วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560

Ro-hing-gya II (Human RightsII)

           Statelessness ความไร้สัญชาติ เป็นข้อความคิดทางกฎหมายซึ่งพรรณนาถึงการที่บุคคลไม่มีสัญชาติ ใดๆ เลย กล่าวคือ สภาวะซึ่งบุคคลไม่เป็นที่รับรองว่าเกี่ยวข้องกับรัฐชาติรัฐใดๆ เลย บุคคลเช่นนี้เรียก คนไร้สัญชาติ 
       ไร้สัญชาติโดยนิตินับ เป็นกรณีที่บุคคล "ไม่มีรัฐใดนับวว่าเป็นผุ้ถือสัญชาติโดยผลของกฎหมายแห่งรัฐนั้นเลย"ผุ้ไร้สัญชาติโดยนิตินัยอาจเป็นผู้ลี้ภัยด้วยแต่มิใช่ว่าผู้ขอที่ลั้ภัยทุกคนจะไร้สัญชาติโดยนิตินัย
        ไร้สัญชาติโดยพฤตินัย เป็นกรณ๊ที่บุคคลไม่ได้อยู่ในรัฐที่ตนถือสัญชาติ และไม่อาจรับความคุ้มครองจากรับที่ตนกำลังอาศัยอยู่นั้ ซึ่งอาจเป้นผลมาจาการเบียดเบียนของรัฐ หรือการขาดความสัมพันธ์ทางทูตระหว่งรัฐทั้งสองดังกล่าว

        โดยปกติ สัญชาติได้มาโดยหลักสองประการคือ ดินแดน และ หลักสายโลหิต หลักดินแดนระบุว่าบุคคลเกิดในดินแดนของรัฐใด ย่อมได้สัญชาติของรัฐนั้น ส่วนหลักสืบสายโบหิตวส่าบุดามารดาถือสัญชาติใด บุคคลย่อมถือสัญชาติตามนั้นด้วย (http//www.th.wikipedia.org.ความไร้สัญชาติ)
            บทความ เรื่อง เรือมนุษย์ "โรฮิงญา"พวกเขาถูกจัดประเภทว่า"คนไร้รัฐ" โดยนารบัฒฑิต ไกรวิจิตร เผยแพร่เมื่อ 20 มีนาคม 2556 ..ส่วนหนึ่งของบทความ
            ".. ประเด็นปัญหา "โรฮิงจา ในประเทศไทยมาจากข้อกังวล คือ เกรงว่าคนจากที่อื่นจะเข้ามาสร้างปัญหาความั่นคงและความสงบเรียบร้อย และเกรงว่าคนจากที่อื่นจะเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรในการจัดบริการสาธารณะของรัฐทำให้เกิดทัศนะต่อโรฮิงญาว่าเป้นภัยของประเทศไทยประเภทหนึ่ง

              รัฐบาลไทยมีกรอบคิดต่อชาว"โรฮิงญา" จากคำนิยาม "สถานะของบุคคลตามกฎหมาย "ว่าไม่ใช้ "ผู้ลี้ภัย" เพราะจากากรย้ายถิ่นข้ามชายแดนประเทศไม่ได้มาจกาการถูก"การประหัตประหาร" โดยรัฐบาลหรือกลุ่มกองกำลังภายในประเทศพม่าโดยตรง จึงไม่ยอมรับ"สิทธิเพื่อลี้ภัย" รัฐจึงไม่ไใ้สิทธิในฐานะ"ผุ้ลี้ภัย"คำถามที่จะตามมาจึงเป็ฯการแสดงหาขอบเขตว่ารัฐไทยมีกรอบหน้าที่ในการจัดการปัญหาของชาวโรฮิงจาอย่างไร "สิทธิใดบ้างที่ชาวโรฮิงจาต้องได้รับการคุ้มครอง" และ "สิทธิใดบ้างที่แม้แต่คนต่างด้าวหรือไร้สัญชาติพึงได้รับการคุ้ครอง" ชาวโรฮิงจา ถือเป็นมนุษย์และบุคคลตามนิยามของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ทีต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิต่างๆ ตามทีกฎบัตรรับรองแน่นอน รัฐไทยในฐานะที่มีพันธกรณีอยู่กับกฎบัตรสิทธิมนุษชนย่อมมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและงดเว้นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวโรฮิงญา แต่ชาวโรฮิงญามิใช่พลเมืองสัญชาติไทยและถึงแม้ชาวโรฮิงจาไม่ใช่พลเมืองไทย และมีปัญหาทางเอกสารยืนยันในความเป็นสัญชาติพม่า แต่การจัดการปัญหาผุ้อพยพชาวโรฮิงจาจะต้องไม่ละเมิดสิทธิขึ้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ รัฐที่มีกฎหมายเป็นเครื่องมือสูงสุดในการปกครองประเทศตามหลัก "นิติรัฐ" จะต้องใช้กระบวนการแก้ไขปัญหาโดยไม่ขัดกับหลักความยุติธรรมของกฎหมาย คือ แนวทางที่นำไปสู่การสร้างบรรทัดฐานในการจัการปัญหาคนต่างด้าว ไร้สัญชาติ
            .... การปฏิบัติจากหน่วยงานรัฐที่มีต่อโรฮิงญา เช่น การประสานงานไปยังรัฐบาลพม่าเพื่อให้รับรองสิทธิความเป็นพลเมืองของผุ้อพยพ การไม่ให้ใช้สิทธิสากลเพื่อยอมรับสิทธิเป็น "ผู้ลี้ภัย" สื่อความหมาว่าโรฮิงญาอพยพปัจจุบันไม่มีรัฐควบคุม ปกครอง ในทางวิชาการเรียกพวเขาว่า "คนไร้รัฐ" และเรียกลักษณะปัญหานี้ว่า "สภาพไร้รัฐ" คือบุคคลที่ไม่รู้ว่าเป็นพลเมืองของรัฐใดดังนั้นจึงไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายของรัฐที่พวกเขาเข้าไปขออาศัยหรือซ่อนตัวซึ่งนักปรัชญาชาวอิตาลีชือ กิออริโอ อากัมเบน เรียกคนประเภทนี้ว่า "ชีวิตอันเปลื่ยเปล่า" คือ บุคคลหรื
อกลุ่มบุคคลที่ไม่มีกฎมายคุ้มครอง..ประเด็นสำคัญต่อการพิจารณาเรื่องชีวิตที่เปลื่อยเปล่าจากอำนาจรัฐจากมุมมองของอาัมเบนนั้นเท่ากับยอมรับว่าสภาพไร้อำนาจรัฐที่จะบังคับให้คุณให้โทษตอผุ้อพยพซึ่งผลในท้ายที่สุดแล้วจะกสภาวะอันเปลือยเปล่าผู้อพยพอาจจะถูกสังหารหรือทำร้ายก็ได้เพราะรัฐเมินที่จะมองมายังบุคคลที่เลป่ยหรือคนทีไร้รัฐ แต่ปัญหาคือ ผุ้อพยพโดยเฉพาะโรฮิงจานั้นไร้รัฐจริงหรือ พวกเขาไร้รัฐจริงหรือ...
.... การยอมรับว่ามีสภาพไร้รัฐ ทั้งจาแนวคิดอากัมเบน และแนวคิดของรัฐไทยผ่านคำอธิบายโดยกองอำนวยการรักษความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) (ไทยรัฐ 2566 ) และผุ้บัญชาการทหารเรือ (ผู้จัดการออนไลน์ 13 มีนาคม 2556) ปฏิบัติการภายใต้นโยบายของกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งสองแนวคิดนี้แนบกันได้เกือบสนิท และทำให้สภาพของชาวดรฮิวยากลายเป็นผู้ที่ไม่สามรถรับสิทธิความเป็นมนุษย์ในกฎหมายนานาชาติสากลได้ รัฐบาลไทยลอยตัวออกมาจากปัญหาและสามารถผลักดันชาวโรฮิงจา.."

     สำนักข้าหลวงใหญ่ผุ้ลี้ภัยสหประชาชาติ(UNHCR) แสดงความห่วงใยต่อเหตุการณ์ที่ได้มีการค้นพบศพจำนวนมากในค่ายของกลุ่มลักลอบขนคนเจ้ามเืองที่ภาคใต้ของประเทศไทยใสัปดาห์นี้ UNHCR เรียกร้องให้ประเทศในภูมิภาคร่วมือสร้างมาตรการต่อต้านการลักลอบขนคนเข้าเมือง และการค้ามนุษย์ในขณะเดียวกัน UNHCR มอบความคุ้มครองให้กับเหยื่อผุ้เคราะห์ร้าย 
           หน่วยงานของไทยได้แถลงถึงเหตุการณ์การพบศพประมาณ 30 ศพที่เชื่อว่าเป็นกลุ่มคนที่มีต้นกำเนิดจาประเทศพม่า และบังกลาเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการ สืบสวน ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นจากตำรวจแจ้งว่าสาเหตุการเสียชีวิตน่าจะมาจากความเจ็บป่วยและการถูกทำร้าย
               "มันเป็นเรื่องน่าสลดใจที่ได้รับรู้ว่าผู้คนที่ต้องหลบหนีความยากลำบากจากประเทศของตัวเอง เอาชีวิตมาฝากไว้ในมือของผุ้ลักลอบขนคนเข้าเมืองอันเหี้ยมโหด และต้องเสียชีวิตแทนที่จะได้รับความปลอดภัย" เจมส์ ลินซ์ ผุ้แทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลีภัย แห่งสหประชาชาิระดับภูมิภาคประจำประเทศไทย และผุ้ประสานงานสสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภััยแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าว นี้เป็นครั้งแรกของการพบหลุ่มฝังศพที่เกี่ยว้องกับบุลที่อยู่ในความห่วงใยของ UNHRC ในปีที่แล้ว UNHRC ทราบจากชาวโรฮิงญานับร้อยคนที่รอดชีวิตจาการถูกละเมิดอย่างรุนแรง และการถูกทอดทิ้งโดยผู้ลักลอบขนคนเข้าเมืองทางทะเลในอ่ายเบงกอล และในค่ายตามชายแดนไทย -มาเลเซีย บางคนเล่าว่าเคยเห็นคนเสียชีวิตจากการถูกเฆี่ยนตี และขาดอาหาร ข้อมูลนี้ได้รายงานไปยังรัฐบาลในประเทศต่างๆ เพื่อหามาตรการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนแล้ว
           
  ในประเทศไทย UNHCR ได้ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลบุคคลที่อยู่ในความห่วงใยซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้..เราให้ความช่วยเหลือผุ้รอดชีวิตจากการเข้าตรวจค้นค่ายของกลุ่มลักลอบขนคนเข้าเมือง โดยมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์เร่งด้วน เช่น ชุดอนามัย เสื้อผ้าและผ้าห้ม  นอกจากนี้เรายังทำการสัมภาษณ์ ช่วยค้นหาญาติพี่น้องที่พลัดพรากระหว่างเดินทางให้ได้อยู่ด้วยกันอีกคร้งให้คำปรึกษาด้านต่างๆ และดำเนินการเพื่อสร้างโอาสในการตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่ 3 สำหรับผู้ที่มีความเปราะบางมากที่สุด
            ในประเทศมาเลเซีย UNHCR ให้ความคุ้มครองต่อชุมชนชาวโรฮิงญา ผ่านการตรวจเยียมอย่างสม่ำเสมอและได้เข้าช่วยผุ้อพยพทางเรือให้ได้รับการปล่อยตัวจากศูนบ์กักกัน นอกจากนี้ ยังให้การสนับสนุนโครงการฝึกอาชีพ การพัฒนาชุมชน กิจกรรมเสริมสร้างทักษาะ และโครงกการการศึกษาให้กับชุมชนผุ้ลี้ภัย
             "การลักลอบขนคนเข้าเมืองเป็นปัญหาระดับภูมิภาคที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคครอบคลุมถึงประเทศที่เป็นแหล่งที่มา ประเทศทางผ่าน และประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทาง"นายลินซ์กล่าว"มาตรการบังคับยใช้กฎหมรยต้องใช้ควบคู่กับความพยายามในการลดความต้องการในการอพยพและลี้ภัยของชนกลุ่มนี้ตั้งแต่แรกเร่ิม รวมถึงการระบุต้นตอของปัญหาที่ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ต้องตัดสินใจเสี่ยงชีวิตของตัวเองกับการเดินทางที่เสียงอัีนตรายเช่นนี้" 
          ในรัฐยะไข่ ประเทศพม่าซึ่งเป็นแหล่วที่มาของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการลักลอบขนคนเข้าเมือง UNHRC ได้รณรงค์มาอย่างยาวนานและพร้อมที่จะทำงานร่วมกันในการแก้ไขปัยหาที่เกีิดขึ้น โดยตระหนักถึงสิทธิของทุกฝ่าย การปรองดอง ความเท่าเี่ยมกันทางเศรษฐกิจและสังคม และประเด็นที่เกี่ยนวข้องกับความเป็นพลเมือง ( http//www.unhcr.or.th หน้าแรก,ข่าว,)


วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560

Ro-hing-gya II (Human Rights)

     ณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ASEAN Intergovernmmental Commission on Human Rights-AICHR
             AICHR เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามข้อ 14 ของกฎบัตรอาเซียน ที่มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2552 ในช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียน ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเมือวันที่ 13 ตุลาคม 2552 แต่งตั้งให้ ดร.ศรีประภา เพชรมีศรี เป้นผู้แทนไทยใน AICHR โดยมีวาระ 3 ปี  ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552 -ตุลาคม 2555 โดยผู้แทนไทยฯ มีความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบาย โดยได้มีการปรึกษาด้านแนวนโยบายกับกระทรวงฯ เป็นระยะ ในช่วงที่ผ่านมา ผู้แทนไทยฯได้ดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม เรื่องสิทธิมนุษยชนทั้งภายนอกประเทศ และภายในประเทศ
            พัฒนาการและการดำเนินงานของ AICHR
            AICHR ได้มีการประชุมไปแล้ว 9 ครั้ง ในระยะยแรกของการำงาน ได้ใช้เวลาการวางรากฐานการทำงาน เพื่อการส่งวเาริมและคุ้มครองสิทะิมนุษยชนอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ โดย 1) การจัดทำไกล์ไลน์เพื่อกำหนดวิธีการดำเนินงาน 2) แผนงานกิจกรรม 5ปี 3)มีการหรือเกี่วกับการทำงานร่วมระหว่าง AICHR กับ ASEAN Commission for the Promotion and Protection of the Rights of Women and Children (ACWC)
            กิจกรรมของ AICHR ประกอบด้วย
            1 การศึกษาประเด็นสิทธิมนุษยชน 11 ประเด็น ซึ่งกำหนดทำการศึกษาปีละ 2 ประเด็น โดยในช่วงแรกเป็นเรื่อง  Corporate Social Responsibility and Human Rights เรื่อง Migration และ Right to Peace เปนตน
            2. การจัดเวิร์คชอป ร่วมกับองค์กรภายนอก
            3. การยกร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
            4. การจัดทำ Study of ASEAN blueprints from human rights perspectives
            5. การจัดอบรมระดับภูมิภาค
            6. การจัดทำสื่อเผยแพร่การทำงานของ AICHR ผาน website และ AICHR booklet
            7. การประชุมและสร้างปฏิสัมพันธ์กับองค์กรระหว่างประเทศ
            ชาวโรฮิงจา
            - กลุ่มโรฮิงจาที่เข้าร่วกับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในบังคลาเทศ RSO ในการต่อสู้เพื่อเอกราชจากรัฐบาลทหารพม่า กลุ่มนี้จะผ่านการฝึกและมีประสบการณ์ด้านการใช้อาวุธและความรุนแรง เป็นกลุ่มที่แยกตัวออกมาจาก Rohingya Patriotic Front (RPF) นำโดยนายแพทย์ชาวพม่าอารกัน ดร.มูฮาเมด ยูนุส เป้นกลุ่มติดอาวุธที่มีบทบาทอยู่ในบังคลาเทศและตามแนวชายแดนบังคลาเทศ-พม่า จากการที่กลุ่มนี้มีการเคลื่อนไหวในลักษณะปฏิบัติการเพื่ออิสรภาพ กลุ่มนี้จึงเป็นมุสลิมหัวรุนแรงที่ได้รับการสนับสนุนจาโลกมุสลิมในปัจจุบัน
            - โรฮิงยาที่เป็นอาชญากรข้ามชาติ ในเรื่องการลักลอบนำบุคคลต่างด้าวไปประเทศที่สาม การทำเอกสารปลอม การค้าอาวุธ และการค้ายาเสพติด ทั้งนี้การดำเนินการของกลุ่มนี้เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของกลุ่ม RSO (ด้านเงินทุนและด้านอื่นๆ เมื่อต้องการ) และเป็ฯการหารายได้จากกลุ่มที่สองในรูปแบบของการช่วยเหลือการเดินทางไปประเทศที่สาม โดยมีเครื่อข่ายในประเทศไทย มาเลเซีย ออสเตรเลีย แคนาดา อังกฤษ และฝรั่งเศส
           - กลุ่มโรฮิงยาที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมุสลิมหัวรุนแรง เป็นกลุ่มที่หนีชีวิตความเป็นอยุ่ที่ยากแค้น และต้องการหาชีวิตที่ดีกว่า กลุ่มนี้เดินทางข้ามพรมแดนพม่าเข้าสู่บังกลาเทศ เพื่อพบกับตัแทน หรือเครื่องข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่เมืองด๊อกซ์บาซาร์หรือจิตตะกอง แล้วจึงลงเรือมุ่งหน้าสู่ประเทศไทย เพื่อขึ้นฝั่งที่จังหวัดระนอง หรือพังงา โดยมีนายหน้ารอรับขึ้นฝั่งประเทศไทย มีจุดมุ่งหมายปลายทางมุ่งหน้าสู่มาเลเซียเป็นหลัก สำหรับขบวนการนี้มีการจัดการอย่างเป็นระบบโดยมีนายหน้าชาวพม่าโรฮิงจาที่อยุ่ประเทศไทยเป็นผุ้ติดต่อประสานงานกับนายหน้าชาวไทย และเจ้าหน้าที่รัฐเพื่ออำเนินการต่อไป
           รัฐบาลพม่าภายใต้การปกครองของนายอูนุ มีความขัดแย้งกันในแนวความคิดทางการเมือง นายอูนุถูกกดดันจาฝ่ายทหารพม่า จำเป็นต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง รัฐบาบของนายอูนุออกกฎหมาย เพื่อเอาใจชนกลุ่มน้อย และชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชนเชื้อสายจีนและอินเดียเพื่อให้สิทธิเป็นพลเมืองพม่าได้ นายอุนุเดินทางไปรัฐอารกัน และรับปากกับชาวอารกันมุสลิมว่าจะให้พื้นที่แก่ชาวมุสลิมจัดตั้งเขตปกครองตนเองในรัฐอารกันขึ้นตรงกับกรุงย่างกุ้ง ให้มีารยการวิทยุโรฮิงจากระจายเสียงเป้นภาษาเบงกาลีและเรียกชาวมุสลิมในอารกันว่า "โรฮิงยา"เป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม นายอูนุไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง พร้อมทังยกเลิกรายการวิทยุโรฮิงยา และประกาศว่าประเทศพม่าเป็นประเทศพุทธศาสนา
          รัฐบาล นายพล เน วิน ยึดอำนาจพม่าและตั้งรัฐบาลสังคมนิยมพม่า ใช้ระบบสังคมนิยมปกครองประเทศ ยุบพรรคการเมืองต่างๆ สังหารและจับกุมผุ้นำฝ่ายค้าน และผุ้ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ยกเลิกพันธกรณีต่างๆ สมัยนายอูนุเคยสัญญาไว้ ตลอดจนส่งกำลังโจมตี กองกำลังคอมมิวนิสต์ และกองกำลังโรฮิงยา นายพล เน วิน ขับไล่ชาวจีน ชาวอินเดียและชาวบังคลาเทศ ซึงส่วนใหญ่เป็นักธุรกิจระดับประเทศ/ระดับท้องถิ่นกลับประเทศ โรฮิงจาถูกขับไล่ไปอยู่มี่เมืองด๊อกซ์บาซาร์ของบังคลาเทศซึ่งอยู่ชายแดนติดกับรัฐอารกันของพม่า บังคลาเทศแยกตัวจากปกรีสถานเป็นประเทศใหม่สงผลให้ชาวเบกาลีอพยพเข้ามาในรัฐอารกันเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากในห้วงเวลาดังกล่าวเศรษฐกิจพม่ากำลังรุ่งเรือง พล.อ.เน วิน มีโครงการสำรวจสำมะโนประชากร ออกกฎหมายให้คนจีนและอินเดียที่อยู่ในประเทศพม่าเกินกว่า 10 ปี ได้รับสัญชาติพม่า แต่ไม่รวมชาวโรฮิงยาในรัฐอารกันต่อมา รัฐบาลทหารพม่าออกกฎหมายขับไล่คนที่ไม่มีสัญชาติ รวมทั้งชาวโรฮิงยาออกนอกประเทศ ซึ่งมีชาวมุสลิมโรฮิงจาถูกผลักดันออกนอกประเทศกว่างสองแสนคนแต่บังคลาเทศไม่ยอมรับคนเหล่านี้
           รัฐบาลทหารพม่าและบังคลาเทศร่วมกันแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงยา โดยเปิดค่ายผุ้อพยพบริเวณชายแดนพม่า-บังคลาเทศ มีชาวโรฮิงยาเดินทางมาอยู่ในค่ายผุ้พยพกว่าสามแสนคน เนื่องจากชาวเบงกาลีที่เป็นชนพื้นเมืองส่วนใหญ่ไม่ต้องการอยู่ในบังกลาเทศ รัฐบาลทหารพม่าได้ออกมาตรการพิสูจน์สัญชาติผุ้อพยพ หากพบว่ามีบิดามารในรัฐอารกันจะให้สัญชาติพม่า กระทั่งปี 2525 รัฐบาลทหารพม่าประกาศยกเลิกค่ายผุ้อพยพชาวโรฮิงยาทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2548 รัฐบาลบังคลาเทศระบุว่ามีผุ้อพยพชาวโรฮิงยาในบังคลาเทศ จำนวน 20,000 คน แต่ในความเป้นจริงมีชาวโรฮิงยาถือสัญชาติบังกลาเทศในบังคลาเทศกว่า 200,000 คน ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ โดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้เข้าไปจัดตั้งสำนักงานและค่ายผุ้อพยพอยู่ทีเมืองค๊อกซ์บาซาร์ของบังคลาเทศและได้จัตั้งศูนย์อพยพบริเวณชายแดนบังคลาเทศ-พม่า อีก 3 แห่ง
            จากสภาพการกดขี่และบับบังคับมุสลิมโรฮิงยาตลอดจนการปล่อยข่าวเกี่ยวกับช่องทางในการทำงานและสภาพการดำรงชีวิตที่ดีกว่าในศูนย์ดพยพที่เมืองค๊อกซ์บาซาร์ของรัฐบาลบังคลาเทศ ส่งผลให้มุสลิมโรฮิงยาเริ่มอพยพหลบหนีออกจากศูนย์อพยพที่บังกลาเทศ และ จังหวัดมองดอ มาขึ้นฝั่งไทยที่จังหวัดระนอง ครั้งแรกในปี 2541 จำนวน 104 คน และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
            พ.ศ. 2552 ชาวโรฮิงจากว่า 2,000,000 กระจายอยู่ในประเทศต่างๆ สามารถรวมตัวจัดตั้งเป็นกลุ่มหรือองค์กร เช่น กลุ่มสมาคมชาวพม่าโรฮิงจาในไทย (Burma Rohingya Association in Thailand - BRAT) กลุ่มองค์กรชาวพม่าโรฮิงยาในอังกฤษ(Burma Rohingya Organization in UK - BROUK) กลุ่มสมาคมชาวพม่าโรฮิงจาในญี่ปุ่น (Burma Rohingya Association in Japan – BRAJ) และกลุ่ม Arakan Rohingya National Organization - ARNO) ฯลฯ โดยกลุ่มชาวโรฮิงจาเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชน การเรียกร้องสิทธิในการเป็นราษฎรในรัฐอารกันของพม่ และดูแลช่วยเหลือชาวพม่าโรฮิงยามที่อยู่ในต่างแดน รวมทั้งสนับสนุนด้านการเงินแก่กองกำลังติดอาวุธชาวมุสลิมโรฮิงยาที่เคลื่อนไหวบริณชายแดนพม่า-บังคลาเทศ
            รัฐบาลทหารพม่ามีความชิงชังต่อโรฮิงยาที่เป็นทหารรับจ้างของอังกฤษต่อสู้กับพม่าจนตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เมื่อรัฐบาลพม่าได้รับอิสรภาพ จึงได้ดำเนินการกวาดล้างชนกลุ่มน้อยต่างๆ ในประเทศอย่างหนัก จากความสำคัญของปัญหา พอสรุปเป็นประเด็นๆ ดังนี้
           - มุสลิมโรฮิงจาเป็นกลุ่มชนที่ถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และถูกกดขี่มากที่สุดกลุ่มหนึ่ง
           - รัฐบาลพม่าไม่ยอมรับชาวโรฮิงจาเป็นประชาชนชาวพม่า โดยให้เหตุผลทางด้านศาสนาและชขาวโรฮิงจาส่วนใหญ่ไม่ยอมใช้ภาษาพม่าในการสื่อสาร
           - รัฐบาลทหารพม่าออกกฎหมายว่าด้วยความเป็นพลเมืองของพม่าปี พ.ศ. 2525 ซึ่งกำหนดว่าหากกลุ่มใดมีความเกี่ยวข้องกัีบขบวนการชนกลุ่มน้อยจะถูกตัดขาดจากการเป็นพลเมืองและต้องหลบหนีอพยพออกนอกประเทศ
          - พม่าและบังคลาเทศมีข้อพิพาทในการสร้างท่อก๊าซในรัฐอารกัน โดยบังคลาเทศคิดว่าการสร้างท่อก๊าซดังกล่าวเป็นการบีบให้ชาวโรฮิงจาไม่มีที่อยู่อาศัยและต้องอพยพเข้าไปในประเทศบังคลาเทศ
          - การปล่อยข่าวในค่ายอพยพเพื่อให้เกิดการอพยพสู่ประเทศที่ 3
          รัฐบาลพม่าที่มาจากการเลือกตั้ง 19 ธันวาคม 2559 มาเลเซีย กล่าวว่า ชะตากรรมของชาวมุสลิมโรฮิงญาในพม่าเป้นความวิตกกังวลในระดับภูมิภาค และเรียกร้องให้สมาคมประชาชาติแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ประสานความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และสืบสวนข้อกล่าวหาการทำคความรุนแรงต่อชาวโรฮิงจา
          นายอานิฟาห์ อามัน รัฐมนตรต่างประเทศมาเลเซีย กล่าวในที่ประชุมกลุ่ม 10 ชาติสมาชิกในนครย่่างกุ้ง ตามคำเชิญของนางอองซาน ซูจี หลังมีรายงานเกี่ยวกับว่า กองทัพได้สังหาร ขช่มขืน และจับกุมพลเรือนโรฮิงญาหลายสัปดาห์ แต่พม่าปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยระบุว่ารายงานไม่เป็นความจริง และยืนยันว่าปัญหารัฐยะไข่เป็นเรื่องภายใน และเพื่อที่ขจึดแรงกดดันทางการทูตต่อวิกฤตโรฮิงญา รัฐบาลพม่าได้เชิญคณะสื่อมวลชนที่ผ่านการคัดเลือกลงพ้นที่ที่ไดัรับผลกระทบ
            นายอานิฟาห์ อามัน กล่าวว่า เหตุการณ์ในรัฐยะไข่เป็นเราื่องความปลอดภัย และความมั่นคงของภูมิภาค ชี้ว่ามีชาวโรฮิงญาราว 56,000 คน อาศัยอยู่ในมาเลเซียตอนนี้
             "เราเชื่อว่าสถาการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความวิตกกังวลของภูมิภาคในตอนนี และควรที่จะได้รับการแก้ไขร่วมกัน" อานิฟาห์ กล่าวต่อที่ประชุม และเสริมว่าความคืบหน้าในการปรับปรุงสิทธิมนุษยชนของโรฮิงญาค่อนข้างช้า เนื่องจากยังเต็มไปด้วยรายงานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิที่เกิดในรัฐยะไข่ และยังเตือนว่า กลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลามอาจใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้


             ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย กล่าวว่า ทุกคนรู้สึกยินดีต่อการประชุมในวันนี ที่อธิบายว่าเป็นการบรรยายสรุปของพม่าต่อสถานการณ์ในรัฐยะไข่ ส่วนรัฐมนีต่างประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า พม่าตกลงที่จะให้ข้อมูลเป็นประจำต่อสมาชิกอาเซียน และได้ให้คำมั่นว่าจะเปิดการการเข้าถึงสำหรับการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
             ด้านรัฐบาลพม่า ระบุว่า ผู้ก่อความไม่สงบที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีด่านชายแดนใกล้ชายแดนบังคลาเทศ ทางเหนือของรัฐยะไข่ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มหัวรุนแรงในต่างประเทศ
               กองกำลังทหารพม่าได้ระดมกำลังลงพื้นที่ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมนับตั้งแต่เกิดการโจมตีที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 9 นาย ตั้งแต่วันที่ 9 เดือนตุลาคม เป็นต้นมา มีผุ้เสียีวิตอย่างน้อย 86 คน และชาวโรฮิงญาราว 27,000 คน ได้หลบหนีเข้าไปในบังคลาเทศ ซึ่งบรรดาผุ้ลี้ภัย ประชาชน และกลุ่มสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ทหารพม่ากระทำการสังหาร ข่มขืนผู้หญิงโรฮิงญา และเผ่าบ้านเรือน
            ประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่ทางเหนือของรัฐยะไข่ เป็นชาวมุสลิมโรฮิงจาที่ถูกปฏิเสธสิทธิความเป็นพลเมืองในพม่า และถูกพิจารณาว่าเป็นผุ้อพยพผิดกฎหมายจากบังคลาเทศ ผุ้สังเกตการณ์และองค์กรสื่ออิสระไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปในพื้นที่ปิดล้อม ที่ชุมชนชาวโรฮิงญาบางส่วนถูกตัดขาดจาหน่วยงานความช่วยเหลือ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงเป็นเวลามากกว่า 2 เดือน ซึ่งเพิ่มความวิตกเกี่ยวกับสวัสดิการของประชาชนที่ประสบต่อภาวะขาดสารอาหารที่มีอัตราสูงมาก
             กลุ่มผู้สื่อข่าวที่ได้รับเลือกโดยกระทรวงข้อมูลข่าวสารจะเป็นตัวแทนสือในประเทศและต่างประเทศ มีกำหนดเดนทางไปเยือนเมืองหม่องตอพื้นที่หลักของความขัดแย้ง แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้เชิญสื่อที่รายงานข่าวเกี่ยกับข้อกล่าวหาการละเมิด ซึ่งรวมทั้งรอยเตอร์ 
                  ความพยายามที่จะโต้แย้งข้อกล่าวหาของการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกองทัพต้องล้มเหลวไปจาการเผยแพร่รายงานโดยองค์การนิรโทษกรรมสากล ที่กล่าวหาว่า การรณรงค์ความรุนแรงของพม่าต่อชาวโรฮิงญาอาจเปรียบได้กับการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ขณะที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนยังอ้างภาพถ่ายดาวเทียม และคำให้การของชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่และบังกลาเทศ ท่ามกลางการละเมิดสิทธิชนต่างๆ ยังกล่าวหาว่า มีการอุ้มหายผุ้สูงอายุและแกนนำศาสนาในเมืองหม่องตอ
                  "ขณะที่ทหารเป็นผุ้รับผิดชอบโดยตรงต่อการละเมิด อองซานซูจี ก็ล้มเหลวที่จะดำเนินการด้วยความรับผิดชอบทั้งทางศีลธรรม และทางการเมืองในความพยายามที่จะหยุดยั้ง และประณามส่ิงที่ปรากฎออกมาให้เห็นในรัฐยะไข่" ผุ้อำนวยการองค์การนิรโทษกรรมสากล ประจำภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก ระบุในคำแถลงฉบับหนึ่ง.(http//www.manager.co.th หน้าแรกผู้จัดการ Online, มาเลเซียร้องอาเซียนประสานความช่วยเหลือแก่ชาวโรฮิงจาในพม่า)
               

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560

Ro-hing-gya

           อาระกัน หรือยะไข่ในปัจจุบัน มีชื่อย่างเป็นทาการว่า รัฐระไคน์ หรือ"ยะไข่" ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศพม่า มีเมืองหลวงขื่อ ชิตตะเว่ ในอดีตเคยเป็นอาณาจักรที่ปกครองตัวเองอย่างอิสระ มีอาณาเขตติดต่ออนุทวีปจนถูกมองว่าเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอินเดียตอนใต้
         
  ศาสนาอิสลามมีความรุ่งเรืองในยะไข่ในช่วศตวรรษที่ 14-16 ในช่วงราชวงศ์มรัคอู ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญของอ่าวเบงกอลระหว่างศตวรรษที่ 7-17  และเป็นด่านหน้าในสงครามอังกฤษ-พม่าในยุคล่าอาณานิคม ต่อเนืองมาถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่น ด้วยลักษณะทางภูมิรัฐศาสตร์ดังกล่าว การพัฒนาทางประวัติศาสตร์ของยะไข่ก่อนยุครัฐชาติสมัยใหม่จึคงเกิดขึ้นท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรมและพลวัตทางเศรษฐกิจการเมือง
         ความขัดแย้งเริ่มก่อตัวจากปัญหาเศรษฐกิจ เมื่ออังกฤษสนับสนุนให้คนอินเดียจำนวนมากที่เป็นชาวมุสลิมอพยพเข้าสู่พม่า และขับคนท้องถ่ินออกจากพื้นที่เศรษฐกิจ ต่อมาในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องอิสรภาพพม่ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศราฐกิจระหว่างชาวอินเดียกับชาวพม่าได้เชื่อมโยงเข้ากระบวนการทางเมืองภายใต้แนวคิด "ชาตินิยมแนวพุทธแบบพม่า" แนวคิดและปฏิบัติการต่อต้านชาวอินเดียได้แพร่กระจายไปยังพื้นที่เศรษฐกิจทั่วไปในพม่าเมื่อขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านไม่แยกแยะระหว่างมุสลิมอินเดียกับมุสลิมพม่า การต่อต้านชาวมุสลิมแบบเหมารวมจึงได้แพร่ขยายออกไปในเวลานั้น และได้พัฒนาไปสู่ความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม-โรฮิงญาในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นโดยการสนับสนุนของชขาวพุทธพม่าได้ทำสงครามกับอังกฤษ ซึ่งมีความใกล้ชิดและได้รับการสนับสนุนจากชาวมุสลิม-โรฮิงญา
             ต่อมาเมือปลายทศวรรษที่ 1940 ประเทศต่างๆ เข้าสู่กระบวนการประกาศเอกราชจากอาณานิคม ชาวมุสลิม-โรฮิงญาในยะไข่ได้แสดงเจตนารมณ์ในการขอแยกตัวเป็ฯอิสระจาพม่าเนื่องจากมีความแต่ต่างทางศาสนาและวัฒนธรรม นอกจากนี้ความขัดแย้งยังเกิดจากการก่อตัวของแนวคิดการรวมชาติอิสลาม ดังจะเห็นได้จากข้อเรียกร้องให้รวมยะไข่ตอนเหนือเข้าเป็นส่วนหนึค่งของปากีสถาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
             เมื่อพม่าได้รับเอกราชในปี 1948 ยะไข่จึงถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของพม่า อัตลักษณ์ของชาวมุสลิม-โรฮิงญาปะทะเข้าโดยตรงกับชาติพม่าที่ตีความ"ความเป็นชาติ" โดยผนวกรวมระหว่างเชื่อชาติพม่าเข้ากับศาสนพุทธ ในขณะที่ชาวมุสลิม-โรฮิงญาก็ยังคงเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิปกครองตนเองรัฐบาพม่าจึงกล่าวหาคนกลุ่มนี้ว่าเป็นชาวต่างชาติที่ไม่มีพื้นเพในพม่า
             การกบฏโรฮีนจาในพม่าตะวันตก เป็นความขัดแย้งต่อสู้กันด้วยอาวุธระหว่างรัฐพม่ากบชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮีนจาโดยมุ่งหมายแยกภูมิภาคชายแดนมายูในรัฐยะไข่ซึ่งมีประชากรโรฮีนจาอาศัยอยู่ออกจาพม่าตะวันตก แล้วผนวกเข้ากับปากีสภานตะวันออกซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่เพิ่งตั้งใหม่ปัจจุบันคือบังคลาเทศ ต่อมาในช่วงสงครามปลอปล่อยบังคลาเทศ และเหตุจลาจลในรัฐยะไข่ตามลำดับ โดยมีความมุ่งหมายจัดตั้งส่วนเหนือของรัฐยะไข่เป็นรัฐเอกราชหรือรัฐปกครองตนเองและล่าสุดกับการปราบปรามชาวโรฮิงจากับรัฐบาลพม่าที่มาจากการเลือกตั้ง
            พ.ศ. 2490-2504 มุญาฮีดีนในยะไข่ การต่อสู้เริ่มจากการจักตั้งพรรคกาการเมืองญามีอะตุล อูลามาเอ-อิสลาม นำโดยออมราเมียะห์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากอุลนาร์ โมฮัมหมัด มูซาฮิดข่าน และโมลนาร์ อิบราฮิม ความพยายามของกลุ่มญาฮิดีนเพื่อที่จะรวมเขตชายแดนมายู ซึ่งเป็ตำบลหนึ่งในรัฐยะไข่เข้ากับปากีสถานตะวันออกก่อนการประกาศเอกราชของพม่า มีผู้นำชาวมุสลิมในยะไข่ไปพบมูฮัมหมัด อาลี จินนาห์ ผู้ก่อตั้งปากีสถานเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2489 เพื่อขอความช่วยเหลือในการผนวกมายูเข้ากับปากีสถารน สองเดือนต่อมา มีการจัดตั้งสันนิบาตมุสลิมยะไข่เหนือในอักยับ(ปัจจุบันคือ ซิตตเว เมืองหลวงของรัฐยะไข่) เพื่อแสดงควาต้องการที่จะรวมเข้ากับปากีสถาน แต่จินนาห์ปฏิเสธข้อเสนอในที่สุด
           ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลกลางพม่าปฏิเสธที่จะแยกรัฐมุสลิมในเขชตมายูซึ่งมีเมืองบูตีคองและเมืองหม่องต่อในที่สุด กล่มมุสลิมมุญาฮิดีนในยะไข่เหนือได้ประกาศ "ญิฮาด"ต่อพม่า กองทัพมุญาฮิดีนได้เร่ิมสู้รบในเมืองบูตีดองและหม่องด่อที่อยู่ตามแนวชายแดรระหว่งพม่ากับปากีสถานตะวันออก อับคุล กาเซมเป็นผุ้นำกองทัพมุญาฮิดีน ภายในเวลาไม่กี่ปี กลุ่มกบฎมีความก้าวหน้าไปมาก ยึดครองหมู่บ้านในยะไข่ได้หลายหมู่บ้าน ชาวยะไขช่ในเมืองทั้งสองถูกบังคับให้ออกจากบ้าน ในเดือนมิถุนายน  พ.ศ. 2492 การควบคุมของรัฐบาลในเมืองอักยับได้ลดลง ในขณะที่กลุ่มมุญาฮิีดนเข้ายึงครองยะไข่เหนือ รัฐบาลพมาได้จับกุมกลุ่มมุญาฮิดีนที่พยายามจะอพยพชาวเบงกอลเข้ามาในรัฐยะไข่อย่างผิดกฎหมาย เนื่องจากประชากรล้นเกินในปากีสถานตะวันออก
       รัฐบาลพม่าประกาศกฎอัยการศึกในเดือนพฤศจิการยน 2491 เมื่อกบฎลุกลาม  พระภิษุชาวยะไข่ได้ออกมาประท้วงในย่างกุ้งเพื่อต่อต้านกลุ่มมุญาฮิดีน ผลของการกดดันในรัฐบาลพม่าออก "ปฏิบัติการมรสุม" กลุ่มมุญาอิดีนจำนวนมากถูกจับกุมและหัวหน้ากลุ่มถูกฆ่า ทำให้กิจกรรมของกลุ่มลดลงไปกลายเป็นกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มที่ก่อการร้ายในภาคเหนือของรัฐยะไข่..มีการเจรจาระหว่างพม่ากับปากีสถานเกี่ยวกับกบฎตามแนวชายแดน ทำให้ความหวังของกบฎลดน้อยลง ในวันที่ 15 พฆศจิกายน พ.ศ. 2504 กลุ่มกบฎมุญาฮีดีนกลุ่มสุดท้ายในบูตีดองถูกกองทัพพม่านำโดยอองจีจับกุมได้ หลังจากรัฐประหารของนายพลเน วิน พ.ศ. 2505  กิจกรรมของกลุ่มมุญาฮิดีนลดลงและเกือบจะหายไป
          พ.ศ.2514-2431 ขบวนการอิงศาสนาอิสลามโรฮีจา ขบวนการทางทหารที่ใช้ความรุนแรง ระหวว่างสงครามปลอปล่อยบังคลาเทศปี พ.ศ. 2514 โรฮีนจาที่อยู่ใกล้แนวชายแดนได้สะสมอาวุธจากสงคราม ปี 2515 หัวหน้ากลุ่มกบฎมูญาฮิดีนที่เหลืออยู่ได้จักตั้งพรรคปลดปล่อยโรฮีนจา เมื่อถูกปรอบปรามจาก
กองทัพพม่าก็หนีไปบังคลากเทศ หลังจากนั้นได้มีการจัดตั้งแนวร่วมดรฮีนจารักชาติ รัฐบาลทหารของนายพลเนวิน ได้จัดยุทธการราชามังกรในยะไข่เพื่อตรวจสอบผู้อพยพที่ผิดกฎหมายท่อาศัยอยู่ในพม่า ชาวโรฮีนจาถูกผลักดันไปยังแนวชายแดนบังคลาเทศ มีการลุกฮือของชาวโรฮินจาตามแนวชายแดน แนวร่วมโรฮีนจารักชาติ RPF ถือโอกาสเข้าปลุกระดม ต่อมากลุ่มกัวรุนแรงได้แยกตัวออกาจาก RPF และจัดตั้งองค์การความเป็นปึกแผ่นโรฮีนจา RSO ต่อมาเป็นองค์การหลักของโรฮีนจาตามแนวชายแดนพม่า-บังคลาเทศ  RSO ประกาศตนเป็นองค์กรทางศาสนาจึงได้รับการสนับสนุนจาโลกมุสบลิมในบังคลาเทศ ปากีสถาน อัฟกานิสถาน จากรัฐชัมมูและกัศมี มาเลเซีย
           พ.ศ. 2531-2554  ค่ายทหารของ RSO ตั้งอยู่ทางใต้ของบังกลาเทศ มีการส่งอาวุธจาฏอลิบานในตามแนวชายแดนพม่า-บังคลาเทศ  มีการส่งทหารไปฝึกในอัฟกานิถาน การขยายตัวของ RSO ในช่วงปี 2533 ทำให้รัฐบาลพม่าเข้ามากวาดล้างตามแนวชายแดนพม่า-บังคลาเทศ ซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดกับบังกลาเทศ ในปี 2535 ชาวโรฮีงจากว่า สามแสนคนถูกผลักดันให้ออกจากยะไข่ซึ่งเหตุการณ์นี้ถูกประณาจากซาอุดิอาระเบีย ในปี พ.ศ. 2541 สมาชิก RSO และแนวร่วมอิสลามโรอีนจาอาระกัน ARIF ได้รวมเข้าด้วยกัและจัดตั้งสภาแห่งชาติโรฮีนจา และกองทัพแห่งชาติโรฮีนจา และยังจัดตั้งองค์กรแห่งขาติโรฮีนจาอาระกัน ARNO เพื่อจัดการกับกลุ่มโรฮีนจาที่มีความแตกต่างกัน เข้ามาเป็นกลุ่มเดี่ยว ซึ่งมีรายงานว่ากลุ่ม ARNO มีความเกี่ยวพันกับอัลกออิดะห์ (wikipedia : การกบฎโรฮีนจาในพม่าตะวันตก)
       พ.ศ. 2555 การจลาจลที่รัฐยะไข่ เป็นเหตุการพิพาทระหว่างชาวยะไข่พุทธและมุสลิมโรฮีนจาทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ แต่ต่อมามุสลิมทุกชาติพัรธ์ในพม่าเริ่มตกเป็นเป้า เหตุจลาจลเกิดขึ้นหลังข้อพิพาททางศาสนาหลายสัปดาห์และถูกประณามโดยประชาชนทั้งสองฝ่าย สาเหตุของเหตุจลาจลที่แน่นอนยังไม่ชัดเจน ขณะที่นักวิจารณ์หลายคนอ้างว่า ชาวยะไข่สังหารมุสลิมพม่าสิบคนหลังเกิดการข่มขืนและฆ่าสตรีชาวยะไข่เป็นสาเหตุหลัก รัฐบาลพม่าตอบสนองโดยกำหนดการก้ามออกจากเคหสถานเวลาค่ำคืน และประการศสภานการณ์ฉุกเฉินในเวลาต่อมา ตัวเลขผู้เสียชีิวิตอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 88 คน เป็นมุสลิม 57 คน และชาวพุทธ 35 คน ประเมินว่าประชากรกว่าแสนคน พลัดถ่ินจากความรุนแรงนี้ บ้านเรือนถูกเผากว่า 2,500 หลัง กองทัพและตำรวจพม่าถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทนำในการจับกุมหมุ่และใช้ความรุนแรงตามอำเภอใจต่อชาวโรฮีนจา (wikipedia. เหตุจลาจลในรัฐยะไข่)
             1 เมษายน 2558 ประธานธิบดีติน จ่อ จากพรรคสันนิบารแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย NLD พร้อมด้วย นายมิ้น ส่วย รองประธานาธิปดีโควต้ากองทัพ และรองประธานาธิบดีคนที่สอง นายเฮนรี แวน เทียว จากกลุ่มชาติพันธ์ เข้าสาบานตนรับตำแหน่ง ซึ่งเป็นประธานาธิปดีของพม่าในรอบกว่า ห้าสิบปีที่เป็นพลเรือน
             นางออง ซาน ซู จี นั่งตำแหน่งรัฐมนตรี คุมทั้งกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน กระทรวงศึกษาธิการและสำนักประธานาธิบดี พรรคเอ็นแอลดียังเสนอตำแหน่งพิเศษ "ที่ปรึกษาแห่งชาติ" ในนางซู จี เพื่อให้เป็นผุ้ประสานงานระหว่างประธานาธิบดีกับรัฐสภา กำกับดูแลการประชุมร่างกฎหมายและงบประมาณ
             รัฐบาล NLD ยังตั้งกระทรวงกิจการชาติพันธ์ุขึ้นเป้ฯครั้งแรก สะท้อนเป้าหมายการสร้างสันติภาพ จากเดิมกลุ่มชาติพันธ์ุมักไม่ได้รับความสนใจให้เป็นวาระสำคัญสูงสุด  (ข่าวสด 3 เมษายน 2559,ข่าวสดรายวัน, สกู๊ปพิเศษ, รัฐบาลพม่าชุดใหม่ อนาคตทหารและปชต.)
            อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ชี้ว่าความสำเร็จของรัฐบาลเมียนม่าร์ชุดใหม่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับกองทัพด้วยเช่นกัน เนื่องจากาภายใต้รัฐธรรมนูญของเมียนม่าร์ กองทัพยังเป็นผู้ครอบครองที่นั่ง 1 ใน 4 ในรัฐสภา รวมทั้งตำแหน่างรัฐมนตรีในกระทรวงสำคัญ เช่นมหาดไทยและกลาโหม นักวิเคราะห์ แห่งมหาวิทยาลัย Macquarie ในออสเตรเลีย ในความเห็นว่าประชาธิปไตยของเมียนม่าร์ยังไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบอย่างที่คาดหวัง เพราะทหารยังคงมีบทบาทอย่างมากทั่งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ถึงกระนั้นก็ถือเป็นช่วงเวลาพิเศษสำหรับความก้าวหน้าด้านประชาธิปไตยในเมียนม่าร์
            นักวิเคราะห์ยังชี้ให้เห็นว่าสิ่งสำคัญที่นางออง ซาน ซูจี ต้องทำหน้าที่คุมระทรวงต่างๆ เหล่านั้น โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ เพราะจะทำให้เธอสามารถเข้าถึงสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ถือเป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดของเมียนม่าร์ได้ (www.voathai.com, สืบค้นเมื่อ 17/1/2560)
           ปัญหาโรฮิงญาในเมียนมา : บททดสอบ ออง ซาน ซูจี กับประชาธิปไตยไม่แน่นอน
           ตุลาคม 2016 ทหารเมียนมาเริ่มการปราบกลุ่มก่อความไม่สงบ หลังจากตำรวจตระเวนชายแดน 9 นายถูกสังหารในต้นเดือนตุลาคม โดยทหารของเมียนมาสงสัยว่า ชาวโรฮิงญาอยู่เบื้องหลังแต่สำนกข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชาวมุสลิมโรฮิงญาทุกคนกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตีของทหารเมียนมา ต่อมาสำนักข่าวต่างประเทศรายงานถึงความรุนแรงและการข่มขืนที่เกิดขึ้นอย่งต่อเนื่องกับชาวโรฮิงญา กระทั่งองค์กรสหประชาชาติได้ออกมาแสดงความกังวลว่า เหตุการณ์จะรุนแรงและนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ เนื่องจากมีชาวมุสลิมโรฮิงจากว่า สองหมืนคน ต้องอพยพอนีออกาจารัฐยะไข่ของเมียนม่าอีกครั้ง
           4 ธันวาคม 2516 นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นำขบวนชาวดรฮิงญานับหมื่อนคนประท้วงรัฐบาลเมียนม่า ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ สร้างกระแสให้ประเทศอาเซียนที่มีชาวมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ไม่พอใจรัฐบาลเมียนม่า และ ออง ซาน ซูจี อย่างรุนแรง ( http//www.The Momentum.com. สืบค้นเมื่อ 17/1/2560)

           
         

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

Spratly Islands

           ความร่วมมือทางทะเลในกรอบอาเซียน
           ประเทศไทยเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สสำคัญของเส้นทางการเดินเรือในภูมิภาคโดยมีช่องแคบมะละกาที่เชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรอินเดีย ทะเลจีนใต้ และมหาสมุทรเเปซิฟิกเป็นเส้นทางการเดินเรือที่สำคัญของภูมิภาคและของโลก เมื่อคำนึงว่าการค้าทางทะเลมีสัดส่วนถึงร้อยละ 90 ของมูลค่าการค้าโลก ในจำนวนนี้ ร้อยละ 40 เป็นการค้าผ่านช่องแคบมะละกา พื้นที่ทะเลในภุมิภาคนี้นอกจากเป็นเส้นทางคมนาคมหลักแล้ว ยังเป็นเเหล่งอุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ เช่น น้ำมันดิและก๊าซธรรมชาติ รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายเพื่อรักษาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากทะเลให้มากยิ่งขึ้นผ่านการขับเคลื่อนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ และดำเนินนโยบายส่งเสริมความร่วมมือทางทะเลในอาเซียนผ่านกรอบและกลไกต่างๆ เช่น การประชุมหารืออาเซียนว่่าด้วยประเด็นทางทะเล การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอชีย-แปซิฟิกและการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน
           ความร่วมมือทางทะเลระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนเน้นการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ เพื่อเสริมขีดความสามารถและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน และส่งเสริมความร่วมมือในการแก้ไขและป้องปรามปัญหาภัยคุกคามที่มี่ผลกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศสามชิกอาเซียน ได้แก่ ปัญหาโจรสลัดและการปล้นสดมภ์ การก่อการร้ายทางทะเล ปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ รวมทั่งส่งเสริมความร่วมมือด้านทรัพยากรทางทะเล การเพิ่มขีดความสามารถด้านการจัดการประมงเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล การพัฒนาชายฝั่ง การอนุรัีกษ์แนวปะการับ เพื่อคงความหลากหลายทางชีวภาพและความมั่นคงทางอาหาร การส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายศูนย์ข้อมูลที่เีก่ยวข้อง ตลอดจนสนับสนุนแนวทางการแก้ไขปัญหข้อพิพาทางทะเลโดยการเคารพกฎหมายระหว่งประเทศและกลไกในกรอบอาเซียน เช่น อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล, สนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้,ปฏิญญาวว่าด้วยการปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ และโดยสันติวิธี
             ทะเลจีนใต้ เป็นเส้นทางจราจรทางทะเลที่คับคั่งเป็นอันดับสองของโลก และยังมีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตรเนื่องจากคาดว่าในบริเวณนี้มีแหล่งนำมนและก๊าซธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
             ทะเลจีนใต้เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยมีอาณาบริเวณจากทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ครอบคลุมจากประเทศสิงคโปร์ และช่องแคบมะละกา ไปจนถึงพื้นที่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือบริเวณช่องแคบไต้หวัน ในแนวปมู่เกาะสแปรทลีย์ และหมู่เกาะพาราเซล เกาะหรือโขดหินเหล่นี้จำนวนมากเป็นเพียงยอดแหลมโผล่ขึ้นมาจากทะเลเป็นอุปสรรคในการเดินเรือ และไม่เหมาะกับการตั้งถ่ินฐานใดๆ โดยพื้นที่รวมทั้งสิ้นของ หมู่เกาะสแปรทลีย์มีไม่ถึง 3 ตารางไมล์ แต่มีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์และการเมืองอย่างยิ่ง เพราะหากสามารถด้างสิทธิการเป็นเจ้าของเหนือดินแดนดังกล่าวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การอ้างสิทธิเพิ่มเติมในน่านน้ำใกล้เคียง และย่อมรวมถึงทรัพยากรอันมหาศาลใต้ท้องทะเลอีกด้วย
            ประเด็นเกี่ยวกับการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ในทะเลจีนใต้ ซึ่งจุดที่มีความขัดแย้งทีุ่ดคือบริเวณหมู่เกาะสแปรทลีย์ และเกาพาราเซล และบ่อยครั้งที่ความขัดแย้งนี้เกี่ยวพันถึงการอ้างสิทธิเหนือทรัพยากรธรรมชาติน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ดังนี้
            - จีนเผยแพร่แผนที่ทางการของตน โดยแสดงเขตพื้นที่คลุมเครือว่า อาจจะครอบคลุมบริเวณหมู่เกาะนาทูนา อันเป็นเเหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ของอินโดนีเซียด้วยทำให้อินโดนีเซียตอบโต้ด้วยการจดซ้อมรบทางทหารที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยมีมาในบริเวณหมู่เกาะนาทูนาในปี 1996
            - ฟิลิปปินส์ทำการสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติและคอนเดนเสท ในเเหล่ง "มาลาปายาและคามาโก"ซึ่งอยู่ในน่าน้ำที่จีนกำลังอ้างสิทธิ โดยที่จีนไม่เคยได้ทักท้วงมาก่อน
            - เเหล่งก๊าซธรรมชาติหลายแห่งของมาเลเซีย บริเวณนอกชายฝั่งของเกาะซาราวัต ก็อยู่ในน่านน้ำที่จีนอ้างสิทธิ แต่จีนก็ไม่เคยทักท้วงการพัฒนาแหล่งก๊าซเหล่านี้เช่นเดียวกันกับแหล่งก๊าซของฟิลิปินส์
           - เวียดนและจีน ต่างอ้างสิทธิเหนือแหล่งน้ำมันในพื้นที่นอกชายฝั่งเวียดนาม ความขัดแย้งนี้ทำให้บริษัทโคโนโค และปิโตรเวียดนาม ไม่สามารถเข้าเจาะสำรวจบริเวณดังกล่าวได้ตามกำหนด นอกจานี้แหล่งน้ำมัน หมีใหญ่ ของเวียดนามก็อยู่ในเขตน่านน้ำที่จีนอ้างสิทธิเช่นกัน
           - ในพื้นที่บริเวณอ่าวไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลจีนใต้ที่มีก๊าซธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ แต่ยังไม่มีการกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนในทะเลจีนใต้ที่ชัดเจน แม้กระนั้นได้มีหลายบริษัทที่ำด้ลงนามในข้อตกลงเพื่อทำการขุดสำรวจไปแล้ว แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ในบริเวณที่ยังมีข้อพิพาทกันระหวางกัมพูชากับไทย ในส่วนพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับเวียดนาม โดยได้มีการเจรจาตกลงความร่วมมือ ในการสำรวจและพัฒนาในพื้นที่พัฒนาร่วมกัน ไทย-มาเลเซียและ มาเลเซีย-เวียดนาม
         การอ้างสิทธิต่างๆ มีรากฐานมาตั้งแต่ในประวัติศาสตร์ แต่ตั้งอยู่บนหลักการซึ่งเป็นที่ยอมรับกันเป็นสากล ซึ่งอนุญาตให้แต่ละประเทศสามารถอ้างสิทธิเหนืออาณาเขตนอกชายฝั่งบริเวณที่เป็นไหล่ทวีปของประเทศนั้นๆ ได้ รวมทั้งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล
          หมู่เกาะสแปรดลีย์ Spratly Islands เป็นดินแดนที่ประกอบด้วยหินโสโครก อะทอลล์ สันดอน เกาะ และเกาะขนาดเล็กมากกว่า 750 แห่งในทะเลจีนใต้ตั้งอยู่ระหว่างประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศจีน ประเทศมาเลเซียและประเทศบรูไน ประกอบด้วยพื้นที่ที่เป็นผืนแผ่นดินน้อยกว่า 4 ตารางกิโลเมตร แต่ครอบคลุมพ้นที่มหาสมุทรมากว่า 425,000 ตารางกิโลเมตร ผืนแผ่นดินเหล่านี้เป็นเกาะขนาดเล็กที่อยุ่ห่างไกล ำม่มีประชาชตั้งถิ่นฐานและไม่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในตัวเองแต่มีความสำคัญในการกำหนดอาณาเขตดินแดนระหว่งประเทศ และเป็นแหล่งกำหนดอาณาเขตดินแดนระหว่างประเทศ และเป็นแหล่งสำคัญในกิจการประมงและยังมีการสำรวจพบแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ
          ปัจจุบันเกาะ 45 เกาะในหมู่เกาะสแปรตลีย์เป็นที่ตั้งกองกำลังทหารของกองทัพเวียดนาม สาธารณรัฐประชาชนจีน ไต้หวัน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และบรูไน เพื่อเป็นการยืนยันสิทธิในพื้นที่พิพาท ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งมาแต่เดิมระหว่าง อินโดจีนของฝรั่งเศษ สาธารณรัฐจีน ไต้หวัน และญี่ปุ่นมาแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
         การสร้างเกาะเทียมบนพื้นที่ทับซ้อน
         "... รายงานเพนตากอน ระบุว่า โครการถมทะเลในทะเลจีนใต้ 4 แห่งของจีน คืบหน้าชัดเจนจากากรขุดลอกกลายเป็น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ที่อาจครอบคลุมท่าเรือ ระบบสื่อสารและสอดแนม ระบบสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุง และสนาบินอย่างน้อยหนึ่งแห่ง
          วัตถุประสงค์ไม่เป็นที่ชัดเจน แต่นักวิเคราะห์นอกประเทศจีนระบุว่า ปักกิ่งกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงภาคพื้นดิน ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านกลาโหมในทะเลจีนใต้ รายงานฉบับนี้ครอคลุมข้อมูลการสำรวจจวบจนถึงเดือนธันวาคม 2014 และระบุว่า จีนถมทะเลรวมเป็นเนื้อที่ 500 เอเคอร์ ในน่าน้ำมี่มีข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ ทว่า เจ้าหน้าที่อเมริกันให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ผุ้สื่อข่าว โดยระบุวา่ นับจากนั้นมา ปักกิ่งเดินหน้าถมทะเลต่ออีกและครอคลุมเนื้อที่รวม 1,500 เอเคอร์(กว่าสี่พันไร่)
        ในอีกด้านหนึ่ง CSIS เปิดเผยภาพการถมทะเลของเวียนนามและจีน โดยสำทับว่า ทั้งขนาดและความคืบหน้าของโครงการถมทะเชของเวียดนามถือว่า เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับโครงการของจีน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
        ขณะที่ โฆษกกระทรวงกลาโหมจีนแถลงตอบโต้รายงายของเพนตากอนว่า บิดเบือนข้อเท็จจริงและมุ่งตีไข่ใส่ความว่า จีนเป็นภัยคุกคามทางทหาร
        ปักกิ่งยังประณามการกระทำของเวียดนาม พร้อมย้ำว่า โครงการของตนเป็นส่วนหนึ่งของภาะผูกพันต่อประชาคมนานาชาติในการปรับปรุงความปลอดภัยในการเดินเรือ ตลอดจนส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัย ซึ่งรวมถึงการสร้างแท่นสังเกตการณ์ 5 จุดจาก 200 จุดเพื่อติดตามระดับน้ำทะเล
       โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนยังกล่าวว่า เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และประเทศอื่นๆ เดินหน้าถมทะเลมานานหลายปี ซึ่งถือเป็นการเข้ายึกครองเกาะของจีนโดยผิดกฎหมาย ปักกิ่งจึงเรียกร้องให้ประเทศเหล่าน้้นยุติกิจกรรมที่ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและสิทธิของจีน
               บทสรุป จากกรณีดังกล่าวทำให้ทราบถึงความสำคัญของยุทธศาสตร์ทางทะเลที่มีในทะเลอาเซียน นอกจากทรัพยากรธรรมชาติและสิทธิครอบครองของแต่ละประเทศแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการคือการถ่วงดุลอำนาจในทางทะเล ซึ่งในเพื้นที่ที่มีหลายประเทศต้องการหากกระทำการใดๆ โดยไม่ชัดเจนโปร่งใสจะถูกเข้าไปในทิศทางต่างๆ นาๆ ดังที่ได้ทราบแล้วจากกรณีถมทะเลของจีนเป็นต้น จึงนับได้ว่าหมู่เกาะเสปียร์ลี่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในการกำหนดเขตทางทะเลที่ไม่ชัดเจนของเอเซีย

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2560

Association of Southeast Asian Nation (1967 Birth of ASEAN)

          สมาคมอาสา Association of Southeast Asia, ASA สมาคมนี้ไม่ปรากฎชื่อเนื่องจากเป็นเพียงแผนการที่เสนอกันระหว่างประเทศเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 กรกฎาคึม 1961 ประเทศสมาชิกได้แก่ ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และมลายู ดำเนินการโดยอาศัยวิธีการที่เรียกว่า "ปฏิญญา กรุงเทพฯ" ในขณะที่ ASA เริ่มดำนินการก็เกิดความขัดแย้งระหว่างฟิลิปินส์กับมาเลเซียในเรื่องสิทธิการครอบครองเหนือดินแดนรัฐซาบาห์ สืบเนื่องจากมลายูได้จัดต้งสหพันธ์มาเลเซ๊ยขึ้น ดดยรวมสิงคโปร์และดินแดนบริเวณบอร์เนียวเหนือ ซึ่งประกอบไปด้วย ซาบาห์ ซาราวัค และบรูไน แต่ฟิลิปินส์ไม่ยอมรับสหพันธ์มาเลเซียน อันเกิดจากความไม่พอใจที่มาเลเซียรวม ซาบาห์ ซึ่งเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของฟิลิปินน์  อินโดนะเซีย ก็ไม่พอใจและขัดขวางในการรวมหมู่เกาะบอร์เนียนเหนือ เพราะอินโดนิเซียก็ปรารถนาจะรวมดินแดนแถบนี้เข้าด้วยกัน เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นสมาคมอาสาจึงหยุดดำเนินการไปชั่วคราว หลังจากมีข้อยุติสมาคมอาสาจึงเริ่มดำเนินการต่อไป ซึ่งยังไม่ทันดำเนินการใดๆ ได้มีการก่อตั้งสมาคมอาเซียนขึ้น จึงมีความเห็นว่าควรในสมาคมลดกิจกรรมและรวมเข้ากับอาเซียนในที่สุด
           แม้ว่าชาติต่างๆ ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จะมีความรู้สึกในทำนอกโต้แย้งการรวมกลุ่มใดๆ ที่จะเกิดขึ้น แต่โดยเหตุปัจจัยภายนอก มีส่วนช่วยให้ผุ้นำชาติต่างในภูมิภาคได้ระลึกถึงความจำเป็นที่ต้องอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อบย้านอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น กล่าวคือ
          นับแต่ปี 1960 จีนคอมมิวนิสต์ประกาศย้ำให้โค่นล้มรัฐบาลไทยและมาเลเซีย ซึ่งปรากฎเด่นชัดในกรณีพยายามทำรัฐประหารในอินโดนีเซีย โดยฝ่ายคอมมิวนิสในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าจีนให้การสนับสนุนอยู่ จึงทำให้เกิดความสงสัยในเจตนาและท่าทีของคอมมิวนิสต์และหวาดระแวงภัยจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ เป็นความวิตกในความมั่นคงปลอดภัยในแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่"แอบซ่อน"และฝังลึกอยู่ในใจของผู้นำชาติต่างๆในภูมิภาคนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นในคำประกาศปฏิญญาของสมาคมอาเซียนฉบับแรก
           นอกจาปัญหาการรุกรานโดยตรงจากภายนอกประเทศแล้ว ประเทศในภูมิภาคนี้ยังมีปัญหาภายในของแต่ละชาติซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันเกี่ยวกับสภาพที่อ่อนแอของสังคมและเศรษฐกิจซึ่งเห็นได้จากคำกล่าวของ นายนาร์ซิสโซ รามอส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ ในปี 1967 ว่า "สภาพเศรษฐกิจที่ขาดการปสมปสานกันในระหว่างประชาชาติในเอเซียตะวีันออกเฉียงใต้โดยแต่ละประเทศวางเป้าหมายอนจำกัดของตนไว้ในลัษณะที่ทุ่มเททรัพยากรเท่าที่ตนมีอยู่ เข้าแก่งแย่งแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยวิธีการเช่นนั้นก็จะยิ่งเพื่อความอ่อนแอให้แก่ขีดความสามารถในการขยายตัวทางเศรษฐกิจและนำตนให้ต้องพึงพิงชาติที่ก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมอยู่ตลอดไป"
           ปัจจัยภายในของแต่ละประเทศซึ่งมีส่วนชักจูงและเอื้อำนวยให้แต่ละประเทศได้ทบทวยสัมพันธ์ธภาพกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคดังนี้
           อินโดนีเซีย หลังจากรัฐประหารที่ล้มเหลวในปี 1965 นับว่ามีผลต่อการเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศของอินโดนีเซียเป็นอย่างยิ่ง อินโดนีเซียหับกลับมาให้ความสนใจต่อความร่ยวมมือส่วนภูมิภาค โดยละทิ้งนโยบาย "เผชิญหน้า" ที่ปฏิบติมาแต่ก่อน ใช้นโยบายเป็นมิตรกบเพื่อนบ้าน อินโดนีเซียพยายามแสดงออกด้วยความกระตือรือร้นที่จะเป็นผู้นำกลุ่มประเทศในเอเซียยตะวันออกเฉียงใต้เพราะถือว่าฐานะของจำนวนประชากรและความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ นับว่าเกื้อกูลอยู่แล้ว  การวางตัวและการทำหน้าที่ฐานะผู้ไกล่เกลี่ยของรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ถนัด คอมันต์ ได้ผลอย่างดีเยี่ยม มีการจัดการเจรจากันระหว่างอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียในกรุงเทพฯ มิถุนา 1966 ทั้งสามประเทศเห็นความประโยชน์จากความร่วมมือในส่วนภูมิภาค
            สิงคโปร์ เพิ่งได้รับเอกราชโดยแยกตวจามมาเลเซีย เมือ 9  สิงหาคม 1965 ในฐานะรัฐใหม่ มีความประสงค์จะเข้าร่วมในสมาคมอาเซียนด้วยความจำเป็นทางการทูตย่ิงกว่าความเชื่อมั่นในผลประโยชน์ สมาคมอาเซียนที่จะก่อรูปขึ้นจะช่วยให้สิงคโปร์ซึ่เงป็นประเทศเกิดใหม่มีบทบาทสำคัญ และมีภาพพจน์ที่ดีในสายตาของประเทศต่างๆ ซึ่งจะช่วยลบคำกล่าวที่ว่าเป็นรัฐชาวจีน หรือ จีนที่สามในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
          ฟิลิปปินส์ นอกจากจะมีนโยบายสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ยังมีท่าทีสนับสนุนหลักการสมาคม ในฐานะที่หลักการของสมาคม อาเซียน มีลักษณะเป็นกลาง ผู้นำฟิลิปปินส์ขณะนั้นเห็นว่าการเข้าร่วมกับองค์การส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะกับกลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์ กับคอมมิวสิสต์ย่อมจะทำให้เอกลักษณ์ของฟิลิปปินส์ดีขึ้นในสายตาของรปะเทศเพื่อบ้านขณะเดียวกันก็จะทำความพอใจให้แก่พวกชาตินิยมมากกว่าที่จะนำไปผูกับมหาอำนาจเพียงอย่างเดี่ยว
       ประเทศไทย ในขณะนั้น ประเทศต่างๆในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ตกเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกทั้งสิ้น ไทยลอดพ้นสถานะการนี้เนื่องจากการที่รู้จักปรับตัวตามนโบาย "ลู่ลม" และหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยก็รอดพ้นจากการถูกปรับให้อยู่ในฐานะประเทศแพ้สงคราม ในฐานะที่ได้เคยประกาศสงครามกับพันธมิตร โดยความช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่นั้นมาความสัมพันธ์ของไทยกับสหรัฐก็มีความใกล้ชิดกัน และด้วยสาเหตุที่ไทยหวาดระแวงภัยจากจีนคอมมิวนิสต์เป็นสำคัญ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นโยบายต่อมาของไทยมีลักษณะพึงพิงสหรัฐมาโดยตลอด นับแต่ ปี 1960-1967
                ผู้นำไทยตระหนักดีว่า โดยฐานะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศ ซึ่งเสมือนอยู่ใจกลางดินแดนของผืนแผ่นดินของเอเซียตะวันออกเฉียงไต้ ล้อมรอบด้วยประเทศที่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบอาณานิคม แม้จะได้รับเอกราชแล้ว แต่บางประเทศ ก็ต้องเผชิญกับภัยคุกคามของประเทศกลุ่ม
คอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง ประเทศไทยซึ่งดำเนินนโยบายในการต่อสู้ขัดขวางจีนคอมมิวนิสต์มาโดยตลอด ตั้งแต่สงครามเกาหลี กระทั้งสงครามเวียดนาม ลาว และเขมร อันเป็นประเทศที่อยู่ประชิดตอิกับพรมแดนไทยเอง ทำให้ประเทศไทยตระหนักดีถึงความไม่ปลอดภัยจากสถานกาณ์ในประเทศอินโดจีน
           แม้ว่าไทยยังผูกพันกับสหรัฐอเมริการอย่างแน่นแฟ้น ประเทศไทยกลับต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการก่อการร้ายภายในประเทศ โดยการสนับสนุนของจีนคอมมิวนิสต์ซึ่งทำให้ประเทศไทยจำต้องได้คำมั่นจากพันธมิตรของไทย ในพันธกรณีของสนธิสัญญาป้องกันเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว ข้อตกลงยังไม่ชัดเจน เหมือนอย่างสัญญานาโต้เนื่องจากในกรณีที่เกิดความจำเป็นที่ต้องใช้กำลัง ประเทศสมาชิกจะต้องดำเนินการผ่านกระบวนการทางรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศก่อน แต่สำหรับกลุ่มนาโต้นั้จะประชุมแก้ปัญหาในทันที รวมทั้งกำหนดไว้ชัดว่า การโจมตีประเทศหนึ่งง ถือเป็นการโจมตีประเทศสมาชิก
          ด้วยความรู้สึกไม่ปลอดภัยของประเทศไทยทั้งจากปัจจัยภายอกอันเนื่องจากสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงของกลุ่มประเทศอินโดนีเซีย และความหวามระแวงต่อการรุกรานโดยตรงจาจีนคอมมิวนิสต์ รวมทั้งความไม่มั่นใจต่อการปฏิบัติตามพันธกรณีของมิตรประเทศ ประกอบกับปัจจัยภายในอันเนื่องมาจากภัยก่อการร้าย ทำให้ประเทศไทยจำต้องแสวงหาหนทาง สำหรับอนาคตเอง ไม่เพียงหวังการช่วยเหลือจากชาติมหาอำนาจฝ่ายเดียว ทางเลือกที่เหมาะสมกับสถานการณ์ขณะนั้น คือการแสวงหาความร่วมมือในส่วนภูมิภาค ดังนั้น ประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่มีบทบาทอย่างสำคัญในการจัดตั้งสมาคมอาเซียน
       สมาคมประชาชาติเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หรือสมาคมอาเซียน Association of Southeast Asian
Nation, ASEAN ถือกำเนินขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1967 โดยประเทศอินโดนีเซีย สหพันธ์มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย ได้ร่วมกันออกปฏิญญาอาเซียน แถลงเจตจำนงที่จะสร้างสันติภาพเสถียรภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และสวัสดิภาพ ความมั่นคงในทางเศรษบกิ สังคมท สัฒนธรรมของประเทศสมาชิก ต่อมาในปี 1984  บรูไน เข้าเป็นสมาชิก ตามด้วยเวียดนามในปี 1995 และลาวกับพม่าในปี 1997 และกัมพูชาเข้าร่วมเป็นสมาชิกในลำดับที่ 10 ในปี 1999 ทำให้ปัจจุบันอาเซีนเป็นกลุ่มเศรษฐกิจภูมิภาคขนาดใหญ่ มีประชากร รวมกันเกือบ 500 ล้านคน
        ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 9 ในปี 2003 ผุ้นำประเทศสมาชิกอาเซียนได้ตกลงกันที่จะจัดตั้งประชาคมอาเซียน ASEAN Community ซึ่งประกอบด้วย 3 เสาหลัก คือ
        1. ประชาคมเศรษบกิจอาเซียน Asean Economic Community : AEC
        2. ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน Socio-Cultural Pillar
        3. ประชาคมความมั่นคงอาเซียน Political and Security Pillar
        "One Vision, One Identity, One Community." หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งประชาคม เป็นคำขวัญของอาเซียน เดิมกำหนดเป้าหมายที่จะตั้งขึ้นในปี 2020 แต่เลือนกำหนดให้เร็วขึ้น เป็นปี 2015 และก้าวสำคัญต่อมาคือการจัดทำปฏิญญาอาเซียนซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ปี2009 นับเป็นการยกระดับความร่วมมือของอาเซียนเข้าสู่มิติใหม่ในการสร้างประชาคม โยมีพื้นฐานที่แข็.แกร่งทางกฎหมายและมีองค์กรรองรับการดำเนินการเข้าสู้เป้าหมายดังกล่าว
         บทสรุป การรวมกลุ่มอาเซียนมีวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่ปี 1961ด้วยเหตุและสถานะการณ์ต่างๆ การรวมกลุ่มจึงมีลำดับค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมีชาติร่วมก่อตั้ง 5 ประเทศกระทั่งปัจจุบัน ชาติในอาเซียนทั้งหมดทั้งหมด 10 ประเทศ ในปี 2017 ซึ่งเปิดเขตการค้าเสรี ได้สร้างแรงกระตุ้นและเกิดการตื่นตัวในการร่วมกลุ่มกัน อย่างไรก็ดีการรวมกลุ่มเพื่อความมั่นคงของภูมิภาค และความเจริญทางเศรษฐกิจจึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะนำไปสู่การกำหนดนโยบายในระดับภูมิภาคร่วมกันในภายหน้า
       

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2560

Foreign policy

           นโยบายต่างประเทศของรัฐ โดยทั่วไปหมายถึง กลุ่มของมาตรารหรือยุทธศาสตร์ที่รัฐกำหนดขึ้น และใช้ปฏิบัตต่อรัฐอื่น ในอันที่จะให้ได้มาซึ่งจุดประสงค์ที่ต้องการจุดประสงค์ของการดำเนินนโยบายต่างประเทศก็คือ การักษาและเสริมสร้างผลประโยชน์ของรัฐในด้านต่างๆ โดยที่ผลประโยชน์ของขาติเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนและหลากหลาย นโยบายต่างประเทศของรัีฐจึงเป็นเหมือนกับแผนการอันกว้างขวาง ที่ประกอบด้วยมาตรการเหรือยุทธศาสตร์หลายประการสำหรับใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของชาติอันหลากหลายในขณะใดขณะหนึ่ง หรือในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง นักวิชากการบางท่านให้ความหายของนโยบายต่างผระเทศไว้เพียงกว้างๆ ่านโยบายต่างประเทศหมายถึงหลักการกว้าง ๆ ซึ่งรัฐหนึ่งวางไว้เพื่อกำหนดและควบคุมการกระทำของตนในสภาพแวดล้อมของสังคมระหว่างประเทศ โดยที่ นโยบายต่างประเทศมีจะดมุ่งหมาายที่จะให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของชาติ โดยมาตรการต่างๆ ซึ่งมีพื้นฐานอยู่ในความสามารถของแต่ละรัฐจึงอาจกล่าวได้ว่า นโยบายต่างผระเศของรัฐเป็นสิ่งที่เชื่อโยงผลประโยชน์ของชาติกับอำนาจของชาติ นโยบายต่างประเทศเป็นสิ่งที่เชื่อโยงความต้องการของรัฐในการที่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์ของชาติกับอำนาจของชาติซึ่งแต่ละรัฐมีอยู่ การที่จะทำให้นโยบายบรรลุเป้าหมายก็ขึ้นอยู่กับอำนาจของรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกับรัฐที่เป็นเป้าหมายของนโยบายต่างประเทศนั้นๆ
           จุดมุ่งหมายของนโยบายต่างประเทศประการต่างๆ ได้รัฐจึคงมักจะมีการจัดลำดับความสำคัญ ของจุดมุ่งหมายต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับนโบายต่างผระเทศ ความสำคัญที่รัฐจะให้กับจุดมุ่งหมายหลายประการนั้นมีความแตกต่างกันออกไป ความแตกต่างเช่นว่านี้ รัฐจะให้ความสำคัญแก่จุดมุ่งหมายระยะยาวมากกว่าจุดมุ่งหมายระยะสั้น อย่างไรก็ตามอาจมีความขัดกันระหว่างจุดมุ่งหมายระยะยาวด้วยกันเองก็ได้ เช่น ความขักกันระหว่างความมั่นคงของรัฐกับอุดมการณ์ที่ชาติยึดถืออยู่ ซึ่งถือว่าทั้งสองเป็นจุดมุ่งหมายว่าทั้งสองเป็นจุดมุ่งหมายระยะยาวของรัฐด้วยกันทั้งคู่ เรามักพบว่าในการณีเช่นี้ ความมั่นคงของรัฐหรือความอยู่รอดของชาติได้รับความสำคัญมากกว่าเรื่องของอุดมกาณ์ แตอย่างไรก็ตาม มิได้หมายคึวามว่าเมื่อมีความขัดกันเช่นนี้จุดมุ่งหมายที่เกี่ยวกับอุดมการณ์จะถูกละทิ้งไปโดยเด็ดขาด แต่เป็นแต่เพียงการถูกลดความสำคัญลงไปในขณะใดขณะหนึ่ง และตคามสภาพอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เราทราบกันดีว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา และอุดมกาณ์คอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตนั้นเข้ากันไม่ได้ และเป็นปฏิปักษ์กันอย่างมาก แต่ทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตก็ลดความสำคัญที่แต่ละฝ่ายให้แก่อุดมการ์ของตน และหันมาร่วมมือกันในสงครามโลกครั้งที่สอง ในเมื่อทั้งสองฝ่ายให้แก่อุดมการณ์ของตน และหันมาร่วมมือกันในสงครามโลกครั้งสอง ในเมื่อทั้งสองฝ่ายเห็นว่า ความมั่นคงปลอดภัยของตนจะได้รับการกระทบกระเทือนจากการกระทำการรุกรานโดยเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น แต่่เมื่ออันตรายดังกล่าวได้สิ้นสุดลง
สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตก็ได้กลับมาให้คามสำคัญกับอุดมการณ์ของตนอย่างจริงจังอีก จนทำให้ทั้งสองต้องมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในสภาพที่เยยกว่า "สงครามเย็น"ในขณะเีด่ยวกันเราอาจกล่าวได้ว่า หลังจากที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ครอบตรองจีนแผ่นดินใหญ่ จีนคอมมิวนิสต์กับสหภาพโซเวียตมีจุดมุ่งหมายร่วมกันในส่วนที่เกี่ยวกับอุดมกาณณ์คอมมิวนิสต์ แต่เมื่อรัฐทั้งสองมีความขัดแย้งกันเรื่องผลปรโยชน์ของชาติประการอื่น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องควรามมั่นคงของชขาติในการีความขัดแย้งในบริเวณพรมแดร่วมของประเทศทั้งสอง ความสำคัญในเรื่องอุดมการณ์ก็ต้องหลีกทางให้กับความต้องการที่จะรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงปละอภัยแห่งชาติ ซึ่งปรากฎให้เก็นในรูปของความขัดแย้งระหว่างสหภาพโซเวียตกับจีนคอมมิวนิสต์ ในการจัดลำดับความสำคัญให้กับจุดมุ่งหมายต่างๆ ของนโยบายต่างประเทศน้น รัฐมักจะมีข้อพิจารณาว่าจะต้องใ้ห้ความสำคัญำับจุดประสงค์ที่รัฐเห้ฯว่าสำคัญที่สุดเหนือจุดประสงค์อื่นในขณะใดขณะหนึ่ง และในภาวะแวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง
             นโยบายต่างประเทศกับนโยบายภายใน
             นโยบายต่างประเทศของรัฐ มีความเกี่ยวพันกัยบอย่างใกล้ชิดกับนโยบายภายในรัฐเราอาจพิจารณาได้ว่า นโยบายภายในประเทศเป็นแนวทางที่ผุ้มีอำนาจในการปกครองประเทศกำหนดขึ้นเพื่อบริหารประเทศให้มีความสงบเรียบร้อย สร้างความเจิรญในด้านต่างๆ ให้กับประชาชน และกลุ่มชนภายนอาณาเขตของรัฐ ในหลายรัฐ นโยบายต่างประเทศถูกใช้เป็นเครื่องมืออันหนึ่งของนโยบายภายใน ในอินโดนิเซียในสมัยการเรืองอำนาจของประธานาธิบดีซูการ์โน เขาเป็นผุ้ที่มีบทบาทมากในการกำหนดนโยบายต่างประเทศของอินโดนีเซีย รัฐบาลอินโดนีเซียในขณะนั้นมนโยบายต่างประเทศที่ต่อต้านและคัดค้านการจัดตั้งรัฐมาเลเซียอย่างรุนแรง นโยบายดังกล่าว เรียกกันว่า การเผชิญหน้ากับมาเลเซีย ซึ่งเป้าหมายของนโยบายดังกบล่าวก็คือ การบดขยี้รัฐมาเลเซีย นโยบายนี้ ถือว่าเริ่มใช้ตั้งแต่ก่อนการจัดตั้งมาเลเซีย และสิ้นสุดอย่างเป็นทางการ การดำเนินนโยบายดังกบล่าวของประธานาธิบดี ซูกาณ์โน อันนี้ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายภายในที่ซูการ์โนต้องการให้ประชาชนซึ่งกำลังอยู่ในภาวะเสื่อมโทรม ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมภายในอินโดนีเซียหันมาสนใจและเห็นถึงอันตรายจาก "อาณานิคมแนวใหม่" ซึ่งปรเทศอินโดนีเซียกำลังเผชิญอยู่ เพื่อประชาชนจะไ้ดลืมความเสื่อมโทรมของประเทศและให้การสนับสนุนการเป็นผู้นำของซูการ์โนอย่างเต็มที่ เป็นความพยายามที่จะสร้างสถานการณ์โดยอาศัยนโยบายต่างประเทศ เพื่อผลประโยชน์ของนโยบายภายใน
          ในเรื่องความเกี่ยวพันระหว่างนโยบายภายในกับนโยบายต่างปรเทศของรัฐนั้น ฮันส์ เจ มอร์เกนธอ มีความเห็นในลักาณะที่ว่า เราไม่อาจแยกนโยบายภายนกับนโยบายต่างประเทศของรัฐได้อีกต่อไปแล้วในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะว่า การดำเนินนโยบายต่างประเทศในสมัยปัจจุบันนั้น มิได้กระทำด้วยเครื่องมือการทูต และทางอำนาจทางทหารเท่านั้น แต่นโยบายต่างประเทศต้องอาศัยเครื่องมือทางการโฆษณาชวนเชื่อประกอบเป็นส่วนสำคัญด้วย มอร์เกนธอ เห็นว่าการต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออำนาจระหว่างรัฐในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ มิใช่การดิ้นรนเพื่อความเหนือกว่าทางการทหาร หรือการมีอิทธิพลเหนือกว่าทางการเมืองเท่านั้น แต่รวมถึงความพยายามที่จะเอาชนะจิตใจของคนด้วย ดังนั้นอำนาจของชาติจึงมิได้ขึ้นอยู่กับเพียงความชำนาญในการดำเนินการทางการทูตและความเข้มแข็งทางการมหารของรัฐเท่านั้น แต่ัยังขึ้นอยู่กับการที่รัฐอื่นจะนิยมชมชอบในปรัชญา สถาบัน และนโยบายทางการเมืองของรัฐนั้นๆ ด้วย สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต มิด้แข่งขันกันในฐานะของการเป็นอภิมหาอำนาจในทางทหารและทางการเมืองเท่รนั้น แต่ประเทศทั้งสองยังแข่งขันกันในฐานะเป้ฯตัวแทนปรัชญาทางการเมือง  ระบอบการปกครองและวิถีชีวิตที่แตกต่างกันสองอัน ในอกณีของประเทศเล็กๆ การแข่งขันระหว่งกันเพื่ออำนาจของรัฐนั้นก็มีลักาณะทำนองเดียวกับการแข่งขันระหว่างอภิมหาอำนาจทั้งสองด้วย เช่น รัฐที่มีนโยบายในที่กีดกันเชื้อชาติหรือแผ่งแยกผิว ก็มักจะไม่สามารถเป็นที่นิยมชมชอบของรัฐต่างๆ ซึ่บมีประชาชนที่มีสีผิวต่างไป ถือว่ารัฐที่มีนโยบายเช่นนั้นถูก "ลดอำนาจของชาติ" ลงไปแล้ว ในขณะเดียวกั หากประเทศด้อยพัฒนาสามารถทีจะยกระดับความเป็นอยู่ของประชากร การรู้หนังสือ และากรสาะารณสุขภายในรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพก็อาจถือได้ว่า ประเทศนั้นมีอำนาจแห่งชาติเพ่ิมสูงขึ้นในสายตาของประเทศด้อยพัฒนาอื่นๆ เช่นนี้ จึงถือว่าในปัจจุบันไม่มีความแตกต่างระหว่างนโยบายภายในกับนโยบายต่างประเทศของรัฐอีกต่อไป
              ลักษณะนโยบายต่างประเทศ โดยทั่วไป นโยบายต่างปรเทศจะจัดเข้าในลักาณะหรือแบบแผนอย่างใดอย่างหนึ่ง
              1 นโยบายเพื่อากรรักษาไว้ซึ่งสถานะคงเดิมระหว่งประเทศ หมายถึง นโยบายต่างประเทศที่จะพยายามรักษาสภาพการกระจายอำนาจ และทรัพยากรธรรมชาติในสังคมระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ซึ่งอยู่ในลักษณะเช่นนี้ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต มีนโยบายต่างประเทศหลายประการทีจัดอยู่ในลักษณะนี้เพราะทั้งสองอภิมหาอำนาจต่างก็มอิทธิพลและผลประโยชน์กว้างขวางในสังคมระหว่างประเทศ ทั้งสองจึงพยายามที่จะรักษาสภาพเช่นว่านี้ไว้เป็นส่วนใหญ่
              2 นโยบายแห่งการแผ่ขยายหรือนโยบายที่ต้องการเปลี่ยนแปลง เป็นลักษระของนโยบายต่างประเทศที่ต้องการเพิ่มอำนาจให้กับรัฐตนมากกว่าฐานะแห่งอำนาจของตนในขณะใดขณะหนึง โดยมุ่งหมายที่จะให้ม่การเปลี่ยนแปลงสภาพในสังคมระวห่างประเทศในขณะนั้น ให้เป็นไปในทางที่รัฐตนจะมีฐานะที่ดีขึ้นในังคมระวห่งประเทศ เป็นลักษณะของนโยบายต่างประเทศที่ตรงกันข้ามกับลักษณะแรก นโยบายต่างประเทศของเยอรมนีในสมัยของฮิตเลอร์ เป็นจัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้
การกำหนดนโยบาต่างประเทศ ในรัฐต่างๆ ผุ้ที่ทำหน้าที่เป็นผุ้กำหนดนโยบายต่างประเทศก็คือ รัฐบาล ซึ่งเป็นผุ้แสดงบทบาทในการเมืองระหว่งประเทศในนามของรัฐ ตามปกติ นอกจากคณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้รับผิดชอบในการกำหนดนโยบายต่างประเทศร่วมกันแล้ว รัฐมนตรีต่างประเทศจะเป็นผุ้มีบทบาทโดยตรง และในระดับต่ำลงไปจากรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศในระดับต่างๆ จะมีหน้าที่สำคัญ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเสนอข้อมูลข่าวสาร และความคิดเห็นเพื่อให้ผุ้ที่รับผิดชอบสุงขึ้นไปพิจารณาและตัดสินใจเลือกทางปฏิบัติทางใดทางหนึ่งในหลายๆ ทาง นอกจากนั้น หน่วยงานของรัฐนอกจากกระทรวงการต่างประเทศก็อาจมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย
ต่างประเทศของรัฐ โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานรับผิดชอบของหน่วยงานนั้นๆ โดยตรง ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริการในกรณีควาขัดแย้งในอินโดจีน ฝ่ายทางเสนาธิการทหารและกระทรวงกลาโหม ซึ่งต้องการให้อเมริกาเน้นหนักในทางการใช้กำลังทหาร จนทำให้ได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายเหยี่ยว กับนักการเมืองส่วนอื่นๆ และกระทรวงการต่างผระเทศซึ่งคัดค้านวิธีการดังกล่วและสเนอให้ใช้วิธีการทางการทูตมากกว่าซึ่งเรียกกันว่าพวกนกพิราบทั้งสองฝ่ายแข่งขันกันชักจูงให้ประธานาธิบดีสหรัฐดำเนินนโยบายไปในทางที่ตนเห็นควร อิทธิพลของฝ่ายเหยี่ยวมีมากในการกำหนดนโยบายสหรัฐฯ ทำใหสหรัฐมีทหารเข้าปฏิบัติการรบในเวียดนามกว่า ห้าแสนคน
            ในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลจะประกอบด้วยปัจจัยที่มีอยุ่และเกิขึ้นภายใรัฐนั้น กับปัจจัยที่เป็นเรื่องของสังคมระวห่างประเทศ ปัจจัยภายในที่สำคัญก็คอ อำนาจของรัฐเอง อำนาจของรัฐรวมหมายความถึง อำนาจทังที่เป้นส่ิงที่เห้ฯได้ชัด เช่น ความเข้มแข็งทางทหาร ความมั่งคั่งมั่นคงทางเศรษฐฏิจและทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ เป็นต้น ส่วนอำนาจที่อาจมองเห็นได้ไม่ชัดได้แก่ ลักษณะผู้นำของรัฐ ลักษณะประจำชาติต่างๆ รวมทั้งขวัญและวินัยของประชาชนในชาติ นอกจากนั้น ก็รวมถึงบทบาทของกลุ่มอิทธิพล กลุ่มผลประโยชน์ พรรคการเมือง และกลุ่มการเมือง และอื่นๆ ภายในประเทศนั้น ส่วนปัจจัยภายนอก เป็นเหตุการณ์หรือความเปลี่ยนแปลงผันผวนที่เกิดขึ้นในประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ใกล้เคียง หรือรัฐที่เกี่ยวข้องกับคน ทั้งในด้านความร่วมมือและความขัดแย้ง หรือในัที่มีอำนาจกว้างขวางในโลก และรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่่างรัฐต่างๆ ในสังคมระหว่างประเทศด้วย
             การดำเนินนโยบายต่างประเทศ หรือการนำนโยบายที่กำหนดไว้แล้วไปใช้ในทางปฏิบติ รัฐมีเครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ซึ่งอาจแนกกล่าวได้ 2 ประการ
             1. เครื่องมือสันติ  โดยทั่วไปหมายถึงการดำเนินการทางการทูต และการเจรจา เป้นความพยายามของรัฐที่จะใช้กุศโลบายความเฉลี่ยวฉลาดรอบคอบล และความชำนาญทางการทู๔ต เพื่อให้ได้มาซึ่งจุดประสงค์ของนธบยายต่างประเทศของรัฐ โดยปกติ มักเข้าใจกันว่าการดำเนินการทางการทูตเป็นเรื่องของนักการทูตและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่งประเทศของรัฐโดยเฉพาะ แต่ในทาสง)กิบัตินั้นผุ้แทนของรัฐที่มีการจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งคราวเฉาพะกรณี หรือการแสดบทบาทโดยผู้นำของรัฐเองโดยตรง นับเป็นการดำเนินการทางการทูตที่สำคัญยิ่งขึ้นตลอดเวลา ยิ่งกว่านั้น การใชบ้เครื่องมือทางสันติ ก็มิได้จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องของการทุตและการเจรจาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดำเนินการอื่น  ๆ ทีรวมั้งการแสดงแสนยานุภาพทางทหาน  ละารคุกคามที่จะใช้สงครามด้วย ทั้งนี้เพราะถือว่า การดำเนินการทางการทูตจะยุติลงเมือรัฐหันไปใช้กำลังเป็เนครื่องมือในทางปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งจุดประสงค์ของนโยบายต่างประเทศเท่านั้น
             2. เครื่องมือทางการใช้กำลัง ซึ่งหมายถึงการใช้มาตรการทางทหาน ในการเข้าทำสงครามเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายของนโยบายต่างประเทศ การใช้กำลังเป็นมาตรการขั้นต่อเนื่องของวอธีการสันตะ โดยที่วไป ในสภาพที่สัีงคมระหว่างประเทศมีลักษระอนาธิปไตยที่แตกต่างจากสภาพการเมืองภายในประเทศ ในขึ้นสูดท้ายรัฐจึงจำเป็นต้องพึงตัวเอง เพราะฉะนั้น การใบช้กำลังทำสงครามเพื่อให้ได้มาซึ่งผลบประโยชน์ของรัฐจึคงยังคงงเป็นมตรการที่สำคัญ

             การใช้มาตรการทางทหารเพื่อให้ได้มาซึ่งจุดมุ่งหมายของนโยบายต่างประเทศนับเป็ฯเรื่องสำคัญมากในการเมืองระหว่างประเทศ ก่อนที่รัฐใดรัฐหนึ่งจะตัดสินใจใช้มาตรการทางทหาร รัฐนั้นๆ จะต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและรอบคอบ โดยเฉพาะอย่งยิ่งการพิจารณาถึงการตอบโต้จากรัฐคู่กรณี รวมทั้งปฏิกิริยาจากรัฐอื่น ๆ ในสังคมระวห่างปรเทศด้วย รัฐที่ตัดสินใจใช้สงครามเป็นเครืองมือของนโยบายต่างประเทศ จะต้องมีการคาดหวังถึงโอกาสที่ไม่เห็นโอาสเช่นว่านั้นเลย อย่างไรก็ดี หากความอยู่รอดของรัฐอยู่ในภาวะที่เป็นอันตรายและไม่มีมาตรการอื่นที่จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้รัฐก็อาจำเป็นต้องใช้กำลังทำสงครามทั้งๆ ที่ไม่เห็นโอกาสแห่งชัยชนะเลย

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560

Political and National Security

              ความมั่นคงแห่งชาติด้านการเมือง
              ความหมาย
              - ความมั่นคงแห่งชาติด้านการเมือง คือ สถานการณ์ทางการเมืองที่ทำให้ประชากรมีความเชื่อถือและศรัทธาต่อระบอบการปกครอง ต่อรัฐบาลผู้บริหารการปกครองประชาชร มีความเคารพเชื่อฟัง และยอมปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่รัฐบาล มีความเชื่อมั่นในรัฐบาลว่าจะสามารถสร้างความเป็นธรรมในหมู่ประชากร และสามารถป้องกันความแตกแยกระหว่างชนในชาติ สามารถรักาดินแดนให้ปลอดภัยจากการแบ่งแยกยึดครอง มีเอกภาพ และรักษาศักดิ์ศรีของชาติในวงการเมืองระหว่างประเทศ รัฐบาลมีความชอบธรรม สามารถบริหารประเทศ ได้อย่างมีประสิทธิผล มีอิสระปลอดจากอิทธิพล และกรบวนการในการดำเนินนโยบายของประเทศ ประชากร ดินแดน รัฐบาล อำนาจอธิปไตย ตลอดจนเสถียรภาพของประเทศ ปลอดจากการคุกคามทั้งภายในและภายนอกและปฏิบัติการภายใต้อิทธิพลของต่างประเทศ
              - การเมืองคือแบบแผนของความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่เกี่ยกับอำนาจและการปกครองและการใช้กำลังอำนาจเป็นประการสำคัญ
             องค์ประกอบต่างๆ ที่เป็นพืนฐานของการเมืองไทยที่ควรรู้ และวิเคราะห์ผกระทบขององค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ต่อกระบวนการทางการเมืองของไทย และความมั่นคงของชาติ คือ รัฐธรรมนูญ สถาบันการเือง รัฐบาล รัฐสภา ข้าราชการ สื่อมวลชน กลุ่มอิทะิพลและกลุ่มผลประโยชน์ วัฒนธรรมทางการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน
              ลักษณะวิชาการเมือง มีเนื้อหาเกี่ยวกับการบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น การปฏิรูประบบราชการ การกระจายอำนาจ การตวรจราชการ การตรวจเงินแผ่นดิน การบริหารที่ดี การบริหารงานบุคคล การบริาหรแบบใหม่ งานนิติตบัญญัติ พรรคการเมือง การเลือกตั้ง งานตุลาการ องค์กรอิสระ อุดมการณ์ทางการเมือง การปกครอง คามเป็นชาตินิยม องค์กรระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การทูต
             เครื่องมือทางการเมือง การดำเนินการทางการทูตถือได้ว่าเป็นหัวของเครื่องมือทางการเมือง การทูตมีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินการระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลโดยตรงที่ว่าโดยตรงก็เนื่องจากการทูตสามารถสร้างความกดดันต่อเจ้าหน้าที่สำคัญๆ ของรัฐอื่นโดยตรงได้ นอกจากนั้นการทูตก็เป็นเครื่องมือซึ่งอาจใช้เทคนิคหล่ยๆ ประการ เช่น ทางด้านเศรษฐฏิจ จิตวิทยาห หรือแม้แต่การทหาร เพื่อกดันรัฐเป้าหมายได้ด้วย
             ความสัมพันธ์กับพลังอำนาจของชาติด้านอื่น
             - ปัจจัยภายนอกประเทศมีความสำคัญต่อการกำหนดแนวนโยบายต่างประเทศของประเทศหสึ่งให้สอดคล้องกับสภาวะทางการเมืองระหว่างประเทศในขณะใดขณะหนึ่งอย่างไร การตัดสินใจของคณะผู้กำหนดนโยบายหรือของตัวผุ้นำอาจต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ การกำหนดนโยบายต่างประเทศนั้นต้องยึคดผลประโยชน์แห่งชาติเป็นหลัก การกำหนดนโยบายต่างประเทศนั้นขขึ้นอยุู่กับขีดความสามารถของชาติ คือกำลงอำนาจของชาติ ในด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมจิตวิทยาและด้านการทหาร
            - เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการด้านการเมืองระหว่างประเทศ ประกอบด้วย
                  เครื่องมือทางการเมืองและการทูต เป็ฯเครื่องมือที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไปการใช้มักพยายามใ้กลวิีหลายประการเข้ามาประกอบเพื่อทำให้ประเทศคุ่เจรจาหรืออีกฝ่ายใหนการลงความเห็น ลงคะแนนเสียง หรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามความต้องการของฝ่ายตน
                  เครื่องมือทางเศรษฐกิจ อาจหมายถึง การค้าขาย การให้ความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐฏิจ โดยใช้พลานะภาพทางเศรษฐกิจที่ตนมีอยู่เป็นเครื่องมือให้ประเทศที่ด้อยกว่าทางด้านเศรษบกิจตกอยู่ายใต้อิทะิพลของตนได้
                 เครื่องมือทางจิตวิทยา ได้แก่ การโฆษณาจูงใจ การทำสงคราม จิตวิทยา เป้าหมาย คือ ควาพยายามที่จะสร้างความรู้สึกและภาพพจน์ที่ดีเก่ยวกับประเทศตนให้เข้าใจแพร่หลายในหมู่ประชาช และผุ้นำของประเทศอื่นๆ
                เครื่องมือทางการทหาร ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดและมักใช้เป็นเครื่องมือสุดท้ายในการตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างประเทศและช่วยรักษาผลประโยชน์ของประเทศตนไว้ เมื่อไม่สามารถจะตกลงกนได้ด้วยวิธีการเจรจาทางการทูต
              เครื่องมือทางวิทยาศาสตร เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศนั้นๆ จะส่งผลโดยตรงต่อความมีเสถียรภาพของรัฐบาล ก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีทางการเมืองกับประเทศต่างๆ
              ปัจจัยการเมืองภายในประเทศ จะเป็นผู้จัดสรรทรัพยากรของประเทศทั้งงบประมาณ คน และทรัพยากรให้กับพลังอำนาจด้านเศรษฐฏิจ ด้านสังคมจิตวิทยา ด้านการทหารและด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี รวมทั้งเป็นผู้บริหารจัดการในภาพรวมของประเทศ..(คู่มือ ใช้เป็นแนวทางในการศึกษาตามหลักสูตร ของ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร 2553-2554,น.10 -12,)
           การรวมกลุ่มระหว่างประเทศ เฮร์นศ์ บี ฮาส กล่าวว่า "การรวมกลุ่มเป็นกระบวนการที่ผุ้ใช้อำนาจทางการเมือง ที่มีอำนาจหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ ถูกชักนำให้เปลี่ยนผัน ความจงรักภักดี ความคาดหมายและกิจกรรมทางการเมืองไปสู่ศูนย์อำนาจแห่งใหม่ ซึ่งสถาบันหลังนี้ดำรงไว้ซึ่งอำนาจหน้าที่อยู่เหนือชาติรัฐที่มีอยู่แต่เดิม".. ลีออน เอน ลินด์เบิร์ก ยกตัวอย่าง การรวมกลุ่มเศรษฐกิจยุโรปโดยให้อรรถาธิบายความหายการรวมกลุ่มดังนี้
           - กรรมวิธีที่ชาติหลายๆ ชาติเต็มใจสละเจตจำนงและความสามารถในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ และนโยบายที่สำคัญบางประเภทภายในประเทศของตนไปสู่การตัดสินใจในนโยบายเลห่านั้นร่วมกัน หรือยินยอมมอบอำนาจกรรมวิธีในการตกลงใจของแต่ละชาติให้เป็นขององค์การศูนย์กลางแห่งใหม่ และ
          - กรรมวิธีที่ผู้ใช้อำนาจทางการเมือง ในระดับต่างๆ ของชาติที่มารวมกลุ่ม ถูกชักจูงให้ผันแปรความคาดหมายและกิจกรรมทางการเมืองไปสู่ศูนย์กลางแห่งใหม่
          ในกรณี  มีการรวมกลุ่มเกิดขึ้นแล้ว ยังต้องคำนึงกันต่อไปว่ากลุ่มหรือองค์การระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นนั้นจะดำเนินการไปได้ราบรื่นและก่อให้เกิดสันติภาพขึ้นมากน้อยเพียงใด แต่เป็นที่เชื่อกันได้อย่างแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าหากไม่ได้จัดให้มีการผสมผสานเข้ากันได้ระหว่างผลประโยชน์ของรัฐกับผลประโยชน์ขององค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งการจัดระเบียบและให้อำนาจขององค์การระหว่างประเทศที่เป็นองค์การใหม่นั้นสอดคล้อง ต้องกันกับความต้องการส่วนรวมของรัฐมาชิก

        ซึ่งจะเห็นได้ว่า สิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องหรือเป็นปัจจัยต่อความมั่นคง แข็งแกร่งของการรวมกลุ่มห รือองค์การระวห่างประเทศนั้นได้แก่ ผลประโยชน์ อำนาจและอิทธิพลของรัฐสมาชิกของกลุ่มประเทศนั้นเอง และหากพิจารณาอย่างลึกซึ้งจะเห็นว่า การถ่ายเทผลประโยชน์ระหว่างรัฐต่อรัฐจะบังเกิดผลเท่าเที่ยมกันได้ก็แต่โดยรัฐเหล่านนั้นมีความร่วมมือกันและตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเกื้อหนุนกันด้วยความเป็นธรรมแต่หากฝ่ายหนึ่งฝ่านใดมีกิจกรรมไม่ว่าในทางใด ๆ เหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งหรือได้รับประดยชน์ไปมากกว่าอีกฝ่าย ย่อมจะทำให้เการร่วมกลุ่มนี้ไม่มั่นคง แข็งแรง
       "อำนาจรัฐ"อำนาจคือความสามารถในการที่จะเอาชนะอุสรรคต่างๆ แต่เพียงการที่รัฐใช้อำนาจของรัฐเพื่อชนะอุสรรคภายในรัฐของตน ก็ย่อมจะไม่กระทบหรือมีผลต่อรัฐอื่น แต่พฤติกรรมของรัฐที่ใช้อำนาจของรัฐเหนือกว่ารัฐอื่น และกระทำต่อรัฐที่มอำนาจรัฐน้อยกว่านั้น ทำให้ความหมายของคำว่าอำนาจของรัฐกลายเป็นความสามารถในการทำให้รัฐอื่นทำตามหรือยอมตามสิ่งที่ตนปรารถนา
        การใช้ความสามารถในการทำให้รัฐอื่นกระทำตามหรือยอมทำตามสิ่งที่ตนปรารถนาได้นี้ก็คือการใช้อิทธิพล ฉะนั้น จึงถื่อได้ว่า "อิทธิพลเป็นส่วนประกอบอันดับแรกของความคิดเกี่ยวกับอำนาจ"
        การที่รัฐสมาชิก กระทำต่อรัฐอื่นในกลุ่มรัฐสมาชิกโดยอาศัยอิทธิพลของรัฐไม่ว่าทางใดก็ตาม ผลกระทบที่เกิดจากรัฐอื่นนั้นยอ่มจขะมีขึ้นเป็นธรรมดา ท้งนี้ถือว่าเป็นไปตามทฤษฎีปฏิกริยาต่อกัน ในความร่วมมือระหว่างประเทศจะถึงระดับที่เรียกว่าเป็นการรวมกลุ่มระเทศขึ้นนั้น แมว่าโดยเจตนารมณ์ในเบื้องต้นรัฐสมาชิกประสงค์จะแสวงหานโยบายที่สอดคล้องกัีน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่งหนึค่งอย่างไดของกลุ่มประเทศนั้นก็ตาม แต่ในการศึกษาตามสภาพความเป็นจริง แล้วรัฐอื่นที่ถูกกระทำต่อย่อมจะเกิดปฏิกริยาตอบโต้ ในทางใดทางหนึ่ง เช่น การแข่งขัน การร่วมมือ การต่อรอง หรือความขัดแย้ง สภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านนี้เป็ฯส่ิงทีเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แม้ว่ารัฐผู้แสดงหรือผู้มีบทบาท ในกลุ่มประเทศที่รวมกันอยู่จะพยายามหลีกเลี่ยงหรือจะพยายามปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ปฏิกิริยา เช่นที่กว่างแล้วลดน้อยลงก็ตาม ตามทฤษฎีปฏิกิริยาต่อกันนี้ยอมรับว่าปัจจัยภายนอกที่เกิดจากรัฐหนึ่งกระทำต่ออีกรัฐหนึ่งนั้นย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ แม้รัฐที่รวงมกลุ่มหรืออยู่นอกกลุ่ม อย่างไรก็ตามการที่รัฐต่างๆ ยังมีความร่วมมือกันอยู่เนื่องจากรัฐบาลต่างๆ เหล่านั้นยังคงต้องการรักษาอำนาจและอิทธิพล รวมถึงความต้องการที่จะให้ได้มาซึ่งอำนาจและอิทธิพล
           ดังนั้น ในพฤติกรรมระหว่างประเทศที่ผ่านมาจึงมีความพยายามที่จะรักษาอำนาจของรัฐหรือกลุ่มของรัฐให้อยู่ในลักษณะทัดเทียมกัน หรืออยู่ในลักษณะทัดเทียมกัน หรืออยู่ในลัษณะที่ได้ดุลยภาพ ซึ่ได้ก่อให้เกิดทฤษฎีดุลอำนาจ
          อรุณ ภาณุพงศ์ ให้ความเห็นว่า "เรื่องของดุลแห่งอำนาจ เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจมากที่สุดเรื่องหนึค่ง ทั้งของนักทฤษฎีด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และของผุ้ที่ปฏิบัติงานหรือเกี่ยวข้องกับงานด้านต่างประเทศ ทั้งของนักทฤษฎีด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และของผุ้ที่ปฏิบัติงานหรือเกี่ยวข้องกับงานด้านต่างประเทศ ทั้งนี้โดยความเชือ่ว่าดุลแห่งำนาจจะทำให้เกิดสันติภาพในความสัมพันะ์ระหว่างประเทศทั่วไป และทำให้เกิดความมั่นคงแห่งชาติ สำหรับผู้ที่สามารถจะปรับดุลแห่งอำนาจให้เป็นคุณแก่ตน..."
        ดุลอำนาจมีความหมายที่ใช้กันอยู่ 2 ลักษณะที่แตกต่างกัน ความหมายแรกมองจากแง่ สภานะเชิงส่วนสัดของอำนาจว่ากระจายกันอย่างไร และอีกความหมายหนึ่ง มองดุลแห่งอำนาจในฐานทางปฏิบัติตามนโยบาย
            การรวมกลุ่มอันเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศตามทฤษฎีความมั่นคงร่วมกัน ศาสตราจารย์ โจเซฟ ไนย์ ให้ความเห็นว่า
            " แนวความคิดในการรวมกลุ่มระหว่างประเทศ เมื่อจะต้องแยกพิจารณาในแง่ส่วนประกอบของรัฐแต่ละรัฐเพื่อจัดรวมขึ้นเป็นองค์กรระหว่างรัฐองค์กรใหม่แล้ว ก็อาจจะแยกออกได้เป็นการรวมกลุ่มในทางเศรษฐกิจ การรวมกลุ่มในทางสังคม และการรวมกลุ่มในทางการเมือง การรวมกลุ่มทั้งสามลักษณะนี้ ในทางปฏิบัติอาจจะแยกออกเป็นการรวมกลุ่มในเรื่องย่อยอื่น ๆ ที่อยุ่ในความสนใจร่วมกัน ในลักษณะที่หวังผลแน่นอนเป็นเรื่องๆ ไป"

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...