วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2560

The Socialist Republic of Vietnam

            เวียดนาม เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ของชาติที่ยาวนานประเทศหนึ่ง มีสภาพแวดล้อมประชิดติดกับจีน ลาว และกัมพุชา การที่เวียดนามตั้งอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีนทำให้เวียนดนามได้รับอิทธิพลด้านต่างๆ อาทิ วัฒนธรรม ศาสนา ภาษา และการเมืองการปกครองในอดีตมาจากอินเดียและจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากจีน ซึ่งเวียดนามเคยตกเป็นเมืองขึ้นเป้นเวลานับพันปี ต่อมาเวยนามเป็นเอกราชกว่า 900 ปี จึงตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสในยุคอาณานิยมจนถึงสงครามโลครั้งที่ 2 จึงตกเ็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นชั่วคราว เมื่อสิ้นสุดสงครามเวียดนามได้รับเอกราชในห้วยระยะเวลาสั้นๆ ก่อนผรังเศสกลับเข้ายึดครองอีกครั้ง  เวียดนามรบชนะฝรั่งเศสที่เดียน เบียน ฟู เป็นผลให้มีการเจรจาสันติภาพที่กรุงเจนีวา
กำหนดให้แบ่งเวียดนามเป็นเหนือ-ใต้ ชั่วคราวเป็นเวลา 2 ปี แต่ก็ไม่สามารถรวมกันได้ โดยผุ้นำเวียดนามใต้อ้างว่าไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญานั้น เวียดนามใต้เกรงกลัวว่าหากปล่อยให้มีการเลือกตั้งเพื่อรวมปรเทศในครั้งนั้นฝ่ายใต้จะเป็นฝ่ายแพ้เนื้องจากความนิยมชองชาวเวียดนามที่ีมีต่อโอจิมินห์ ซึ่งเป็นผู้นำเวียดนามตอนเหนือ (ความแตกแยกเหนือ-ใต้ ของเวียดนามมีมาตั้งแต่โบราณจากความแตกต่างทางภฺมิศาสตร์ แนวคิด อุดมการณ รวมทั้งคุณลักษณะของประชากร) ทำให้เวียดนามตกอยู่ในสภาวะสงครามภายใน ซึ่งต่อมากลายเป็นสงครามตัวแทนของฝ่ายคอมมิวนิสต์และฝ่ายโลกเสรีในยุคสงครามเย็น กระทั่งปี พ.ศ. 2518 สงครามยุติลงด้วยชัยชนะของเวียดนามเหนือและเวียดกง ต่อเวียดนามใต้และพันธมิตร ในปีต่อมาเวียดนามก็สามารถรวมประเทศได้อีกครั้งภายใต้ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
           จากชัยชนะครั้งนั้น ประกอบกับการหนุนหลังของสหภาพโซเวียตและประเทศในยุโรปตะวันออกในการขยายอิทะิพลอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ รวมทั้งแนวคิดของอดีตผู้นำเวียดนามคือ โฮจิมินห์ ที่เรียกว่าพินัยกรรม ฉบับ พ.ศ.2512 และสรรนิพนธ์โฮจิมินห ซึ่งพิจารณาว่าลาวและกัมพูชาเป็นดินแดอยู่ในอาณัติของเวียดนามด้วย ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เป็นผลให้เวียดนามกำหนดนโยบายต่างประเทศเป็นมิตรกับประเทศในกลุ่มคอมมิวนิสต์และเป็นศัตรูกับประเทศโลกเสรีทั้งยังส่งทหารเข้ารุกรามกัมพูชา และยึดพนมเปญได้ใน ผลจากการดำเนินนโยบายต่างประเทศ และการกระทำของเวียดนามในครั้งนั้นได้กระทบต่อสภาพแวดล้อมในภูมิภาคอย่างใหญ่หลวง ประเทศโลกเสรีทั้งหบลาย รวมทั้งอาเซียนต่างก็วิตกถึงภัยคุกคามจาการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประทเศไทยฐานะประเทศด่านหน้า ทำให้ประเทศต่างๆ ในอาเซียนหันมากระชับความร่วมมือระหว่างกันมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการยึดครองกัมพูชาของเวียดนาม ทั้งทางการเมืองระหว่างประเทศและการให้ความช่วยเลหือกองกำลังกัมพูชา 3 ฝ่ายอย่างลับๆ ในกาต่อสู้กับรัฐบาลหุ่น เฮง สัมริน ของเวียดนาม อาจกล่าวได้ว่า ผลจากสิ่งแวดล้อมในขณะนั้นได้กระทบต่อนโยบายของแต่ละประเทศในอาเซียนและนโยบายของอาเซียนโดยส่วนรวม
             เมื่อสถานะการณ์เปลี่ยนไป อภิมหาอำนาจสหภาพโซเวียตประสบปัญหาเศรษบกิจภายในประเทศ มิคาเอง กอร์บาชอฟ เปลี่ยนนโยบายทั้งนโยบายภายในและต่างประเทศโดยนำนโยบายการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและการเปิดกว้างทางการเมืองมาใช้ และการดำเนินการของอาเชียนในเวทีการเมอืงโลก เพื่อผลักดันเวียดนามให้ออกจากกัมพูชา และปัญหาภายในเวียดนามเอง ส่งผลให้เวียดนามต้องถอนทหารออกจากกัมพูชาในปี พ.ศ. 2532 ซึ่งช่วยคลายความตึงเครียดในภูมิภาคเป็นอย่างมาก  และเมื่อโลกสิ้นสุดยุคสงครามเย็นอันเนื่องมาจากการล้มสลายของสหภาพโซเวียตในปี พ.ศ. 2534 เวียดนามเองก็ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ จึงปรับท่าที่โดยใน พ.ศ. 2535 เวียดนามได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งเป็นฉบับที่ 4 สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ เลิกระบุชาติที่เป็นศัตรู เลิกระบุถึงพินัยกรรมโอจิมินห์ ทางด้านนโยบายต่างประเทศได้ปรับเปลี่ยนเป็นการสร้างความร่วมมือต่อทุกประเทศโดยไม่คำนึงถึงคามแตกต่างทางการเมือง นอกจากนี้ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจก็มีส่วนสำคัญ ที่ทำให้เวียดนามต้องทำการปฏิรูปทางเศรษฐกิจของตนเองโดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2529 จนถึงปัจจุบัน เวียดนามมีระบบเศรษฐกิจที่ยินยอมให้การตลอดเข้ามามีบทบาทสำคัญ ภายใต้ระบบการเมืองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ (งานวิจัย "ทัศนะของทหารต่อการเข้าร่วมเป็นสมาขิกอาเซียนของเวียดนาม" บทที่ 2, น.17-19, 2538.)
             ลักษณะการปกครอง  เวียดนามเป็ฯประเทศสัีงคมนิยมที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ (พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนาม Communist of Vietnam-CPV ซึ่งเป็นสถาบันการเมืองที่มีอำนาจสูงสุด ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายในการปกครองประเทศโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการร่างกฎหมายและปกครองทั่วไป ประธานาธิบดีทำหน้าที่ดูแลนโยบายของรัฐ การทหาร และการรักษาความสงบภายในประเทศและมีสถาบันที่สำคัญคือ รัฐบาล ซึ่งแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีและรับรองโดยสภาแห่งชาิต โดยมีวาระ 5 ปีเวียดนามแบ่งออกเป็น 59 จังหวัด และ 5 เขตเมือง หรือเรียกว่า นคร (Can Tho, Da Nang, Hai Phong, Ha Noi, Ho Chi Minh)
           การเมืองของเวียดนามมีเสถียรภาพ เนื่องจากมีพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นองค์กรที่มีอำนาจ สูงสุดผูกขาดการชี้นำภายใต้ระบบผู้นำร่วม ที่คานอำนาจระหว่างกลุ่มผุ้นำ ได้แก่
           - กลุ่มปฏิรูป ที่สนับสนุนการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ นำโดยอดีตนายกรัฐมนตรี ฟาน วัน
           - กลุ่มอนุรักษ์นิยม ซึ่งต่อต้านหรือชะลอการเปิดประเทศ เพราะเกรงภัยของ "วิวัฒนาการที่สันติ" อันเนื่องมากจากการเปิดประเทศ
           - กลุ่มที่เป็นกลาง ประนีประนอมระหว่างสองกลุ่มแรก นำโดยอดีตประธานาธิบดี เจิ่น ดึ๊ก เลือง ส่งผลให้รัฐบาลเวียดนามต้องปรับแนวทางการบริหารประเทศให้ยือหยุ่นและเปิดกว้างมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถดำเนินไปได้ในย่างก้าวที่รวดเร็วนัก(http//www.61.47.41.107/..การเมืองการปกครองเวียดนาม)
           โครงสร้างการปกครองเวียดนาม
   ฝ่ายนิติบัญญัติ สภาแห่งชาติทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มีสมาชิกรวม 493 คน มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศ มีหน้าที่บัญญํติและแก้ไขกฎหมาย แต่งตั้งประธานาธิบดีตามที่พรรคคอมมิวนิสต์เสนอ ให้การรับรองหรือถอดถอนนายกรัฐมนตรีตามที่ประธานาธิบดีเสนอ รวมทั้งแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ อันเป็นระบบการบิหารแบบผู้นำร่วมสมาชิกสภาแห่งชาติมาจากเลือกตั้ง มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี  แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต แต่กฎหมายเวียดนามก็อนุญาตให้ผู้ที่มิได้เป็นสมาชิกของพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งได้เช่นกันโดยต้องได้รับความเห็นชอบจากแนวร่วมปิตุภูมิแห่งชาติ อันเป็นองค์กรส่วนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำหน้าที่ดูแลรักษาอุดมการณ์สังคมนิยม
           ฝ่ายบริหาร ประกอบด้วย ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี รวมไปถึงตำแหน่งสำคัญในพรรคคอมมิวนิสต์ เช่น สมัชชาของพรรคคอมมิวนิสต์ มีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี มีหน้าที่พิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับการำนินงานขององค์กรริหารระดับสูง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นผุ้มีอำนาจสูงสุดของพรรค คณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายด้านการเสือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม กรมการเมือง เป็นองค์กรบริหารสูงสุด เป็นศูนย์กลางอำนาจในการกำหนดนโยบายและควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด
           สภาเเห่งชาติ ของเวียดนาม ปัจจุบันเป็นชุดที่ 12 ได้รับเลือกตั้งเมื่อเดือน พฤษภาคม 2550 ซึ่งในครั้งนี้มีการลงมติรับรองการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยปรับลดจำนวนกระทรวงและรัฐมนตรีเหลือเพียง 22 ตำแหน่ง จากเดิม 26 ตำแหน่ง โดยรวมและยกเลิกกระทรวงต่างๆ ที่มีลักษณะงานใหกล้เคียงหรือสามารถบริหารร่วมกันได้ อาทิเช่น กระทรวงการประมงรวมกับกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทกระทรวงการค้าเปลียนชื่อเป็นกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า คณะกรรมการพลศึกษาและการกีศา รวมกับองค์กรด้านการท่องเที่ยว เปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงวัฒนธรรมท กีฆา และท่องเที่ยว กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม รวมกับกระทรวงวัฒนธรรมและข่าวสาร เปลี่ยนเป็นกระทรวงข้อมูลแบะการสื่อสาร และยกเลิกคณะกรรมการด้านประชากร ครอบครัวและเด็ก เป็นต้น นโยบายดังกล่าวเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาลที่ต้องการลดขั้นตอนและซ้ำซ้อนในการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ
           การปกครองท้องถิ่น แต่ละจังหวัดจะมีคณะกรรมการประชาชน ทำหน้าที่บริหารงานภายในท้องถ่ินให้เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ นโยบายและกฎระเบียบต่างๆ ที่บัญญัติโดยองค์กรของรัฐที่อยู่ในระดับสูงกว่า ระบบการบริาหรราชการท้องถิ่นของเวียดนามแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คอื ระดับจังหวัดและเทียบเท่า มี 59 จังหวัด กับอีก 5 นคร คือ ฮานอย โอจิมินห์ ไฮฟอง ดานัง และเกิ่นเธอ ซึ่งจะได้รับงบประมาณจากส่วนหลางโดยตรง รวมทั้งข้าราชการจะได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากส่วนกลาง จึงมีอำนาจในการตัดสินใจอย่างเต็มที่ ชวยให้เกิดความคล่องตัวในการบิรหารงาน สำหรับระดับเมืองและเทศบาลมีประมาณ 600 หน่วยและระดับตำบลมประมาณ 10,000 ตำบล (http//www.boi.go.th/.., โครงสร้างการปกครองของเวียดนาม)

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2560

Transnational Organized Crime

             องค์กรอาชญกรรม หมายถึง กลุ่มที่มีการจัดโครงสร้างของบุคคลตั้งแต่สามคนกรือมากกว่า ที่ดำรงอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่งและมีการประสานการดำเนินงานระหว่างกัน โดยมีเป้าหมายในการกะทำอาชญากรรมร้ายแรงหนึ่งอย่างหรือมากกว่า เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเมือง หรือผลประโยชน์ทางวัตถุอย่างอื่น ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมโดยอาชกรรมร้ายแรงนั้น อนุสัญญาฯ ระบุว่า คือการกระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุกขั้นสูงเป็นเวลาอย่างน้อย 4 ปี หรือมากกว่า นอกจากนี้ในข้อ 3 ของอนุสัญญาฯ ยังระบุถึงลักษณะความผิดต่างๆ ที่ถือว่าเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ได้แก่
             - ความผิดนั้นกระทำลงในประเทศหนึ่งประเทศ
             - ความผิดนั้นกระทำลงในประเทศหนึ่งแต่ส่วนสำคัญของการตระเตรียมการวางแผน การสังการ หรือการควบคุมได้กระทำในอีกประเทศหนึ่ง
             - ความผิดนั้นกระทำลงในประเทศหนึ่งแต่เกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางอาญาในอาณาเขตของประเทศมากกว่าหนึ่งประเทศ หรือ
             - ความผิดนั้นกระทำลงในประเทศหนึ่งแต่มีผลกระทบที่สำคัญเกิดขึ้นในอีกประเทศหนึ่ง...
             ในภาพกว้าง องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติหรือแก๊งมาเฟียจะดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายในสองลักษณคือการขายสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมาย เช่น ค้ายาเสพติด อาวุธ สินค้าโจรกรรม ลักลอบขนแรงงานเถื่อน ปลอมแปลงเอกสารบุคคลเป็นต้น และอีกลักษณะหนึ่งคืออาชญากรรมประเภทอื่นที่ไม่เข้าข่ายการจัดหาอุปทานสินค้าและบริการ เช่น การแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ การฉ้อฉลต่างๆ...
         
 ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติในอาเชียน อาชญากรรมข้ามชาติเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศต่างๆ ในเอเซียตะวันอกและอาเซียน เนื่องจากภาครัฐในหลายประเทศไม่สามารถจัดการกับปัญหาอาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้ธุรกิจสีเทาต่างๆ เติบโตข้นจนกลายเป็นปัญหาความมั่นคงและปัญหาเศรษฐกิจ โดยภูมิภาพเอเซียตะวันออกประสบปัญหารอาชญากรรมข้ามชาติที่สำคัญ ได้แก่
           1) การค้ามนุษย์และการลักลอบขนผุ้ย้ายถิ่น ประกอบด้วย
               - การขนย้ายแรงงานและผุ้บ้ายถ่ินในอนุภูมิภาคลุมแม่น้ำโขง (GMS) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานพม่าที่เข้ามาทำงานในไทย คาดว่ามีการลักลอบขนย้ายคนเหล่านี้เข้ามาในไทยปีละกว่าห้าแสนคน กว่าร้อยละห้า หรือประมาณ26,400 คน เป็นเหยื่อค้ามนุษย์
               - การลักลอบขนคนต่างด้าวจากกลุ่ม GMS เข้ามาขายบริการทางเพศในไทยและกัมพูชา
               - การลักลอบขนผุ้ย้ายถิ่นจากเอเซียตะวันออกและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังยุดรปและสหรัฐฯ โดยประเมินว่ามีการลักลอบนำชาวจีนและเวียดนาม ปีละกว่า 12,000 คน และเกือบ 1,000 คนตามลำดับเข้าไปยังสหรัฐฯ
               - การขนผุ้ย้ายถิ่นจากเอเซียใต้และเอเชียตะวันตก เช่น กลุ่มทมิฬจากศรีลังการ ชาวอิรัก และอื่นๆ ผ่านภูมิภาคอาเซียนเข้าไปยังออสเตรเลียและแคนาดา โดยในแต่ละปีจะมีผุ้อพยพทางเรือเข้าไปยังออสเตรเลียกว่า 6,000 คน
           2) การผลิตและค้ายาเสพติด ประกอบด้วย
         
 - การค้าฝิ่นและเฮโรอีนจากพม่าและอัฟกานิสถานมายังเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยส่วนใหญ่ส่งจากรัฐฉานในพม่าไปยังจีน และจากอัฟกานิสถานส่งมายังจีนและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อลำเลียงไปยังที่อื่นต่อ โดยฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญไปยังสหรัฐ
             - การค้าแอเฟตามีนและยาบ้าที่ผลิตจากพม่า จีนและประเทศใน GMS โดยส่งมาที่ไทยและประเทศอื่นๆ ในเอเซีย โดยยาเสพติดทีผลิตในพม่าและจีนจะถูกส่งไปยังญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สหรัฐฯ สำหรับพม่า ชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนโดยเฉพาะกลุ่มว้าแดงและโกก้างเป็นผุ้แลค้ายาเสพติดรายใหญ่ นอกจากนี้ยังมีขบวนการค้ายาเสพติดชาวจีนและชาวพม่าเชื้อสายจีนที่มีกองกำลังคุ้มกันอย่างเข้มแข็ง
            3) การค้าพืชพันธ์และสัตว์ป่า รวมถึงสารทำละลายโอโซนและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วย
              - การค้าสัตว์ป่าคุ้มครอง
              - การค้าไม่เถื่อนจากอินโดนีเซีย มาเลเซียและประเทศอื่นในภูมิภาคไปยังจีนและเวียดนาม
              - การขนขยะอิเล็ทรอนิกส์จากสหรัฐฯ ยุโรปและญี่ปุ่นมายังเอเซียโดยเฉพาะจีน ไทย อินโดนีเซยและเวียดนาม โดยใช้ฮ่องกงแลุภาคเหนือของเวียดนามเป็นจุดขนถ่ายสำคัญ
              - การลักลอบค้าสารทำลายโอโซน ซึ่งต้องยกเลิกตามพิธีสารมอนทรีออล โดยมีกานขนสาร ODS จากจีนมายังไทย ฟิลิปปินส์และอินโดยนีเซียเป็นส่วนใหญ่ ผ่านผุ้นำเข้าที่เป็นผุ้ผลิตเครื่องทำความเย็น
            4) การค้าสินค้าปลอดแปลง ประกอบด้วย
              - สินค้าอุปโภคบริโภคปลอมแปลงและละเมิดลุขสิทะิ์ ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตจากเอเซีย โดยแหลงผลิตใหญ่คือประเทศจีน
              - ยาปลอมซึ่งส่วนใหญ่ผลิตจากจีนและอินเดีย และนำไปจำหน่ายในเอเซียและแอฟริกา...
  ...ที่ผ่านมา อเาซียนได้พัฒนาความร่วมือทีเ่กี่ยวข้องกับปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติมาเป็นลำดับ โดยเริ่มจากความร่วมมือในการแก้ปัญหายาเสพติด จากนั้นก็ได้มีการหารือประเด็นความมั่นคงที่เกี่ยวกับปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติในกรอบการประชุมต่างๆ เช่น การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน เป็นต้น ต่อมา ค.ศ. 1977 ได้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านอาชญากรรมขช้ามชาติขึ้นเป็นครั้งแรก ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศอาเซียร่วมลงนามในปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งถือเป็นความร่วมือที่เป็นรูปธรรมครั้งแรก โดยคำประกาศดังกล่าวได้กำหนดให้มีกลไกความร่วมมือต่างๆ เช่น การประชุม ทุกสองปี การประชุมประจำปีของเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนว่าด้วยกาชญากรรมข้ามชาติ เป็นต้น ต่อมาได้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์คือ
               1) พัฒนายุทธศาสตร์ความร่วมมือของภูมิภาคเพื่อป้องกัน ควบคุมและปราบปรามปาชญากรรมข้ามชาติ
               2) ร่วมมือกันในขึ้นตอนการสืบสวนฟ้องร้องและพิพากษาคดี และการฟื้นฟูผู้ก่ออาชญกรรม
               3) ส่งเริมการประสานงานกลไกต่างๆ ของอาเซียน
               4) พัฒนาขีดความสามารถขององค์กรและหน่วยงานต่างๆ ของอาเซียนในการจัดการกับปัญหา
               5) พัฒนาความร่วมมือด้านกฎหมายและความตกลงของภูมิภาคที่เกี่ยวกับขบวนการยุติธรรม สำหรับกิจกรรมความร่วมมือต่างๆ ของแผนปฏิบัติการฯ นี้ประกอบด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรา่วมมือด้านกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายการฝึกอบรม การพัฒนาองค์กร และความร่วมมือกับประเทศนอกภูมิภาคอาเซียน
                 นอกจากความร่วมมือระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกันเองแล้ว อาเซียนยังพัฒนาความร่วมมือกับประเทศนอกกลุ่มด้วย ดดยเฉพาะกับญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ เช่น ความร่วมมือกับญี่ปุ่นเรื่อปัญหาโจรสลัด

Political stability

          ก่อนถึงวันครบรอบ 30 ปี ฮุน เซ็น ครองอำนาจในกัมพุชาได้เพียง 1 วัน องค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน "ฮิวแมนไรท์วอทช์" เปิดเผยรายงานความยาว 67 หน้า ชื่อว่า Thirty Years of Hun Sen เพื่อสะท้อนภาพรวมของสถานการ์ด้านสิทธิมนุษยชนในกัมพูชาภายต้การปกครองของผุ้นำนามว่า "ฮุน เซน"
           รายงานฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่านายกฯ ฮุน เซ็น มีส่วนเกี่ยวพันกับการละเมิดสิทธิของประชาชนจำนวนมาก ทั้งการฆ่าคนโดยไม่เคารพกฎหมายและการซ้อมทรมาน ซึ่งเป็นเหตุที่เกิดขึ้นตัเ้งแต่สมัยแรกที่ฮุน เซ็น ได้รับการแต่งตั้งขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยเวียดนาม เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันซึ่งรัฐบาลพรรคซีพีพีสังการให้เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจรัฐในการปราบปรมและกวาดล้างจับกุมผุ้เห็นต่างทางการเมือง สั่งปิดกั้นข้อมูลและการแสดงความคิดเห็น รวมถึงสั่งห้ามการชุนนุมแสดงออกทางการเือง เห็นได้จาการใช้กำลังปราบปรามกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลซึ่งปะทุขึ้นตั้งแต่ปี 2556 หลังพรรค CPP ได้รับเลือกเข้าไปดำรงตำแหน่งในสภาน้อยลงเกือบครึ่งจาก 90 ที่นั่ง เหลือ 68 ที่นั่ง  ขณะที่ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน CNRP นำโดยนายสม รังสี ได้รับเลือเข้าดำรงตำแหน่งสูงเกือบ 55 นั่ง
            เมื่อฝ่ายค้านประกาศค่วำบาตรการเลือกตั้งในปี 2556 ก็ยิ่งส่งผลให้ขบวนการภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ออกมาลุกฮือต่อต้านรัฐบาลเพ่ิมมากขึ้น จนทำให้ ฮุน เซน ออกกฎห้ามการชุมนุม รวมถึงสังเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมโดยใช้กำลัง ทำให้มีผุ้บาดเจ็บและเสียชีวิตในการประท้วงหลายครั้ง

          
 แม้ที่ผ่านมาฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกัมพูชาจะเงียบเสียงลงเพราะถูกปราบปรามอย่างหนัก แต่นักวิเคราะห์ก็เชื่อว่าบยังมีการเคลื่อนไหวในทางลับควบคู่ไปกับการแสดงจุดยืทางการเมืองต่อต้านรัฐบาลอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเรื่องที่ต้องติอตามกันต่อไปว่า จะชนุในการเลือกตั้งครั้หน้าในปี 2561 ได้อีกหรือไม่(http//www.thairath.co.th, 30 ปี ฮุน เซ็น, 18 ม.ค. 2558)
            ปฏิเสธไม่ได้ว่าการปกครองประเทศที่ยาวนานต่อเนื่องกันมาถึงกว่า 31 ปี ของ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สามารถสร้างอำนาจและเครือข่ายทั่วประเทศจนกลายเป็นอาณาจกรตระกุลฮุน ที่ขวายอำนาจครอบคลุมภาคธุรกิจกว่า 18 ภาค อทาทิ การค้า พลังงาน เหมืองแร่ การเกษตร ป่าไม้ สื่อสารมวลขน กองทัพ และแม้กระทั่งองค์กรการกุศลอย่างสภากาชาด
           โกลบอล วิทเนส องค์กรอิสระจากอังกฤษ เปิดเผยรายงาน ไการครอบครองกิจการอย่งเป็นปรปักษ์ : อาณาจักระูรกิจตระกูลผู้ปกครองกัมพูชา" พบว่า ตระกูลของฮุนเซนและคเรือญาติกว่า 27 ราย ถือหุ้นบริษัทในประเทศอย่างน้อย 114 แห่ง รวมมุลค่าทรัพย์สินมหาศาลกว่า 200 ล้าเหรียญสหรัฐ (ราว 7,045 ล้านบาท) ทั้งที่ถูกต้องตามกฎหมายและละเมิดกฎหมายและละเมิดกฎหมาย แม้ฮุน เซน จะเคยเปิดเผที่มาของทรัพย์สินต่อหน่วยงานต่อต้านการคอร์รัปชั่น โดยระบุว่า รายได้หลักของฮุน เซนมาจากเงินเดือนประจำตำแหน่งนายก1,150 เหรียญสหรัฐ/เดือน (ราว 4.05 หมื่นบาท) ทว่ารายได้กับส่วนทางกับไลฟ์สไตล์หรูหราฮุนเซนอย่างน่าสงสัย
           รายงานระบุว่า ฮุน เซนใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้เครือญาติเข้าควบคุมหรือเป็นผุ้ถือหุ้นรายใหญ่ของภาคธุรกิจสำคัญๆ ในกัมพูชา ทั้งในภาครัฐบาลและเอกชน จนเรียกได้ว่า เครือข่ายของฮุ่น เซน แทบจะเข้าคุมกัมพูชาทั้งประเทศ อาทิ บริษัทการค้า 17 แห่ง สถาบันทางการเงิน 10 แห่ง สถานบริการและธุรกิจบันเทิง 10 แห่ง ธุรกิจท่องเที่ยวและค้าปลีก 8 แห่ง ธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ 7 แห่ง บริษัทในภาคการผลิต 3 แห่ง บริษัทกฎหมาย 3 แห่ง และธุรกิจพนัน 2 แห่ง (โพสต์ทูเดย์, " 31 ปีแห่งอำนาจ "ฮุนเซน" กินรวบธุรกิจกัมพูชา, 10 กรกฎาคม 2559)
             การศิลปะการใช้อำนาจ ของฮุน เซน ย้อนกลับไปหารจารีตการใช้อำนาจแบบเก่าในสัีงคมเขมรโบราณซึ่งยังคงหลงเหนืออยู่ในโบลกทรรศน์ความรับรู้ของคนเขมรปัจจุบัน อาทิ หลักการที่ว่าอำนาจ จะต้องเกิดจากการประกอบเข้าด้วยกันของสิ่งมงคลอย่างเช่นบุญญาบารมีและยศถาบรรดาศักดิ์ ซึ่งก็ทำให้ฮุนเซ็นได้รับการยอมรับจากชาวเขมรบางกลุ่มง่าเป็นองค์อธิปัตย์ที่ทรงบารมีมาแต่ชาติปางก่อน ซึ่งมีคนเขมรอีกจำนวนมิน้อยที่เชื่อว่าเขาคือร่างอวตารของ "เสด็จกอน" Sdch Korn/Kon/Kan กษัตริย์เขมรในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งมีพื้นเพมาจากสามัญชนหากแต่ได้ทำการโค่นบัลลังก์อดีตกษัตริย์ผุ้ไร้ทศพิธราชธรรม พร้อมปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่แห่งกัมพุชประเทศ
             ฮุน เซนวางแผนจะอยู่ในอำนาจกระทั่งอายุ 74 ปี จึงต้องพยายามเพื่อยึดกุมกลไกอำนาจรัฐสืบต่อไป พร้อมเตรียมสะสมเครือวานธุรกิจการเมืองเพื่อดันให้คนในตระกูลตนสามารถปกครองประเทศได้ยาวนานที่สุดโดยปราศจากผุ้ท้าทายทางการเมือง
             ฮุน เซน ได้สร้างเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อเปิดคลังทรัพยากรทางเศราฐกิจอย่างน้ำมันก๊าซธรรมชาติ ป่าไม้ และอัญมณีนานาชนิดให้กับกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ โดยเขาได้ควบคุมบริหารสำนักปิโตรเลี่ยมแห่งชาติกัมพูชา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบกิจการน้ำมันของประเทศโดยตรง พร้อมสนับสนุนให้พวกพ้องเข้าคุมสัมปทาสธุรกิจตามเขตจังหวัดต่างๆ  อาทิ พระตะบอง ศีรโสภณ รัตนครี สีหนุวิลล์ และแม้แต่กลุ่มจังหวัดรอบทะเลสาบเขมรซึ่งเริ่มมีการสำรวจน้ำมันที่ทับถมอยู่ใต้ตะกอนโคลนตม
           นอกจากนี้ โครงสร้างอำนาจริติยบัญญัติ การบริหารราชการแผ่นดินทุกระดับ ล้วนตกอยู่ใต้การควบคุมของนักการเมืองจากพรรคประชาชนกัมพูชา Combodian People Party/CPP ดดยเห็นได้จาก จำนวน ส.ส. และ ส.ว. ในสภาผุ้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุคลากรจาพรรคcpp
         ขณะที่อำนาจระดับสูงในกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ แม้จะมีการแตกกระจายออกเแ็นมุ้งการเมืองยิบย่อย แต่จำนวนสมาชิกของพรรคการเมืองฮุนเซนมีสัดส่วนที่มากพอที่จะกระชับอำนาจในสภาและคณะรัฐบาลได้อย่างมั่นคง
          ขณะเดียวกัน การปกครองแบบรัฐเดี่ยวที่ถ่ายอำนาจจากจังหวัด สูอำเภอ คอมมูน (หน่วยปกครองท้องถิ่นใกล้เคียงกับตำบล) และหมู่บ้าน ก็ยังคงมีลัษณะที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของเครือข่ายอำนาจฮุน เซน
          โดยรากฐานวัฒนธรรมการเมืองแบบอุปถัมภ์และความจำเป็นในการพัฒนาชนบทได้นำท้องถิ่นอย่างกำนันหรือ ผู้ใหญ่บ้าน จำเป็นต้องกระชับสายสัมพันะ์ร่วมกับเครือข่ายชนชั้นนำที่ถูกส่งมาจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค อย่าง ผุ้ว่าราชการจังหวัด ข้าราชการพลเรือน ตลอดจนกองกำลังตำรวจและกองทหารประจำกองทัพภาคต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ก็ล้วนเป็นกลุ่มบุคคลที่มีสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการเมืองร่วมกับพรรค CPP และเครือข่ายวงศ์วานของฮุนเซนแทบทั้งสิ้น ("สมเด็จฮุน เซน" สุดยอดรัฎฐาธิปัตย์แห่งโลกกัมพูชา" http//www.blogazine.pub, 19 เมษายน 2557)

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2560

Hun sen

           รัฐประหารในประเทศกัมพูชา พ.ศ.2540 เป็นเหตุที่เกิดขึ้นในเดือนกรกฏา -สิงหาคม ผลที่ตามมาคือ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีร่วม ปลดเจ้านโรดม รณฤทธิ์นายกรัฐมนตรีร่วมอีกคนหนึ่งได้ มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 10 คน
            มีนาคม 2535 คณะผู้บริหารของ UNTAC เดินทางมาถึงกัมพูชาเพื่อเตีรยมพร้อมสำหรับการจัการเลือกตั้ง ใน พ.ศ. 2536 เขมรแดงหรือพรรคกัมพูชาประชาะิปไตยไม่ยอมวางอาวุธ ไม่หยุดเคลื่อนไหว และไม่ให้ประชาชนในเขตของตนเข้าร่วมการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้ง ปรากฎว่าพระนโรดม รณฤทธิ์จากพรรค "ฟุนซินเปก"ชนะการเลือกตั้ง โดยฮุน เซน จากพรรค "ประชาชนกัมพูชา" ได้ลำดับที่ 2 ทั้งสองพรรคได้จัดตั้งรัฐบาลโดยมีพระนโรดม รณฤทธิ์และฮุน เซน เป็นนรายกรัฐมนตรีร่วม
         ในปี พ.ศ. 2540 ความตึงเครียดที่ยาวนานระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลทั้งสองพรรคกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างพระนโรดม รณฤทธิ์กับฮุนเซน ซึ่งพยายามแย้งขิงโอกาสในการกุมอำนาจทั้งหมด รวมทั้งพยายามดึงแขมรแดงเข้าเป้นพวก ฮุนเซนได้ออกมากล่าวหาวว่าเจ้านโรดม รณฤทธิ์ วางแผนจะยึดอำนาจโดยมีทหารเขมรแดงหนุนหลัง จึงสั่งให้ทหารในฝ่ายของตนจับกุมฝ่ายของฟุนซินเปก
         เหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2540 เกิดการปะทะระหว่างมหารที่สนับสนุนฮุน เซนกับพระนโรดม รณฤทธิ์ที่มีพลเอกญึก บุญชัยเป็นหัวหน้าได้ล่าถอยมาตั้งมั่นที่โอร์เสม็ดติดแนวชายแดนที่จังหวัดสุรินทร์ โดยมีกองกำลังเขมรแดงส่วนหนึ่งเข้าช่วยเหลือฝ่าพระนโรดม รณฤทธิ์ คือกลุ่มของ เขียว สัมพัน และ ตา มก ที่ตั้งมั่นอยุ่ที่อันลองเวงอีกกลุ่มเข้าโจมตีฝ่ายรัฐบาลที่บ้านโอตาเตี๊ยะตรงข้ามกับ อ.บ่อไร่ จ.ตราด ผลการสู้รบกระสุนมาตกฝั่งไทยทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 3 นาย ชาวกัมพูชาอพยพหนีเข้าฝั่งไทย 3,000  คน การสู้รบดำเนินไปจนถึงเดือนสิงหาคม ปีเดียวกัน นายฮุน เซนเป็นฝ่ายมีชัยเหนือ เจ้านโรดม รณรฤทธิ์ และขอลี้ภัยไปฝรั่งเศส ผุ้นำพรรคฟุนซิดเปกอีกหลายคนออานอกประเทศ อึง ฮวดได้เป็นนายกรัฐมนตรีร่วมแทน  ผุ้นำของพรรคฟุนซินเปกกลับสู่กัมพูชาในช่วงสั้นๆ ระหว่างการเลือกตั้งปีะ 2541 พรรคประชาชนกัมพูชาของนายฮุนเซนเป็นฝ่ายชนะแต่เสียงไม่พอจัดตั้งรัฐบาลจึงต้องจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคฟุนซินเปก(wikipedia.org. รัฐประหารในประเทศกัมพูชา พ.ศ. 2540)
            ฮุน เซน เกิดที่จังหวัดกำปงจาม เป็นลูกชาวนา อายุ 13 ก็ออกจากบ้านเป็นเด็กเร่ร่อน อาศัยข้าวก้นบาตรพระเพื่อให้ได้เรียนหนังสือ อายุ 19 ปีเข้าร่วมในกองทัพปฏิวัติ(เขมรแดง) ทำการสู้รบกับทหารลอนนอน (Lon Nol) ซึ่งสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุน(CIA)
             ฮุน เซน สูญเสียนัยน์ตาข้างซ้าย ก่อนจะชนะต่อกองกำลังลอนนอน เพียงวันเดียว ตอนนั้นเขามีตำแหน่งเป็นผุ้บัญชาการกองพัน ในปี 2518 ต่อมาอีกสองปีเขาหนีไปยู่เวียดนาม เวียดนามยอมรับในการติดต่อเจรจาของเขา มากกว่า เฮง สัมริน ดังนั้นเมื่อเวียดนามยึดครองกัมพูชา เขาจึงได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศใน พ.ศ.2522 ต่อมาฮุนเซน ได้เป็นสมาชิกกรรมการกลางกรมการเมืองและเป้นสมาชิกสำนักงานเลขาธิการซึ่งเป็นตำแหน่งบริหารพรรคด้วย และไดัรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในปีเดียวกัน
             อีกสี่ปีเขาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งอายุน้อยที่สุดของโลกคนหนึ่ง เพราะขณะนั้นเขาอายุ 33 ปี ในปี พ.ศ. 2528 และในปี พ.ศ.2531 รัฐบาลไทยโดยพล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ ได้สร้างความประหลาดใจแก่ชาวโลกที่รับรองรัฐบาลเขมรสามฝ่ายที่มีสมเด็นเจ้านโรดม สีหนุเป็นผุ้นำ แต่กลับเชื้อเชิญ ฮุน เซน มาเยื่อนพร้อมตกลงทำชายแดนไทย-กัมพูชา เปลี่ยนสถานะจากสนามรบเป็นสนามการค้า
             เมื่อเวียดนามถอนตัวจากัมพูชา ฮุน เซน ได้ตกลงร่วมประชุมตกลงให้ต่อสู้กันในสนามเลือกตั้งขณะที่เขมรแดงบอยคอต ผลการเลือกตังพรรคประชาชนกัมพูชาของเขา แพ้การเลือกตั้ง เจ้านโรดม รณฤทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 ฮุนเซนเป็นรัฐมนตรีคนที่ 2
             นับแต่ปี 2537 นักลงทุนชาวมาเลเซียเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในกัมพูชา
              กัมพูชา เป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบบกษัตริย์มาช้านาน แน่นอนว่าอิทธิพลของกษัตริย์ยังคงมีอยู่ จึงมีความจำเป็นที่ฮุน เซนจะต้องริดรอนอำนาจของกษัตริย์และระบบเพื่อให้ตนดำรงอยู่ในตำแหน่งได้นานที่สุด
            ฮุน เซนมีลูกชายที่จบจาเวศปอยส์ สถาบันทางการทหารอันดับของสหรัฐ จึงต้องถ่วงดุลอำนาจระหว่างตะวันตกกับโลกอิสลาม เพื่อนำเสถียรภาพความมั่นควและมั่งคั่งมาสู่ราชอาณาจักรกัมพูชา (oknation.nationtv.tv ประวัติสมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน, 11 กุมภาพันธ์2554)
             "ผมขอขอบคุณคนที่บอกว่าผมเลว ผมขอขอบคุณคนที่บอกว่าผมดี ผมขอขอบคุณพวกเขาทุกคน"
             "แน่นอนว่าผมเคยทำผิดพลาด แต่ได้โปรดไตรตรองเทียบกันระหว่างสิ่งที่ผมทำผิดและสิ่งที่ผมทำถูกด้วย"
             สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ปราศรัยต่อผู้เข้าร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์ในโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง "เนียกเลือง" ใน จ.กันดาล ของกัมพูชา ซึ่งตรงกับวันที่ฮุน เซน ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลกัมพูชายุคต่างๆ ครบรอบ 30 ปี ทำให้เป็นผู้นำที่อยู่ในตำแหน่ง"ทางการเมือง"ยาวนานที่สุดในเอเซียอีกด้วย!!
              หากมองจากประวัติศาสตร์กัมพูชาแต่งแต่ปี 2541 เป็นต้นมา และมองว่ารัฐประหารเป็นการ "ล้างกระดาน" เพื่อให้การเมืองเดินหน้าต่อไปได้ การจะกล่าวว่า ฮุน เซน เป็น "ผู้นำที่มาจาการเลือกตั้ง" เมื่อรัฐบาลมีเสถียรภาพทางการเมืองมากขึ้น ก็พลอยส่งผลดีต่อการบริหารประเทศ รวมถึงช่วยพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความเจริญเติบโตอย่างมั่นคงขึ้น
              แต่ก็ใช้ว่าเหตุการณ์ในยุคหลังจะสามารถลบล้างรอยเลือดและน้ำตาที่เคยเกิดขึ้นในอดีตได้!! (thairath.co.th, "30 ปี ฮุน เซ็น", 18 มกราคม 2558)

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

Political Security & Investment

            หลังการล่มสลายของกัมพูชาประชาธิปไตย กัมพูชาตกอยู่ใต้การรุกรานของเวียนดนามและรัฐบาลที่นิยมฮานอยซึ่งก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา สงครามกลางเมืองหลัง พ.ศ. 2523 เป็นการสู้รบระห่างกองทัพประชาชนปฏิวัติกัมพูชาของรัฐบาลกับแนวร่วมเขมรสามฝ่ายซึ่งถือเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นองกลุ่มต่างๆ สามกลุ่มคือ พรรคฟุดซินเปกของพระนโรดม สีหนุ พรรค กัมพูชาประชาธิปไตยหรือเขมรแดง และแนวร่วมปลอปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมร มีการเจรจาสันติภาพตั้งแต่ พ.ศ. 2532 และไปสู่การประชุมสันติภาพที่ปารีสเพื่อสงบศึกในปี พ.ศ. 2534 ในที่สุดมีกาจัดตั้งโดยสหประชาชาติในพ.ศ. 2536 เพื่อเริ่มต้นฟื้นฟูประเทศ พระนโรดม สีหนุกลับมาเป็นกษัตริย์อีกครั้ง มีการจัดตั้งรัฐบาลผสม หลังจากมีการเลือกตั้งโดยปกติใน พ.ศ. 2541 การเมืองมีความมั่นคงขึ้น หลังการล่มสลายของเขมรแดงใน พ.ศ. 2541
           สถานะภาพการเมืองในกัมพูชาปัจจุบันถือว่มีเสถียรภาพ พรรคการเมืองสองพรรคหลักซึ่งประกอบขึ้นเป็นรัฐบาลกัมพูชา คือ พรรคประชาชนกัมพูชา CCP ของสมเด็จฮุน เซน และพรรค ฟุนซินเปค FUNCINPEC ของสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ สามารถร่วมือกันได้อย่งราบรื่นทั้งในด้านบริหารและด้านนิติบัญญัติ รวมทั้งมีท่าทีที่สอดคล้องกันเป็นส่วนใหญ่ในประเด็นทางการเมืองสำคัญๆ ของประเทศ อาทิ เรื่องการนำตัวอดีตผุ้นำ เขมรแดงมาพิจารณาโทษ เป็นต้น
           กลุ่มการเมืองฝายตรงข้ามรฐบาลยังไม่มีความเข้มแข็งมากพอ และคงสมารถทำได้เพียงแต่สร้างผลกระทบทางลบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล โดยในทางการเมือง พรรคสม รังสี พรรคการเมืองฝ่ายค้านหนึ่งเดียวในสภาแห่งชาติกัมพุชา ได้เคลื่อนไหวตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลกัมพุชาอย่างแข็งขัน พยายามชี้ให้สาธารณะและนานาชาต เห็นถึงการทุจริตและประพฟติมิชอบของรัฐบาล รวมทั้งการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและของพรรค(wikipedia.co.th กัมพูชา)
            จากสถิติสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของกัมพูชา ระบุว่าตั้งแต่ 2534-2536 มีนักลงทุนต่างชาติยื่นคำของอนุญาตดำเนินธุรกิจ ซึ่งนักลงทุนไทยยื่นคำขอสูงที่สุดในบรรดานักลงทุนต่างชาต รองลงมาได้แก่นักลงทุนจากสิงคโปร์, ฝรั่งเศส, และฮ่องกง
           นักลงทุนไทยที่เข้าไปทำการต้า และลงทุนในจังหวัดเกาะกงมีหลายราย เช่น ธนิต ไตรวุฒิ ส.ส. ตราด ทำธุรกิจรับซื้อไมจากเกาะกง, สมพร สหวัฒน์ ทำสัมปทานไม่, ทัด สิงหพันธ์ นักลงทุนจากตราดเข้าไปเลี้ยงกุ้งกุลาดำบนพื้นที่กว่าร้อยไร่, ทด สิงหพันธ์ ลงทุนทำรีสอร์ทที่ปากคลอง, สุรศักดิ์ อิงประสาร พ่อค้าพลอย จากจันทบุรีเช่าวังสีหนุเก่าหรือตึกแดงเพื่อทำรีสอร์ทฯ
          เมื่อศูนย์อำนาจในกัมพุชาด้ถูกถ่ายโอนจากคณะรัฐบาลฮุนเซ็น มาเป็นเจ้านโรดม รณฤทธิ์ ภายหลังที่พรรคฟุนซินเปคยึดครองชัยชนะในการเลือกตั้งสมรชิกสภาร่างรัฐะธรรมนูญเมื่อเดือนพฤษภาคม 2536 และมีการจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยมีเจ้านโรดม รณฤทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่
          เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักลงทุนต่างชาติ และรัฐบาลพนมเปญก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้ง ว่าหากพรรคฟุนซิเปคได้เป็นฝ่านจัดตั้งรัฐบาลนโยบายเร่งด่วนที่ฟุดซินเปคได้เป็นฝ่ายยจัดตั้งรัฐบาลนโยบายเร่งด่วนที่ฟุดซินเปคจะนำใช้คือ นโยบายการทบทวน และแก้ไขสัญญาการลงทุนของนักลวทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนชาวไทยได้ถูกเพ่งเลงเป็นพิเศษ อันเนื่องมาจากความสัมพันะืที่ใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญในคณะรัฐบาลพนมเปญ รวมทั้งข้อครหาว่านักลงทุนชาวไทยส่วนใหญ่นิยมติดสินบนใหแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อำนวยความสะดวกในการอนุมัติโครงการ
             การขนนักร้องนักดนตรีชื่อดังจากเมืองไทยกว่า 50 ชีวิต ของกลุ่มชินวัตรซึ่งเข้าไปดำเนินกิจการเคเบิลทีวีและระบบโทรคมนาคมในกัมพูชา เข้าไปร่วมแสดงในการหาเสีงเลือกตั้งวันสุดท้ายของพรรคประชาชนกัมพูชาที่กรุงพนมเปญ พร้อมทั้งมีการถ่ายทอดสอทางเคเบิลทีวีไปทั่วประเทศจึงเสมอืนเป็นการ "แทงม้าแบบเทกระเป๋า" ของกลุ่มชินวัตร ซึงเป็นที่ไม่พอใจของพรรคฟุนซินเปค
            เมื่อเส้นทางสู่ทำเนียบเกิดพลิกผันพรรคฟุนซนเปคเป็นฝ่ายชนะ ดังนนั้น นักธุรกิจไทยจึงโดนลงดาบกันถ้วนหน้า ตั้งแต่กลุุ่มชินวัตร, พนมเปญ โฟลทติ้ง ของโอฬาร อัศวฤทธิกุล สัญญาเช่ารีสอร์ทจ.เาะกง โดยนักธุรกิจค้าพลอยชาวไทยในนาม "สุรศักดิ์ อิงประสาร" นอกจากนี้ "เท้ง บุญมา" นักธุรกิจาวไทยผู้บุกเบิกการลงทุนในกัมพูชาในยุคแรกๆ ในนามของ บริษัทไทยบุญรุ่ง
             บทเรียนของนักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนในประเทศที่ยังไมม่มสเสถียรภาพทางการเมือง และไม่มีหลักประกันในการลงุทนใดๆ แม้ว่าจะมีกฎหมายรองรับการลงทุนออกมา เช่นประเทศกัมพุชานั้นคงจะเป็นอุธาหารณ์ให้นักลงทุนเพ่ิมความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น(http//www.info.gotomanager.com, "บทเรียนของนักลงทุนไทยในกัมพูชา" มกราคม 2537)
             การรัฐประหารที่ล้มเหลวในวันที่ 2 กรกฎาคม 2537 กับการเข้าไปพวพันของบรรษัทข้ามชาติไทย  การรัฐประการเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 5.00 น.กองกำลังฝ่ายกบฎประมาณ 500 คน ได้ยกพลพร้อมด้วยรถถัง 20 คัน รถบรรทุกขนาดใหญ่ 21 คัน และอาวุธสงครามประกอบด้วยเครื่องกระสุน จรวด ตลอดจนเครื่องมือตัดสายไฟฟ้า กองกำลังทั้งหมดเดินทางมาจากจังหวัดเปรเวง มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงพนมเปญ
             ต่อมาได้รับการสกัดกั้นจากกองทหารฝ่ายรัฐบาล สังกัดพรรคฟุนซินเปค ที่นำโดย นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 แทนที่จะเป็นเจ้านโรดม รณฤทธิ์
              กองกำลังพรรคฟุนซินเปฝ่ายรัฐบาลได้ทำการสกัดกั้นกองกำลังกลุ่มกบฎไว้จับกุมตัวพลเอก สินสอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงมหาดไทย สังกัดพรรคประชาชน กับนายเตียซอย อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งทั้งสองคนเป็นผุ้บัญชาการกองกำลังฝ่ายกบฎหลังจากนั้นจึุงส่งกองกำลังฝ่ายกบฎกลับที่ตั้งโดยไม่มีการปะทะกัน
              การรัฐประหารครั้งนี้ มีเสดต็กรมขุนเจ้านโรดม จักรพงษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีโอรสต่างมารดาในสมเด็จเจ้านโรดม สีหนุ และนายพลเอก สินสอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผุ้นำในการก่อรัฐประหาร กองทหารฝ่ายรับาลจึงเข้าควบคุมตัวเจ้านโรดม จักรพงษ์
               เจ้านโรดม จักรพงษ์ ได้เรียกร้องขอความคุ้มครองจากผุ้สื่อข่าวชาวอเมริกัน และยังเรียกร้องไปยังสมเด็จเน้านโรดม สีหนุ ที่ทรงพำนักอยุ่ ณ กรุงปักกิ่ง เพื่อขออนุญาตเดินทางลบี้ภัยไปกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
               หลังจากนั้นกองทหารฝ่ายรัฐบาลเข้าจับกุมตัวนายพลสินสองที่บ้านพัก พร้อมกันนี้กองทหารฝ่ยรัฐบาลได้ยึดอาวุธปืนจำนวนหนึ่ง  และเครื่องมือสิื่สาร ตลอดจนทำการกักตัวนายพลสินสองไว้ที่บ้านพัก สำหรับเจ้านโรดม จักรพงษ์ ต่อมาภายหลังก็ได้รับการอนุญาตจากเจ้านโรดม รณฤทธิ์ให้ลี้ภัยไปยังประเทศมาเลเซีย
            !!จับกุม 14 คนไทยพัวพันการรัฐประหาร-ไล่ล่า ส.ส.ไทย พัวเครือชินวัตร?
             นายฮุนเซนได้เคยพบปะกับนักธุรกิจชั้นนำ ที่กระทรวงการต่างประเทศ การพบปะดังกล่าว นายฮุนเซนได้กล่าวถึง การเข้าไปลงทุนของนักธุรกิจไทยว่านักธุรกิจไทยเป็นนักฑุุรกิจที่กล้าหาญที่ไปลงทุนในกัมพูชาก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง แต่ภายหลังจากที่มีการเลือกตั้งเชื่อว่านักธุรกิจไทยคงประสบความเสียหายน้อยลง
             หลังจากที่ตนได้ร่วมลงนามกับเจ้ารณฤทธิ์เพื่อขอ มติขับนาย สัม รังษี อคีตรัฐมนตรีคลังออกจากตำแน่าง เหนืองจากเป็นบุคคลที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจของต่างประเทศ การหยิบยกสัญญาที่ได้ทำไว้กับรัฐบาลชุดก่อนขึ้นมาทบทวนแล้วบอกว่า เป้นวัญญาที่ไม่ถูกต้องหรือในกรณีที่ธนาคารต่างชาติไปลงทุนในกัมพูชาก็ถูกนาย สัม รังษีกล่าวหาว่าเป็นแหล่งฟอกเงิน
           นายฮุนเซน กล่าวว่า เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการลงทุนในดัมพูชาตนขอเอาชีวิตเป็นประกันว่าธุรกิจและการลงทุนของไทยที่จะเข้าไปในกัมพูชาต่อไปนี้จะไม่มีปัญหาอีกต่อไป และขอย้ำว่าจะมอบชีวิตเป็นประกันธุรกิจไทยในกัมพูขา ทั้งยังจะเสนอให้มีการหยิบยกสัญญาที่ยังมีปัญหาขึ้นมาพิจารณาอย่างยุติธรรมอีกครั้งหนึ่้ง โดยจะเร่งให้เสร็จสิ้นปัญหาดดยเร็วที่สุด
           การให้สัมภาษณ์ของนายฮุนเซน จึงเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงความสำคัญ 2 ประการ ประการแรก ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านโรดม รณฤทธิ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 1 กันายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ไม่ดี นับแต่เริ่มจัดตั้งรัฐบาลผสมและต้องทำงานร่วมกัน
           ประการที่สอง ชี้ให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันเกี่ยวเนืองเชื่อมโยง ระหว่างกลุ่มนักธุรแกจไทยกับนายฮุนเซนอย่งเห็นได้ชัด ฉะนั้นการที่นาย สัม รังษี และเจ้สนโรดม รณฤทโิ์เข้ามาทำการรอันเป็นผลกระทบต่อผลประโยชน์ของนักธุรกิจไทย
          จึงเป็นที่ต้องสงสัยว่า การรัฐประหารในกัมพูชาครั้งนี้ ผู้ที่เข้าไปพัวพันกับการรัฐประหารก็คือ กลุ่มนักธุรกิจจากประเทศไทย กรณีดังกล่าวเห็นได้ชัดจากการที่กลุ่มนักธุรกิจซึ่งนำโดยอดีตสมาชิกสภาผุ้แทนราษฎรพรรคการเมืองหนึ่งกับพรรคพวก ได้ให้ความช่วยเหลือนำตัวพลเอก สินสอง ผุ้มีส่วนร่วมในการัฐประหารกับพรรคพวกหลบหนีเข้าเมืองทางชายแดนด้านจังหวัดตราด หลังจากที่กลุ่มเขมรเหล่านี้ก่อการรัฐประหารไม่สำเร็จ..(มติชนออนไลน์, เปิดวิทยานิพนธ์"ร้อน"-กลุ่มชินวัตรสัมพันะ์ลึก "ฮุนเซน" พวพันรัฐประหารซ่อนเงื่อนในกัมพูชา?)        

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

1MDB

           1 Malaysia Development Berhad 1MDB กองทุนพัฒนามาเลเซีย ซึ่งก่อตั้งโดยนายกรัฐมนตรนี นาจิบ ราซัด ในปี 2009 โอนเอนอยู่บนขอบเหวแห่งการล้มละลาย ท่ามกลางการสืบสวนจากทั่วโลกต่อข้อกล่าวหามีการขโมเงินไปจากกองทุนแห่งนี้หลายพันล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน นายนาจิบ ยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อกรณีมีเงิน 681 ล้านดอลลาร์ โอนจากต่างแดนเข้าบัญชีส่วนตัวของเขาในปี 2013
          ธนาคารกลางมาเลเซียไม่ได้เจาะจงว่ากองทุนต้องคืนเงินกลับประเทศมากน้อยเพียงใดเพียงธนาคารแห่งนี้เคยกดดัน เกี่ยวกับเงิน 1,830 ล้านดอลลาร์ที่กองทุนยอมรับว่าได้ส่งไปยังต่างแดน ณะที่มีคำถามมากมายหมุนวนอยุ่รอบๆ เงินหลายพันบล้านดอบบาร์ที่เคลื่อนไหวอู่ทั่วโลก ทางธนาคารกลางมาเลเซียบอกว่ากองทุนแห่งนี้ล้มเหลวในการพิสูจน์การใช้เงินดังกล่าว หรือปฏิบัติตามคำสั่งก่อนหน้าทนี้ให้คืนเงิน 1,830 ล้านดอลลาร์
          1MDB ระบุว่า จะยอมจ่ายเงินค่าปรับทีไม่ระบุจำนวน ฐานไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของธนาคารกลางมาเลเซีย  แต่ไม่บอกว่าจะคืนเงินส่วนที่ถูกสงสัยหรือไม่
          ก่อนหน้านี้ กองทุนฯ ซึ่งมี นายนาจิบ ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการทีปรึกษา ผิดนัดชำระหนี้พันธบัตร 1,750 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ หลังไม่จ่ายกอกเบี้ยจำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กระพือความกังวลว่ารัฐบาลอาจเข้าแทรกแซงและปล่อยกู้แก่ 1MDB ที่อาจสั่นสะเทือนตลาดและส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของมาเลเซีย
         ปัจจุบัน 1NDB มีหนี้พันธบัตรรวมกว่า 11,000 ล้านดอลล่าร์ (ราว 387,046 ล้านบาท)และยืนยันว่า ไม่มีการถ่ายโอนเงินออกนอกกองทุน หรือมีปัญหาทางการเงิน แต่คณะกรรมการชุดหนึ่งในัฐสภากล่าวว่า กองทุนนี้โอนเงินไปต่าประเทศอย่างน่าสงสัยไม่ต่ำกว่า 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ...(ผู้จัดการ Online 28 เมษายน 2559, กองทุนฉาว 1MDB อ่ม ธนาคารกลางมาเลเซียบี้คืนเงินที่ส่งไปต่างประเทศ)
          .... กองทุน 1MDB ก่อตั้งโดยนา ราจิบ ในปี 2008 โดยใช้เงินรัฐบาลเมือตอนเขาเป็น รองนายกรัฐมนตรีเพื่ออำนวยประโยชน์ให้เกิดการลงทุนในตะวันออกกลาง หลังจากตั้งไม่นานก็ก่อหนี้มูลค่า 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หลังซื้อสินทรัพย์ในด้านพังงานและอสังหาริมทรัพย์ เมื่อแผนการที่จะขยหุ้นพลังงานล้มเหลว กองทุนก็ประสบปัญหาในการชำระหนี้จนต้องเปลี่ยนผุ้ตรวจสอบบัญชีอย่างน้อย 2 ครั้ง
           เมื่อมีการเปิดเผยการดำเนินงานของ 1MDB ประชาชนก็เห็นความซับซ้อนซ่อนเงือนของธุรกรรมของกองทุนสังเกตเห็นได้ว่ากองทุนมักจ่ายเงินซื้อทรัพย์สินจากบริษัทเอกชนในระคาที่สูงเกินจริง และบริษัทเหล่านี้ต่อมาบริจาคเงินให้การกุศลอีกทีโดยนาย นาจิบ เป็นหัวเรือใหญ่ของกองทุนการกุศลในช่วงเวลาก่อนหน้าเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหญ่ในบางรัฐในปี 2013
           Jho Low หนุมนักต่อรองผลประโยชน์ธุรกิจ และเป็นเพื่อของลูกเลี้ยงนาย นาจิบ อีเมลที่ร่วออกมาระบุว่าเขากู้ยืมเงินก้อนใหญ่โดยใช้บริการค้ำประกันเงินกู้ของรัฐโดยไม่มีการอนุมัติจาธนาคารกลาย่ิงไปกว่านั้น เขามีบทบาทสำคัญในหารดำเนินงานร่วมลงทุนของกองทุนกับบริษัทน่าสงสัยในกาบูดาบีจนกองทุนสูญเงินไป 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
           กองทุนฯ อื้อฉาวในหลายเรื่องเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนในลักษณะซื้อทรัพย์สินจากเพื่อเศรษฐีที่คุ้นเคยผุ้บริหารกองทุนในระคาแพง แต่เวลาขายกลับขายราคาถูกจนหนี้ท่วมกองทุน นอกจานี้ยงยักย้ายถ่ายเทเงินแบบซ่อนเงื่อนเข้าบัญชีนาย นาจิบ อีกดังที่กล่าวแล้ว..(http//www.thaipublica.org,"หนังตื่นเต้นชื่อการเมืองมาเลเซีย".16 กรกฎาคม 2015)
            กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลใหยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ที่ยักยอกมาจากกองทันเพื่อพัฒนามาเลิเวีย พร้อมชีวา่ เงินจำนวนมหาศาลที่เข้าไปอยู่ในบัญชีของนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลิเซีย ไม่ได้มาจากการบริจาคของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียดังที่กล่าวอ้าง
           สำนวนฟ้องของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่า เงินจำนวนมากถูกโอนออกจากกองทุน เข้าบัญชีธนาคารหลายแห่งในหลายประเทศ โดยบุคคลใกล้ชิดของนายนาจิบหลายคนได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาใช้ซื้อของมีค่าต่างๆ
           อัยการสูงสุดของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเงินมูลค่ากว่า 3 พันล้านดอลล่าร์ ซึ่งถูกยักยอกจากกองทุนฯ โดยมีสถาบันการเงินหลายแห่งนสหรัฐฯ ทำหน้าที่ฟอกเงิน พร้อมย้ำว่าต้องการปกป้องระบบการเงินของประเทศจกาากรถูกใช้เป็นชข่องทางในการคอร์รัปชั่น...(http//www.org, สหรัฐฯฟ้องอายัดทรัพย์สินจากการยักยอกเงินคดีกองทุน 1MDB, 24 กรกฎาคม 2016)
            กลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูปเลื้อกตั้ง "เอบร์ซิห์ Bersih" ได้นัดชุมนุมใหญ่เพื่อบีบให้การดำเนินคดีกับนายกฯ นาจิบ ซึ่งถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินนับพันๆ ล้านดอลลาร์ไปจากกองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว
            สภานการณ์ทางการเมืองมาเลเซียทวีความตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ หลังจากกลุ่ม "เสื้อแดง" ที่มีแนวคิดขวาจัดประกาศจะระดมมวลชนที่สนับสนุน นาจิบ ออกมาชุมนุมต้านม็อบเสื้อเหลือง
             รัฐบาลมาเลเซียได้สั่งจับกุมแกนนำทั้ง 2 ฝ่ายเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานัดชุมนุมใหญ่ แต่ยัไม่แน่ว่าการทำเช่นนี้จะโหมกระพือสถานการณ์ให้ย่ำแย่ลงอีกหรือไม่.
             สถานการณ์ทางการเมืองในมาเลเซียปั่นป่วนมานานกว่าปี หลังจากที่ นาจิบ ถูกครหาว่ายักยอกเงินนับพันๆล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ไปจากกองทุนพัฒนามาเลเซียซึ่งเขาเป็นผุ้ก่อตั้ง
            นาจิบ วัย 63 ปี และกองทุนฯ ต่างยืนกรามในความบริสุทธิ์ ทว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ออกมาแฉข้อมูลอย่างเป็นนัยๆ ว่าคดียักยอกเงินจำนวนมหาศาลนี้พัวพันไปถึงผู้นำมาเลเซีย บุตรบุญรธรรม และคนสนิทอีกหลายคน
             นาจิบ ใช้อิทธิพลยุติกระบวนการสอบสวนภายในประเทศเมือปีที่แล้ว ทำให้นักวิจารณ์หลายคนออกมาตำหนิ ว่าใช้อำนาจ"เผด็จการ"ปกปิดความฉาวโฉ่ ทั้งยังจับกุมฝ่ายตรงข้าม และปิดก้้นการทำงานของสื่อมวลชน
             ผุ้นำมาเลเซียแถลงผ่านสื่อวิทยุ ว่า การเคลื่อหนไหวของกลุ่มเบอร์ซิห์เป็นเพียง "แผนลวง" เพื่อ "โค่นล้มรัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย"(ผุ้จัดการ Online หวั่นม๊อบชนม็อบ! "เหลืองมาเลย์" ชุมนุมใหญ่กลางกรุงขับไล่นายก เสี่ยงปะทะ "เสื้อแดง"หนุนนายกฯ, 19 พฤศจิกายน 2559)
            4 ธันวาคม 2559 ชาวมาเลเซียและชาวดรฮิงญาที่พำนักในมาเลิเซียรราว หนึ่งหมือนคน ออกมาร่วมชุมนุมในกรุงกัวลาลัมเปอร์เพื่อประท้วงรัฐบาลพม่าที่เดินหน้ากวาดล้างชาวมุสลบิมโรฮิงญาในรัฐยะไข่ โดยนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ได้เข้าร่วมการชุมนุมด้วย แม้ว่าก่อนหน้านี้รัฐบาลพม่าได้ออกมาเตือนผู้นำมาเลเซียมิให้เข้าร่วมเพราะจำถือว่าเป็นการละเมิดหลักไม่แทรกแซงกิจการภายในของเพื่อสมาชิกอาเซียน แต่นาจิบประกาศในที่ชุมนุมว่า ไม่แคร์!!!
            "ใครบางคนช่วยบอกพม่าที่ว่า กฎบัตรอาเซียนคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอยุ่เช่นกัน พวกเขาตาบอดอยู่หรือ พวกเขาจะตีความอย่างที่ตัวเองชอบแค่นั้นไม่ได้" นายกรัฐมนตรีมาเลซียปราศรัยต่อนห้ามวลขนเรือนหมื่นอย่างดุเดือด ทั้งกล่าวหยัน นางอองซาน ซูจี ผู้นำรัฐบาลพม่าในทางพฟตินัยด้วยว่า มีรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพไว้เพื่ออะไร
            "เราอย่างจะบออกอองซาน ซุจีว่า พอกันที เราต้อบงปกป้องมุสลิมและอิสลาม" ผู้นำมาเลเซียกล่าวท่ามกลางผู้สนับสนุนที่พากันร้องตะโกนสรรเสริญพระเจ้า...
             มาเลเซีย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และให้ที่พักพิงแก่ชาวโรฮิงญาในานะผู้ขอลี้ภัยราว 5.6 หมื่นคน ยกระดับการวิพากษ์ตำหนิพม่ากรณีวิกฤตโรฮิงจาอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงการออกแถลงการณ์ กล่าวหาพม่าว่ากำลังกำจัดชาติพันธ์..
             อย่างไรก็ดี นายเจมส์ ชิน ผู้อำนวยการสถาบันเอเชีย มหาวิทยาลััทาสมาเนีย ให้สัมภาษณ์เอเอฟพีว่า การออกมาร่วมชุมนุมของนายนาจิบ ก็เพื่อยกสถานะองตนเองในฐานผู้นำมุสลิม ขณะการเลือกตั้งทั่วไปกำลังใกล้เข้ามา และตัวเขาเองกำลังต่อสู้กับข้อหาทุจริตยักยอกเงินหลายพันล้านดอบบาร์
             เช่นเดียวกับ บริดเจ็ท เวลช์ ผุ้เชี่ยวชาญการเมืองมาเลเซีย มหาวิทยาลัย อีเปค ในตุรกี ที่มองว่า นายนาจิบ กำลังมองหาอะไรบางอย่างเพื่อทำให้ตนเองดูดีขึ้นและประเด็นโรฮิงจา ก็เป็นเครื่องมือง่ายๆ ที่นำมาใช้ได้ หากรัฐบาลอาทรโรฮิงจาจริงๆ ก็คงจะหันมาสำรวจการปฏิบัติต่อชุมชนกนกลุ่มนี้ภายในประเทศ ทั้งนี้ มาเลเซียอาจเป็นความหวังหนึ่งของโรฮิงจาที่หนีออกจากพม่า แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาจำนวนมากก็ยงคงตกอยู่ในสภาพไร้รัฐ และถุกเอารับเอาเปรีบในรูปแบบใหหม่ในมาเลเซีย( คม ชัด ลุึก "นาจิบ ซัด อองซาน ซูจี ต้องหยุดฆ่าล้างโรฮิงจา" 4 ธันวาคม 2599)
              มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีวัย 91 ปี เปิดเผยกับสำนักข่าวเอเอฟพี ว่า จะเดินหน้ากดดันนาจิบต่อไป การอยู่ในอำนาจต่อไปของนาจิบเป็นตัวการทำลายประเทศ เนื่องจากความวุ่นวายไม่เปิดทางให้กับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจชุลอตัวและอัตราเงินเฟ้อที่เพ่ิมสูงขึ้น   อดีตนายกรัฐมนตรียังระบุอกีว่า นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันมีการจุดประเด็นด้านชาติพันธ์ด้วยการดึงฐานเสียนงขชาวมาเลเซียเชื้อชาติมาเลย์และนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งจะสร้างความขัดแย้งทางชาติพัน
ธ์กับชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน
             ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์เซาท์ ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ เปิดเผยว่า นาจิบเปิดเผยก่อนหน้าทนี้ต่อหน้าพรรคอัมโน ระบุว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดระหว่างพรรค อัมโน พรรครัฐบาล และพันธมิตร ซึ่งสนับสนุนชาวมาเลเซยเชื้อสาย มาเลย์กับ พรรคฝ่ายค้าน นำโดยพรรคกิจประชาธิปไตย(ดีเอพี) ซึ่งนาจิบระบุว่า เป็นพรรคที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลเซียเชื้อชาติจีน และมีการต่อ
ต้านชาวมุสลิม รวมถึงชาวมาเลเซียเชื้อสายมาเลย์
             "ถ้าประเทศนี้ตกอยู่ในมือของดีเอพี ซึ่งมีแนวคิดเสรีนิยมสุดโต่งและแนวคิดไม่เชื่อในศาสนา จะส่งผลให้สิทธิและเอกสิทธิ์ของชาวมาเลเซีย ซึ่งอัมโนปกป้องมาโดยตลอด ต้องหายไป" นาจิบ กล่าว
              สิวามุรุกัน ปานเตียน ผุ้เชียวชาญด้านรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ ไซแอนซ์ ในมาเลเซีย กล่าวว่า นาจิบพยายามดึงความภักดีและการอยู่ในโอวาทขึ้นมาเพื่อรวบรวมพรรคให้เป็นหนึ่งเดี่ยว และเพื่อต่อสู้กับฝ่ายดีเอพี รวมถึงกำจัดอิทธิพลของมหาเธร์ ซึ่งเคยเป้นหัวหน้าพรรคอัาโน นาจิบพยายามดึงความกลัวทางเชื้อชาติเพื่อรวบรวมพรรคมอัมโนอีกครั้ง
         
    หนังสือพมิพ์ไฟแนนเซีลไทมส์ รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า รัฐวิสาหกิจจากจีนเตรียมเป็นผุ้จ่ายค่ายอมความให้กับ 1MDB ในการยุติความขัดแย้งกับกองทีนดินเตอร์เนชันแนล ปิโตรเลียม อินเวสต์เมนต์ โค (IPIC) กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสหรัฐอาหรับ เอมิเรดส์ ซึ่งเรียกร้องค่าเสีย หายรวม 6,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ(ราว2.2 แสนล้านบาท)  IPIC ระบุว่า 1MDB ไม่ชำระหนี้กว่า พันล้านเหรียญสหรัญที่มีกำหนดชำระตั้งแต่ปีก่อน และยังเป็นผุ้จ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้แทนว1MDB เป็นเงิน 52,4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ(ราว 1,824 ล้านบาท) ในฐานะ ผุ้ค้ำประกันหุ้นกู้ซึ่งมีกำหนดไถ่ถอน ปี 2022 ก่อนที่IPICจะยื่นฟ้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแห่งลอนดอน
             ไฟแนนเชียลไทมส์ ระบุว่า ที่ผ่านมา จีนกลายเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญสำหรับ 1MDB  โดยรัฐวิสาหกิจจากจีนเข้าซื้อสินทรัพย์ ซึ่งหมายรวมถึงธุรกิจพลังงาน โดยนายนาจิบ เปิดเผยว่า กาเข้าซื้อของจีนช่วยให้ กองทุนฯ ลดหนี้ไปถึง 4.04 หมื่นล้าน ริงกิต (ราว 3.3ล้านบาทไทย) ทามกลางความสัมพัน
ธ์ระหว่างสองชาติที่แน่นแฟ้นขึ้น ขณะที่สหรัฐเข้าสอบสวนกองทุน ดังกล่าว และพบว่ามีความผิปกติของการเคลื่อนย้ายเงินทุนกว่า สามพันห้าร้อยล้านเหรียญสหรัฐณ(ราว 1.22แสนล้านบาท) ...(โพสต์ทูเดย์, วิเคราะห์, "การเมืองมาเลเซียปั่นป่วนจุดประกายขัดแย้งเชื้อชาติ" 8 ธันวาคม 2599)
           

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560

Rodrigo Roa Duterte

           
โรดรีโก โรอา ดูแตร์เต้ Rodrigo Roa Duterte มักถูกเรียกด้วยชื่อเช่นว่า ดีกง เป็นนักการเมืองและทนายความชาวฟิลิปินส์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีฟิลิปินส์ คนที่ 16 เขาถือเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากเกาะมินดาเนา ซึ่งที่นั้นเขาเคยดำรงตำแหน่างเป็นนายกเทศมนตรีเมือง ดาเวา ถึงกว่า 22 ในขณะที่เป็นนายกเทศมนตรีเมืองดาเวานั้น เขาใขนโยบายขั้นรุนแรงในการปราบปรามอาชญากรจนเมืองดาเวากลายเป็นเมืองที่มอัตราอาชญากรรมต่ำที่สุดในฟิลิปปินส์ และตัวเขาได้รับฉายาว่า "ผู้ลงทัณฑ์" แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่านโยบายของเขาทำให้มผู้เสียชีวิตมากกว่าพันคน
             ใน พ.ศ. 2559 เขาลงสมัครรับเลือตั้งเป็นประธานาธิบดี และได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และได้รับชัยชนะ เขาประกาศนโยบายขั้นรุนแรงในการกวาดล้างอาชญากรรมใหหมกไปจาฟิลิปปินส์ภายใน 6 เดือน และตั้งเป้าหมายจะสังหารอาชญากรในฟิลิปปินส์ให้ถึงหนึ่งแสนคน.(http//www.th.wikipedia.org โรดรีโก ดูแตร์เต)
          ในเวลาเพียงกว่าหนึ่งร้อยวันในการขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ด้วยอำนาจและนโยบายปราบปรามยาเสพติดอันเข้มงวด มีผู้เสียชีวิตจากากรปราบปรามไปแล้วกว่า 3,500 คน ซึ่งนอกจากประเด็นที่เป็นที่สนใจของสื่อต่างชาติ ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างฟิลิปินส์ กับสหรัฐอเมริกา
          บางส่วนจากการสัมภาษณ์ดูเตอร์เต "..ในฟิลิปปินส์มีผุ้ติดยาเสพติดมากถึง 3 ล้านคน และจำนวนนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไขปัญหา คนรุ่นต่อไปของฟิลิปินส์ก็จะยิ่งได้รับผลกระทบจากยาเสพติดมากขึ้น ก็ในเมื่อคุรทำลายประเทศของผม ผมก็จะฆ่าคุณ ซึ่งมัเป้นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าคุณทำลายเด็กๆ ชาวฟิลิปปินส์ ผมก็จะฆ่าคุณ มันเป็นอะไรที่สมเหตุสมผล และไม่มีอะไรผิดในการพยายามปกป้องคนรุ่นต่อๆ ไปนี้
          ฟิลิปปินส์จะไม่ยอมแพ้ในการต่อสู้ เพราะนี้คือสิทธิที่เราควรได้ คุณสามารถเจรจาต่อรองเพื่อป้องกันการเกิดสงครามได้ซึงทางจีนก็ได้เชิญผมไปเพื่อเจรจาเรื่องนี้เช่นกัน.."
          และเมื่อถามถึงความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับสหรัฐอเมริกา ดูเตอร์เต้กล่าวว่าทั้งหมดเกิดขึ้นเพาระอเมริการวิพากษณ์วิจารณ์นโยบายปราบปรามยาเสพติดของเขา
          "... มีเพียงอเมริกาที่เรียกขึ้นตอนปฏิบัติงานปกติในประเทศนั้นๆ ว่าเป็นความรุนแรง และละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามที่ทุกคนได้ทราบจากข่าวก่อนหน้า พวกเขารวบรวมหลักฐานไปให้สหประชาชาติพิจารณา ทั้งๆ ที่ีในความเป็นจริงแล้วหากเป็นการละเมิดจริงขึ้นตอนควรจะเร่ิมจากในสหประชาชาติเองด้วยซ้ำ ซึ่งฟิลิปปินส์ก็เป็นนึ่งในประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ"(้http//www.posttoday.com ,"รู้จักโรดริโก ดูเตอร์เก ปธน.ฟิลิปปินส์สุดโหดผุ้นี้ให้มากขึ้น")
            6 ก.ย. 2558 ประธานาธิบดีโรคริโก ดูเตอร์เก แห่งฟิลิปปินส์ ระบุในแถลงการณ์ที่อ่านโดยโฆษกส่วนตัว ว่าถ้อยคำดังกล่าวไม่ได้มีเจตนาแดกดันเป็นการส่วนตัวต่อประธานาธิบดีบารัค โอบาม ผุ้นำสหรัฐฯ แต่เป็นการตอบโต้เฉพาะหน้าต่อคำถามบ้างอย่างจากสื่อที่ปลุกเร้าให้เกิดความกังวลและความลำบากใจ แถลงการณ์ยังระบุอีกว่า มีการตกลงร่วมกันให้เลื่อนการพบกันระหวางผุ้นำของทั้งสองชาติออกไปก่อน
          "ลูกกระหรี่ ผมจะสาบแช่งคุณในที่ประชุม" ดูเตอร์เตสบถอย่างฉุนเฉียว อย่างไรก็ตม ทั้นที่ที่เดินทางถึงเวียงจันทร์เมืองหลวงของลาวเพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดสมาคนประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน) ช่วงค่ำวันจันทร์ ดูเตอร์เตเปลี่ยนท่าที่ฉับพลันโดยบอกไม่อยากมีปัญหา "ผมไม่อย่างทะเลาะกับเขาหรอก เขาเป็นถึงประธานาธิบดีที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก" ผุ้นำแดนตากาล็อก กล่าวพร้อมกับบอกอีกว่า เขาโกรธเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ที่วิจารณ์เรื่องสิทธิมนุษยชนไม่เลิกรา"
           ด้านโอบามาได้ทราบข่าวเกี่ยวกับคำพูดหมิ่นประมาท หลังจาเสร็จสิ้นการประชุมซัมมิต G20 มี่เมืองหางโจว ทางภาคตะวันออกของจีนโดยเขาได้บอกให้คณะผุ้ช่วยไปพูดคุยกับเหล่าเจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์ เพื่อทบทวนว่าการประชุมทวิภาคีดังกล่าวจะมีการสนทนาอย่างสร้างสรรค์หรือก่อประโยชน์ใดๆ หรือไม่ ซึ่งก่อให้เกิดความสงสัยว่าการพูดคุยจะเป็นไปตามแผนเดิมหรือเปล่า
           จากน้ันโฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เผยว่า โอบามาได้ยกเลิกการหารือกับดูเตอร์เต โดยเปลี่ยนแผนไปพบปะกับประธานธิบดี เกาหลีใต้แทน เพื่ตื่พอตอบสนองต่อการทดสอบขีปนาวุะล่าสุดของเกาหลีเหนือ
          เมื่อเดือนกรกฎาคม ศาลอนุญาโตตุลาการถาวรที่กรุงเฮกวินิจฉัยให้ฟิลิปปินส์เป็นฝ่ายชนะ การณีร้องเรียนการอ้างสิทธิทับซ้อนกับจีนในหมู่เกาะต่างๆ ในทะเลจีนใต้ แต่ดูเตอร์เตกลับประกาศว่าต้องการเจรจาทางการทูตต่อมากกว่ายั่วยุให้ปักกิ่งโกรธ ซึ่งเป็นท่าที่ตรงกันข้ามแบบสุดขั้วกับการด่าทอโอบามา
           อย่างไรก็ตาม โฆษกส่วนตัวของผุ้นำฟิลิปปินส์ยืนยันเมื่อวันอังคารว่า ฟิลิปปินส์มีจุดมุ่งหมายหลักในการกำหนดนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระและส่งเสริมความสัมพันธ์ใกล้ชิดขึ้นักับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่เป็นพันธมิตรกันมายาวนาน (http//www.manager.co.thหน้าแรกผู้จัดการ Online/ข่าวต่างประเทศ, "ดูเตอร์เต" อ้างฉุนสื่อจอมเสี้ยม ทำหลุดปากด่าผุ้นำมกันลูกกะหรี่)
            ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ได้แสดงท่าที่ไม่เป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกามากขึ้น( 12 กันยายน พ.ศ. 2559) ด้วยการสั่งให้กองกำลังพิเศษอเมริกันทั้งหมด ที่คอยให้คำแนะนำในการต่อสู้กับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง ออกจาพื้นที่ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ 
            ดูเตอร์เต้ ผู้อ้างว่าสืบเชื้อสายมาจากมุสลิม เป็นผุ้นำฟิลิปปินส์คนแรกที่ได้รับเสียงโห่ร้องต้อนรับจากพื้นที่ภาคใต้ ทั้งยังเพิ่มความพยายามที่จะนำสันติสุขกลับมาสู่ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ อันเป็นดินแดนที่เกิดความไม่สงบมายาวนานนับทศวรรษ จากฝีมือกบฎมสลิมและพวกคอมมิวนิสต์ เมื่อเดือนที่แล้ว เขาได้กลับมาเริ่มการเจรจาสันติภาพกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ใหญ่สุด ซึ่งมีกำลังพลราว 12,000 คน นั่นคือกลุ่ม "แนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร" ที่ทำการต่อสู้มาตั้งแต่ยุคปี 1970 ดูเตอร์เต้ระบุว่า การที่ฟิลิปปินส์เป็นมิตรกับตะวันตกทำให้การก่อความไม่สงบของพวกมุสลิมเกิดขึ้นไม่หยุด ไพวกกองกำลังพิเศษสหรัฐฯ ที่อยู่ในมินดาเนา พวกเขาต้องไปให้พ้น ชาวมุสลิมจะกระเหนี้ยนกระหือรือมากขึ้นเมือได้เป็นคนอเมริกัน พวกเขาอยากจะฆ่าคนอเมริกัน" ดูเตอร์เต้ระบุ...(http//www.headshot.tnew.co.th, "ใกล้มีมวย!!! "ดูเตอร์เต" สั่งให้กองกำลังพิเศษสหรัฐฯ ออกจาก "ฟิลิปปินส์"!!, 13 กันยายน  2559)
            4 ตุลาคม 2559 คำพูดดุเดือดที่เกิขึ้นในขณะที่ฟิลิปปินส์ และสหรัฐฯ กำลังซ้อมรบร่วมประจำปี ที่ดูเตอร์เตเคยเตือนว่า อาจเป็นครั้งสุดท้ายในระหว่างที่เขายังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เพื่อตอบโต้อเมริกาที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์สงครามต่อต้านยาเสพติดนองเลือดของเขา
          "ผมสูญเสียความเคารพต่ออเมริกา" ดูเอร์เต ครำครวญระหว่างการกล่าวปราศรัยยาวเหยียด เกี่ยวกับเสียงเรียกร้องของสหรัฐฯ สหประชาชาาิ และสไภาพยุโรป ให้เคารพสิทธิมนุษยชน"มิสเตอร์ โอบามา ไปลงนรกซะ"
         เขายังตราหน้าอเมริกันชนว่า เป็นพวก "เสแสร้ง" และเตือนว่าบางที่อาจถึงเวลาแล้วที่เขาจะทุบทำลายความเป็นพันธมิตรระหวา่งสองชาติลงโดยสิ้นเชิง ในนั้นรวมถึงข้อตกลงกลาโหมร่วม "ที่สุดแล้ว บางที่ในสมัยของผม ผมอาจแตกหักกับอเมริกา ผมอยากเอื้อมมือไปหารัสเซียหรือไม่ก็จีนมากกวา แม้ว่าเราไม่เห็นด้วยกับอุดมการ์ของพวกเขา แต่พวกเขาให้ความเคารพต่อคนอื่น และความเคารพคือสิ่งสำคัญ
          ความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างฟิลิปปินส์เติบโตแข็งแกร่งขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้การขยายอิทธิพลของจีนทะเลจีนได้โดยเฉพาะ ปักกิ่งอ้างกรรมสิทธิเหนืออาณาเขตเกือบทั้งหมกของทะเลจีนใต้ ไม่เว้นแม้แต่น่านน้ำที่อยู่ใกล้กับฟิลิปปินส์ และชาติเอเซียตะวัีนออกเฉียงใต้อื่น ๆและเมื่อไม่นามนี้ก็สร้างเกาะเทียมหลายแห่งในพื้ที่พิพาท ซึ่งมีศักยภาพใช้เป็นที่ต้งของฐานทัพ เพื่อตอบโต้จีน ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนก่อน นายเบนิโญ อากีโน จึงแสวงหาความสัมพันะ์ใกล้ชิดกับสหรัฐ ฯ ในนั้นรวมถึงการลงนามในข้อตกลงด้านกลาโหมใหม่ ที่เปิดทางให้ทหารอเมริกาหลายพันนาย
หมุนเวียนทั่วฟิลิปปินส์ และอนุญาตให้วอชิงตันประจำการยุทโธปกรณ์ทางทหานตามฐษนทัพต่างๆ ของประเทศ อย่างไรก็ตามนาย ดูเตอร์เตได้ปรบเปลี่ยนเส้นทางนั้น พร้อมเตือนว่า เขาจะยอเลิกข้อตกลงใหม่และจะไม่อนุญาตให้มีการลาดตะเวนร่วมกับสหรัฐฯ อีกในทะเลจีนใต้ (ผู้จัดการ Online 4 ตุลาคม "ดูเตอร์เตห้าวเป้ง!!ไล่โอบามา "ไปลงนรก" ขู่ตัดสัมพันธ์สหรัฐฯ สิ้นเชิง หันซบอกจีน-รัศเซีย)
          นาย โรดริโก ดูเตอร์เต เข้าพบประธานาธิบดีจีน ร่วมเจรจาด้านการค้าและรื้อฟื้นความสัมพันะ์ระหว่างทั้งสองประเทศพร้อมประกาศตัดความสัมพันธ์กับสหรัฐ
          นาย โรดริโก ดูเตอร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติจากรัฐบาลจีน ที่สภาประชาชนแห่งชาติ จตุรัสเทียนอันเหมิน ณ กรุงปักกิ่ง โดยดูเตอร์เตได้ร่วมประชุม กับ นาย ส จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีน และได้หารือข้อตกลงด้านการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ
          ระหว่างขึ้นพูดที่งานประชุมด้านการค้าระหว่างจีนและฟิลิปปินส์ ณ กรุงปักกิ่ง ดูเตอร์เต้ก็ได้แถลงว่า เขาจะใช้โอกาศในการเดินทางเยือนประเทศจีนในครั้งนี้ ตัดความสัมพันะ์กับสหรัฐอเมริกา - พร้อมเปิดรับการร่วมมือกับประเทศจีนระยะยาว และทันที่ที่คำพูดของดูเตอร์เต้ถูกเผยแพร่ออกไป รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ออกมาตอบโต้ว่า ควรจะพูดให้กระจ่างกว่านี้ว่า จะตัดความสัมพันะ์กับสหรัฐในรูปแบบใดบ้าง...(http//www.pptvthailand, ดูเตอร์เต้ประกาศตัดความสัมพันธ์สหรัฐ, 21 ต.ค. 2559)
           คงต้องยอมรับกันว่าบทบาทของผุ้นำในอาเซียนที่เป็นที่สนใจของผุ้คนทั่วโลกมากที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา คือประธานาธิบดีคนใหม่ของฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตอร์ดต ที่แรงได้ใจ กล้าใช้คำหยาบคายกับผู้นำสหรัฐฯ อย่างที่ไม่เคยมีผุ้นำคนไหนของฟิลิปปินส์ทำได้มาก่อน
        ความสัมพันธ์ที่เขย่าภูมิภาคนี้ ความท้าทายที่สุดในปี 2560 ของผู้นำฟิลิปปินส์คือ การรักษาสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งจะช่วยหนุนเศรษฐกิจของประเทศและช่วยส่งเสริมสถานะของเขาจากกลุ่มธุรกิจและการเมืองระดับสูง (http//www.AEC10NEWS.com, 5 ม.ค. 2560)
  ประธานาธิบดีโรคริโก ดูเตอร์เตของฟิลิปปินส์ วัย 71 ปี ยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงจากประชาชนในประเทศ ถึงแม้นานชาติจะแสดงความกังวลในประเด็นที่เขาปราบปรามยาเสพติดอย่างรุนแรงเด็ดขาดจนทำให้มีผุ้เสียชีวิตมกถึง 5,000 คน หลังเข้ารับตำแหน่างผุ้นำประเทศคนใหม่เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เขาได้ตั้งคำถามถึงการเป็นพันธมิตรมาอย่างยาวนากับสหรัฐฯ และหันไปกระชับความสัมพันธ์กับจีนแทนซึ่งนับเป็น

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...