วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

World Heritage Site : Malaysia,Cambodia

             ประเทศมาเลเซีย องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกของประเทศมาเลเซียทั้งสิ้น 4 แหล่ง
              อุทยานแห่งชาติกูนุงมูลู Gunung Mulu Nation Park เป็นอุทยานที่ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว รัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย ติดกับชายแดนของประเทศบรูไน เป็นพื้นที่ที่ทมีความหลากหลายในด้านชีววิทยา และธรณีวิทยาเป็นอย่างมาก มีพันธุ์พืชกว่า 3,500 ชนิด และมีพันธุ์ปาล์มกว่า 109 ชนิด
             ด้านธรณีวิทยาเป็นภูมิประเทศแบบหิปูน มีพื้นที่สูงๆ ต่ำๆ หน้าผาสูงชัน ยอมแหลม มัพบรอยแตกว้าง ซึ่งกบายเป็นถ้ำกว้าง ผนังและเพดามถูกปกคลุมด้วยหินงอกหินย้อย แลเกิดถ้ำทีมีขนาดใหญ่อู่ในอุทยานแห่งนี้ คือ ซาราวัค แซมเบอร์ มีความยาว 700 เมตร กว้าง 396 เมตรและสูง 80 เมตร คำนวฯพื้นที่แล้วสามารถบรรจะเครื่องบินโบอิ้ง 747 ได้ 40 ลำ
           นอกจากนี้ในอุทยานนักท่องเที่ยวยังจะได้พบกับหนึ่งในทางเดิน อดีตถ้ำที่ใหญ่ที่สุดนโลกอย่าง เดียร์เคฟ ซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ากับโบสถ์เซนต์ปอลในลอนดอนห้าหลัง รวมไปถึง ถ้ำน้ำใส ซึ่งเป็นถ้ำที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นที่อยุ่ของค้างควมหลายล้านตัว ซึ่งจะพรูกันออกมาจากถ้ำและินเข้าไปในป่าเป็นประจำทุกๆ เย็นขณะที่พระอาทิตย์กลังตกดิน
           ความแปลกตาของหินปูน ซึ่งถูกกัดเซาะโดยธรรมชาติเขตร้อนเป็นรูปร่่างต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ หินแหลมขนาดใหญ่ที่คมกริบราวกับมีดโกน ซึ่งถุกกัดกร่อนเป็นแอ่งลึก ซึ่งมีชื่อเรียกตามรูปร่างลักษณะว่า เดอะ พินนาเคิล การเดินป่าในอุทยานแห่งนี้ เต็มไปด้วยเส้นทางที่ยากลำบาก และอาจจะใช้เวลาหลายวัน แต่ให้ผลตอบแทนด้วยความสวยงามที่แสนคุ้มค่า ดดยนักท่องเทียงสามารถติดต่อขอรับบริการได้ที่รีสอร์ทในพื้นที่ ที่สำคัญควรมีมัีคคุเทศน์นำทางและลูกหาบช่วยยอกระเป๋าติดตามไปด้วย
            อุทยานกีนาบาลู Kinabalu Park อุทยานคินาบาลู คือเส้นทางสู่ภูเขาคีนาบาลู อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 1,585 เมตรและเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินทางขึ้นสุ่ยอดเขาคินาบาลุ อุทยานแห่งนี้มีพื้นที่ 754 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ของภูเขาคินาบาลู ภูเขาทัมบายุคอน และตีนเขา ภูเขาเหล่านี้มีที่มาที่น่าสนใจ จากหลักฐานทางธราณีวิทยาพบว่า ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งล้านปี ภูเขาจึงมีรูปร่างอย่างที่พวกเราเห็นอยุ่ในปัจจุบัน ภูเขาคินาบาลูที่ตั้งตระหว่านอยู่ในอุทยาน แม้จริงแล้วคือเทือกเขาหินแกรนิคขนาดใหย่ที่ดันเปลือกโลกขึ้นมา
           
 เมื่อเวลาผ่านไป ทรายและหินหนาหลายพันฟุตสึกกร่อนลงเผยให้เห็นเทือกเขาแห่งนี้ ในยุคน้ำแข็ง ธารน้ำแข็.ที่ไหลข้ามยอดเขาทำให้ยอดเขาคินาบาลูราบเรียบ แต่ยอดส่วนที่ขุรุขระเหนือระดับของธารน้ำแข็ง ไม่ด้ถูกกัดเซาะไปด้วย ดังนั้น จึงเป็นพื้นที่ผิวขรุขระอย่างในปัจจุบัน
            อุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ชายฝั่งด้านตะวันตกของรัฐซาบะฮ์ บนเกาะบอร์เนียว ทางตะวันออกของมาเลเซีย มีพื้นที่ 754 ตารางกิโลเมตร อยู่รอบๆ ภูเขากีนาลาลู ซึ่งสุง 4,095.2 เมตร และเป็นภูเขาท่สูงที่สุดบนเกาะบอร์เนียว ภายในอุทยานเป็นแหล่งที่อยุ่ของพันธุ์พืชและสัตว์หลากหลายชนิด โดยแบ่งเขตแหล่งที่อยุ่ออกตามสภาพทางภูมิศาสตร์ ออกได้เป็น 4 เขตได้แก่ ป่า โลว์แลนด์ ดิปเตอโรแครป ป่าสนเขา ทุ่งหญ้าบนที่สูง และพุ่มไม่บนยอมเขา บริเวณภูเขาเป็นแหล่งที่พบกล้วยไม้ และพืชกินแมลงหลายสายพันธุ์ ที่มีชื่เสียงคือสายพันธุ์ เนปเปนเทส ราจาร์ และยังเป็นถ่ินอาศัยของสัตว์ประจำถิ่นอีกมากมาย เช่น ปลิงแกงยักษ์กีนาบาลู ไส้เดือนยักษ์กีนาบาลู นกเขียนวก้านตองปีกสีฟ้ากีนาบาลู
             มะละกา และ จอร์จทาวน์ นครแห่งประวัติศาสตร์แห่งช่องแคบมะละกา Melaka and George Town,Historic Citis of the Straits of Malacca มะละกา เป็นรัฐทางตอนใหต้ในประเทศมาเลเซีย ตั้งอยุ่บริเวณช่องแคบมะละกา ตรงข้ามกับเกาะสุมาตรา รัฐมะละกาเป็นหนึงในสองรัฐของมาเลเซียที่ไม่มีเจ้าผุ้ครองรัฐเป็นประมุขแต่มีผุ้ว่าราชการรัฐแทน ในอดีต มะละกาเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าระหว่างตะวันอกและตะวันตกบนชองแคบมะละกามากกว่า 500 ปี มีลักษณะของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างศิลปโปรตุเกส ดัตช์ และมาเลย์ ได้รับการยกย่องให้เป็นนครประวัติศาสตร์บนช่องแคบมะละกา ช่องแคบมะละกาเป็นช่องแคบระหว่งแหลมมลายูกับเกาะสุมาตรา อยู่บริเวณทางด้านตะวันตกเฉียงใจ้ของประเทศไทยตะวันตกและใต้ของมาเลเซีย ทางด้านตะวันออกเแียยงเหนือและเหนือของเกาะสุมาตรา และเลยไปถึงทางด้านใต้ของสิงคโปร์ ระบุพิกัดที่ประมาณ 1.43 องศาเหนือและ 102.89 องศาตะวันออก ช่องแคบมะละกาเป็นช่องแคบที่มีความหว้างบริเวณทางเข้าประมาณ 5 ไมล์ยาวประมาณ 600 ไมล์ ช่วงที่แคบที่สุดประมาณ 1.5 ไมล์ มีเรือผ่านประมาณ 900 ลำต่อวันหรือ
ประมาณ 50,000 ลำต่อปี ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วมีประมาณเรือที่ผ่านมากกว่าคลองสุเอซประมาณ 2 เท่า และมากว่าคองปานามากว่า 3 เท่า

มะละกาเป็นเมืองท่าสำคัญบนช่องแคลมะละกาซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญโดยเฉพาะในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ที่มะละการุ่งเรืองมาก นั่นจึงเป็นเหตุให้เมืองนี้เป็นที่หมายปองของบรรดาจักรวรรดินิยม จนในที่สุดโปรตุเกสด้เดินทางเข้ามายึดครอง ก่อนที่จะถูกดัตช์ เข้ามาครอบครองต่อ และเปลี่ยนมือผุ้ปกครองมาเป็นอังกฤษ แล้วญี่ปุ่นก็เข้ามาครอบครองระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2ในช่วงเวลาสั้นๆ  จากนั้นมะละกากลับไปอยุ่ใต้อาณานิคมอังกฤษอีกครั้ง เมื่อมเลเซียประกาศเอกราชในปี พ.ศ. 2500 สถานที่ประกาศเอกราชคือ มะละกา ซึ่งในปัจจุบันตึกอนุสรณ์ในการประกาศอิสรภาพยังคงตั้งตระหว่างโดดเด่นอยุ่ในมะละกา
            มะละกาเป็นเมืองวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยร่องรอยของประวัติศาสตร์สำคัญของมาเลเซีย จนได้รับการขนานนามว่าเป็น "นครแห่งประวัติศาสตร์ ของชนชาติมาเลเซีย" สถานที่สำคัญของมะละการ คือ บริเวณจตุรัศแดง บนถนน เลก ซา มา น่า หรือเรียกว่า จัตุรัสดัตช์ เนื่องจากที่นี่เคยเป็นศุนย์กลางชุมชนดัตช์ในสมัยที่เข้าปกครองมลายู ซึ่งแวดล้อมไปด้วยสถปัตยกรรมแบบตุวันตกอันสวยงาม มีใจกลางจตุรัส เป็นลานน้ำพุเก่าแก่แบบอังกฤษที่สร้้างถวายแด่ราชินีวิคตอเรีย และมีสถาปัตยกรรมแบบดัตช์สีแดงโดดเด่น ประกอบด้วย โบสถ์คริสต์ ศิลปกรรมดัตช์ประยุกต์ และอาคารสตัดธิวท์ เป็นอาคารดัตช์เก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย ปัจจุบันอาคารสตัดธิวท์กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีที่น่าสนใจย่ิงของมะละกา
            มรดกโลกโบราณคดีแก่งหุบเขาเล็งกง Archaeological Heritage of the Leggong Valley
            หุบเขาเล็งกง ในรัฐเประ ประเทศมาเลเซีย เป้ฯพื้นที่ที่มีความสำคัญทางโบราณคดีมากที่สุดของคาบสมุทรมาเลเซีย มีการขุดค้นพบร่องรอยในยุคก่อนประวัติศาสตร์จำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการดำรงชีวิตของมนุษย์ในยุคต้นที่เ่กาแก่ที่สุดในคาบสมุทรมาเลเซีย เล็งกงเปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์ในพื้นที่ดล่งและถ้ำ เป็นแหล่งที่ค้นพบโครงกระดุก ฟอสซิลของมนุษย์ซึ่งเรียกว่า มนุษย์เประ ในถ้ำพบค้นพบเครื่องประดับ เครื่องปั้นดินเผา อาวุธ และเครื่องมือหิน ถ้ำหลายแห่งในเล็งกงเป็นสถานที่ที่แสดงให้เก็ถึงหลักฐานการดำรงชีวิตและการล่าสัตว์ของมนุษย์ในยุคต้น
            แหล่งโบราณคดีหุบเขาเล็งกง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของมาเลเซีย รวมแหล่งโบราณคดี 4 แห่งเข้าด้วยกัน ได้แก่
         
  - บูกิตบูนูห์ และโกตาแทใปาน เป็นแหล่งโบราณคดีแบบเปิดโล่ง มีพิพิธภัฒฑ์ และแหล่งขุดค้นโบราณคดีที่ตั้งอยุ่ เป็นแหล่งโบราณคดีที่ให้ข้อมุบลทางโบราณคดี และทางธรณีวิทยาี่สำคัญเป็นอย่งมาก ที่ทำให้เข้าใจในเรื่องสิงแวดล้อมใยุคโบราณกับพูติกรรมทางปัญญาและวัฒนธรรมของมนุษย์ในยุคต้นผ่านการใง้งานของเครื่องมือหิน
            - บูกิตจาวา เป็นแหล่งขุดค้นดบราณคดีแบบเปิดโล่ง
            -บูกิตเคปาลากาจาห์ เป็นเทือกเขาหินปูนและถ้ำหลายแห่ง แหล่งดบราณคดีอยุ่ในเพิงผาหินในเทือกเขาหินปูน บูกิต เคปา กาจาห์ ตั้งอยุ่ประามณ  กิโลเมตร จากเมือง เล็งกง การขุดค้นในปี 1900 เผยให้เห็นหลักฐานของการปยู่อาศัยของมนุษย์ประมาณ 11,000 ถึง 6,000  ปีที่ผ่ามาหลักฐานส่วนใหญ่ประกอบด้วยเครื่องมือหินดังกล่าวเป็นเครื่อง มือ และซากสัตว์
           - บูกิตกัวฮาริมัย เป้นแหล่งดบราณคดีสุสานยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยุ่ในเทือกเขาหินปูนบูกิตกัวฮาริมัน ประมาณ 10 กิโลเมตรจากเมืองเล็งกง กัวฮาริมัว เป้นถ้ำขนาดใหญ่ ลึกประมาณ 28 เมตร สุง 20 เมตร พื้นถ้ำปกคลุมไปด้วยก้อนหินงอกหินย้อย มีการขุดพบซากศพโบราณในถ้ำ 11-12 ซาก ดูเหมือนว่าถ้ำแห่งนี้ถุกนำมาใช้เป็นสุสานช่วงระหว่างปลายยุคหินใหม่และยุคโลหะตอนต้น
           แหล่งโบราณคดีเหล่านี้ เป็นหนึ่งในแหลงที่มีกาบันทึกเรืองราวของมนุษย์ในุคต้นอยุนใาถานที่เดียวที่มีอายุยาวนานและเก่าแ่ที่สุดที่อยู่นอกทวีปแอฟริกา จำนวนของแหล่งที่พบในพื้นที่ซึ่งมีขอบเขตสัมพันธ์กันทัง 4 แห่งนี้ ทำให้สามารถคาดคะเน ปรากฎการก่อตัวขึ้นของประชากรขนาดใหญ่ กึ่งเร่ร่อนกึ่งตั้งหลักปักฐาน กับวัฒนธรรมในสมัยหินเก่า หินใหม่ และยุคโลหะที่ยังเหลือให้เห็นอยู่
          ประเทศกัมพูชา องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกของ กัมพูชาไว้ 2 แห่ง
           เมืองพระนคร Angkor ตั้งอยู่ในจังหวัดเสีมราฐ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศกัมพูชา อยู่เหนือทะเลสาบเขมรไม่ไกลนัก เป็นเมืองที่ได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลก  เมืองพระนครถูกจัดให้เป็นแหล่งมรดกโลกที่ตกอยู่ในภาวะอันตราย เพราะขาดการดุแลรักษาที่ดี เมืองพระนคร ถือได้ว่าคือหลักฐาน
สำคัญที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองในอดคตของอาณาจักรเขมร ซึ่งการปลูกสร้างดบราณสถานต่างๆ ก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงภุมิปัญญาอันชาญฉลาดทางสถาปัตยกรรม และประติมากรรมของบรรพบุรุษขอมโบราณ เมืองพระนคร เป็นกลุ่มโบราณสถานที่สำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกฌฉียงใต้และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของแระทเศกัมพุชาดดยมีพ้นที่กว้งใหญ่ถึง 400 ตารางกิโลเตร ครอบคลุมพื้นที่ป่าและปราสามหินและ เทวลัยมากว่า 100 แห่ง ดลราณสถานที่สำตัญ เช่นปราสาทนครวัด ประสามนครธม แราสาทบายน ปราสาทบาปวน เป็นต้น
         
เมื่อพระเจ้าชัววรมันที่ 2 ได้ประกาศแยกแผ่นดินเป้นอิสระจาก ซวา และราชวงศ์ต่อมาก็ได้ทำการสร้างราชะานีแห่งใหม่ขึ้นที่หริหราลัย บริเวณตอนเหนือของโตนเลสาบหลังจากนั้นพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ก็ได้มีพระราชดำริย้ายเมืองหลวงไปยู่ที่ยโสธรปุระหนือเรียกกันภายหลังว่า "เมืองพระนคร" ถือเป็นยุคที่สร้างปราสาทเป็นจำนวนมากถึงหว่าร้อยแห่ง โนเวลาต่อมาเมืองถึงรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 นครวัดอันยิงใหญ่ได้ถือกำเนิขึ้น แต่ภายหลังเมืองพระเจ้าชัยวรมันที่ ึ ขึ้นครองราชย์ก็มีการย้ายเมืองหลวง ไปยังนครธมและยังได้สร้างปราสาเพ่ิมขึ้นอีกหลายแห่ง เข่น ปราสาทบายน ปราสาทตาพรม เป็นต้น
           ปราสาทนครวัด เป็นศาสนสถานที่สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 โดยเป็นศาสนสถานประจำของพระองค์ ตังเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนบ์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบัน เป็นสิงก่อสร้างทางศาสนาที่มขนาดใหญ่ที่สุดของดลก โดยใช้เวลาสร้างร่วม 100 ปี ถือเป็นที่สุดของสถกปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุงเรือง และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติดดยปรากฎในธงชาติขงประเทศกัมพุชา
           ปราสาทนคระม ตั้งอยุ่ทางทิสเหนือของนครวัด จุดเด่นที่สุดคือทางเข้าด้านใต้ที่มี ลักษณะเป็นหน้าเทวพักตร์ 4 ด้าน เม่อเข้าสุ่ใจกล่างนคระม จะพบกับปราสามหลักของพระเจ้าชัยวรมันเรียกว่า ปราสาทบายน
            ปราสาทบายน ในคระม ประกอบด้วยอค์ปราสาทตั้งอยุ่บนฐานซ้อนสามชั้น มีจุดเด่นที่สำคัญคือ การสลักรูปพระพัตร์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หันออกไปทั้งสี่ทิศ เพื่อสอดส่องดูแลทุกข์สุขประชาชนตามความเชื่อในสมัยนั้น
           ปราสามพระวิหาร Temple of  Preah Vihear เป็นปราสามหินตามแบบศาสนาฮินดุที่ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาพนมดงรัก สุงจากระดับทะเลปานกลาง 657  เมตร ที่ตั้งของศาสนสถานแห่งนี้รู้จักกันในนาม พนมพระวิหาร อันหมายถึงบรรพตแห่งศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ใกล้อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ อันเป็นทางขึ้นสุ่ปรสาทที่สะดวกทีุ่ด ปราสามพระวิหารมีสถาปัตยกรรมแบบเขมร สร้างตามแนวเหนือใต้ซึ่งผิดแปลกไปจากปราสามขอมส่วนใหญ่ ไทยและกัมพูชามีประวัติพิพาทเหนือตัวอราสาทเป้นเวลานานแล้ว ใน พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างปรเทศพิพากษาให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาม และในปี 2551 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาิตขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรกโลกในประเทศกัมพูชา ปราสามพระวิหารประดิษฐานอยุ่บนผาเป้ญตาดีอยู่ในเขตหมู่บ้านภูมิซร็อล ตำบลเสาธงชัย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ห่างจาก อ.เมืองศรีสะเกษ 110 กิโลเมตร ทั้งนี้ ปราสาทตั้งอยุ่ห่างจากปราสามนครวัดในเมืองพระนครไป 140 กิโลเมตร และห่างจากกรุงพนมเปญไป 320 กิโลเมตร




                 - www.th.wikipedia.org/../รายชื่อแหล่งมรดกโลกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
                 - travel.mthai.com, อุทยานแห่งชาติกุนุงมูลุ ดินแดนธรรมชาติ มหัศจรรย์ บนเกาะบอร์เนียว
                 - www.malaysia.travel/../อทุยานคินาบาลู (Kinabalu Park)
                 - aseannotes.blogspot.com,มรดกโลกในมาเลเซีย 1 : มะละกาและจอร์จทาวน์ นครประวัติศาสตร์บนช่องแคบมะละกา
                 - region4.prd.go.th/..,แหล่งโบราณคดีหุบเขาเล็งกง
                 - gothailandgoasean.touismthailand.org/..,เยือนเมืองพระนคร(Angkor)มรดกโลกในกัมพูชา
                 - www.painaidii.com/..,ปราสามเขาพระวิหาร

วันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2560

World Heritage Site : Thai,Laos,Myanmar

        องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกของประเทศไทยทั้งสิ้น 5 เเหล่ง
         นครประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา Historic City of Ayutthaya 
         อุทยานประวัติศาตร์พระนคราศรีอยุธยา มีเนื้อที่ 1,810 ไร่ ตั้งอยู่ภมยในเกาะเมืองอยุธยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
         นักวิชาการเชื่อว่า ก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นใน .ศ. 1893 นั้น บริเวณดังกล่าวมีบ้านเรือนตั้งอยู่ก่อนแล้วเรียกว่า เมืองอโยธยา หรืออโยธยาศรีรามเทพนคร มีทีตั้งอยู่บริเวณด้านทิศตะวันออกนอกเกาะเมืองอยุธยา ปรากฎหลักฐานโบราณสถานที่เป็นวัดสำคัญ เช่น วัมเหยงค์ วัดอโยธยา รวมทั้งจากพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอังกษรนิติ์ กล่าวถึงการก่อสร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า พระเจ้าพแนงเชิง พระประธราของวัดพนัญเชิง โดยระบุว่า สร้างขึ้นก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะทรงสถาปนากรุงศรีปยุธยาถึง 26 ด้วยทำเลที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยามีลกษณะเป็นเกาะมือง มีแม่น้ำที่สำคัญ 3 สายโอบล้อมคือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ทำให้พื้นดินมีความอุดมสมบูรณื และเป็นชุมทางคมนาคมทางน้ำ รวมทั้งยังเป็ฯปราการธรรมชาติ ในการป้องกันข้าศึกศัตรูกรุงศรีอยุธยาจึงเป็นราชธานีใหญ่ที่สามารถกุมอำนาจเหนือเมืองใกล้เคียงไดเป็นเวลายาวนาน
         กรุงศรีอยุธยาเติบโตเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และการค้า ที่สำคัญแห่งหนึ่ง ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเแียงใต้ ระหว่างพุทธตวรษที่ 21-23 มีชาวต่างชาติทั้งชาวเอเชียและชาวยุโรป เข้ามาค้าขายทางเรือ ส่วนมากมีความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย ...
        กรุงศรีอยุธยายังมีความเจริญ ก้าวหน้าทางด้านการปกครอง กฎหมาย การศาล ระบบสังคม การศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม..และสั่งสมไว้ตกทอดกันมาถึงปัจจุบันนี้
        โบราณสถานสำคัญ ประกอบด้วย
         - พระราชวังโบราณหรือพระราชวังหลวง ตั้งอยู่ทางเหนือของวัดพะศรีสรรเพชญ์ ริมแม่น้ำลพบุรี ปัจจุบันเหลือแต่เพียงฐานรากพระที่นี่งองค์ต่างๆ เนื่องจากถูกเผาทำลายเมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่ 2 พระราชวังโบราณนี้สร้างขึ้นใน สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อทรง อุทิศที่ตั้งของพระตาชมณเี่ยรเกิมที่สร้างไว้ สมัยพระเจ้าอู่ทอง ให้เป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์
         - วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็ฯวัดที่สำคัญที่สุดของกรุงศรีอยุธยา โดยแต่เดิมสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทอง ได้ทรงสร้างพระราชมณเทียรขึ้นที่บริเวณนี้ ต่อมาสมเด็จพระบมไตรโลกนาถได้อุทิศให้เป็นวัด ในเขตพระราชวัง สำหรับเป็นที่ประกอบพระราชพิธีที่สำคัญ และเป็นที่เสด็จออกบำเพ็ญพระราชกุศล
          - วัดราชบูรณะ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือเจ้าสามพระยา โดปรดให้สถาปนาขึ้นใน พ.ศ. 1967 ตรงบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระศพ เจ้าอ้ายพระยา และเจ้ายี่พระยา พระเชษฐาทั้ง 2 พระองค์ ซึ่งสิ้นพระชนม์เนืองจากการสุ้รบแย่งชิงราชสมบัติ
          - วิหารมงคลบพิตร พระมงคลบพิตรเป็ฯพระพุทธรูปสำริด องค์ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทย ซึ่งสันนิษฐานว่า สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้บูรณะวิหารพระมงคลบพิตรใหม่ทั้งหมดดังปรากฎในปัจจุบัจน
          กรมศิลปากรได้ดำเนินการอนุรักษ์โบราณสถานเมืองพระนครศรีอยุธยาภายใต้ชื่อ โครงการอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และต่อมาองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม
          เมืองประวัติศาสตร์ สุโขทัยและเมืองบริวาร History town of Sukhothai and Associated Historic Towns อุทยานประวัติศาสตร์ที่ได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลก ประกอบด้วย
         - อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ครอบคลุมพื้นที่ดบราณสถานกรุงสุโขทัยศูนย์กลางการปครองของอาณาจักรสุดขทัย ซึ่งมีอำนาจอยุ่บริเวณภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทยในช่วงพทุธศตงวรรษที่ 18-19 ตั้งอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า (เขตเทศบาลตำบลเมืองเก่า) อำเภอเมือง สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ห่างจากตัวเืองสุโขทัยปัจจุบัน (เขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี)ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 12 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12
  ผังเมืองสุโขทัยมีลักษณะเป็นรูปสีเหลี่ยมผืนผ้า มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร กว้างประมาณ 1.6 กิโลเมตร มีประตูเมืองอยู่ตรงกลางกำแพงเมืองแต่ละด้าน ภายในยังเหลือรอ่งรอยพระราชวังและวัดอีก 26 แห่งวัดที่ใหญ่ที่สุดคือวัดมหาธาตุอุทยานแห่งนี้ได้รับการบุรณปฏิสังขรณ์โดยกรมศิลปากรด้วยความช่วยเหลือจากองค์การยูเนสโก มีผุ้เยี่ยมชมหลายแสนคนต่อปี ซึ่งสมารถเดิเท่าหรือขี่จักรยานเที่ยวชมได้
         อุทยานประวัติศษสตร์สุโชัยได้รับการประกาศคุ้มครองครั้งแรกตามประกาศราชกิจจานุเบกษาองค์การยูเนสโกได้ประกาศให้อุทยานแห่งนี้เป็นแหลงมรดกโลกร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์ที่กำแพงเพชรและศรีสัชนาลัยภายใต้ชขื่อว่า "เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร"
          - อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยตั้งอยู่ที่ตำบล ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย มีดบราณสถานทั้งหมด 215 แห่ง สำรวจค้นพบแล้ว 204 แห่งรวมทั้งสุสานวัดชมชื่นและเตาสังคโลก โบราณ ในปัจจุบันจากการประเมินของกรมศิลปากร นับว่ามีการต่อเติมโบราณสถานจากสภาพเดิมน้อยกว่าที่ใด ยังคงรักษาภูมิทัศน์ของเมืองประวัติสษสตร์ไว้ได้ครบถ้วน
        - อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ตั้งอยู่ในเขตตำบลในเมือง อำเภอเมือง กำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ไม่ไกลจากจังหวัดสุโขทัย เท่าใดนัก ลักษณะของศิปละและสถาปัตยกรรมในอุทยานแห่งนี้เป็นศิลปะแบบเดี่ยวกับที่ปรากฎในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย มีโบราณสถานที่สวยงานและขนาดใหญ่มากมาย หลายแห่งในอดีตเมืองกำแพงเพชรถือเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของอาณาจักรสุโขทัย
           เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง Thungyai-Huai Kha Khaeng Wildlife Sanctuaries 
           ..เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จัดได้ว่าเป็นผืนป่าอนุรักษณแห่งเดียวที่มีอยุ่ในประเทศไทย (จากจำนวนทั้งสิ้นจนถึงปัจจุบัน ประกาศไปแล้วจำนวน 31 เขต)ที่ไม่มีราษฎรทั้งชาวไทยและชาวไทยภูเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ ผลจากการสำรวจความหลากหลายของสัตว์ป่า โดยคณะวนศาสตร์ และดดขเจ้าหน้าที่ของกองอนุรัษ์สัตว์ป่าเท่าที่ได้ทำมาแล้ว นับตั้งแต่ก่อนที่จะได้ประกาศให้เป็นเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า ปรากฎว่าจากความหลากหลายของสภาพภูมิประเทศ สภาพป่าหลาชนิดที่กระจัดกระจายผะผนกัน ตลอดจนความหลากหลายของอุณหภูมิอากาศ ประจำถิ่น ทำให้ห้วยขาแข็งนี้เป็นแหล่งรวมพันู์ของสัตว์ป่านานาชนิด ังนี้ คือ สัต์เลี้ยงลูกด้วยนมจำนวน 67 ชนิด นก 355 ชนิด สังต์เลื้อยคลาน 77 ชนิด สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 29 ชนิ และสัตว์จำพวกปลาอี 54 ชนิด รวมแล้วมีสัตว์ป่าเท่่าที่ได้ทำการสำตวจมาแลวทั้งสิ้น 582 ชนิด ในจำนวนสัตว์ป่าที่สำรวจแล้วทั้งหมดมีสตว์ป่ที่ได้รับการกำหนดสถานภาพโดย IUCN ว่าจะสูญพันธ์ จำนวน 21 ชนิด และสัตว์ป่าที่ถูกคุกคาม จำนวน 65 ชนิดรวมอยุ่ด้วย
           แม้ว่าป่าห้วยขาแข้งจะมีพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 2,575 ตารางกิโลเมตร และจัดว่าเป็ฯเขตรักษรพันธุืสัตว์ป่า ที่มีขนาดใหญ่เป็นสองรองจากทุ่งใหญ่ ก็ยังไม่มีขนาดใหญ่พอที่จะประกันการสูญพันู์ของสัตว์ป่าและพืชป่าโดยลำพัง รัฐบาลจึงได้ประกาศให้พื้นที่ป่าต่อเนื่องไปทางทิศตวะันตกจรดชายแดนพม่า เป็นเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าอีกแห่งหนึ่งคือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร พื้นที่ 2,000,000 ไร่ หรือ 3,200 ตารางกิโลเมตร โดยประกาศในปี พ.ศ. 2517 หลังจากที่มีกรณีอื้อฉาวว่ามีการลักลอบฆ่าสัตว์ป่ากันในใจกลางของป่าทุ่งใหญ่ .. จึงทำให้ป่าอนุรักษ์ในรูปของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ต่อเนื่องเป็นผืนใหญ่ทั้งสองแห่งนี้มีชื่อเรียกรวมกันว่า ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง และรอการผนวกป่าสงวนห้วน้ำโจนบางส่วนที่ยังคงสภาพความเป็นชาติเหลืออยู่ทางตอนใต้ของป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง
          ผืนป่าอนุรักษ์ในรูปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ได้ชื่อว่า "ทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง"แห่งนี้ ครอบคลุมพื้นที่ของ 4 อำเภอ ใน - จึงหวัด คือ อ.บ้านไร่ อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี อ.สังขละบุรี จ.กาณจนบุรี และอ.อุ้งผาง จ.ตาก นอกจานี้ยังถุกล้อมรอบไปด้วยผืนป่าอนุรักษ์แห่งอื่นๆ ในรูปของเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าปละอทุยานแห่งชาติที่ต่อเนื่องเป็นผ่าผืนเดียวกันอีกจำนวน 7 แห่ง นั้นคือ เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอุ้งผาง, อทุยานแห่งชาติแม่วงศ์และอทุยาแห่งชาติคลองลานเชื่อต่อทางตอนเหนือ และต่อเนื่องกับอทุยานแห่งชาติเขาแหลม, อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ อุทยานแห่งชาติเอราวัฒ เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าสลักพระและอทุยาทแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ทางตอนใต้..
       แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง Ban Chaing Archaeological Site เป็ฯแหล่งโบราณคดีสำคัญแห่งหนึ่งอยู่ที่อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ที่ทำให้รับรู้ถึงการดำรงชีวิตในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ย้อนไลังไปกว่า 5,000 ปี ร่องรอยของมนุษย์ในประเทศไทยสมัยดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่มีพัฒนาการแล้วในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านความรู้ความสามารถหรือภมิปัญญา อันเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยให้ผุ้คนเหล่านั้นสามารถดำรงชีวิตและสร้างสังควัฒนธรรมของมนุษย์ได้นือเนื่องต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน วัฒนธรรม้านเชียงได้ครอบคลุมถึงแหล่งโบราณคดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกกว่าร้อยแห่ง ซึ่งเป็นบริเวณพื้นที่ที่มีมนุษย์อยู่อาศัยหนาแน่นมาตั้งแต่หลายพันปีแล้ว ด้วยเหตุนี้เององค์การยูเนสโกของสหประชาชาิตจึงได้ยอมรับขึ้นบัญชีแหล่ววัฒนธรรมบ้านเชียงไว้เป็นแห่งหนึ่งในบรรดามรดกโลก

       ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ Dong Phayayen-Khao Yai Forest Complex ..ในอดีตมีป่าดงดิบกว้างใหญ่ กันกลางระหว่างภาคกลางกับภาคอีสาน ซึ่งเต็มไปด้วยภยันตรายทั้งจากสัตว์ ผ่า ไข้ป่า ภูตผีปีศาจ อาถรรพณ์ลึกลับ และเป็นที่เล่าขานถึงความน่าเกรงขาม การเดินทางผ่าไปยังภาคอีสานยากลำบาก หลายคนต้องเสียชีวิตด้วยไข้ป่า หรือสัตว์ป่า ผุ้คนจึงขนานนามป่าแห่งนี้ว่า ดงพญาไฟ..
       สมเด็จกรมพรยาดำรงตาชานุภาพ ทรงนิพนธ์ไว้ว่า "ดงพญาไฟ เป็นช่องสำหรับข้าไปมา ระหว่างเมืองสระบุรีกับมณฑลนครราชสีมาแต่โบราณ ไปได้แต่เดิมเท่าจะใช้ล้อเหวียนหาได้ไม่ ด้วยทางต้องเดินตามสันเขาบ้าง ตามไหล่เขาบ้าง คนเดินตามปกตินั้น ตั้งแต่ตำบลแห่งคอย ต้องค้างคือในป่านี้ถึง 2 คืนถึงจะพ้น"..
               วันที่ 21 ธันวาคม  พ.ศ. 2443 พระบาทสมเด็๗พระจุลจอมเหล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดการเดินรถไฟ สายกรุงเพท -นครราชสีมา ขณะที่เสด็กลับทางรถไฟผ่านดงพญาไฟ ทรงรับสั่งว่าป่าชื่อฟังดุน่ากลัว จึงตรัสว่า "ให้เปลี่ยนชือดงพญาไฟเป็นดงพญาเย็น เพื่อความเป็นสิริมงคล และความร่มแย็นเป็นสุขอาณาประชาราษฎร์"
             หลังจากมีการสร้างทางรถไฟ และถนนมิตรภาพ จากภาคกลางไปสู่่ภาคอีสาน ดงพญาไฟก็ถูกผ่าออกทันที ผุ้คนเริ่มที่จะอพยพเข้าไป แล้วถากถางป่าทำไรทำนา โดยเฉพาะบริเวณ ฟาร์มโชคชัย อ.ปากช่อ จ.นครราชสีมา
             ตำบลเขาใหญ่เกิดขึ้นจากการอพยพ จากบ้านท่าชัย ,ท่าด้าน จังหวัดนครนายก บุกเบิกพื้นที่ทำกิน กลางผืนป่า อันเป็นทำเลที่ดี จนกลายเป็นชุมชนกลางป่า ยิงเวลาผ่าไป ก็ยิงมีชาวบ้านจากจังหวัดรรอบๆ ขึ้นมาถากถางมากขึ้น จนพื้นที่ 30 ตารางกิโลเมตร หรือ 18,750 ไร่ถูกถากถางไป ในปี พ.ศ. 2465 ชุมชนนี้ได้ขออนุญาตจัดตั้งเป็นตำบลเขาใหญ่ ขึ้นกับอำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก เชื่อ เขาใหญ่ จึงเร่ิมต้นตั้งแต่นั้นมา ทั้งที่ไม่มียอดเขาแห่งใดที่มีชื่อคำว่าเขาใหญ่
             ด้วยเหตุที่เขาใหญ่อยุ่กลางใจป่า ไม่มีถนนที่สามารถเข้าไปได้อย่างสะดวก จึงทำให้ชุมชนนี้กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถือน กลายเป็นเเหล่งซ่อนสุมของเหล่าโจรผุ้ร้าย ทางจังกซัดนครนายก จึงส่ง "ปลัดจ่าง" มาปราบกวาดล้างโจรบนเขาใหญ่ และสามารถปราบได้ โดยใช้เวลานับเดือน แต่ปลัดต้องเสียชิวิตด้วยไข้ป่า ด้วยความกล้าหาญของทาน พวเขาจึงจึงสร้าง ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ข้น เป็นศาลที่ให้ผุ้คนกราบไหว้มาจนถึงปัจจุบันนี้ ทางจังหวัดนครนายก จึงสั่งให้อพยพชาวพ้านกว่า 1,000 คนลงมายังืพ้นราบและสั่งให้ยกเลิกตำบลเขาใหญ่ ปล่อยให้เกลายเป็นทุ่งหย้ารกร้าง และป่าให้เห็นด้งเช่นปัจจุบัน
             ปี พ.ศ.2505 จมอพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 11 เดิทางสำรวจบริเวณดังกล่าวด้วยเฮลิคอปเตอร์ ท่านมีคำสั่งให้ทางกระทรวงเกษตรและกระทรวงมหาดไทยร่วมกันสำรวจเพื่อจัดตั้งให้เป็นอุทยานแห่งชาติ และประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมือ พ.ศ. 2505 ซึค่งเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย
              อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ปางสีดา ทับลาน ตาพระยา และเขตรักษาพันู์สัตว์ป่าดงรัก ได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ "ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่"
               สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก)ได้ขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกของประเทศลาวทั้งส้ิน 2 แหล่ง
               เมืองหลวงพระบาง Town of Luang Prabang หลวงพระบางเป็นเมืองเอกของแขวงหลวงพระบาง ประเทศลาว อยู่ทางภาคเหนือของประเทศ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำคาน ซึ่งไหลมาบรรจบกัน เป็นเมืองที่องค์การยูเนสโก ได้ยกย่องหใ้เป็นมรดกโลกด้วย
               หลวงพระบางเป็นเมืองเก่าแก่ของอาณาจักรล้านช้างตั้งแต่สมัยสถาปนาอาณาจักรแต่เดิมที่ชื่อว่า "เมืองซวา"(ออกเสียงว่า ซัว) และเมื่อ พ.ศ. 1300 ขุนลอซึ่งถือเป็นปฐมกษัตริย์ลาวได้ทรงตั้งเมือง.วาเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้างและได้เปลี่ยนชื่อเมืองให่เป็นเชียงทอง
               เมื่อพระเจ้าฟ้างุ้ม เสด็จกลับจากกัมพูชา อันเนื่องจากพระองค์และพระบิดาต้องเสด็จลี้ภัยเพราะถูกขับไล่จากษัตรยิ์องค์ก่อน ซึ่งแท้จริงก็คือพระอัยกาของเจ้าฟ้างุ้มนั่นเอง เจ้าฟ้างุ้มทรงรวบรวมกำลังขณะอยู่ในเสียมราฐ และนำกองทัพนับพันกำลังเพื่อกูราชัลลังก์กลับคือ และสถาปนาอาณจักรขึ้น ต่อมาในสมัยพระโพธิสานราชเจ้าพระองค์ได้ทรงอาราธนาพระบางซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่ที่เมืองเวียงคำขึ้นมาประดิษฐานอยู่ที่เมืองเชียงทองอันเป็นนครหลวง เมือองเชียงทองจึงมีื่อเรียกว่า "หลวงพระบาง" นับแต่นั้นมา
               วัดพูและการตั้งถ่ินฐานโบราณที่เกี่ยวข้องภายในภูมิทัศน์วัฒนธรรมจำปาศักดิ์ Vat Phou Associated Ancient Settlement within the Champasak Cultural Landscaoe 
              บริเวณโดยรอบวัดพูนี้ บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันงดงามของเอเชียตะวันออกเแียงใต้ ดดยเแพาะของอาณาจักขอมได้เป็นอย่างดี ซึ่งขอมเรืองอำนาจในภูมิภาคนี้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 -14 โดยเป็นตัวอย่างอันโดเด่นของการผสมผสานกันระหว่งความสำคัญทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่กับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ โดยแสดงออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างะรรมชาิกับมนุษย์ตามความเชื่อของศาสนาฮินดุ
            ต้นกำเนิดของสถานที่แห่งนี้มีมาก่อน พ.ศ. 1143 อย่างน้อยที่เมืองเชษฐาปุระซึ่งการวจัยทางโบราณคดีพบหลักฐานว่ามีมาก่อนยุคอังกอร์ อยางไรก็ดี การพัฒนาสถานที่แห่งนี้ดดยองค์รวมนั้นเป็ฯการผสมผสานเข้ากับของเดิม การะรื่องอำนาจขึ้นสู่จุดสูงสุดของอาณาจักรขอม ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 7-12
         กษัตริย์องค์ใหม่ๆ ซึ่งอสจมีสูนย์กลางวอยุ่ที่แขวงจำปาสัก ได้แผ่ขยายอำนาจการปกครองจากเมืองหลวงที่อสานปุระนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา จนกระทั่งแผ่อำนาจออกไปครอบคลุมไม่เพียงแต่ส่วนที่เป็ฯประเทศกัมพุชาในปจจุบันนี้เท่านั้ แต่ยังไปไกลถึงส่วนที่เป็ฯภาคอีสานส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ของประเทศไทยอีกด้วย กาปรับภูมิทัศน์บริเวณวัดพูให้งดงามนั้นเกิขึ้นในยุคนี้ ความสำคัญทางประวัติศาตรของวัดพุอยู่ที่บทบาทในการเป็นสูนย์กลางการปกครองและเป็นการแสดงออกถึงอิทธิพลจากอินเดียมากกว่าอิทธิพลจากจีน ดดยมีหลักฐานตามความเชื่อของศาสนาฮินดุที่เด่นชัด การพัฒนาภูมิทัศน์ทางวัฒธรรมของแขวงจำปาสักครั้งใหญ่ตรั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมือคริสต์ศตวรรษที่ 13 ก่อนที่อาณาจักขอมจะล่มสลายเพียงไม่นาน ต่อมาถูกดัดแปลงให้กลายเป็นวัดพุทธนิกายเถรวาท ซึ่งขัดแย้งกับจุดประสงค์ดั้งเิมที่สร้างขึ้นในสห้สวรรษแรก และยังคงเป็นศุนยกลางในการประกอบพิธีสัการบูชาของคนท้องถ่ินอยุ่ในปัจจุบันนี้..
            เมืองโบราณสมัยยุคก่อนอังกอร์บนริมฝั่งแม่น้ำโขงดุเหมือว่าจะถูกเปลี่ยนให้เป็นสูนย์ใจกลางเมืองโดยอีกเมืองหนึ่งที่อยุท่างตอนใจ้ของวัดพุซึ่งสร้างในสมัยอังกอร์ ถนนซึ่งมีอายุสมัยยุคกลางนำสู่ทิศใต้ ผ่านเหมืองแร่และอุตสากหกรรมอื่นๆ ซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากมายที่สร้างขึ้นในภูมิทัศน์ที่มีการวางแผนอย่างรอบคอบดดยวางแบบแปลนเพื่อแสดงออกถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่ผุ้สร้างวัดพูเคารพนับถือ บริเวณวัดซึ่งอยู่บรเวณเชิงเขา ทอดตัวยาวไปทั้งทางทิศตะวันออกและตะวันตกไปยัง้ำพุใสสะอาดบนโขดนิหซึ่งมีศาลตั้งอยุ่ เส้นแกนจากรูปศิวลึงค์ตามธรรมชาติบนยอมเขาพาดผ่านศาล ถูกใช้เป็นพื้นฐานในการวางแผนผังของวัด
         สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก)ได้ขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลก ของประเทศพม่าทั้งสิ้น 1 แหล่ง
         นครโบราณแห่งอาณาจักรพยู Pyu Ancient Cities 
         ปยู เป็นชนชาติหนึ่งตระกูลพม่า-ทิเบต ซึ่งเคยเป็นเจ้าของพื้นที่ในที่ราบลุ่มดินดอนสามเหลี่ยมปากน้ำอิระวดีช่วงพุทธศตวรรษที่ 6-14 กว่าร้อยปีก่อนคริสตกาล3 ค.ศ.840 )อยู่ในยุคเดียวกันกับกลุ่มรัฐยะไข่ ชาวปยูตั้งศูนย์กลางอยุ่ที่เมืองแปรและเรียกอาณาจักรตนเองว่า ศรีเกษตรซึ่งแปลว่า ดินแดนแห่งความโชคดี เมืองแปรเป็นศูนย์กลางการค้าในระยะเวลานั้น เพราะอยู่ไม่ห่างจากทะเลมากนัก เมืองสำคัญของนครรัฐปยู่คือเมืองเบกทาโนและเมืองฮาลินซึ่งอยุ่ทางตอนเหนือ

 อาณาจักรศรีเกษตร เป็นนครรัฐของชาวปยู โดยตั้งบ้านเมืองอยุ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองแปร ต่อมาชนชาติปยูได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และได้รับความเจริญทางอักษรศาสตร์จากอินเดีย ในยุคที่รุงเรืองถึงขีดสุดอาณาจักรนี้มอำนาจปกครองเกือบตลอดแหลมมลายู จน พ.ศ. 651 พวกมญทางใต้ ได้ยกทัพเข้ามารุกราน และอาณาจักรนี้ก็เร่ิมเสื่อมลงจนใน พ.ศ. 1375 อาณาจักรน่านเจ้า ก็ยกทัพลงมาทำลายลงโดยสิ้นเชิง หลังจากนั้นก็ตกอยู่ในอำนาจของชนชาติพม่า เมื่อพระเจ้าอโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณษจักรพุกามทรงแผ่พระราชอำนาจเข้ามาแทนที่
         นครโบราณแห่งปยู กำแพงและคูน้ำรอบเมืองที่เมือง หะลิน มองกะโม้ และศรีเกษตร ตั้งอยุ่ในบริเวณส่วนแห้งของลุ่มน้ำอิรวดี เมืองเหล่านี้สะท้อนให้เห็นอาณาจักรปยูที่เคยรุ่งเรืองนานกว่า 1,000 ปี ระหว่างยุค 200 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 900 เมืองทั้งสามเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ขุดค้นทางโลราณคดี โดยมีการค้นพบส่วนของป้อมปรากการราชวัง, ลานที่ถุกฝัง รวมถึงสถูปอิฐของดุทธศาสนา, กำแพงอิฐและระบบจัดการน้ำ ซึ่งบางส่วนยังใช้อยู่ กลุ่มเมืองโบราณได้รับลงทะเบียนเป้นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสสามัญเมื่อปี พ.ศ. 2557


                       - kanchanapisek.or.th/../อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
                       - www.th.wikipedia.org/../รายชื่อเเหล่งมรดกโลกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้..,หลวงพระบาง.., ปยู.., อาณาจักรปยู.
                       - www.tcijthai.com/../ย้อนภาพอดีต "ผืนป่าดงพญาเย็น" ทะเลโบราณล้านปีอันอุดมสมบูรณ์ ก่อนพลิกบ้านสัตว์ป่ามาเป็นชุมชน
                       - www.thailandworld.com/../วัดพู แขวงจำปาสัก ทางตอนใต้ของประเทศลาว
           
         

วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

World Heritage Site,Vietnam

            เวียดนาม เป็นประเทศในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ทาด้านตะวันออกสุดของคาบสมุรอินโดจีน มีพรมแดนติดกับประเทศจีนทางทิศเหนือ ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา ทางทิศตะวันตก และอ่าวตังเกี๋ย ทะเลจีนใต้ ทางทิสตะวันออกและใต้ หรือในภาษาเวียนามเรียกเฉพาะทะเลทางทิศตะวันออกว่า ทะเลตะวันออก เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 13 ของโลก
            หมู่โบราณสถานเมืองเว้ Complex of Hue Monument 
            เว้ เป็นเมืองเอกของจังหวัด เถื่อเทียน-เว้ ประเทศเวียดนามและเคยเป็นเมืองหลวงเก่าในสมัยราชวงศ์เหงียนช่วงปี พ.ศ. 2345-2488 มีชื่อเสียงจากโบราณสถานที่มีอยุ่ทั่วเมือง แต่เดิมนั้นเว้เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์เหงียน ซึ่งปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเวียดนามตอนใต้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17-19  เว้มีฐานะเป็ฯเมืองหลวงของประเทศจนึถงปี พ.ศ. 2488 เมื่อจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย แห่งเวียดนามทรางสละราชสมบัติ และมีการก่อตั้งรัฐบาลคอมมิวนิสต์ขึ้นที่ฮานอย ทางตอานเหือของเวียดนาม ต่อมาในปี พ.ศ. 2492 จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ทรงได้รับการช่วยเหลือจากชาวฝรั่งเศสในอาณานิคม และทรงก่อตั้งเมืองหลวงใหม่ คือ ไซ่องอ่น ทางใต้ของประเทศ
            ในช่วงสงครามเวียดนาม เว้อยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับอาณาเขตระหวางเวียดนามเหนือและเวียนามใต้ ดดยเว้อยู่ในอาณาเขตของเวียดนามใต้ ในปี พ.ศ. 2511 ตัวเมืองได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะโบราณสถานหลายแห่งมีระดมยิงและถูกระเบิดจากกองทัพอเมริกัน แม้หลังสงครามสงบลงแล้ว เหล่าโบราณสถานหลายแก่งที่ระดมยิงและถุกระเบิดจากกองทัีพอเมริกัน แม้หลังสงครามสงบลงแล้ว เหล่าโบราณสถานก็ยังไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ เนื่องจากถุกกลุ่มผุ้นำคอมมิวนิสต์และชขาวเวียดนามบางส่วนมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของระบอบศักดินาในอดีต แตะหลังจากนี้แนวคิดทางการเมืองได้เปลี่ยนแปลงไป ก็เร่ิมมีการบูรณะโบราณสถานบางส่วน เว้ได้รับการยืนยันจากองค์การยูเนสโก็ประกาศขึนทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2536 สิ่งเหล่านีเองที่เป็นมนต์เสน่ห์ดึงดุดนักท่องเที่ยวจากทั่วดลกให้มาเยี่ยมเยือนรเมืองมรดกโลกริมแม่น้ำหอมที่ไม่ได้สูญกายไปพร้อมกับกาลเวลาแห่งนี้
           สุสานจักรพรรดิตือดิ์ก อยู่ทางทิศตะวันตกเแียงใต้ของเมืองเว้ ตำหนัก 2 แห่งภายใต้อาคารไม้เก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบลูเคียม อันรายล้อมด้วยดอกบัวที่บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมไปทั่ว พระองค์ทรงใช้เวลาว่างในตำหนักแก่งนี้นิพนธ์บทกวีและพักผ่อนหย่อนใจด้วยการตกปลา ถัดมาที่ส่วนกลางวงของสุสานมีศิลาจารึกขนาดใหญ่ที่กล่าวถึงพระเกียรติคุณและเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นในรัชสมัย และอาคารทรงดรงขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นโรงละครสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ส่วนตัวสุสานของพระองค์นั้นอยุ่ด้านในสุด รายล้อมไปด้วยความร่มรื่นขอวทิวสน ต้นไม้ที่แสดงถึงความอมตะ เพราะมีต้นไม่เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่มีใบเขียวตลอดปี ชาวเวียดนามจึงนำไปเปรียบเทียบกับความเป็นอมตะขององค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหงี่ยน
          สุสานจักรพรรดิมินห์มาง ตั้งอยู่บริเวณปากน้ำตาตรักและหุรัค ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำหมอมาบรรจบกัน บริเวณหมุ่บ้านบานเวียด การก่อสร้างสุสานแห่งนี้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ.2383 หรือ 1 ปี ก่อนสิ้นพระชนม์ และสำเร็จลงโดยพระเจ้าเถี่ยวตรี รัชทายาทของพระองค์ในปี พ.ศ. 2386 เพระเจ้ามิงห์หมา่างเป็นพระโอรสองค์ที่ 4 ของพระเจ้ายอลอง และเป็นจักรพรรรดิองค์ที่ 2 ในราชวงศ์เหวียน พระองค์ทรงสร้างนครจักรพรรดิและได้รับการยอกย่องอย่างสูงจากการที่ทรงปฏิรูปขนบธรรมเนียมประเพณีและเกษตรกรรม พระองค์ทรงยึคดมั่นในแบบแผนการบริหารการปกครองตามแบบจีน โดยการให้หัวเมืองต่างๆ มาขึ้นตรงต่อราชสำนัก รวมทั้งนดยบายายต่อต้านฝรั่งเศสและปราบปรามพวกนอกศาสนาอย่างรุนแรง ซึ่งนโยบายนี้เองที่ทำให้เวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในเวลาต่อมา
           อ่าวหะล็อง Ha Long Bay อ่าวหะล็อง เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ยทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ใกล้ชายแดนติดต่อกับประเทศจีน มีพื้นที่ทั้งหมด 1,500 ตารางกิโลเมตรและมีชายฝั่งยาว 120 กิโลเมตร ชื่อตามการออกเสียงในภาษเวยดนามเขียนได้ว่า Vinh Ha Long กมายถึง อ่าวแห่งมังกรผุ้ดำดิ่ง
           ในอ่าวหะล็องมีเกาะหินปูนจำนวน 1,969 เกาะโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวทะเล บนยอมของแต่ละเกาะมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นหายเกาะมีถำ้ขนาดใหญ่อยู่ภายใน ถำ้ที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าวคือ ถ้ำเสกไม้ หรือชื่อเดิมว่า "กร็อตเดแมร์แวย์" ซึ่งตั้งชื่อโดยนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่ม่เยี่ยมชมอ่าวเมืองปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภายในถ่ำประกอบไปด้วยโพรงกว้าง 3 โพรง มีหินงอกและหินย้อยขนาดใหญ่อยู่จำนวนมาก เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าว 2 เกาะ คือ เกาะกั็ตบ่า และเกาะต่วนเจิว ทั้งสองเกาะนี้มีคนตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างถาวร บนเกาะมีโรงแรมและชายหาดจำนวนมาดคอยให้บริการนักท่องเที่ยว ส่วนเกาะขนาดเล็กอื่นๆ บางเกาะก็มีโรงแรมและชายหาดจำนวนมากคอยให้บริการนักท่องเที่ยว ส่วนเกาะขนาดเล็กอื่นๆ บางเกาะมีโรงแรมและชายหาดจำนนมากคอยให้บริการนักท่องเที่ยว ส่วนเกาะขนาดเล็กอื่นๆ บางเกาะมีชายหาดที่สวยงสามที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชม
        ตามตำนานพื้นบ้าน กล่าวไว้ว่าในอดีต ระหว่างที่ชาวเวียดนามกำลังต่อสู้กับกองทัพชาวีนผู้รุกราน เทพเจ้าได้ส่งกองทัพมังกรลงมาช่วยปกป้องแผ่นดินเวียดนาม มังกรเหล่าน้ได้ดำดิ่งลงสู่ท้องทะเลบริเวณที่เป็นอ่าวหะล็องในปัจจุบัน ทำให้มีอัญมณีและหยกพุ่งกระเด็นออก อัญมณีเหล่านี้กลายเป็นเกาะแก่งน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วอ่าย เป็นเกราะป้องกันผุ้รุกราน ทำให้ชาวเวียดนามปกป้องแผ่นดินของพวกเขาได้สำเร็จและก่อตั้งประเทศซึ่งต่อมาก็คือเวียดนามในปัจจุบัน บางตำนานสมัยใหม่ก็กล่าวไว้ว่า ปัจจุบันมีสัตว์ในตำนานอาศัยอยู่ที่ก้นอ่าว
         เมืองโบราณ ฮอยอัน "แบ๊คแพ๊คไป ฮอยอัน ..." Caledonnia, 22 ตุลาคม 2555
         ..ความรู้สึกตอนนี้คือ หลงทาง เดินไปเรื่องๆ พลางถามทางไปด้วย เพื่อหาโรงแรมราคาถูก เดินมา 1 ชม. กว่า เข้าดรงแรมนุ้นออกโรงแรมนี้ บางที่ 20 เหรียญเราก็ไม่เอาเพราะแพง ต้องการ 10-15 เหรียญเท่านั้น จนได้มาพบกับโรงแรมเก่าๆ โทรมๆ เป็นราคามา 15 เหรียญเอาเลยๆ ไม่ไหวที่จะเดินหาแล้ว...ห้องพักไม่ได้แย่อะไร มีแอ่ร์ น้ำอุน wifi อยูได้สบายแฮะ..มีอ่างให้แช่ด้ย..ได้เวลาออกทัวร์รอบเมืองและหาอาหารให้กระเพาะแล้ว ขั้นแรกขอแผนที่เมืองจาก รีเซ็ปชั้นโรงแรมก่อนเค้าก็แนะนำนู่นนี่ ใกล้กับโรงแรมมีคุณยายเป็นให้เช่าจักรยามันละ 1 เหรียญ คุณยายใจดีช่างพูดช่างคุยยิ้มแย้มมาก..เริ่มหาร้านอาหาร Trung bac เป็นร้านที่คนไทยหลายคนบอกว่าอร่อย เราเลยตามมาพิสูจน์
         ก่อนอื่นแวะซื้อตั๋วก่อน สำหรับเข้าสถานที่สำคัญ เช่น วัด บ้านเก่า ชมการแสดง หลายๆ อย่างในเมือง ตั๋วใบนึ่งสามารถเข้าได้ 5 สถานที่ ซึ่งในฮอยอันมีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมประมาณ 20 หว่าๆ เลือกเอาได้แลยว่าจะไปไหน ราคาก็ 5 เหรียญ ตื่นเต้นๆ (เจอร้านอาหารเป็นที่เรียบร้อย)
         .. รู้ตัวอีทีแสงอาทิตย์อันร้อนแรงก็ค่อยหายไป แสงไฟจากโคมตามร้านค้าต่างๆ เริ่ม่องสว่าง จุดตรงนี้คือจุดที่เรือประมงมาจอดพักไว้ เป็นช่วงน้ำกร่อย มีช่องน้ำที่สามารถออกทะเลได้ แสงโดคมนับร้อยหลากสีสันต่างอวดแสงแข่งกัน เมืองตอนเย็นๆ เริ่มคึกคักนักท่องเที่ยวออกมา เดินเล่นเพราะว่าอากาศเริ่มจะเย็น ฉัยงังพยายามจะตบหน้าตัวเอง ภาพที่อยุตรงหน้ามันสวยเกินที่ฝันไว้ ฉันก็ไม่ได้คิดว่าฮอยอันจะสวยขนาดนี้..
         สถานที่ศักดิ์สิทธิ์หมีเซิน My son Sanctury เป็นโบราณสถานในจังกวัดกว๋างนาม ภาคกลางของประเทศเวียดนาม สร้างด้วยศิลปะจามโบราณในสมัยศตวรรษที่ 4 เพื่อใช้เป็นศาสนสถานสำหรับบูชาพระศิวะ ตามความเชื่อในศาสนาฮินดู ได้จัดให้เป็นแหล่งรดกโลกโดยองค์การยู่เนสโก หมีเซินเคยเป็นนครศักิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญอันดับต้นๆ ของอาณาจักรจามปาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 -ศตวรรษที่ 15 ด้วยระยะเวลากว่า 900 ปี ทำให้โบราณสถานแห่งนี้เป็นที่รวบรวมลักษณะทางด้านศิลปกรรมที่หลากหลาย จัดเป็นกลุ่มโบราณสถานในศาสนาฮินดูที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดในอินโดจีนกลุ่มแราสาทหม่เซินตั้งอุ่บริเวณที่รอบต่ำ มีภุเชาโอบล้อม เนื้อทที่ประมาณ 2 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยปราสาททั้งหมด 73 หลังแต่ในช่วงสงครามเวียดนาม ทหารเวียดนามได้ใช้ปราสาทหมีเซินเป็นกองบัญชาการ ฝ่ายอเมริกันจึงได้นำเครื่องบินทิ้งระเบิดบริเวณนี้ โบราณสถานจำนวนมากถูกทำลายทำให้ปัจจุบันเหลือปราสาทเพียง 22 หลัง
            อุทยานแห่งชาติฟ็องญา-แก๋บ่าง Phong Nha-Ke Bang Nation Park อยู่น่างจากนครโด่งเหน ไปทางทิศเหนือราว50 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 200,000 เฮกเตอร์ อยู่ในเขตจังหวัดกว่างบินห์ ซึ่งเป็นจังหวัดอยุ่ในพื้นที่ของภาคกลางอุทยานแห่งชาติฟองยา มีพื้นที่ทั้งที่อยุ่ในประเทศเวียดนาม และส่วนที่อยู่ในประเทศลาวอีกด้วย ดดยรวมแล้ว จะมีเนื้อที่กว้างถึง400,000 เฮกเตอร์อุทยานแห่งชติฟองยา เป็นเขตป่าและภูเขาเนินหินปูนที่มีอายุประมาณ 400 ล้านหว่าปี ถือว่าเก่าแก่ที่สุดในทวีปเอเชีย พื้ทีป่าไม้ในอุทยานกว่า เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ คือป่าะรรมชาติ และเนื่องจากเป็นเขตของภูเขาหินปูนนี้เง อง จึงได้ทำให้มีอุโมงและถ้ำจำนวนหลายแหล่งและมีความสวยงามไปตามแนวของภูเขา จากการสำรวจของระหว่างสมาคมภูมิภาคประเทศแห่งสหราชอาณาจักรกับภาควิชาภูมิประเทศและธรณีจากมหาวทิยาลัยแห่งชาติ เวียดนาม ปรากฎว่า ในบริเวณภูเขาเนินหินปูนนั้นแก๋บ่าง นั้นมีทั้งถ้ำลอดขงอแม่น้ำชอน โดยมีความยาวถึง 13,939 เมตรและมีทั้งโถงต่างๆ ที่มีความสูงเฉลี่ยจากพื้นจรดเพดามถ้ำ 10-14 เมตร
มากกว่า 10 แก่งอีกด้วย เฉพาะส่วนถ้ำฟองยาที่ซึ่งขณะนั้สามารถสำรวจได้นั้นก็มีความยาว ราว 7,700 เมตร และมีการประมาณว่าความยาวของถ้ำที่มีทั้งหมดในอุทยานฯ แห่งนี้รวมแล้วก็ไม่ต่ำกว่า 44 กิโลเมตร
          ฟองญ่า เป็นถ้ำที่ได้รับการยกย่องว่ามีความเป็นที่สุด ทั้งนี้ ได้แก่ ถ้ำอยุ่ในน้ำยาวที่สุ มีปากถ้ำกว่างและสูงที่สุด มีเนินทรายและหินใต้น้ำสวยที่สุด มีทะเลสาบน้ำจือดในถ้ำสวยที่สุด มีหินวอกหินย้อยรูปทรงต่างๆ สวยงานพิศดารสุดจะพรรณา มีลำน้ำลอดภูเขายาวที่สุด และถ้อมีทั้งปก้ง ทั้งกว้างและส่วยที่สุด
          การเที่ยวชม ฟองญ่า-แก๋บ่าง จะเป็นการนั่งเรือไปเรื่อยๆ ซึ่งนอกจากเที่ยวชมวิวทิวทัศน์แล้วยังสามารถสัมผัสกับชีวิต กับวัฒนธรรมของชาวเขา ราษฎรชาวเวียดนาม ซึงจะมีทั้งเผ่าแซจ เผ่าหรุก เปาอาแรม และเผ่ามะเหลี่ยง ทั้งนี้ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 บาทหลวงชาวฝรั่งเศสได้ทำการสำรวจ เป้ฯครั้งแรกและก็ได้พบเจอเอกสารที่ชาวจามได้แกะสลักเป็นภาษาจามไว้ในถ้ำ และเขาได้กล่าวด้วยว่าเป็น "ถ้ำสวยที่สุดในอินโดจีน"
             
พระราชวังจักรพรรดิแห่งทังล็อง-ฮานอย Central Sector of Imperial Citadel of Thang LongHanoi ตั้งอยู่ในกรุงฮานอย ประเทศเวียดนามเป็นพระราชวังเก่าแก่อายุกว่า 1.000 ปี สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หลีเหวีด(ก่อนกรุงสุโขทัยราว 200 ปี) เพื่อประกาศเอกราชอาณาจักรดายเหวียด ชื่อของอาณาจักเวียดนามโบราณ ทั้งหมดสร้างขึ้นทับป้อมปราการเก่าของจีนตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 7 ที่เคยเป็นศูนย์กลางการปกครองและการทหารติดต่อกันนาน 13 ศตวรรษ ลักษณะรูปแบบการก่อสร้างเหมือนป้อมปราการของจีนในสมัยศตวรรษที่ 7 ซึ่งประราชวังทังลอง สร้างบนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง ในช่วงที่เวียดนามปกครองด้วยกษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองของประเทศ
           ปัจจุบันทางการเวียดนามอนุญาตให้เข้าชมเขตโบราณสถานที่เป็นพระราชวังเก่า ในเขตปราการฮานอยอย่างจำกัด เนื่องจากยังมีการขุดค้นทางโบราณคดีอยุ่ภายในนั้น
           ป้อมปราการของราชวงศ์โฮ Citadel of the Ho Dynasty เป็นกำแพงระราชวังหลวงสมัยราชวงศ์โฮ (พ.ศ. 1940-1950) ปราสาทเต็ยโด มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความยาวเหนือจรดใต้เท่ากับ 870.5 เมตร ตะวันออกจรดตะวันตกเท่ากับ 883.5 แมตร มีประตูสี่ด้าน ประตูหน้าคือประตูด้านทิสใต้ มีความสูง 9.5 เมตรและกว้าง15.17 เมตร อีกสามประตูอย่ทางทิศเหนือ ตะวันออก และตะวัตก ตัวปราสาทสร้างขึ้นจาก้อนหิน ซึ่งแต่ละก้อนมีขนาดประมาณ  2 ม.คูน 1ม. คูน 0.70ม. นอกจากประตูแล้ว ตัวปราสาทเกือบทั้งหมดได้พังทลายไปแล้ว
           ป้อมปราการราชวงศ์โฮสร้างโดยจักรพรรดิโฮ่กุ๋ยลี ครั้งเป็นที่ปรึกษาจักรพรรดิราชวงศ์เจิ่น เวลานั้นเมืองหลวงของเวียดนามอยุ่ที่ ทังล็อก แต่ภูมิประเทศเป็นที่ราบเปิดกล้างต้อนรับศึกสงครามจากจีนเป็นระยะ โฮ่กุ๋ยหลีจึงเสนอโครงสร้างพระนครแห่งใหม่ไว้ป้องกันขอช้อศึกนอกประเทศ เมื่อสร้างเสร็จจึงเรียกว่า พระราชวังตะวันตก ส่วนพระราชวังทังล็อกเลี่ยปชื่อเป็นพระราชวังตะวันออก ระหว่างที่วังหลวงก่อสร้างโฮ่กุ๋ยไดทำการชิงอำนาจ สถาปนาราชวงศ์ใหม่ทิ้งทังล็องเป็นอดีตราชธานี
         ราชวงศ์โฮครองราชได้เพียง 7 ปี ก็ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของจีนอีกคร้ง ผู้คนและทรัพย์สินโดยเฉพาะหนังสือ เอกสารสำคัญ ถุกกว่าดต้อนรวบรวมไปยังราชสำนักหมิง อดีตจักพรรดิทั้งสองต้องใช้แรงงานในต่างแดนจนส้ินใจ...
              แหล่งภฺมิทัศน์จ่างอาน Trang An Landscape Complex อยู่ใกล้ๆ กับเมืองนิญบิ่ญ จังหวัดนิญบิ่ญ บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง รายล้อมไปด้วยภูมิทัศน์อันงดงานของยอดเขาหินปูน รวมไปถึงแม่น้ำหลายสายที่ไหลลัดเลาะไปมา และบางส่วนก็จมอยู่ใต้น้ำนอกจากนี้จ่างอาน ยังงถูกล้อมรอบด้วยผาสูงชัน จึงทำให้สถานที่แห่งนี้งดงามน่าเที่ยวเป็นอย่างมาก
 จากความสวยงามทางด้านภูมิทัศน์แล้วนั้น จ่างอานยังมีร่องรอยทางโบราณคดีที่เผยให้เก็นการตั้งถินฐานของมนุษย์สมัยโบราณ ทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ การชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงามในจ่างอานนั้น คือ การล่องเรือเล็กประมาณลำละ 4-5 คน เพื่อเข้าไปเยี่ยมชมจ่างอาน เรือแจวก็จะพาเราไปเยี่ยมชมวัด หลังจากนั้นก็จะพาเราไปลอดถ้ำ มีทั้งหมด 49 ถ้ำ ซึ่งแตละถ้ำจะมีชื่อแตกต่างกันไปจะใช้ เวลาล่องเรือไปกลับร่วมสองชั่วโมงเลยที่เดียว
            จ่างอานได้ชื่อว่าเป็นจุดหมายปลายทางท่องเทียวที่สำคัญแห่งหนึ่งในเวียดนาม และจ่างอานยังได้รับการยอย่องให้เป็น ฮาลองบก เนื่องจากมีเขาหินปูนและถ้ำคล้ายกับที่อ่าวฮาลอง จังหวัดกว่างนิงห์อีกด้วย ที่สำคัญคือระบบนิเวศ ของจ่างอานก็หลากหลายมีพันู์พืชหายากและสัตว์ป่าสงวนอาศัยอยู่ เป้นจำนวนมาก ในบริเวณเขตท่องเทียว จ่างอานยังมีโบราณสถานระดับชาติที่สวยงานแ่ห่งหนึ่ง ด้วยนั้นคือ วัดบ๋ายดิ่ง วัดที่ใหญ่และสวยที่สุดของเวียดนามนั่นเอง



                  - www.th.wikipedia.org/../รายชื่อแหล่งมรดกโลกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
                  - www.vntoyou.com/phongya.html
                  - www.manager.co.th/../ไปดู..พระราชวังเก่าทังลอง มรดกโลก1,000 ปี
                  - www.thaigoodview.com/../ป้อมปราการของราชวงศ์โฮ เวียดนาม
                  - travel.thaiza.com/../แหล่งภูมิทัศน์จ่างอาน Trang An สวรรค์บนดินที่ต้องมาเยือน

วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2560

ASAIN Heritage, World Heritage Site

             มรดกโลก คือสถานที่อันได้แก่ ป่าไม้ ภูเขา ทะเลสาบ ทะเลทราย อนุสาวรีย์สิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมไปถึงเมือง ซึ่งคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโก ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2515 เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงคุณค่าของสิ่งที่มนุษยชาติ หรือธรรมชาติได้สร้างขึ้นมา และควรจะปกป้องสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร เพื่อให้ได้ตกทอดไปถึงอนาคต
             ปัจจุบัน มีมรกดโลกทังหมด 1049 แห่งใน 165 ประเทศทั่วโลก ซึ่งแบ่งเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม 814 แห่ง มรดกโลกทางธรรมชาติ 202 แห่งแฃะอีก 33 แห่งเป็นแบบผสมทั้งสองประเภท มรดกโลกแต่ละแห่งเป็นทรัพย์สินของประเทศที่เป็นเจ้าของอินแดนที่มรดกโลกตั้งอยุ่ แต่ได้ถูกพิจารณาให้เป็นผลประโยชน์ของประชาคมระหว่างประเทศในการอนุรักษ์มรดกโลกแห่งนั้น
             หลักเกณฑ์ทางวัฒนธรรม เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นทางวัฒนธรรมมนุษย์ ขบนธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม วิธีการก่อสร้าง หรือการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งเสื่อมสลายได้ง่ายจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตามกาลเวลา
             หลักเกณฑ์ทางธรรมชาติ เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของการเป็นตัวแทนใวิวัฒนาการสำคัญต่างๆ ในอดีตของโลก เช่น ยุคสัตว์เลื้อยคลาน ยุคน้ำแข็ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาความหลากหลายทางธรรมชาติบนพื้นโลก
             เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดในการเป็นตัวแทนของขบวนการเปลี่ยนแปลงที่สำคํญทางธราณีวิทยาหรือวิวัฒนาการทางชีววิทยา และปฏิสัมพันะ์ของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่เกำลังเกิดอยู่ เชน ภูเขาไผ เกษตรกรรมขั้นบันได
             มรดกโลกในอาเซียน การประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้ง 39 ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน - 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ณ กรุงบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งได้มีการประกาศมรดกโลกแห่งใหม่เพิ่มเติมนี้ ในจำนวนประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศนั้น มีสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียบเป็นมรดกโลกทั้งทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ จำนวน 37 แห่งใน 9 ประเทศ เว้นบรูไนประเทศเดียว
            ประกอบด้วย
เวียดนาม 8 แห่ง ได้แก่
มรดกโลกทางวัฒนธรรม
            - หมู่โบราณสถาน เมืองเว้ Complex of Monuments
            - เมืองโบราณฮายอัน Hoi An Ancient Town
            - สถานศักดิ์สิทธิหมีเซิน My Son Sanctuary
            - พระราชวังจักรพรรดิแห่งทังลอง-ฮานอย Central Sector of the Imperial Citadel of Thang Long-Hanoi
            - ป้อมปราการราชวงศ์โฮ Citadel of the Ho Dynasty
มรดกโลกทางธรรมชาติ
             - อ่าวฮาลอง Ha Long Bay
             - อุทยานแห่งชาติฟง งา-เค บัง Phong Nha-Ke Bang National Park
มรดกโลกแบบผสม (วัฒนธรรมและธรรมชาติ)
             - แหล่งภูมิทัศน์จ่างอาน Trang An Landscape Complex
อินโดนีเซีย 8 แห่ง ได้แก่
มรดกโลกทางวัฒนธรรม
              - บูโรบูดูร์ Borobudur หรือ กลุ่มวัดบุโรพุทโธ Borobudur Temple Compounds
              - ปรัมบานัน Prambanan หรือ กลุ่มวันพรัมบานั้น Prambanan Temple Compounds
              - แหล่งมนุษย์ยุคเริ่มแรกซังงีรัน Sangiran Early Man Site
              - ภูมิทัศน์วัฒนธรรมเขตบาหลี : ระบบสุบักหลักการตามปรัชญาไตรนิคตรณะ Cultural Landscape of Bali Province : the Subak as a Manifestation of the Tri Hita Karana Philosophy
มรดกโลกทางธรรมชาติ    
               - อุทยานแห่งชาติอูจุงกูลอน Ujung Kulon National Park
               -  อุทยานแห่งชาติโคโมโด Kodomo National Park
               -  อุทยานแห่งชาติลอเรนซ์ Lorentz National Park
               -  มรดกป่าฝนเขตร้อนของเกาะสุมาตรา Tropical Rainforest Heritage of Sumata
ฟิลิปปินส์ 6 แห่ง ได้แก่
มรดกโลกทางวัฒนธรรม
               - นครประวัติศาสตร์วีกัน Historic Town of Vigan
               - โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์ Baroque Churches of the Philipine
               - นาขั้นบันไดแห่งเทือกเขาฟิลิปปินส์ Rice Terraces of the Philipine Cordilleras
 มรดกทางธรรมชาติ
               - อุทยานแห่งชาติแม่น้ำใต้ดินปวยร์โต-ปรินเซซา Puerto-Princesa Subterranean River Nation Park
               - อุทยานปะการับทางทะเลทุบบาตาฮะ Tubbataha Reefs Natural Park
               - เขตสงวนพันธู์สัตว์ป่าภูเขาฮามิกีตัน Mount Hamigutan Range Wildlife Sanctuary
ไทย 5 แห่ง ได้แก่
 มรดกทางวัฒนธรรม
               - แหล่งโปบราณคดีบ้านเชียง Ban Chiang Archaeological Site
               - นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุะยาและเมืองบริวาร Historic City of Ayuttaya
               - เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร Historic Town of Sukhothai and Associated
มรดกทางธรรมชาติ
               - ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ Dong Phayayen-Khoa Yai Forest Complex
               - เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้. Thungyai-Huai Kha Khaeng Wildlife Sanctuaries
มาเลเซีย 4 แห่ง ได้แก่
มรดกทางวัฒนธรรม
               - มะละการและจอร์จทาวน์ นครประวัติศาสตร์บนช่องแคบมะละกา Malaka and George Town,Historic Cities of the Straits of Malacca
               - แหล่งโบราณคดีหุบเขาเล็งกอง Archaeological Heritage of the Lenggong Valley
 มรดกโลกทางธรรมชาติ
               - อุทยานคินาบาลู Kinabalu Park
               - อุทยานแห่งชาติกูนุงมูลู Gunung Malu Nation Park
สาธราณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 2 แห่ง ได้แก่
มรดกโลกทางวัฒนธรรม
               - เมืองหลวงพระบาง Town of Luang Prabang
               - ปราสาทหินวัดพูและสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงในแขวงจำปาสัก Vat Phou and Associated Ancient Settlement within the Champasak cultural Landscape
กัมพูชา 2 แห่ง ได้แก่
มรดกโลกทางวัฒนธรรม
              - แองกอร์ หรือ เมืองพระนคร Angkor
              - ปราสาทพระวิหาร Temple ofpreah Vihear
สิงคโปร์ 1 แห่ง ได้แก่
มรดกโลกทางวัฒนธรรม
              - สวยพฤกษศาสตร์แห่งชาติสิงคโปร์
พม่า 1 แห่ง ได้แก่
 มรดกโลกทางวัฒนธรรม
             - กลุ่มเมืองโบราณ อาณาจักรพยู Pyu Ancient Cities

              
                          - www. terrabkk.com/..,37 มรดกโลก เที่ยวกันทั่วอาเซียน
                          - www. th.wikipedia.org..,มรดกโลก.., รายชื่อแหล่งมรดกโลกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
               




วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2560

Ethnicity of Asain

              ชาติพันธ์ คือกลุ่มคนที่มีจุดกำเนิดของบรรพบุรุษร่วมกัน มีขนบธรรมเนียมประเพฯีเป็นแบบแผนเดียวกัน รวมถึงมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม เชื้อชาติและสญชาติสอดคล้องกัน สำหรับผุ้คนที่อยู่ในกลุ่มชาติพันธ์เดียวกัน มักมีความรู้สึกผูกพันทางสายเลือดและทางวัฒนธรรมพร้อมๆ กันไป โดยเป็นความรู้สึกผูกพันที่ช่วยเสริมสร้างอัตลักษณ์ของบุคคลและของชาติพันธ์ุและในขณะเดียวกัน ก็สามารถเร้าอารมณ์ความรู้สึกให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิง ถ้าผุ้ที่อยู่ในกลุ่มชาติพันธ์ุนั้นนับถือศาสนาเดียวกัน หรือได้รับอิทธิพลจากกระบวนการกล่มเกลาทางสังคมแบบเดียวกัน
             ชาติพันธ์ คือ สิ่งที่แสดงถึงพื้นฐานความเป็ฯมนุษย์ในแต่ละเช้อชาติและแสดงถึงวิวัฒนาะการของระบบสังคมการเมือง โดยในแต่ละภูมิภาคมักประกอบไปด้วยกลุ่มคนหลากหลายเผ่านพันธุ์ โดยแต่ละเชื้อชาติก็จะมีวัฒนธรรมและประเพณีที่สวยงามเป็ฯของตนเอง ซ่ึ่งจัดว่าเป็นสีสันทางชาติพันธุ์ของมนุษย์อย่างหนึ่งและเป็นความงดงามของสัคมโลกที่ประกอบไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย
            อุษาคเนย์ หระ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดเป็นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ทางอารยธรรมและชาติพันธุ์วรรณนา ดดยหากพัิจารณาความแตกต่างทางภาษา อาจจัดแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ออกเป็นกลุ่มหลัก ได้แก่
         
- กลุ่มตระกูลมอญ-เขมร หรือ ออสโตรเอเชียติก เช่น มอญ เขมร ลัวะ ข่า ม้อย ฯลฯ
            - กลุ่มตระกูลชวา-มลายู หรือออสโตรเนเซียน/มาลาโยโพลินิเซียน อาทิ ชวา มลายู จาม มอแกน ซาไก ฯลฯ
            - กลุ่มตระกูลไทย-ลาว เช่น ไทย ลาว จ้วง หลี อาหม ฯ ลฯ
            - กลุ่มตระกูลจีน-ทิเบต อาทิ พม่า กระเหรี่ยง อะข่า ปะด่อ ฯลฯ
            - กลุ่มตระกุลม้ง-เมี่ยน เช่น แม้ว เย้า ฯลฯ
            ขณะเดียวกันหากแบ่งตามตามการนับถือศาสนา กลุ่มชาติพันธุ์ในเอเชียอาคเนย์ก็มักมักประกอบด้วย
             - กลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธ เช่น ไทย พม่า ลาว เขมร ฯลฯ
             - กลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลาม เช่น ชวา มลายู จาม โรฮิงยา ฯลฯ
             - กลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์ เช่น ฟิลิปปินส์ คะฉิ่น ติมอร์ ฯลฯ และ
             - กลุ่มนับถือภูต ผี ท้องถ่ิน เช่น อะข่า ขมุ มูเซอ ลีซอ ฯลฯ
             ในอีกแง่มุน หากพิจารณาตามรูปแบบการตั้งถ่ินฐาน ก็อาจแหบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ออกเป็น "ชนกลุ่มใหญ่" ซึ่งมักอาศัยอยุ่ในเขตที่รอบและหุบเขา กับ "ชนกลุ่มน้อย" ซึ่งมักอาศัยอยุ่ในเขตภูเขาและมี่สูงชัน ดดยแต่ละกลุ่มล้วนมีวิวัฒนาการและระดับการพัฒนาที่หลากหลายพอๆ กัน เช่น ชนที่ราบอย่างชาวพม่า ชาวเขมรและชาวเวียดนาม มักมีความชำนาญในการ ปลูกข้าว รวมถึงมีรากฐานอารยธรรมที่อิงแอบอยู่กับโครงข่ายชลประทานและระบบสังคมกสิกรรม
ในขณะที่ ชนภุเขาอย่างชาวลีซอ ชาวลาหู่และชาวอะขา มักดำรงชีวิตด้วยการเพาะปลูกแบบเร่ร่อน โดยเน้นการล่าสัตว์ เก็บของป่าและทำไร่เลือนลอย แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งชนที่ราบและชนภูเขา ต่างมีปฏิสัมพันธ์ทางการเมือง การค้า  ภาษาและวัฒนธรรม ไม่มากก็น้อย ซึ่งจัดเป็นแบบแผนทางวัฒนธรรมที่พบเห็นได้ทั่วไปโดยเฉพาะอยา่งยิงในเขตเอชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป
              นอกจากนี้น หากวิเคราห์ตามหลักรัฐศาสตร์ ก็อาจจัแบ่งกลุ่ทชนออกเป็น "ชนกลุ่มใหญ่" และ"ชนกลุ่มน้อย" ได้เช่นกัน โดยในแต่ละรัฐ มักมีกลุ่มชาติพันธุหลากหลายกลุ่มอาศัยอยุ่ในประเทศเดียวกันโดยกลุ่มชาติพันู์ที่มีอำนาจในการปกครองประเทศ มักถือว่าเป็นชนกลุ่มใหญ่ ส่วนหลุ่มชาติพันู์ที่ไม่มีอำนาจในการปกอครงอประเทศ มักเรียกขานกันว่าชนกลุ่มน้อย เช่น ปะเทศพม่าซึ่งประกอบด้วยชาวพม่าที่เป็นปมู่มากภายในประเทศ และชนเผ่าต่างๆ เช่น กะเหรี่ยง คะฉิ่น มอญ ไทใหญ่ คะยาห์ ฯลฯ ซึ่งถือเป็นชนกลุ่มน้อยที่ยังขาดอำนาจในการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น
             Ernst B.Hass ให้ทรรศนะว่า ความสำเร็จของการรวมตัวระหว่างประเทศ ควรประกอบด้วยเงื่อนไขสำคัญ 4 ประการ ได้แก่
              ความสอดคล้องกันในเรื่องค่านิยมพื้นฐานทางสังคม
              โอกาสและความสามารถในการต่อรองเรื่องผลประดยชน์ระหว่างหน่วยการเมืองต่างๆ
              เครือข่ายการติดต่อสื่อสารภายในชุมชนนั้นๆ และ
              ลักษณะความเป็นพหุนิยมของสังคม
         
  Philip E.Jacop& Henry Teune อธิบายถึงปัจจัยบางประการที่มีอทธิพลต่อการรวมตัวกันใรรูปแบบประชาคมระหว่างผระเทศ ซึ่งมักประกอบด้วย
               ความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ เพื่อความสะดวกในการไปมาหาสู่และกระชับความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ
               ประชากรในชาติที่จะรวมตัวกนเป็นประชาคมควรมีเชื้อสายหรือเผ่าพันู์เดียวกัน หรืออย่างน้อยที่สุดก็คล้ายคลึงกัน
 กลุ่มที่จะรวมตัวกันควรมีแบบแผนการปฏิบัต ประสบการณ์ จุดมุ่งหมายและคงามเข้าใจร่วมกนเพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้กับประชาคม และ
                สภานภาพของประชคมที่จะตั้งขึ้นควรมีความเป็นกลาง และไม่ผูกพันหรือพึงพาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมากเกินไป
                 จากการสำรวจข้อคิดเห็นของนักทฤษฎีโดยสังเขป อาจกล่าวได้ว่า การ้อยรัดประชาชาิตเข้าเป็นประชคมเดียวกันอย่างแนบแน่น ควรมีการเสาะหารูปแบบวัฒนธรรมร่วมประจำกลุ่มพร้อมกับปรับเทคนิคความร่วมมือเพื่อขัดแต่างให้รัฐและผุ้คนที่หลากหลายต่างมความเข้าใจและเห็ฯอกเห็นใจซึ่งกันและกันโดยในกรณีของอาเซียนั้น หากสมาชิกสามารถโน้มน้าวให้ชนกลุ่มใหญ่และชนกลุ่มน้อยมีความต้องการที่จะอยุ่ร่วมกันอย่างสันตุภายในประชาคมเดียวกัน โดยมีความภักดีและเคารพนอบน้อมต่อประชคมนั้นๆ แต่ก็ยังมีโอกาสรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนได้พอสมควรความสำเร็จในการบูรณาการอาจเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งก็ต้องทำควบคู่กันไปทั้งในลักษณะของความเป็นประชาคมแห่งรัฐและประชาคมแห่งภูมิภาค ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่ชนชาติต่างๆ ในอินโดนีเซีย ต่างอยู่ายใต้ประชาคมการเมืองเดี่ยวกัน ดดยมีธงชาติ เพลงชาติและอุดมการณ์แห่งชาติร่วมกัน แต่ชนชาติต่างๆ นั้นยังคงรักษาวัฒนธรรมย่อย ของตนเอาไว้ เช่น ประเพณีแบบฮินดูของชาวบาหลี หรืป ประเพณีแบบเมลานีเซียนของขาวอิเรียนจาร์ยา


             - ความหลากหลายทางชาติพันธุ์กับการอยู่ร่วมกันเป็นประชาคมอาเชียน, ดุลยภาค ปรชารัชช

วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2560

Nationalism : South East Asia

            เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นคำใหม่ที่มีความหมายรวมถึงดินแดนจากทางใต้และทางตะวันออกของเขตแดนระหว่างอินเดีย และจีน ไปถึงเวียดนามเหนือและใต้ กัมพูชา ลาว ไทย พท่า มาเลิซีย สิงคโปร์ บรูไน อินโดนีเซีย ติมอร์ของโปรตุเกส และฟิลิปปินส์ ประเทศเหล่านี้มีเนื้อที่รวมกันถึง 1.5 ล้านตารางไมล์ และมีประชากรกว่า 220 ล้านคน เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรอาศยอยู่ตามเกาะต่างๆ 3,000 เกาะของอินโดนีเซีย นักเขียนชาวฮอลันดาในศตวรรษที่สิบเก้าได้เขียนเปรีบเทียบหมู่เกาะอินโดนีเซียรวมทั้งหมู่เกาะอี 7,000 เกาะของฟิลิปปินส์ และรัฐบอร์เหนียวในมาเลเซยว่าเป็นเสมือนสายมรกภพาดรอบเส้นศูนย์สูตร หมู่เกาะต่างๆ เหล่านี้เป็นโลกอันกว้างใหญ่ที่แยกจากแผ่นดินใหญ่จากจุดที่ใกล้ที่สุด คือ ช่องแคบมะละกาและสิงคโปร์ และจุดที่ไกลที่สุดคือทะเลจีนใต้อันกว่างใหญ่
            สำหรับแผ่นดินใหญ่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ในด้านภูมิศาสตร์ได้แยกออกจาส่วนอื่นของทวีปเอเชีย โดยมีทิวเขายาวเหยีดพากกั้นจากเทือกเขาหิมาลัยไปทางตะวันออกจนถึงตอนใต้ของจีน ทงด้านใต้ของเทือกเขานี้เป็นทิวเขาที่ค่อนข้างเรียบของแผ่นดินใหญ่เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในทิศทางจากเหนือลงใต้ ต่างกับเทือกเขาในหมู่เกาะที่พาดจากตะวันตกไปตะวันออกเทือกเขาที่พาดจากเหนือลงใต้ในแผ่นดินใหญ่นั้นจะเห็นได้ชัดจากเส้นทางของแม่น้ำสายยาวๆ ต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สาละวิน เจ้าพระยา แม่โขง อิระวะดี ซึ่งไหลเป็นแนวขนานกันลงมา แม่น้ำเหล่านี้มีปริมาณน้ำ และตะกอนดินทรายมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเพาระปลูกของแผ่นดินใหญ่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

         
          เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนหใหญ่ตั้งอยุ่ระหว่างเส้นทรอปิกออฟเเคนเซอร์ และเส้นรุ้งที่ 12 องศา ทำให้มีฝนตกชุก และเมื่อประกอบกับอุณหภูมิเฉลี่ย 80 องศาฟาเรนไฮซ์ บริเวณส่วนใหญ่จึงเป็นป่าทึบ สภาพของป่าทึบนี้เป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ปลักดันทำให้ประชากรตั้งถ่ินฐานตามแนวแม่น้ำต่างๆ มาแต่อดีต จนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งเป็นได้ว่าแม่น้ำยังเป็นเส้นทางคมนาคมและติต่อที่สำคัญอยู่
          ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ แม่น้ำเป็นเสมือนเส้นทางที่ประชากรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้ในการอพยพลงใต้ หลังจากการอพยพของชนเผ่าดั้งเดิมคือพวกออสเตรลอยด์และนิกริโต ซึ่งยังมีหลงเหลืออยู่บ้างในออสเตรเลีย และบางส่วนของฟิลิปปินส์-อินโดนีเซีย-มาเลเซีย เผ่าที่มีอารยธรรมสูงกว่าอันได้แก่ อินโดนีเซียนหรืออสโตรนีเซียน ก็ได้เริ่มอพยพเคลื่อนย้ายอย่างช้าๆ ลงมาทางใต้-จากภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนเมืองประมาณสองสามพันปีก่อนคริสต์วรรษ สันนิษฐานกันว่า เผ่าอินโดนีเซียนนี้แยกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มโปรโต-มาเลย์ และกลุ่มดอยเตอโร-มาเลย์ กลุ่มแรกยังมีร่อยรอยของพวกมองโกลอยด์อยู่มาก คือ กลุ่มพงกจาคุน ในมลายู พวกโตราจาน์ในสุลาเวซี่ พวกคยัคในบอร์เนียว และพวกบาตัดในสุมาตรา ส่วนกลุ่มที่สองนั้นคือ พวกสายดอยเตอโร-มาเลย์ ซึ่งไม่ใคร่จะคล้ายคลึงกันนัก จะพบในพวกชาวมลายู ในสุมาตรา และมาเลเซีย พวกชว่า พวกซุนดา พวกบาหลี พวกมาดุรา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอินโดนเซีย และก็ยังมีพวกบิสายัน  ตาการล็อก อิโลคาโน บิโคล ปันปางัน ซึ่งอยู่ในฟิลิปปินส์
          ระยะเวลาระหว่างแลหลังจากที่ประชกรเผ่าอินโดนีเซีนได้อพยพโยกย้ายอยู่ทางใ้ทั่วไปแล้ว กลุ่มมอญออสโตร-เอเชียติก ก็ได้อพยพจากกลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าไปอยู่แถบบริเวณชายฝั่งทะเลตอนล่างของพม่า และพวกเขมรซึ่งเกี่ยวดองกันก็ได้เข้าไปอยู่ในลุ่มแม่น้ำโขง ส่วนพวกเวยดนามซึ่งมีเชื้อสายเกี่วพันกัน เมื่อหนึ่งพันปีแรกแห่งคริสกาลได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองและวัฒนธรรมของจีน ก็ไดอพยพลงมาทางใต้ของจีนสู่ลุ่มแม่น้ำแดง และได้ปะปนอยู่ในตอนบนของฝั่งทะเลอันนัมกับพวกจามปาซึ่งเป็นคนเผ่ามาเลโย-โปลีนีเซียน นอกจากนั้นพวกพยู และพม่า เชื้อสายแรกๆ ก็ได้เข้าไปตั้งรกรากในตอนกลางของลุ่มแม่น้ำอิระวะดีในตอนต้นๆ คริสต์ศตวรรษ และท้ายที่สุดคือพวกฉาน หรือไทยซึ่งเคยอยู่ทางตอนบนของแม่น้ำโขลและแม่น้ำแดง ก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปอยู่กระจัดกระจายระหว่างอัสสัมทางทิศตะวันตกจนถึงตังเกี๋ย และพรมแดนของกัมพุชาทางด้านตะวันออก
         แม้ว่าชนดั้งเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความแตกต่างกันทางด้านเชื้อชาติ แต่ก็มีรูปแบบวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน ดังนั้น วัฒนธรรมยุคหินกลาง ซึ่งมีเครื่องมือหินกะเทาะปลายคมแบบสิ่วขัดเกลาบ้างเล็กน้อยตามแบบแบคโซเนียน  ที่พบในตังเกี๋ย และช้ินส่วนของประดิษฐกรรมดังกล่าวที่ค้นพบในไทย มลายู สุมาตรา ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นเครื่องมือหินขึดเรียบรูปขวานของยุคหินใหม่ ซึ่งเป็นช่วงสมัยหลังจากที่คนเผ่าอินโดนีเซียนได้อพยพลงใต้สู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในระหว่างสามถึงสองพันปีก่อนคริสต์ศักรช หม้อไหของยุคหินใหม่มีอยู่ทั่วไป และต่างก็มีลักษณะและรูปแบบดคึล้ายคลึงกัน ซ่งแสดงว่าชนเหล่านี้มีวัฒนธรรมร่วมกันเป็นเวลานานมาแล้ว และสืบเนื่องมจนสมัยใกล้คิรสต์ศตวรรษซึ่งจะเป็นยุคโลหะ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าวัฒนธรรมดองซอน ลักษณะที่เด่นของวัฒนธรรมนี้คือกลองมโหระทึกขนาดใหญ่ ซึ่งได้รับอิทะิพลจากจีน และพบอยุ่ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในบางครั้งลวดลายศิลปะทางด้านการตกแต่งใหม่ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในหมุ่คนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนในแถบอื่นๆ โดยเฉพาะบริเวณที่ติดกับจีนจะพบศิลปะแบบดองชอนที่แท้จริงมากกว่า
        เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มิได้ใช้โลหะเป็นเครื่องมือในการเพาะปลูกจนกระทั่งสมัยหลังและเมื่อมีกรเร่ิมใช้ขึ้นก็ถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาทางเศรษฐกิจของดินแดนแถบนี้ การเศรษบกิจเริ่มแรกของเอเชียตะวันออกเแียงใต้นั้นเป็ฯแบบเลี้ยงตนเองโดยสิ้นเชิง โดยยึดการล่าสัตว์และการจับปลาเป็นหลัก แต่ได้ขยายออกอย่างช้าๆ ด้วยการใช้วิธีการเพาะปลูกแบบดั้งเดิมโดยการโยกย้ายที่เพาะปลูกจากแหล่งที่ขอดความอุดมสมบุรณ์ไปถางป่าใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ในปัจจุบันการเพาะหลูกแบบนี้ยังคงมีพบอยู่โดยทั่วไปในเอเลียตะวันออกเฉียงใต้ แตในระยะต่อมาก็ได้หันไปทำการเพาะหลูกแบบนาดำ คือมีการกักน้ำไว้ในนา ซึ่งจะเห็นได้จากชวาตอนกลางเป้นต้นเครื่องมือสำคญตอนี้ได้แก่ คันไถและสัตว์เลี้ยง การตั้งหลักแหล่งอย่างถาวรและการเพ่ิมผลผลิตทางการเพาะปลูกนี้ทำให้การเศรษฐกิจที่ชะงักงันขยายตัวอก โดยการแบ่งงานกันทำอย่างง่ายๆ ในการผลิตผ้าแพรและโลหะที่ใช้ในท้องถ่ิน ในดินแดนที่มีการเพาะปลูกแบบนาดำได้จัดให้มีการควบคุมงานทดน้ำ ซึ่งยังผลให้เกิดความสามัคคีสังคม และความเป็นระเบียบทางการเมือง อย่างไรก็ตาม วิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงอย่างเบ็ดเสร็จของสงคมถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากระดับของสังคมและวัฒนธรรมหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่งจึงยากต่อการอธิบายให้เป็นพอใจในลักษณะปัจจัยโดดๆ ได้ สังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปลี่ยนแปลงไป และในการเปลี่ยนแปลงนั้นแนวทางที่จะปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย
              ลักษณะเด่นทางวัตถุที่เห้นได้ชัดของอารยธรรเอเชียตะวันออก ในช่วงก่อนได้รับอิทธิพลจากภายนอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอินเดีย ส่วนลักษณะเด่นทางจิตใจที่เห็นได้ชัดคือการการบไหว้บูชาบรรพบุรุษ การตั้งที่เคารพบูชาไว้ในที่สูงๆ ความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับผีสาง หรือการถือลัทธิว่ามีอำนาจร่วกันในจักรวาล คือ ภูเขาและทะเล และสิ่งที่เป้นคู่อื่นๆ อีกมากซึ่งเกี่ยวโยงกับเวทนนตร์คาถา ถึงแม้ว่าลักษณะหล่านี้จะแตกต่างกันบ้างตามท้องถิ่นต่างๆ และรับอิทธิพลของฮินดุ พุทธ อิสลาม คริสต์ เข้ามาแทรกแต่ลัษณะทั่วไปของวัฒนธรรมแบนี้ก็ยังคงมีอยุ่ให้เห็นทั่วไป และในปัจจุบันนี้เป็นลหลักฐานที่สำคัญในการศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเนื้อแท้ของอินแดนแถบนี้ ไม่ใช่เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งของจีนหรืออินเดีย เป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นว่า กระบวนการกระจายอิทธิพลอินเดีย ไม่ใช่การถ่ายทอดอารยธรรมอินเดียเข้าแทนวัฒนธรรมท้องถ่ินโดยนส้ินเชิง แต่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนเกี่ยวเนื่องกับการผสมปนเประหว่างวัฒนธรรมต่างผระเทศกับวัฒนธรรมท้องถ่ินจนเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไป
             มหาอำนาจตะวันตกซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วย โปรตุเกสอังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สเปน และสหรัฐอเมริกา โปรตุเกสเป็นชาติตะวันตกที่เข้ามาในภูมิภาคนี้เป็นชาติแรก อังกฤษ มีอาณานิดคมประกอบด้วย พม่า มาเลเซีย สิงค์โปร ฝรั่งเศสมีเป็นเจ้าอาณานิคมของอินโดจีน หรือเรียกว่าอินโดจีนของฝรั่งเศส ประกอบด้วย เวียดนาม กัมพุชาและลาว เนเธอร์แลนด์เป็นเจ้าอาณานิคมอินโดนีเซีย สเปนเข้ามาครอบครองฟิลิปปินส์ก่อนที่พ่ายแพ้และยกฟิลิปปินส์ให้แก่สหรัฐอเมริกา
             มหาอำนาจตะวันออกได้แก่ญี่ปุ่น เข้าครอบครองดินแดนและปลดปล่อยชาวพื้นเมืองในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้จากอำนาจของตะวันตก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เมือญีปุ่นพ่ายแพ้สงคราม ประเทศตะวันตกที่เคยเป็นเจ้าอาณานิคมก็กลับเข้าครอบครองดินแดนอีกตามเดิม
              ประเทศไทยเป็นหนึ่งในสี่ประเทศทั่วโลกที่ไม่ตกเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจยุโรป ประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่ได้รับความกระทบกระเทือนน้อยที่สุดจากการครอบงำของตะวันตก และป็นเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่แถบจะไม่ได้รับผลร้ายแรงจากสงครามโลก ฝ่ายทหารยอมให้อำนาจแก่ฝ่ายพลเรือนหลังจากการปฏิวัติ ค.ศ.1932 เมื่อความสัมพันธ์ญีปุ่นไทยสิ้นสุดลงในระยะปลายสงครามแปซิฟิก เรื่องนี้พิสูจน์ได้ว่าเป็นเพียงการปรับตัวในระยะหัวเลี้ยวหัว่อให้เข้ากับความจำเป็นในการเสนอให้รัฐบาลเป็นที่ยอมรับของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ได้ชัยชนะ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1947 คณะรัฐมนตรีพลเรือนมีนายปรีดีเป็นหัวหน้าถูกโค่นอำนาจลง และนายกรัฐมนตรีสมัยสงคราม คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้ายึดอำนาจ ภายหลังจอมพล ป. ถูกขับไล่ออกนอกประเทศ และมีนายทหารครอื่นๆ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไมา ฉะนั้นการที่ทหารกลับเข้ามามีอำนาจนี้ ไม่เพียงแต่จะแสดงให้เก็นว่าการเข้ามาครองตำแหน่งของพวกผุ้นำหลังปี 1932 นั้น สามารถเข้ยึดครองอำนาจทางการเมืองได้อย่างมั่นคงเท่านนั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในทางปฏิบัติของประเทศไทยต่อสถานการณ์ระหว่างประเทศอีกด้วย
           
ประเทศบรูไน ในสมันเร่ิมแรกก่อนการเข้ามาของชาวตะวันตก เคยมีความยิ่งใหญ่ในฐานะของชาติทีเป็นมหาอำนาจมาครั้งหนึ่งในสมัยคริสตศตวรรษที่ 16 แต่จากการที่บรูไนเป็นเพียงรัฐเล็กๆ ที่ไม่มีอำนาจทางการเมืองมากเพียงพอจึงทำให้บรูไนต้องให้การยอมรับอำนาจทางการเมืองของมหาอำนาจต่างๆ ที่ผลัดเปลี่ยนแันเข้ามาครองอำนาจในภุมิภาค นับตั้งตแ่อาณาจักรศรีวิชัย ต่อมาก็อาณาจักรมัชปาหิต และสมัยของมะละกา ในฐานะรัฐเล็กๆ ที่ต้องส่งบรรณาการให้กับมหาอำไนาจเหล่านั้นตลอดมา บรูไนมีความสัมพันธ์อันดีกับจีนโดยเฉพาะทางด้านการค้า บรูไนมีการต้าขายที่เนริญรุ่งเรืองมากกับจีน และในฐานะของเมืองที่เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าด้วยโดยเฉพาะสมัยที่อาณาจักรมะละกาเรืองอำนาจ บรูไนประสบกับความรุ่งเรืองทางการต้ามากขึ้น ในฐานะเป็นรัฐมุสลิมแบบเดียวกับมะละกา จึงนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากเป็นพิเศษกับมะละกา จนทำให้บรูไนสามารถสร้างคามเข้มแข็งได้ทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐฏิจ
           ทันที่โปรตุเกสตะวันตกชาติแรกที่เข้ามา ทำลายความยิ่งใหญ่ของมะละกาลงได้ บรูไนจึงสามารถสร้างอำนาจให้กับอาณาจักของตนเองได้ในทันที ทำหใ้โปรตุเกสเป้นประเทศหนึ่งที่เป้นมิตรกับบรูไน จนสมารถสร้างความเข้มแข็งให้กับอาณาจักรของตนได้ จากการขยายอำนาจของบรูไนจึงใทำหใ้เกิดความขัดแย้งกับมหาอำนาจตะวันตกประเทศหนึ่งคือ สเปน เพราะขัดอย้งในเรื่องการแข่งขันกันขยายอำนาจเหนือฟิลิปปินส์ แต่บุรไนสามารถรักษาอาณาจักรของตนไวได้
           เนื่องจากปัญหาภายในและการเข้ายึดครองอำนาจของพวกดัชท์แทนโปรตุเกส มีการบังคับผุกขาดการผลิตและการค้า เศรษฐกิจและการค้าแถวหมู่เกาะต้องปยุดชะงักรวมทั้งบรูไนด้วย บรูไนจึงกลายเป้นรัฐเล็กๆ ที่ไม่สามารถต่อต้านอำนาจของพวกสลัด จนกลายเป้นศูนย์กลางการเลแกเปลี่ยนสินค้าที่ปล้นมาของพวกสลัดแทน
            และเมื่ออังกฤษเข้ามา และเป็นอีกมหาอไนาจหนึ่งที่มุ่งเข้ามเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในภุมิภาค อังกฤษให้ความสำคัญทำการค้ากับจีนมาก จึงพยายามที่จะเข้ายึดครองแถบตะวันตกเฉียงเหนือของบอร์เหนียวเพื่อใช้เป็นเส้นทางไปค้าขายกับจีน และการยึดครองของอังกฤษบริเวณบอร์เนียวก็ปะสบผลสำเร็จ จนในที่สุดแล้วบรูไนทำสัญญาให้การยอมรับการเป็นรัฐอารักขาของอังกฤษ และได้รับเอกราชในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527
            ประเทศสิงคโปร์ เดิมทีสิงคโปร์เป็นเมืองที่ตั้งอบุ่ปลายสุดแหลมมลายู เป็นสถานพักสินค้าของพ่อค้าทั่วโลก เดิมชื่อว่า เทมาเส็ก (ทุมาสิค)มีกษัตริย์ปกครอง เมื่อโปรตุเกสเข้ายุึดมะละกาเป็นเมืองขึ้น สิงคโปร์ก็กลายเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกสด้วยและฮอลันาเข้ามายึดจากโปรตุเกส ซึ่งชาวดัตท์มีอิทธิพลอยุ่ในมะละกาช่วงศตวรรษที่ 17 อังกฤษเริ่มสนใจสิงคโปร์เมื่อเข้ามามีอิทธิพลในแหลมมลายู อังกฤษเล็งเห็นถึงความสำคัญของ "จุดแวะพัก"ทางยุธศษสตร์ สำหรับซ่อม เติมเสบียง และคุ้มกันกองทัพเรือของอาณาจักรที่เติบโตของตน รวมถึงเพื่อขัดขวางการรุกคืบของชาวฮาลแลนด์ในภมิภาคนี้ อังกฤษแช่งขชันกับดัตช์ในเรื่องอาณานิคม อังกฤษส่งเซอร์ โทมัส แสตมฟอร์ด บิงก์เลย์ รฟเฟิลส์ มาสำรวจดินแดนแถบสิงคโปร์ ซึ่งมีสุลต่านปกครองอยู่ แรฟเฟิลส์ตกลงกับสุลต่านว่า จะตั้งสถานีการค้าของอังกฤษที่นี่ แต่สุดท้ายอังกฤษก็ยึดสิงคโปร์ไว้เป็นเมืองขึ้นได้สำเร็จ ในปี 1819 อังกฤษได้ขอเช่าเกาะสิงคโปร์จากจักรวรรดิยะโฮร์ซึ่งอยุ่ภายใต้การปกครองของฮอลันดาราฟเฟิลส์ มองเห็ฯถึงทำเลที่ตั้งที่หมาะสมจง ได้พยายามย้ายศูนย์กลางของเครือข่ายการค้าของอังกฤษมาอยุ่ที่สิงคโปร์ และทำให้เกาะแห่งนี้มีการต้าแบบเสรี
            แรฟเฟิลใช้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลายการต้ของอังกฤษกับซีกโลกตะวันออกให้เป็นสถานีการค้า นโยบายการค้าเสรีดึงดุดพ่อค้าจากทั่วทุกส่วนของเอเชียและจากที่ห่างไกลออกไป เช่น สหรัฐอเมริกาและตะวันออกกลาง อังกฤษมีสิทธิครอบครองสิงคโปร์ตามข้อตกลงที่ทำกับฮอลันดา เพียงแค่ห้าปีหลังจากนั้น ประชากรเพีิ่มขึ้นจาก 150 คนกลายเป็น 10,000 คน สิงคโปร์กลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษ สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางรัฐบาลของถ่ินฐานข่องแคบปีนัง มะละกา และสิงคโปร์ การเปิดทำการของคลองสุเอซ สิงคโปร์ก็เปลียนแปลงไป เป็นท่าเรือนานาชาติที่สำคัญ ประกอบกับการเข้ามาของเครื่องโทรเลขและเรือกลไฟทำให้ความสำคัญของสิงคโปร์เพ่ิมขึ้นจนกลายเป็นศูน์กลางการค้าที่กำลังขยายตัวระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก อังกฤษยกสิงคโปร์เป็นอาณานิคม ปกครองภายใต้ระบบสเตรดส์เซ็ตเติลเมนท์ ควบคุมโดย บริษัท อินเดีย
ตะวันออกของอังกฤษ รวมถึงเกาะปีนัง (เกาะหมาก) และมะละกาด้วย
           หลังสงครามโลกครั้งที่สอง อังกฤษเข้ามาครอบครองสิงคโปร์ตามเดิม ญี่ปุ่นแพ้สงคราม ปกครองสิงคโปร์ในฐานะที่เป็นอาณานิคมแบบเอกเทศ สิงค์โปร์มีอำนาจปกครองกิจการภายในของตนเองแต่ไม่มีอำนาจดุลกิจการทหารและการต่างประเทศ และยังมีผุ้วาราชการจากอังกฤษมา ปกครองอู่ ในสภานิติบัญญัตินั้น อังกฤษเปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกตั้งสมาชิกบางส่วน อังกฤษให้ชาวสิงคโปร์มีอำนาจและมีส่วนร่วมในการปกครองตนเองมากขึ้นในช่วง 10 ปี ก่อนที่สิงคโปร์จะประกาศเป็นสาธารณะรัฐนั้น สิงคโปร์จึงอยุ่ภายใจ้กาารปกครองของรัฐบาล 3 ชุด คือ และหลังจากรัฐบาลของนาย ลี กวน ยู สิงคโปร์ได้รับอำนาจในการปกครองตนเองอย่างสมบูรณ์และนายลีได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงค์โปร์
 ช่วงที่ได้รับเอกราชจากอังกฤษและสิงคโปร์รวมอยู่เป็นรฐหนึ่งของมาเลเซีย จกาการมี่สิงคโปร์เห้นมาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ สิงคโปร์จึงรีบขอรวมชาติเข้ากับมายา ทันที่ เพื่อจะได้ไม่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ และอยู่ได้เพียง 2 ปี หลังจากการรวมอยุ่กับมาเลเซียไม่นาน เกิความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้นหลายครั้งประกบอกับภัยคุกคามที่เกิดจากลัทธิคิมมิวนิสต์และความสัมพันธ์ระหว่งสิงคโปร์และมลายาที่ไม่ดี โดยเฉพาะการที่สิงคโปร์ก็ไม่พอใจกับมาเลิซียมากนักในเรื่องกการเหยียดชนชาติ ในมาเลเซียคนเชื่อสายมาเย์เป็นกลุ่มใหญ่และมีอภิสทิธิ์ แต่ในสิงคโปร์ชนกลุ่มใหญ่คือคนเชื้อสายจีน ทำให้พรรคกิจประชาชน ของสิงคโปร์ประกาศให้สิงคโปร์เป็นเอกรชและแยกตัวออกจากมลายา ตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1965 ตั้งแต่บัดนั้นมาจนก่อร่างสร้าตัวเป็นรัฐบาลและชาติที่มีเอกราชในท้ายที่สุด
           มาเลเซีย เจีย บุน เคงอธิบายถึงการที่ความเป็นชาติของมาเลเซียก่อตัวและวิวัฒน์ขึ้นในทางปฏิบัติอย่างไร โดยเน้นการศึกษาไปที่การเมืองในระบบเลือกตั้ง บทบาทของนายกรัฐมนตรีที่ผท่นมา และนโยบายระดับประเทศ เจีย วิเคราะห์มาเลเซียผ่านมุมมองของ "การรับและการให้" โยศึกษาความตึงเครียดที่ดำรงอยุ่ ระหว่างแนวคิดชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์ของชนเช้อสายมาเลย์ กับแนวคิดชาตินิยมมาเลเซีย ประเด็นข้อถกเถียงหลักที่เจียเสนอ คือ นายกรํบมนตรีที่ผท่ามาทั้ง 4 คน ล้วน "เร่ิมต้นจากการเป็นนักชาตินิยมมาเลย์ที่กีอกันคนเชื่อสายอื่นออกไป แต่ในที่สุดก็กลับหลายมาเป็นนักชาตินิยมมาเลเซียที่รวมกลุ่มชาติพันธ์ุอืนๆ เข้าไว้ด้วยกัน การที่เป็นเช่นนี้ถึงสี่ครั้งในประวัติศาสตร์ของชาติ ย่อมแสดงให้เห็นว่า รัฐชาติมาเลเซียได้พัฒนาตรรกะของตนเองขึ้น ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่า เกตัวนัม เมลายู หรือการครอบงำทางการเมืองของกลุ่มชาติพันธ์ุมาเลย์นั้น จะยังดำรงอยุ่ตลอดไป แต่จะถูกจำกัดด้วยตรรกะดังกล่าวหนังสือของเจียเสนอความจริงด้านหนึ่งของมาเลเซีย ที่มีควมหลากหลายและความอดกลั้นทางวํมนธรรม
            สาธารณรัฐเมียนม่าร์ ขบวนการชาตินิยมในเมียนม่าร์ในระยะเริ่มแรกยังไม่ก่อตั้งขึ้นเป็นสมาคมหรือองค์กรซึ่งมีรูปแบบการจัดตั้งที่ดีพอ ในแง่การรวมกลุ่มมีสมาชิกเข้าร่วมดำเนินงานและมีนโยบายแผนงาน เป้าหมายในการเคลื่อนไหวที่สำคัคือยังมิได้มีท่าทีต้องการก่อกระแสปลุกเร้าสร้างจิตสำนึกทางการเมืองขึ้นมาร่วมกันอย่างมีน้ำหนักของความเป็นเหตุเป็นผล เพื่อให้คนส่วนใหญ่ยอมรับและสนับสนุนการเคลื่อนไหวในแต่ละครั้งแต่อันที่จริงแล้ว แม้ว่าขบวนการชาตินิยมในยะะแรกจะมิได้มีแบบแผน วิธีการเคลื่อนไหวอย่างมีจุดประสงค์ชัดเจนทางการเมือง
            ขบวนการชาตินิยมของพม่าเริ่มเกิดขึ้นเป็นทางการที่มีกาจัดตั้งและดำเนินงานอย่างได้ผลคือ สมาคม YMBA สมาคมยุวพุทธ แต่ก็ถูกจำกัดอยู่ในขอบเขตที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยตรง อย่างไรก็ตามเมือสมาคมยุวพุทธเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเพราะมีความสำเร็จในการดำเนินกิจกรรมเพื่อต่อต้านเจ้าอาณานิคม โดยเฉพาะในเรื่องศาสนา จึงต้องการขยายบทบาทไปสู่กิจกรรมทางการเมืองโดยตรง ดังนันจึงมีการจัดตั้งสมาคมขึ้นใหม่ มีชื่อว่า สภาใกญ่ของสมาคมชาวพม่า GCBA การเปลีวยนแปลงสมาคม YMBA มาเป็น GCBA ต้องการต่อสู้เพื่อเอกราชของพม่า แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในด้านที่ผุ้นำของสมาคมในการต่อสุ้ยังเป็นพระสงฆ์อยู่มากเช่นเดิม ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สมาชิกมีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับบทบาทของสงฆ์ที่มายุ่งเกี่ยวกับการเมืองเป็นการขัดวินัยสงฆ์ จึงมีผลกระทบต่อการขยายบทบาทของทางสมาคม ต่อมาบทบาทผุ้นำชาตินิยมเปลี่ยนมาเป็ฯกลุ่มผุ้นำนักศึกษาในมหาวิทยาลัยย่างกุ้งที่ตั้งขึ้นใหม่ พร้อมๆ กับการปรากฎตัวของขบวนการนักศึกษาที่เรียกว่าตัวเองว่า "ตะขิ่น" ได้กลายมาเป็นผุ้นำที่สำคัญของขบงนการชาตินิยมในเมียนม่าร์ กระทั่งสามารถดำเนินงานทางการเมืองในการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษได้สำเร็จ
           เวียดนาม ชาตินิยมในเวียดนามเป็นชาตินิยมที่มีพัฒนาการอย่างยาวนาน อันเกิดจากการค้นหาแนวทางการต่อต้านแบบใหม่ๆ หลังจากความล้มเหลวของขบวนการต่อต้านรุปแบบเก่า ดังจะเห็นว่าแรกเร่ิมนั้นศุนย์กลางชขาตินิยมของเวียดนามถูกผุกติดอยู่ราชสำนักอันเกิดขึ้นจากความไม่พอใจของขุนนางขงจื้อบางส่วนที่ถุดลดทอนบทบามและอำนาจที่เคยมี  แต่ชาติยินมลักษณะนี้มิได้เกิดจากการรวมตัวและสร้างฐานในหมู่ประชาชนมากเท่าที่ควรทั้งนี้เนื่องจากสำนึกของประชาชนต่อสังคมักดินาแบบก่อน
อาณานิคมไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะชาวนาที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จึงทำให้พลังการต่อต้านในระยะแรกนี้มีไม่มากเท่าที่ควร ส่งผลให้ชาตินิยเวียดนามในระยะแรกไม่ประสบความสำเร็จและได้ก่อเกิดการต่อต้านในรูปแบบใหม่ขึ้น พยายามเปลี่ยนแปลงการต่อต้านในรูปแบบใหม่คือพยายามสร้างฐานในปมุ่ประชาชน แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะตัดความสำคัญของกษัตริย์ในฐานะสัญลักษณ์ของการต่อต้านได้ทั้งหมด ทั้งนี้เพราะยังคงต้องการกษัตริย์ที่จะชักจูงมวบชนและราชสำนักให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการต่อต้านได้ แต่ทว่าก็ยังไม่ามารถสร้างประชคมใหม่ในจินตนาการของประชาชนได้เท่าที่ควร อีกทั้งการต่อต้านนั้นมีลักษณะกระจายเป็นหย่อมๆ ไม่สามารถรวมตัวกันได้อย่างมีประสิทะิภาพทำให้การดำเนินการชาตินิยมในระยะนี้ขาดเอกภาพ  กระทั่งเมื่อพรรคอมมิวนิสต์อินโดจีนเกิดข้นใน ค.ศ. 1930 ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงรูปแบบชองขบวนการต่อต้าน เมื่อพรรคคอมมูนิสต์ใช้ปรัชญาตามแนวทางลัทะิมาร์กซิสต์ที่ให้ความสำคัญกับประชาช ดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชาวนาและชนชั้นกรรมาชีพ ที่เป็นประชกรหลักของประเทศในการจัดตั้งปรชาคมใหม่ของเวียดนามเข้ามาเป็นตัวสร้างชาตินิยมให้เกิดขึ้น อันสามารถสร้างชาตินิยมในหมู่ประชาชนได้อย่างกว้าง ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมใหม่ที่มีประชาชนเป็นตัวแสดงแทนการต่อต้านทุกรูปแบบ เกิดการเป็นการต่อสู้ของประชาชนเพื่อประชาชนของเวียดนาม จนในที่สุดนำปสู่ชัยชนะแห่งการปลกแอกตัวเองออกาจากระบอบนิคมฝรั่งเศส
             ลาว ในช่วงสงครามดลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้รุกเข้ามาในลาวและดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศสอื่นๆ เมื่อญีุ่ป่นใกล้แพ้สงคราม ขบวนการลาวอิสระซึ่งเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อกู้เอกราชลาวในเวลานั้นประกาศเอกราชให้ประเทศลาวเป็นประเทศราชอาณาจักรลาวหลังี่ปุ่นแพ้สงคราม ฝรั่งเศสก็กลับเข้ามามีอำนาจในอินโดจีนอีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากการที่เวียดมินห์ปลดปล่อยเวียดนามได้ จึงเป็นหารสั่นคลอนอำนาจฝรั่งเศสจนยอมให้ลาวประกาศเอกราชบางส่วน และได้เอกราชสมบุรณ์ในปี 1953 ภายหลังฝรั่งเศสแพ้เวียดนามที่เดียเบียนฟู ผุ้ที่มีบทบาทในการประกาศเอกราชคือ เจ้าสุวณณภูม เจ้าเพชรราช และเจ้าสภานุวงศ์ โดยมีเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ามหาชีวิต จากอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางเดิมและได้รวมทั้ง 3 อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง ล้านช้างเวียงจันทน์ และล้านช้างจำปาศึกดิ์ เข้าด้วยกันเป็นราชอาณาจักรลาว ลาวอิดสะระ เป็นขบวนการต่อต้ารฝรั่งเศสเน้นชาตินิยมและไม่นิยมคอมมิวนิสต์

            กัมพูชา เขมรอิสระ เป็นกลุ่มต่อต้านฝรั่งเศสและกลุ่มชาตินิยมเขมร ก่อตั้งเมื่อพ.ศ. 2488 โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยจุดประสงค์เพื่อต่อต้านการเป็ฯอาณานิคมของฝรั่งเศสและจัดตั้งรัฐเขมรที่เป็นเอกราชอย่างไรก็ตาม ภายในกลุ่มมีความแตกแยกทางความคิดมาก สุดท้ายทำให้สมาชิกแยกตัวออกไปสมาชิกของกลุ่มหลายคนมีบทบามสำคัญในสงครามกลางเมืองกัมพูชา
            อินโดนีเซีย ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นอนุญาติให้ก่อตั้งศุนย์อำนาจของประชาชน ญี่ปุ่นตระหนักได้ว่างานจะสำเร็จได้จะต้องทำงานผ่านผุ้นำของคนพื้นเมือง กลุ่มผุ้นำชาตินิยม เป็ฯองค์การที่รวมนักชาตินิยมทั้งหมดไว้ ผุ้นคือ คฯต้นใบสามแฉก สีใบ คือพวกชาติยิยมชั้นนำ ได้แก่ ซุการ์โน, มุฮัมหมัด ฮัตตา, ฮัดยาร์ เทวัญ โตโร และผุ้แทนของความคิดแบบมุสลิมคือ กีอายี เอช เอ็ม มันซูร์ โดยองค์กรนี้ไดรับความเชื่อถืออย่างกว้างขวางที่จะนำไปสู่การเป็นชาติยนิยมอย่างแม้จริง
            ต่อมาญี่ปุ่นรู้ว่าตนเป็นรองในสงครามท่าทีของญี่ปุ่นที่มีต่อขบวนการชาตินิยมเริ่มเปลีี่ยนไป ญี่ปุ่นสัญญาว่าจะให้เอกราชแก่ชาวอินโดนีเซีย ซุการ์โน ร่างกฎ 5 ข้อ ซึ่งญีปุ่นก็ไม่มีท่าที่ต่อต้านใดๆ
            ในวันที่ 8 สิงหาคม 1945 หลังจากที่สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมณุครั้งแรกที่ฮิโรชิมา ซุการ์โน และฮัตตาบินไปยังศูนย์บัญชาการของญี่ปุ่นที่ไซง่อน วันที่ 11 ญี่ปุ่นยอมรับการยอมแพ้สงคราม และสัญญาว่าจะคืนเอกราชให้ในวันที่ 14 สิงหาคม  เมื่อซุการ์โน และฮัตตาหลับจากไซ่ง่อน ได้ไม่กี่วันความหวาดหวั่นว่ากลุ่มต่างๆ ในหมู่ชนชั้นสูงอาจจะกีดกันความพยยามของกันและกัน ในขณะนั้นซุการ์ไนเป็ฯผุ้นำชาตินิยมที่มีผุ้รู้จักมากที่สุดและทรงอิทธิพลมากที่สุด มีควาสำคัญต่อการปรกาศเอกราชในขณะนั้น แต่ทว่าซุการ์โนยังรีรอ กระทั่งวันที่ 17 สิงหาคม จึงได้มีการประการเอกราช "เราประชาชนอินโดนีเซีย ขอประกาศเอกราชของประเทศอินโดนีเซีย ณ บัดนี้ เกรื่องเกี่ยวกับการโอนอำนาจและเรื่องอื่นๆ จะจัดการไปเป็นลำดับและให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้"
             ฟิลิปปินส์ ขบวนการชาตินิยมในฟิลิปปินส์แบ่งออกเป็นสามระยะ ซึ่งในการจัดตั้งขบวนการชาตินิยมเองก็มีความขัดแย้ง คือ มีกลุ่มชาตินิยมปัญญาชนและกลุ่มชาตินิยมด้อยโอกาส การถึงแก่มรณกรรมของ โฮเซ่ ริชา เป็นมูลเหตุและแรงจูงใจอย่างมากต่อขบวนการชาตินิยมในฟิลิปปินส์



           - www.satrit.up.ac.th/..,ประวัติศาสตร์สิงคโปร์
           - "ประวัติเอเซึยตะวันออกเฉียงใต้โดยสังเขป"
           -  www.kyotoreview.org, ทำความเข้าใจความเป็น "มาเลเซีย"
           - digi.library.tu.ac.th/..,บทที่ 3 ขบวนการชาตินิยมของพม่า
           - www.midnighttuniv.org พัฒนาการชาตินิยมเวียดนาม
           - sites.google.com/..,ขบวนการลาวอิสระและเส้นทางสุ่เอกราชของลาว
           - www.th.wikipedia.org.., เขมรอิสระ
           - www.sac.or.th/..,อินโดนีเซีย-ประวัติศาสตร์
           - www.gotoknow.org/..,ฟิลิปปินส์ : ขบวนการชาตินิยมของชาวฟิลิปปินส์
           - "ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้สมัยใหม่ ลัทธิอาณานิคม ลัทธิชาตินิยมและการสลายตัวของลัทธิอาณานิคม"จอห์น แบสติน,แฮรี่ เจ.เบ็นดา

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...