การผสานรวมหลายร้อยรายการ และอื่นๆ ทำให้เรแต่ต่างจากที่เหลือ การมีเครื่องมือทั้งหมดเหล่นนี้ภายในแพลตฟอร์มรวมศุน์ทำให้แคมเปยต่างๆ สามารถสร้างโปรไฟลืผุ้สนนับสนุนที่ครอบคลุมได้อยางง่ายด้าย ติดต่อกับบุคคลเหล่านีั้น และเพ่ิมประวัติการตอิต่อ บันทึกย่อ และอื่นๆ ที่มีคุณต่ามากขึ้นลงในโปรไฟล์ผุ้สนับสนุนของพวกเขา 

         เคล็ดลับ: การลงทุนในวอฟต์แวร์นี้ตั้งแต่เน่ินๆ จะช่วยให้แคมเปญ เรียนรู้วิธีใช้ได้ง่ายขึ้นก่อนที่ฤดูกาลเลือกตั้งจะร่ิมต้นขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้สร้างฐานข้อมุลได้ตั้งแต่เร่ิมต้นแคมเปญ ทำให้สามารถเริ่มสร้างโปรไฟล์ที่ครอบคลุมและแคมเปญการเข้าถึงหลายช่องทางไปยังผุ้สนับสนุน ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อช่วยขับเคลื่อนการดำเะนินการและระดมาทุนได้มากขึ้น..

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Political Campaign Strategies


             "นักยุทธศสตร์การเมือง" เป็นอาชีพที่สังคมการเมืองไทยอาจยังไม่ค้นเคยนัก แต่ในต่างประเทศที่
การเมืองพัฒนาแล้วอาชีพนี้มีบทบามสำคัญอย่างในการทำงานทางกรเมือง โดยเฉพาะ การวางกลยุทธ์เลือกตั้งในช่วงหาเสียง

             หนึ่งในคนที่ฝันนและเลือกทำงานในสายอาชีพนี้ จากประสบบกาณ์การเมืองเร่ิมถุกปัหมุดมกาข้นในฐานะหัวหน้าทีมสื่อสารทางการเมืองซึ่งชนะเลือกตั้งแบบ "แลนด์สไลด์" ในนามเมืองหลวงแบบไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน หลังเลือตตั้งผ่านไป เขาได้ทุนศึกษาดูงานการเมืองที่สหรัฐอเมริกา และได้รับข้อเสนอให้ทำงานในฐานะ "นักยุทธศาสตร์การเมือง" ขององค์กรภาคประชาสังคมฝ่ายก้าวหน้าแห่งหนึ่งที่นิวยอร์ก โดยมีความท้าทายสำคัญคือ การเลือกตัึ้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้น ได้วิเคราะห์กลยุทธของพรรคการเมืองต่างๆ และกล่าวถึงปรากฎการ์ใหม่ของการวางกลยุทธ์การเมืองทั้งในและต่างประเทศ

       เขากล่าวว่า "...ในภาพใหญ่มีการทำงานทางเมืองสามรุปแบบเิดขึ้นพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่า่ตื่นเต้นมา แบบที่หนึ่งคือ "การเมืองบ้านใหญ๋" ซึ่งยังสำคัีญในหลายพื้นที่ แบบที่สองคือ "การเมืองเชิงนโยบาย" และแบบที่สามคือ "การเมืองเชิงคุณค่า" การเมืองแต่ละรูปแบบมองความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมืองนักการเมืองแต่ละรุปแบบมองความสัมพันธ์๋ระหว่างพรรคการเมืองนักการเมืองและผุ้มีสิทธิเลือกตั้งแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลให้การทำแคมเปญหาเสียงต่างกันด้วย

            "การเมืองบ้านใหญ่" มองผุ้มีสิทธิเลือกตั้งแบบเครือช่วยอุปถัมภ์ นักการเมืองมีหน้าทีที่ต้องดุแลประชาชนในพื้นที่เพื่อแลกกับคะแนนเสียง ความสัมพันะ์แบบนี้ไม่ใช้เรื่องถุกหรือผิด เพราะสังคมไทยมีปัญหาจำนวนมากที่คนประสบพบเจอ แต่รัฐกลับไม่ทำหน้าี่ได้อย่างที่ควรจะเป็น จึงเกิดข่องว่างให้คนที่มีทักษะ อำนาจ ลบารมีเข้าไปเป็นตัวกลางในการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้าน ส่วน "การเมืองเชิงนโยบาย" มองประชาชนเป็นลุกค้า จุดเดนของการเมืองเชิงนโยบายคือ การตีโจทย์ว่าประชานมีปัญหา แล้วคิดนดยบายไปนำเสนอให้ตรงใจที่สุดเพื่อให้ประชาชนเลือก และแบบที่สามคือ "การเมืองเชิงคุณค่า" ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องอุดมการณืเท่านั้น แต่ยังรวมไปึงคุณค่าใีความหมายกว้างด้วย เช่น ความตรงไปตรงมา ความมั่นคง ความโผงผาง ความสู้สุดทาง เป็นต้น จุดเด่นของการเมืองเชิงคุณค่าคือ การมทืองผุ้มีสิทธิเลือกตั้งเป็น "ผุ้สร้างความเปลี่ยนแปลง" คือ มองผุ้มีิสิทธิเลือกตั้งเหมือนคนมาม็อบ วิธีหาเสียงก็คือการส่งเสริม ให้คนมาช่วยเผยแพร่ชุดคุณค่าบางอย่างร่วมกัน

            การเเมืองทั้งสามแบบไม่ได้แยกขาดจากกัน เพราะการเลือกตั้งเป็นเกมแบบมีคนได้ คนเสีย ถ้าพรรคไหนมีคะแนนเสียงเพิ่มขึ้น แดงว่าต้องมีพรรคที่เสียคะแนนไป ถ้าคุณทำแต่การเมืองเชิงนดยบาย หรือการเมืองเชบิงคุณค่าอย่างเดียว คุณก็ไม่มีทางชนะ ในบงพื้นที่ ผุ้สมัครฯ ก็ต้องหาวิะีการทำงานการเมืองที่มอบบริการให้เหมือนที่การเมืองบ้านใหญ่ให้บริการ การเลือกตั้งจึงไม่ใช้การเลือกเล่นเกมที่ตัวเองถนัดที่สุด แต่โครงสร้างเศราฐกิจและสังคมไทยบังคับให้แต่ละพรรคต้องเล่นการเมืองทุกรูปแบบ และไครเล่นการเมืองสามรูปแบบนีิ้รวมกันได้ผลลัพธ์ดีที่สุด คนน้นจะมีโอกาสชนะมากที่สุด...

          ... "เลี้ยงทหารพันวัน ใช้งานวันเดียว" การเลือกตั้งคือเรื่องนี้และเวทีหาเสียงค่ือการเอาทรัพยากรที่ตนเองสั่งสมมาประลองกัน เอาเข้าจติง ทางเลอืกหรืความได้เปรียบทากลยุทธใดๆ ในช่วงเลือกตั้งแทบไม่ได้เกิดจากการแก้เแมในช่วงเวลาเลือกตั้ง แต่คือการวัดกันว่าคุณมีของที่สะสมไว้ในมือมากน้อยแค่ไหน และคุณสามารรถเลือกใช้เพื่อตอบโจทยืสถานการณ์ได้ หรือ การทำงานยุทธศาสตร์การเมืองการออกแบบแคมเปยทางการเมืองท้งระบบ เืพ่อให้เมือถึงวันจริงแล้ว พรรคมีทางเลือกในการหาเสียงที่จะทำให้ได้เปรียบที่สุด คล้ายกับนักกีฬาที่เล่นในสนามแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ใช้เวลาเป็นปีเพื่อสะสมแทกติกและฟิตสภาพ


ร่างกายให้พร้อมในการแข่งมากที่สุด

          ทั้งนี้ได้กล่าวถึงแคมเปญที่น่าสนใจของพรรคการเมืองหนึ่ง ว่า "...เป็นแคมเปญที่ถุกออาเบบตั้งแต่ตั้นว่าอยากส่งเสริมให้คนมีส่วนร่วม ดยส่งสัญญาณให้ผุ้สนับสนุนพรรคกตาระหนักว่า เขาสามารถทำอะรบางอย่างงเพื่อช่วยเหลือพรรคได้ ตัีวอย่างรูปะรรมในกรณีนี้คือแคมเปญ 300 นโยบายที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ จุดเด่นของแคมเปญนี้คือ การนำเสนอ "แพลตฟอร์นดยบาย" ที่เปิดโอกาสในคนสามารถไปค้นหาสิ่งที่อยากเห็นและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของตัวเองได้ ใครชอบอันไหนก็ึงไปต่อยอดในโซเชียลมีเดียส่วนตัวการทำแพลตฟอร์มนดยบายทำให้พรรคไม่ต้องเหนื่ยกับการคิดกลยุทธ์การสื่อสารในโซเซียลมีเดีย เพราะท้านทีุ่ดแล้วไม่มีกลยุทธ์ไหนสามารถสู้คอนเทนต์ที่ผุ้บริโภคเป็นคนสร้างได้ user-generated content..

       ต่อคำถามที่ว่า - ในอดีตคุรเคยพูดถึงบทบาทของบิ๊กดาต้าและโซเซียลมีเดัยกับการเลือกตั้งไว้อย่างน่าสนใจ แต่ทุกวันนี้แพลตฟอร์มก้เปลี่ยนไปพอสมควร "เฟสบุ๊ค" ไม่ใช่ข่องทางหลัีกในการสื่อสารทางการเมืองอีกต่อไป ดีเบตทางการเมืองย้ายไปอยุ่ใน "ทวิตเตอร์" ในขณะที่ "ติก ตอก"ก็กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ตอนนี้ภุมิทัศน์การสื่อสารการเมืทองในปัจจุบันเป็นอย่างไร..

        เขาตอบว่า.." ในต่างประเทศ คำทำงานยุทธศาสตร์การเมืองให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดียน้อยลงมาก หัวใจของข้อถกเถียงในเรื่องนี้คือ เราความองว่าโซเชีลมีเดียเป็น "สารตั้งต้น (เป็นเหตุ) หรือ "ผลลัพธ์" ของกระแสทางการเมือง ในภุมิทัศน์ที่โซเซีลมีเดียมีความหลากหลายขึ้น แต่คนรับสื่อมีเวลาใช้ชีวิต 24 ชัวโมงเท่าเดิม สิ่งที่เกดขึ้คือคนต้องแบ่งเวลาในการรับสื่อจากแต่ละแพลตฟอร์ม ดังนั้น ต้นทุนในการทำให้ตัวเองถุกเห็นในทุกแพลตฟอร์มก็แพงขึ้นและยากขึ้น ดังนั้น การทำงานยุทะศาสตร์การเมืองจึงมีแรงจุงใจที่จะก้าวข้ามโซเซียลมีเดีย และมองหาวิธีการสื่อสารใหม่ๆ ที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ และให้โซเซียลมีเดียเป็นภาพสะท้อนของกระแสมากกว่า พุดง่ายๆ คือ คุณทำคอนเทนต์ที่เป็นสารตั้งต้นขึ้นมา ถ้าคนชอบเดี๋ยวเขาจะเอาไปลงต่อยอดในโซเซียลมีเดียของตัวเอง "นิวยอร์ก ไทม์ และ วอชิงตันโพสต์" เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้สื่อสองเจ้านี้เน้นทำคอนเทนต์กลางในแพลตฟอร์มของตัวเอง และทำให้ตัวเองมีภูมิต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโซเซียลมีเดีย ในอเมริกาคำทำงานยุทธศาสตร์ก็เร่ิมหันมาพัฒนาสิ่งทีต้องการจะสื่อสารให้ดีให้คนเข้าถึงได้ง่าย แล้วให้ผุ้สนับสนุนนำไปต่อยอดกันเอง

       
และยังกล่าวต่อว่า.."อัตราเข้าถึงอินเตอร์ของสังคมต้อนนี้ ที่ 85% และยังเพื่อมสูงขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งหมายึความว่า กระแสที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ส่งผลต่ออฟไลน์แน่นอน อย่างไรก็ตาม อย่างไรก็ตามการส่งผลไม่ได้เกิดแบบตรงไปตรงมา เช่น ในวันๆหนึ่ง อาจมีปฏิสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับข่าวการเมืองคิดเป็น 10% ของโซเชียลทั้งหมด นั่นหมายความว่า ต่อใไ้เกิดกระแสในสื่อการเมือง แต่จะมีอีก 90% ของโซเซียลที่ยังไม่เห็นส่ิงที่เกิดขึ้นในวันแรก ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กระแสในโลกออนไลน์เชื่อมกับโลกจริงคือ ความต่อเนื่องของกระแส เพราะกระแสออนไลน์จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการกระจายไปให้ถึงคนในสัดส่วนที่มากขึ้น อีกประเด็นที่ควรระมัดระวังคือ ในโซเชียลมีเดียคนจำนวนน้อยสามารถสร้างกระแสที่มีขนาดใหญ่ได้ ถ้าเป็นกรณีนี้ก็ิย่งต้องการความต่อเนื่องของกระแสมากขึ้นไปอีก

       และเขายังกล่าวถึงสิ่งที่น่าสนใจในวงการเมืองสหรัฐฯ ว่า "..ในตอนแรกมีคำถามในใจที่อยากรุู้คือ ระบบนิวเศ ของการทำงานทางการเมืองในสหรัฐฯเป็นแบบไหน ทำไม่กลุ่มภาคประชาสังคมในสหรัฐฯ จึงสามารถเร่มต้นและตเบดตกลายเป็นองค์กรที่ทำงานต่อเนืองยาวนาน หลายเป็นองค์กรระดับชาติได้ เพราะดดยส่วนตัวรุ้จักนักเคลื่อนไหวหลายคน ซึ่งมีความมุ่งมัี่นและมีความรู้ความสามารถไม่แพ้กัน แต่อะไรคือปัจจัยที่ทำให้การเคลื่อนไหวเติบโตกลายเป็นองค์กรได้ยาก อะไรคือสิ่งที่ขาดหายไป  ซึ่งหนึ่งในคำตอบหลักคือ ในสหรัฐฯมีการพัฒนาสะสมองค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาองค์กร มาอย่างต่อเนื่องมาเป็น 100 ปี ซึ่งระบบนิวเศเราไม่สามารถทำได้ เพราะถูกปราบปรามมาโดยตลอด โจทย์นี้เลยกลายเป็นคำถามต่อว่า ถ้าไม่มีเวลา 100 ปี และไม่ได้มีขนาดการเมืองหใหญ่เหมือนที่สหรัฐฯ จะซับพอร์ตคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร

       โจทย์ที่ 2 คือทำมกลุ่มหัวก้าวหน้าในสหรัฐฯถึงเติบโตและมีอำนาจทางการเมืองได้ มีผุ้สมัครหน้าใหม่จำนวนมากที่สามารถเข้าสุ่การเมืองและชนะเลืกอตั้ง ชนะ establishment ของพรรคเดียวกันและเติบดตขึ้นมารได้ในช่วงที่ผ่านมาได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาพูดคุยกับกลุ่มที่เป็นเบื้องหลังในการผลักดันนัการเมืองรุ่นใหม่ๆ พบว่าพวกเขามีกรถอดบทเรียนกันอย่างจิรงจังและเข้มข้นหลังจากที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง คำถามเช่น หลังจากเกิด Occupy Wall Street ผุ้คมมีความหวังกันมาก ทำไมผ่านไป 5 ปี คนเลือกทรัมป์ เหล่าบรรดาองค์กรสิทธิต่างๆ ทำงานเคลื่อนไหวสุ้แทบตายสุดท้ายทำไมประชาชนคนอเมริกันเลือกทรัมป์ หลังจากโอบามาชนะเลือกตั้ง คนะชื่อว่าความขัดแย้งเรื่องสีผิวจะเบาบางลง แต่ทำไมกลับกลายเป็นรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งสุดท้านยก็ถอดบทเรียนกันได้วาต้องมี ยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง กล่วคื อภาคประชาสังคมต้องทำงานกับประชาชนกลุ่มต่างๆ เพื่อชี้เป็นชี้ตายนัการเมืองในช่วงเลือกตั้งให้ได้

         สมมติว่า ผุ้สมัครทางการเมืองคนหนึ่งลงสมัครในพื้นที่จังหวัดของคุณ และ้วสมมติคุณถือเครือข่ายผุ้ประกอบการหรือเครือข่ายสหภาพแรงงานในพื้นที่นี้ ็เขาไปต่อร่องเลยว่าคุณยินดีสนับสนุนเขาหากเขาจะเขัาไปผลักดันนดยบายที่คุณต้องการ แต่หากเขาปฏิเสธ คุณก็ไปสนับสนุนผุ้สมัครคนอื่นที่รับปากเราว่าจะทำเรื่องนี้ กลุ่มต่างๆ ลักษณะนี้ีคือกลุ่มที่เติบดตมากในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เช่น ในการเลือกตั้งของ Alexandria Ocasio-Cortez ถ้าเรามาองจากภายนอกก็จะนึกว่าเขามีทีมงวานสร้างแบรนดิ้งและบุคลิกภาพเฉพาะตัวขึ้นมา แต่ถ้าเข้าไปดูเว็บไซต์แคมเปยของเขามีองค์กรสนับสนุนเป็นร้อยเลย นี่คือปรากฎการณ์ใหม่ เพราะในอดีตนักการเมืองสหรัฐฯ จะลงเลือกตั้งก็ต้องไปของรับการสนับสุนจากชนชั้นนำในพรรค แต่ภายใต้ระบบนิเวศใหม่ที่องคก์กรภาคประชาสังคมเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งมากขึ้น หากองค์กรประกาศสนับสนุนผุ้สมัครแล้ว ก็จะส่งคนเข้าไปช่วยหาเสียงด้วย วิธีการนี้ทำให้ผุ้สมัครหน้าใหม่มีโอกาสในการเข้าสุ่การเมืองมากขึ้น ในแง่หนึ่ง องค์กรได้กลายมาเป็นตัวกลางระกวางการเมืองในสภากับประชาชน และช่วยให้ประชาชนรู้สึกสบายใจกว่าในการผุกยึดโยงตัวเองกับองค์กรภาคประชาสังคมแทนที่จะเป็นนักการเมืองหรือพรรคการเมือง ส่วนนี้คือระบบนิเวศที่เปลี่ยนไปมากในช่วง 10 ที่ผ่านมา.." อ่านฉบับเต็มได้ที่ https://www.the101.world/interview-prab-on-election/

          

           

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Assassination

            การลอบสังหาร การสังหารบุคคลสาะารณะ โดยทั่วไปแล้วคำนี้หมายถึงการสั้งหารผุ้นำรัฐบาล
และบุคคลสำคัญอื่นๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง เช่นการยึดอำนาจ การก่อการปฏิวัติ การดึงความสนใจไปที่สาเหตุ การแก้แค้น หรือการบ่อนทำลายระบอบการปกครองหรือผุ้วิพากษ์วิจารณ์ การสังหารโดยมีแรงจูงใจทางการเมืองดัลกล่าวเกิดขึ้นในทุกสวนของโลกและในทุกช่วงของประวัติศาสตร์

           คำว่า "การลอบสังหารมาจากคำว่า "นิชารี อิสมาอิลียะห์ไ ขบวนการทางศาสนาและการเมืองที่เกิดขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 11-13 ในกลุ่มอสิมาอิลียะห์ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ ซึ่งเป็นขบวนการทางศาสนาและการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 11 ชาว นิชารี ซึ่งมีฐานอำนาจอยุ่ในเทือกเขา เอลบัรซ์ซึ่งปัจจุบันอยุ่ในบริเวณทางตอนเหนือของอิหหร่รานขาดกำลังทหารที่จะเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามในภูมิภาค เขาใช้วิธีการแทรกซึมเพื่อโจมตีบุคคลสำคัญทางทหารและการเมืองภายในจัรวรรดิทั้งสอง

         นักรบครูเสด ชาวยุโรปได้ยินและตีความตำแหน่งเหียวกับชาวนิซารีในยุคแรกอย่างผิดๆ แล้วนำเรื่องราวเหล่านี้กลับไปยังบ้านเกิดของพวกขา ความเข้าใจผิดสอบประการนี้ ซึ่งน่าจะมีต้นต่อมาจากศัตรูของชาวนิซารี คือ ชาวนิซารีเป็นพวกคลั้งไคล์ภายใต้การปกครองของ "ชายชราแห่งภูเขา" ผุ้ลักลับและพวกเขาใช้กัญชาเพื่อสร้างภาพนิมิตแห่งสวรรค์ก่อนจะออกเดินทางไปสุ่การพลีชีพ คำว่า hashishi ในภาษาอาหรับ ("ผุ้บริโภคกัญชา) ซึ่งเป็นคำ ที่ใช้ในการดูถูกเหยียดหยาม ชาวนิซารีกลายเป็นรากศัพท์ของคำ่า่มือสังหารในภาษาอังกฤษและคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันในภาษาอื่นๆ ของยุูโรป นักฆ่าได้รับความหมายว่าเป็นนักห่าที่ไม่ลดละ

เป้าหมายการลอบสังหาร หัวหน้ารัฐบาล เชน ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีและพระมหากษัตริย์ มักตกเป็นเป้าหมายของการลอบสังหาร ประธานาะิบดี สหรัฐฯ 4 คน ถูกลอบสังหาร และ 12 คนตกเป็นเป้าหมายของการลอบสังหารที่ไม่ประสบความสำเร็จ

          ในปี 1914 การลอยสังหารอาร์ชดยุค ฟรันซ์ เฟอร์ดิมานด์ รัชทายาทแห่งออสเตรีย-ฮังการี ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ภายหลังการลอบสังหารไม่กี่สัปดาห์

        เหยือการ่ลอบสังหารในศตวรรษที่ 20 กว่ายี่สิบคนทั่วโลก เหยื่อสังหารได้แก่ รัฐมนตรี สมาชิกสภานิติยัญญัติ ผุ้พิพากษา และเจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ สมาชิกของกองทหารหรือตำรวจ สมชิกของพรรคการเมืองและกลุ่มการเมือล และผุ้นำทางศาสนา และผุ้มีชื่อเสียงของขบวนการทางสังคมและการเมือง 

         แม้ว่าการฆาตกรรมจะถูกใช้น้อยลงในฐานะเครื่องมือทางการเมืองในศตวรรษที่ 21 แต่ก็ยังมีเหตุการณ์ที่มีความหมายบางประการ เช่น ในปี 2003 นายกรัฐมนตรีเซอร์เบีย ถูกสังหารโดยมือปืนที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอาชญากร และระบอบการปกครองของอดีตรัฐมนตรีของเลบบานอน "ราวิค อัล ฮารีรี่" ถูกสังหารด้วยระเบิดรถยนตืใสนปี 2005 เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าซีเรีย มีความรับผิดชอบต่อการบอลสังหาร ฮารีรี่ และในความไม่สงบที่เกิดขึ้้ตามมากองทหารซีเรียถูกบังคับให้ยุติการยึดครองเลบานอนที่กิเวบานานเกือบสามทศวรรษ, เบนาซิร บุโต อดีตนายกรัฐมนตรีของประกีสถาน ถุกสังหารในเหตุระเบิดฆ่าตัวตายปี  2007, ประธานาธิบดีเฮติ "โจวีนีล มอยซ์ ถูกยิงเสียชีวิตที่บ้านของเขา 2021 โดยทหารรับจ้าง โคลอมเบีย กรกฎาคม 2022 อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ ถูกยิงเสียชีวิตในงานหาเสียงของนักการเมืองพรรคเสรีนิยมประชาธิปไตย เช่นกัน

        ฝ่ายตรงข้ามของประธานาะิบดี "วลาติมีร์ ปูตินแห่ง รัสเซีย ตกเป็นเหยื่อของการลอบสังหารบ่อยครั้ง
ในปี 2006 นักข่าวสืบสวนสองสวน แอนนา โพลิคอฟสกายา ถูกยิงเสียชีวิตในอาคารอพาร์ตเมนต์ของเธอในมอสโกว เธอเป็นหนึ่งในนักข่าวกว่าสองโหลที่ถูกลอบสังหารในช่วงที่ปูตินดำรงตำแหน่ง ผุ้เสียชีวิตเกือบหนึ่งในสี่มาจาหนังสือพิมพ์อิสระ Novaya Gazeta ในปี 2021 ดมิทรี มุราดอฟ บรรณธิการบริหารหนังสือพิมพ์ดังกล่าว ได้รับรางวัง โนเบลสาขาสันติภาพ สำหรับ "ความพยายามในการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก"  นักการเมืองฝ่ายค้าน บอริส เนมต์ซอฟ ถุกยิงเสียชีวิตในจุดที่เครมลินมองเห็น ในปี 2015 และ อเล็กเซย์ นาวัลนี นักรณรงค์ต่อต้านการทุจริตถุกวางยาพิษ ปี 2020 ด้วย โนวิช็อก ซึ่งเป็นสารพิษที่โซเวียตคิดค้นขึ้น นาวัลนี ป่วยหนักและต้องใจ้เวบาหนึ่งเดือนในการพักฟื้นที่เยอรมัน แต่ถูกจำคุกทันทีเมือกลับถึงรัสเซีย นอกจากนักข่าวและผุ้นำฝ่ายค้านแล้ว เจ้าหน้าที่ข่าวกรองรัสเซียที่แปรพักตร์ไปอยู่กับตะวันตกก็ตกเป็นเป้าหมายด้วยเช่นกัน อดีต เจ้าหน้าที่ หน่วยข่าวกรองของรัฐบาลกลาง อเล็กซานเดอร์ ลิทวิเนนโก ถูกวางยาพิษโพโลเนียม-210 จะเสียชีวิต ในปี 2006 ขณะกำลังดื่มชาในดรงแรมในลอนดอน และอดีตเจ้าหน้าที่ หน่วยข่าวกรองทหารรัสเซียเชอร์เกย์ สคริปาล ถุกวางยาพิษ 2018 พร้อมกับลุกสาวของเขาในการโจมตีด้วย โนวิช็อก ที่เมือง ซอลส์บรี ประเทศอังกฤษแม้ว่าครอบครัวเขาจะฟื้นตัวได้ในที่สุด แต่หญิงชาวอังกฤษซึ่งสัมผัสกับภาชนะที่ใช้ขนส่งก็ล้มป่วยและเสียชีวิต 

แรงจูงใจในการลอบสังหารนั้นแตกต่างกันไป (และมักจะซับซ้อนและหลากหลาย) ในบางกรณี นักฆ๋าต้องการบัคับให้เกิดการเแลี่ยนแปลงในความเป็นผุ้นำหรือรุปแบบของรัฐบาล การลอบสังหารดังกล่าวมักเกิดขึ้นระกว่างการ รัฐประหารทางทหาร เช่นกรณีการโค่นล้มประานาธิบดี โง ดินห์ เดียม ในเวียดนามใต้ ปี 1963 และ โทมัส ซังการา ในบูร์กินาฟาโซปี 1987 นักฆ่าอาจต้องการอำนาจ หรือกาจมุ่งไปที่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในลักษณะที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคม (หรือทั้งสองอย่างป ในบางครัง ชาวกรีก และดรมันโบราณ ใช้การสังหารทรราชหรือการสังหารทรราชหรือเผด็จการเพื่อประโยชน์สาธารณะ 

          การสังหารอีกประเภหนึ่ง มักเรียกว่า "การโฆษณาชวนเชื่อโดยการกระทำ" ออกแบบมาเพื่อสร้างกระแสให้กับดลกทัศน์นักอนาธิปไตยบางคน ในศตวรรษทีี 19 เป็นผุ้สนบสนุนการฆาตกรรมเชิงสัญลักษณ์


ดังกล่าวซึ่งพวกเขาหวังว่่าจะแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของรัฐบาลและสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการกบฎ นักอนาธิปไตยสังหารผุ้ปกครองหลายคนในยุดรปในช่วงปลายศตวรรษทีี 19 (รวมทั้งในอิตาลี สเปน และฝรั่งเศส) ช่นเดียวกับประธานาะิบดี วิลเลียมแม็กคินลีย์แห่งสหรัฐอเมริกาสในปี 1901 องค์กร ก่อการร้ายและกึ่งทหารจำนวนหนึ่งใช้การลอบสังหารผเช่นเดียวกับการสังหาพลเมืองทั่วไป) เพื่อวัตถุประสงค์ในการโฆษณาชวนเชื่อ ในศตวรรษที่ 20 องค์กรดังกล่าวรวมถึงกองทัพแดงในเยอมันกองพลแดงในอิตาลี กองทัพสาะารณรัฐไอร์แลนด์ในไอร์แลนด์เหนือกุ่มแบงแยกดินแดนบาสก์ ในสเปน และกลุ่มกองดจรและหน่วยกึ่งทหารในหลายส่วนของโลก

       
 รัฐบาบเองก็ใช้การลอบสังหารเป็นอาวุธต่อต้านคู่แข่ง ผุ้เห็นต่าง และภัยคุกคามอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น ในหมู่พลเมืองของตนเองและของประเทศอื่นๆ ตัวอย่างที่โดดเด่น ของการปฏิบัติการคือ ปฏิบัติการ Wrath of God ซึ่งเป็นการลอบสังหารของอิสราเอลที่มุ่งแก้แค้นการลักพาตัวและสังหารนักกีฆาอิสราเอล 11 คน ดดยนักรบปาเลสไตน์ในปี 1972 ที่การแข่งขันกีฆาโอลิมปิกที่มิวนิกในบางกรณี นักฆ่าพยายามแก้แค้นการกระทผิดที่เกิดขึ้นจริงหรือที่คิดไปเอง การลอบสังหารประธานาธิบดี เจมส์ เอ. การ์ฟิลด์ แห่งสหรัฐอเมริกา ในปี 1881 เป็นตัวอย่างทั่วไปของการลอบสังหารเพื่อแก้แค้น การ์ฟิลด์ถุกชาร์ลส์ กีโด ผุ้แสวงหาตำแหน่งที่ขัดขวางไม่ให้เข้าดำรงตำแหน่ง ซึค่งเชื่อว่าเขาไปม่ได้รับคำตอบแทนทางการเมืองที่สมควรได้รับอย่างไม่ถูกต้อง การลอบสังหารประธานธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นแห่งสหรัฐอเมริกาในปี 1865 เป็นอีกตัวอย่างของการลอบสังหารเพื่อแก้แค้น นักฆ่าซึ่งเป็นผุ้สนับสนุนการมีทาสอย่างคลั่งไคล้ชื่อ จอห์น วิลค์ส บุธ พยายามแก้แค้นให้กับความพ่ายแพ้ของสมาพันธรัฐ ในสงครามกลางเมืองอเมริกา

        แรงจูงใจในการลอบสังหารไม่ชัดเจนเสมอไป ความไม่แน่นอนได้เกิดขึ้นรอบ ๆ สภานการณ์การลอบสังหารประะานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดีแหงสหรัฐอเมริกาในปี 1963 เป็นต้น คณะกรรมาะิการวาร์เรน ได้ค้นพบอย่างเป็นทางการวา่มือปืนคนเดียวชื่อ ลี อาร์วีย์ ออสวอลด์ สังหารเคนเนดี้ด้วยแรงจูงใจส่วนตัวบางอย่างที่ยังไม่ได้เปิดเผย อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีสมคบคิด จำนวนมาก กล่าวหาว่าออสวอลด์เป็นส่วนหนึ่งของแผนการบางอยางที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผย...https://www.britannica.com/topic/assassination

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Electoral System

            ระบบการเลือกต้้งหรือระบบการลงคะแนนเสียงเป็นชุดกฎที่กำหนดว่าการเลือกตั้งแลการลงประชา
มติจะำเนินไปอย่างไรและผลการลงคะแนนเสียงจะเป็นอย่างไร ระบบการเลือกต้้งสใช้ในทางการเมืองเพื่อเลือกรัฐบาล ในขณะที่การเลือกตั้งที่ไม่ใช่ทางการเมืองอาจเกิดขึ้ในะุรกิจองค์กรไม่แสวงหากำไรและองคกรทีไม่เป็นทางการกฎเหล่านี้ควบคุมทุ่กแง่มุมของกระบวนการลงคะแนนเสียง  และปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ ระบบการเลือกตั้งากงารเมืองถุกกำหนดโดยรัฐะรรมนูญและกฎมหายการเลือกตั้ง โดยทั่วไปดำินินการโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และสามารถใช้การเลือตตั้งประเภทต่างสำไรับตำแหน่งต่างๆ ได้

          ระบบเลือกตั้งบางะรบบจะเลือกผุ้ชนะเพียงคนเดียวให้ดำรงตำแหน่งพิเศษ เช่น นายกรัฐมนตรี ประานาธิบดี หรือผุ้ว่าการรัฐ ในขณะที่ระบบอื่น จะเลือกผุ้ชนะหลายคน เช่น สมาชิกรัฐสภาหรือคณะกรรมการบริหาร เมืองเลิกสภาพนิติบัญญัติพื้นที่อาจถุกแบ่งออกป็นเขตเลือกตั้งทีมีตัวแทนหนึ่งคนหรือมากกว่านั้น หรือผุ้มีสิทธิเลือกตั้งอาเลือกตัวแทนเป็นหน่วยเดียว ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งอาจลงคะแนนโดยตรงให้กับผุ้สมัครแต่ละคนหรือให้กับรายชื่อผุ้สมัครที่พรรคการเมืองหรือพันธมิตรเสนอชื่อระบบการเลือกตั้งมีหลายรูปแบบโดยรูปแบบที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ ระบบการเป็นตัวแทนตามสัดส่วนแบบบัญชีรายชือพรรค การลงคะแนนเสียงแบบ คะแนนเสียงข้างมาก การลงคะแนนเสยง แบบสองรอบ(การลงคะแนนเสียงรอบสุดท้ายป และการลงคะแนนเสียงแบบจัดอันดับ(STV หรือการลงคะแนนเสียงรอบสุดท้ายทันจที) ระบบแบบผสมและระบการเลือกตั้งอื่นๆ พยายามที่จะรวมข้อดีของระบบที่ไม่เป็นสัดส่วนและระบบตามสัดส่วนเข้าด้วยกัน

         สหรัฐอเมริการมีระบบการปกครองแบบประธานาธิบดี ซึ่งหมายคึวามว่าฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญัติได้รับการเลือกตั้งแกจากกัน มาตรา II ของรัฐธรมนูญสหรัญฯกำหนให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยคณะผ้เลือกต้องเกิดขึ้นในวันเดียวกันทั่วทั้งประเทศมาตรา I กำหนดว่าการเลือกตึ้งตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาสามารถจัดขึ้นในเวลาต่างกันได้การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาและประธานาธิบดีจะจัดขึันพร้อมกันทุกๆ สี่ปี และการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาระหว่างนั้นซึ่งจัดขึ้นทุกๆ สองปี เรียกว่าการเลือกตั้งกลางเทอม

        รัฐธรรมนูญระบุว่าสมาชิกสภาผุ้แทรราษำรของสหรัฐอเมริกาต้องมีอายุอย่างน้อย 25 ปี เป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกามาแล้วอย่างน้อย 7 ปี และเป็นอยุ่อาศัย(ถูกกฎหมาย) ในรัฐที่ตนเป็นตัวแทนวุฒิสมาชิกต้องมีอายุอย่างน้อย 30 ปี เป็นพลเมืองของสหรัฐที่ตนเป็นตัวแทน ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีต้องมีอายุอยางน้อย 35 ปี เป็นพลเมืองโดยกำเนิดของสหรัฐอเมริกา และเป็นผุ้อยุ่อาศัยในสหรัฐอเมริกามา


แล้ว14 ปี เป็นความรับผิดชอบของสภานิติบัญญัติของรัฐในการควบคุมคุณสมบัติของผุ้สมัครที่ปรากฎบนบัตรลงคะแนน แม้ว่าเพื่อที่จะได้ลงบัตรลงคะแนน ผุ้สมัครมักจะต้องรวบรวมลายเซ็นให้ได้จำนวนที่กำหนดตามกฎหมายหรือปฏิบัติตามข้อกำหนดเฉพาะของรัฐอื่นๆ 

          การเลือกตั้งประธานาธิบดี

          ประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีได้รับเลือกพร้อมกันในการเลือกตั้งประธานาะิบดีเป้นการเลือกตั้งทางอ้อม โดยผุ้ชนะจะถูกกำหนดโดยคะแนนเสียงที่ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งจากคณะผุ้เลือกตั้งมอบให้ ในยุคปัจจุบัน ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละรัฐจะเลือกกลุ่มผุ้มีสิทะิเลือกตั้งจากรายชื่อกลุ่มผุ้มีสิทธิเลือกตั้งหลายกลุ่มที่กำหนดดดยพรรคการเมืองหรือผุ้สมัครที่แตกต่างกัน และผุ้มีสิทธิเลือกตั้งมักจะสัญญาล่วงหน้าวาจะลงคะแนนเสียงให้กับผุ้สมัครของพรรคของตน (ซึ่งโดยปกติชื่อของผุ้สมัครชิงตำแหน่งประถธานาธิบดีจะปรากฎบนบัตรลงคะแนนมากกวา่ชื่อผุ้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคน) ผุ้ชนะการเลือกตั้งคือผุ้สมัครที่มีคะแนนเสียงคณะผุ้เลือกต้งอยางน้อย 270 คะแนน ผุ้สมัครอาจชนะคะแนนเสียงเลือกตั้งและแพ้คะแนนนิยม(ทั่วประเทศ) (ได้รับคะแนนเสียงน้อยกวาผุ้สมัครอันดับสองทั่วประเทศ) เหตุการณืนี้เกิดขึ้น ห้าครั้งในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะมีการให้สัตยาบัน (การแก้ไขเพ่ิมเติมครั้งที่ 12 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ) ผู้ที่ได้ตำแหน่งรองประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปรธานาธิบดี ได้กลายมาเป็นรองประธานาธิบดี

            คะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้งจะมาจากแต่ละรัฐโดยกลุ่มผุ้เลือกตัง ดดยผุ้เลือกตั้งแต่ละคนจะลงะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้งหนึ่งเสียง จนกระทั่งมีการแก้ไขเพื่มเติมรัฐะรรมนูญสหรัฐฯครั้งที่ 23 พลเมืองจากเขาโคลัมเบียไม่มีตัวแทนและ/หรือผุ้เลือกตั้งในคณะผุ้เลือกตั้ง ในยุคปัจจุบัน ผุ้เลือกต้งมักจะมุ่งเน้นที่จะลงคะแนนเสียงให้กับผุ้สมัครจากพรรคการเมืองล่วงหน้า ผุ้เลือกตั้งที่ลงคะแนนเสียงไม่เห็นด้วยกับคะแนนนิยมในรัฐของตนจะถูกเรียกว่าผุ้เลือกตั้งที่ไม่ซื่อสัตย์และเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นน้อยมาก กฎหมายของรับควบคุมวิะีที่รัฐต่างๆ ลงคะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้ง ใสนรัฐทั้งหมดยกเว้นเมนและเนเบรสกา ผุ้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดในรัฐจะไดรับคะแนนเสียงคณะผุ้เลือกตั้งทั้งหมาด(ระบบ"ผู้ชนะได้ทั้งหมด") ตั้งแตปี 1972 ในรัฐเมน และตั้งแต่ปี 1996 ในรัฐเนแรสกา คะแนนเสียงเลือกต้งสองคะแนนจะมองให้กับผุ้ชนะการเลือตั้งระดับรัฐ และคะแนนที่เหลือ (สองคะแนนในรัฐเมน และสามคะแนนในรัฐเนเบรสกา) มอบให้กับผุ้ชนะคะแนนเสียงสูงสุดในแต่ละเขตเลือกตั้งของรัฐ

            การเลือกตั้งวุฒิสภา

            วุฒิสภาแระกอบด้วยสมาชิก 100 คน ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง 6 ปี ในเขตเลือกตั้งที่ มีที่นั่ง 2 ที่
นั่ง (รัฐละ2 ที่นั่ง) โดยหนึ่งในสามจะได้รับการต่ออายุทุกๆ สองปี กลุ่มที่นั่งในวุฒิสภาที่ขึ้นสู่การเลือกตั้งในแต่ละปีเรียกว่า "คลาส" โดยทั่งสามคลาสจะสลับกันเพื่อให้มีการต่ออายุเพียงกลุ่มเดียวจากสามกลุ่มทุกๆ สองปี จนกระทั่งการแก้ไขเพิ่มเติม รัฐะรมนูญสหรัฐอเมริกาครั้งที่ 17 ในปี 1913 รัฐต่างๆ เป็นผุ้เลือกวิธีเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา และมักได้รับเลือกโดยสภานิติบัญญัติของรัฐ ไม่ใช้ผุ้มีสิทธิเลือกตั้งของรัฐ

           สภาผุ้แทนราษำรมีสมาชิก 435 ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง 2 ปี ในเขตเลือกตั้ง ที่มีที่นั่งเดียวการเลือกตั้งสภาผุ่้แทนราษฎรจัดขึ้นุกๆ สองปี ในวันอังคารแรกหลังวันที่ 1 พฤศจิกายนในปี คู่ การเลือกตั้งสภาผุ้แทรราษฎรพิเศษสามารถเกิดขึ้นได้หากสมาชิกเสียชีวิตหรือลาออกระหว่าดำรงตำแหน่ง การเลือกตั้งสภาผุ้แทรราษฎรเป็นการเลือกตั้ง แบบคะแนนเสียงข้างมาก ซึ่งเลือกผุ้แทนจากเขตเลือกตั้งของสภาผุ้แทนราษฎร 435 เขตที่่ครอบคลุมสหรัฐอเมริกาผุ้แทนที่ไม่มีสิทธิออกเสียง เลือกตั้งจากวอชิงตัน ดี.ซี. และดินแดนของอเมริกันซาัว กวม หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียน เปอร์โตริโก และหมุ่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา ก็ได้รับการเลือกตั้งเช่นกัน

          การเลือกตั้งสภาผู้แทนราษำรจะเกิดขึ้นทุกๆ สองปี โดยสอดคล้องกับการเลือกตั้งปรธานาะิบดีหรือในขช่วงกลางวาระของประธานาธิบดีผุ้แทนสภาผุ้แทนราษฎรของเปอร์โตริโก ซึ่งเรียกอย่างเป็นทางการว่ากรรมาธิการประจำเปอร์โตริโกจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสี่ปี  ซึ่งตรงกับวาระของประธานาธิบดี

          เนื่องจากคณะกรรมการแบ่งเตเลือกตั้งของรัฐต่างๆ มักมีการแบ่งเขตเลือกตั้ตามพรรคการเมือง จึงมักมีการแบ่งเขตเลือกตั้งเพื่อให้ผุ้ดำรงตำแหน่งได้รับประโยชน์ แนวโน้มที่เพ่ิมขึ้นคือผุ้ดำรงตำแหน่งจะได้เปรียบอยางท่วมท้นในการเลือกต้งสภาผุ้แทนราษฎร และตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 1994 เป็นต้นมา จำนวนที่นั่งที่เปลี่ยนมือไปในแต่ละการเลือกตั้งมีจำนวนน้อยผิดปกติ เนืองจากการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบไม่เป็นธรรม ทำให้ที่นั่งในสภาผุ้แทนราษฎรไม่ถึง 10% ของที่นั่งทั้งหมดในแต่ละรอบการเือกต้ง สมาชิกสภาผุ้แทนราษฎรมากว่า 90% ได้รับการเลือกตั้งใหม่ทุกสองปี เนือ่งจากไม่มีการแข่งขันในการเลือกตั้ง การแบ่งเขตเลือกตังแบบไม่เป็นธรรมในสภาผุ้แทนราษฎร ร่วมกับข้อบกพร่องทั่วไปของ ระบบการลงคะแนนเสียง


แบบคะแนนเสียงข้างมากและการแบ่งแยกที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติในวุฒิสภและคณะผุ้เชือกตัง ส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างเปอร์เซ็นต์การสนับสนุนจากประชาชนต่อพรรคการเมืองต่างๆ กับระดับการเป็นตวแทนของพรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพบว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบไม่เป็นธรรมเป็นประโยชน์ต่อพรรครีพับลิกันมากกวาพรรคเดโมแครต

        การเลือกตั้งระดับรัฐ 

        กำหมายของรัฐและรัฐธรรมนูญซึ่งควบคุมโดยสภานิติบัญัติของรัฐจะควบคุมการเลือกตั้งในระดับรัฐและระดับท้องถ่ิน เจ้าหน้าที่ต่างๆ ในระดับรัฐได้รับการเลือกตั้งเนื่องจากการแบ่งแยกอำนาจมีผลใช้กับรัฐและรัฐบาลกลาง สภานิติบัญญัติของรัฐและฝ่ายบริหาร(ผุ้ว่าการรัฐ) จึงได้รับการเลือกตั้งแยกกันผุ้ว่าการรัฐ และรองผุ้ว่าการรัฐได้รับการเลือกตั้งในทุกๆ รัฐ ในบางรัฐ จะได้รับการเลือกตั้งแบบร่วมกัน และบางรัฐจะได้รับการเลือกตั้งแยกกัน บางแห่งจะได้รับการเลือกตั้งแยกกันในรอบการเลือกตั้ง ที่แตกต่างกัน ผุ้วา่ การรัฐในดินแดนอเมริกันซามัว กวม หมุ่เกาะนอร์เทิร์มาเรียนา เปอร์โตริโก และหมุ่เกาะเวอร์จินของสหรัฐฯ ก็ได้รับการเลือกตั้งเช่นกัน ในบางรัฐตำแหน่งผุ้บริหาร เช่นอัยการสูงสุดและเลขาะิการรัฐ ก็ไดัรบการเลือกตั้งเช่นกัน สมาชิก สภานิติบัญญัติของรับและสภานิติบัญญัติในเขตอำนาจศาลทั้งหมดได้รับการเลือกตั้ง ในบางรัฐ สมาชิกของศาลฎีกาของรัฐและสมาชิกคนอื่นๆ ของตุลาการของรัฐจะได้รับการเลือกตั้งข้อเสนอแก้ไขรัฐะรรมนูญของรับยังถุกนำไปลงคะแนนเสียงในบางรัฐด้วย 

         เพื่อความสำดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย การเลือกต้งสำหรับตำแหน่งระดับรัฐและระดับท้องถิ่นหลายแห่งจึงจัดขึ้นในเวลาเดีวยกันกับการเลือกตั้งประธานาะิบดีระดับกลางหรือการเลือกต้งกลางเทอมอย่างไรก็ตาม มีรัฐจำนวนหนึ่งที่จัดการเลือกตั้งใน "ปีคี่" แทน

          การเลือกตั้งท้องถ่ิน

          ในระดับท้องถ่ิน ตำแหน่งในรัฐบาล ระดับเทศมณฑล และเมืองมักถุกเติมเต็มโดยการเลือกตั้ง ดดยเฉาพะอยางยิ่งภายในฝ่ายนิติบัญญัติขอบเขตของตำแหน่งในฝ่ายบริหารหรือฝ่ายตุลาการได้รับการเลือกตั้งแตกต่างกันไปในแต่ละเทศมณฑลหรือแต่ละเมือง ตัวอยางบางส่นขอตำแหน่งที่ได้รับการเลือกตั้งในระดับท้องถ่ิน ได้แก่ นายอำเภอในระดับเทศมณฑลนายกเทศมนตรีและสมาชิก ๕ณะกรรมการโรงเรียน ในระดับเมือง เช่นเดียวกับการเลือกตั้งระดับรัฐ การเลือกตั้งสำหรับตำแหน่งในท้องถ่ินเฉพาะอาจจัดขึ้นในเวลาเดียวกันกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี การเลือกตั้งกลางเทอม หรือการเลือกตั้งนอกปี

           การเลือกต้งชนเผ่า

           ตำแหน่งในรัฐบาลของชนเผ่า พื้นเมืองอเมริกันหลายตำแหน่งรวมถึงตำแหน่งบริหารและนิติบัญญํติ มักจะได้รับการเลือกตั้ง ในบางกรณ๊พลเมืองของชนเผ่าจะเลือกสมาชิกสภาซึ่งจะเลือกหัวหน้าฝ่ายบริหาร


จากในองค์กรของตน จำนวนตำแหน่งและตำแหน่งที่ใช้แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐบาลของชนเผ่า แต่ตำแหน่งทั่วไปสำหรัีบตำแหน่งหัวหร้าฝ่ายบริหารของรับบาลของชนเผ่า ได้แก่ ประธานาธิบิดีผุ้ว่าการ หัวหน้าใหญ่ ประธาน และหัวหน้าเผ่า การเลือกตั้งเหล่านี้อาจจัดขึ้นร่วมกับการเลือกตั้งระดับรัฐบาลกลาง ระดับรัฐ หรือระดับท้องถิ่น แต่บ่อยครั้งที่จัดขึ้นดดยอิสระภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานการเลือกตั้งของชนเผ่า

            ชาวอเมริกันลงคะแนนเสียงให้กับผุ้สมัครรายหนึ่งโดยเฉพาะแทนที่จะเลือกพรรคการเมืองดดพรรคการเมืองเหนึ่งโดยตรงรฐะรรมฯุญของสหรัฐอเมริกาไม่เคยกล่าวถึงประเด็นของพรรคการเืองอย่างเป็นทางการบรรพบุรุษผุ้ก่อตั้งประเทศเช่น อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตันและเจมส์ เมดิสัน ไม่สนับสนุนกลุ่มการเมืองในประเทศ ในช่วงเวลาที่ร่างรัฐะรรมนูญ นอกจากนี้ ประธานาะิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา จอร์จ วอชิงตัน ไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใด ในช่วงเวลาที่ไดรับการเลือกต้งหรือตลอดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนอกจานี้ เขายังหวังว่าจะไม่มีการจัดตั้ง พรรคการเมืองขึ้นเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความขัดแย้งและความซบเซา อย่างไรก็ตารม จุดเริ่มต้นของระบบสองพรรค ของอเมริกา เกิดขึ้นจากกลุ่ม ที่ปรึกษาใกล้ชิดของเขา โดยแฮมิลตันและเมดิสันกลายเป็นผุ้นำหลักในระบบพรรคการเมืองที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่นี้ เนื่องจากกฎของดูแวร์เจอรืระบบสองพรรคจึงดำเนินต่ไปหลังจากการก่อตั้งพรรคการเมือง ดดยยังคงใช้ระบบการเลือกตั้งแบบคะแนนเสียงข้างมาก (กฎของดูแวร์เจอร์ ระบุว่าในระบบการเมืองที่มีผุ้ชนะเพียงคนเดียว เช่นในอเมริกา มีแนวโน้มทีจะมีพรรคการเมืองหลักสองพรรคเกิดขั้นดดยที่พรรคการเืองรองมักจะแบ่งคะแนนเสียงออกจากพรรคการเมืองหลักทีมีความคล้ายคลึงกัมากที่สุด ในทางตรงกันข้าม ระบบที่มีการเลือกตั้งตามสัดส่วนมักจะมีตัวแทนของพรรคการเมืองรองในรัฐบาลมากกว่า)

           https://en.wikipedia.org/wiki/Duverger%27s_law

          https://en.wikipedia.org/wiki/Electoral_system



Midwest

            "มิดเวสต์" เป็นหนึ่งในสี่ภูมิภาคสำมะโนประชากรของสำนักงานสำมะโนประชากรแห่งสหรัฐอเมริกาเรียก ภุมิภาคนี้ว่า ภุมิภาคตอนกลา...