วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

Genghis Khan



      เจงกิสข่าน ข่านผู้รวบรวมชนเผ่าต่างๆ และสถาปนาจักรวรรดิมองโกล บุรุษผู้ได้ชื่อว่าจักรพรรดินักรบ
พระนามเดิมคือ เตมูจิน พระราชบิดาเป็น หัวหน้าเผ่า เยซูไก และ พระราชมารดาคือ ฮูหลั่น
      ทรงมีมเหสี คือ นางบูร์ไต ผู้ให้กำเนิดพระโอรสทั้ง 4 พระองค์ คือ โจชิ, ซาตาไก,โอโกไตข่าน,และตูลิและทรงมีพระราชนัดดา(หลาน) ดังนี้ บาตู, เบอไค, คูยัคข่าน, คาดัน, คาชิน, มองเกอ ข่าน, กุบไล ข่าน, ฮูเลกู, อริกโบเค..
      จักรพรรดิเจงกิสข่านทรงมีพระชนม์มายุ 65 พรรษา มีพระชนมายุ ในศตวรรษที่ 17-23

        หลังจากสถาปนา จักรวรรดิมองโกลแล้ว จึงขยายดินแดนไปทางตอนเหนือของจีนและสามารพปราบอาณาจักรจินลงได้ หลังจากนั้นพยายามจะทำสัมพันธ์ไมตรีกับ เปอร์เซีย จึงส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรี กาลกลับเป็นเกิดเป็นชนวนเหตุแห่งสงคราม ที่โหดร้าย ดุดัน ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร และการไล่ล่า อย่างยาวนาน หลังจากกลับจากการทำสงครามกับเปอร์เซียในตะวันออกกลาง ไม่นานนักเจงกิสข่านก็สวรรคต กระทั่งปัจจุบันยังไม่มีใครรู้แน่ว่าสุสานที่ฝั่งพระศพจักรพรรดิ์เจงกิสข่านอยู่ที่ใด

      (  วิธีการฝั่งศพของชาวมองโกล โดย การขุดหลุมให้ลึกมากๆ เมือฝั่งศพแล้วจะกลดินแล้วให้ม้าและอูฐวิ่งผ่านกระทั่งดินเรียบเป็นพื้อนเดียวกัน จากนั้นผู้ทำพิธีฝังจะนำลูกอูฐมายังหลุมฝังศพเพื่อฆ่าทิ้ง แม่อูฐที่เศร้าเสียใจจะดมกลิ่นซากศพของลูกอูฐ หลังจากนั้น 1 ปี วัชพืชจะขึ้นรก ไม่สามารถรู้ได้ว่าที่ตรงไหนเป็นหลุ่มฝังศพแต่ชาวมองโกลสามรถรู้ได้จากการพาแม่อูฐมาด้วย เพราะแม่อูฐสามารถจำกลิ่นของลูกอูฐได้ )

     
     

Mughal Dynasty

Mahmud-Ghazni-9395526-1-402ในพุทธศตวรรษที่14 กองทัพอิสลามชาวเติร์ก ชาวตาตาร์ บุกเข้าสู่ลุ่มแม่น้ำต่าง ๆ ในแค้วนค้นธาราฐและประชิดแค้วนปัญจาบ กษัตริย์ชัยบาลแห่งราชวงศ์ซาหิยะของฮินดู ทำสงครามต่อต้าน กระทั้งกษัตริย์มาหมุ Mahmud แห่งราชวงศ์กลาซนาวิด แห่งจักรวรรดิกลาสนี่เข้ายึดเมืองเปษวาร์ ใช้เป็นที่มั่นของเติร์กอิสลาม และสถาปนาจักวรรดิกลาสนี่ Ghazni ขึ้นทางตอนใต้ของกรุงคาบูล และนำกองทัพอิสลามรุกรานอินเดีย สามารถยึดพื้นที่อินเดียเหนือ ตั้งแต่ลุ่มนำสินธุ แคว้นปัญจาบจรดลุ่มน้ำยมุนา รวมทั้งแผ่นดินในลุ่มปัญจมหานที่ทั้งกมด ศาสนาอิสลามแพร่เข้าสู่คาบสมุทรอินเดียครั้งใหญ่  และยังแผ่ขยายอาณาจักรไปจรดเปอร์เซียและเมโสโปเตเมีย
     ช่วงที่ทำสงครามระหว่างอินเดียและฮินดู Mahmud เข้าทำลายศาสนสถานและผุ้คนต่างศาสนาจำนวนมากมายกองทัพอิสลามเข้าปล้นทำลายโบสถ์วิหารต่าง ๆ ทั้งศาสนาฮินดูและพุทธพินาศย่อยยับ
    แคว้นปัญจาบตกอยู่ใต้การปกครองชาวเติร์ก ราชวงศ์กลาสวานิคเกือบ 200 ปีอิทธิพลทางศาสนา รวมทั้งวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวปัญจาบเปลี่ยนแปลงไปจากการผสมผสานและครอบงำทางวัฒนธรรม.. ต่อมาจักรวรรดิกลาสนี่พ่ายแพ้ต่อกษัตริย์อิสลามชาวกูริสผู้สภาปนาราชวงศ์กอร์ Ghor ขึ้นในแค้วนคันธาราฐ กองทัพกอร์ยกเข้ายึกแค้วนปัญจาบ ยึดเมืองเดลฮี เป็นฐานที่มั่นในการรุกรานเข้าสู้แค้วยพิหาร อ่าวเบงกอล ซึ่งกล่าวได้ว่าอินเดียภาคเหนือส่วนใหญ่อิสลามยึดครองหมดแล้ว
      ชาวอินเดียทีนับถือฮินดูลุกฮือต่อต้านอิสลาม ทำสงครามกับจักวรรดิกอร์ กษัตริย์กอร์ยกทัพเข้าบทขยี้ชาวฮินดูจนราบคาบ และกษัตริย์ มูหะหมัด กอรี ก็เสียชีวิต ณ ที่แค้วนปัญจาบนั้นเอง
      ชาวอิสลามเติร์กยกให้ กัตบุคิน ไอบัก Kutbuddin Aibak ขึ้นเป็นสุลต่านแห่งเดลฮี ซึ่งได้กลายเป็นอาณาจักรอิสลามเดลฮี มีสุลต่านสืบทอกกันมา 26 พระองค์


      GenghisKhanExhibitMural2 (1)
      ปลายพุทธศตวรรษที่ 17 จากการไล่ล่าองค์ชาย “เจลัล อัคดิน” พระโอรส สุลต่านโมฮัมเหม็ด แห่งซามาร์คันต์ โดยการนำทัพของตูลิ พระโอรสองค์สุดท้องในครั้งแรก และการนำทัพโดยเจงกิสข่านเองที่เข้าตีตั้งแต่จักรวรรดิกลาสนี้ นครเบคเตรีย เบคราม แค้วนคันธาราฐ เข้าสู้ปัญจาบ แคชเมียร์เข้าประชิดแค้วยสุลต่านเดลฮี หยุดอยู่ที่นครตักสิลาริมฝั่งแม่น้ำสินธุและไม่รุกรานต่อ ทำให้ชาวเติร์กกลุ่มอินเดียเหนือขาดการติดต่อกับเติร์กกลุ่มอัฟกานิสถาน 

      พุทธศตวรรษที่ 18 ตาเมอร์เลนสุลต่านมองโกล ชาวมองโกลที่นับถือศาสนาอิสลามปกครองซามาร์คานด์ นำกองทัพมองโกลเข้าโจมตีแค้วนปัญจาบ และดินแดนในปกครองของเติร์ก บุกทำลายอาณาจักรเดลฮี ประชาชนพละมืองถูกสังหารมากมาย และจับเป็นทาส ทัพมองโกลรุกต่อเข้าสู่ลุ่มแม่น้ำคงคา เข้าทำลายและปล้นสดมภ์บ้านเรือนและแค้วนต่าง ๆ ในอินเดียเหนือ และเดินทางกลับโดยไม่ยึดครอง ทิ้งไว้เพียงสภาพปรักหักพัรกร้าง ปราศจากผุ้คนที่มีชีวิต…

    พุทธศตวรรษที่ 20 (คริตสตวรรษที่ 16 ) อิสลามมองโกลเข้ายึดครองแค้วนปัญจาบและอินเดียเหนืออีกครั้ง และ สถาปนาราชวงศ์โมกุล Moghal โดยจักรพรรดิบาบูร์ ขึ้นปกครองอินเดียเหนือโดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่นครเอลฮี ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2069 (ค.ศ. 1526) เป็นต้นมา
          ยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของอาณาจักรอยู่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และครอบครองดินแดนส่วนใหญ๋ในอนุทวีปอินเดีย นับแต่อ่าวเบงกอลทางตะวันออกไปจนถึง Balochistan ในทางตะวันตก และจากแค้วนแคชเมียร์ทางเหนือไปจนถึง Kaveri ทางใต้  ประชากรประมาณ 110-150 ล้านคน ดินแดนในครอบครองมากว่า 3'.2 ล้านตารางกิโลเมตร
         ยุคคลาสสิกของจักรวรรดินี้เริ่มต้นในรัชสมัย จาลาลุดดิน โมฮัมหมัด อัคบาร์ หรือ “อัคบาร์มหาราช” อินเดียเจริญก้Taj Mahal  Exclusive  Picturesาวหน้าทั้งทางเศรษฐกิจและ วัฒนธรรม รวามถึงมีสันติสุขระหว่างศาสนา
         ยุคทองแห่งสถTaj Mahal  Exclusive  Pictures าปัตยกรรมโมกุล คือ ยุคของพระเจ้า ชาห์เชฮัน จักรพรรดิองค์ที่ 5 ซึ่งได้โปรดให้สร้างอนุสาวรีย์อันงดงามวิจิตรขึ้นจำนวนมาก ที่มีชื่อสเยที่สุดในบรรดานี้คือ “ทัชมาฮาล แห่ง อัครา” รวมไปถึง มัสยิดเพิร์ล,ป้อมแดง,มัสยิดจามา และป้อมละฮอร์… จักวรรดิโมกุลขึ้นถึงจุดสูงสุดในการแผ่ขยายอาณาเขตในรัชสมัยของออรังเซบ ซึ่งอาจเป็นมนุษย์ที่รำรวยที่สุดและมีอำนาจมากที่สุดของโลก ในช่วงพระชนม์ของพระองค์

      ทัชมาฮาล สุสานหิอ่อนที่ผุ้คนเชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุในโลก สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระจักรพรรดิโมกุลผู้มีรักมั่นคงต่อพระมเหสีของพระองค์ เจ้าชายขุร์รัม ซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระจักรพรรดิชาณ์ชะฮัน พระราชสมภพในปี พ.ศ. 2135 (ค.ศ.1592) ตามตำนานกล่าวว่า เจ้าชายขุร์รัมได้พบกับอรชุ มันท์ พานุ เพคุม ธิดาของรัฐมนตรี เมือพระองค์ มีพระชนมายุ 14 พรรษา พระองค์ทรงหลงใหลและหลงรักนาง เจ้าชายขุร์รัมจึงซื้อเพชรด้วยเงิน 10,000 รูปี และบอกพระบิดาของพระองค์ว่าพระองค์มีความประสงค์ที่จะแต่งงานกับบุตรสาวของรัฐมนตรี  พิธีอภิเษกถูกจัดขึ้นหลังจากนั้น 5 ปี หลังจากนั้นทั้งคู่มิเคยอยู่ห่างกันเลย
          พระองค์ทรงเรียก อรชุมันท์ พานุ เพคุม ว่า มุมตัช มาฮาล แปลว่า “อัญมณีแห่งราชวัง” พระมเหสีติดตามพระองค์แม้ในสนามรบ แนะนำพระองค์ในรื่องราชการของประเทศ และพระองค์ทางซาบซึ่งในน้ำพระทัยของพระมเหสียิ่งนัก พระนางทรงสิ้นพระชนม์หลังจากให้กำเนิดทายาทองค์ที่ 14 การสิ้นพระชนม์ของนางทำให้พระเจ้าขาห์ ชหาน โศกเศร้าถึง 2 ทศวรรษ ราชสมบัติส่วนใหญ่หมดไปกับการการสร้างอนุสรณ์แห่งความรักของทั่งสองพระองค์
           พระองค์ถูกกักชังอยู่ถึง 8 ปี กรทั่งสวรรคต ตามตำนานกล่าว่าในวันสุดท้ายของชีวิตพระองค์ทรงใช้เวลาทั้งวันกับการจ้องมองเศษกระจกที่สะท้อนภาพของทัชมาฮาล และสิ้นพระชนม์ด้วยเคศษกระจกในกำมือ…พระเจ้าชาห์ ชหานถูกฝังในทัชมารฮาล เคียงข้างมเหสี..มีบางคนกล่าวว่าพระเจ้าชาห์ ชหาน มิได้ประสงค์ที่จะถูกผังร่วมกับพระมเหสี แต่พระองค์มีแผนการที่จะสร้างสุสานอีกแห่งด้วยหิอ่อนสีดำ เพื่อเป็นสุสานของพระองค์ แต่ผุ้รู้หลายท่านเชื่อว่าพระองค์ประสงค์จะถูกฝั่งเคียงข้างพระนางมุมตัช มาฮาล


The Hunter

   จากการทำร้ายและทำลายคณะทูตมองโกลอันเป็นสิ่งที่ทำให้เจงกิสข่านโมโหเป็นอย่างมากยกทัพมาทำสงครามกว่า1,700ไมล์ เพื่อตีเมืองซามาร์คันต์ ในระหว่างทำสงครามก็สูญเสียพระนัดดา กระทั่งประกาศฆ่าล้างเมืองทุกผู้นาม และเมื่อสามารถตีซามาร์คันต์ได้จึงเผาทำลายเมืองและเข่นฆ่าผู้คนกว่า แสนคน เหลือเพียงผู้มีความรู้ความสามารถ 30,000 กว่าคนที่พากลับมายังมองโกล

           “บรรดานครอันงดงามดอฬารของควาเรศม์ถูกเผามอดไหม้เป็นเพียงเศษซากเถ้าธุลี ไร่นาสาโทที่เขียวชอุ่มกลับกลายเป็นที่รกร้างไร้ซึ่งพืชพรรณ ตามเส้นทางต่าง ๆ มีแต่สุนัขจิ้งจอกละแร้งกาที่คอยจิกกินซากศพของผุ้คนที่ล้มตายเกลื่อนกลาด” (คำบันทึกของนักประวัติศาสตร์มุสลิม)
           เจงกิสข่านนำแท่งเงินมาหลอมเป็นน้ำกรอกเบ้าตาของผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้ปล้นกองคาราวานและสังหารปมู่คณะทูตมองโกล ส่วนกษัตริย์นักรบ สุลต่านโมฮัมเหม็ด  กลายเป็นผู้ขลาดเขลาที่หนีศึกเพียงอย่างเดียว เพราะนับแต่ศึกครั้งแรกที่ชายแดนจักรวรรดิ์ พรเองค์ไม่เคยนำกอบทัพใดเข้าขับไล่พวกมองโกลอีกเลย พระองค์เพียงแต่ย้ายพระราชฐานหนีการไล่ล่าของพวกพมองโกลไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย.. เจงกิสข่านยังส่งกองทัพออกไล่ล่ามิหยุดหย่อน กระทั่งพระองค์ต้องหนีตายไพร้อมกับราชบริพารไม่กี่คนไปยังเกาะกลางทะเลสาบและสวรรคตที่นั้น

images
          ในการทำลายล้างอย่างหนักนั้น บรรดาขุนนางชาวจีนทูลว่าพระองค์ควรจะปกคองจักรวรรดิด้วยหลักธรรมการปกครองจากบรรดปราชญ์และปัญญาชนไม่ใช่ด้วยคมดาบและกองทัพอย่างเดียวไม่ ปรมาจารย์ในตำนาน“ชิวชู่จี” จึงปรากฎกายขึ้น
“การสยบสรรพสิ่งในใต้หล้าหาใช่การเข่นฆ่าสรรพชีวิตไม่  จงปกครองแผ่นอินโดยการเคารพวิถีแห่งสวรรค์ แลมีความรักต่อปวงประชาเป็นที่ตั้ง”
คำสอนของ “ฉางชุน”ขัดกับนโยบายมองโกลโดยสิ้นเชิง แต่ะทว่าเป็นคำสอนที่ได้รับการยอมรับ และ “ฉางชุนได้ตำแหน่างราชครูแห่งราชสำนักมองโกล”

      และในช่วงเวลาเดียวกันนี้กองทัพมองโกลที่ออกล่าสุชต่านโมฮัมเหม็ดชาห์ยังคลรุกไล่ออกไปไกลเรื่อยๆ จนถึงพรมแดนประเทศอิรักแล้วยกวกขึ้นเหนือไปตีชน “เผ่าบุลการ์” ที่อาศัยดินแดนในรัสเซียทางใต้
       ขุนพลมองโกลที่ทำหน้าที่ไล่ล่า คือ “ซีเป โนยอน” ขุนพลธนูมือฉมัง และ “สุโบไต บาฮาดูร์” สุโบไต ตาเดียว ผู้เก่งกล้างและโหดอำมหิต
       กลยุทธคือการใช้ทัพม้าเบาตีล่อระหว่างฝั่งแม่น้ำเมือตามมาก็หนีข้ามแม่น้ำยั่วยุอีกฝ่ายให้โมโห จึงส่งทัพเต็มอัตราเข้าโจมตี มองจึงใช้ทหารม้าหนักซึ่งซุ่มอยู่รอโอกาสและจังหวะที่เหมาะสมในที่สุดก็เป็นฝ่ายได้ชัยชนะ
       ที่เอเซียกลางในเวลาเดียวกัน บรรดขุนศึกที่รองชีวิตนั้นต่างพยายามรวบรวมกองทัพเพื่อู้อาณาจักรโดยมีองค์รัชทายาทของสุลต่านโมฮัมเหม็ด ชาฆ์ พระองค์หนึ่งบังคงรอดชีวิตอยู่เป็นผุ้นำขบวนการ มีนามว่า “เจลัล อัคดิน” ทรงรวบรวมกองทัพจากบบรดาผู้ลีภัยและบ้านเมืองที่หลงเหลือจากการรุกรานของมองโกล กองทัพมุสลิมจากดินแดนต่าง ๆ อาทิ อัพกัน เติร์ก เปอร์เซีย และยังมีกองทหารอาสาจากรัฐสุลต่าลแห่งเดลีในอินเดียมาเข้าร่วมกองทัพด้วยมีกำลังนับแสน คือ มากกว่ามองโกลหลายเท่าตัว…ในครั้งนี้ทัพมุสลิมมีชัยครั้งใหญ่เหนือกองทัพมองดกล ณ “สมรภมปาวัน” จึงทำให้มีมุสลิมจากดินแดนต่าง ๆ มาเข้าร่วมกองทัพเรื่อยๆ บรรดานครรัฐต่อต้านมองโกลที่รักษาการณ์เมืองอย่างหนัก จึงต้องถอยกลับทัพหลวง
        เจงกิสข่าน “ทรงกริ้ว” จึงบัญชาให้เจ้าชายตูลิ โอรสพระองค์เล็ก นำทัพไปปราบปราม ซึ่งสุดท้ายแล้วกองทัพพันธมิตรมุสลิมสลายตัวไป เจ้าชายเจลัล หนีรอดไปได้ เจงกิสข่านทรงนำทัพ
“ล่า” ด้วยพระองค์เอง
         กองทัพมองโกลตามล่าทัพพันธมิตรอิสลามจนถึงริมแม่น้ำสินธุพรมแดนอินเดีย เจ้าชายเจลัลจึงสังเผาเรื่อข้ามฝากทุกลำเพื่อไม่ให้ทหารคิดหนี
         นับว่าได้ผล การสู้แบบจนตรอกทำให้กองทัพมองโกลถอยล่นกลับไป แต่มองโกลไม่รอให้พันธมิตรอิสลามได้ใจไปกว่านั้น ยกพลมาทั้งสองปีกบดขยี้พินาสสิ้น..เจ้าชายเจลัลหนีไปได้
         เจงกิสข่านกลับเข้ามาจัดการการบริหารและปกครองที่เมืองซามาร์คันต์ โดยให้ผู้อพยพกลับเข้ามาอยู่ในเมืองพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลในการกระทำของพระองค์..ทางด้านกองทัพมองโกลที่ยังตามล่าเจ้าชายเจลัลนั้นข้ามแม่น้ำสินธุเข้าไปถึงดินแดนอินเดีย แต่ถูกกองทัพสุลต่านแห่งเดลียันไว้ การไล่ล่าในอินเดียจึงสิ้นสุดลง…หลังจากทำศึกอย่างยาวนาน ในดินแดนเอเซียกลางเจงกิสข่านจึงยกทัพกลับทุ่งหญ้ามองโกล ..

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

Самарқанд


           ซามาร์คันต์ เป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งในเอเชียกลาง ตั้งอยู่ในประเทศอุซเบกิสถาน เป็นโอเดซิสซึ่งได้รับน้ำมาจากคลองที่ขุดมาจากแม่น้ำซารัฟชาน ชื่อเดิมเขงเมืองซารม์คันด็ คือ เมืองมารกันดะ  329 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าเอล็กซานเดอร์มหาราช เสด็จผ่านเมืองนี้เพื่อทีจะเดินทางไปอินเดีย จึงยึดไว้ ต่อมาพวก เติร์ก  อาหรับ และเปอร์เซีย ก็เข้าปกครองเมืองนี้ต่อ ๆ กันมา เมืองซามาร์คันด์แห่งนี้เจริญรุ่งเรืองสูงสุดในยุคกลาง และในปี ค.ศ. 1215 เจงกิสข่านแผ่อาณาจักเข้าควบคุมเส้นทางสายไหม แล้วได้ยึดซามาร์คันด์ในปี ค.ศ. 1221....
            เมืองซามาร์คันต์ ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า เซมิซ-เคนท์ แปลว่าจุดที่แม่น้ำตัดกัน ได้ชื่อว่าเป็น"อัญมณีแห่งอิสลาม"เป็นเมืองใหญ่อันดับสองรองจากทาชเคนท์ จากผลพวงความรุ่งเรืองของ "ทางสายไหม"ซามาร์คันต์ได้กลายเป็นเมืองสำคัญที่สุดในแถบนี้ มีการสร้างแนวกำแพงเมืองโอบล้อมทั้ง 4 ด้านและยังมีเสรีภาพทางศาสนา ที่นี่ มีทั้งวัิและโบสถ์ของโซโรแอสเตอร์ ศาสนาดั้งเดิม พุทธศาสนาและคริสตศาสนา ในศตวรรษที่ 9-10 เริ่มเป็นศูนย์กลางของศสนาอิสลามตะวันออก..
           กิมย้งได้พรรณนาภาพเมืองซามาร์คันต์ ในยุคนั้นในหนังสือ "มังกรหยกภาค 1 "  ตอนเจงกิสข่านยกทัพบุกยึดเมืองนี้ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ "ฮัวชื่อจือมอ" กลางดินแดนเมาะปักหรือทะเลทรายตอนเหนือว่า "... เป็นนครเลื่องชื่อของฮัวชื่อจือมอที่เพิ่งยกขึ้นเป็นเมืองหลวงใหม่..การจัดทหารจำนวนสิบกว่าหมื่นคอยเฝ้ารักษา สะสะมอาวุธกักตุนเสบียง วางมาตรการป้องกันอย่างแข็งขัน ความหนาแน่นแข็งแกร่งของกำแพงเมือง ยิ่งไม่มีนครใดในแผ่นดินจะเทียบเคียงได้"
".... ยอดเขาหิมะมีลักษณะประหลาด สูงชะลูดโดดเด่นอยู่กลางทุ่งหญ้า ค้ายพฤกษาใหญ่ที่ไร้กิ่งไร้ใบต้นหนึ่ง ชาวพื้นเมืองจึงขนานนามว่าเท็กบักฮง (ยอดเขาไม้โกร๋น) เมืองซามาการต์ปลูกอิงเชิงเขา กำแพงเมืองตะวันตกพึ่งพิงผนังผาด้านหนึ่ง ทั้งประหยัดค่าก่อสร้าง หนำซ้ำมั่นคงแข็งแรง แสดงออกถึงภูมิปัญญาของสถาปนิกที่สร้างเมืองนี้ ยอดเขาไม้โกร๋นมีลักษณะลาดชัน ประกอบด้วยหินแข็งแกร่ง ปราศจากต้อนไม่ใบหญ้างอกเงย ต่อให้เป็นลิงค่างยังไม่สามารถปีนป่ายขึ้นไม่"
           จงกิสได้รู้จากพ่อค้าจากแดนไกลว่าิดินแดนของพวกเขาอุดมสมบูรณ์ตลอดปี เจงกิสข่านจึงส่งทูตและพ่อค้าไปเจริญสัมพันธไมตรีกว่า 40 คน
           ชาร์โมฮัมเม์ด กษัตริยืผู้พิชิตแห่งเปอร์เซีย ขึ้นครองบัลลังค์โดยการปราบดาภิเศก เมื่อคณะทูต มองดกลมาถึงคณะทูตถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับ จึงถูกประหารทั้งหมดเหลือเพียงหัวหน้าทูต คนเดียว  เมื่อห้วหน้าทูตกลับมาถึงมองโกล เจงกิสข่านโกรธเกรี้ยวอย่างมาก โดยตามธรรมเนียมมองโกล ทูต คือตัวแทนกษัตริย์การทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย 
           เจงกิสข่านจึงจัดทัพเพื่อทำสงคราม โดยระยะทางในการเดินทางกว่า 1,700 ไมล์ หากพิจารณาตามพ้อนเพเดิมแล้ว เจงกิสข่านเป็นเพียงหัวหน้าเผ่ามองโกลเร่รอ่นเผ่าเล็ก ๆ อาศัยอยู่ในเต็นท์ ไม่มีบ้านเมืองของตนเอง แต่สามรถปราบปรามจักรวรรดิต่าง ๆ ได้ราบคาบอย่างง่ายดาย ซึ่่งเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ การบุกเมืองซามาร์คันต์ ซึ่งเป็นเมืองระดับมหานคร เจงกิสข่านมีเพียงกองทัพม้พเีพียง 80,000คน 
          เมื่อยึดเมืองได้ ก็สั่งเผาเมือง และไล่ฆ่าผู้คนนับแสน เหลือไว้เฉพาะช่างฝีมือ และผู้มีความรู้เพียง 30,000 คน และนำคนเหล่านี้กลับไปยังมองโกลเลียเพื่อเป็นทรัพยากรบุคคลของชาติต่อไป..
         หลังจากหมดอำนาจ จักรวรรดิมองโกล ในปี ค.ศ. 1910 ติ
มูร์ เลงค์ ข่านเป็นผู้นำความรุ่งฌรจน์คืนสู่จักรวรรดิดังเดิม จึงนำทัพเข้ายึดดินแดนตั้งแต่ทะเลดำไปจรดลุ่มน้ำสินธุ บุกทำลาย
         บ้านเมืองจนสิ้นซาก ฆ่าฟันผู้คนจนสิ้นเมือง แล้วนำกะโหลกมากองสร้างเป็นพีระมิต เหลือไว้เพียงช่างฝีมือเพื่อ โดยส่งช่างเหล่านี้มานิรมิตซามาร์คันต์ให้กลายเป็นนครที่สวยงามอีกครั้ง...
        ต่อมาในรัชสมัยของพระเจ้าอุลุค เบก ซามาร์คันต์ได้กลายเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและวิทยาการ  พระเจ้าอุลุค เบก ถูกลอบปลงพระชนม์ หลังจากนั้นนครนี้ก็ได้เสื่อมถอยอย่างรวดเร็วพร้อมกับเส้นทางสายไหมได้ปิดลง  ในปี ค.ศ.1500 จึงตกเป็นของมองโกล โดยถูกพวกโกลเด้น ฮอร์ด เข้ายึดครองในคริสตวรรษที่ 19 ตกเป็นของรัฐเีซีย มีการตัดเส้นทางรถไปในปี 1896 และกลายเป็นศูนย์กลางทางการส่งออกสินค้าการเกษตร ภายหลังดินแดนี้ได้ถูกแยกกลายเป็นส่วนหนึ่งของประทเศอุซเบกิสถานปัจจุบันและเป็นมรดกโลก








Dliplomacy

          การทูตเป็นศิลปะและทักษะ ในการเจรจา สนทนา สื่อสาร รวมถึงการติดต่อการค้าต่าง ๆ ระหว่างบุคคลที่ได้รับรองอย่างเป็นทางการให้เป็นตัวแทนการเจรจา
          ทูต ในปัจจุบันเป็ฯอาชีพที่มีเกียรติสูงยิ่ง เนื่องจากเป็นผู้ทำหน้าที่เจรจาความเมืองระหว่างรัฐ เริ่มจากการส่งข่าวสื่อสารระหว่างกันของรัฐต่อรัฐ
           สมัยโบราณบันทึกทางการทูตปรากฎวามีผู้ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างรัฐมาตั้งแต่สมัยนครรัฐเมโสโปเตเมีย โดยเป็นผู้แทนส่งสาร์นและนำเครื่องบรรณาการต่างๆไปถวายยังรัฐอื่น
Ivan_vs_khan           จักรวรรดิมองโกลนับแต่ยุคเจงกิสข่าน สิทธิและเสรีภาพทางการทูตเป็นมาตรฐานสากล โดยหากแค้วนใดดูหมิ่นหรือทำร้ายทูตมองโกล แค้วนนั้นจะถูกฆ่าล้างเมืองโดยไม่ปรานีพ่อค้าบางคนที่ถือสารทางการทูต จะได้รับป้ายที่เรียกว่า ไพซา เพื่อยกเว้นการเก็บภาษีและบังคับให้แคว้นต่าง ๆ ที่เดินทางฝ่านต้องคุ้มครองเป็นพิเศษ โดยใช้กำลังอำนาจกองทัพมองโกล
           เหตุการณ์ สุลต่านแห่งควารัสม์ ที่ปล่อยให้เจ้าเทืองรอบนอกดังปล้นทูตของมองโกลแล้วเพิกเฉยไม่ลงโทษ ในที่สุดจักรวรรดิควาริสม์จึงต้องล้มสลายภายในเวลาเพียง สามปี




 


 


   “เหตุการณ์ทำนองนี้เคยมีมาก่อนแล้วในประวัติศาสตร์ ในยุคโรมัน โรมันกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไว้ในกฎหมาย Jus Gentium หรือประมวลกฎหมายที่ใช้บังคับกับคนนอกสัญชาติโรมัน การส่งข้าหลวง หรือทูตต่างพระเนตรพระกรรณซีซาร์ จะได้รับความมคุ้มครองเป็นอย่างยิ่ง หากแค้วนใดปฏิเสธหรือทำร้ายทูตของโรมัน จะถูกกองทัพโรมันบดขยี้ (อย่างโหดเหี้ยมป ดังเช่น ในสงครามมีเดีย หรือสงครามยิว”
          เมื่อจักรวรรดิมองโกลรุ่งโรจน์ถึงที่สุด สันติภาพของมองโกล Pax Mongolica เป็นต้นแบบการคุ้มครองผุ้เจรจาการทูต
     - แรบเบน บาร์ ชอว์มา แห่งราชวำนักมองโกล สามารถเดินทางจากนครหลวงข่านบาลิก(ปักกิ่งในปัจจุบัน) มาถึงกรุงลอนดอนเพื่อร่วมพิธีราชาภิเษก พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่หนึ่งแห่งอักกฤษโดยปลอดภัย
     - เฟรียร์ แพทพีนี สามารถเดนทางมายังคาราโครัมเพื่อสนทนาโต้วาที่ทางศาสนากับนักบวชในศาสนาอื่นและเดินทางกลับอย่างปลอดภัย

     - ในบันทึกพ่อค้ามุสลิมกล่าวไว้ว่า ไม่มีที่ใดในจักรวรรดิมองโกลที่เป็นอันตรายต่อพ่อค้าและทูต ความสงบทางการทูตเช่นนนี้บันดาลใจให้ มาร์โค โปโล เดินทางมุ่งตะวันออกผ่านเส้นทางสายไหมและกลับมาอย่างปลอดภัย…

           จากอิทธิพลของมองโกล การล่มสลายของลัทธิฟิวดัล และการปฏิรูปวัฒนธรรมในยุคเรอเนสซอง ทำให้ทูตกลับมามีเกียรติอีกครั้งในฐานะนักเจรจาผู้แทนองค์กษัตริย์ ในอิตาลียุคศตวรรษที 15 ทูตและนักเจรจามีบทบาทในการทำสนธิสัญญาพันธมิตรในการรบ และต่อรองผลประโยชน์ระหว่างนครรัฐ

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

The Black Death

คาฟา คือสถานที่แห่งหนึ่งในยูเครน (ปัจจุบัน คือ ฟิโอโดสิจา) ซึ่งได้ถูกโจมตีด้วยอาวุธเชื้อโรคครั้งร้ายแรงมาก โดยกองกำลังมองโกลแห่งกองทัพข่านสีทอง และคาทาได้ถูกทำลายในที่สุดในปี ค.ศ. 1266
      คาฟาคือเมืองท่าสำคัญของเผ่าจีโนซีย์ แห่งทะเลดำ ซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่ทำให้กรีกหรืออิตาเลี่ยนสามารถเดินทางไปเมืองทาน่าได้ ความสัมพันธ์ระหว่างโรมันและมองโกลเลียนนั้นไม่สู้ดีนัก ในปี 1307 Toqtai Khan บุกจับตัวข้าราชการโรมันที่ดูแลเป็นตัวประกัน และปิดล้อมคาฟา เนื่อจากไม่พอใจกับการกระทำที่อิตาเลี่ยนขายทาส ชาวตุรกีไปที่ Mameluke Sultanatein เป็นการเพิ่มกำลังให้กับ จิโนซีย์ แต่ในปี 1308 มองโกลได้เผาเมืองนั้นทิ้ง ความสัมพันธ์ของทั้งสองเมืองคงตรึงเครียดกระทั้ง ทอร์กไทข่าน เสียชีวิต
      ในปี ค.ศ. 1343 มองโกลนำโดย เจนิเบ็ก ผู้สำเร็จราชการนำทัพบุกเข้าล้อมคาฟา จนกระทั้งมองโกลสูญเสียทหาร แสนห้าหมื่นนาย และถอยทัพกลับไป
      มองโกลนำทัพกลับมาใหม่ในปี 1345 แต่ต้องพ่ายแพ้กลับไปอีกครั้ง หนึ่งปีจากนั้น มองโกลนำทัพกลับมาพร้อมกับอาวุธเชื้อโรค คือการใช้เชื้อกาฬโรคเป็นอาวุธ…
       มองโกลใช้ซากศพทหารที่ตายด้วยโรคห่าแทนก้อนหินยิงข้ามกำแพงเมืองเข้าไปในกำแพงเมืองคาฟา ผู้คนพากันแตกตื่นกับสภาพศพที่เห็น เนื้อตัวเป็นตุ่มพุพองช้ำเลือดช้ำหนองเน่าแฟะ และยังแพร่เชื่อโรคระบาดสู่ชาวเมือง ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนวมาก ที่เหลือก็พากันทิ้งเมืองหนี
      หลังจาก คาฟาแตกแล้วมองโกลเคลื่อนทัพเข้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนและยังใช้วิธีการเดียวกันในการโจมตี เกาะซิซิลี และยุโรปตะวันออก เพียงเวลา 3 ปี ในการทำสงคราม คาดว่ามีผู้คนล้มตายด้วยกาฬโรคไม่ต่ำกว่า 25 ล้านคน
      ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการนำอาวุธเชื้อโรคเข้ามาทำสงคราม
       กาฬโรค มีสาเหตุมาจากเชื้อแบททีเรีย เยอซีเนีย แพสทิซ ซึ่งแพร่ระบาดอยู่ในสัตว์จำพวกหนู ในแถบตอนกลางของเอเซีย แต่ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าเป็นที่ได มีทฤษฎีกล่าวไว้ว่า ในทุ่งล้างแถบเอเซีย ประมาณช่วงตอนบนของประเทศจีน จากที่นั้นเดินทางมาจากทั้งทางทิศตะวันออก และทางทิศตะวันตกตาม เส้น “ทางสายไหม” กองทัพและพ่อค้ามองโกล สามารถใช้เส้นทางนี้ได้จากบารมีของราชอาณาจักรมองโกล ภายใต้สนธิสัญญาแพค มองโกลลิกา  Pax Mongolica ที่จะรับรองความปลอดภัย ซึ่งมีคำเปรียบเปรยไว้ว่า “เมื่อหญิงใดเดินเปลื่อยกายผ่านเส้นทางนี้ก็จะปลอดภัย แม้ชายใดถือทองคำใส่กระจาดทูนไว้บนหัวก็จะไม่ถูกปล้น”
      กรณี เดอะ แบล็กเดธ คล้ายกับสงครามที่เกิดที่ประเทศจีน ระหว่างกองทัพจีน กับกองทัพมองโกล ในช่วงปี 1205-1353 สงครามนี้ขัดขวางการทำเกษตรและการค้า ทำให้เกิดภาวะอดอยากไปทั่ว และยังมีเหตุการณ์ยุคนำแข็งน้อย ที่กล่าวถึงสภาวะอาอาศที่เลวร้ายอย่างมาก..
      การแพร่ระบาดในยุโรป ในปี 1347 กองเรือสินค้าที่อพยพมาจากเมือง คาฟา มาที่เมือง เมซซิน่า ประเทศอิตาลี่ ในเวลาที่เรื่อเทียบท่า ลูกเรือทุกคนติดเชื้อหรือเสียชีวิตแล้ว จึงสันนิษฐานว่า เรื่อได้นำหนูติดเชื้อที่เป็นพาหะนำโรคมาด้วย เรือบางลำยังไม่เทียบท่า แต่กลายเป็นเรื่อร้าง เพราะว่าทุกคนบนเรือเสียชีวิตทั่งหมด..
       จากอิตาลีแพร่ระบาดไปไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ข้ามยุโรป ผรั่งเศส สเปน โปรตุเกส และอังกฤษ พฤษภา ปี 1348 ..หลังจากนั้น ก็แพร่กระจายไปทาง ทิศตะวันออกไปยังประเทศเยอรมนี และแถบสแกนดิเนเวีย ในช่วงปี ค.ศ. 1348-1350 พบการแพร่ระบาดที่ นอร์เวย์ และในที่สุดก็ระบาดมายัง ตะวันตกเฉียงเหนือ ของรัศเซีย
     การแพร่ระบาดในตะวันออกกลาง โดยแพร่ระบาดจากทางตอนใต้ของรัสเซีย ปี ค.ศ. 1347 การแพร่ระบาดได้เข้ามาถึง อเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ปี ค.ศ. 1348 การระบาดลุกลามทางตะวันออกถึงกาซา และทางเหนือตลอดชายฝั่งทางตะวันออกของ เลบานอน ซีเรีย ปาเลสไตน์ รวมทั้ง อาช เยรูซาเล็ม วิคอน ดามัวคัน ฮอมส์ อเลปโป และในปี ค.ศ. 1348-1349 โรคระบาดก็ได้เข้ามาถึง แอนทิออซ ซึ่งประชาชนเสียชีวิตระหว่างการเดินทางอพยพ
      นครเมกกะ กลายเป็นแหล่งแพร่ระบาด ซึ่งในปีเดียเดียวกันนี้ จากบันทึกได้แสดงให้เห็นถึง เมืองโมซุลที่ตกอยู่ภายใต้ภาวะโรคบาดร้ายแรง และนครแบกแดดต้องพบกับการแพร่ระบาดเป็นรอบสอง …

       สมมติฐานเกี่ยวกับผลของเหตุการณ์ เดอะ แบล็กเด็ธ ว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ช่วง หลังศตวรรษที่ 14-15 ศาสนจักรเสือมอำนาจลง ผู้ดำรงตำแหน่งทางสังคมเปลี่ยนจากพวกศาสนจักร เป็นสามัญชนและทำให้เกิดการประท้วงของชนชั้นสามัญไปทั่วทั้งยุโรป
      การสูยญสียประชากรอย่างมากนั้น  ทำให้เกิดการแข่งขันแย่งชิงแรงงานระหว่างเจ้าของที่ดิน โดยการเพิ่มค่าแรง และสวัสดิการแรงงานเพื่อดึงดูดใจแรงงานที่มีอยู่อย่างจำกัด จากภาวะขาดแคลนแรงงานนี้เอง ทำให้ชนชั้นสามัญมีโอกาสเรียกร้องสิทธิที่มากขึ้น และเป็นเวลากว่า 120 ปี ประชากรยุโรปจึงเพิ่มจำนวนขึ้นอีกครั้ง

     อาวุธเชื้อโรค Bioterorism weapon หมายถึง อาวุธที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูง ทำให้คนจำนวนมากในพื้นที่กว้างได้รับบาดเจ็บ ป่วย และตาย เป็นอาวุธที่แตกต่างจากอาวุธประเภทอื่น คือ มีการบรรจุสิ่งมีวิตไว้ข้างใน ในทางทหารนั้น จุลินทรีย์ที่สามารถนำมาผลิตเป็นอาวุธชีวภาพได้ ต้องมี คุณสมบัติผลิตง่าย ต้นทุนต่ำมีความคงทนในการผลิต เก็บรักษาไว้ได้นาน โดยไม่เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติ และเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง
   การรบโดยใช้อาวุธชีวภาพกระทำได้ 3 วิธี
- การปล่อยกระจายเป็นแอโรซอล โดยการใช้สเปรย์ หรือวัตถุระบิดให้กระจายอยู่ในอากาศ..
- การปล่อยกระจายไปกับสัตว์พาหะจะใช้วิธีการทำให้สัตว์ที่ดูดเลือดเป็นอาหาร ให้ตัวสัตว์นั้นติดเชื้อ แล้วจึงปล่อยให้สัตว์เหล่านั้นเข้าไปในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อให้สัตว์ที่เป็นพาหะนำสารชีวะเข้าสู่ร่างกาย มนุษย์ เช่น ยุง หมัด เห็บ เหา ไร ..
- การก่อวินาสกรรม หรือปล่อยกระจายโดยวิธีปกปิด

      จุดประสงค์การใช้อาวุธชีวภาพในสงครามนั้น คือ ผู้ใช้ต้องการทำให้ประชาชน สัตว์เลี้ยง หรือพืชผลของฝ่ายตรงข้ามเป็นโรค และตาย โดยการโจมตีมนุษย์เป็นการกระทำโดยตรงเพื่อลดอำนาจกำลังรบ ส่วนการโจมตีสัตว์เลี้ยง และพืชผลเป็นการกระทำทางอ้อมเพื่อต้องการลดทอนความสามารถในการทำสงคราม  และทำลายขวัญ
      เชื้อ
สำหรับจุลินทรีย์ที่มีศักยภาพในการผลิตเป็นอาวุธ และเป็นสารทำอันตรายมนุษย์ คือ แบคทีเรียคีเกทเซีย และ ไวรัส โดยเฉพาะจุลินทรีย์ก่อโรคติดต่อระหว่างสัตว์ และมนุษย์ เพราะมีข้อได้เปรียบกว่าโรคติดต่อเฉพาะมนุษย์ คือ มีภูมิต้านทานโรคเหล่านี้ต่ำ และแพทย์เองก็ไม่ค่อยชำนาญในการวินิจฉัย และการรักษาโรคเหล่านี้ ส่วนใหญ่ยังไม่มียาป้องกัน  และวิธีการรักษาก็ไม่ได้พัฒนาไปมากนัก
      เชื้อแบคทีเรีย เช่น แอนแทรกซ์ มีชื่อว่า Bacillus anthracis มีการสืบพันธุ์โดยการสร้างสปอร์เมือตกไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จะบ่มตัวอย่างรวดเร็ว และสามารถสร้างเกราะหุ้มได้ ทำให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี  ฟักตัวอยู่ในดินนานนับ 10 ปี หากตกอยู่ในพื้นที่ใดจะทำให้พื้นที่นั้น ๆ ไม่สามารถใช้งานทางปศุสัตว์ได้อย่างน้อย 2-3 ปี
      เชื้อดังกล่าวจะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบเลือด และทางเดินหายใจ เมื่อรับเชื้อผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนไข้หวัด มีนำมูกไหล หลังจากนั้นจะช็อก หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด การรักษาทำได้โดยใช้ยาปฏิชีวนะ การป้องกันทำได้โดยฉีดวัคซีน
     Ebola เป็นสาเหตุของ Ebola hemorrhagic fever เกิดจากเชื้อไวรัสที่เป็นอันตราย
     สารพิษ toxin  สารพิษไรซิน สกัดจากเมล็ดละหุ่ง ใช้เป็นยาปราบศัตรูพิช สารดังกล่าวจะไปยับยั้งการผลิตโปรตีนของเซลล์ในร่างกาย ผู้ที่ได้รับพิษจะเสียชีวิตเนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างโปรตีนที่จำเป็นในการดำรงชีวิตได้
     ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี ค.ศ.  1931 พบว่า กองทัพญีปุ่นได้จัดตั้งหน่วย731 หรือหน่วยสงครามชีวะ ที่เมืองฮาบิน ประเทศจีน ซึ่งญี่ปุ่นได้เข้ายึดครอง
     การทดลองอาวุธชีวะ Unit 731 วิธีการทดลองคือ เป็นการทำให้ติดเชื้อ นำร่างกายบางส่วนไปแช่หิมะ แล้วนำไปสัมผัสกับเชื้อโรค หน่วยนี้ประกอบด้วยหน่วยรอง ประมาณ 18 แห่ง ทำหน้าที่ทดลองอาวุธชีวะ ครั้งนั้นมีประมาณการว่า เชลยศึกนับหมื่นคนถูกนำไปทดลอง และมีผู้เสียชีวิตจากการทดลองหลายพันคนขณะเดียวกัน กองทัพญี่ปุ่นยังได้เข้าตั้งสถานีวิจัยอาวุธชีวะสิงคโปร์ เพื่อทำการวิจัยเกี่ยวกับกาฬโรค …

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

system

ความหมายของระบบ คือ ระเบียบเกี่ยกับการรวมสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมีลักษณะซับซ้อนให้เจ้าลำดับประสานเป็นอันเดียวกันตามหลักเหตุผลทางวิชาการ หรือหมายถึงปรากฎการณ์ทางธรรมชาติซึ่งมีความสัมพันธ์ ประสานเข้ากัน โดยกำหนดรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
      ระบบ คือ กระบวนการต่าง ๆ ที่อยู่ในเครื่อข่ายเดียวกันและมีความสัมพันธ์กันระหว่างกระบวนการเหล่านั้น และเชื่อมต่อกันเพื่อทำงานใดงานหนึ่งให้บรรลุถึงเป้าหมายที่วางไว้

Hybrid Assistive Limb ชุด ช่วยลดความาเสี่ยงจากการทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมอันตราย โดยมีระบบสอดส่องแรงกระตุ้นจากระบบไฟฟ้าของร่างกาย โดยคาดเดาการเคลื่อนไหวทำให้ไม่รู้สึกหนัก
      ระบบ คือ กลุ่มขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกัน เพื่อจุดประสงค์อันเดียวกันและเพื่อให้เข้าใจในความหมายจองคำว่าระบบที่จะต้องทำการวิเคราะห์จึงต้องเข้าใจลักษณะของระบบก่อน

     ระบบเปิด คือระบบที่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสภาำพแวดล้อม มีการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลกับสิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งพยายามปรับตัวเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในให้อยู่รอดได้  เช่น ระบบธุรกิจทั้งหมด
      ระบบปิด คือระบบที่ไม่ต้องสนองต่อสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การทำลองในห้องปฏิบัติการ

องค์ประกอบขอ้งระบบมี 4 ส่วน คือ
ส่วนนำเข้า Input  คือ ทรัพยากรหรือสิ่งที่จำเป็น เพื่อนำเข้าสู่ระบบแล้วก่อให้เกิดกระบวนการขึ้น
ส่วนกระบวนการหรือ Processing   ส่วนที่ทำหน้าทที่แปรสภาพ หรือประมวลผล โดยอาศัยส่วนนำเข้าของระบบแปรสภาพเป็นผลลัพธ์ที่ต้องการ
 ส่วนผลลัพธ์ Out put คือ ส่วนที่ต้องการจากระบบ ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของระบบ
และส่วนป้อนกลับ Feed back  เป็นส่วนที่ใช้ในการควบคุมการทำงานของกระบวนการ เพื่อให้การทำงานของระบบบรรจุเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยนำเอาส่วนผลลัพธ์ไปเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ จากนั้นนำผลที่ได้จากการเปรียบเทียบไปปรับปรุงส่วนนำเข้าหรือกระบวนการ

      ระบบเป็นหน่วยของการศึกษาที่สำคัญ เพราะในตัวมันเองมีความหมายชวนให้ผู้อื่นคิดถึงความเป็นแบบแผน ที่สามารถหยิบยกระบบและองค์ประกอบของระบบมาใ้ช้ในการศึกษา ดังนั้นในการศึกษาด้านสังคมศาสตร์จึงนิยมนำทฤษฎีระบบมาใช้มากขึ้น โดยเฉพาะในรัฐศาสตร์ การนำทฤษฎีระบบมาใช้ทำให้รัฐศาสตร์มีความเป็นศาสตร์ และเป็นสาขาที่ได้รับการยอมรับ เป็นต้น
   แนวคิดเรื่องระบบ
เดวิด แอสตัน ให้ความสนใจกับเรื่อง"กระบวนการ"ซึ่งเป็นพื้นฐานของชีิวิตที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งปวง ฉะนั้นจึงพยายามที่จะนำทฤษฎีวิเคราะห์ระบบเข้ามาช่วยอธิบาย ชีวิตในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองว่าเป็น"ระบบพฤติกรรม"พฤติกรรมในที่นี้เป็นเรื่องของการกระทำที่มุ่งไปทาง "การจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าให้แก่สังคมโดยมีผลผูกพันหรือบังคับ"
แนวทางการวิเคราะห์ระบบนั้นมีฐานความเชื่อที่สำคัญ 4 ประการ คือ
-ระบบ ให้ถือว่า ชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเป็น "ระบบพฤติกรรม"อย่างหนึ่ง
- สิ่งแวดล้อม  ถือว่าระบบแยกออกจากสิ่งแวดล้อมได้ในแง่ของการศึกษา แต่ระบบจะเปิดรับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา
- การตอบสนอง เป็นเรื่องของการควบคุมหรือจัดการของระบบต่อ"สิ่งที่ก่อให้เกิดความตึงเครียด"ต่อระบบ
- การสะท้อนป้อนกลับ "ฟีดแบ็ค"ถือว่าเป็นความสามารถของระบบ ที่จะรักษาตนเองให้ดำรงอยู่ได้ในสภาวะที่มีความตึงเครียด ทั้งนี้โดยอาศัยข้อมูลและอิทธิพลใดๆ ก็ตามที่จะกลับไปสู้ผู้กระทำการเรียกร้องต่อระบบ รวมทั้งกลับไปสู้ผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินใจของระบบ

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...