10 พฤษภาคม 1940 เยอรมันบุกฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เนอเธอร์แลนและลักเซมเบิรก เนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยมพ่ายด้วยยุทธวิธีบลิทซครีก Blitzkrieg ซึ่งเป็นการโจมตีอย่างรวดเร็วซึ่งพัฒนาขึ้นโดยชาติต่างๆ ระหว่างศตวรรษที่ 20 และนำมาใช้หลายปีกลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งโดยเยอรมนีใช้วิธีการนี้มากที่สุด บลิทซครีกที่โดเด่นในประวัติศาสตร์การทหารคือช่วงเวลาเริ่มต้นของสงคาโลกครั้งที่สอง บริซครีกของเยอรมันมีประสทิธิภาพมากในแนวรบด้านตะวันตกและในแนวรบด้านตะวันออกช่วงแรกๆ กองทัพส่วนใหญ่ไม่ทันระวังตัว และขากการป้องกันซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเยอรมัน
รูปแบบบลิทซคลิก โดยทั่วไป คือ การใช้ความรวดเร็วมากว่าใช้ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าและยังเป็นการใช้รูปแบบผสม หรือก็คือ การใช้ยานเกราะเคลื่อนที่เร็วร่วมกับทหารราบประสทิธิภาพของยานเกราะ การพัฒนาของการติดต่อสื่อสารรวมไปถึงการบัญชาการอย่างมีประสิทธิภาพ
เยอรมันพยายามหลีกเลี่ยการรบซึ่งหน้าเพื่อที่จะทำลายขวัญกำลังใจ การติดต่อสื่อสารและประสทิธิภาพการตัดสินใจของข้าศึก การใช้ความสามารถในการโจมตีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพผสมกับความไม่ทันระวังของศัตรูทำให้ศูน์บัญชาการของศัตรูปั่นป่วน
หัวใจสำคัญของกลยุทธ์คือ กองกำลังรถถังและความสามารถด้านทัพอากาศหากศัตรูได้ระวังตัวก่อนทำให้บลิทซคลรีกล้มเหลว
เบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนพ่านแพ้ในเวลาเพียงไม่กี่วันและไม่กี่สัปดาห์ตามลำดับ
บลิทซครีก เป็นการโจมตีกย่างรดวเร็วประกอบด้วยการทิ้งระเบิดโดยเครื่องบินรบก่อนที่จะใช้ยามเกราะบุกเข้าโจมตีอย่างรวดเร็วและสร้าคงามประหลาดใจให้แก่ฝ่ายข้าศึกทำให้ฝ่ายตั้งรับไม่มีเวลาที่จะตรียมการป้องกันใด ๆ แนววคิดบลิทซครีกนั้นถูกพัฒนาโดยชาติต่าง ๆ ระว่างศตวรรษที่ 20 และถูกนำออกมาใช้หลายปีกลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเยอรมนีมากที่สุด เพื่อเป็นการป้องกันการทำการศึกยืดเยื้อ บลิททซครีกที่โดดเด่นในประวัติศาสตร์การทหาร คือ ช่วงเวลาเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง
บลิทซครีกของฝ่ายเยอรมนีนั้นมีประสิทธิภาพมากในแนวรบด้านตะวันตกและในแนวรบด้านตะวันออกช่วงแรกๆ ทำให้กองทัพส่วนใหญ่ไม่ทันระวังตัว และขาดการป้องกันซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการรบของฝ่ายเยอรมนี
รุปแบบ โดยทั่วไปของบลิทซครีก คือ การใช้ความรวดเร็วมากว่าใช้ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าและเป็นการใช้รูปแบบการรบแบบผสม หรือก็คือ การใช้ยานเกราะเคลื่อนที่เร็วร่วมกับทหารราบปืนใหญ่และกำลังสนับสนุนทางอากาศ ยุทธวิธีดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความเร็วในการโจมตีประสิทธิภาพของยานเกราะ การพัฒนาของการติดต่อสื่อสารรวมไปถึงการบัญชาการอย่างมีประสิทธิภาพหัวใจกลักของบลิซครีกคือการักษาความเร็วของรถถังหุ้มเกราะวึ่งสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว
การจู่โจมโดยปฏิบัติการบลิทซ์คลีกนั้น จะต้องสร้างความหวาดกลัวใหกับฝ่ายตรงข้าม เยอรมันใช้
เสี้เสียงไซเรนเพื่อความหวาดผวาในหมู่ศัตรูด้วย ปฏิบัติการบลิทซ์ครี ต้องกการให้ศัตรูลนลานจนเกิดข้อผิดพลาด ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการป้องกันตัวเองลดลง เนื่องจากตกอยูใีความหวาดกลัวและสับสนฝ่ายเยอรมันใช้ประทโยชน์จากวิธีนี้ครั้งเข้ารุกราน ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม และเนเธอร์แลนด์
บลิทซ์ครีก หรือสงครามสายฟ้าแลบเป็นแนวคิดจากนักทฤษฎีทางการทหารชาวอังกฤษช่อ ลิดเดลล์ ฮาร์ต ทีเน้นยุทธวิธีรุกแบบสายน้ำเชี่ยวซึ่งเขาพัฒนาขึ้นเพื่อใช้แทนยุทธวิธีแบบสงครามโลกครั้งที่ 1 กล่าวคือ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยที่สงครามในช่วงนั้นคือการตั้งรับในหลุ่มเพลาะอย่างเดียวทั้ง 2 ฝั่งโดยแต่ละฝ่าย มีจุดกวาดล้างคือตรงกลางระหว่างทั้ง 2 ฝั่ง มีทั้งลวดหนามที่กั้นไม่ให้มีฝ่ายใดทะลวงที่มั่นได้แต่ฝ่ายอังกฤษได้นำเสนอรถถังบุกทะลงที่ไร้เทียมทานต่อปืนกลและไรเฟิล ได้ข้ามลวดหนามและหลุมเพลาะแต่ทว่า ในช่วงนั้นรถถังอังกฤษผลิตไม่ได้มากพอก่อนสงครามจะยุติในขณะที่ฝ่ายสัมพันธมติรได้ศึกษารถถังมานานปีจึงได้รู้ประสบการณ์ของ "ความเปลี่ยนแปลง"หลังจากนันเยอรมันได้พยายามศึกษารถถังและใช้งานเทคโนโลยีนี้ให้ดีที่สุด
ไฮนซ์ กูเดรีอัน ได้พัฒนาแนวความคิดโดยเขียนหนังสื่อชื่อ Achtung Panzer ที่เปรียบเสมือนคำทำนายการสงครามในอนาคต
เขากล่าวถึงยุทธวิธีแบบสงครามสายฟ้าว่า ได้แก่ การใช้ขบวนยานเกราะบุกทะลวงโจมตีเป็นแนวลึกแต่แคบ ติดตามด้วยกองกำลังเคลื่อนที่เร็วซึ่งประกอบด้วยขบวนพาหนะบรรทุกทหารที่ใช้อาวุธทันสมัยแลมียุทธภัณฑ์ชั้นเยียม กองกำลังนี้จะขยายแนวโอบล้อมฝ่ายข้าศึก และกองทัพซึ่ง
ติดตามกองกำลังเคลื่อที่เร็วนี้ก็จะทำลายกำลังของฝ่ายศัตรูในที่สุด การปฏิบัติการตามแผนดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากกำลังทางอากาศ โดยใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดจำนวนมากปฏิบัติการครอบคลุมอาณาบริเวณ การรบแบบสงครามสายฟ้าแลบจะทำให้กองทัพของฝ่ายช้าศึกตระหนกและขวัญเสียจนแตกพ่ายไป เนื่องจากไม่สามารถต่อต้านการโจมตีรวดเร็วและอาวุธที่ทันสมัยและร้ายแรงได้
เยอรมันทดลองยุทธวิธีแบบสงครามกลางเมืองสเปน โดยใช้ปฏิบัติการทางอากาศควบคู่กับกำลังทางพื้นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่ากลัว เพราะนอกจากจะทำให้ฝ่ายกบฎสามารถยึดเมืองต่าง ๆ มาจากรัฐบาลสเปนได้แล้วยังทำให้ชาวสเปนจำนวนมากต้องล้มตายและบาดเจ็บ
เมื่อเกิดสงครามโลครั้งที่ 2 เยอรมนีนำยุทธวิธีนี้มาใช้ในการบุกโจมตีโปแลนด์ เบลเยียม เนเธอร์แนด์ และฝรั่งเศส ซึ่งได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างมากทั้งในแง่การวางแผนทางการทหารและการประสานงานของยุทธวิธีแบบนี้ ในการโจมตีฝรั่งเศสในยุทธการที่ฝรั่งเศส Battle of France และในการทำสงครามทะเลทรายในแอฟริกาเหนือในระยะหลังของสงคราม นายพลอเมริกาก็นำเอายุทธวิธีแบบนี้มาใช้ในการรบที่ยุโรป
คำว่า บลิทซืครีก ในภาษาเยอรมันนี้ ต่อมาหนังสือพิมพ์อังกฤษได้ใช้ในความหมายที่ผิดไปจากเดิม คือย่อเป็นคำสั้นๆ ว่า "บลิทซ์" Blitzหมายถึงสายฟ้า คือ การที่เครื่องบินรบของฝ่ายเยอรมนีระดมท้องระเบิดเพื่อโจมตีนครลอนดอนและเมืองใหญ่ๆ ของอังกฤษอย่างรุนแรง
วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556
วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556
WWII:Navik,Norway
นอร์เวย์ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรนอร์เวย์ เป็นประทเทศในกลุ่มนอร์ดิก ตั้งอยู่ในยุโรปเหนือ ส่วนตะวันตกของคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย มีอาณาเขตจรดประเทศสวีเดน ฟินแลนด์และรัสเซีย มีอาณาเขตทางทะเลจรดมหาสมุทรแอตแลนติก ใกล้กับประเทศเดนมาร์กและสหราชอาณาจักร
การต่อสู้ในนอร์เวย์ใช้เวลาเพียง 2-3 วันก่อนที่นอร์เวย์จะยอมจำนน กษัตริย์และรัฐบาลหนีไปประเทศอังกฤษและยังคงต่อสู้เพื่อให้นอร์เวย์เป็นอิสระ ณ ที่นั้น ชาวนอร์เวย์หลายคนประกอบกิจกรรมที่ฝิดกฎหมายระหว่างช่วงสงคราม มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างไม่มีการปิดกั้น ทั้งทางหนังสือพิมพ์และใบปลิว และอีำหลายคนที่ช่วยคนให้หลบหนีไปยังประเทศอื่น
นอร์เวย์มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของทั้งสองฝ่ายโดยมีสองสาเหตุ คือ ความสำคัญของเมือง่านนาร์วิกซึ่งสมารถขนส่งเหล็กและโลหะจากสวีเดน ซึ่งเยอรมันต้องการมากเส้นทางเดินเรือดังกล่าวยังเป็นเส้นทางสำคํยมากเป็นพิเศษในช่วงที่ทะเลบอลติกนั้นกลายเป็นน้ำแข็ง นาร์วิกมีความสำคัญต่อดังกฤษเช่นเดียวกันเมื่ออังกฤษทราบว่าโครงการแคทเธิรียของอังกฤษที่จะครอบครองทะเลบอลติกนั้นไม่สามารถนำมาใช้ได้
อย่างที่สองเมืองท่าของนอร์เวย์เป็นช่องว่างของการปิดลิ้มเยอรมนี เรื่อรบเยอรมันสามารถแล่นออกไปยังมหาสมุทรแอตแลนติกได้ นอร์เวย์ยังถูกมองจากพรรคนาซีว่าเป็นแหล่งกำเนินของชนชาตินอร์ติก-อารยันตามคำกล่าวของฮิตเลอร์การยึดครองนอร์เวย์ยังมีผลสำคัญยิ่งต่อความสามารถในการใช้อำนาจทางทะเลเพื่อต่อกรกับฝ่ายสัมพันธมิตร
โดยเฉพาะฝ่ายอังกฤษ เมื่อนอร์เวย์วางตนเป็นกลาง ไม่ถูกยึดครองโดยคู่สงครามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ความอ่อนแดในการป้องกันชายฝั่งของนอร์เวย์นั้นนายพลเรือรีดเดอร์ชี้ให้เห็นหลายครั้งถึงความอันตรายของนอร์เวย์ที่จะมีแก่เยอรมนีโดยอังกฤษ หารอังกฤษฉวยโอกาสรุกรานนอร์เวย์ ถ้ากองเรืออังกฤษยึดเมือท่าเบอร์เกน นาร์วิกและทรอนด์แฮมได้เยอรมนีจะถูกปิดล้อมทางทะเลเหนือโดยสิ้นเชิง และกองทัพเรือในทะเลบอลติกจะตกอยู่ในอันตราย
ครั้งเกิดสงครามฤดูหนาวรุสเซียรุกรานฟินแลนด์ฝ่ายสัมพันธมิตรร่วมือกับเดนมาร์กและสวีเดน ซึ่งเปิดโอกาสให้ฝ่ายสัมพันธมิตรมอบความเห็นใจอย่างจริงใจต่อฟินแลนด์และอ้างที่จะส่งกองกำลังเขายึยดครองแหล่งแร่และเมืองท่าในนอร์เวย์การเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างความกังวลให้แก่เยอรมนี
สนธิสัญญาเมโลตอฟ-ริบเบนทรอฟทไให้ฟินแลนด์กลายเป็นเขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียต เยอรมนีวางตัวเป็ฯกลางต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ความกลัวเยอรมันนั้นทำให้นายทหารระดับสูงของเยอรมนีทำนายว่านอร์เวย์และสวีเดนอาจรับความช่วยเหลือจากฝ่ายสัมพันธมิตรแต่เหตุการณ์ก็ำไม่เป็นดังคาด นอร์เวย์และสวีเดนเพิ่มความระมัดระวัลและเฝ้าจับตามอง "การทรยศโดยชาติตะวันตก"ของโปแลนด์เมือโปแลนด์ถูกรุกราน ทั้งสองประเทศไม่ต้องการที่จะทำลายความเป็นกลางของตนและเข้าพัวพันกับสงครามโลกทหารต่างชาติเดินผ่านเข้าตามแนวชายแดนด้วยสนธิสัญญาสันติภาพมอสโก แผนการต่าง ๆ ของฝ่ายสัมพันธมิตรจึงล้มเิลิกไป
นายทหารระดับสูงของเยอรมนีให้ความสนใจความเป็นกลางของนอร์เวย์มากตราบเท่านที่เรือรบฝ่ายสัมพันธมิตรยังไม่แล่นเข้าสู่น่านน้ำของทะเลนอร์เวย์เรือขนส่งสืนค้าของเยรมนีก็ยังคงปลอดภัยที่จะเข้าสู่ชายฝั่งนอร์เวย์ จอมพลเรืออิริช เรอเดอร์ โต้แย้งแผนการโจมตี เขาเชื่อว่าเมืองท่าของนอร์เวย์นั้นเป็นที่ที่สะดวกที่สุดที่เรืออูของเยอรมันใช้สำหรับปิดล้อมอมู่เกาะอังกฤษ และยังคงมีความเป็นไปได้ที่กองทัพสัมพันธมิตรอาจจะยกพลขึ้นบกที่สแกนดิเนเวีย มีการทาบทามจากฮิตเลอรและเรดเดิร์กับวิคดัน ควิสลิง(ต่อมาเขาได้รับฉายาว่าเป็น "ผู้ทรยศระหว่างโลก")รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของรัฐบาลนิยมนาซีแต่ไม่เป็นผล
เหตุการณ์อัลท์มาร์ค ซึ่งเป็นเรือบรรทุกของเยอรมัน บรรทุกเชลยสงครามชาวอังกฤษจำนวน 303 คนได้ับปนุญาตให้แล่นผ่านน่านน้ำนอร์เวย์ได้ ตามกฎหมายนานาชาติอนุญตให้เรือพลเรือจากประเทศสงครามสามารถจอดพักได้เป็นบางครั้งในน่านน้ำประเทศที่เป็นกลางหากได้รับอนุญาตจาประเทศนั้น ๆ กลุ่มเรือรบอังกฤษปรากฎตัวขึ้น และฝ่าฝืนกฎหมายนานาชาติและความเป็นกลางของนอร์เวย์ เรือ HMS คอแซ็ก ทำการโจมตีเรืออัลท์มาร์ค สังหารทหารเยอรมัน 7 นายและปลดปล่อยนักโทษทั้งหมด การละเมิดความเป็นกลางได้ก่อให้เกิดความโกรธแค้นในความรู้สึกของชาวนอร์เวย์
ฝ่ายสัมพันธมิตรมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจทำให้นอร์เวย์ตัดขากการติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรแผ่นการจึงถูกเลื่อนออกไป
เยอรมนีเห็นว่าเหตุการณ์การดังกล่าวแสดงให้เห็นว่านอร์เวย์ไม่มีมีความสามารถที่จะรักษาความเป็นกลางไว้ได้และอังกฤษก็มิได้ยินยอมต่อการวางตัวเป็นกลางของนอร์เวย์ ฮิตเลอร์จึงออกคำสั่งให้เร่งแผนการรุกรานให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด
แผนการของฝ่ายสัมพันธมิตร
ปฏิบัติการวิลเฟรด คือการว่างทุนระเบิดตามน่านน้ำระหว่างนอร์เวย์ไปจนถึงเกาะอังกฟษเืพื่อป้องกันกองเรือขนส่งสินค้าเยอรมันขนเหล็กอย่างดีจาสวีเดน และหากได้รับการโต้ตอบจากฝ่่ายเยอรมนีโดยการเข้ายึดเนอร์เวย์และเมื่อถึงเวลานั้นฝ่ายสัมพันธมิตจะใช้แผนอาร์ 4 และยึดครองนอร์เวย์ เชอร์ชิลล์พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะโจมตีและยึดครองนอร์เวย์ เนื่องจากเขามีความต้องการที่จะย้ายการสู้รบไปจากแผ่นดินอังกฤษและฝรั่งเศษเพื่อป้องกันการถูกทำลาย
แผนการของเยอรมนี(ปฏิบัติการเวแซร์รึบุง)
เยอรมันเตรียมการสกหรับการรุกรานนอร์เวย์ไว้แล้ว เป้าหมายหลักของการรุกราน คือ รักษาเมืองท่าและแหล่งโลหะในนอร์เวย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ เมือท่านาร์วิกและจากนั้นก็เข้ายึดนอร์เวย์
เยอรมันโต้เถียงกันว่า มีความจำเป็นมากพอรึไม่ที่จะเ้ข้ายึดครองเดนมาร์ก เดนมาร์กเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขั้นต่อไป เดนมาร์กเป็นทำเลที่จะสามารถครอบครองทั้งน่านน้ำแลน่านฟ้าได้ย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่บางส่วนแย้งว่าไม่มีความคำเป็นต้องทำเช่นนั้น และให้นิ่งเฉพย แต่จะเป็นการง่ายขึ้นสำหรับแผนการถ้าหากเดนมาร์กถูกยึดครองโดยกองกำลัง
การปรับเปลี่ยแผนยังเกิดจากอีกสาเหตุคือ การเตรียมบุกฝรั่งเศสและกลุ่มประเทศผแ่นดินตำ่ ซึ่งอาจต้องใช้ทหารเป็นจำนวนมาก เยอรมันต้องรบสองด้าน การรุกรานนอร์เวย์ไม่อาจเกิดขึ้พร้อมกับการรุกฝรั่งเศส
ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นชัยชนะขั้นเด็ดขาดของเยอรมนี ทั้งเดนมาร์กและนอร์เวย์ถูกยึดครองโดยเกิดความสูญเสียเพียงเล็กน้อย การรบในทะเลประสบความล้มเหลว กองทัพเรือเยอรมันสูยเสียอย่างมากถึงขั้นเป็นอัมพาต แม้กองทัพเรืออังกฤษจะได้รับความสูญเสียไม่ต่างกันแต่ด้วยควายขนาดของกองทัพเรือทัพเรืออังกฤษมีขนาดใหญ่กว่าความสูญเสียเมื่อเทียบกับเยอมนีแล้ว เยอรมนีมีความสูญเสียกนักกว่า อังกฤษได้การควบคุมกองเรือขนส่งนอร์เวย์ ซึ่งเป็นกองเรือหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก
กองเรือฝรั่งเศสสูญเสียเรือประจัญบานตอร์ปิโดขนาดใหญ่ไปหน่งลำ กองทัพเรือนอร์เวย์ก็สูญเสียรือพิฆาตตอร์ปิโดไปหนึ่งลำ เรื่อป้องกันชายฝั่ง 2 ลำ รเรือดำน้ำอีก 3ลำ
การยึดครองนอร์เวย์สร้างความยุ่งยากให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากสนามบินระยะไกลในนอร์เวย์ ฝูงบินอังกฤษจำนวนมากต้องถูกเก็บรักษาไว้ทางตอนเหนือของอังกฤษระหว่างยุทธภูมิบิรเตนและเครื่องบินทิ้งระเบิดเยอรมันสามารถใช้นอร์เวย์เป็นฐานและบินออกปฏิบัติการในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างปลอดภัยหลังจากเยอรมนีรุกรานสหภาพโซเวียตในปี 1941 ฐานบินในนอร์เวย์ถูกใช้เพื่อให้เครื่องบินไปจมขบวนเรือพาณิชยืของฝ่ายสัมพันธมิตร และก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาล
การยึดครองนอร์เวย์ยังเป็นภาระหนักสำหรับเยอรมนี แนวชายหาดขนาดใหญ่ของนอร์เวย์เหมาะแก่การจู่โจมของหน่วนคอมมานโด การยึดครองนอร์เวย์จำเป็นต้องใช้กองกำลังขนาดใหญ่ มีทหารเยอรมันในนอร์เวย์กว่า 400,000 นายและม่สามรถย้าไปสู้รบในฝรั่งเศสหลังปฏิวัติการโอเวอร์ลอร์ด หรือการสู้ในแนวรบตะวันออกซึ่งในขณะที่เยอรมนีกำลังจะพ่ายแพ้
การต่อสู้ในนอร์เวย์ใช้เวลาเพียง 2-3 วันก่อนที่นอร์เวย์จะยอมจำนน กษัตริย์และรัฐบาลหนีไปประเทศอังกฤษและยังคงต่อสู้เพื่อให้นอร์เวย์เป็นอิสระ ณ ที่นั้น ชาวนอร์เวย์หลายคนประกอบกิจกรรมที่ฝิดกฎหมายระหว่างช่วงสงคราม มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างไม่มีการปิดกั้น ทั้งทางหนังสือพิมพ์และใบปลิว และอีำหลายคนที่ช่วยคนให้หลบหนีไปยังประเทศอื่น
นอร์เวย์มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของทั้งสองฝ่ายโดยมีสองสาเหตุ คือ ความสำคัญของเมือง่านนาร์วิกซึ่งสมารถขนส่งเหล็กและโลหะจากสวีเดน ซึ่งเยอรมันต้องการมากเส้นทางเดินเรือดังกล่าวยังเป็นเส้นทางสำคํยมากเป็นพิเศษในช่วงที่ทะเลบอลติกนั้นกลายเป็นน้ำแข็ง นาร์วิกมีความสำคัญต่อดังกฤษเช่นเดียวกันเมื่ออังกฤษทราบว่าโครงการแคทเธิรียของอังกฤษที่จะครอบครองทะเลบอลติกนั้นไม่สามารถนำมาใช้ได้
อย่างที่สองเมืองท่าของนอร์เวย์เป็นช่องว่างของการปิดลิ้มเยอรมนี เรื่อรบเยอรมันสามารถแล่นออกไปยังมหาสมุทรแอตแลนติกได้ นอร์เวย์ยังถูกมองจากพรรคนาซีว่าเป็นแหล่งกำเนินของชนชาตินอร์ติก-อารยันตามคำกล่าวของฮิตเลอร์การยึดครองนอร์เวย์ยังมีผลสำคัญยิ่งต่อความสามารถในการใช้อำนาจทางทะเลเพื่อต่อกรกับฝ่ายสัมพันธมิตร
โดยเฉพาะฝ่ายอังกฤษ เมื่อนอร์เวย์วางตนเป็นกลาง ไม่ถูกยึดครองโดยคู่สงครามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ความอ่อนแดในการป้องกันชายฝั่งของนอร์เวย์นั้นนายพลเรือรีดเดอร์ชี้ให้เห็นหลายครั้งถึงความอันตรายของนอร์เวย์ที่จะมีแก่เยอรมนีโดยอังกฤษ หารอังกฤษฉวยโอกาสรุกรานนอร์เวย์ ถ้ากองเรืออังกฤษยึดเมือท่าเบอร์เกน นาร์วิกและทรอนด์แฮมได้เยอรมนีจะถูกปิดล้อมทางทะเลเหนือโดยสิ้นเชิง และกองทัพเรือในทะเลบอลติกจะตกอยู่ในอันตราย
ครั้งเกิดสงครามฤดูหนาวรุสเซียรุกรานฟินแลนด์ฝ่ายสัมพันธมิตรร่วมือกับเดนมาร์กและสวีเดน ซึ่งเปิดโอกาสให้ฝ่ายสัมพันธมิตรมอบความเห็นใจอย่างจริงใจต่อฟินแลนด์และอ้างที่จะส่งกองกำลังเขายึยดครองแหล่งแร่และเมืองท่าในนอร์เวย์การเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างความกังวลให้แก่เยอรมนี
สนธิสัญญาเมโลตอฟ-ริบเบนทรอฟทไให้ฟินแลนด์กลายเป็นเขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียต เยอรมนีวางตัวเป็ฯกลางต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ความกลัวเยอรมันนั้นทำให้นายทหารระดับสูงของเยอรมนีทำนายว่านอร์เวย์และสวีเดนอาจรับความช่วยเหลือจากฝ่ายสัมพันธมิตรแต่เหตุการณ์ก็ำไม่เป็นดังคาด นอร์เวย์และสวีเดนเพิ่มความระมัดระวัลและเฝ้าจับตามอง "การทรยศโดยชาติตะวันตก"ของโปแลนด์เมือโปแลนด์ถูกรุกราน ทั้งสองประเทศไม่ต้องการที่จะทำลายความเป็นกลางของตนและเข้าพัวพันกับสงครามโลกทหารต่างชาติเดินผ่านเข้าตามแนวชายแดนด้วยสนธิสัญญาสันติภาพมอสโก แผนการต่าง ๆ ของฝ่ายสัมพันธมิตรจึงล้มเิลิกไป
นายทหารระดับสูงของเยอรมนีให้ความสนใจความเป็นกลางของนอร์เวย์มากตราบเท่านที่เรือรบฝ่ายสัมพันธมิตรยังไม่แล่นเข้าสู่น่านน้ำของทะเลนอร์เวย์เรือขนส่งสืนค้าของเยรมนีก็ยังคงปลอดภัยที่จะเข้าสู่ชายฝั่งนอร์เวย์ จอมพลเรืออิริช เรอเดอร์ โต้แย้งแผนการโจมตี เขาเชื่อว่าเมืองท่าของนอร์เวย์นั้นเป็นที่ที่สะดวกที่สุดที่เรืออูของเยอรมันใช้สำหรับปิดล้อมอมู่เกาะอังกฤษ และยังคงมีความเป็นไปได้ที่กองทัพสัมพันธมิตรอาจจะยกพลขึ้นบกที่สแกนดิเนเวีย มีการทาบทามจากฮิตเลอรและเรดเดิร์กับวิคดัน ควิสลิง(ต่อมาเขาได้รับฉายาว่าเป็น "ผู้ทรยศระหว่างโลก")รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของรัฐบาลนิยมนาซีแต่ไม่เป็นผล
เหตุการณ์อัลท์มาร์ค ซึ่งเป็นเรือบรรทุกของเยอรมัน บรรทุกเชลยสงครามชาวอังกฤษจำนวน 303 คนได้ับปนุญาตให้แล่นผ่านน่านน้ำนอร์เวย์ได้ ตามกฎหมายนานาชาติอนุญตให้เรือพลเรือจากประเทศสงครามสามารถจอดพักได้เป็นบางครั้งในน่านน้ำประเทศที่เป็นกลางหากได้รับอนุญาตจาประเทศนั้น ๆ กลุ่มเรือรบอังกฤษปรากฎตัวขึ้น และฝ่าฝืนกฎหมายนานาชาติและความเป็นกลางของนอร์เวย์ เรือ HMS คอแซ็ก ทำการโจมตีเรืออัลท์มาร์ค สังหารทหารเยอรมัน 7 นายและปลดปล่อยนักโทษทั้งหมด การละเมิดความเป็นกลางได้ก่อให้เกิดความโกรธแค้นในความรู้สึกของชาวนอร์เวย์
ฝ่ายสัมพันธมิตรมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจทำให้นอร์เวย์ตัดขากการติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรแผ่นการจึงถูกเลื่อนออกไป
เยอรมนีเห็นว่าเหตุการณ์การดังกล่าวแสดงให้เห็นว่านอร์เวย์ไม่มีมีความสามารถที่จะรักษาความเป็นกลางไว้ได้และอังกฤษก็มิได้ยินยอมต่อการวางตัวเป็นกลางของนอร์เวย์ ฮิตเลอร์จึงออกคำสั่งให้เร่งแผนการรุกรานให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด
แผนการของฝ่ายสัมพันธมิตร
ปฏิบัติการวิลเฟรด คือการว่างทุนระเบิดตามน่านน้ำระหว่างนอร์เวย์ไปจนถึงเกาะอังกฟษเืพื่อป้องกันกองเรือขนส่งสินค้าเยอรมันขนเหล็กอย่างดีจาสวีเดน และหากได้รับการโต้ตอบจากฝ่่ายเยอรมนีโดยการเข้ายึดเนอร์เวย์และเมื่อถึงเวลานั้นฝ่ายสัมพันธมิตจะใช้แผนอาร์ 4 และยึดครองนอร์เวย์ เชอร์ชิลล์พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะโจมตีและยึดครองนอร์เวย์ เนื่องจากเขามีความต้องการที่จะย้ายการสู้รบไปจากแผ่นดินอังกฤษและฝรั่งเศษเพื่อป้องกันการถูกทำลาย
แผนการของเยอรมนี(ปฏิบัติการเวแซร์รึบุง)
เยอรมันเตรียมการสกหรับการรุกรานนอร์เวย์ไว้แล้ว เป้าหมายหลักของการรุกราน คือ รักษาเมืองท่าและแหล่งโลหะในนอร์เวย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ เมือท่านาร์วิกและจากนั้นก็เข้ายึดนอร์เวย์
เยอรมันโต้เถียงกันว่า มีความจำเป็นมากพอรึไม่ที่จะเ้ข้ายึดครองเดนมาร์ก เดนมาร์กเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขั้นต่อไป เดนมาร์กเป็นทำเลที่จะสามารถครอบครองทั้งน่านน้ำแลน่านฟ้าได้ย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่บางส่วนแย้งว่าไม่มีความคำเป็นต้องทำเช่นนั้น และให้นิ่งเฉพย แต่จะเป็นการง่ายขึ้นสำหรับแผนการถ้าหากเดนมาร์กถูกยึดครองโดยกองกำลัง
การปรับเปลี่ยแผนยังเกิดจากอีกสาเหตุคือ การเตรียมบุกฝรั่งเศสและกลุ่มประเทศผแ่นดินตำ่ ซึ่งอาจต้องใช้ทหารเป็นจำนวนมาก เยอรมันต้องรบสองด้าน การรุกรานนอร์เวย์ไม่อาจเกิดขึ้พร้อมกับการรุกฝรั่งเศส
ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นชัยชนะขั้นเด็ดขาดของเยอรมนี ทั้งเดนมาร์กและนอร์เวย์ถูกยึดครองโดยเกิดความสูญเสียเพียงเล็กน้อย การรบในทะเลประสบความล้มเหลว กองทัพเรือเยอรมันสูยเสียอย่างมากถึงขั้นเป็นอัมพาต แม้กองทัพเรืออังกฤษจะได้รับความสูญเสียไม่ต่างกันแต่ด้วยควายขนาดของกองทัพเรือทัพเรืออังกฤษมีขนาดใหญ่กว่าความสูญเสียเมื่อเทียบกับเยอมนีแล้ว เยอรมนีมีความสูญเสียกนักกว่า อังกฤษได้การควบคุมกองเรือขนส่งนอร์เวย์ ซึ่งเป็นกองเรือหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก
กองเรือฝรั่งเศสสูญเสียเรือประจัญบานตอร์ปิโดขนาดใหญ่ไปหน่งลำ กองทัพเรือนอร์เวย์ก็สูญเสียรือพิฆาตตอร์ปิโดไปหนึ่งลำ เรื่อป้องกันชายฝั่ง 2 ลำ รเรือดำน้ำอีก 3ลำ
การยึดครองนอร์เวย์สร้างความยุ่งยากให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากสนามบินระยะไกลในนอร์เวย์ ฝูงบินอังกฤษจำนวนมากต้องถูกเก็บรักษาไว้ทางตอนเหนือของอังกฤษระหว่างยุทธภูมิบิรเตนและเครื่องบินทิ้งระเบิดเยอรมันสามารถใช้นอร์เวย์เป็นฐานและบินออกปฏิบัติการในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างปลอดภัยหลังจากเยอรมนีรุกรานสหภาพโซเวียตในปี 1941 ฐานบินในนอร์เวย์ถูกใช้เพื่อให้เครื่องบินไปจมขบวนเรือพาณิชยืของฝ่ายสัมพันธมิตร และก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาล
การยึดครองนอร์เวย์ยังเป็นภาระหนักสำหรับเยอรมนี แนวชายหาดขนาดใหญ่ของนอร์เวย์เหมาะแก่การจู่โจมของหน่วนคอมมานโด การยึดครองนอร์เวย์จำเป็นต้องใช้กองกำลังขนาดใหญ่ มีทหารเยอรมันในนอร์เวย์กว่า 400,000 นายและม่สามรถย้าไปสู้รบในฝรั่งเศสหลังปฏิวัติการโอเวอร์ลอร์ด หรือการสู้ในแนวรบตะวันออกซึ่งในขณะที่เยอรมนีกำลังจะพ่ายแพ้
วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556
WWII:Twilight War(สงครามลวง)
สงครามลวง เป็นช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง ตั้งแต่เดือนกันยา ปี 1939 หลังจากการรุกำโปแลนด์ -เดือนเดือนพฤษภาคม ปี 1940 ก่อนยุทธการฝรั่งเศส ซึ่งไม่มีการปฏิบัติการทางการทหารในยุโรปภาคพื้นทวีป อังกฤษและฝรั่ืงเศสไม่มีปฏิบัติการทางการทหาร ทั้ง ๆ ทีผูกมัดตามเงือนไขของพันธมติรทางการทหารอังกฤษ-โปแลนด์และพันธมิตรทางการทหารฝรั่งเศส-โปแลนด์ ซึ่งผูกมัดทั้งสองประเทศ
เนื่องจากการไม่พร้อมและไม่คิดว่าจะเกิดสงครามขึ้นอีก จึงไม่มีการเตรียมตัวทางการทหารมากนักประกอบกับการเมืองในประเทศทั้งสองประเทศที่วุ่นว่าย
ขณะที่กองทัพเยอรมันส่วนใหญ่ทำการรบอยู่ในโปแลนด์ เยอรมันก็ส่งกองทัพไปขัดตราทัพฝรั่งเศสตามแนวชายแดนด้านตะวันตก กองทัพสัมพันธมิตรตั้งเผลิญหน้า แต่มีการรบเพียงประปราย กองทัพอากาศอังกฤษโปรยใบปลิวโฆษณาเหนือน่านฟ้าเยอรมัน และกองทัพแคนาดาชุดแรกก็เตรียมเสริมกำลังอังกฤษบนเกาะบริเตน แนวรบตะวันตกสงบเป็นเวลากว่าเจ็เดอืน แต่ทว่าเยอรมนีสามารถครอบครองดินแดนจำนวนมากของยุโรปได้แล้ว กองทัพสัมพันธมิตร(เดิม)รีบเสร้ิมกัลัง โดยการซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกา และวัตถุดิบเพื่อป้อนเข้าสูโรงานอุตาสหกรรม อเมริกให้สิทธพิเศษแก่อังกฤษและฝัร่างเศสซื้อสินค้าในราคาถูก และให้เช่า-ยืมในเวลาต่อมา บริษัทเอกชนบางแห่งทั้งอเมริกและอังกฤษเองยังคงสนับสนุนฝ่ายเยอรมนี ในเอมริกาบริษัทเอกชนยังคงขายวัตถุดิบทางอุตสาหกรรมแก่เยอรมนี
การรบในแคว้นซาร์แลนด์ ทหารฝรั่งเศสล้ำพื้นที่แคว้นซาร์เข้าไปลึกกว่า 3 ไมล์ก่อนจะถอนตัวออกมาซึ่งทั่งที่กองทัพฝรั่งเศสมีกำลังพลมากกว่า
สงครามฤดูหนาว เป็นเหตุการณ์สำคัญหนึ่งในสงครามลวง โดยเริ่มตั้งแต่โซเวียตโจมตีฟินแลนด์ ประชาชนส่วนใหญ่ของอังกฤษและฝรั่งเศสเข้าช่วยเหลือฟินน์แลนด์และสามารถยันทัพโซเวียตได้ แผนการส่งทหารของอังกฤษและฝรั่งเศสเข้าไปช่วยฟินน์แลนด์ถูกคัดค้านอย่างหนัก กองทัพอังกฤษประชุมก่อนที่จะส่งทหารไปช่วย ทว่าก็มิได้ส่งไปกระทั่งสงครามฤดูหนาวสิ้นสุดลง ฟินแลนด์ยอมเจรจารสงบศึกกับโซเวียต อังกฤษกลับส่งทหารไปช่วยนอร์เวย์
หลังสงครามฤดูหนาวยุติ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสขอลาออก เนื่องจากความล้มเหลวในการให้ความช่วยเหลือฟินแลนด์
การทัพที่นอเวย์ มีการประชุมฝ่ายสัมพันธมิตรที่จะส่งกองทัพไปยังสแกนดิเนเวียตอนเหนือ แต่ยังไม่ได้รับการยินยอมจาประเทศที่เป็นกลาง เยรมนีต้องการแหล่งโลหะและสินแร่ และสามารถยึดครองพื้นที่แถบชายฝั่งนอร์เวย์ กองทัพสัมพันธ์มิตรขึ้นบกที่นอร์เวย์ แต่ภายในสองสัปกาหน์นอร์เวย์ส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ในมือของเยอรมัน กองทัพสัมพันธมิตรที่เหลือได้ถอนตัวจากนอร์เวย์
ความล้มเหลวในการทัพของฝ่ายสัมพันธมิตรที่นอร์เวย์ นั้นเป็นผลจากแผนการที่เพ้อฝันที่จะช่วยฟินแลนด์ได้ก่อใไ้เกิดการโต้เถี่ยง ในสภาสามัญ เนวิลล์ เชมเบอร์แลนด์ ถูกโจมตีอย่างหนัก การลงมติไว้วาใจในคณะรัฐบาลของเขาชนะด้วยเสียง 200ต่อ281 เสียงแต่ผุ้สีับสนุนเขาจำนวนมากได้ลงมติไม่ไว้วางใจเขา เชมเบอร์เลนลาออกจากตำแน่างนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคอนุรักษนิยม พระเจ้าจอร์จที่ 6 ทรงเลือกนาย วินสตัน เชอร์ชิลล์ ผู้มีแนวคิดขึดแย้งกับนโยบายเอาใจเยอรมนี ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทน
เนื่องจากการไม่พร้อมและไม่คิดว่าจะเกิดสงครามขึ้นอีก จึงไม่มีการเตรียมตัวทางการทหารมากนักประกอบกับการเมืองในประเทศทั้งสองประเทศที่วุ่นว่าย
ขณะที่กองทัพเยอรมันส่วนใหญ่ทำการรบอยู่ในโปแลนด์ เยอรมันก็ส่งกองทัพไปขัดตราทัพฝรั่งเศสตามแนวชายแดนด้านตะวันตก กองทัพสัมพันธมิตรตั้งเผลิญหน้า แต่มีการรบเพียงประปราย กองทัพอากาศอังกฤษโปรยใบปลิวโฆษณาเหนือน่านฟ้าเยอรมัน และกองทัพแคนาดาชุดแรกก็เตรียมเสริมกำลังอังกฤษบนเกาะบริเตน แนวรบตะวันตกสงบเป็นเวลากว่าเจ็เดอืน แต่ทว่าเยอรมนีสามารถครอบครองดินแดนจำนวนมากของยุโรปได้แล้ว กองทัพสัมพันธมิตร(เดิม)รีบเสร้ิมกัลัง โดยการซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกา และวัตถุดิบเพื่อป้อนเข้าสูโรงานอุตาสหกรรม อเมริกให้สิทธพิเศษแก่อังกฤษและฝัร่างเศสซื้อสินค้าในราคาถูก และให้เช่า-ยืมในเวลาต่อมา บริษัทเอกชนบางแห่งทั้งอเมริกและอังกฤษเองยังคงสนับสนุนฝ่ายเยอรมนี ในเอมริกาบริษัทเอกชนยังคงขายวัตถุดิบทางอุตสาหกรรมแก่เยอรมนี
การรบในแคว้นซาร์แลนด์ ทหารฝรั่งเศสล้ำพื้นที่แคว้นซาร์เข้าไปลึกกว่า 3 ไมล์ก่อนจะถอนตัวออกมาซึ่งทั่งที่กองทัพฝรั่งเศสมีกำลังพลมากกว่า
สงครามฤดูหนาว เป็นเหตุการณ์สำคัญหนึ่งในสงครามลวง โดยเริ่มตั้งแต่โซเวียตโจมตีฟินแลนด์ ประชาชนส่วนใหญ่ของอังกฤษและฝรั่งเศสเข้าช่วยเหลือฟินน์แลนด์และสามารถยันทัพโซเวียตได้ แผนการส่งทหารของอังกฤษและฝรั่งเศสเข้าไปช่วยฟินน์แลนด์ถูกคัดค้านอย่างหนัก กองทัพอังกฤษประชุมก่อนที่จะส่งทหารไปช่วย ทว่าก็มิได้ส่งไปกระทั่งสงครามฤดูหนาวสิ้นสุดลง ฟินแลนด์ยอมเจรจารสงบศึกกับโซเวียต อังกฤษกลับส่งทหารไปช่วยนอร์เวย์
หลังสงครามฤดูหนาวยุติ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสขอลาออก เนื่องจากความล้มเหลวในการให้ความช่วยเหลือฟินแลนด์
การทัพที่นอเวย์ มีการประชุมฝ่ายสัมพันธมิตรที่จะส่งกองทัพไปยังสแกนดิเนเวียตอนเหนือ แต่ยังไม่ได้รับการยินยอมจาประเทศที่เป็นกลาง เยรมนีต้องการแหล่งโลหะและสินแร่ และสามารถยึดครองพื้นที่แถบชายฝั่งนอร์เวย์ กองทัพสัมพันธ์มิตรขึ้นบกที่นอร์เวย์ แต่ภายในสองสัปกาหน์นอร์เวย์ส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ในมือของเยอรมัน กองทัพสัมพันธมิตรที่เหลือได้ถอนตัวจากนอร์เวย์
ความล้มเหลวในการทัพของฝ่ายสัมพันธมิตรที่นอร์เวย์ นั้นเป็นผลจากแผนการที่เพ้อฝันที่จะช่วยฟินแลนด์ได้ก่อใไ้เกิดการโต้เถี่ยง ในสภาสามัญ เนวิลล์ เชมเบอร์แลนด์ ถูกโจมตีอย่างหนัก การลงมติไว้วาใจในคณะรัฐบาลของเขาชนะด้วยเสียง 200ต่อ281 เสียงแต่ผุ้สีับสนุนเขาจำนวนมากได้ลงมติไม่ไว้วางใจเขา เชมเบอร์เลนลาออกจากตำแน่างนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคอนุรักษนิยม พระเจ้าจอร์จที่ 6 ทรงเลือกนาย วินสตัน เชอร์ชิลล์ ผู้มีแนวคิดขึดแย้งกับนโยบายเอาใจเยอรมนี ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทน
วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556
WWII:Joseph Stalin(winter war)
โยชิฟ วิซซาร์โยโนวิช สตาลิน เป็นผู้นำ สหภาพโซเวียต ตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1920-1953 เป็นผู้นำของสหภาพโซเวียต และดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งมวลสหภาพซึ่งเป็นตำแหน่างที่เปรียบได้กับหัวหน้าพรรค
สตาลินสืบทอดอำนาจจาก วลาดิมีร์ เลนิน และนำโซเวียตก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก โจเซฟ สตาลิน ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา ชื่อจริงคือ “โยเซบ เบซาริโอนิส ดเซ จูกาชวิลลี”
“โซซ่า” คือชื่อเรียกของเขาในวัยเด็ก พ่อของเขาเป็นช่างทำรองเท้าชอบทุบตีคนในครอบครัวยามเมาสุราเสมอ เมื่อพ่อเขาย้ายไปเมืองอื่น เขาต้องอยู่กับมารดาเพียงลำพังในสภาพแวดล้อมของเมืองที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม การเอารัดเอาเปรียบ ความรุนแรงตามท้องถนน สภาพแวดล้อมทางสังคมและความรุนแรงในครอบครัวบ่มนิสัยสตาลินให้เป็ฯก้าวร้าว เขาเกลียดชังชาวยิวที่อยู่ในเมืองทั้งๆ ที่เมืองที่เขาอยู่ไม่มีใครต่อต้านชาวยิวเลย ชาวยิวนิยมประกอบอาชีพนายทุนเงินกู้ มารดาของเขาต้องกู้เงินจากนายทุนชาวยิวซึ่งเรียกดอกเบี้ยราคาแพง และยึดสิ่งของในล้านเป็นค่าปรับ ทำให้เขาเกลียดแค้นชาวยิว
มารดาสตาบินเป็นผู้เคร่งในศีลธรรม เธอตัดสินใจให้สตาลินบวชเป็ฯพระและเข้าเรียนในโรงเรียนสามเณรกอรีซึ่งเป็นโรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่ง ด้วยความอุปการะจากเศรษฐีชาวจอร์เจียชื่อยาคอฟที่มารดาเขาทำงานเป็นแม่บ้าน ซึ่งสตาลินเป้ฯคนที่สำนึกในบุญคุฯคน เมือเขามีบุตรชายคนแรก เขาได้ตั้งชื่อว่ายาคอฟ ตามชื่อผู้ที่อุปการะเขา
สตาลินเป็นคนขยัน ความจำดีและหัวไว ได้รับทุนการศึกษาของโรงเรียน และได้รับเลือกให้เป็นนักเรียนตัวอย่าง สตาลินสอบได้ลำดับที่ 1 ทุกครั้ง สตาลินมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง เขามักถูกจ้างไปร้องเพลงในงานแต่งงานเสมอ ความชื่นชอบในการละเล่นและกีฬา สตาลินชื่นชอบการตะลุมบอน เป็นการละเล่นและกีฬาพื้นเมือง ที่แบ่งกลุ่มผู้เล่นออกไป 2 ฝั่ง จากนั้นก็จะเขาตะลุมบอนกันแบบไม่มีความปราณี
ด้วยความทะเยอทะยานทำให้สตาลินได้เริ่มมีบทบาทสำคัญในพรรคบอลเชวิค หลังจากที่พรรคบอลเชวิคทำการปฏิวัติโค่นล้มระบอบกษัตริย์ลงแล้ว สตาลินได้รับตำแหน่าง คอมมิสซาร์ประชาชนเพื่อกิจการชนชาติต่าง ๆ เมือเลนินล้มป่วย สตาลินก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นและเป็นเลขาธิการพรรค
กระทั่งเมื่อเลนินเสียชีวิตในปี 1924 เกิดการแย่งชิงอำนาจระหว่างสตาลินกับ ลีออน ทรอตสกี สุดท้ายสตาลินเป็นฝ่ายชนะ จึงได้เป็นประธานาธิปดีต่อจากเลนิน ทรอตสกีต้องลั้ภัยการเมือไปอยู่เม็กซิโก และถูกลอบสังหารในที่สุด
ระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง ผุ้นำสหภาพโซเวียตเขาถูกเรียกว่า บิดาแห่งชาวสหภาพโซเวียตทั้งปวง เมือศาสนาเป็นสิ่งผิดกฏหมายในรัฐคอมมิวนิสต์ บทบาทของพระเจ้าก็ถูกเล่นโดยสตาลิน..
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1936 มีการจัดตั้งความตกลงร่วมืออักษะโรม-เบอร์ลิน เยอรมนีลงนามในสัญญาเพื่อการต่อต้านโคมินเทอร์นกับญี่ปุ่น และอิตาลีได้เข้าร่วมในปี 1937 สามประเทศตกลงร่วมมือกันต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ทั่วไปโดยเฉพาะรุสเซีย
ขณะที่ฮิตเลอร์เป็นภัยคุกคามต่อสหภาพโซเวียต สตาลินได้พยายามผ่อนคลายความตึงเครียดกับญี่ปุ่นโดยขายหุ้นทางรถไฟสายตะวันออกให้แก่รัฐบาลแมนจูกัวในปี 1935 และฟื้นฟูสัมพันธภาพกับรัฐบาลจีน เจียง ไค เชค เพื่อป้องกันจีนและญี่ปุ่นร่วมมือต่อต้านโซเวียต..
พฤษภาคม 1939 สตาลินกล่าวในที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ โดยกล่าวหาประเทศตะวันตกว่าพยายามยุยงให้เยอรมนีกับโซเวียตต้องขัดแย้งกัน..ประเทศตะวันตกส่งคณะผุ้แทนทหารไปยยังรุสเซีย แต่ฮิตเลอร์มุ่งเข้าตีโปแลนด์และเข้าเจรจากับสหภาพโซเวียตก่อนแล้ว และทั่งโลกก็ต้องตะลึงเมื่อศัตรูทางอุดมการณ์สองฝ่ายลงนามในความตกลงร่วมกันระหว่างริบเบนทรอปและโมโลดอฟ เรียกว่า nazi-soviet pact กติกาสัญญานาซี-โซเวียต ณ มอสโก สัญญานี้เป็นสัญญาพาณิชย์และตกลงไม่รุกรานกันนานสิบปี เยอรมนีให้โซเวียตได้เชื่อสินค้าจักรกลเพื่อแลกกับวัตถุดิบและรับประกันว่าต่างฝ่ายจะเป็นกลางหากอีฝายถูกโจมตีโดยประเทศที่สาม สองประเทศตกลงสัญญาลับแบ่งเขตแดน การแบ่งโปแลนด์ ทั้งสองประเทศเจรจาต่อรองทางการทูตเหมือนสมัยนโปลียนกับซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ในสนธิสัญญาทิลสิต สัญญานี้ทำให้เยอรมันเบาใจว่าจะได้ทำสงครามโดยไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง สตาลินคิดว่าได้ประสบความสำเร็จทางการทูตและป้องกันรุสเซียไม่ให้ถูกโจมตี และใช้แดนกันกระทบกันโลกทุนนิยมให้หันไปสู้กันเอง และรุสเซียจะตัดสินให้ยุโรป..
เยอรมนีใช้ยุทธการสายฟ้าฟาด โจมตีโปแลนด์สตลินเป็นกังวลและเกรงว่าเยอรมนีอจาจัดสินใจบุดโซเวียต ฝรั่งเศสยังนิ่งเฉยและสตาลินเผชิญทางสองแพร่ง คือบุกโปแลนด์และวเสี่ยงให้ประเทศตะวันตกประกาศสงครามหรือยู่เฉยๆ
ในที่สุดจึงตัดสินใจบุกโปแลนด์ โดยทำการต่อรองกับเยอรมนีแลกส่นที่ชาวลิธัวเนียอาศัยกับชาวโปแลนด์อาศัยซึ่งโซเวียตครองอยู่ ฟินแลนด์อยู่ในเขตที่รุสเซียจำเป็นต้องมีอิทธิพลคบลคุมได้เพื่อป้องกันตนเอง สตาลินต้องการให้พรมแดนฟินน์เขยิบออกไปห่างจากเลนินกราดมากขึ้น จึงเสนอของแลกดินแดนฟินน์ที่อยู่ใกล้เลนินกราดกับส่วนหนึ่งของโซเวียตคาเรเลีย ชาวฟินน์ยอมให้บางประการ แต่ปฏิเสธไม่ให้โซเวียตตั้งฐานทัพเรือในดินแดนของตน โซเวียตจึงเพิกถอนกติกสัญญาไม่รุกรานและโจมตีฟินแลนด์ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 1939
ขณะที่ทหารเยอรมันกำลังรุกคืบเข้าในโปแลนด์ ทหารรุสเซียได้บุกเข้าทางตะวันออกของโปแลนด์ โดยอ้างว่าทหารรุสเซียจำเป็นที่จะต้องให้ความคุ้มครองแก่ชาวอูเครนและรุสเซียขาว
ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในโปแลนด์ เมื่อทหารเยอรมันยึดครองกรุงวอร์ซอเมืองหลวงของโปแลนด์ได้แล้ว ในวันต่อมาเยอรมันและรุสเซียก็ตกลงที่จะแบ่งประเทศโปแลนด์เป็นเขตยึดครองของเยอรมันและรุสเซียตามข้อตกลงลับ ฮิตเลอร์ประกาศในรัฐสภาเยอรมันว่า เยอรมันพร้อมที่จะสงบศึกและเป็นมิตรกับมหาอำนาจตะวันตก แชมเบอร์ เลน ประกาศในรัฐสภาอังกฤษปฏิเสธข้อเสนอของฮิตเลอร์ อังกฤษส่งทหารของตนเข้าเสริมแนวรบตามชายแดนของประเทศเนเธอร์แลนด์และเบลเยียมที่ติดกับแนวชายแดนประเทศเยอรมัน วันที่ 30 พฤศจิกายน ปี 1939 ทหารรุสเซียบุกประเทศฟินแลนด์กองทัพฟินน์ต้านทานกำงโซเวียตอย่างเต็มที่ ฝ่ายรุสเซียบาดเจ็บล้มตายเป็ฯอันมาก เนื่องจากทัพรุสเซียอ่อนแดจาการกวาดล้าง แต่สตาลินได้แก้ไขและสามารถทะลายแนวป้องกันของฟินน์ได้ ประเทศตะวันตกตำหนิรุสเซีย และขับออกจากสันนิบาตชาติ รัฐบาลฟินแลนด์เรียกร้องขอความช่วยเหลือจากประเทศต่าง ๆ แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจาประเทศใดๆ จึงต้องยอมเซ็นสัญญาสงลศึกกับรุสเซีย
สตาลินสืบทอดอำนาจจาก วลาดิมีร์ เลนิน และนำโซเวียตก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก โจเซฟ สตาลิน ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา ชื่อจริงคือ “โยเซบ เบซาริโอนิส ดเซ จูกาชวิลลี”
“โซซ่า” คือชื่อเรียกของเขาในวัยเด็ก พ่อของเขาเป็นช่างทำรองเท้าชอบทุบตีคนในครอบครัวยามเมาสุราเสมอ เมื่อพ่อเขาย้ายไปเมืองอื่น เขาต้องอยู่กับมารดาเพียงลำพังในสภาพแวดล้อมของเมืองที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม การเอารัดเอาเปรียบ ความรุนแรงตามท้องถนน สภาพแวดล้อมทางสังคมและความรุนแรงในครอบครัวบ่มนิสัยสตาลินให้เป็ฯก้าวร้าว เขาเกลียดชังชาวยิวที่อยู่ในเมืองทั้งๆ ที่เมืองที่เขาอยู่ไม่มีใครต่อต้านชาวยิวเลย ชาวยิวนิยมประกอบอาชีพนายทุนเงินกู้ มารดาของเขาต้องกู้เงินจากนายทุนชาวยิวซึ่งเรียกดอกเบี้ยราคาแพง และยึดสิ่งของในล้านเป็นค่าปรับ ทำให้เขาเกลียดแค้นชาวยิว
มารดาสตาบินเป็นผู้เคร่งในศีลธรรม เธอตัดสินใจให้สตาลินบวชเป็ฯพระและเข้าเรียนในโรงเรียนสามเณรกอรีซึ่งเป็นโรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่ง ด้วยความอุปการะจากเศรษฐีชาวจอร์เจียชื่อยาคอฟที่มารดาเขาทำงานเป็นแม่บ้าน ซึ่งสตาลินเป้ฯคนที่สำนึกในบุญคุฯคน เมือเขามีบุตรชายคนแรก เขาได้ตั้งชื่อว่ายาคอฟ ตามชื่อผู้ที่อุปการะเขา
สตาลินเป็นคนขยัน ความจำดีและหัวไว ได้รับทุนการศึกษาของโรงเรียน และได้รับเลือกให้เป็นนักเรียนตัวอย่าง สตาลินสอบได้ลำดับที่ 1 ทุกครั้ง สตาลินมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง เขามักถูกจ้างไปร้องเพลงในงานแต่งงานเสมอ ความชื่นชอบในการละเล่นและกีฬา สตาลินชื่นชอบการตะลุมบอน เป็นการละเล่นและกีฬาพื้นเมือง ที่แบ่งกลุ่มผู้เล่นออกไป 2 ฝั่ง จากนั้นก็จะเขาตะลุมบอนกันแบบไม่มีความปราณี
ด้วยความทะเยอทะยานทำให้สตาลินได้เริ่มมีบทบาทสำคัญในพรรคบอลเชวิค หลังจากที่พรรคบอลเชวิคทำการปฏิวัติโค่นล้มระบอบกษัตริย์ลงแล้ว สตาลินได้รับตำแหน่าง คอมมิสซาร์ประชาชนเพื่อกิจการชนชาติต่าง ๆ เมือเลนินล้มป่วย สตาลินก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นและเป็นเลขาธิการพรรค
กระทั่งเมื่อเลนินเสียชีวิตในปี 1924 เกิดการแย่งชิงอำนาจระหว่างสตาลินกับ ลีออน ทรอตสกี สุดท้ายสตาลินเป็นฝ่ายชนะ จึงได้เป็นประธานาธิปดีต่อจากเลนิน ทรอตสกีต้องลั้ภัยการเมือไปอยู่เม็กซิโก และถูกลอบสังหารในที่สุด
ระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง ผุ้นำสหภาพโซเวียตเขาถูกเรียกว่า บิดาแห่งชาวสหภาพโซเวียตทั้งปวง เมือศาสนาเป็นสิ่งผิดกฏหมายในรัฐคอมมิวนิสต์ บทบาทของพระเจ้าก็ถูกเล่นโดยสตาลิน..
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1936 มีการจัดตั้งความตกลงร่วมืออักษะโรม-เบอร์ลิน เยอรมนีลงนามในสัญญาเพื่อการต่อต้านโคมินเทอร์นกับญี่ปุ่น และอิตาลีได้เข้าร่วมในปี 1937 สามประเทศตกลงร่วมมือกันต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ทั่วไปโดยเฉพาะรุสเซีย
ขณะที่ฮิตเลอร์เป็นภัยคุกคามต่อสหภาพโซเวียต สตาลินได้พยายามผ่อนคลายความตึงเครียดกับญี่ปุ่นโดยขายหุ้นทางรถไฟสายตะวันออกให้แก่รัฐบาลแมนจูกัวในปี 1935 และฟื้นฟูสัมพันธภาพกับรัฐบาลจีน เจียง ไค เชค เพื่อป้องกันจีนและญี่ปุ่นร่วมมือต่อต้านโซเวียต..
พฤษภาคม 1939 สตาลินกล่าวในที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ โดยกล่าวหาประเทศตะวันตกว่าพยายามยุยงให้เยอรมนีกับโซเวียตต้องขัดแย้งกัน..ประเทศตะวันตกส่งคณะผุ้แทนทหารไปยยังรุสเซีย แต่ฮิตเลอร์มุ่งเข้าตีโปแลนด์และเข้าเจรจากับสหภาพโซเวียตก่อนแล้ว และทั่งโลกก็ต้องตะลึงเมื่อศัตรูทางอุดมการณ์สองฝ่ายลงนามในความตกลงร่วมกันระหว่างริบเบนทรอปและโมโลดอฟ เรียกว่า nazi-soviet pact กติกาสัญญานาซี-โซเวียต ณ มอสโก สัญญานี้เป็นสัญญาพาณิชย์และตกลงไม่รุกรานกันนานสิบปี เยอรมนีให้โซเวียตได้เชื่อสินค้าจักรกลเพื่อแลกกับวัตถุดิบและรับประกันว่าต่างฝ่ายจะเป็นกลางหากอีฝายถูกโจมตีโดยประเทศที่สาม สองประเทศตกลงสัญญาลับแบ่งเขตแดน การแบ่งโปแลนด์ ทั้งสองประเทศเจรจาต่อรองทางการทูตเหมือนสมัยนโปลียนกับซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ในสนธิสัญญาทิลสิต สัญญานี้ทำให้เยอรมันเบาใจว่าจะได้ทำสงครามโดยไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง สตาลินคิดว่าได้ประสบความสำเร็จทางการทูตและป้องกันรุสเซียไม่ให้ถูกโจมตี และใช้แดนกันกระทบกันโลกทุนนิยมให้หันไปสู้กันเอง และรุสเซียจะตัดสินให้ยุโรป..
เยอรมนีใช้ยุทธการสายฟ้าฟาด โจมตีโปแลนด์สตลินเป็นกังวลและเกรงว่าเยอรมนีอจาจัดสินใจบุดโซเวียต ฝรั่งเศสยังนิ่งเฉยและสตาลินเผชิญทางสองแพร่ง คือบุกโปแลนด์และวเสี่ยงให้ประเทศตะวันตกประกาศสงครามหรือยู่เฉยๆ
ในที่สุดจึงตัดสินใจบุกโปแลนด์ โดยทำการต่อรองกับเยอรมนีแลกส่นที่ชาวลิธัวเนียอาศัยกับชาวโปแลนด์อาศัยซึ่งโซเวียตครองอยู่ ฟินแลนด์อยู่ในเขตที่รุสเซียจำเป็นต้องมีอิทธิพลคบลคุมได้เพื่อป้องกันตนเอง สตาลินต้องการให้พรมแดนฟินน์เขยิบออกไปห่างจากเลนินกราดมากขึ้น จึงเสนอของแลกดินแดนฟินน์ที่อยู่ใกล้เลนินกราดกับส่วนหนึ่งของโซเวียตคาเรเลีย ชาวฟินน์ยอมให้บางประการ แต่ปฏิเสธไม่ให้โซเวียตตั้งฐานทัพเรือในดินแดนของตน โซเวียตจึงเพิกถอนกติกสัญญาไม่รุกรานและโจมตีฟินแลนด์ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 1939
ขณะที่ทหารเยอรมันกำลังรุกคืบเข้าในโปแลนด์ ทหารรุสเซียได้บุกเข้าทางตะวันออกของโปแลนด์ โดยอ้างว่าทหารรุสเซียจำเป็นที่จะต้องให้ความคุ้มครองแก่ชาวอูเครนและรุสเซียขาว
ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในโปแลนด์ เมื่อทหารเยอรมันยึดครองกรุงวอร์ซอเมืองหลวงของโปแลนด์ได้แล้ว ในวันต่อมาเยอรมันและรุสเซียก็ตกลงที่จะแบ่งประเทศโปแลนด์เป็นเขตยึดครองของเยอรมันและรุสเซียตามข้อตกลงลับ ฮิตเลอร์ประกาศในรัฐสภาเยอรมันว่า เยอรมันพร้อมที่จะสงบศึกและเป็นมิตรกับมหาอำนาจตะวันตก แชมเบอร์ เลน ประกาศในรัฐสภาอังกฤษปฏิเสธข้อเสนอของฮิตเลอร์ อังกฤษส่งทหารของตนเข้าเสริมแนวรบตามชายแดนของประเทศเนเธอร์แลนด์และเบลเยียมที่ติดกับแนวชายแดนประเทศเยอรมัน วันที่ 30 พฤศจิกายน ปี 1939 ทหารรุสเซียบุกประเทศฟินแลนด์กองทัพฟินน์ต้านทานกำงโซเวียตอย่างเต็มที่ ฝ่ายรุสเซียบาดเจ็บล้มตายเป็ฯอันมาก เนื่องจากทัพรุสเซียอ่อนแดจาการกวาดล้าง แต่สตาลินได้แก้ไขและสามารถทะลายแนวป้องกันของฟินน์ได้ ประเทศตะวันตกตำหนิรุสเซีย และขับออกจากสันนิบาตชาติ รัฐบาลฟินแลนด์เรียกร้องขอความช่วยเหลือจากประเทศต่าง ๆ แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจาประเทศใดๆ จึงต้องยอมเซ็นสัญญาสงลศึกกับรุสเซีย
วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556
WWII:Second World War(ปะทุ)
การดำเนินนโยบายของประเทศมหาอำนาจประชาธิปไตยซึ่งเป็นผลดีต่อฝ่ายอักษะ และด้วยความไม่พอใจในสนธิสัญญาแวร์ซายส์ และด้วยนโยบายของทางเยอรมันเองที่ไม่ยอมรับสนธิสัญญาแวร์ซายดังกล่าว และเรียกร้องดินแดนที่เคยเป็นของเยอรมันคืน
ฮิตเลอร์ประชุมรัฐมนตรีและนายพลทหารที่สำคัญๆ โดยพูดถึงแผนการณ์ที่จะทำการรวมประเทศออสเตรียกับประเทศเยอรมนี และจะใช้กำลังบุกยึดครองประเทศเชคโกสโลวาเหีย แต่แผนการถูกคัดค้าน ผู้คัดค้านถูกปลดจากตำแหน่ง ฮิตเลอร์จึงดำเนินนโยบายต่อไป
ฮิตเลอร์ยืนคำขาดออสเตรีย ให้มอบตำแนห่งในแก่ เส อินควร์ท ซึ่งเป็นผู้นำชั้นแนวหน้าของพรรคนาซีออสเตรีย กองทัพเยอรมนีเดินทัพเข้าออสเตรียโดยไม่มีการต่อต้านใดๆ ฮิตเลอร์ประกาศว่าออสเตียรวมเข้าเป็ฯมณฑลหนึ่งของเยอรมนีแล้ว
ชาวเยอรมันซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในคแล้วซือเดเทนพรมแดนเชคโกสโลวัคเกียติดกับเยอรมนีเรียกร้องให้รัฐบาลเชคฯเพื่อขอสิทธิในการปกครองตนเอง มหาอำนาจในยุโรปเกรงจะเกิดสงครามจากเหตุนี้จึงประชุมกันและมีมติให้ยกแค้วนนี้ให้กับเยอรมนีโดยทางฝ่ายเชคฯไม่รู้ในการตัดสินใจดังกล่าว แต่แล้วเยรมนีก็ยาตราทัพเข้าสู่เชคฯและยึดครองประเทศเชคโกสโลวาเกียทั้งหมด ฮิตเลอร์ประกาศให้เชคโกสโลวาเกียเป็นมณฑลหนึ่งของเยอรมนี อังกฤษรู้สึกวุ่นวายใจกับการกระทำของเยอรมนีครั้งนี้ และนายก แชมเบอร์ เลน ประกาศในรัฐสภาอังกฤษว่า เขารู้สึกเป็นห่วงและหนักใจต่อสถานการณ์ของโลกในภายหน้าเป็นอย่างมาก เพราะไม่ทราบว่าจะมีเหตุการ์อะไรเกิดขึ้นอีก..
นับตั้งแต่เยรอมันบุกยิดดินแดนแถบลุ่มน้ำไรน์ รวมประเทศออสเตรียแค้วนซ์อเดเทน โดยเยอมันอ้างว่าเป้ฯการรวมชนชาติเยอรมันในดินแดนต่างให้กลับมาอยู่รวมกัน การกระทำของเยอรมันสร้างสถานการณ์โลกให้ปั่นป่วนและไม่น่าไว้วางใจ แต่การรวมเชคโกฯเป็นดินแดนภายใต้อารักขาของเยอรมัน ทำให้นานาประเทศตั้งคำถามขึ้นมาว่า นี่เป็นการสิ้นสุดการผจญภัยของเยอรมันหรือเป็นเพียงการเริ่มต้นของการผจญภัยของโลกกันแน่
แต่แล้ว 21 มีนา 1939 ฮิตเลอร์ได้เรียกร้องให้โปแลนด์คือฉนวนโปแลนด์ และเมืองดานชิก เพื่อเป็นการแลกกับการประกันความปลอดภัยแห่งเอกราชของโปแลนด์ โปแลนด์ปฏิเสธที่จะคืนเมืองดานซิกและฉนวนโปแลนด์ให้กับเยอรมัน ฮิตเลอร์จึงสังให้หนังสือพิมพ์ในประเทศทำการ
ประโคมข่าวว่าชาวเยอรมันในโปแลนด์ถูกข่มเหงต่าง ๆนาๆ และยั่วยุให้ชาวเยอรมันในโปแลนด์ก่อความไม่สงบขึ้น เพื่อจะได้เข้าแทรกแซงทางการทหาร ..เชมเบอเลน กรงว่าเยอรมันจะทำการรุกแรงต่อโปแลนด์ จงประกาศว่าอังกฤษและฝรั่งเศสพร้อมจะให้ความช่วยเหลือแก่โปแลนด์ ถ้าเอกราช
ของโปแลนด์ถูกคุกคาม ประธานาธิปดี รุสเวลท์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ส่งสาส์นถึงฮิตเลอร์ขอร้องให้ฮิตเลอร์เห็นแก่ความสงบสุขของยุโรปและขอให้ฮิตเลอร์สัญญาว่า เยอรมันจะไม่ทำการคุกคามดินแดนของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปอีก
ฮิตเลอร์ประกาศตอบรุสเวลท์ทางวิทยุกระจายเสียงของเยอรมันว่า “เขาทราบซึ้งและตระหนักถึงคำว่าเอกราชของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปและความสงบสุขของโลเป็นอย่างดี เขายืนยันว่าเขาไม่เห็นคุนค่าของสงครามและไม่ทราบว่า เยอรมันจะก่อสงครามเพื่อประโยชน์ใด อย่างไรก็ตาม เขาไม่พอใจที่อังกฤษแสดงบทบาทที่ไม่เป็นมิตรต่อประเทศเยอรมนี โดยการทำสัญญามิตรภาพและช่วยเหลือทางทหารกับโปแลนด์ เพื่อเป็นการต่อต้านการกระทำของอังกฤษและโปแลนด์ เขาจึงขอเพิกถอนข้อตกลงทางนาวีที่ทำกับอังฏฤษ และขอเพิกถอนสัญญาไม่รุกรานที่ทำไว้กับโปแลนด์ด้วย”
31 สิงหาคม 1939 รัฐบาลเยอรมันประกาศทางวิทยุเรียกร้องให้รัฐบาลโปแลนด์ส่งผู้แทนที่มีอำนาจเต็ม ไปเจรจากับรัฐบาลเยอรมันภายใน24 ชั่วโมง เพื่อตกลงปัญหาต่าง ๆ แต่ก็ไม่เป็นผลประการใด มีการยิงถล่มด่านตรวจตามชายแดนต่าง ๆ ของเยอรมนี ฮิตเลอรเซ้นคำสั่งให้ทหารเยอมันบุกประเทศโปแลนด์ในวันต่อมา
1 กันยายน 1939 กองทัพเยอมันทุกหน่วยทำการโจมตีโปแลนด์ เรื่อรบของเยอรมันระดมยิงปืนเรือเข้าใส่เมืองต่าง ๆ ของโปแลนด์ที่อยู่ติดกับทะเลบอลติก เครื่องบินเยอรมันเป็นจำนวนมากทิ้ระเบิดตามเมืองต่าง ๆ กองทัพเยอรมันภายใต้การบัญชาการของ นายพล วัลเตอร์ ฟอน เบราชิทช์ บุกทะลวงเข้าไปในประเทศโปแลนด์ อังกฤษและฝรั้งเศสได้ทำการประท้วงและเรียกร้องให้เยอรมันถอนทหารกลับ เมื่อเยอรมันไม่ปฏิบัตตาม วันที่ 3 กัยนายน เวลา 11.00 อังกฤษจึงประกาศสงครามกับเยอรมัน และ เวลา 17.00 ฝรั่งเศสจึงประกาศสงครามกับเยอรมัน
ฮิตเลอร์ประชุมรัฐมนตรีและนายพลทหารที่สำคัญๆ โดยพูดถึงแผนการณ์ที่จะทำการรวมประเทศออสเตรียกับประเทศเยอรมนี และจะใช้กำลังบุกยึดครองประเทศเชคโกสโลวาเหีย แต่แผนการถูกคัดค้าน ผู้คัดค้านถูกปลดจากตำแหน่ง ฮิตเลอร์จึงดำเนินนโยบายต่อไป
ฮิตเลอร์ยืนคำขาดออสเตรีย ให้มอบตำแนห่งในแก่ เส อินควร์ท ซึ่งเป็นผู้นำชั้นแนวหน้าของพรรคนาซีออสเตรีย กองทัพเยอรมนีเดินทัพเข้าออสเตรียโดยไม่มีการต่อต้านใดๆ ฮิตเลอร์ประกาศว่าออสเตียรวมเข้าเป็ฯมณฑลหนึ่งของเยอรมนีแล้ว
ชาวเยอรมันซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในคแล้วซือเดเทนพรมแดนเชคโกสโลวัคเกียติดกับเยอรมนีเรียกร้องให้รัฐบาลเชคฯเพื่อขอสิทธิในการปกครองตนเอง มหาอำนาจในยุโรปเกรงจะเกิดสงครามจากเหตุนี้จึงประชุมกันและมีมติให้ยกแค้วนนี้ให้กับเยอรมนีโดยทางฝ่ายเชคฯไม่รู้ในการตัดสินใจดังกล่าว แต่แล้วเยรมนีก็ยาตราทัพเข้าสู่เชคฯและยึดครองประเทศเชคโกสโลวาเกียทั้งหมด ฮิตเลอร์ประกาศให้เชคโกสโลวาเกียเป็นมณฑลหนึ่งของเยอรมนี อังกฤษรู้สึกวุ่นวายใจกับการกระทำของเยอรมนีครั้งนี้ และนายก แชมเบอร์ เลน ประกาศในรัฐสภาอังกฤษว่า เขารู้สึกเป็นห่วงและหนักใจต่อสถานการณ์ของโลกในภายหน้าเป็นอย่างมาก เพราะไม่ทราบว่าจะมีเหตุการ์อะไรเกิดขึ้นอีก..
แต่แล้ว 21 มีนา 1939 ฮิตเลอร์ได้เรียกร้องให้โปแลนด์คือฉนวนโปแลนด์ และเมืองดานชิก เพื่อเป็นการแลกกับการประกันความปลอดภัยแห่งเอกราชของโปแลนด์ โปแลนด์ปฏิเสธที่จะคืนเมืองดานซิกและฉนวนโปแลนด์ให้กับเยอรมัน ฮิตเลอร์จึงสังให้หนังสือพิมพ์ในประเทศทำการ
ประโคมข่าวว่าชาวเยอรมันในโปแลนด์ถูกข่มเหงต่าง ๆนาๆ และยั่วยุให้ชาวเยอรมันในโปแลนด์ก่อความไม่สงบขึ้น เพื่อจะได้เข้าแทรกแซงทางการทหาร ..เชมเบอเลน กรงว่าเยอรมันจะทำการรุกแรงต่อโปแลนด์ จงประกาศว่าอังกฤษและฝรั่งเศสพร้อมจะให้ความช่วยเหลือแก่โปแลนด์ ถ้าเอกราช
ของโปแลนด์ถูกคุกคาม ประธานาธิปดี รุสเวลท์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ส่งสาส์นถึงฮิตเลอร์ขอร้องให้ฮิตเลอร์เห็นแก่ความสงบสุขของยุโรปและขอให้ฮิตเลอร์สัญญาว่า เยอรมันจะไม่ทำการคุกคามดินแดนของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปอีก
ฮิตเลอร์ประกาศตอบรุสเวลท์ทางวิทยุกระจายเสียงของเยอรมันว่า “เขาทราบซึ้งและตระหนักถึงคำว่าเอกราชของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปและความสงบสุขของโลเป็นอย่างดี เขายืนยันว่าเขาไม่เห็นคุนค่าของสงครามและไม่ทราบว่า เยอรมันจะก่อสงครามเพื่อประโยชน์ใด อย่างไรก็ตาม เขาไม่พอใจที่อังกฤษแสดงบทบาทที่ไม่เป็นมิตรต่อประเทศเยอรมนี โดยการทำสัญญามิตรภาพและช่วยเหลือทางทหารกับโปแลนด์ เพื่อเป็นการต่อต้านการกระทำของอังกฤษและโปแลนด์ เขาจึงขอเพิกถอนข้อตกลงทางนาวีที่ทำกับอังฏฤษ และขอเพิกถอนสัญญาไม่รุกรานที่ทำไว้กับโปแลนด์ด้วย”
31 สิงหาคม 1939 รัฐบาลเยอรมันประกาศทางวิทยุเรียกร้องให้รัฐบาลโปแลนด์ส่งผู้แทนที่มีอำนาจเต็ม ไปเจรจากับรัฐบาลเยอรมันภายใน24 ชั่วโมง เพื่อตกลงปัญหาต่าง ๆ แต่ก็ไม่เป็นผลประการใด มีการยิงถล่มด่านตรวจตามชายแดนต่าง ๆ ของเยอรมนี ฮิตเลอรเซ้นคำสั่งให้ทหารเยอมันบุกประเทศโปแลนด์ในวันต่อมา
1 กันยายน 1939 กองทัพเยอมันทุกหน่วยทำการโจมตีโปแลนด์ เรื่อรบของเยอรมันระดมยิงปืนเรือเข้าใส่เมืองต่าง ๆ ของโปแลนด์ที่อยู่ติดกับทะเลบอลติก เครื่องบินเยอรมันเป็นจำนวนมากทิ้ระเบิดตามเมืองต่าง ๆ กองทัพเยอรมันภายใต้การบัญชาการของ นายพล วัลเตอร์ ฟอน เบราชิทช์ บุกทะลวงเข้าไปในประเทศโปแลนด์ อังกฤษและฝรั้งเศสได้ทำการประท้วงและเรียกร้องให้เยอรมันถอนทหารกลับ เมื่อเยอรมันไม่ปฏิบัตตาม วันที่ 3 กัยนายน เวลา 11.00 อังกฤษจึงประกาศสงครามกับเยอรมัน และ เวลา 17.00 ฝรั่งเศสจึงประกาศสงครามกับเยอรมัน
วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556
ก้าวเข้าสู่สงคราม
- นโยบายการต่างประเทศและการดำเนินการทางการทูตของมหาอำนาจในยุโรปส่งผลถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเริ่มมาตั้งแต่สนธิสัญญาสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สร้างความไม่พอใจให้ประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ เยอรมนีไม่พอใจปัญหาค่าปฏิกรรมสงครามและการเสียดินแดน..อิตาลีไม่พอใจปัญหาการแบ่งดินแดนภายหลังสงคราม.. สภาคองเกรสของหเมริกาไม่ยอมลงนามรับรองสนธิสัญญาแวร์ซายเพราะมีความรู้สึกว่าสนธิสัญญาแวร์ซายส์เป็นสนธิสัญญาที่ขาดความยุติธรรม เป็นต้น
- ประเทศมหาอำนาจในยุโรปหาทางป้องกันการเกิดสงครามขึ้นอีกในอนาคต มีการจัดตั้งองค์การสันนิบาตชาติในปี 1919 เพื่อสันติภาพของโลก และเพื่อความร่วมมือกันระหว่างประเทศ
- ญี่ปุ่นรุกรานแมนจูเรียของจีน เป็นการเริ่มเปิดฉากและส่งสัญญาณให้รู้ว่าสงครามโลกอาจเกิดขึ้นในไม่ช้า..จีนร้องเรียนสันนิบาตชาติให้ลงโทษ..ญี่ปุ่นลาอกจากสันนิบาตชาติในปี 1933
- ฮิตเลอร์ปกครองเยอรมนีมีนโยบายยกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซายส์
- นโยบายประเทศมหาอำนาจประชาธิปไตย ความขัดแย้งของนโยบายกลุ่มประเทศมหาอำนาจประธิปไตยขัดแย้งกัน และนโยบายผ่อนปรนด้วยเกรงจะเกิดสงครามครั้งใหม่ขึ้นอีก ล้วนส่งผลดีต่อกลุ่มประเทศเผด็จการ ประกอบกับความไม่กล้าตัดสินใจหากไม่มีการสนับสนุนจากประเทศประชาธิไตยด้วยกัน และการไม่พร้อมที่จะรบเนื่องจากความบอบช้ำจากสงครามครั้งที่แล้ว
- แกนโรม-เบอร์ลิน การลงโทษขององค์การสันนิบาติชาติไม่เป็นผลต่ออิตาลีในกรณีการรุกรานเอธิโอเปีย
- การวางตัวเป็นกลางของกลุ่มประเทศมหาอำนาจประชาธิปไตยในสงครามกลางเมืองของสเปน.. นาพลฟรังโก เข้วยึดการปกครองจากรัฐบาลฝ่ายซ้ายได้รับการสนับสนุนจากพวกคอมมิวนิสต์ นาซีเยอรมันและฟาสซิสต์อิตาลีส่งกำลังทหารและอาวุธช่วยเหลือนายพลฟรังโกทำการปฏิวัติ รุสเว๊ยเข้าช่วยเหลือฝ่ายรัฐบาล แต่กลุ่มประเทศมหาอำนาจวางตนเป็นกลาง สงครามสิ้นสุดลงเมือกลุ่มชาตินินยมของนายพลฟรังโก เข้ายึดกรุงแมดริคได้
- ข้อตกลง เยอรมนี-ญี่ปุ่น ความคล้ายคลึงกันของทั้งสองประเทศในหลายด้านจึงนำมาซึ่งความเป็นพันธมิตรกันกล่าวคือ การปกครองในระบอบเผด็จการ ต่อต้านคอมมิวนิสต์รุสเซีย มีนโยบายขัดแย้งกับองค์การสันนิบาตชาติ เป็นต้น ทั้ง 2 ประเทศร่วมลงนามต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ ในปีต่อมาอิตาลีเข้าร่วมลงนามด้วย และในปี 1941 มีประเทศอื่นๆ เข้าร่วมอีก 11 ประเทศ
- ความสัมพันธ์ เยอรมนี-รุสเซีย มีนาคม 1939 สตาลินทำข้อตกลงกับฮิตเลอร์ การที่เยอรมนีมี
สัมพันธ์ไม่ตรีกับรุสเซียครั้งนี้ อาจทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสไม่กล้าเข้าแทรกแซงโปแลนด์เมือโปแลนด์ถูกรุกราน รุสเซียตกลงกับเยอรมนีอย่างไม่เป็นทางการว่า รุสเซียจะวางตนเป็นกลางในขณะที่เยอรมนีเข้ารุรานโปแลนด์ แลกกับโปแลนด์ตะวัออก ฟินแลนด์ เอสโทเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย และเบราเบีย ทั้ง 2 ประเทศลงนามในสนธิสัญญานาซี-โซเวียต แพค
Second Sino-Japanese War
สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 เกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมากลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สองเรียกว่า “สงครามแปซิฟิก” และดำเนินเรื่อยมากระทั่งยุติลงพร้อมกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใทวีปเอเซียในคริสตวรรษที่ 20
สถานการณ์ภายในของจีนเป็ฯปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นสามารดำเนินนโยบายรุก ญี่ปุ่นเล็งเห็นผลประโยชน์ในดินแดนแมนจูเรียหลายประการ อาทิทรัพยากรทางธรรมชาและวัตถุดิบอุตสาหกรรม เป็นแหล่งกระจายสินค้าจากญี่ปุ่น และยังเป็นรัฐกันชนระหว่างญี่ปุ่นกับดินแดนไซบีเรียของโซเวียต
ญี่ปุ่นเริ่มรุกรานดินแดนแมนจูอยางเปิดเผยภายหลังกรณีมุกเดน( มุกเดนหรือ เสิ่นหยางในปัจจุบัน อยู่ทางแมนจูเรียตอนใต้ ซึ่งส่วนหนึ่งของทางรถไฟที่ญี่ปุ่นยึดครองในขณะนั้นเกิดระเบิดขึ้น กองทัพญี่ปุ่นจึงใช้เป้ฯข้ออ้างในการรุกรานแมนจูเรีย และนำมาสู่การก่อตั้ง แมนจูกัว)หลังจากปะทะกันนาน 5 เดือน ญี่ปุ่นได้จัดตั้งรัฐหุ่นเชิดแมนจูกัวขึ้นอดีตจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิง เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและจักรพรรดิแต่เพียงในนาม รัฐบาลจีนไม่สามารถตอบโต้ทางทหารได้จึงร้องเรียนของความช่วยเหลือไปยังสันนิบาตชาติ เพื่อให้ทำการสอบสวนและประณามการกระทำของญี่เป่นในการรุกรานแมนจูเรีย ญี่ปุ่นจึงต้องถอนตัวออกจากสันนิบาตชาติโดยสิ้นเชิง แต่ยังไม่มีชาติใดดำเนินนโยบายตอบโต้ทางการทหารอย่างชัดเจนแก่ญี่ปุ่น การปะทะกันในเหตุการณ์ 28 มกราคม ได้เกิดการจัดตั้งเขตปลอดทหารเซี่ยงไฮ้ขึ้นกองทัพจีนไม่สามารรถคงกำลังทหารไว้ในเมืองเซี่ยงไฮ้ของตนเองได้ทางด้านแมนจูกัวญี่ปุ่นพยายามดำเนินตามนโยบายของตนในการทำลายกองกำลังอาสาสมัคราต่อต้านญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นและกระจายเป็นวงกว้าง ต่อมาญี่ปุ่นเข้าโจมตีบริเวฯกำแพงเมืองจีน หลังจากนั้นได้มีการเจรจาพักรบตางกู ญี่ปุ่นมีอำนาจเหนือดินแดนเร่อเหอทั้งยังจัดตั้งเขตปลอดทหารบริเวณกำแพงเมืองจีนและเมืองปักกิ่ง ในจุดนี้ญี่ปุ่นพยายามจะจัดตั้งรัฐหุ่นเชิดขึ้นอีกหนึ่งแห่งระหว่างดินแดนแมนจูกัวกับดินแดนแมนจูกัวกับดินแดนของคณะรัฐบลแห่งชาติจีนที่มีฐานบัญชาการอยู่ที่นานกิง ซึ่งญี่ปุ่นทราบจุดอ่นของรัฐบาลแห่งชาติดีว่า ภายหลังการเดินทางขึ้นเหนือของคณะรัฐบาลแห่งชาติจีนอำนาจการปกครองประเทศของรัฐบาลแห่งชาตินั้นจำกัดอยู่ภายใต้อิทธิพลของเหล่าขุนศึกท้องถิ่น ญี่ปุ่นจึงพยายามผูกไม่ตรีและให้ความช่วยเหลือแก่เหล่าขุนศึกท้องถ่นในการจัดตั้งรัฐอิสระขึ้นโดยให้เป็นไมตรีกับญี่ปุ่น
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ส่วนมากระบุจุดเริ่มต้นของสงครามจีนกับญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ไว้เมื่อวันที่ 7 กรกฏาคม 1937 การปะทะเริ่มด้วยเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล ใกล้ปักกิ่งในคืนวัน ที่ 7 เกิดเหตุการณ์การยิงกันระหว่างทหารจีนกับทหารญี่ปุ่น ในขณะที่ทหารญี่ปุ่นกำลังคิดฉ้อฉล การต่อสู้ได้แพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วและกลายเป้นสงครามในไม่กี่สัปดาห์ ทางฝ่ายจีนมีการต่อต้านอย่างดื้อดึง และฝ่ายญี่ปุ่นเองขาดสิทธิขาดจนดูเหมือนว่าเต็มใจจะให้เกิดข้อตกลงระดับท้องถิ่น ทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายกองบัญชาการทหารระดับสูง นายทหารหลายคนไม่เต็ใจที่จะให้กองทัพผู้มัดตัวเองในประเทศจีนและละทิ้งแมนจูเรียและมองโกเลีย ซึ่งจะเปิดโอกาศในถูกจู่โจมจากรุสเซีย
ทันที่ที่มีการปฏิบัติการแล้ว โตเกียวทำการเสริมกำลังรบ ในต้นเดือนสิ่งหาคม เทียนสินและปักกิ่งถูกยึดครอง เดือนกันยายนทหารกวา 150,000นายเคลื่อนพลเข้าจีน สงครามขยายสู่ทางใต้ ซึ่งเริ่มต้นที่เซียงไฮ้ มีการรบกันอย่างหนัก และบุกทลวงขึ้นไปตามแม่น้ำแยงซีสู่กรุงนานกิง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ เจียง ไค เชค ญี่ปุ่นยึดนานกิงได้ในเดือนธันวาคม และกลายเป็นฉากแห่งการทำลายล้างผลาญชีวิตผู้คนด้วยนำมือผู้คนด้วยกันครั้งเลวร้ายที่สุดของสงคราม กองทหารญีปุ่นหย่อนระเบียบวินัย การฆาตกรรม ปล้นสะดม เผลาผลาญ ขมขื่น เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการกล่าวขานในเวลาต่อมาว่า “การข่มขืนที่นานกิง”
ข้อเรียกร้องของจีนถูกเพิกเฉยจากองค์กรสันนิบาตแห่งชาติ ทั้งประเทศเตรียมพร้อมที่จะทำสงครามเต็มขนาด การปิดลิ้มทางทะเลได้ขยายไปทั่วชายฝั่งจีน รวมทั้งเมืองต่าง ๆ ของจีนก็ถูกโจมตีอย่างหนัก กำลังทหารในจีนภาคเหนือและลุ่มน้ำแยงซีเชื่อถึงกันโดยการทางบก เดือนตุลาคมปีเดียวกัน ทหารเคลื่อนพลไปตามลำน้ำแยงซีจนถึงเมืองฮันเค้า กำลังอีกส่วนในภาคใต้ไปถึงเมือกวางตุ้ง เดือนพฤศจิกายน รัฐบาลโคโนประกาศแผนการเพื่อ “ระเบียบแบบแผนใหม่” อันที่จริงแล้วญี่ปุ่นได้ควบคุมพื้นที่ที่มั่งคั้งที่สุดส่วนใหญ่ของจีนไว้ได้หมดแล้วยกเว้นมณฑลเสฉวน
ชัยชนะของญี่ปุ่นไม่สามารถทำให้รัฐบาลพรรคชาตินิยม(The Nationlist Party ของ เจียง..)ยอมแพ้ ลัทธิชาตินิยมขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ
การที่จะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับรุสเซียในไม่กี่ปีข้างหน้า ผุ้นำทางการทหารญี่ปุ่นจึงเปลียนยุทธศาสตร์ แสวงหาความได้เปรียบทางการเมืองมากกว่าทางการทหาร โดยพยายามตัดจีนจากโลกภายนอก ซึ่งนำไปสู่การยึดครองไหนาน ซึ่งเป็นเขตผลประโยชน์ฝรั่งเศส และปิดล้อมเชตสัมปทานอังกฤษและฝรั่งเศสในเทียนสิน ในเวลาต่อมา แผนการดังกล่าวสำเร็จลุล่วงเมือเกิดสงครามขึ้นในยุโรป
เหตุการณ์ในประเทศจีนมีผลกระทบสำคัญมากต่อสัมพันธภาพระหว่างญี่ปุ่นกับบรรดามหาอำนาจเมืออำนาจของญี่ปุ่นขยายออกไปจึงเป็ฯการเอื้อประโยชน์ต่อการค้าของญี่ปุ่น เป็ฯการโจมตีผลประโยชน์อังกฤษและอเมริกในบางระดับ การกระทำบางประการของญี่ปุ่นชักนำเรืออังกฤษและอเมริกาเข้ามาพัวพันในกลุ่มแม่นำแยงซี สิ่งเหล่านี้ช่วยส่งเสริมให้สองประเทศแสดงความเห็นอกเห็ใจจีน
ญี่ปุ่นมีโอกาศที่จะถูกรุสเซียโจมตี การบีบบังคับรุสเซียให้ขายกิจการบริษัทเดินรถไฟสายแมนจูเรียใต้ ทำให้มีพรมแดนร่วมกัน การปะทะกันจึงเกิดมีเป็นระยะๆ ซึ่งญี่ปุ่นต้องคอยระวังพละกำลังของรุสเซีย
การถูกโดดเดียวทางการทูตจากการถอนตัวออกจากองค์การสันนิบาติแห่งชาติ ญี่ปุ่นเริ่มมองหาเพื่อน จึงนำไปสูเยอรมนี…
เมื่อศัตรูของเยอรมนีคือความเชื่อมั่นในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์และต้องการมิตรเช่นเดียวกับญี่ปุ่น ผลคือการลงนามในสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากล เป็ฯองค์การส่งเสริมการปฏิวัติโลกให้เป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีรุสเซียอยู่เบื้องหลัง
กลุ่มอิทธิพลฝ่ายทหาราเร่งเร้า ให้ทำข้อตกลงกับเยอรมนีและจบลงด้วยการเมื่อมีการประกาศสนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนี-รุสเซียในขั้นแรกและรัฐบาลโคโนชุดที่สอง รัฐมนตรีต่างประเทศมีความมั่นใจว่าจะได้เปรียบเยอรมนีจากข้อตกลงร่วมกันและยังเชื่อมั่นว่าเยอรมนีจะเป็นฝ่ายชนะในยุโรป สนธิสัญญาไตรภาคี ญี่ปุ่น เยอรมนีและอิตาลถูกลงนามในเดือน กันยายน 1939 สนธิสัญญาว่าด้วยความเป็นกลาง มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ญี่ปุ่นมีความแน่นอนใจในพรมแดนของภาคเหนือของตนมากยิ่งขึ้น
แผนการขยายอำนาจในเอซียอาคเนย์ ตั้งแต่ปี 1936 ได้มีการลงมติตัดสินใจที่ได้รับการยืนยันอีกครั้งในวงในของคณะรัฐบาลในเดือนกันยายน ว่าญี่ปุ่นควรฉวยโอกาสที่สงครามในยุโปเอื้อต่อการตั้งมั่นในอินโดจีน สยาม(ไทย)พม่า มลายูและกมู่เกาะอินเดียในขึ้นต้น ใช้วิธีทางการทูต โดยจะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกับอเมริกาแต่ในท้ายที่สุดจะใช้กำลังและยอมรับการเสี่ยงทำสงคราม
นายพลโตโจ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีโดยมาจากกระทรวงการสงคราม เขาเป็นคนนิยมใช้อำนาจตามทรรศนะของทหารที่เคร่งครัดเป็นตัวอย่างตัวแทนของกองบัญชาการทหารระดับสูง เขามีแนวทางอันไม่ประณีประนอมซึ่งเหมาะสมกับผู้นำในยามรบ การแต่งตั้งเขาเป้นนายกรัฐมนตรีจึงเป็นการนำไปสู่เผด็จการโดยทหาร เผด็จการโดยคณะเสนธิการทหารและนำไปสู่สงครามในที่สุด
ความพยายามทางการทูตที่จะให้อเมริกาละทิ้งจีนและขยายข้อผ่อนปรนทางเศรษฐกิจเป็นการตอบแทนในการที่ญี่ปุ่นยับยั้งการรุกคือบหน้า การเจรจาล้มเหลว วอชิงตันปฏิเสธข้อเสนอและ 5 วันต่อมาที่ประชุมหน้าพระที่นั่งในโตเกียวมีมติให้โจมตี นักยุทธศาสตร์ญี่ปุ่นเชื่อว่า สหรัฐต้องตะลึงกับบรรดาประเทศในเอเชียที่ถูกรุกราน กองทัพเรืออเมริกาในแปซิฟิคที่สามารถจะคุกคามขอบข่ายการคมนาคมสื่อสารของญี่ปุ่นกับทางใต้นั้นย่อมจะต้องเป็นเป้าแรกของการโจมตี ดังนั้น การโจมตีทางอากาศครั้งสำคัญจึงมุ่งที่ฐานทัพในหมูเกาะฮาไวอิ (Hawaii)คือ เพิลล์ ฮาร์เบอร์
สถานการณ์ภายในของจีนเป็ฯปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นสามารดำเนินนโยบายรุก ญี่ปุ่นเล็งเห็นผลประโยชน์ในดินแดนแมนจูเรียหลายประการ อาทิทรัพยากรทางธรรมชาและวัตถุดิบอุตสาหกรรม เป็นแหล่งกระจายสินค้าจากญี่ปุ่น และยังเป็นรัฐกันชนระหว่างญี่ปุ่นกับดินแดนไซบีเรียของโซเวียต
ญี่ปุ่นเริ่มรุกรานดินแดนแมนจูอยางเปิดเผยภายหลังกรณีมุกเดน( มุกเดนหรือ เสิ่นหยางในปัจจุบัน อยู่ทางแมนจูเรียตอนใต้ ซึ่งส่วนหนึ่งของทางรถไฟที่ญี่ปุ่นยึดครองในขณะนั้นเกิดระเบิดขึ้น กองทัพญี่ปุ่นจึงใช้เป้ฯข้ออ้างในการรุกรานแมนจูเรีย และนำมาสู่การก่อตั้ง แมนจูกัว)หลังจากปะทะกันนาน 5 เดือน ญี่ปุ่นได้จัดตั้งรัฐหุ่นเชิดแมนจูกัวขึ้นอดีตจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิง เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและจักรพรรดิแต่เพียงในนาม รัฐบาลจีนไม่สามารถตอบโต้ทางทหารได้จึงร้องเรียนของความช่วยเหลือไปยังสันนิบาตชาติ เพื่อให้ทำการสอบสวนและประณามการกระทำของญี่เป่นในการรุกรานแมนจูเรีย ญี่ปุ่นจึงต้องถอนตัวออกจากสันนิบาตชาติโดยสิ้นเชิง แต่ยังไม่มีชาติใดดำเนินนโยบายตอบโต้ทางการทหารอย่างชัดเจนแก่ญี่ปุ่น การปะทะกันในเหตุการณ์ 28 มกราคม ได้เกิดการจัดตั้งเขตปลอดทหารเซี่ยงไฮ้ขึ้นกองทัพจีนไม่สามารรถคงกำลังทหารไว้ในเมืองเซี่ยงไฮ้ของตนเองได้ทางด้านแมนจูกัวญี่ปุ่นพยายามดำเนินตามนโยบายของตนในการทำลายกองกำลังอาสาสมัคราต่อต้านญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นและกระจายเป็นวงกว้าง ต่อมาญี่ปุ่นเข้าโจมตีบริเวฯกำแพงเมืองจีน หลังจากนั้นได้มีการเจรจาพักรบตางกู ญี่ปุ่นมีอำนาจเหนือดินแดนเร่อเหอทั้งยังจัดตั้งเขตปลอดทหารบริเวณกำแพงเมืองจีนและเมืองปักกิ่ง ในจุดนี้ญี่ปุ่นพยายามจะจัดตั้งรัฐหุ่นเชิดขึ้นอีกหนึ่งแห่งระหว่างดินแดนแมนจูกัวกับดินแดนแมนจูกัวกับดินแดนของคณะรัฐบลแห่งชาติจีนที่มีฐานบัญชาการอยู่ที่นานกิง ซึ่งญี่ปุ่นทราบจุดอ่นของรัฐบาลแห่งชาติดีว่า ภายหลังการเดินทางขึ้นเหนือของคณะรัฐบาลแห่งชาติจีนอำนาจการปกครองประเทศของรัฐบาลแห่งชาตินั้นจำกัดอยู่ภายใต้อิทธิพลของเหล่าขุนศึกท้องถิ่น ญี่ปุ่นจึงพยายามผูกไม่ตรีและให้ความช่วยเหลือแก่เหล่าขุนศึกท้องถ่นในการจัดตั้งรัฐอิสระขึ้นโดยให้เป็นไมตรีกับญี่ปุ่น
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ส่วนมากระบุจุดเริ่มต้นของสงครามจีนกับญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ไว้เมื่อวันที่ 7 กรกฏาคม 1937 การปะทะเริ่มด้วยเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล ใกล้ปักกิ่งในคืนวัน ที่ 7 เกิดเหตุการณ์การยิงกันระหว่างทหารจีนกับทหารญี่ปุ่น ในขณะที่ทหารญี่ปุ่นกำลังคิดฉ้อฉล การต่อสู้ได้แพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วและกลายเป้นสงครามในไม่กี่สัปดาห์ ทางฝ่ายจีนมีการต่อต้านอย่างดื้อดึง และฝ่ายญี่ปุ่นเองขาดสิทธิขาดจนดูเหมือนว่าเต็มใจจะให้เกิดข้อตกลงระดับท้องถิ่น ทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายกองบัญชาการทหารระดับสูง นายทหารหลายคนไม่เต็ใจที่จะให้กองทัพผู้มัดตัวเองในประเทศจีนและละทิ้งแมนจูเรียและมองโกเลีย ซึ่งจะเปิดโอกาศในถูกจู่โจมจากรุสเซีย
ทันที่ที่มีการปฏิบัติการแล้ว โตเกียวทำการเสริมกำลังรบ ในต้นเดือนสิ่งหาคม เทียนสินและปักกิ่งถูกยึดครอง เดือนกันยายนทหารกวา 150,000นายเคลื่อนพลเข้าจีน สงครามขยายสู่ทางใต้ ซึ่งเริ่มต้นที่เซียงไฮ้ มีการรบกันอย่างหนัก และบุกทลวงขึ้นไปตามแม่น้ำแยงซีสู่กรุงนานกิง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ เจียง ไค เชค ญี่ปุ่นยึดนานกิงได้ในเดือนธันวาคม และกลายเป็นฉากแห่งการทำลายล้างผลาญชีวิตผู้คนด้วยนำมือผู้คนด้วยกันครั้งเลวร้ายที่สุดของสงคราม กองทหารญีปุ่นหย่อนระเบียบวินัย การฆาตกรรม ปล้นสะดม เผลาผลาญ ขมขื่น เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการกล่าวขานในเวลาต่อมาว่า “การข่มขืนที่นานกิง”
ข้อเรียกร้องของจีนถูกเพิกเฉยจากองค์กรสันนิบาตแห่งชาติ ทั้งประเทศเตรียมพร้อมที่จะทำสงครามเต็มขนาด การปิดลิ้มทางทะเลได้ขยายไปทั่วชายฝั่งจีน รวมทั้งเมืองต่าง ๆ ของจีนก็ถูกโจมตีอย่างหนัก กำลังทหารในจีนภาคเหนือและลุ่มน้ำแยงซีเชื่อถึงกันโดยการทางบก เดือนตุลาคมปีเดียวกัน ทหารเคลื่อนพลไปตามลำน้ำแยงซีจนถึงเมืองฮันเค้า กำลังอีกส่วนในภาคใต้ไปถึงเมือกวางตุ้ง เดือนพฤศจิกายน รัฐบาลโคโนประกาศแผนการเพื่อ “ระเบียบแบบแผนใหม่” อันที่จริงแล้วญี่ปุ่นได้ควบคุมพื้นที่ที่มั่งคั้งที่สุดส่วนใหญ่ของจีนไว้ได้หมดแล้วยกเว้นมณฑลเสฉวน
ชัยชนะของญี่ปุ่นไม่สามารถทำให้รัฐบาลพรรคชาตินิยม(The Nationlist Party ของ เจียง..)ยอมแพ้ ลัทธิชาตินิยมขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ
การที่จะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับรุสเซียในไม่กี่ปีข้างหน้า ผุ้นำทางการทหารญี่ปุ่นจึงเปลียนยุทธศาสตร์ แสวงหาความได้เปรียบทางการเมืองมากกว่าทางการทหาร โดยพยายามตัดจีนจากโลกภายนอก ซึ่งนำไปสู่การยึดครองไหนาน ซึ่งเป็นเขตผลประโยชน์ฝรั่งเศส และปิดล้อมเชตสัมปทานอังกฤษและฝรั่งเศสในเทียนสิน ในเวลาต่อมา แผนการดังกล่าวสำเร็จลุล่วงเมือเกิดสงครามขึ้นในยุโรป
เหตุการณ์ในประเทศจีนมีผลกระทบสำคัญมากต่อสัมพันธภาพระหว่างญี่ปุ่นกับบรรดามหาอำนาจเมืออำนาจของญี่ปุ่นขยายออกไปจึงเป็ฯการเอื้อประโยชน์ต่อการค้าของญี่ปุ่น เป็ฯการโจมตีผลประโยชน์อังกฤษและอเมริกในบางระดับ การกระทำบางประการของญี่ปุ่นชักนำเรืออังกฤษและอเมริกาเข้ามาพัวพันในกลุ่มแม่นำแยงซี สิ่งเหล่านี้ช่วยส่งเสริมให้สองประเทศแสดงความเห็นอกเห็ใจจีน
ญี่ปุ่นมีโอกาศที่จะถูกรุสเซียโจมตี การบีบบังคับรุสเซียให้ขายกิจการบริษัทเดินรถไฟสายแมนจูเรียใต้ ทำให้มีพรมแดนร่วมกัน การปะทะกันจึงเกิดมีเป็นระยะๆ ซึ่งญี่ปุ่นต้องคอยระวังพละกำลังของรุสเซีย
การถูกโดดเดียวทางการทูตจากการถอนตัวออกจากองค์การสันนิบาติแห่งชาติ ญี่ปุ่นเริ่มมองหาเพื่อน จึงนำไปสูเยอรมนี…
เมื่อศัตรูของเยอรมนีคือความเชื่อมั่นในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์และต้องการมิตรเช่นเดียวกับญี่ปุ่น ผลคือการลงนามในสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากล เป็ฯองค์การส่งเสริมการปฏิวัติโลกให้เป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีรุสเซียอยู่เบื้องหลัง
กลุ่มอิทธิพลฝ่ายทหาราเร่งเร้า ให้ทำข้อตกลงกับเยอรมนีและจบลงด้วยการเมื่อมีการประกาศสนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนี-รุสเซียในขั้นแรกและรัฐบาลโคโนชุดที่สอง รัฐมนตรีต่างประเทศมีความมั่นใจว่าจะได้เปรียบเยอรมนีจากข้อตกลงร่วมกันและยังเชื่อมั่นว่าเยอรมนีจะเป็นฝ่ายชนะในยุโรป สนธิสัญญาไตรภาคี ญี่ปุ่น เยอรมนีและอิตาลถูกลงนามในเดือน กันยายน 1939 สนธิสัญญาว่าด้วยความเป็นกลาง มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ญี่ปุ่นมีความแน่นอนใจในพรมแดนของภาคเหนือของตนมากยิ่งขึ้น
แผนการขยายอำนาจในเอซียอาคเนย์ ตั้งแต่ปี 1936 ได้มีการลงมติตัดสินใจที่ได้รับการยืนยันอีกครั้งในวงในของคณะรัฐบาลในเดือนกันยายน ว่าญี่ปุ่นควรฉวยโอกาสที่สงครามในยุโปเอื้อต่อการตั้งมั่นในอินโดจีน สยาม(ไทย)พม่า มลายูและกมู่เกาะอินเดียในขึ้นต้น ใช้วิธีทางการทูต โดยจะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกับอเมริกาแต่ในท้ายที่สุดจะใช้กำลังและยอมรับการเสี่ยงทำสงคราม
นายพลโตโจ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีโดยมาจากกระทรวงการสงคราม เขาเป็นคนนิยมใช้อำนาจตามทรรศนะของทหารที่เคร่งครัดเป็นตัวอย่างตัวแทนของกองบัญชาการทหารระดับสูง เขามีแนวทางอันไม่ประณีประนอมซึ่งเหมาะสมกับผู้นำในยามรบ การแต่งตั้งเขาเป้นนายกรัฐมนตรีจึงเป็นการนำไปสู่เผด็จการโดยทหาร เผด็จการโดยคณะเสนธิการทหารและนำไปสู่สงครามในที่สุด
ความพยายามทางการทูตที่จะให้อเมริกาละทิ้งจีนและขยายข้อผ่อนปรนทางเศรษฐกิจเป็นการตอบแทนในการที่ญี่ปุ่นยับยั้งการรุกคือบหน้า การเจรจาล้มเหลว วอชิงตันปฏิเสธข้อเสนอและ 5 วันต่อมาที่ประชุมหน้าพระที่นั่งในโตเกียวมีมติให้โจมตี นักยุทธศาสตร์ญี่ปุ่นเชื่อว่า สหรัฐต้องตะลึงกับบรรดาประเทศในเอเชียที่ถูกรุกราน กองทัพเรืออเมริกาในแปซิฟิคที่สามารถจะคุกคามขอบข่ายการคมนาคมสื่อสารของญี่ปุ่นกับทางใต้นั้นย่อมจะต้องเป็นเป้าแรกของการโจมตี ดังนั้น การโจมตีทางอากาศครั้งสำคัญจึงมุ่งที่ฐานทัพในหมูเกาะฮาไวอิ (Hawaii)คือ เพิลล์ ฮาร์เบอร์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...