ตามรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ปี ค.ศ. 1987 ซึ่งเป็นฉบับที่ดใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้กำหนดให้หน่วยการปกครองท้องถิ่น มีความเป็นอิสระในการปกครงตนเองโดยประธานาธิบดีมีหน้าทเพียงการกำกับดูแลการปกคีองท้องถิ่น ซึ่งออกในปี ค.ศ. 1991 ภายใต้หลักการสำคัญเกี่ยวกับการจัดให้มีการปกครองท้ถงอ่ินที่ตอบลสนองและมีความรับผิดชอบเพื่อมากขึ้น ผ่านระบบการกระจายอำนาจ พร้อมกับกลไกที่มีประสทิะิภาในการถอดถอนผุ้ดำรงตำปน่ง การริเริ่มเสอนกฎหมายหรือเรื่องต่างๆ และการหยั่งเสียงประชามติ การจัดสรรอำนาจความรับผิดชอบและทรัพยากรของหน่วยการปกครองท้องถิ่นระกับต่างๆ การกำหนด คุณสมบัติ วิธีการเลือกตั้ง การแต่งตั้งและการห้พ้นจากตำแหน่ง สาระการดำรงตำแหน่ง เงินเดือน อำนาจและภาระหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดองค์การและการดำเนินการของหน่วยการปกครองท้องถิ่น
ในปัจจุบันหน่วยการปกครองท้ถงอิ่นของฟิลิปปินส์มี 4 ประเภท ได้แก่ จังหวัด จำนวน 80 แห่ง, เมือง 143 แห่ง, เทศบาล 1,491 แห่ง, และหมู่บ้านหรือบารังไก 42,028 แห่งนอกเหนือจากนี้ ได้มีการจัดตั้งแขตการเมืองพิเศษแยกออกมาต่างหาก ซึ่งประกอบด้วย
- เขตนครหลวงแห่งชาติและหน่วยงาานพัฒนามะนิลา ซึงประด้วยเมือง 16 แห่ง และเทศบาล 1 แห่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเริมการประสานงานและความมีประสทิะิภาพในการให้บริการในเขตนครหลวง
- เขตปกครองอิสระในชุมชนมุสลิมมินดาเนา ซึ่งประกอดบ้วยจังหวัด 5 จังหวัด รวมตัวกันเพื่อตอบสนองปัญหาเฉพาะด้านสังคมและวัฒนธรรมในพื้นที่ดังกล่าว
- เขตบริหารพิศษในชุมชนคอร์ดิลเลร่า ประกอบด้วยจังหวัด 5 จังหวัด
รูปแบบการปกครองท้องถิ่น การปกครองท้องุถิ่นของประเทศฟิลิปปิส์ในปัจจุบัน มีการจัดโครงสร้างเป็นระบบ 3 ชั้น ซึ่งประกอบด้วย จังหวัด เมืองและเทศบาล และหมู่บ้านหรือบารังไก อย่างไรก็ตามในกรณีที่เป็นเมืองในเขตชุมชนหนาแน่นสูง ตามที่กฎหมายกำหนด หรือเมืองที่กฎหมายห้ามมิใหผุ้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งลงคะแนนเลือกเจ้าหน้าที่ของจังหวัด หรือที่เรียกว่า เมืองที่เป็นอิสระ จะไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของจังหวัด แต่กฎหมายกำหนดให้ขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง เมืองประเภทนี้ถือได้ว่าเป็นหน่วยการปกครองท้ถงอุ่ินในระดับกลาง เมืองประเภทนี้ถือได้ว่าเป็หน่วยการปกครองท้องถ่ินในระดับบลน ซึ่งเป็นระบบการปกครองท้องถ่ินแบบ 2 ชั้น
- จังหวัด เป็นหน่วยการปกครองท้องถ่ินระดับบนสุด ปัจจุบัยมีจำนวนทั้งสิ้น 80 จังหวัด ขึ้นตรงต่อประธานาธิบดีหรือรัฐบาลกลาง มีอำนาจในการกำกับดูแลเทศบาลและเมืองในเขตพื้นที่ท่ี่รับผิดชอบ เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินการของเมืองและเทศบาลในความรับผิดชอบอยู่ในชขอบเขตอำนาจและภาระหน้าที่ของแต่ละองค์กร ตามีได้กำหนดไว้หรือไม่ ทั้งนี้ เมืองในเขตชุมชนหนาแน่นสูง และเมืองที่เป็นอิสระจะมีความเป็นอิสระจากจังหวัด กล่าวคือ ไม่ต้องขึ้นตรงกับจังหวัด แต่จะขคึ้จรงกับรัฐบาลกลาง
จังหวัดแต่ละจังวหวักจะมัผุ้ว่าราชการจัวหวัดที่มาจากากรเลือกตั้งดดยตรงจากประชานทำน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่าบริหารและมีสภาจังหวัดที่มีชื่อเรียกเป็นภาษาฟิลิปปินส์ว่า แซงกูเนียง พันลาลาวิแกน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน เช่น เดี่ยวกับ กระทำหน้าที่ท่างฝ่ายนิติยบัญญัติ และอนุมัติวบประมาณเพื่อสวัสดิการของประชาชนในจังหวัด ทุกๆ 3 ปี จะมีการจัดลำดับชั้นของจังหวัดโดยการพิจารณาจากรายได้ต่อปีของจังหวัด
- เมือง เมืองเป็นหนึ่งในหน่วยงการปกครองท้องถ่ินของฟิลิปปิสน์ปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 143 แห่ง มีอำนาจเหนือบารังำก ซึ่งเป็นหน่วยการปกครองที่เล็กที่สุด ในกรณีที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของจังหวด เมืองจะมีสถานะเป้นหน่ยการปกครองชั้นที่ 2 รองจากจังหวัด แต่ถ้าเมืองที่เป็ฯอิสระจากจังหวัดยังมีความรับผิดชอลในการให้บริการพื้นฐานต่าง เช่นเดี่ยวกับเทศบาลทั้งหลายอีกด้วย เช่น ตำรวจ ดับเพลิง การจัดการสาธารณประโยชน์ ทั้งหลายในเขตพื้นที่ การรักษาความสะอาด และบริการสาธารณะอื่น ๆ ที่ใช้เงินงลบประมาณของเมือง เช่น ดรงเรียนมัธยม โรงพยาบาล และสวนสาธารณะ ประเภทของเมืองแบ่งเป็น
เมืองในเขตชุมนหนาแน่นสูง คือเมืองที่มีจำนวนประชากรอาศัยอยู่อย่างน้อย 200,000คน โดยมีคำรับรองจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ และจะต้องมีรายได้ยอ่งน้อยปีละ 50 ล้าเปโซ โดยมีการับรองจาเหรัญญิกประจำเมือง ในปัจจุบลันเืองในเขตชุมชนหนาแน่นสูงมีจำนวนทังสิ้น 33 แห่ง ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมีเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตมหานครมะนิลา 16 แห่ง
เมืองที่เป็นอิสระ คือ เมืองที่กฎหมายห้ามิให้ผุ้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งผูว่าราชการจังหวัด และตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆ ในระดับจังหวัด รวมทั้งมีความเ็นอิสระไม่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของจังหวัด
เมืองที่อยู่ภายใต้การกำกับของจัวหวัด คือ เมืองที่ไม่ได้อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ต่างๆ ดังเช่นเืองที่กล่าวมาในข้างต้นเมืองประเภทนี้กฎหมายกำหนดให้ประชานมีสิทธิเลือกตังตำแหน่งทางการเมืองในระดับจัวหวัดได้ ทั้งนี้ ถ้าเมืองใดตั้งอยู่บนพรมแดนของจังหวัดตั้งแต่ 2 จังหวัดขึ้นไป ให้ถือว่าเป็นเมืองที่อยุ่ภายใต้การกำกับดูแลของจัวหวัดที่เมืองนั้นเคยเป็นเทศบาลมาก่อน ส่วนรูปแบบการบริาหรของเมืองทุกประเภทนั้นจะประกอบด้วยฝ่ายบริหารและฝ่านนิติบัญัติที่มาตจากากรเลือตั้งโดยตรงจากประชาชน หัวหน้าฝ่ายบริหารของเมือง เรียกว่านายกเทศมนตรี ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภาเมือง นั้น จะมีรองนายกเทศมนตรีเป็นประธาน ทุกๆ 3 ปีจะมีการจัดลำดับชั้นของเมืองใหม่ โดยพิจารณาจากรายได้
- เทศบาล เทศบาล หรือบาที่ก็เรียกว่า มูนิสซิปะโย ในภาษาตากาล็อค เป็นหน่วยการปกครองท้องถ่ินที่มีอำนาจในการกครองนองและมีความเป็นอิสระจากรัฐบาลกลางเช่นเดี่ยวกับจังหวัดและเมือง โดยรัฐบาลมีหน้าที่เพียงให้ความช่วยเหลือและดูแลการปกครองท้องถ่ิน เพื่อให้แน่ใจว่าเทศบาลไม่ได้กระทำการอันเป็นการละเมิดกฎหมายของประเทศ เทศบาลจะกำกับดูแลปมู่บ้านหรือบารังไกในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอลเช่นเดี่ยกับเมือง ทั้เงี้ นอกจาเทศบาลจะเป็นหน่วยย่อยทางการเมืองของรัฐ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในกาจัดลบริการแก่ท้องถิ่นบังคับใช้กฎหมายทั้งกฎหมายของประทเศและกฎหมายเกี่ยวกับกิจการของท้องถ่ิน และทำหน้าที่อื่นซึ่งรัฐบาลกลางหรือรัฐสภากำหนดเป็นกฎหมายให้ปฏิบัติลแ้ว เทศบาลยังมีสถานะเป็นจิติตบุคคล โดยสามารถดำเนินากรทำสัญญา และการติดต่อร่วมลทุนทางธุรกิจกับเอกชน รวมถึงหารายได้จากากรจัดเก็บภาษีท้องถ่ิน
เทศบาลมีการแบ่งอำนาจการปกครองออกเป็นฝ่ยบริาหรและฝ่ายนิติบัญญัติ และมีการตวนจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกันซึ่งใีควาชัดเจนกว่าการถ่วงดูลกันระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ยนิติบัญญัติในระดับชาติ ส่วนอำนาจทางฝ่ายตุลากรนั้นอยุ่ที่อำนาจของศาลในระดับประทเศ
เทศบาลมีนายกเทศมนตรี ที่มาจาการเลือตั้งโดยตรงจากประชาชน ทำหน้าที่เป็ฯหัวหน้าฝ่ายบริหารส่วนฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภาเทศบาล ก็มาจากากรเลือตั้งโดยตรงจากประชาชนเช่นกัน มีรองนายกเทศมนตรีที่ทำหน้าที่เป้นประธนสภาเทศบาล
เมื่อเทศบาลมีขนาดใหญ่ขึ้นก็สามารถขยับฐานะขึ้นไปเป็ฯเมืองได้ โดยสภาคองเกรศออกเ็นกฎหมายเสอนไปยังประธานาธิบดี หลังจากนั้นจึงให้ประชาชนลงประชามติว่าจะยอมรับความเป้นเมืองหรือไม่ ข้อดีประการหนึ่งของการเป็นเมืองก็คือจะทำให้ได้รับวลประมาณเพ่ิทขึ้น แต่ท้งนี้ประชาชนก็ต้องเสียภาษีมากขึ้นเช่นกัน และเช่นเดียวกัน ทุกๆ 3 ปี จะมีการจัดลำดับชั้นของเทศบาล ดดยพิจารณาจากรายได้ต่อปีของเทศบาล
- หมู่บ้านหรือบารังไก ตามประมวลกฎหมายการปกครองท้องถิ่น ค.ศ. 1991 ได้กำหนดให้บารังไกเป็นหน่วยการปกครองท้ถงอถ่ินในระดับที่เล็กที่สุดซึ่งปัจจุบับยประเทศฟิลิปปินส์มีหน่วยการปกครองระดับนี้อยู่ทั้งสิ้น 42,028 แห่งทั่วประเทศ ทั้งนี้ปรธานาธิบดีแมกไซไซเคยกล่าวไว้ว่า "บารังไกเปรียบเสมือนรากหญ้าของการปกครองระบอบประชาธิปไตยของฟิลิปปินส์ เพราะเป็นหน่วยการปกครองระดับย่อยที่มีความผุกพันและใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด"
บารังไกเป็นหน่วยกาปกครองท้องถ่ินที่มีอำนาจในการปกครองตนเอง โดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเมืองหรือเทศบาลบารังไกเกิดขึ้นโดยรัฐสภาออกเป็นกฎหมาในกาจัดตัเ้งหรือพระราชบัญญัติที่ออกโดยสภาจัวหวัดหนือสภาเมือง และด้วยความเห็ฯชอบจากสภาเทศบาล ดดยบารังไกจะต้องอยู่ในเขตเมืองหรือเทศบาล และภายในบารังไกโดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชนบทยังได้มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็หน่วยย่อยๆ เรียกว่า บูร้อก และซิติโอ แต่ภายในหน่ยย่อยเหล่านี้ไม่มีผุ้นำที่มาจากากรเลอตั้งอย่งเป็นหทางการ ทั้งนั้ บารังไกหนึ่งๆ จะจ้องมีจำนวนประชกรตั้งแต่ 500 ครัวเรือนขึ้นไป กต่ไม่เกิด 1,000 ครัวเรือน จึงจะตั้งขึ้นเป็นบารัไกได้
ส่วนรูปแบบการบริาหรงานของบรังำกนั้นประกอบด้วยฝ่ยบริหารท่มาจากากรเลือตั้งโดยตรงของประชาชน จะมีปูนง หรือหัวหน้าบารังไก ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริาหรของบารังไก ส่วยฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภาบารังไก จะประกอบด้วย สมาชิกสภา หมู่บ้าน ที่มาจากากรเลือตั้งโดยตรงจากปรชาชนจำนวน 7 คน และประธานสภาเยาวชน จำนวน 1 คน รวมเป็น 8 คน โดยมีบูนังหรอหัวหน้าบารังไกทำห้าที่เป็นประธาน ในส่วนของการแห้ปัญหาความขัแย้งภายในบารังไกนั้น ได้มีการจัดตั้งระบบยุติธรรมระดับบารังไก หรือมีที่ชื่อเรียกในภาษา ฟิลิปปินส์ว่า คาตารุงกัง ปัมบารังไก ขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่ประกอบไปด้วย คณะบุคคลที่เรียกว่า ลูปอง ทากาปารมายาปา หรือ ลูปง ซึ่งอาจแปลง่ายๆ ว่า คณะกรรมการแสวงหาสันติภาพ มีจำนวน 10-20 คนทำน้าที่เป็นกรรมการ และมีประะานคณะกรรมการอีก 1 คน คาตารุงกัง พัมบารังไก คือ ระบบการแก้ปัญหาข้อพิพาท ณ หน่วยที่เป้ฯพื้นฐญานการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของรัฐ นั่นคือระดับบารังไกหรือปมู่้าน ระบบนี้เป็นระบบยุติธรรมที่ยึดแนวทางของการปรึกษาหารือการสานเสวนา การเจรจาไกล่เหลี่ย หรือการประนีประนอม ทั้งน้ มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะบรรลุข้อตกลงอย่างแันท์มิตร แทนการนำคดีความและข้อพิพาทต่างๆ เข้าสู่กระบวนกาพิจารณาของศาล
เนื่องจากบารังไกเป็นหน่วยการปกครองที่อยุ่ใกล้ชิดกับประชาชมากที่สุ บารังไกจึงถูกออกแบบให้เป็นหน่วยการปกครองท้องถิ่นที่พึ่งตนเอง กระทำหน้าที่ในการพัฒนาชุมชน สภาบารังไกมีอำนาจในการหารายได้เพื่อการพัฒนาท้องถ่ิน เช่น อำนาจในการเรียกเก็บภาษี เป็นต้น
โครงสร้างภายในหน่วยการปกครองท้องถิ่น การจัดโครงสร้างภายในของหน่วยการปกครองท้ถงิ่นของประเทศฟิลิปปินส์ทั้ง 4 รูปแบบจะมีการแยกกันอย่างชัดเจนระหว่างฝ่ายนิติรบัญญัติ(ซึ่งจะมีสภของท้องถ่ินโดยที่สามาชิกสภาจะมาจากการเลือกตั้งและฝ่วบริาหรจะมีผุ้ว่าราชการจังหวดสำหรับการปกครองท้องถ่ินในระดับจังหวัด ส่วนเมืองและทเศลบาลจะมีนายกเทศมนตรีเมืองและนายกเทศมนตรีเทศบาล ขณะที่ในระัดบบารังไกจะมีบูนังหรือ หัวหน้าบารังำก โดยปกติแล้วการจัดโครงสร้างภานในของหน่วยการปกครองท้องถิ่นของฟิลิปปินส์จะมีระบบการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจซึ่งกับและกันระหว่างฝ่ายบริาหรและฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเห็นได้ชัดซึ่งอาจถือได้ว่ามีควมชัดเจินมากกว่าในระดับชาติเสียอีก
- ฝ่ายบริหารท้องถิ่น ในการดำเนินงานและการบริหารจัดการต่างๆ เกี่ยวกบกิจการในท้องถิ่นเป็นภารกิจหลักของทางฝ่ายบริาหร ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกกำหนดให้เป็นห้าที่ของผุ้นำของฝ่ายบริหาร หรือหัวหน้าฝ่ายบริหารของหการปกครองท้องถ่ินในแต่ละระดับ ได้แก่ ผุ้ว่าราชการจังหวัดนายกเทศมนตรีเมือง นายกเทศมนตรีเทศบาล และบูนังหรือหัวหน้า บารังำก ทั้งนี้ ตามประมวลกฎมหายการปกครองท้องถิ่นปี ค.ศ. 1991 ได้กำหนดให้หัวหน้าฝ่ายบริหารของหน่วยการปกครองท้องถิ่นตั้งแต่ระดับจังหวัดลงมาถึงระดับเมืองและเทศบาล มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบคล้ายคลึงกัน ดังนี้
- ควบคุมดุแลการดำเนินงานและการให้บริการต่างๆ ภายในขอบเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ
- บังคับใช้กฎหมายและพระราชกำหนดที่เกี่ยวข้องกบกิจการของท้องถิ่นในขอบเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบและการนำนโยบายต่างๆ ออกไปปฏิบัติบรรลุผล
- การเก็บภาษีและสร้างแหล่งรายได้ของตนเอง
- การเก็บภาษีและสร้างแหล่งรายได้ของตนเอง
- การจัดบริการขึ้นพี้นฐานและจัดให้มีสาธารณูปโภคที่เพียงพอ
- ทำหน้าที่หรือให้บริการอย่างอื่นซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
ในส่วนของอำนาจหน้าที่ของหัวหน้าฝ่ายบริหารในระดับบารังไกหรือบูนังนั้น ตามประมาบกฎมหายการปกครองท้องถ่ินได้กำหนดให้บูนังหรือผุ้นำในระดับบารังไกมีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญ ดังนี้
- บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการของบารังไก
- เจรจาและลงนามในสัญญาในนามของบารังไกโดยความเห็นชอบของสมาชิกสภาหมู่บ้าน
- เป็นประธานในที่ประชุมสภาปมู่บ้าน
- แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่เหรัญญิกซึ่งเป็นผุ้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเงินของบารังไก ตลอดจนเจ้าหน้าที่อื่นๆ ในบารังไก โดยความเห็นชอบของสมาชิกสภาหมู่บ้าน
- เป็นผุ้อนุมัติใบสำคัญที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายของบารังไก
- บังคับใช้กฎหมายหรือข้อกำหนดต่างๆ ที่เกี่ยวกับการควบคุมมลภาวะและการปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
- การจัดให้มีบริการขั้นพื้นฐานและส่งเสริมสวัสดิการทั่วไปของประชาชนในบารังไก
- เป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุมกับสภาเทศบาลในเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการของบารังไก
- ทำหน้าที่อื่นซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
ฝ่ายนิติบัญญัติท้องถิ่น โดยทั่วไปสภาท้องถิ่นไม่ว่าจะเป้น สภาสังหวัดสภาเมือง สภาเทศบาล และสภาบารังไก จะกระทำหน้าที่ทางด้านนิติบัญญัติและอนุมัติวบประมาณเพื่อสวัสดิการของประชาชนในท้องถิ่นตามปกติแล้วสภาท้องถิ่นของหน่วยการปกครองท้ถงอถ่นิตั้งแต่ระดับจังหวัดลงมาถึงระดับเมืองและเทศบาลจะประกอบด้วย ประธานสภาซึ่งมีรองผุ้ว่าราชการจังหวัด หรือรองนายกเทศมนตรีเมือง หรือรองนายกเทศมนตรีเทศบาลเป็นประธาน และสมาชิกสภาของท้ถงอ่ินที่มาจาการเลือตั้งของประชาชน โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี และดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 3 วาระติดต่อกัน นอกจากนั้นสมาชิกของสภาท้องถ่ินแต่ละระดับยังประกอบด้วยตัวแทนที่เป็นประทธานสมาคมบารังไก ประธานสภาเยาวชน ประธานสหพันธ์สมาชิกสภาเมืองและเทศบาล (เฉพาะในกรณีของจัวหวัดเท่านั้นป รวมทั้งตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ 3 ภาคส่วน จำนวนรวม 3 คน ได้แก่ ตัวแทนจากกลุ่มผุ้หญิง 1 คน ตวแทนจากกลุ่มผุ้ใช้แรงงานในภาคเกษตรกรรรมและอุตสาหกรรม 1 คน และตัวแทนจากกลุ่มคนชายขอบ 1 คน ในส่วนของสภาบารังไกจะประกอบไปด้วยสมาชิกที่มีความแตกต่างจากสภาจัวหวัด สภาเมืองปละสภาเทศบาล โดวสภาบารังไกจะมีบูนังหนือหัวหน้าบารังไกทำหน้าที่เป็นประธาน และยังประกอบด้วยสมาชิกสภาบารังไกที่มาจากการเลือกตั้งจำนวนส 7 คน และประธานสภาเยาวชน
อำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติท้องถิ่นโดยทั่วไปมีดังนี้
- ออกและบังคับใชข้อบัญญัติและมติเกี่ยวกับกิจการของท้องถิ่น
- ส่งเสริมแนวทางในการแสวงหารายได้เพื่อนำปพัฒนาท้องถิ่น
- ส่งเสริมสวัสดิการของประชาชนในท้องถิ่นผ่านการออกข้อบัญญัติเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีค่าธรรมเนียม และค่าบริการอื่นๆ
- ออกข้อบัญญัติที่ส่งเสริมในเรื่องบริการและส่ิงอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานของประชาชนในท้องถิ่น
องค์ประกอบของระบบการปกครองท้องถิ่น
เกณฑ์การจัดตั้งและการยกฐานะ การจัดตั้ง การแบ่งแยก การรวมเข้าด้วยกน การยุบเลิกหรือการเปลี่ยนแปลงเขตของจังหวัด เมือง เทศบาล หรือบารังไก จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการ คือ
- จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายการปกครองท้องถิ่น
- จะต้องได้รับความเห็นชอบจาเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนผุ้ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงในการลงประชามติ
- จะต้องไม่ทำให้จำนวนประชากร เขตพื้นที่ หรือรายได้ของจังหวัด เมือง เทศบาล หรือ บารังไกเดิมลดลงต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในหลักเกณฑ์
ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายการปกครองท้องถิ่น ได้กำหนดตัวชี้วัดที่สำคัญ 3 ประการ ในการใช้เป็นหลักเกณฑ์สำหรับการจัดตั้งและการยกฐานะหน่วยการปกครองท้องถิ่นจากระดับหนึ่งสู่อีกระดับหนึ่ง ได้แก่ รายได้ จำนวนประชากร เขตพื้นที่ อย่างไรก็ดี ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดตั้งหน่วยการปกครองท้องถิ่นแต่ละรูปแบบเอาไว้ในประมวลกฎหมายปกครองท้องถิ่น
ภารกิจและอำนาจหน้าที่
ภารกิจและหน้าที่ของจังหวัด
- การส่งเสริมการเกษตรและการบริการวิจัยในพื้นที่ซึ่งรวมถึงการป้องกันและควบคุมโรคพืชและสัตว์ ฟาร์มนมตลาดสัตว์ สถานรีผสมพันธุ์สัตว์ และการช่วยเหลือในการจัดตั้งสหกรณ์สำหรับเกษตรกรและชาวประมง หรือองค์กรอื่น รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยี
- บริการวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรม รวมทั้งการถ่อยทอดเทคโนโลยี
- ภายในกรอบนโยบายของชาติและการกำกับดูแลของกระทรวงสิ่งเวแดล้อมและทรัพยากรธรรมชาิต จังหวัดมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายป่าไม้ที่เกี่ยวกับป่าชุมชน กฎหมายควบคุมมลภาวะกฎหมายเหืองแร่ขนาดย่อม และกฎหมายอื่นๆ ที่ใช้ปกป้องสภาพแวดบล้อม และโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดย่อมในเขตพื้นที่
- บริการสนับสนุนการลงทุน ซึ่งรวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินกู้, ปรับปรุงบริการข้อมูลภาษีอากรและการเก็บภาษีโดยใช้คอมพิวเตอร์
- บริการโทรคมนาคมระวห่างเทศบลาลภายในกรอบนโยบายของรัฐ,โครงการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว
ภารกิจของเมือง
- บลริการที่เทศบาลและจังหวัดดำเนินการทั้งหมดและการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารและคมนาคมที่เพียงพอ,สนับสนุนการศึกษ การตำรวจ และการดับเพลิง
ภารกิจของเทศบาล
- บริการและการอำนวยความสะดวกเรื่องการส่งเสริมการเกษตรและการวิจัยในพื้นที่ที่เกี่ยวกับงานเกษตรกรรมแลการประมง ซึงรวมถปถึงการแจกจ่ายพันธุ์และพันธ์ุพืช สวยสมุนไพร สวนเพาะพันธุ์พืช หาร์มสาธิต การควบคุมคุณภาพผลผลิต ระบบชลประทานระหว่างหมู่บ้าน โครงการใช้ทรัพยากรและอนุรักษ์ดินและน้ำการบังคับใช้กฎหมายประมงในน่านน้ำเทศบาล รวมทั้งการอนุรักษ์ป่าชรายเลน
- เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายระดับชาติและขึ้นกับกระทรวงสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เทศบาลดำเนินการโครงการป่าชุมชน จัดการและควบคุมป่า ซึ่งมีพื้นที่ไม่เกิน 50 ตารางกิโลเมตร จัดตั้งสวนเขตพื้นที่สีเขียว และดครงการพัฒนาป่าไม้อื่นๆ
- ภายใต้กรอบระมวลกฎหมายการปกครองท้องถิ่น จัดลริการสุขภาพซึ่งวมถึงโครงการสาธารณสูขมูลฐานการดูแลแม่และเด็ก การควบคุมโรคติดต่อ การจัดบริการอนามัย
- การจัดสวัสดิการสังคม ซึ่งรวมถึงโครงการสวัสดิการสำหรับเด็กและเยาวชน ครอบครัว สตรี ผุู้งอายุ คนพิการ โครงการฟื้นฟูชุมชน สำหรับบุคคลเร่ร่อน ขอทาน เด็กกลางถนน เด็กเหลือขอ ผุ้ติยา และโครงการสำหรับผุ้ยากไร้อื่น บริการโภชนาการและวางแผนครอบครัว
- บริการข่าวสารข้อมูลซึ่งรวมถึงข้อมูลเร่องการลงทุนและหางานข้อมูลเกี่ยวกบระบบภาษีอากรและการตลาด และห้วอสมุดสาธารณะ
- ระบบกำจัดขยะและการจัดการสภาพแวดล้อมรวมทั้งระบบและสิ่งทำนวยความสะดวกด้านสุขภาพอนามัย
- อาคารเทศบาล ศูนย์วัฒนธรรม สวนสาธารณะรวมถึงสรามเด็กเล่น อุปกรณืและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการกีฬาและอื่นๆ โครงสร้างพื้นฐานซึ่งตอบสนองความต้องการของผุ้อยู่อาศัยในเทศบาล เช่นถนนและสะพาน ชุมชน โครงการแหล่งน้อขนาดย่อมบ่อน้ำ
- ระบบการเก็บน้ำผนและการประปา การระบายน้ำการควบคุมน้ำท่วม สัญญาจราจรและถนน และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน, ตลาดสาธารณะ โรงฆ่าสัตรว์ และกิจการเทศบาลอื่น, สุสานสาธารณะ, สิ่งอำนวยควาสะดวกด้านการท่องถิที่ยว ซึ่งรวมถึงการอกกฎระเบียบและกำกับดูแลกรดพเนินธุรกิจและบริการรักษาความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง, สถานีตำรวจและดับเพลิง สถานีย่อย และที่คุมขัวของเทศบาล
ภารกจิของปมู่บ้านหรือบารังไก
- บริการสนับสนุนการเกษตร ซึงรวมถึงระบบแจกจ่ายวัสดุเืพ่อการเพาะปลูก และการจัดารสถานีผลิตรวบรวมแลซื้อผลิตผลการเกษตร, บริหการสุขภาพและสวัสดิการสังคมซึ่งรวมถึงการรักษาดูแลศูนย์อนามยและศูนย์ดูแลเด็กของหมู่บ้าน, บริการและการอำนวยความสะดวกซึ่งเงกี่ยวกบสุขอนามัย การสร้างความสวยงาม แฃะการเก็บขยะ
- การบำรุงรักษาถนน สะพาน และระบบส่งน้ำ, โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ศาลอเนกประสงค์ทางเดิน ศูนย์กีฬาและอื่นๆ , ศูนย์ข้อมูลและที่อ่านหนังสือและตลาด
ระบบภาษีและกาีคลังของ้องถ่ิน
ภาษีและรายได้ของ้องถิ่น ตามประมวลกฎหมายการปกครองทอ้งถ่ินได้กำหนดให้หน่วยการปกครองท้องถ่ินแต่ละระดับมีอำนาจที่จะกำหนดแหล่งที่มาของรายได้ อัตราภาษีค ค่าธรรมเนียม และค่าบริการของท้องถ่ินได้เอง ทั้งนี้ ภาษีอากร ค่าะรรมเนียม และค่าบริการที่ท้องถ่ินจัดเก็บได้ดังหลาว ให้ถือเป็นรายได้ของแต่ละหน่วยการปกครอง ท้องถ่ิน โดยมีหลัการพื้นฐานในการจัดเก็บดังต่อไปนี้
- การจัดเก็บภาษีของหน่วยการปกครอง้ถงอถ่ินในแต่ละระดับ จะต้องเป็นไปในรูปแบบเดี่ยวกัน
- ภาษี ค่าธรรมเนียม ค่าบริการ และรายได้อื่นๆ จะต้องมีลักาณะดังนี้ เป็นธรรมและสอดคล้องกับความสามารถในการจ่ายภาษีของผุ้เสียภาษี ต้องเป้นการจัดเก็บไปเพื่อสาธารณะประโยชน์เท่านั้น, ไม่ปรับเปลี่ยนง่าย ไม่มาเกินไป ไม่เป็นการกดขี หรือไม่เป็นการบังคับ, ไม่ขัดต่อกฎหมาย นโยบายสาธารณะ นโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือเป้นการกีอกันทางการค้า
- การจัดเก็บภาษี ค่าธรรมเนียม ค่าบริการและรายได้อื่นๆ ของท้องถ่ิน จะต้องไม่อยู่ในอำนาจของเอกชน
- รายได้ซึ่งได้จากภาษีอากร ค่าธรรมเนียม ค่าบริการ และอื่นๆ ต้องเป็นไเพื่อประโยชน์ของหน่วยการปกครองท้องถ่ินวึ่งเป็นผุ้จัดเก็บและหากเป็นไปได้ให้ใช้อัตราภาษีก้าวหน้า...
การบริหารการคลังท้องถิ่น การบริหารด้านการคลังของท้องถิ่นเป็นไปตามหลัการพื้นฐานภายใต้ประมวบกฎมหายการปกครองท้องถิ่น ดังนี้
- ห้ามจ่ายเงินท้องถ่ินเว้นแต่ที่กำหนดโดยกฎหมาย ,การใช้จ่ายของท้องถ่ินต้องเป็นไแเพื่อประโยชน์สาธารณะเท่านั้น, รายได้ท้องถิ่นต้องมาจากแหล่งเงินที่กำหนดไว้ชัดเจนตามกฎมหาย และต้องมีการรับรู้การเก็บภาษีอย่างเหมาะสม, เงินทุกประเภทที่พนักงานท้องถ่ินได้รับมาอย่างเป็นทางการทั้งจากฐานะตำแหน่งหรือในโอกาศที่เป็นทางการ ต้องถือว่าเป็นเงินทุนท้องถิ่น ยกเว้นแต่ที่กำหนดไว้ตากฎหมาย, ห้ามใช้จ่ายเงินจากกองทุนของท้องถิ่น ยกเว้นแต่ที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนดังกล่าว, พนักงานทุกคนของหน่ยการปกครองท้องถิ่นซึ่งมีหน้าที่เก็บรักษาหรือดูแลกองทุนให้ปลดอภัยและสอดคล้องกับกฎหมาย, รัฐบาลท้องถิ่นจะมีแผนการคลังที่ดีและวงประมาณท้องถิ่นต้องเป้นไปตามหน้าที่ กิจกรรมและโครงการให้สอดค้องกับผลที่คาดหวัง, เป้ามหายและแผนท้องถ่นต้องสอดคล้งกับแผนเป้าหมายและยุทธศาสตร์การพัฒนาระดับชาติเืพ่อให้หใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้มากที่สุดและหักเลี่ยงความซ้ำซ้อนในการใช้ทรัยากรการเงินและวัตถุ, งบประมาณท้องถิ่นจะต้องสับสนุนแผนกพัฒนาท้องถิ่น หน่วยการปกครองท้องถิ่นจะต้องประกันว่างวบประมาณของตนเป็นไปตามเงื่อนไขความต้องการของหน่วยย่อยของตน และมีการกรจายพทรัพยากรระหว่างหน่ยย่อยอย่งเท่าเที่ยมกัน, การวางแผนระดับชาติต้องพิจารณรจากากรวางแผนท้องถ่ินเพื่อประกันว่ากความต้องการและความปรารถนาของประชาชนซึ่งหน่วยการปกครองท้องถ่ินระบุไว้ไดรับกาพิจารณในการกำหนดวบประมาณสำหรับส่วนราชการของรัฐ, ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันทางการเงินระหว่งผุ้ที่มีอำนาจในการเงิน การถ่ายโอน และการดำเนินการของหน่วยการปกครองท้องถิ่น, หน่วยการปกครองท้องถ่ินจะต้องใช้ความพยายามเพื่อให้เกิดงบประมาณสมดุลในแต่ละปีงบประมาณ
การบริหารงานบุคคลของการปกครอง หน่วยการปกครองท้องถ่ินทุกระดับจะต้องมีการจัดวางโครงสร้างองค์การและกรอบอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ของตนเอง โดยคำนึงถึงความจำเป้ฯในการให้บริการและความสามารถทางการเงินของแต่ละหน่วยการปกครองท้องถ่ิน รวมทั้งจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานขึ้นต่ำและแนวทางที่คณะกรรมการข้ารตาชการพลเรือนกำหนด การบริหารงานบุคคลท้องถ่ินของประเทศฟิลิปปินส์อาจมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละหน่วยการปกครองท้ถงิ่ินบางแห่งนายกเทศมนตรีตั้งคณะกรรมการบริาหรงานบุคคลดูแลบางแห่งนายกเทศมนตรีดุแลเอง และเนื่องจากมีการบริหารงานบุคคลแยกจากกัน การโอนย้ายระหว่างทองถ่ินจึงทำได้ยาก เงินเดือนค่าตอบแทน ก็ต่างกันออกไป ถึงแม้จะมีโครงสร้างระดับเงินเดือนกลางแต่ท้องถ่ินก็เลือกใช้ได้ภายในกรอบ ผลคื อท้องถ่ินที่มีฐานะดีก็สามารถจ่ายค่าตอบแทนให้แก่พนักงานของตนได้ดี ส่วนท้องถ่ินที่มีานะดีก็สาารจ่ายค่าตอบแทนใหแก่พนังกานของนไดด้ดี สวนท้องถ่ินยากจนำ็มไ่สามรถจ่ายค่าตอบแทนได้สูง การขึ้นเงินเดือนขึ้นกับความสามารถในการจ่ายเงินของท้องถ่ินแต่ละแห่ง
การบริหารงานบุคคลที่เป็นอยู่ไม่ส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนขันเลือนตำแหน่ง เพราะเป็นระบบที่แต่ละหน่วยการปครองท้องถิ่นดำเนินการเองเป็ฯเอกเทศ มิใช่ระบบบริหารงานบุคคลระดบชาติอย่างเช่นประเทศไทย การโยกย้ายระหว่างหน่วยการปกคอรงท้องถ่ินจึมไม่มากนัก หากจะเป้นการยืมตัวก็ไปในระยะสั้น เช่น ไม่เกิน 3 เดือน ดังนั้น แม้มีกฎหมายกำหนดว่าข้าราชการที่ถูกส่งไปเป็นพนักงานท้องถ่ินจะได้รับเงินเดือนไม่ต่ำกว่าเดิม แต่ก็ไม่มีแรงจูงใจ เพราะการเปลื่นตำแหนงในแต่ละท้องถ่ินที่จำกัดมากจึงมีความพยายามให้มีการรวมอำนาจการบริหารบุคคลไปอยู่ที่ส่วนกลาง
เจ้าหน้าที่ของหน่วยการปกครองท้องถิ่น จะประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ 2 ประเภท คือ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองหรือเจ้าหน้าที่มี่มาจากากรเลือกตั้ง และเจ้าหน้าที่ฝ่ายประจำหรือเจ้าหน้าที่ที่มาจากการแต่งตั้ง ดังนี้
- เจ้าหน้าที่ที่ทมาจากการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้งของหนวยการปกครองท้องถิ่นทุกแห่ง จะประกอบด้วย ตำแหน่งต่างๆ ทั้งในฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติัญญัติ ฝ่ายบริหาร ได้แก่ ตำแหน่งต่างๆ ได้แ่ก่ ผุ้ว่าราชการจังหวัด และรองผุ้ว่าราชการจังหวัด, นายกเทศมนตรีเมือง และรองนายกเทศมนตรีเมือง, นายกเทศมนตรีเทศบาล และรองนายกเทศมนตรีเทศบาล บูนัง หรือหัวหน้าหมู่บ้านตำแหน่งต่างๆ ดังกล่าว จะมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนในเขตของแต่ละหน่วยการปกครองท้ถงิ่น โดยจะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี และจะสมารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันไม่เกิดน 3 วาระ
ฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่ ตำแหน่งต่าง ดังนี้ สมาชิกสภาจัวหวัด, สมาชิกสภาเมือง,สมาชิกสภาเทศบาล, สมาชิกสภาบารังไก,สมาชิกสภาเยาวชนบารังไก ตำแหน่งต่างๆ ดังกล่าวจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนในเขตแต่ละหน่วยการปกครองท้องถ่ิน โดยจะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี และจะสามาระดำรงตำแหน่งติดต่อกันไม่เกิน 3 วาระ เช่นเดียวกบฝ่ายบริหาร
การดำเนินการทางวินัย เจ้าหน้าที่ที่มาจกากรเลือกต้งอาจถูกดำเนินการทางวินัย ถูกพักงาน หรือให้พ้นจากตำแหน่งในการณ๊ใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ ไม่จงรักภักดีต่อประทเศาสะารณรัฐฟิลิปปินส์ ไม่ซื่อสัตย์ กดขี ประพฤติตัวไม่เหมาสม ไม่สนใจในการปฎิบัติงานหรือการทอดทิ้งหน้าที่ กระทำความผิดทางศีลธรรมอย่างร้ายแรง หรือกระทำความผิดที่มีโทษถึงจำคุก ใช้อำนาจในทางที่ผิด การขาดงานโดยไม่รับอนุญาตเป็นเวลาเกินกว่า 15 วั ยกเว้น สำหรับกรณีของสมาชิกสภา จังหวัด สมาชิกของสภาเมือง สมาชิกของสภาเทศบาล และสมาชิกสภาบารังไก การรับสมัครหรือการได้รับสัญชาติ หรือมีที่อยู่อาศัย หรือมีสภาพเป็นผู้อพยพของประเทศอื่น เจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้งที่กระทำความผิดในดรณีต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น อาจถูกให้พ้นจากดำแหน่งก็โดยคำสั่งของศาล
การถอดถอนออกาจากตำแหน่ง อำนาจในการถภอดถอนออกจากตำแหน่งอันเนื่องมาจากขาดความไว้วางใจ จะเป็นอำนาจของประชาชนผุ้มีสิทธิออกเสยงเลือกตั้งขององค์กรปคกรองสส่วนท้องถิ่นที่เลือกตั้งจากเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้งในตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งอาจกระทำได้โดย จัดใไ้มีการประชุมในที่สาธารณะ เพื่อพิจารณาเสนอให้มีการถอดถอนเจ้าหน้าท่คนใดคนหนึ่งออกจาตำแน่ง รห ผุ้มีสิทธิออกเสียไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของผุ้มีสทิธิออกเสียงเลือกตั้งในเขตของหน่วยการปกครองท้องถิ่นนั้นๆ เสนอให้มีการถอดถอนออกจาตำแหน่ง คณะกรรมการเลือกตัั้งหรือผุ้แทจะพิจารณาตรวจสอบคำร้องหากเห็นว่าถูกต้องก็จะรับไว้พิจารณาต่อไป ในระหว่างนั้นคณะกรรมการการเลือกั้งหรือผุ้แทน จะประกาศรับมัครผุ้ที่มาดำรงตำแหน่งแทน โดยผุ้ที่ถูกเสนอให้มีการถอดถอนจากตำแหน่ง ก้จะเป็หนึ่งในรายชื่อผุ้มีสิทธิที่จะได้รับเลือกตังใหม่ด้วย หลังจากนั้น คณะกรรมการการเลือกตั้งจะดำเนินการเลือกตั้งผุ้ที่จะมาดำรงตำแน่งอทนผุ้ที่ถูกเสนอให้ถอดถอน
การถอดถอนเจ้าหน้าที่ที่ทมาจาการเลือกตั้ง จะมีผลก็ต่อเมือได้มีการเลอกตั้งและประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว โดดยผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งที่มีคะแนนสูงสุดเท่านั้นที่จะได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทน ถ้าหากผุ้ที่เสนอให้ถอดถอนได้คะแนนสูงสุด ก็จะสามารถดำรงตำแหน่งต่อไป และจะไม่ถูกเสนอให้มีการถอดถอนอีกไปจนครบวาระการดำรงตำแหนงของเจ้าหน้าที่นั้นๆ
- เจ้าหน้าที่ที่มาจากการแต่งตั้ง อาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือตำแหน่งที่หน่วยการปกครองท้องถิ่นทุกประเภทต้องมีเหมือนๆ กัน และตำแหน่งที่จะมีเพ่ิมเติมตามความจำเป็นในการให้บริการและความสามารถทางการเงินของแตละหน่ยการปกครองท้องถิ่น นอกจากตำแหน่งที่จำเป็นหรืออาจจะต้องมีประจำตามหน่วยการปกครองท้องถิ่นแล้ว ตำแหน่งอื่นๆ หัวหน้าฝ่ายบริหารของแต่ละหน่วยการปกครองท้องถ่ินจะเป็นผุ้พิจารณาแต่งตั้งตามดครงสร้างองค์การและกรอบอัตรากำลัเจาหน้าที่ของตนเอง ซึงจะพิจารณากำหนดโดยคำนึงถึงความจำเป้นในการให้บริการและควมสามรถทางการเงินของแต่ละหย่ายการปกครองท้องถ่ิน ส่วนการบรรุจุแต่งตั้งและการดำเนินการทางวินัยนัน จะต้องเป็นไปตามมาตฐานขึ้นต่ำและแนวทางทีคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนกำหนด ยกเว้น การบรรจุแต่งตังลูกจ้างในกรณีฉุกเฉินหรือลูกจ้างชั่วคราว ไม่ต้องดำเนินการตามแนวทางที่คณะกรรมการข้าราชการพลเรือกำหนด
- "ระบบการปกครองท้องถิ่นประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน : สาธารณะรัฐฟิลิปปินส์", ณัฐธิดา บุญธรรม, วิยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาับพระปกเกล้า, 2556.
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560
วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2560
Local government in Vietnam
เวียดนามปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวคือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนาม มีอำนาจสูงสุดตามรัฐธรรมนูปี ค.ศ. 1992 รัฐธรรมนูญเวียดนามฉบับปัจจุบันที่เร่ิมใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 และแห้ไขเพิ่มเติมในปี ค.ศ. 2001 ได้วางกรอบอำนาจหน้าที่ของรัฐและความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐกับเอกชนไว้ รัฐธรรมนูยญได้กำหนดให้พรรคคอมมิวนิสต์เป็นสถาบันทางการเมืองที่มีอำนาจสูงสุด
โครงสร้างการปกครองของเวียดนามแบ่งออกเป็น 3 ฝ่ายหลักๆ คือ
1 องค์การฝ่ายนิติบัญญัติ หรือสมับบาแห่งชาติ เป็นหน่วยงานสูงสุด้านนิติบัญญัติเปรียบเทียบำับหน่วยงานของไทยได้เทียบกับรัฐสภา สมัชชาแห่งชาติเป็นองค์กรที่สมาชิกได้มาจากการเลือกตั้ง มีจำนวนทั้งหมด 493 คน มีหน้าที่บัญญัติและแก้ไขกฎหมาย แต่างตั้งประธานาธิบดีตามที่พรรคคอมมิวนิสต์เสนอ การรับรองและถอดถอนนายกรัฐมนตรีตามที่ประธานาธิบิี เสนอ รวมทั้งการแต่างตั้งคณะรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ หน้าที่ของสมัชชาแห่งชาติคือการตรา รับรอง และแก้ไขรัฐธรรมนูญ พิจารณากฎหมาย พิจารณางบประมาณประจำปี อีกทั้งพิจารณาแต่างตั้งสถาบันทางการเมืองอื่นๆ ด้วยได้ แก่ สภาแห่งรัฐ สภารัฐมนตรี ศาลสูงสุด และองค์กรควบคุมประชาชน
2 องค์การฝ่ายบริหาร (รัฐบาลส่วนกลาง) ประกอบด้วยประธานนาธิบดี คณะรัฐมนตรี รวมทั้งพรรคอมมิวนิสต์ โดยองค์กรที่มีหน้าที่บรริหารพรรคอมมิวนิสต์ โดยองค์กรที่มีหน้าทบริหารพรรคอมมิวนิสต์
3 รัฐบาลระดับท้องถ่ิน หรือที่อาจเรียกได้ว่า สภาประชาชนและคณะกรรมการประชาชน มีคณะกรรมการประชาชนประจำท้องถ่ินนั้น ทำหน้าที่เป็นองค์กรบริหารสูงสุดบริหารงานให้เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎระเบียบต่างๆ ที่บัญญัติโดยองค์ของรัฐที่อยู่ในระดับสูงกว่า ระบบการบริหารราชการท้องถิ่นของเวียดนามแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ลักษณะเฉพาะที่สำคัญของการปกครองเวียดนามก็คือเป็นการปกครองแบบที่เรียกว่า "โครงสร้างขนานระหว่างพรรคและรัฐ"กล่าวคือ พรรคคอมมิวนิสต์กับรัฐมีความสัมพันะ์กันอย่งแนบแน่น จำไม่สามารถแยกพรรคกับรัฐมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น จนไใามสามารถแยกพรรคกับรัฐออกจากกันได้ เพราะบุคคลที่บริหารงานต่างก็เป็นสมาชิกพรรคอมมิวินสิต์ด้วยกันทั้งสิ้น
ระบบโครงสร้างทางการเมืองของเวียดนามนั้นมีลักาณะคล้ายคลึงกับประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ คือ มีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนามเป็ฯองค์กรที่มีความสำคัญสูงสุด บทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์นั้นมีมากในรัฐะรรมนูญทุกฉบับกำหนดให้เคารพบทบาทนำของพรรคในการใช้อำนาจของรัฐมากกว่าในระบบเสรีประชาธิปไตแบบทั่วไป หากพิจารณจากมาตราที่ 4 ของรัฐธรรมนูญเวียดนามจะพบวาได้ระบุเอาไว้ถึงการให้อำนาจแก่พรรคคอมมิวนิสต์ไว้ว่า "พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม..เป็นพลังจำของรัฐและสังคม"
โครงสร้างากรบริาหรของประเทศเวียดนามนั้นมีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้บริหาร ตัวแทนที่เข้าไปอยู่ในสภมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี รัฐบาลนั้นมีนายกรัฐมนตรีเป็นผุ้นำซึ่งได้ับการคัดเลือกมาจากสมัชชาแห่งชาติ และดำรงตำแหน่งวาระ 5 ปี นอกจานี้ก็ยังมีประธานาธิบดี ซึ่งทำหน้าทีเป็นประมุขของรัฐเชนเดี่ยวกันและได้รับการคัดเลือกจากสมัชชาแห่งชาติเช่นเดี่ยวกันทั้งสองเป็นสมรชิกของกรมการเมือง ซึ่งกรมการเมืองเป็นกลุ่มของคนที่ถือว่าเป็นหัวกะทิของพรรค เป็นผุ้ที่มีอำนาจสุงสุดภายในประเทศ
ลักษณะการปกครองแบบรวมศูนย์ของเวียดนามนั้น มีผุ้วิเคราะห์ไว้ว่า เกิดจากการได้รับอิทธิพลของสองความคิด คือ แนวคิดในลัทธิขงจื้อ ซึ่งเป็นมรดกจากการที่เวียดนามเคยอยู่ภายใต้การปกครองของจีนพันหว่าปี ซึ่งลักษณะของการกครองแบบขงจื้อคือการเน้นศูนย์อำนาจอยู่ที่ส่วนกลาง อีกความคิดหนึ่งที่ส่งผลต่อรูปแบบการปกครองเวียดนามก็คือแนวคิดในลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งแพร่ขยายเข้ามาสู่เวียดนามในช่วงคริสต์ศตวรษที่ 20 กรอบความคิดแบบคอมมิวนิสต์นั้นเน้นการปกครองแบบรัฐรวมศุนย์ เชื่อมั่ว่ากรรมสิทธิ์ทุกอย่างเป็นของสังคมโดยรวม ประชาชนมีสทิะิ์ในหารเข้ถึงทรัพยากรได้อย่างเท่าเที่ยม กังนั้เพื่อที่จะกำจัดนายทุนและปันส่วนจัดสรรการเข้าถึงทรัพากรให้กับทุกฝ่าย ส่งผลให้ปัจจัยการผลิตทั้งหมดนั้นต้อง
ในช่วงที่ฝรั่งเศสปกครองเวียดนามและมีสหพันธ์อินโดจีนนั้น การดูแลสหพันธ์อินโดจีนนั้นอยู่ภายใต้กระทรวงอาณานิคม สหพันธ์อินโดจีนแบ่งโครงสร้างการบริหารออกเป็นการบริหารงานส่วนกลางและการบริหารส่วนภูมิภาค
การบริหารงานส่วนกลาง ผุ้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารงานคือ ผุ้ว่าการหสพันธ์อินโดจีน ซึ่งประจำการอยู่ที่กรุงฮานอย เขาเป็นตัวแทนสุงสุดในการทำการแทนรัฐบาลฝรั่งเศส โดยมีสภาสหพันะ์อินโดจีนเป็นผู้ช่วยในการตัดสินใจ สภาดังกล่าวประกอบไปด้วยผุ้ว่าการสหพันธ์เป็นประธานสภา และสมาชิกที่เป็นชาวฝรั่งเศส รวมไปถึงคนเวียดนามอีก 2 คนทำหน้าทีเป็นตัวแทนคนพื้นเมือง
สภาหสพันธ์อินโดจีนประชุมปีละ 1 ครั้ง เพื่อภิปรายให้ความเห็นและอนุมัติวบประมาณ ผลการตัดสินหรือความเห็นชอบของสภาสหัพนธ์จะถูกส่งต่อไปยังกระทรวงที่สำคัญ 4 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงการบริหารกิจการการเมือง - การแกครอง กระทรวงกลาโหมกระทรวงกิจการภายในและสารนิเทศ และกระทรวงการคลัง
การบริหารภูมิภาค ฝรั่งเศสแบ่งการบริหารส่วนภุมิภาคในบริเวณอินดดจีนออกเป็น 5 ส่วนด้วยกัน คือ ดังเกี่๋ย ตอนเหนือของเวียดนาม, อันนัม ตอนกลางของเวียดนาม, ลาว, กัมพุชา (รัฐในอารักขา) โคชินจีน หรือทางตอนใต้ของเวียดนาม(อาณานิคม) บริเวณโคชินจีนนั้นจัดเป็นอาณานิคม อยุ่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสโดยตรง ผุ้มีอำนาจสุงสุดในโคชินจีนคือผุ้ว่าอาณานิคม โดยขึ้นตรงกับผุ้ว่าการสหพันธ์อินโดจีนที่ฮานอย มีหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านเศรษฐกิจ การเวิน การภาษีอากร แต่ไม่มีอำนาจในการให้คำปรึกษาหรือตัดสินใจด้านการเมือง นอกจานี้ยังมีสภาอาณานิคมโคชิจีนอีก 16 คน ซึ่งประกอบไปด้วยชาวฝรั่งเศสและชาวเวียดนาม และยังมีสภาที่ปรึกษาผุ้ว่าการอาณานิคมที่ม่สมาชิกเป็นทั้งชาวฝรั่งเศสและชาวเวียนาม ในส่วนของรัฐอารักขานั้น มีผุ้ว่าการสูงสุดขงอรับอารักขา ตามแต่ละรัฐอารักขา โดยมีอำนาจสุสุดและขึ้ตรงต่อผุว่การสหพันธ์อินโดจีนที่ฮานอย แต่เฉพาะในอันนัมเท่านั้นที่ฝรัี่งเสสยังคงสภาบันจักรพรรดิที่เว้และงอคกรบริหารงานส่วนใหย๋ของรัฐบาลจักรวรรดิไว้ แต่ไม่มีอำนาจที่แท้จริงเพราะมีอำนาจแต่ทางงานพิธิีการที่เกี่ยวข้องกับจารีตประเพณี สภาที่มีอำนาจทีทแ้จริงคือสภาผุ้ว่าการัฐอารักขา โดยมีผุ้ว่าการัฐอารักขาเป็นประธาน
ในช่วงที่ฝรั่งเศสเข้าไปปกครองเวียดนามและมีการแก้ไขโครงสร้างการปกครองท้องถิ่น ฝรั่งเศสแทบจะไม่เปลียนแปลงการปกครองในหมู่บ้าานเลย เพราะฝรั่งเศสคิดว่าจารีตการปกครองของปกครองในหมู่บ้านเลย เพราะฝรั่งเศสคิดว่าจารีตการปกครองของหมู่บ้านเวียดนามนั้นไม่มีผลต่อบทบาทของฝรังเศสในเวียดนาม ดังนั้นฝรั่งเศสจึงปล่อยให้รูปแบบที่เคยมีมานานแล้วในเวียดนามยังคงอยุ่ต่อไป
ช่วงที่ฝรั่งเศสเข้าปกครองเวียดนาม มีการจัดระบบการศึกษาใหม่ในเวียดนามเพื่อให้ชาวเวียดนามเรียรู้วิธีการบริหารราชการของฝรั่งเศสและเรียนรู้วัฒนธรรมฝรั่งเศสอื่นๆ รวมทั้ง หลังจาฝรั่งเศสเข้ายึดเวียดนาม ปัญญาชนจำนวนมากไม่ยอมไใ้ความร่วมมือกับฝรังเศส ทำให้ฝรั่งเสสจำเป็นต้องสร้างนักบริหารและนักปกครองรุ่นใหม่ขึ้นมาทำงานใรระบอบอาณานิคม ด้วยกานจัดตั้งโรงเรียนสอนราชการ
รูปแบบระบบการปกครองท้องถิ่นของเวียดนามในปัจจุบัน ต้องกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า รูปแบบการปกครองท้องถ่ินของเวียดนามนั้น เวียดนามแทบจะไม่มีการปกครองท้องถิ่นอยู่เลย เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของเวียดนามไม่มีองค์ประกอบการปกครองท้องถิ่นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเป้ฯอิสระของท้ถองถ่ินเพราะรัฐบาลส่วนกลางเข้ามาควบคุมดูแลในเกือบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องงบประมาณ การบริหารงานบุคคล หรือการบริารงานทั่วไปที่ให้อิสระแก่ท้องถ่ินค่อนข้างน้อย การได้มาซึ่งผู้บริหารหรือสภาท้องถิ่นที่ผ่านการเลือกตั่งในรูปแบบที่รัฐสามารภควบคุมได้ คือ จัดให้มีการเลือกตั้งจริงในหน่วยการปกครองต่างๆ แต่การเลือกตั้งไม่มีการแข่งขัน ผุ้สมัตรรับเลือกตั้งล้วนสังกัดพรรคคอมมิวนิสต์ อีกทั้งยังต้องได้รับการรับรองจากคณะกรรมการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์ในระดับบนก่อนเสมอจึงจะสามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผุ้บริหารท้องถิ่นได้ ดังนั้นรูปแบบการปกครองท้องถ่ินของเวียดนามจึงเทียบเคีรยงกับรูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทยได้ยาก
อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญเวียดนามได้กำหนดลำดับชั้นของการปกครองส่วนท้องถิ่นเอาไว้ ว่าด้วยสภาประชาชนและคณะกรรมการประชาชน รูปแบบการแบ่งการปกครองท้องถิ่นของเวียดนามนั้นอาจแตกต่างจากรัฐอื่นๆ เช่น สหพันธรัฐอย่างออสเตรเลียหรืออเมริกานั้นแบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน คือ ระดับสหพันธรัฐ ระดับรัฐ และระดับเดี่ยวอาจแบ่งกรปกครองอกเป็น 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลางและรัฐบาลต่ำกว่าชาติ เวียดนามก็แบ่งการปกครองออกเป็นสองระดับ เช่นเดียวกัน ระดับต่ำกว่าชาติ ก็คือระดับท้องถิ่น
รัฐธรรมนูญเวียดนามปี ค.ศ. 1992 รัฐบาลจัดโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่นออกเป็น 3 ระดับใหย๋ระดับสูงสุดคือรัฐบาลกลาง การปกครองท้องถิ่นระดับแรกคือระดับจังหวัด ระดับที่สองคือระดับเมืองและระดับที่สามคือระดับคอมมูน โดยในแต่ละระดับก็จะมีการแยกย่อยออกไปอีก ดังที่จะได้กล่าวในส่วนต่อไป ในแต่ละระดับ จะมีหน่วยงาานที่รับผิดชอบงานด้านท้องถิ่นอยู่ 4 หน่วยที่สำคัญคือ คณะกรรมการประชาชน สภาประชาชน ศาลประชาชน ตัวแทนประชาชน โดยในที่นี้จะมุ่งศึกษาแต่สภาประชาชนและคณกรรมการประชาชนเป้ฯหลัก เพราะเป็นสองหน่วยที่มีความเกี่ยวข้องกับการปกครองท้องถิ่นโดยตรง
อำนาจหน้าที่ของท้องถิ่น เราจะเห็นได้จากอำนาจหน้าที่ของสภาประชาชนและคณะกรรมการประชาชนว่ามีหน้าที่ที่หลากหลาย ทั้งในประเด็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยองท้องถิ่น ความมั่นคงของประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจ การดูแลวิทธยาศาตรืและเทคโนโลยี สิ่งเเวดดล้อม ศิลปะวัฒนธรรม กลุ่มชาติพันธุ์ และอื่นๆ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องจัดการเรือ่งสังคมของท้องถิ่นเป็นหลัก โครงสร้างการบริหารและทำงานของท้องถิ่นนั้นเป็นไปอย่างสลับซับซ้อน แต่ละระดับชั้นประกอบไปด้วยสภาประชาชนและคณะกรรมการประชาชน ซึ่งมีหน้าที่ในการรายงานตรวจสอบ ควบคุมการทำงานระหว่างกัน ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการตัดสินจและการทำงาน เพาระต้องอาศัยการเดินเรื่องเพื่อส่งต่อให้ตัดสินใจหลายขั้นตอน ทำให้การทำงานเกิดความล่าช้าในการตัดสินใจอนุมัติโครงการ
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางกับท้องถิ่น ในประเด็นเรื่องหน่วยของกความรับผิดชอบคือ ระดับของท้องถิ่นในการรับผิดชอบต่อการปกครองท้องถิ่น ท้องถิ่นของเวียดนามมีอำนาจในการจัดการประเด็นบางอย่าง เช่น ระบบการศึกษา กฎหมายหรือด้านตำรวจ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่รับผิดชอบสาธารณูปโภค เช่น ถนน ไฟฟ้า หรือโทรศัพท์ รวมถึงประเด็นเรื่องอุตสาหกรรม โรงพยาบาลก้เป็นหนึ่งในความรับผิดชอบของท้องถ่ิน และการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน โดยงบประมาณด้านสาธารณสุขนั้นจะมาจากค่าบริหารของผุ้ป่วยที่มาใช้บริหรในโรงพยาบาล การดุแลผู้สูงอายุและคนพิการนั้นเป็นหน้าที่ของครอบครัวที่ต้องดุแล แต่ก็มีหน่วยงานที่ช่วยดุแลบุคคลที่ไม่มีครอบครัวท้องถิ่นก็จะมีอำนาจในการดูแลหน่วยงานลักษณะนั้น หรืออาจกล่าวโดยสรุปก็คือ อำนาจของท้องถิ่นนั้นมีอำนาจในการดูแลประเด็นกว้างๆ ของสาธารณะ
อย่างไรก็ดี ด้วยรูปแบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ของเวียดนาม ส่งผลให้กระบวนการตัดสินใจและการบังคับออกกฎและดูแลท้องถ่ินของเวียดนามนั้นไม่เป็นอิสระ วบประมาณที่ต้องจัดสรรลงมาจากรัฐบาลส่วนกลางเพื่อดูแลท้องถิ่นนั้นก็เต็มไปด้วยกฎระเบียบเชิงราชการที่มีข้อกำหนดและกระบวนการมากมายเฉกเช่นเดี่ยวกับลักษระการทำงานของระบบราชการไทย ซึ่งส่งผลให้การกระทำการใดๆ นั้นเป็นไปด้วยความบ่าช้า ทั้งในเรื่องการตัดสินใจและการเบิกจ่ายวบประมาณ แต่ข้อดีของการผูกอำนาจไว้กับรัฐบาลส่วนกลางก็คือการที่รัฐบาลสามารถปรับเปลี่ยนวบประมาณไปในประเด็นที่มีความต้องการเร่งด่วนได้เร็วกว่า
งบประมาณท้องถิ่น รูปแบบอำนาจด้านงบประมาณของเวียดนามนั้นเป็นลำดับขั้นอย่างมาก และเป็นไปตามแบบ Matruska Doll Model ซึ่งงบประมาณจากหน่วยการปกครองระดับล่างต้องได้รับการอนุมัติทั้งจากสภาประชาชนและจากหน่วยงานราชการระดับสูง งลประมาณของท้องถ่ินถูกถือรวมเป็นงบประมาณของท้องถ่ินถูกถอืรวมเป็นงบประมาณของรัฐ
ท้องถิ่นไม่มีอิสระด้านวบประมาณของตัวเองมากนัก แม้ท้องถ่ินจะสามารถกำหนดเป้าหมายและของบประมาณไปยังส่วนกลาง แต่งบประมาณของท้องถิ่นก็ยังรวมกับวบส่วนกลาง นอกจากนี้.โครงสร้างแบบลำดับชั้น นั้นก็ส่งผลให้ต้องอาศัยการได้รับการอนุมัติที่ยุ่งยาก อย่างไรก็ดี กฎหมายที่มีความสำคัญต่องบประมาณของเวียดนามคือ กฎหมายวบประมาณของรัฐ ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 และมีการแก้ไขครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 2002 กฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายฉบับแรกของเวียดนามที่มีการพูดถึงเรื่องงบประมาณการเงินและากรคลังของประเทศ
ในปี ค.ศ. 1996 กฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดให้มีการแบ่งงบประมาณออกเป็นสองสวนใหญ๋คือวบประมาณส่วนกลางและวบประมษรท้องถ่ิน โดยวบประมารศ่วนกลางมีหน้าที่ในการสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลกลางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของประทเส ในขณะที่วบประมาณส่วนท้องถิ่นนั้นมีหน้าที่ในการสนับสนุนการทำงานของสภประชาชนและคณกรรมการปรกชาชน รวมไปถึงหย่วยงานระดับท้องถ่ินทอืนๆ รวมไปถึงกระบวนการของวบประมาณและการจัดการการตรวจสอบ และอื่นๆ
กฎหมายวบประมาณของรัฐได้รับการแห้ไขครั้งแรกในปี ค.ศ.1998 และอีกครั้งในปี ค.ศ. 2002 โดยกำหนดให้รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นมีที่มาของรายได้ไม่ทับซ้อนกันในบางประเด็น และให้ใช้ร่วมกันในบางประเด็น ประเด็นที่สำคัญก็คือ แปล่งที่มาของรายได้นั้นมาจากแหล่งที่แตกต่างกันออกไปดังที่เสนอไปในตาราง ในส่วนของการตัดสินใจการใช้งบประมาณของสภาประชาชนนั้นจะเป็นการตัดสินใจโดยสภาประชาชนเองตามที่ได้รัฐบาลได้นัดสรรให้มา...
... ปัญหารเรื่องการรวมศุนย์อำนาจ เวียดนามปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ปัญหาของการรวมสูนย์อำนาจของเวียดนามไว้ที่รัฐบาลส่วนกลางได้ส่งผลต่อกาปกครองท้ถงอิ่นของเวยดนาม อีกทั้งรูปแบบการปกครองท้องถ่ินของเวียดนามเองนั้นก็ไม่ได้เป็นไปในลักษระการปกครองท้องถิ่นที่สังคมไทยเข้าใจ เนื่องจากยังเน้นการปกครองจากส่วนกลาง การไม่มีโครงกสร้าง อำนาจ หน้าที่ การเงิน หรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ อีกทั้งปัญหาในระบอบการปกครองแบบคอมมิวินิสต์เองก็มีปัญหาในตัวของมนัน เราอาจสรุปได้ว่าปัญหาของการปกครองท้องถ่ินเวยดนามมีดังนี้
- การทำงานขององค์รปกครองสวนท้องถ่ินขดการมีส่วนร่วมของประชาชน และขาดความกระตือรือร้นในการแก้ไขปัญหา
- การตัดสินใจไม่มีความยือหยุ่น ไม่เป็นไปตามกำหมายซึ่งนำไปสู่การร้องทุกข์และการฟ้องร้อง
- มีการละเมิดสิทธิขั้นพี้นฐานของประชาชน
- มีการคอรัปชั้นกันอย่างกว้างขว้าง
- เจ้าหน้าที่ท้องถ่ินไม่มีความคิดริเร่ิมในกิจการงานใหม่ๆ
- เจ้าหน้าที่ท้องถ่ินมีการตอบสนองต่อความต้องการของเจ้านายระดับบนเป็ฯอย่างดีแต่ไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องต่อประชาชน
- เจ้าหน้าที่ไม่คุ้นเคยกับกฎระเบียบของกฎหมาย มักจะใช้ดุลยพินิจส่วนตัวในการแห้ไขปญ
- เจ้าหน้าที่ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการออกกฎหมาย
ทั้งหมดนี้ พอจะทำให้เห็นได้ว่า การปกครองท้องถ่ินของเวียดนามยังขาดความเป็นอิสระอยู่มาก ซึ่งมีลักาณะที่เรียกว่า "การปกครองท้องถิ่นโดยรัฐ" แต่แม้จะมีปัญหาดังที่ได้กล่าวมาในข้าองต้น รัฐบาลกลางของเวียดนามก็ได้พยายามแสวงหาแนวทางในการที่ะแก้ไขปัญหาที่มีความเกี่ยวข้องกับการปกครองท้องถิ่นเอาไว้บ้างแล้ว หลายๆ ปัญหาที่ได้หล่าวมา เกิดขึ้นจากการที่อำนานทั้งหลายของการปกครองท้ถงอิ่นไปกระจุกตัวอยู่ที่รัฐบาลส่วนกลาง ดังนั้น เพื่อจะเป็นการลดปัญหาการปกครองส่วนท้องถิ่นรัฐบาลเวียดนามจึงได้เร่ิมมีการพูดถึงการกรจายอำนาจไปสู่ท้องถ่ินโดยได้กำหนดหลักในการกะจายอำนาจดังนี้
- กระจายอำนาจต้องไม่มีผลกระทบต่อความเป็นอันเหนึ่งอันเดียวกันของรัฐ อำนาจของรัฐต้องเป็นอันหนึ่งอันเดี่ยวกันจะแบ่งแยกไม่ได้
- ต้องหารูปแบบที่เหมาะสมเสียก่อน กล่าวคือ การจะกระจายอำนาจไปสู่ท้องถ่ินนั้นต้องมีการทำการวิจัย ออกแบบ และวิเคราะห์ถึงผลกระทบในมิติต่างๆ เสียก่อน
- การกระจายอำนาจต้องดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปและระมักระวัง
- การกำหนดอำนาจกน้าที่ระหว่างสวนกลางและท้องถ่ินต้องเป็นไปเพื่อเพิ่มประสทิธิภาพของการทำงานของส่วนกลาวและในขณะเียวกันก็ต้องเพิ่มความเป็นอิสระของท้อถงิุ่นในการตัดสินใจด้านสังคมและเศรษฐกิจของท้องถิ่นนั้นๆ
- อำนาจและหน้าที่ของทั้งรับบาลกลางและรัฐบาลท้องถ่ินต้องได้รับการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้ทราบว่าอำาจหน้าที่ใดมีความเมหาะสมกบท้องถ่ิน
- หน่วยงานของส่วนกลางต้องไม่สร้างดครงสร้างองค์กรเหมือนกับโครงสร้างองค์กรของหน่วยงานของท้องถิ่น
- การกระจายอำนาจที่ดีต้องก่อให้เกิดผล 4 ประการ คือ การมีการบริาหรกิจการบ้านเมืองที่ดี การเพ่ิมความสะดวกแก่ประชาชนในท้องที่ การส่งเสริมการปกครองโดยยึดหลักฎหมาย การเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน จากแนวคิดเรื่องการกรจายอำนาจดังกลล่าวส่งผลให้รัฐบาลมีการกำหนดบทบาทความรับผิดชอบกับรัฐบาลท้องถ่ินแยหกันไว้ 3 หน้าที่คือ
1 รัฐบาลและหน่วยงาน่วนกลางทมีหน้าที่รับผิชอบหลัก 7 เรื่อง คือ การเมือง เศรษฐฏิจ วัฒนธรรม สังคม ป้องกันประเทศ การรักษาความสงบเรียบร้อย และการดำเนินการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
2 ส่วนท้องถ่ินมีหน้ามีรับผิชอบตอประชาชนในท้องถ่ินในเรื่อง
- การสร้างการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีในท้องถิ่นให้สอดคล้งกบเจตนารมของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อหลักประกันเอกภาพความเป็นผุ้นำของรัฐบาลกลาง
- การดำเนินการอย่างสร้างสรรค์และอย่างมุ่งมั่นในการพัฒนาทุกด้านในท้องถิ่นในการบริการสาธารณะที่ดีต่อประชาชน
- การส่งเสริมการปกครองตามหลักนิติธรรมของรัฐสังคมนิยม และส่งสเริมกลไกของประชาชน โดยประชาชน เพื่อปรชาชน
- การธำรงรักษาความมั่นคงและปรับปรุงมตรฐานการครองชีพของประชาชน รวมท้งการพัฒนาการผลิตทั้งหลาย โดยมีการใช้ศักยภาพของคนให้เหมาะสม
3 ความสัมพันธ์ของอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่างรัฐบาลกลางและท้องถ่ิน ต้องมีควมชัดเจน รัฐบาลเวียดนามถือว่าเรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการปกคีองท้ถงิถ่ิน และเพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานที่ซ็ำซ้อนและการสะดุด โดยยึดหลักการเป็นอิสระของท้องถิ่นและดดยส่งเสริมบทบาทของภาคประชาชนในการตรวจสอบลการทำงานของรัฐบาลกลางและท้องถิ่น
- "ระบบการปกครองท้องถิ่น ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน : สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม", นรุตม์ เจริญศรี, วิทยาลัยพัฒนากากรปครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า, 2556.
โครงสร้างการปกครองของเวียดนามแบ่งออกเป็น 3 ฝ่ายหลักๆ คือ
1 องค์การฝ่ายนิติบัญญัติ หรือสมับบาแห่งชาติ เป็นหน่วยงานสูงสุด้านนิติบัญญัติเปรียบเทียบำับหน่วยงานของไทยได้เทียบกับรัฐสภา สมัชชาแห่งชาติเป็นองค์กรที่สมาชิกได้มาจากการเลือกตั้ง มีจำนวนทั้งหมด 493 คน มีหน้าที่บัญญัติและแก้ไขกฎหมาย แต่างตั้งประธานาธิบดีตามที่พรรคคอมมิวนิสต์เสนอ การรับรองและถอดถอนนายกรัฐมนตรีตามที่ประธานาธิบิี เสนอ รวมทั้งการแต่างตั้งคณะรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ หน้าที่ของสมัชชาแห่งชาติคือการตรา รับรอง และแก้ไขรัฐธรรมนูญ พิจารณากฎหมาย พิจารณางบประมาณประจำปี อีกทั้งพิจารณาแต่างตั้งสถาบันทางการเมืองอื่นๆ ด้วยได้ แก่ สภาแห่งรัฐ สภารัฐมนตรี ศาลสูงสุด และองค์กรควบคุมประชาชน
2 องค์การฝ่ายบริหาร (รัฐบาลส่วนกลาง) ประกอบด้วยประธานนาธิบดี คณะรัฐมนตรี รวมทั้งพรรคอมมิวนิสต์ โดยองค์กรที่มีหน้าที่บรริหารพรรคอมมิวนิสต์ โดยองค์กรที่มีหน้าทบริหารพรรคอมมิวนิสต์
3 รัฐบาลระดับท้องถ่ิน หรือที่อาจเรียกได้ว่า สภาประชาชนและคณะกรรมการประชาชน มีคณะกรรมการประชาชนประจำท้องถ่ินนั้น ทำหน้าที่เป็นองค์กรบริหารสูงสุดบริหารงานให้เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎระเบียบต่างๆ ที่บัญญัติโดยองค์ของรัฐที่อยู่ในระดับสูงกว่า ระบบการบริหารราชการท้องถิ่นของเวียดนามแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ลักษณะเฉพาะที่สำคัญของการปกครองเวียดนามก็คือเป็นการปกครองแบบที่เรียกว่า "โครงสร้างขนานระหว่างพรรคและรัฐ"กล่าวคือ พรรคคอมมิวนิสต์กับรัฐมีความสัมพันะ์กันอย่งแนบแน่น จำไม่สามารถแยกพรรคกับรัฐมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น จนไใามสามารถแยกพรรคกับรัฐออกจากกันได้ เพราะบุคคลที่บริหารงานต่างก็เป็นสมาชิกพรรคอมมิวินสิต์ด้วยกันทั้งสิ้น
ระบบโครงสร้างทางการเมืองของเวียดนามนั้นมีลักาณะคล้ายคลึงกับประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ คือ มีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนามเป็ฯองค์กรที่มีความสำคัญสูงสุด บทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์นั้นมีมากในรัฐะรรมนูญทุกฉบับกำหนดให้เคารพบทบาทนำของพรรคในการใช้อำนาจของรัฐมากกว่าในระบบเสรีประชาธิปไตแบบทั่วไป หากพิจารณจากมาตราที่ 4 ของรัฐธรรมนูญเวียดนามจะพบวาได้ระบุเอาไว้ถึงการให้อำนาจแก่พรรคคอมมิวนิสต์ไว้ว่า "พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม..เป็นพลังจำของรัฐและสังคม"
โครงสร้างากรบริาหรของประเทศเวียดนามนั้นมีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้บริหาร ตัวแทนที่เข้าไปอยู่ในสภมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี รัฐบาลนั้นมีนายกรัฐมนตรีเป็นผุ้นำซึ่งได้ับการคัดเลือกมาจากสมัชชาแห่งชาติ และดำรงตำแหน่งวาระ 5 ปี นอกจานี้ก็ยังมีประธานาธิบดี ซึ่งทำหน้าทีเป็นประมุขของรัฐเชนเดี่ยวกันและได้รับการคัดเลือกจากสมัชชาแห่งชาติเช่นเดี่ยวกันทั้งสองเป็นสมรชิกของกรมการเมือง ซึ่งกรมการเมืองเป็นกลุ่มของคนที่ถือว่าเป็นหัวกะทิของพรรค เป็นผุ้ที่มีอำนาจสุงสุดภายในประเทศ
ลักษณะการปกครองแบบรวมศูนย์ของเวียดนามนั้น มีผุ้วิเคราะห์ไว้ว่า เกิดจากการได้รับอิทธิพลของสองความคิด คือ แนวคิดในลัทธิขงจื้อ ซึ่งเป็นมรดกจากการที่เวียดนามเคยอยู่ภายใต้การปกครองของจีนพันหว่าปี ซึ่งลักษณะของการกครองแบบขงจื้อคือการเน้นศูนย์อำนาจอยู่ที่ส่วนกลาง อีกความคิดหนึ่งที่ส่งผลต่อรูปแบบการปกครองเวียดนามก็คือแนวคิดในลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งแพร่ขยายเข้ามาสู่เวียดนามในช่วงคริสต์ศตวรษที่ 20 กรอบความคิดแบบคอมมิวนิสต์นั้นเน้นการปกครองแบบรัฐรวมศุนย์ เชื่อมั่ว่ากรรมสิทธิ์ทุกอย่างเป็นของสังคมโดยรวม ประชาชนมีสทิะิ์ในหารเข้ถึงทรัพยากรได้อย่างเท่าเที่ยม กังนั้เพื่อที่จะกำจัดนายทุนและปันส่วนจัดสรรการเข้าถึงทรัพากรให้กับทุกฝ่าย ส่งผลให้ปัจจัยการผลิตทั้งหมดนั้นต้อง
ในช่วงที่ฝรั่งเศสปกครองเวียดนามและมีสหพันธ์อินโดจีนนั้น การดูแลสหพันธ์อินโดจีนนั้นอยู่ภายใต้กระทรวงอาณานิคม สหพันธ์อินโดจีนแบ่งโครงสร้างการบริหารออกเป็นการบริหารงานส่วนกลางและการบริหารส่วนภูมิภาค
การบริหารงานส่วนกลาง ผุ้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารงานคือ ผุ้ว่าการหสพันธ์อินโดจีน ซึ่งประจำการอยู่ที่กรุงฮานอย เขาเป็นตัวแทนสุงสุดในการทำการแทนรัฐบาลฝรั่งเศส โดยมีสภาสหพันะ์อินโดจีนเป็นผู้ช่วยในการตัดสินใจ สภาดังกล่าวประกอบไปด้วยผุ้ว่าการสหพันธ์เป็นประธานสภา และสมาชิกที่เป็นชาวฝรั่งเศส รวมไปถึงคนเวียดนามอีก 2 คนทำหน้าทีเป็นตัวแทนคนพื้นเมือง
สภาหสพันธ์อินโดจีนประชุมปีละ 1 ครั้ง เพื่อภิปรายให้ความเห็นและอนุมัติวบประมาณ ผลการตัดสินหรือความเห็นชอบของสภาสหัพนธ์จะถูกส่งต่อไปยังกระทรวงที่สำคัญ 4 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงการบริหารกิจการการเมือง - การแกครอง กระทรวงกลาโหมกระทรวงกิจการภายในและสารนิเทศ และกระทรวงการคลัง
การบริหารภูมิภาค ฝรั่งเศสแบ่งการบริหารส่วนภุมิภาคในบริเวณอินดดจีนออกเป็น 5 ส่วนด้วยกัน คือ ดังเกี่๋ย ตอนเหนือของเวียดนาม, อันนัม ตอนกลางของเวียดนาม, ลาว, กัมพุชา (รัฐในอารักขา) โคชินจีน หรือทางตอนใต้ของเวียดนาม(อาณานิคม) บริเวณโคชินจีนนั้นจัดเป็นอาณานิคม อยุ่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสโดยตรง ผุ้มีอำนาจสุงสุดในโคชินจีนคือผุ้ว่าอาณานิคม โดยขึ้นตรงกับผุ้ว่าการสหพันธ์อินโดจีนที่ฮานอย มีหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านเศรษฐกิจ การเวิน การภาษีอากร แต่ไม่มีอำนาจในการให้คำปรึกษาหรือตัดสินใจด้านการเมือง นอกจานี้ยังมีสภาอาณานิคมโคชิจีนอีก 16 คน ซึ่งประกอบไปด้วยชาวฝรั่งเศสและชาวเวียดนาม และยังมีสภาที่ปรึกษาผุ้ว่าการอาณานิคมที่ม่สมาชิกเป็นทั้งชาวฝรั่งเศสและชาวเวียนาม ในส่วนของรัฐอารักขานั้น มีผุ้ว่าการสูงสุดขงอรับอารักขา ตามแต่ละรัฐอารักขา โดยมีอำนาจสุสุดและขึ้ตรงต่อผุว่การสหพันธ์อินโดจีนที่ฮานอย แต่เฉพาะในอันนัมเท่านั้นที่ฝรัี่งเสสยังคงสภาบันจักรพรรดิที่เว้และงอคกรบริหารงานส่วนใหย๋ของรัฐบาลจักรวรรดิไว้ แต่ไม่มีอำนาจที่แท้จริงเพราะมีอำนาจแต่ทางงานพิธิีการที่เกี่ยวข้องกับจารีตประเพณี สภาที่มีอำนาจทีทแ้จริงคือสภาผุ้ว่าการัฐอารักขา โดยมีผุ้ว่าการัฐอารักขาเป็นประธาน
ในช่วงที่ฝรั่งเศสเข้าไปปกครองเวียดนามและมีการแก้ไขโครงสร้างการปกครองท้องถิ่น ฝรั่งเศสแทบจะไม่เปลียนแปลงการปกครองในหมู่บ้าานเลย เพราะฝรั่งเศสคิดว่าจารีตการปกครองของปกครองในหมู่บ้านเลย เพราะฝรั่งเศสคิดว่าจารีตการปกครองของหมู่บ้านเวียดนามนั้นไม่มีผลต่อบทบาทของฝรังเศสในเวียดนาม ดังนั้นฝรั่งเศสจึงปล่อยให้รูปแบบที่เคยมีมานานแล้วในเวียดนามยังคงอยุ่ต่อไป
ช่วงที่ฝรั่งเศสเข้าปกครองเวียดนาม มีการจัดระบบการศึกษาใหม่ในเวียดนามเพื่อให้ชาวเวียดนามเรียรู้วิธีการบริหารราชการของฝรั่งเศสและเรียนรู้วัฒนธรรมฝรั่งเศสอื่นๆ รวมทั้ง หลังจาฝรั่งเศสเข้ายึดเวียดนาม ปัญญาชนจำนวนมากไม่ยอมไใ้ความร่วมมือกับฝรังเศส ทำให้ฝรั่งเสสจำเป็นต้องสร้างนักบริหารและนักปกครองรุ่นใหม่ขึ้นมาทำงานใรระบอบอาณานิคม ด้วยกานจัดตั้งโรงเรียนสอนราชการ
รูปแบบระบบการปกครองท้องถิ่นของเวียดนามในปัจจุบัน ต้องกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า รูปแบบการปกครองท้องถ่ินของเวียดนามนั้น เวียดนามแทบจะไม่มีการปกครองท้องถิ่นอยู่เลย เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของเวียดนามไม่มีองค์ประกอบการปกครองท้องถิ่นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเป้ฯอิสระของท้ถองถ่ินเพราะรัฐบาลส่วนกลางเข้ามาควบคุมดูแลในเกือบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องงบประมาณ การบริหารงานบุคคล หรือการบริารงานทั่วไปที่ให้อิสระแก่ท้องถ่ินค่อนข้างน้อย การได้มาซึ่งผู้บริหารหรือสภาท้องถิ่นที่ผ่านการเลือกตั่งในรูปแบบที่รัฐสามารภควบคุมได้ คือ จัดให้มีการเลือกตั้งจริงในหน่วยการปกครองต่างๆ แต่การเลือกตั้งไม่มีการแข่งขัน ผุ้สมัตรรับเลือกตั้งล้วนสังกัดพรรคคอมมิวนิสต์ อีกทั้งยังต้องได้รับการรับรองจากคณะกรรมการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์ในระดับบนก่อนเสมอจึงจะสามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผุ้บริหารท้องถิ่นได้ ดังนั้นรูปแบบการปกครองท้องถ่ินของเวียดนามจึงเทียบเคีรยงกับรูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทยได้ยาก
อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญเวียดนามได้กำหนดลำดับชั้นของการปกครองส่วนท้องถิ่นเอาไว้ ว่าด้วยสภาประชาชนและคณะกรรมการประชาชน รูปแบบการแบ่งการปกครองท้องถิ่นของเวียดนามนั้นอาจแตกต่างจากรัฐอื่นๆ เช่น สหพันธรัฐอย่างออสเตรเลียหรืออเมริกานั้นแบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน คือ ระดับสหพันธรัฐ ระดับรัฐ และระดับเดี่ยวอาจแบ่งกรปกครองอกเป็น 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลางและรัฐบาลต่ำกว่าชาติ เวียดนามก็แบ่งการปกครองออกเป็นสองระดับ เช่นเดียวกัน ระดับต่ำกว่าชาติ ก็คือระดับท้องถิ่น
รัฐธรรมนูญเวียดนามปี ค.ศ. 1992 รัฐบาลจัดโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่นออกเป็น 3 ระดับใหย๋ระดับสูงสุดคือรัฐบาลกลาง การปกครองท้องถิ่นระดับแรกคือระดับจังหวัด ระดับที่สองคือระดับเมืองและระดับที่สามคือระดับคอมมูน โดยในแต่ละระดับก็จะมีการแยกย่อยออกไปอีก ดังที่จะได้กล่าวในส่วนต่อไป ในแต่ละระดับ จะมีหน่วยงาานที่รับผิดชอบงานด้านท้องถิ่นอยู่ 4 หน่วยที่สำคัญคือ คณะกรรมการประชาชน สภาประชาชน ศาลประชาชน ตัวแทนประชาชน โดยในที่นี้จะมุ่งศึกษาแต่สภาประชาชนและคณกรรมการประชาชนเป้ฯหลัก เพราะเป็นสองหน่วยที่มีความเกี่ยวข้องกับการปกครองท้องถิ่นโดยตรง
อำนาจหน้าที่ของท้องถิ่น เราจะเห็นได้จากอำนาจหน้าที่ของสภาประชาชนและคณะกรรมการประชาชนว่ามีหน้าที่ที่หลากหลาย ทั้งในประเด็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยองท้องถิ่น ความมั่นคงของประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจ การดูแลวิทธยาศาตรืและเทคโนโลยี สิ่งเเวดดล้อม ศิลปะวัฒนธรรม กลุ่มชาติพันธุ์ และอื่นๆ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องจัดการเรือ่งสังคมของท้องถิ่นเป็นหลัก โครงสร้างการบริหารและทำงานของท้องถิ่นนั้นเป็นไปอย่างสลับซับซ้อน แต่ละระดับชั้นประกอบไปด้วยสภาประชาชนและคณะกรรมการประชาชน ซึ่งมีหน้าที่ในการรายงานตรวจสอบ ควบคุมการทำงานระหว่างกัน ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการตัดสินจและการทำงาน เพาระต้องอาศัยการเดินเรื่องเพื่อส่งต่อให้ตัดสินใจหลายขั้นตอน ทำให้การทำงานเกิดความล่าช้าในการตัดสินใจอนุมัติโครงการ
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางกับท้องถิ่น ในประเด็นเรื่องหน่วยของกความรับผิดชอบคือ ระดับของท้องถิ่นในการรับผิดชอบต่อการปกครองท้องถิ่น ท้องถิ่นของเวียดนามมีอำนาจในการจัดการประเด็นบางอย่าง เช่น ระบบการศึกษา กฎหมายหรือด้านตำรวจ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่รับผิดชอบสาธารณูปโภค เช่น ถนน ไฟฟ้า หรือโทรศัพท์ รวมถึงประเด็นเรื่องอุตสาหกรรม โรงพยาบาลก้เป็นหนึ่งในความรับผิดชอบของท้องถ่ิน และการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน โดยงบประมาณด้านสาธารณสุขนั้นจะมาจากค่าบริหารของผุ้ป่วยที่มาใช้บริหรในโรงพยาบาล การดุแลผู้สูงอายุและคนพิการนั้นเป็นหน้าที่ของครอบครัวที่ต้องดุแล แต่ก็มีหน่วยงานที่ช่วยดุแลบุคคลที่ไม่มีครอบครัวท้องถิ่นก็จะมีอำนาจในการดูแลหน่วยงานลักษณะนั้น หรืออาจกล่าวโดยสรุปก็คือ อำนาจของท้องถิ่นนั้นมีอำนาจในการดูแลประเด็นกว้างๆ ของสาธารณะ
อย่างไรก็ดี ด้วยรูปแบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ของเวียดนาม ส่งผลให้กระบวนการตัดสินใจและการบังคับออกกฎและดูแลท้องถ่ินของเวียดนามนั้นไม่เป็นอิสระ วบประมาณที่ต้องจัดสรรลงมาจากรัฐบาลส่วนกลางเพื่อดูแลท้องถิ่นนั้นก็เต็มไปด้วยกฎระเบียบเชิงราชการที่มีข้อกำหนดและกระบวนการมากมายเฉกเช่นเดี่ยวกับลักษระการทำงานของระบบราชการไทย ซึ่งส่งผลให้การกระทำการใดๆ นั้นเป็นไปด้วยความบ่าช้า ทั้งในเรื่องการตัดสินใจและการเบิกจ่ายวบประมาณ แต่ข้อดีของการผูกอำนาจไว้กับรัฐบาลส่วนกลางก็คือการที่รัฐบาลสามารถปรับเปลี่ยนวบประมาณไปในประเด็นที่มีความต้องการเร่งด่วนได้เร็วกว่า
งบประมาณท้องถิ่น รูปแบบอำนาจด้านงบประมาณของเวียดนามนั้นเป็นลำดับขั้นอย่างมาก และเป็นไปตามแบบ Matruska Doll Model ซึ่งงบประมาณจากหน่วยการปกครองระดับล่างต้องได้รับการอนุมัติทั้งจากสภาประชาชนและจากหน่วยงานราชการระดับสูง งลประมาณของท้องถ่ินถูกถือรวมเป็นงบประมาณของท้องถ่ินถูกถอืรวมเป็นงบประมาณของรัฐ
ท้องถิ่นไม่มีอิสระด้านวบประมาณของตัวเองมากนัก แม้ท้องถ่ินจะสามารถกำหนดเป้าหมายและของบประมาณไปยังส่วนกลาง แต่งบประมาณของท้องถิ่นก็ยังรวมกับวบส่วนกลาง นอกจากนี้.โครงสร้างแบบลำดับชั้น นั้นก็ส่งผลให้ต้องอาศัยการได้รับการอนุมัติที่ยุ่งยาก อย่างไรก็ดี กฎหมายที่มีความสำคัญต่องบประมาณของเวียดนามคือ กฎหมายวบประมาณของรัฐ ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 และมีการแก้ไขครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 2002 กฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายฉบับแรกของเวียดนามที่มีการพูดถึงเรื่องงบประมาณการเงินและากรคลังของประเทศ
ในปี ค.ศ. 1996 กฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดให้มีการแบ่งงบประมาณออกเป็นสองสวนใหญ๋คือวบประมาณส่วนกลางและวบประมษรท้องถ่ิน โดยวบประมารศ่วนกลางมีหน้าที่ในการสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลกลางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของประทเส ในขณะที่วบประมาณส่วนท้องถิ่นนั้นมีหน้าที่ในการสนับสนุนการทำงานของสภประชาชนและคณกรรมการปรกชาชน รวมไปถึงหย่วยงานระดับท้องถ่ินทอืนๆ รวมไปถึงกระบวนการของวบประมาณและการจัดการการตรวจสอบ และอื่นๆ
กฎหมายวบประมาณของรัฐได้รับการแห้ไขครั้งแรกในปี ค.ศ.1998 และอีกครั้งในปี ค.ศ. 2002 โดยกำหนดให้รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นมีที่มาของรายได้ไม่ทับซ้อนกันในบางประเด็น และให้ใช้ร่วมกันในบางประเด็น ประเด็นที่สำคัญก็คือ แปล่งที่มาของรายได้นั้นมาจากแหล่งที่แตกต่างกันออกไปดังที่เสนอไปในตาราง ในส่วนของการตัดสินใจการใช้งบประมาณของสภาประชาชนนั้นจะเป็นการตัดสินใจโดยสภาประชาชนเองตามที่ได้รัฐบาลได้นัดสรรให้มา...
... ปัญหารเรื่องการรวมศุนย์อำนาจ เวียดนามปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ปัญหาของการรวมสูนย์อำนาจของเวียดนามไว้ที่รัฐบาลส่วนกลางได้ส่งผลต่อกาปกครองท้ถงอิ่นของเวยดนาม อีกทั้งรูปแบบการปกครองท้องถ่ินของเวียดนามเองนั้นก็ไม่ได้เป็นไปในลักษระการปกครองท้องถิ่นที่สังคมไทยเข้าใจ เนื่องจากยังเน้นการปกครองจากส่วนกลาง การไม่มีโครงกสร้าง อำนาจ หน้าที่ การเงิน หรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ อีกทั้งปัญหาในระบอบการปกครองแบบคอมมิวินิสต์เองก็มีปัญหาในตัวของมนัน เราอาจสรุปได้ว่าปัญหาของการปกครองท้องถ่ินเวยดนามมีดังนี้
- การทำงานขององค์รปกครองสวนท้องถ่ินขดการมีส่วนร่วมของประชาชน และขาดความกระตือรือร้นในการแก้ไขปัญหา
- การตัดสินใจไม่มีความยือหยุ่น ไม่เป็นไปตามกำหมายซึ่งนำไปสู่การร้องทุกข์และการฟ้องร้อง
- มีการละเมิดสิทธิขั้นพี้นฐานของประชาชน
- มีการคอรัปชั้นกันอย่างกว้างขว้าง
- เจ้าหน้าที่ท้องถ่ินไม่มีความคิดริเร่ิมในกิจการงานใหม่ๆ
- เจ้าหน้าที่ท้องถ่ินมีการตอบสนองต่อความต้องการของเจ้านายระดับบนเป็ฯอย่างดีแต่ไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องต่อประชาชน
- เจ้าหน้าที่ไม่คุ้นเคยกับกฎระเบียบของกฎหมาย มักจะใช้ดุลยพินิจส่วนตัวในการแห้ไขปญ
- เจ้าหน้าที่ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการออกกฎหมาย
ทั้งหมดนี้ พอจะทำให้เห็นได้ว่า การปกครองท้องถ่ินของเวียดนามยังขาดความเป็นอิสระอยู่มาก ซึ่งมีลักาณะที่เรียกว่า "การปกครองท้องถิ่นโดยรัฐ" แต่แม้จะมีปัญหาดังที่ได้กล่าวมาในข้าองต้น รัฐบาลกลางของเวียดนามก็ได้พยายามแสวงหาแนวทางในการที่ะแก้ไขปัญหาที่มีความเกี่ยวข้องกับการปกครองท้องถิ่นเอาไว้บ้างแล้ว หลายๆ ปัญหาที่ได้หล่าวมา เกิดขึ้นจากการที่อำนานทั้งหลายของการปกครองท้ถงอิ่นไปกระจุกตัวอยู่ที่รัฐบาลส่วนกลาง ดังนั้น เพื่อจะเป็นการลดปัญหาการปกครองส่วนท้องถิ่นรัฐบาลเวียดนามจึงได้เร่ิมมีการพูดถึงการกรจายอำนาจไปสู่ท้องถ่ินโดยได้กำหนดหลักในการกะจายอำนาจดังนี้
- กระจายอำนาจต้องไม่มีผลกระทบต่อความเป็นอันเหนึ่งอันเดียวกันของรัฐ อำนาจของรัฐต้องเป็นอันหนึ่งอันเดี่ยวกันจะแบ่งแยกไม่ได้
- ต้องหารูปแบบที่เหมาะสมเสียก่อน กล่าวคือ การจะกระจายอำนาจไปสู่ท้องถ่ินนั้นต้องมีการทำการวิจัย ออกแบบ และวิเคราะห์ถึงผลกระทบในมิติต่างๆ เสียก่อน
- การกระจายอำนาจต้องดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปและระมักระวัง
- การกำหนดอำนาจกน้าที่ระหว่างสวนกลางและท้องถ่ินต้องเป็นไปเพื่อเพิ่มประสทิธิภาพของการทำงานของส่วนกลาวและในขณะเียวกันก็ต้องเพิ่มความเป็นอิสระของท้อถงิุ่นในการตัดสินใจด้านสังคมและเศรษฐกิจของท้องถิ่นนั้นๆ
- อำนาจและหน้าที่ของทั้งรับบาลกลางและรัฐบาลท้องถ่ินต้องได้รับการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้ทราบว่าอำาจหน้าที่ใดมีความเมหาะสมกบท้องถ่ิน
- หน่วยงานของส่วนกลางต้องไม่สร้างดครงสร้างองค์กรเหมือนกับโครงสร้างองค์กรของหน่วยงานของท้องถิ่น
- การกระจายอำนาจที่ดีต้องก่อให้เกิดผล 4 ประการ คือ การมีการบริาหรกิจการบ้านเมืองที่ดี การเพ่ิมความสะดวกแก่ประชาชนในท้องที่ การส่งเสริมการปกครองโดยยึดหลักฎหมาย การเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน จากแนวคิดเรื่องการกรจายอำนาจดังกลล่าวส่งผลให้รัฐบาลมีการกำหนดบทบาทความรับผิดชอบกับรัฐบาลท้องถ่ินแยหกันไว้ 3 หน้าที่คือ
1 รัฐบาลและหน่วยงาน่วนกลางทมีหน้าที่รับผิชอบหลัก 7 เรื่อง คือ การเมือง เศรษฐฏิจ วัฒนธรรม สังคม ป้องกันประเทศ การรักษาความสงบเรียบร้อย และการดำเนินการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
2 ส่วนท้องถ่ินมีหน้ามีรับผิชอบตอประชาชนในท้องถ่ินในเรื่อง
- การสร้างการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีในท้องถิ่นให้สอดคล้งกบเจตนารมของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อหลักประกันเอกภาพความเป็นผุ้นำของรัฐบาลกลาง
- การดำเนินการอย่างสร้างสรรค์และอย่างมุ่งมั่นในการพัฒนาทุกด้านในท้องถิ่นในการบริการสาธารณะที่ดีต่อประชาชน
- การส่งเสริมการปกครองตามหลักนิติธรรมของรัฐสังคมนิยม และส่งสเริมกลไกของประชาชน โดยประชาชน เพื่อปรชาชน
- การธำรงรักษาความมั่นคงและปรับปรุงมตรฐานการครองชีพของประชาชน รวมท้งการพัฒนาการผลิตทั้งหลาย โดยมีการใช้ศักยภาพของคนให้เหมาะสม
3 ความสัมพันธ์ของอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่างรัฐบาลกลางและท้องถ่ิน ต้องมีควมชัดเจน รัฐบาลเวียดนามถือว่าเรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการปกคีองท้ถงิถ่ิน และเพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานที่ซ็ำซ้อนและการสะดุด โดยยึดหลักการเป็นอิสระของท้องถิ่นและดดยส่งเสริมบทบาทของภาคประชาชนในการตรวจสอบลการทำงานของรัฐบาลกลางและท้องถิ่น
- "ระบบการปกครองท้องถิ่น ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน : สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม", นรุตม์ เจริญศรี, วิทยาลัยพัฒนากากรปครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า, 2556.
วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560
Local government in Loas
การแบ่งเขตการปกครองภายในประเทศของ สปป.ลาว แบ่งออกเป็น 16 แขวงและนครหลวง 1 แห่ง การปกครองท้องถิ่นในปัจจุบันตามรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พ.ศ. 1991 (ฉบับแก้ไขปรับปรุง ค.ศ. 2003) มาตรา 75 กำหนดให้แบ่งการปกครองท้องถ่ินออกเป็ฯ 3 ขั้น ได้แก่ ขั้นแขวง ขั้นเมือง และขั้นบ้าน โดยขั้นแขวงมีหนวยการปกครอง คือ แขวงและนครหลวง ขั้นเมืองมีหน่วยการปกครอง คือ เมืองและเทศบาล ส่วนขั้นบ้านมีหนวยการปกครอง คือ บ้าน ส่วนตำแหน่งผุ้ปกครองกำหนดให้แขวงมีเจ้าแขวงเป็นผู้ปกครอง นครหลวงโดยเจ้าครองนครหลวง ส่วนการปกครองระดับเมืองให้ปกครองโดยเจ้าเมือง สวนเทศบาลให้อยู่ภายใต้การปกครองของหัวหร้าเทศบาลและสุดท้าย คือการปกครองในระดับบ้านให้มีนายบ้านเป็ฯผู้ปกครอง ในกรณีที่จำเป็นอาจจะตังเขตพิเศษขึ้นตามความเห็ฯชอบของสภาแห่งชาติ โดยให้เขตพิเศษนั้นมีฐานะเที่ยบเท่ากับแขวง
การปกครองท้องถิ่นในสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสระหว่าง ค.ศ. 1893-1945 ภายใต้การปกครองแบบเมืองขึ้นโดยมีพระเจ้าแผ่นดินปกครองในฐานะประมุขแต่เพียงในนามเท่านั้น ซึ่งการจัดโครงสร้างการกคอรงในช่วงเวลานี้ได้แบ่งการปกครองออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนกลางมีการจัดตั้เง กระทรวง ทบง
กรม และอีกส่วนหนึ่ง คือ ส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย
แขวง มี เรสิดังต์ เป็นผู้ปกครอง
เมือง มี เดเลเกย์ เป็นผู้ปกครอง
กอง มี นายกอง เป็นผู้ปกครอง
ตาแสง มีตาแสง เป็นผุ้ปกครอง
บ้าน มี นายบ้านเป็นผู้ปกครอง
" แขวง" เป็นหน่วยการปกครองที่หใญ่ที่สุดในระดับท้องถิ่น ขึ้นตรงหรือยู่ภายใต้การบังคับบัญชาต่อข้าหลวงใหญ่ฝรั่งเศส หรือผุ้สำร็จรชการประจำลาว โดยแขวงประกอบด้วยหลาย "เมือง" เมืองแบ่งเปนหลาย "ตาแสง" มีความหมายได้ทั้งหน่วยการปกครองระดับตำบลและหัวหน้าผุ้ปกครอง ซึ่งได้รับการเลือกตั้งมาจากนายบ้านที่อยู่ในพื้นที่ตาแสงนั้นๆ โดยเจ้าเมืองให้การรับรองทั้งตาแสงและนายบ้านมีหน้าที่ในการสำรวจประชกร รายงานเกี่ยวกับการเกิดการตาย ดุแลประชาชนตามคำสั่งของเจ้าเมืองและเจ้าแขวงส่วนท้องถิ่นมีเทศบาล ทั้งนี้ฝรั่งเศสได้จักตังเทศบาลขึ้นในทุกท้องที่ทุกแขยวงเพื่อดำเนินกาบริาหรงานส่วนท้องถ่ิน โดยมอบให้ข้าหลวงประจำจังหวัดดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรี นอกจานี้ยังมี "กอง" ที่จัดตั้งขึ้นในเขตที่ไม่สามารถจัดเป้ฯเมืองได้ โดยมีนายกองเป้นผุ้ปกครองซึ่งอาจขึ้ต่อเจ้าเมืองหรือเจ้าแขวงแล้วแต่กรณีไป
ในด้านอำนาจหน้าที่นั้น ตาแสงและนายบ้านมีหน้าที่สืบสวนหาคนร้าย และเป็นผุ้พิพากษาในคดีบางประเภท สามารถที่จะปรับผู้ที่กระทำการละเมิดจารีตประเพณีหรือความสงบของหมู่บ้าน หากตาแสงและนายบ้านทำงานได้ดดี เจ้าแขวงอาจให้ยศเป็ฯหมื่อนแสน เพย และพยา ส่วนเจ้ามืองนั้นถือได้ว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จและประชาชต้องเช่อฟังอย่างเคร่งครัด มีการใช้อำนาจและกระบวนการปกครองด้วยระบบศาล หัวหน้าตำรวจ ระบบโรงเรียนโดยผ่านหัวหน้าโรงเรียนประถมสมบูรณ์ตอนต้น การสาธารณสุขโดยใช้การออกคำสั่งเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาล ใช้อำนาจปกครองประชาชผ่านตาแสงและนายบ้าน
กล่าวได้ว่า การจักการปกครองที่เกิดขึ้นมุ่งเน้นการสร้างระบบควบคุมลาวให้อยู่ในความสงบเป็นหลัก โดยใช้ระบบควบคุมเป็นขั้นตอนกล่าวคือ ระดับเมืองให้เจ้าเมืองนั้นมีอำนาจมากและเก็บผลประโยชน์หรือบรรณาการส่งใหรัฐผุ้ปกรองมากกว่าการสร้างความเป้ฯปึกแผ่นของคนในชาติ สามารถเรียกเก็บภาษีสาธารณูปโภคจากประชาชนได้โดยให้แขวงเป้ฯหน่วยจัดเก็บหรือแผงในรูปค่าธรรมเียมต่าง ต่อมาเมืองญี่ปุ่นได้ครอบครองลาวต่อจากฝรั่งเศสในเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 ยังคงรักษาโครงสร้างการปกครองของฝรั่งเศสไว้เช่นเดิม แต่ให้ผุ้ปกครองชาวญี่ปุ่นเข้าไปทำหน้าที่แทนผุ้ปกครองชาวฝรั่งเศสและจัดให้มีสภาที่ปรึกษาสูงสุดคู่กับพระเจ้าแผ่นดิน และให้มีที่ปรึกษาสูงสุดของญี่ปุ่นแทนที่ข้าาหลวงใหญ่ของฝรั่งเศส ตลอดจนย้ายที่ทำการจากเวียงจันทน์ไปตั้งอยู่ที่ท่าแขกในแขวงคำม่วน ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ติดชายแดนไทยและเวียดนาม
ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม ฝรั่งเศสได้กลับเข้ามายึดอำนาจในการปกครองลาวอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้บริบทางการเมืองที่ประชาชนมีความตื่นตัวทางการเมืองและมีกระแสชาตินิยมมากขึ้น ฝรั่งเศสจึงได้จัดรูปแบบการปกครองใหม่ ถึงแม้จะไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ได้นำรูปแบบโครงสร้างการปกคอรงแบบโลกเสรีตะวันตกมาใช้โดยจัดให้มีสภาแห่งชาติ รัฐธรรมนูญและรัฐบาล ซึ่งอำนาจทั้งหมดยังคงเป็นของข้าหลวงฝรั่งเศส รวมทั้งได้มีการแบ่งแยกข้าราชการออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ข้าราชการระดับสหพันธ์ ทำงานให้แก่องค์กรยุติธรรม การคลัง การเงิน ภาษี โยธาธิการ ไปรษณีย์ การศึกษาระดับกลางและระดับสูงตลอดจนองค์การรักษาความปลอดภัยของสหพันธ์ ในขณะที่อีกระดับหนึ่ง คือ ข้าราชการระดับท้องถิ่น ประกอบด้วย กองทหารรักษาพระองค์ กองทัพแห่งชาติ การศึกษาแห่งชาติ ข้าราชการกระทรวงทบวง กรมของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรลาว แต่ยังคงโครงสร้างการปกครองท้อถงถิ่นเอาไว้ ได้แก่ แขวง เมือง กอง ตาแสงและบ้าน
เมื่อพรรคประชาชนปฏิวัติลาวยึดอำนาจจากรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรลาวแล้ว หัวใจสำคัญประการหนึ่ง คือ เปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบบริหาราชการ โดยในช่วงระยะเริ่มแรกของการปกครองจนถึงก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ค.ศ. 1991 นั้น มีแนวโน้มเป็ฯการกระจายอำนาจโดยองค์การปกครองส่วนท้องถ่ิน มีการแยกหน่วยงานออกเป็นอิสระจากองค์การของราชการบริหารส่วนกลาง มีวบประมาณและบุคลากรเป็ฯของตนเอง เจ้าหน้าที่ทังหมดของหน่วยการปกครองท้องถ่ินเหล่านั้นได้รับเลอกตั้งจากประชาชน รวมทั้งมีอิสระในการปฏิบัติตาอำนาจหน้าที่ของตนเป็นไปตามระเบียบการเกี่ยวกับการจัดตั้งสภาประชาชนและคณะกรรมการปกครองท้องถิ่นขึ้นต่างๆซึ่งได้รับการรับรองโดยที่ประชุมสมัยวิสามัญของคณะรัฐมนตรีผสมการเมืองแห่งชาติ เมื่อปี ค.ศ. 1975 และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้ง สภาประชาชนและคณะกรรมการปกครองประชาชนขั้นต่างๆ โดยแบ่งโครงสร้างออกเป็น 4 ขั้น คือ
แขวงหรือกำแงนคร มีเจ้าแขวงหรือเจ้าครองกำแพงนรเป็ฯผุ้ปกครอง
เมือง มีเจ้าเมือง เป้ฯผุ้ปกครอง
ตาแสง มี ตาแสง เป็นผุ้ปกครอง
บ้าน มี นายบ้าน เป็นผุ้ปกครอง
ในแต่ละขั้นมีสภาประชาชนและคณะกรรมการปกครองท้องถิ่นขั้นต่างๆ ได้แก่ สภาประชาชนระดับแขวงและกำแพงนครสภาประชาชนเมืองและเทศบาลแขวง สภาประชาชนตาแสงและเทศบาลเมอง ซึ่งสภาประชาชนขั้นต่างๆ ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนท้องถิ่นที่สภาประชาชนขั้นนั้นๆ ตั้งอยู่ เพื่อทำหน้าที่เป้นองค์การอำนาจรัฐอยู่ในท้องถิ่นเป็นตัวแทนให้แก่สิทธิประโยชน์และรับผิดชอบต่อประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ ตั้งอยู่ เพื่อทำหน้าที่เป็ฯองค์การอำนาจรัฐอยู่ในท้องถิ่นเป็นตัวแทนให้แก่สิทธิประโยชน์และรับผิดชอบต่อประชานในท้องถิ่นน้ชั้น สภาประชาชนขั้นต่างๆ จะเป็นผุ้เลือกตั้งคณะกรรมการปกครองประชาชนในขั้นของตนและผู้พิพากษาศาลขั้นของตนยกเว้นสภาประชาชนตาแสงที่ไม่มีศาลประชาชนเป็ฯของตนเองโดยอำนาจในการตัดสินคดีที่เกิดขึ้นในเขตตาแสงและทเศบาลนั้นเป็นอำนาจในการตัดิสินคดีที่เกิดขึ้นในเขตตาแสงและเทศบาลนั้นเป็ฯอำนาจของศาลประชาชนเมืองและศาลประชาชนแขวงหรือกำแพงนครซึงต่อมา ได้มีการยุลเลิกสภาประชาชตาแสงแต่ยังคงคณะกรรมการปกครองตแสงไว้
ช่วงเวลานี้ถือได้ว่าสภาประชานเป็นกลไกที่มีความสำคัญและบ่งชี้ถึงการก้าวเข้าสู่การกระจายอำนาข ของสปป.ลาวในยุคนั้นและเป็ญยุคที่มีลักษณะของการสร้างประชาธิปไตยในระดับฐานรากได้อยางชัดเจนที่สุด ซึ่งในแต่ละขั้นต่างๆ มีอำนาจหน้าที่คล้ายกันนั่นคือ การับประกันการเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ รักษาความสงบเรียบร้อยทรัพย์สินของรัฐและพลเมืองในท้องพถิ่นของตนรวมถึงการรับประกันสทิธิความเสมอภาคและส่งเสริมความสามัคคีระหว่างชนชาติในท้องถิ่นนั้นๆ ตลอดจนปลุกระดมให้พลเมืองในท้องถิ่นปฏิบัติพันธะหน้าที่ที่มีต่อรัฐให้เป็นไปด้วยดี นอกจากนั้นสภาประชาชนขึ้นต่างๆ ยังมีอำนาจออกมติเพื่อใช้ปฏิบติหรือใช้ในการแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ วัฒฯธรรมและสังคมของพื้นที่นั้นโดยต้องไม่ขัดต่อกฎหมายของรัฐหรือมติขององค์การรัฐขึ้นสูงกว่า
ในด้านการจัดโครงสร้างสภาประชาชนขึ้นต่างๆ ยังไม่มีการเลือกตั้งประธานเป็นการภาวร อำนาจหน้าที่ในการเรียกประชุมสภาประชาชนขึ้นอยู่กับคณะกรรมการปกครองประชาชน ซึ่งจะประชุมเลือกประธานหรือเลขานุการตามมติในแต่ละสมัยประชุม ทั้งนี้ไม่ได้มีการกำหนดคุณสมบัติและจำนวนสมาชิกสภาประชาชนไว้อต่อย่างใด มีเพียงการกำหนดคุณสมบัติของผุ้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งและมีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งและมีสิทธิเลือกตั้งไว้ว่า ต้องเป็นผุ้ไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ไม่ถูกจำคุก ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตและมีอายุครบ 18 ปี ในวันเลือกตั้ง และได้มีการกำหนดจำนวนสมาชิกสภาประชานในขั้นต่างๆ และวิธีการเลือกตั้งตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งผุ้แทนประชาชน ค.ศ. 1988 ที่ได้ให้อำนาจหน้าที่แก่คณะประจำสภาประชาชนสูงสุดร่วมกับคณะประจำสภารัฐมนตรีเป็ฯผุ้กำหนดจำนวนผุ้แทนประชาชนขั้นต่างๆ ทั่วประเทศแล้วจึงออกประกศโดยคำสั่งของประธานสภารัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม ได้มีการสร้างกลไกทางการเมืองที่ดำเนินงานควบคุ่ไปกับการปกครองระดับท้องถิ่น โดยรัฐบาลได้ส่งสมาชิกพรรคและทหารของฝ่ายขบวนการประเทศลาวหรือพรรคประชาชนปฏิวัติลาวให้มาตั้งถ่ินฐานอยู่ในทุกชุมชนในเขตปลดปล่อยใหม่ เพื่อทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการปกครองประชาชนในโครงสร้างการปกครองท้ถิงถ่ินระดับต่าๆ มีหน้าที่ในการสอดส่องูแลอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังได้จัดตังกองกำลังต่างๆ ลักษณะเช่นนี้เปรียบได้กับการจัดโครงสร้างแบบหน่วยย่อย (cell) ดังเช่นพรรคอมมิวนิสต์โดยทั่วไปที่มีเป้าหมายในการขยายอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่การปกครองและสร้างความเป็นปคกแผ่นนั่นเอง
หลังจากประกาศใช้รัฐะรรมนูยแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ค.ศ. 1991 เป็นผลให้การจัดโครงสร้างการปกครองมีลักษณ์ของการรวมศูนย์อำนาจที่เข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากประสบการณ์ของการกระจายอำนาจในการปกครองที่ไม่ประสบความสำเร็จโดยเฉพาะสภาประชาชนขั้นต่างๆ ไม่มีบทบาทางการปกครองเท่าที่ควร โดยสวนใหย่จะเป็นบทบาทของคณะกรรมการการปกครองประชาชน หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1991 ถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองจากการปกครองตามเขตแค้วนสู่การแบ่งขั้นคุ้มครอง และเปลียนจากการคุ้มครองด้วยมติคพสั่ง เป็นการคุ้มครองรัฐด้วยรัฐธรรมนูญ
รัฐธรมนูญฉบับนี้ได้กำหนดให้โครงสร้างการปกครองระดับท้ถงิถ่ินทีเพียง แขวง กำแพงนคร เมืองและบ้าน โดยหนวยการปกครองและตำแหน่ง "ตาแสง" ถุกยกเลิกไปไม่มีการระบุถภึงสภาท้องถิ่นใด ๆ ทั้งสิ้น เหตุที่นำไปสู่การยกเลิกตาแสง เนื่องมาจากตาแสงเป็นหน่วยงานที่ไม่มีประสิทธิภาพและสร้างความยุ่งยากให้แก่การประสานงานระหว่งเมืองกับบ้าน ซึ่งทำให้การนำมติคำสั่งขององค์การขึ้นสูงมาปฏิบัติในหน่วยงการปกรองระดับบ้านเป้นไปอย่าล่าช้า เป้ฯผลให้ำคร้องของประชาชนที่เสนอขึ้นไปสู่การปกครองระดับเมืองจึงตกค้างอยู่ที่ตาแสงแต่ถึงแม้ว่าจะมีการยเลิกตาแสงแล้ว ในบางพื้นที่ก็ยังคงมีตาแสงอยู่
ภาพรวมของพัฒนาการปกครองท้อถงิ่นของ สปป,ลาวในช่วงเวลานี้ ถือได้ว่าภายใต้ระบบการบริหารแบบรวมศูนย์ส่งผลให้การบริหารตัวเมืองและชนบทไม่มีความแตกต่างกันมากนักเนื่องจากรัฐบาลสนบสนุนงลประมาณให้ทั้งหมด แม้ว่าเมปืงใหญ่ จะเป็นศูนย์กลางทางกรเปกครอง เศราฐกิจและวัฒนธรรม แต่รูปแบบการบริหารไม่ได้แยกระหว่งการเป็นเขตเมืองและชนบท
ในปี ค.ศ. 2003 เป็นปีที่มีความสำคัญต่อการปกครองท้องถิ่นของ สปป.ลาว ในเชิงของการปรับตัวที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประสิทธิภาพขององค์กรปกครองส่วนท้ถงอิ่น นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายในการแบ่งอำนาจและมอบหมายความรับผิดชอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเป็นผุ้คุ้มครองดินแดน ทรัพยากรธรรมชาติและประชานเพื่อความเจริญมั่งมี ผาสุขโดยกลำกทางกฎหมายที่มีความสำคัญต่อการปรับตัวในยุคปัจจุบัน ได้แก่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรับประชาธิปไตยประชาชนลาว ค.ศ. 1991 ในปี ค.ศ. 2003 ซึ่งกำหนดให้การปกครองท้องถิ่น แบ่งออกเป็น 3 ขั้น ได้แก่ ขั้นแขวง มีแขวงและนครหลวง ในการ๊จำเป็นอาจจัดตั้เงเป็นเขตการปกครองพิเศษได้ ในปัจจุบันมีเพียง 1 แห่ง คือ นครหลวงเวียงจันทน์ มีเจ้าแขวงและเจ้าครองนครหลวง เป็นผุ้ปกครอง ขั้นเมือง ประกอบด้วย เมืองและเทศบาล มีเจ้าเมืองและหัวหน้าเทศบาล เป้นผู้ปกครอง ประกอบกับการประกาศใช้กฎหมายการปกครองส่วนท้องถิ่น ค.ศ.2003 ได้นิยามความหมายขององค์กรปกรองส่วนท้องถิ่นว่า เป็นการจัดตั้งหน่วยกาบริหารรัฐในขั้นท้องถ่ินที่มีภาระบทบาทในการคุ้มครองด้านการบริหารทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมสังคม สิ่งแวดล้อม การวางแผนการพัฒนาตัวเมือง การบริการสาธารระ การรับประกันความสงบและความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในท้องถ่ิน โดยมีความร่วมมือกับต่างประเทศตามการมอบหมายของรับบาล นอกจากนี้ยังมีหลักปฏิบัติตามมติกรมการเมืองศูนย์กลางพรรค ว่าด้วยการสืบต่อปรับปรุงโครงสร้างบริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น
การประกาศใช้กฎหมายหรือแนวปฏิบัติดังกล่าวได้รับอทะฺพลสำคัญมาจากนโยบายจินตนาการใหม่ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษบกิจและสังคม ของสปป.ลาว ให้มีการขยายตัวอย่างมาก ส่งผลให้มีการปรับปรุงระบบการบริหารรัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พรรคประชาชนปฏิวัติลาวจึงได้นำแนวคิด "การสร้างกลุ่มบ้านและบ้านพัฒนา" มาเป็นแนวทางในกาพัฒนาสังคมและเศรษบกิจของประเทศ ในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาหลายๆ ด้าน เช่น การแก้ไขปัญหาความยากจนและการกระจายรายได้ การเพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การพัฒนาทางกสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยน ตลอดจนการกรับปรุงโครงสร้างองค์กรของกระทรวงและการกรจายอำนาจสู่ท้องถิ่นตามที่รัฐาลมอบหมายภารกิจ เพื่อเป้นกลไกหลักในการขับเคลือนนโยบายของพรรคไปสู่การปฏิบัติ มีแนวนโยบายเปลี่ยนให้แขวงเป็นหน่วยด้านยุทธศาสตร์ เปลี่ยนเมืองให้เป็นหน่วยด้านการวางแผนและงบประมาณเปลี่ยนหมู่บ้านให้เป็นหน่วยสนับสนุนการทำงาน รวมถึงการกระจายอำนาจให้แก่แขวง เพื่อยุติการวางแผนเศรษบกิจจากส่วนกลางที่ไม่มีประสทิธิภาพและขาดความคล่องตัว ซึ่งการกระจายอำนาจดังกล่าวส่งผลให้เจ้าแขวงมีอสิระในการบริหารและพัฒนาทางเศรษฐกิจภายใจแขวงของตนเองอย่างกว้างขวาง ได้แก่ การกำหนดแผนพัฒนาทางเศรษบกิจ งบประมาณการก่อสร้าง การคาภายในแขวงและการติดต่อทางการค้ากับต่างประเทศ เป็นต้น
การเปลี่ยนผ่านอำนาจทางเศรษฐกิจให้แก่ปขวงในยุคนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในกาสถาปนาอำนาจและบทบาทนำในท้องถิ่นของเจ้าแขวง ทั้งนี้ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า การกระจายอำนาจที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะการมอบอำนาจใหแก่เจ้าแขวงนั้น เป้ฯการกระจายอำนาจที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะการมอบอำนาจให้แก่เจ้าแขวงนั้น เป้นการกะจายอำนาจทางการบริหารและการจัดการทางเศรษฐกิจจากส่วนกลางไปยังส่วนท้องถิ่นระดับแขวงมากขึ้น ในขณะที่อำนาจของส่วนกลางภายในพื้นที่แขวงมีลดลง เม่อมีแนวโน้มเช่นนี้จึงได้มีความพยายามดึงอำนาจกลับมารวมศูนย์ที่ส่วนกลางเช่นเดิม
ในปี 2003 ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การเกิดหน่วยการปกครองแบบรวมกลุ่ม ที่เรียกว่า "เขต zones"และ "คุ้มบ้าน group villages โดยการแบ่งเป็นเขตและคุ้มบ้านนี้ เป้นการจัดตั้งและแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ในลักาณะของการรวมกลุ่มบ้าน ประมาณ 7-15 บ้านต่อ 1 เขต หรือคุ้มบ้าน เป็นหน่วยเชื่อมโยงระหว่างเมืองกับบ้าน แทนที่หน่วยการปกครอง ตาแสงที่เคยมีในอดีตถึงแม้จะมีผลดีในแง่ของการกระชับขั้นตอนการปกครองระว่างแขวง เมืองและย้านก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลเสียต่อการจัดการปกครองที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในแขวงที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่และมีความสลับซับ้อน ทำให้เป็ฯอุถปสรรคต่อการบริหารและการจัดบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งผลจากการควบุคมตรวจสอบของเจ้าหน้าที่รับไม่สามารถทำได้ทั่วถึงและนำไปสู่ข้อบกพร่องในการควบคุมและป้องกันการกระทำความผิดต่างๆ เช่น การลักลอบขนสินค้าหรือค้าขายหนีภาษีและการลักลอบตัดไม่ เป็นต้นและในบางพ้นที่จะประสบปัญหาเรื่องสถานที่ทำการของส่วนราชการอยู่ไกลจากพื้นที่หมู่บ้าน โครงการที่เกิดขึ้นนี้้เป็นโครงการที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็ฯทางการเนื่องจากไม่มีบัญญํติเป็นกฎหมาย แต่ไ้รับการอ้างถึงย่อยครั้งในเอกสารของทางราชการ ประกอบกับมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน ถือเป็นรากฐานสำคัญในการก้าวสุ่การกระจายอำนาจของ สปป.ลาวในอนาคต
"กฎหมายเอื้อให้เกิดโอกาสในการก่อร่างสร้างองค์กรปกครองท้องถ่ินที่มาจากากรเลือกตั้ง(เทศบาล)อย่างค่อยเป็นค่อยไปและในการปรับโครงสร้างองค์กรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เปป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการของการเพ่ิมขีดความสามารถให้แก่องค์รและสำนักงานในพื้นที่
การปกครองขั้นแขวงและนครหลวง
แขวง เป็นหน่วยทางการปกครองเที่ยบได้กับจังหวัดของไทย ได้รับการจัดตั้งหรือถูกยุบเลิกและกำหนดเขตแดนตามความเ็นชอบของสภาแ่งชาติตามการเสนอของนายกรัฐมนตรี โดยทั่วไปการเลือพื้นที่่ใดเป็นที่ตั้งของที่ทำการแขวงจะพิจารณาในเชิงภูมิศาสตร์และความสะดวกในการเข้าถึงหรือให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพร้อมต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสังคมเป้นสำคัญ ซึ่งในพื้นที่แต่ละเขวงของ สปป,ลาวนั้น มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและศักยภาพในการเติบโตที่แตกต่างกันไปตามนโยบายเป็นพื้นที่เป้าหมายตามยุทธศาสตร์ต่างๆของรัฐและลักษณะของพื้นที่ ใดเป็ฯที่ตั้งของที่ทำการแขวงจะพิจารณาในเชิงภูมิศาสตร์และความสะดวกในการเข้าถึงหรือให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงความพร้อมต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสังคมเป้ฯสำคัญ ซึ่งในพื้นที่แต่ละแขวงของ สปป.ลาวนั้น มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและศักยภาพในการเติบโตที่แตกต่างกันไปตามนโยบายและการเป็นพื้นที่เป้าหมายตามยุทธศาสตร์ต่างๆ ของรฐและลักษณะของพื้นที่
ด้านกาจัดโครงสร้างการปกครอง แขวงและนครหลวงมีเจ้าแขวงและเจ้าครองนครหลวง เป็นผุ้มีอำนาจสุงสุดในกาบังคับบัญชารฐกรในแขวงนั้นๆ รวมถึงรัฐกรในสังกัดราชการบริาหรส่วนกลางที่ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ในแขวงหรือนครหลวงนั้นด้วยซึ่งไม่ได้เป็นเพียงผุ้ปกครององค์กรส่วนท้องถ่ินเท่านั้นแต่เจ้าแขวงแลเจ้าครองนครหลวงโดยส่วนใหญ่จะดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคระดับแขวงควบคู่ไปด้วยนอกเหนือจากตำแหน่งทางการเมืองในฐานะที่เป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารศูนย์กลางพรรค ซ่งการจะขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าแขวงได้นั้นจะต้องอยุ่ในตำแหน่งหรือมาจากสานการบริาหรงานของพรรคมาก่อน โดยเจ้าแขวงมีฐานเที่ยบเท่ารัฐมนตรีดังพิจารณาได้จาการโยกย้ายหรือสลบสับเปล่ยนตแหน่งระหว่างเจ้าแขวงกับรัฐมนตรีซคึ่มีอยุ่เสมอ ฐานะของเจ้าแขวงและเจ้ครองนครหลวงนั้นมีฐานะเท่ากัน แตกต่างกันเพียงความรัีบผิดชอบพื้ที่ในการปกครองเนื่องจากนครหลวงเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของประเทศอันเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและเป็นที่ตั้งของกระทรวง ทบวงกรมแลองค์กรส่วนกลางอื่นๆ เท่านั้น ตำแหน่งเจ้าแขวงหรือเจ้าครองนครหลวงได้รบการแต่งตั้งโยกย้ายหรือปลดจากตำแน่งโดยประธานประเทศตามการสเนอของนายกรัฐมนตรีส่วนโครงสร้างการบริหารองค์กรขั้นแขวงนั้นประกอบด้วยห้องว่าการปกครองแขวงหรือนครหลวง แผนกของแขนงการ และหน่วยงานระดับกระทรวงประจำแขวงหรือนครหลวง ซึ่งบุคลากรภายในองค์กรขึ้นนี้ประกอบด้วย รองเจ้าแขวงหรือรองเจ้าครองนครหลวง ซึ่งเป็นอำนาจในการแต่างตั้งหรือปลดจากตำแหน่งโดยนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังประกอบด้วย หัวหน้าและรองหัวหน้าห้องว่าการ แขนงการและรัฐกร ก้านอำนาจหน้าที่ของเจ้าแขวและจ้าครองนครหลวงถูกกำหนดโดยบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ค.ศ. 1991 ว่าด้วยทิศทางแลหลัการในการคุ้มครองตามแขนงการ
นครหลวงเวียงจันทน์มีฐานะเที่ยบเท่าแขวงเป้นเขตที่ตั้งของเมืองหลวงของประเทศ เขตปกครองนี้แยกออกมาจากแขวงเวียงจันทน์ โดยถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วสนที่หนึ่ง คือ แขวงเวียงจันทน์ และอีกส่วนหนึ่ง คือ แขวงกำแพงพระนคร โดยกฎหมายปกครองท้องถิ่น ค.ศ. 2003 กำหนดให้นครหลวงเวียงจันทน์ ประกอบด้วย หลายเมืองและหลายเทศบาล เป็นศูนย์กลางทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคมและการบริหารที่มีบทบามส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของชาติ โดยพื้นที่การปกครองของนครหลวงเวียงจันทน์ประกอบด้วย 7 เมือง แบ่งออกเป็น 3 เขต ได้แก่ เขตตัวเมือง ประกอบด้วย เมืองจันทะบูลี เมืองไชยเชษฐา เมืองศีรสัตตนาค และเมืองศรีโคตรบอง เขตชานเมือง ประกอบด้วย เมืองนาทรายทอง เมืองชัยธานี เมืองทรายฟอง และเขตนอกเมือง ประกอบด้วยเมืองปากงึมเมืองสังข์ทอง และยังกำหนดให้มองค์การพัฒนาและบริหารตัวเมืองนครหลวงเวียงจันทน์ ในการบริหารและพัฒนาตัวเมืองนครหลวงเวียงจันทน์ พร้อมทั้งทำหน้าที่วางแผนจัดให้มีการตรวจตรา ดุแลการปลูสร้าง ปกปักรักษาสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ถนน "ฟฟ้า คลองระบายน้ำ กำจัดขยะมูลฝอย เป็นต้น องค์การพัฒนาและบริหารตัวเมืองเวยงจันทน์ ประกอบด้วย คณะชี้นำ ได้แก่ รองเจ้าครองนครหลวงเวียงจันทน์ เป็ฯรองหัวหน้าองค์การ อพบล. โดยตำแหน่ง ตทำหน้าที่เป็นผุ้ประจำการในฐาะนัวหน้าสำนังานขององค์การ อพบ. นอกจานี้ยังประกอบด้วยกรรมการอีก 4 ท่าน ซึ่งเป็นเจ้าเมือง 4 ตัวเมือง ได้แก่ เมืองจันทะบูลี เมืองไชยเชษฐา เมืองศรีสัตตนาค และเมืองศรีโคตรบอง ซึ่งคณะกรรมการเหล่าน้ได้รับการแต่างตั้งโดยนายกรัฐมนตรี ตามการเสนอของเจ้าครองนครหลวงเวียงจันทน์และคณะจัดตั้งศูนย์กลางพรรค
การปกครองขั้นเมือง
เมือง เมืองเป็นหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ระหว่งแขวงหรือนครหลวงกับบ้าน ดดยการสร้างตั้งหรือยุบเลิกเมืองจะต้องพิจารณาถึงประเด็นเรื่องประชากร การบริหาราชการและเงื่อนไขเศรษฐกิจสงคมของพื้นที่นั้น รวมทั้งการใช้วบประมาณเพื่อการสร้างสาธารณประดยชน์ให้มีประสิทธิภาพด้วย ในด้านการบริหารงานของหน่วยการปกครองระดับเมือง มุ่งเน้นการปรสานงาน ตรวจตราและประเมินผลการดำเนินงานต่างๆ ที่เกี่ยวช้องกับการมีส่วนร่วมของประชาชนและการให้บริการประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ โครงสร้างการปกครองของเมือง มีเจ้าเมืองเป็นผุ้ปกครองสูงสุด ฝดดยมีรัฐกรของส่วนกลางปฏิบัติหน้าที่ประจำเมืองนั้น ๆ ตำแหน่งเจ้าเมืองได้รับการแต่างตังและปลดจากตำแหน่งโดยนายกรัฐมนตรี ส่วนตำแหน่งรอบลเจ้าเมืองซึ่งมีฐานะเป้นผุ้ช่วยของเจ้าเมือง ได้รับการแต่างตังจากเจ้าแขวงหรอเจ้าครองนครหลวงที่เมืองนั้นตั้งอยู่ การจัดโครงสร้งการบริหารองค์กรขึ้นเมืองประกอบด้วย ห้องว่าการปกครองเมือง ห้องแขนงการ และหน่วยงานระดับกระทรวงประจำเมือง บุคลากรประกอบด้วยรองเจ้าเมือง หัวหน้าและรองหัวหน้าห้องว่าการ และพนักงานรัฐกร อำนาจหน้าที่ของเจ้าเมืองนั้น มีภารกิจเช่นเดียวกับเจ้าแขวงและเจ้าครองนครหลวงตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งสาะารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การแบ่งส่วนราชการของหน่วยการปกครองระดับเมืองคล้ายกับการแบงส่วนราชการของแขวงหรือนครหลวง โดยแบงออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่หนึ่ง คื อห้องว่าการเมือง ประกอบด้วยหน่วยงาน เลขานุการ หน่วยงานปกครองและหน่วยงานบริหารการเงิน ส่วนที่สอง คือ ส่วนราชการของหระทรวงต่างๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่ในเมืองนั้นๆ
เทศบาล เทศบาลคือ องค์การบริหารรัฐระดับท้องถ่ินในขึ้นเมืองโดยอยู่ใต้การบังคับบัญชาของแขวงหรือนครหลวง โดยมีหัวหน้าเทศลาลที่มาจากการแต่างตั้งจากนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มาจากากรเลือกตั้งและไม่มีสภาเทศบาลดังเช่นรูปแบบเทศบาลทั่วไป กฎหมายปกครองท้องถ่ิน ได้กำหนดให้เทศบาลมีฐานะเป็นองค์กรปกครองท้ถงิถ่ินขั้นเมือง มีภารกิจและบทบาทในการบริหารทางด้านการเมือง เศรษบกิจ วัฒนธรรม สังคม รวมถึงการก่อสร้างและการบริหารทรัพยากรมนุษย์ การักษาทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม ปฏิบัติตามแผนการพัฒนาตัวเมอืงการให้บริการสาธารณะ รับประกันความสงบล ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาดายในเทศบาล ความสัมพันธ์และความร่วมมือกับต่างประเทศตามที่ไดรับมอบหมายจากแขวง กัวหร้าองค์กรปกครองเทศลาล คื อกัวหร้าเทศบาบ ได้รับการแต่างตั้ง โยกย้ายและปลดจากตำปหน่งโดยนายกรัฐมนตรี ตามการเสนอของเจ้าแขวง รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ให้อำนาจหัวหน้าเทศบาลมีสิทธิและหน้าที่ในการวางแผนการจัดตั้งปฏิบัติและคุ้มครองการพัฒนาตัวเมืองบริการสาธารณะให้ทั่วถึง มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดและสวยงามในขอบเขตตัวเมือง ตามที่ได้กำหนดไว้ในผังเมือง รวมทั้งดำเนินการตามสิทธิ์และหน้าที่อื่นๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ในระเบียบกฎหมาย โครงสร้างการบริหารของเทศลบาล ประกอบด้วยห้องว่าการปกครองเทศบาล ห้องแขนงการ และหน่วยงานกองวิชาการนอกจากนี้ในส่วนของหน่วยงานบริการส่วนบุคลากรภายในองค์กรของเทศบาล ประกอบด้วย รองหัวหน้าเทศบาล หัวหน้าและรองหัวหน้า ห้องว่าการ รวมถึงพนักงานรัฐกรที่สังกัดโครงสร้างบริหารของเทศบาลซึ่งตำแหน่งหัวหน้า รองหัวหน้าว่าการเทศบาลได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายและปลดจากตำแหน่งโดยเจ้าแขวงหรือเจ้าครองนครหลวงส่วนหัวหน้าห้องแขนงการประจำเมืองได้รับการแต่งตั้ง ดยกย้ายและปลดจากตำแหน่งโดยรัฐมนตรว่าการกระทรวงนั้นๆ
การปกครองขั้นบ้าน บ้าน เป็นหน่วยการปกครองท้ถงอถ่นิขึ้นต้นและมีขนาดเล็ที่สุดเป็นผลมาจากเป้าหมายในการจัดหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่เพื่อขยายการดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายรัฐ การปกครองครองระดับบ้านอยู่ในพื้นที่ซึค่งมีบ้านเรือนมากกว่า 20 หลังคาเรือน หรือมีประชาชนอาศัยอยู่ร่วมกันมาก่า 100 คน ก็สามารถจัดตั้งให้เป็นบ้านได้ตามการนุมัติของเจ้าแขวงหรือเจ้าครองนครหลวงโดยการเสนอของเจ้าเมืองนอกจากการมีฐานะเป็นหน่วยทางการปกครองแล้ว ยังถือว่าบ้านเป็นที่ดำรงชีวิตของบรรดาเผ่าชนที่จัดให้มีการปฏิบัติตามแนวทาง นโยบายหรือคำสั่งขององค์การขั้นสูง การจัดการปกครองระดับบ้าน จัดดครงสร้างให้มีายบ้านเป็นผุ้ดูแลโดยมีรองนายลบ้านจำนวนหนึ่งหรือสองคนเปนผุ้ช่วยงาน และยังประกอบด้วยคณะกรรมการบ้านอีกจำนวนหนึ่ง แม้บล้านจะเป็นหน่วยการปกครองขั้นต้น แต่สิ่งที่มีความสำคัญ คือ นายบ้านมาจากากรเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนในเชตพื้นที่บ้านนั้นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นผุ้ที่ประชาชนให้การยอมรับและเป็นผุ้มีจิตสาธารณะหรือมีบทบามในพื้นที่เมื่อได้รับผลการเลือกตั้งแล้ว เจ้าเมืองจะเป็นผู้นำเสนอชื่อต่อเจ้าแขวงหรือเจ้านครหลวงเพื่อให้แต่างตั้งเป็นนายบ้านต่อไป ส่วนตำแหน่งรองนายบ้านและกรรมการบ้านได้รับการแต่างตั้งจากเจ้าเมืองตามการเสนอของนายบ้าน ทั้งนี้หากไม่มีผุ้ลงสมัครหรือไม่สามารถเลือกตั้งนายบ้านได้ เจ้าเทืองจะเป็นผู้คัดเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมแต่งตังให้เป็นนายบ้าน นอกจากนั้นโครงสร้างที่สำคัญอื่นๆ ของการปกครองขั้นบ้าน ยังประกอบด้วยคณะกรรมการบ้าน ซึ่งแบ่งออกเป็นด้านต่างๆ เพื่อช่วยนายบ้านดำเนินงานในการบริาหรงานภายในพื้นที่บ้าน ซึ่งนายบ้านและรองนายบ้านจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะกรรมการ โดยคณะกรรมการแต่ละชุดจะมีกรรมการ 3 คน ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนภายในบ้านนั้นๆ
การปกครองท้องถิ่นในสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสระหว่าง ค.ศ. 1893-1945 ภายใต้การปกครองแบบเมืองขึ้นโดยมีพระเจ้าแผ่นดินปกครองในฐานะประมุขแต่เพียงในนามเท่านั้น ซึ่งการจัดโครงสร้างการกคอรงในช่วงเวลานี้ได้แบ่งการปกครองออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนกลางมีการจัดตั้เง กระทรวง ทบง
กรม และอีกส่วนหนึ่ง คือ ส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย
แขวง มี เรสิดังต์ เป็นผู้ปกครอง
เมือง มี เดเลเกย์ เป็นผู้ปกครอง
กอง มี นายกอง เป็นผู้ปกครอง
ตาแสง มีตาแสง เป็นผุ้ปกครอง
บ้าน มี นายบ้านเป็นผู้ปกครอง
" แขวง" เป็นหน่วยการปกครองที่หใญ่ที่สุดในระดับท้องถิ่น ขึ้นตรงหรือยู่ภายใต้การบังคับบัญชาต่อข้าหลวงใหญ่ฝรั่งเศส หรือผุ้สำร็จรชการประจำลาว โดยแขวงประกอบด้วยหลาย "เมือง" เมืองแบ่งเปนหลาย "ตาแสง" มีความหมายได้ทั้งหน่วยการปกครองระดับตำบลและหัวหน้าผุ้ปกครอง ซึ่งได้รับการเลือกตั้งมาจากนายบ้านที่อยู่ในพื้นที่ตาแสงนั้นๆ โดยเจ้าเมืองให้การรับรองทั้งตาแสงและนายบ้านมีหน้าที่ในการสำรวจประชกร รายงานเกี่ยวกับการเกิดการตาย ดุแลประชาชนตามคำสั่งของเจ้าเมืองและเจ้าแขวงส่วนท้องถิ่นมีเทศบาล ทั้งนี้ฝรั่งเศสได้จักตังเทศบาลขึ้นในทุกท้องที่ทุกแขยวงเพื่อดำเนินกาบริาหรงานส่วนท้องถ่ิน โดยมอบให้ข้าหลวงประจำจังหวัดดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรี นอกจานี้ยังมี "กอง" ที่จัดตั้งขึ้นในเขตที่ไม่สามารถจัดเป้ฯเมืองได้ โดยมีนายกองเป้นผุ้ปกครองซึ่งอาจขึ้ต่อเจ้าเมืองหรือเจ้าแขวงแล้วแต่กรณีไป
ในด้านอำนาจหน้าที่นั้น ตาแสงและนายบ้านมีหน้าที่สืบสวนหาคนร้าย และเป็นผุ้พิพากษาในคดีบางประเภท สามารถที่จะปรับผู้ที่กระทำการละเมิดจารีตประเพณีหรือความสงบของหมู่บ้าน หากตาแสงและนายบ้านทำงานได้ดดี เจ้าแขวงอาจให้ยศเป็ฯหมื่อนแสน เพย และพยา ส่วนเจ้ามืองนั้นถือได้ว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จและประชาชต้องเช่อฟังอย่างเคร่งครัด มีการใช้อำนาจและกระบวนการปกครองด้วยระบบศาล หัวหน้าตำรวจ ระบบโรงเรียนโดยผ่านหัวหน้าโรงเรียนประถมสมบูรณ์ตอนต้น การสาธารณสุขโดยใช้การออกคำสั่งเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาล ใช้อำนาจปกครองประชาชผ่านตาแสงและนายบ้าน
กล่าวได้ว่า การจักการปกครองที่เกิดขึ้นมุ่งเน้นการสร้างระบบควบคุมลาวให้อยู่ในความสงบเป็นหลัก โดยใช้ระบบควบคุมเป็นขั้นตอนกล่าวคือ ระดับเมืองให้เจ้าเมืองนั้นมีอำนาจมากและเก็บผลประโยชน์หรือบรรณาการส่งใหรัฐผุ้ปกรองมากกว่าการสร้างความเป้ฯปึกแผ่นของคนในชาติ สามารถเรียกเก็บภาษีสาธารณูปโภคจากประชาชนได้โดยให้แขวงเป้ฯหน่วยจัดเก็บหรือแผงในรูปค่าธรรมเียมต่าง ต่อมาเมืองญี่ปุ่นได้ครอบครองลาวต่อจากฝรั่งเศสในเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 ยังคงรักษาโครงสร้างการปกครองของฝรั่งเศสไว้เช่นเดิม แต่ให้ผุ้ปกครองชาวญี่ปุ่นเข้าไปทำหน้าที่แทนผุ้ปกครองชาวฝรั่งเศสและจัดให้มีสภาที่ปรึกษาสูงสุดคู่กับพระเจ้าแผ่นดิน และให้มีที่ปรึกษาสูงสุดของญี่ปุ่นแทนที่ข้าาหลวงใหญ่ของฝรั่งเศส ตลอดจนย้ายที่ทำการจากเวียงจันทน์ไปตั้งอยู่ที่ท่าแขกในแขวงคำม่วน ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ติดชายแดนไทยและเวียดนาม
ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม ฝรั่งเศสได้กลับเข้ามายึดอำนาจในการปกครองลาวอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้บริบทางการเมืองที่ประชาชนมีความตื่นตัวทางการเมืองและมีกระแสชาตินิยมมากขึ้น ฝรั่งเศสจึงได้จัดรูปแบบการปกครองใหม่ ถึงแม้จะไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ได้นำรูปแบบโครงสร้างการปกคอรงแบบโลกเสรีตะวันตกมาใช้โดยจัดให้มีสภาแห่งชาติ รัฐธรรมนูญและรัฐบาล ซึ่งอำนาจทั้งหมดยังคงเป็นของข้าหลวงฝรั่งเศส รวมทั้งได้มีการแบ่งแยกข้าราชการออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ข้าราชการระดับสหพันธ์ ทำงานให้แก่องค์กรยุติธรรม การคลัง การเงิน ภาษี โยธาธิการ ไปรษณีย์ การศึกษาระดับกลางและระดับสูงตลอดจนองค์การรักษาความปลอดภัยของสหพันธ์ ในขณะที่อีกระดับหนึ่ง คือ ข้าราชการระดับท้องถิ่น ประกอบด้วย กองทหารรักษาพระองค์ กองทัพแห่งชาติ การศึกษาแห่งชาติ ข้าราชการกระทรวงทบวง กรมของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรลาว แต่ยังคงโครงสร้างการปกครองท้อถงถิ่นเอาไว้ ได้แก่ แขวง เมือง กอง ตาแสงและบ้าน
เมื่อพรรคประชาชนปฏิวัติลาวยึดอำนาจจากรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรลาวแล้ว หัวใจสำคัญประการหนึ่ง คือ เปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบบริหาราชการ โดยในช่วงระยะเริ่มแรกของการปกครองจนถึงก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ค.ศ. 1991 นั้น มีแนวโน้มเป็ฯการกระจายอำนาจโดยองค์การปกครองส่วนท้องถ่ิน มีการแยกหน่วยงานออกเป็นอิสระจากองค์การของราชการบริหารส่วนกลาง มีวบประมาณและบุคลากรเป็ฯของตนเอง เจ้าหน้าที่ทังหมดของหน่วยการปกครองท้องถ่ินเหล่านั้นได้รับเลอกตั้งจากประชาชน รวมทั้งมีอิสระในการปฏิบัติตาอำนาจหน้าที่ของตนเป็นไปตามระเบียบการเกี่ยวกับการจัดตั้งสภาประชาชนและคณะกรรมการปกครองท้องถิ่นขึ้นต่างๆซึ่งได้รับการรับรองโดยที่ประชุมสมัยวิสามัญของคณะรัฐมนตรีผสมการเมืองแห่งชาติ เมื่อปี ค.ศ. 1975 และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้ง สภาประชาชนและคณะกรรมการปกครองประชาชนขั้นต่างๆ โดยแบ่งโครงสร้างออกเป็น 4 ขั้น คือ
แขวงหรือกำแงนคร มีเจ้าแขวงหรือเจ้าครองกำแพงนรเป็ฯผุ้ปกครอง
เมือง มีเจ้าเมือง เป้ฯผุ้ปกครอง
ตาแสง มี ตาแสง เป็นผุ้ปกครอง
บ้าน มี นายบ้าน เป็นผุ้ปกครอง
ในแต่ละขั้นมีสภาประชาชนและคณะกรรมการปกครองท้องถิ่นขั้นต่างๆ ได้แก่ สภาประชาชนระดับแขวงและกำแพงนครสภาประชาชนเมืองและเทศบาลแขวง สภาประชาชนตาแสงและเทศบาลเมอง ซึ่งสภาประชาชนขั้นต่างๆ ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนท้องถิ่นที่สภาประชาชนขั้นนั้นๆ ตั้งอยู่ เพื่อทำหน้าที่เป้นองค์การอำนาจรัฐอยู่ในท้องถิ่นเป็นตัวแทนให้แก่สิทธิประโยชน์และรับผิดชอบต่อประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ ตั้งอยู่ เพื่อทำหน้าที่เป็ฯองค์การอำนาจรัฐอยู่ในท้องถิ่นเป็นตัวแทนให้แก่สิทธิประโยชน์และรับผิดชอบต่อประชานในท้องถิ่นน้ชั้น สภาประชาชนขั้นต่างๆ จะเป็นผุ้เลือกตั้งคณะกรรมการปกครองประชาชนในขั้นของตนและผู้พิพากษาศาลขั้นของตนยกเว้นสภาประชาชนตาแสงที่ไม่มีศาลประชาชนเป็ฯของตนเองโดยอำนาจในการตัดสินคดีที่เกิดขึ้นในเขตตาแสงและทเศบาลนั้นเป็นอำนาจในการตัดิสินคดีที่เกิดขึ้นในเขตตาแสงและเทศบาลนั้นเป็ฯอำนาจของศาลประชาชนเมืองและศาลประชาชนแขวงหรือกำแพงนครซึงต่อมา ได้มีการยุลเลิกสภาประชาชตาแสงแต่ยังคงคณะกรรมการปกครองตแสงไว้
ช่วงเวลานี้ถือได้ว่าสภาประชานเป็นกลไกที่มีความสำคัญและบ่งชี้ถึงการก้าวเข้าสู่การกระจายอำนาข ของสปป.ลาวในยุคนั้นและเป็ญยุคที่มีลักษณะของการสร้างประชาธิปไตยในระดับฐานรากได้อยางชัดเจนที่สุด ซึ่งในแต่ละขั้นต่างๆ มีอำนาจหน้าที่คล้ายกันนั่นคือ การับประกันการเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ รักษาความสงบเรียบร้อยทรัพย์สินของรัฐและพลเมืองในท้องพถิ่นของตนรวมถึงการรับประกันสทิธิความเสมอภาคและส่งเสริมความสามัคคีระหว่างชนชาติในท้องถิ่นนั้นๆ ตลอดจนปลุกระดมให้พลเมืองในท้องถิ่นปฏิบัติพันธะหน้าที่ที่มีต่อรัฐให้เป็นไปด้วยดี นอกจากนั้นสภาประชาชนขึ้นต่างๆ ยังมีอำนาจออกมติเพื่อใช้ปฏิบติหรือใช้ในการแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ วัฒฯธรรมและสังคมของพื้นที่นั้นโดยต้องไม่ขัดต่อกฎหมายของรัฐหรือมติขององค์การรัฐขึ้นสูงกว่า
ในด้านการจัดโครงสร้างสภาประชาชนขึ้นต่างๆ ยังไม่มีการเลือกตั้งประธานเป็นการภาวร อำนาจหน้าที่ในการเรียกประชุมสภาประชาชนขึ้นอยู่กับคณะกรรมการปกครองประชาชน ซึ่งจะประชุมเลือกประธานหรือเลขานุการตามมติในแต่ละสมัยประชุม ทั้งนี้ไม่ได้มีการกำหนดคุณสมบัติและจำนวนสมาชิกสภาประชาชนไว้อต่อย่างใด มีเพียงการกำหนดคุณสมบัติของผุ้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งและมีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งและมีสิทธิเลือกตั้งไว้ว่า ต้องเป็นผุ้ไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ไม่ถูกจำคุก ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตและมีอายุครบ 18 ปี ในวันเลือกตั้ง และได้มีการกำหนดจำนวนสมาชิกสภาประชานในขั้นต่างๆ และวิธีการเลือกตั้งตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งผุ้แทนประชาชน ค.ศ. 1988 ที่ได้ให้อำนาจหน้าที่แก่คณะประจำสภาประชาชนสูงสุดร่วมกับคณะประจำสภารัฐมนตรีเป็ฯผุ้กำหนดจำนวนผุ้แทนประชาชนขั้นต่างๆ ทั่วประเทศแล้วจึงออกประกศโดยคำสั่งของประธานสภารัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม ได้มีการสร้างกลไกทางการเมืองที่ดำเนินงานควบคุ่ไปกับการปกครองระดับท้องถิ่น โดยรัฐบาลได้ส่งสมาชิกพรรคและทหารของฝ่ายขบวนการประเทศลาวหรือพรรคประชาชนปฏิวัติลาวให้มาตั้งถ่ินฐานอยู่ในทุกชุมชนในเขตปลดปล่อยใหม่ เพื่อทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการปกครองประชาชนในโครงสร้างการปกครองท้ถิงถ่ินระดับต่าๆ มีหน้าที่ในการสอดส่องูแลอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังได้จัดตังกองกำลังต่างๆ ลักษณะเช่นนี้เปรียบได้กับการจัดโครงสร้างแบบหน่วยย่อย (cell) ดังเช่นพรรคอมมิวนิสต์โดยทั่วไปที่มีเป้าหมายในการขยายอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่การปกครองและสร้างความเป็นปคกแผ่นนั่นเอง
หลังจากประกาศใช้รัฐะรรมนูยแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ค.ศ. 1991 เป็นผลให้การจัดโครงสร้างการปกครองมีลักษณ์ของการรวมศูนย์อำนาจที่เข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากประสบการณ์ของการกระจายอำนาจในการปกครองที่ไม่ประสบความสำเร็จโดยเฉพาะสภาประชาชนขั้นต่างๆ ไม่มีบทบาทางการปกครองเท่าที่ควร โดยสวนใหย่จะเป็นบทบาทของคณะกรรมการการปกครองประชาชน หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1991 ถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองจากการปกครองตามเขตแค้วนสู่การแบ่งขั้นคุ้มครอง และเปลียนจากการคุ้มครองด้วยมติคพสั่ง เป็นการคุ้มครองรัฐด้วยรัฐธรรมนูญ
รัฐธรมนูญฉบับนี้ได้กำหนดให้โครงสร้างการปกครองระดับท้ถงิถ่ินทีเพียง แขวง กำแพงนคร เมืองและบ้าน โดยหนวยการปกครองและตำแหน่ง "ตาแสง" ถุกยกเลิกไปไม่มีการระบุถภึงสภาท้องถิ่นใด ๆ ทั้งสิ้น เหตุที่นำไปสู่การยกเลิกตาแสง เนื่องมาจากตาแสงเป็นหน่วยงานที่ไม่มีประสิทธิภาพและสร้างความยุ่งยากให้แก่การประสานงานระหว่งเมืองกับบ้าน ซึ่งทำให้การนำมติคำสั่งขององค์การขึ้นสูงมาปฏิบัติในหน่วยงการปกรองระดับบ้านเป้นไปอย่าล่าช้า เป้ฯผลให้ำคร้องของประชาชนที่เสนอขึ้นไปสู่การปกครองระดับเมืองจึงตกค้างอยู่ที่ตาแสงแต่ถึงแม้ว่าจะมีการยเลิกตาแสงแล้ว ในบางพื้นที่ก็ยังคงมีตาแสงอยู่
ภาพรวมของพัฒนาการปกครองท้อถงิ่นของ สปป,ลาวในช่วงเวลานี้ ถือได้ว่าภายใต้ระบบการบริหารแบบรวมศูนย์ส่งผลให้การบริหารตัวเมืองและชนบทไม่มีความแตกต่างกันมากนักเนื่องจากรัฐบาลสนบสนุนงลประมาณให้ทั้งหมด แม้ว่าเมปืงใหญ่ จะเป็นศูนย์กลางทางกรเปกครอง เศราฐกิจและวัฒนธรรม แต่รูปแบบการบริหารไม่ได้แยกระหว่งการเป็นเขตเมืองและชนบท
ในปี ค.ศ. 2003 เป็นปีที่มีความสำคัญต่อการปกครองท้องถิ่นของ สปป.ลาว ในเชิงของการปรับตัวที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประสิทธิภาพขององค์กรปกครองส่วนท้ถงอิ่น นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายในการแบ่งอำนาจและมอบหมายความรับผิดชอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเป็นผุ้คุ้มครองดินแดน ทรัพยากรธรรมชาติและประชานเพื่อความเจริญมั่งมี ผาสุขโดยกลำกทางกฎหมายที่มีความสำคัญต่อการปรับตัวในยุคปัจจุบัน ได้แก่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรับประชาธิปไตยประชาชนลาว ค.ศ. 1991 ในปี ค.ศ. 2003 ซึ่งกำหนดให้การปกครองท้องถิ่น แบ่งออกเป็น 3 ขั้น ได้แก่ ขั้นแขวง มีแขวงและนครหลวง ในการ๊จำเป็นอาจจัดตั้เงเป็นเขตการปกครองพิเศษได้ ในปัจจุบันมีเพียง 1 แห่ง คือ นครหลวงเวียงจันทน์ มีเจ้าแขวงและเจ้าครองนครหลวง เป็นผุ้ปกครอง ขั้นเมือง ประกอบด้วย เมืองและเทศบาล มีเจ้าเมืองและหัวหน้าเทศบาล เป้นผู้ปกครอง ประกอบกับการประกาศใช้กฎหมายการปกครองส่วนท้องถิ่น ค.ศ.2003 ได้นิยามความหมายขององค์กรปกรองส่วนท้องถิ่นว่า เป็นการจัดตั้งหน่วยกาบริหารรัฐในขั้นท้องถ่ินที่มีภาระบทบาทในการคุ้มครองด้านการบริหารทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมสังคม สิ่งแวดล้อม การวางแผนการพัฒนาตัวเมือง การบริการสาธารระ การรับประกันความสงบและความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในท้องถ่ิน โดยมีความร่วมมือกับต่างประเทศตามการมอบหมายของรับบาล นอกจากนี้ยังมีหลักปฏิบัติตามมติกรมการเมืองศูนย์กลางพรรค ว่าด้วยการสืบต่อปรับปรุงโครงสร้างบริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น
การประกาศใช้กฎหมายหรือแนวปฏิบัติดังกล่าวได้รับอทะฺพลสำคัญมาจากนโยบายจินตนาการใหม่ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษบกิจและสังคม ของสปป.ลาว ให้มีการขยายตัวอย่างมาก ส่งผลให้มีการปรับปรุงระบบการบริหารรัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พรรคประชาชนปฏิวัติลาวจึงได้นำแนวคิด "การสร้างกลุ่มบ้านและบ้านพัฒนา" มาเป็นแนวทางในกาพัฒนาสังคมและเศรษบกิจของประเทศ ในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาหลายๆ ด้าน เช่น การแก้ไขปัญหาความยากจนและการกระจายรายได้ การเพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การพัฒนาทางกสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยน ตลอดจนการกรับปรุงโครงสร้างองค์กรของกระทรวงและการกรจายอำนาจสู่ท้องถิ่นตามที่รัฐาลมอบหมายภารกิจ เพื่อเป้นกลไกหลักในการขับเคลือนนโยบายของพรรคไปสู่การปฏิบัติ มีแนวนโยบายเปลี่ยนให้แขวงเป็นหน่วยด้านยุทธศาสตร์ เปลี่ยนเมืองให้เป็นหน่วยด้านการวางแผนและงบประมาณเปลี่ยนหมู่บ้านให้เป็นหน่วยสนับสนุนการทำงาน รวมถึงการกระจายอำนาจให้แก่แขวง เพื่อยุติการวางแผนเศรษบกิจจากส่วนกลางที่ไม่มีประสทิธิภาพและขาดความคล่องตัว ซึ่งการกระจายอำนาจดังกล่าวส่งผลให้เจ้าแขวงมีอสิระในการบริหารและพัฒนาทางเศรษฐกิจภายใจแขวงของตนเองอย่างกว้างขวาง ได้แก่ การกำหนดแผนพัฒนาทางเศรษบกิจ งบประมาณการก่อสร้าง การคาภายในแขวงและการติดต่อทางการค้ากับต่างประเทศ เป็นต้น
การเปลี่ยนผ่านอำนาจทางเศรษฐกิจให้แก่ปขวงในยุคนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในกาสถาปนาอำนาจและบทบาทนำในท้องถิ่นของเจ้าแขวง ทั้งนี้ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า การกระจายอำนาจที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะการมอบอำนาจใหแก่เจ้าแขวงนั้น เป้ฯการกระจายอำนาจที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะการมอบอำนาจให้แก่เจ้าแขวงนั้น เป้นการกะจายอำนาจทางการบริหารและการจัดการทางเศรษฐกิจจากส่วนกลางไปยังส่วนท้องถิ่นระดับแขวงมากขึ้น ในขณะที่อำนาจของส่วนกลางภายในพื้นที่แขวงมีลดลง เม่อมีแนวโน้มเช่นนี้จึงได้มีความพยายามดึงอำนาจกลับมารวมศูนย์ที่ส่วนกลางเช่นเดิม
ในปี 2003 ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การเกิดหน่วยการปกครองแบบรวมกลุ่ม ที่เรียกว่า "เขต zones"และ "คุ้มบ้าน group villages โดยการแบ่งเป็นเขตและคุ้มบ้านนี้ เป้นการจัดตั้งและแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ในลักาณะของการรวมกลุ่มบ้าน ประมาณ 7-15 บ้านต่อ 1 เขต หรือคุ้มบ้าน เป็นหน่วยเชื่อมโยงระหว่างเมืองกับบ้าน แทนที่หน่วยการปกครอง ตาแสงที่เคยมีในอดีตถึงแม้จะมีผลดีในแง่ของการกระชับขั้นตอนการปกครองระว่างแขวง เมืองและย้านก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลเสียต่อการจัดการปกครองที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในแขวงที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่และมีความสลับซับ้อน ทำให้เป็ฯอุถปสรรคต่อการบริหารและการจัดบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งผลจากการควบุคมตรวจสอบของเจ้าหน้าที่รับไม่สามารถทำได้ทั่วถึงและนำไปสู่ข้อบกพร่องในการควบคุมและป้องกันการกระทำความผิดต่างๆ เช่น การลักลอบขนสินค้าหรือค้าขายหนีภาษีและการลักลอบตัดไม่ เป็นต้นและในบางพ้นที่จะประสบปัญหาเรื่องสถานที่ทำการของส่วนราชการอยู่ไกลจากพื้นที่หมู่บ้าน โครงการที่เกิดขึ้นนี้้เป็นโครงการที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็ฯทางการเนื่องจากไม่มีบัญญํติเป็นกฎหมาย แต่ไ้รับการอ้างถึงย่อยครั้งในเอกสารของทางราชการ ประกอบกับมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน ถือเป็นรากฐานสำคัญในการก้าวสุ่การกระจายอำนาจของ สปป.ลาวในอนาคต
"กฎหมายเอื้อให้เกิดโอกาสในการก่อร่างสร้างองค์กรปกครองท้องถ่ินที่มาจากากรเลือกตั้ง(เทศบาล)อย่างค่อยเป็นค่อยไปและในการปรับโครงสร้างองค์กรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เปป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการของการเพ่ิมขีดความสามารถให้แก่องค์รและสำนักงานในพื้นที่
การปกครองขั้นแขวงและนครหลวง
แขวง เป็นหน่วยทางการปกครองเที่ยบได้กับจังหวัดของไทย ได้รับการจัดตั้งหรือถูกยุบเลิกและกำหนดเขตแดนตามความเ็นชอบของสภาแ่งชาติตามการเสนอของนายกรัฐมนตรี โดยทั่วไปการเลือพื้นที่่ใดเป็นที่ตั้งของที่ทำการแขวงจะพิจารณาในเชิงภูมิศาสตร์และความสะดวกในการเข้าถึงหรือให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพร้อมต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสังคมเป้นสำคัญ ซึ่งในพื้นที่แต่ละเขวงของ สปป,ลาวนั้น มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและศักยภาพในการเติบโตที่แตกต่างกันไปตามนโยบายเป็นพื้นที่เป้าหมายตามยุทธศาสตร์ต่างๆของรัฐและลักษณะของพื้นที่ ใดเป็ฯที่ตั้งของที่ทำการแขวงจะพิจารณาในเชิงภูมิศาสตร์และความสะดวกในการเข้าถึงหรือให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงความพร้อมต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสังคมเป้ฯสำคัญ ซึ่งในพื้นที่แต่ละแขวงของ สปป.ลาวนั้น มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและศักยภาพในการเติบโตที่แตกต่างกันไปตามนโยบายและการเป็นพื้นที่เป้าหมายตามยุทธศาสตร์ต่างๆ ของรฐและลักษณะของพื้นที่
ด้านกาจัดโครงสร้างการปกครอง แขวงและนครหลวงมีเจ้าแขวงและเจ้าครองนครหลวง เป็นผุ้มีอำนาจสุงสุดในกาบังคับบัญชารฐกรในแขวงนั้นๆ รวมถึงรัฐกรในสังกัดราชการบริาหรส่วนกลางที่ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ในแขวงหรือนครหลวงนั้นด้วยซึ่งไม่ได้เป็นเพียงผุ้ปกครององค์กรส่วนท้องถ่ินเท่านั้นแต่เจ้าแขวงแลเจ้าครองนครหลวงโดยส่วนใหญ่จะดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคระดับแขวงควบคู่ไปด้วยนอกเหนือจากตำแหน่งทางการเมืองในฐานะที่เป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารศูนย์กลางพรรค ซ่งการจะขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าแขวงได้นั้นจะต้องอยุ่ในตำแหน่งหรือมาจากสานการบริาหรงานของพรรคมาก่อน โดยเจ้าแขวงมีฐานเที่ยบเท่ารัฐมนตรีดังพิจารณาได้จาการโยกย้ายหรือสลบสับเปล่ยนตแหน่งระหว่างเจ้าแขวงกับรัฐมนตรีซคึ่มีอยุ่เสมอ ฐานะของเจ้าแขวงและเจ้ครองนครหลวงนั้นมีฐานะเท่ากัน แตกต่างกันเพียงความรัีบผิดชอบพื้ที่ในการปกครองเนื่องจากนครหลวงเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของประเทศอันเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและเป็นที่ตั้งของกระทรวง ทบวงกรมแลองค์กรส่วนกลางอื่นๆ เท่านั้น ตำแหน่งเจ้าแขวงหรือเจ้าครองนครหลวงได้รบการแต่งตั้งโยกย้ายหรือปลดจากตำแน่งโดยประธานประเทศตามการสเนอของนายกรัฐมนตรีส่วนโครงสร้างการบริหารองค์กรขั้นแขวงนั้นประกอบด้วยห้องว่าการปกครองแขวงหรือนครหลวง แผนกของแขนงการ และหน่วยงานระดับกระทรวงประจำแขวงหรือนครหลวง ซึ่งบุคลากรภายในองค์กรขึ้นนี้ประกอบด้วย รองเจ้าแขวงหรือรองเจ้าครองนครหลวง ซึ่งเป็นอำนาจในการแต่างตั้งหรือปลดจากตำแหน่งโดยนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังประกอบด้วย หัวหน้าและรองหัวหน้าห้องว่าการ แขนงการและรัฐกร ก้านอำนาจหน้าที่ของเจ้าแขวและจ้าครองนครหลวงถูกกำหนดโดยบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ค.ศ. 1991 ว่าด้วยทิศทางแลหลัการในการคุ้มครองตามแขนงการ
นครหลวงเวียงจันทน์มีฐานะเที่ยบเท่าแขวงเป้นเขตที่ตั้งของเมืองหลวงของประเทศ เขตปกครองนี้แยกออกมาจากแขวงเวียงจันทน์ โดยถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วสนที่หนึ่ง คือ แขวงเวียงจันทน์ และอีกส่วนหนึ่ง คือ แขวงกำแพงพระนคร โดยกฎหมายปกครองท้องถิ่น ค.ศ. 2003 กำหนดให้นครหลวงเวียงจันทน์ ประกอบด้วย หลายเมืองและหลายเทศบาล เป็นศูนย์กลางทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคมและการบริหารที่มีบทบามส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของชาติ โดยพื้นที่การปกครองของนครหลวงเวียงจันทน์ประกอบด้วย 7 เมือง แบ่งออกเป็น 3 เขต ได้แก่ เขตตัวเมือง ประกอบด้วย เมืองจันทะบูลี เมืองไชยเชษฐา เมืองศีรสัตตนาค และเมืองศรีโคตรบอง เขตชานเมือง ประกอบด้วย เมืองนาทรายทอง เมืองชัยธานี เมืองทรายฟอง และเขตนอกเมือง ประกอบด้วยเมืองปากงึมเมืองสังข์ทอง และยังกำหนดให้มองค์การพัฒนาและบริหารตัวเมืองนครหลวงเวียงจันทน์ ในการบริหารและพัฒนาตัวเมืองนครหลวงเวียงจันทน์ พร้อมทั้งทำหน้าที่วางแผนจัดให้มีการตรวจตรา ดุแลการปลูสร้าง ปกปักรักษาสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ถนน "ฟฟ้า คลองระบายน้ำ กำจัดขยะมูลฝอย เป็นต้น องค์การพัฒนาและบริหารตัวเมืองเวยงจันทน์ ประกอบด้วย คณะชี้นำ ได้แก่ รองเจ้าครองนครหลวงเวียงจันทน์ เป็ฯรองหัวหน้าองค์การ อพบล. โดยตำแหน่ง ตทำหน้าที่เป็นผุ้ประจำการในฐาะนัวหน้าสำนังานขององค์การ อพบ. นอกจานี้ยังประกอบด้วยกรรมการอีก 4 ท่าน ซึ่งเป็นเจ้าเมือง 4 ตัวเมือง ได้แก่ เมืองจันทะบูลี เมืองไชยเชษฐา เมืองศรีสัตตนาค และเมืองศรีโคตรบอง ซึ่งคณะกรรมการเหล่าน้ได้รับการแต่างตั้งโดยนายกรัฐมนตรี ตามการเสนอของเจ้าครองนครหลวงเวียงจันทน์และคณะจัดตั้งศูนย์กลางพรรค
การปกครองขั้นเมือง
เมือง เมืองเป็นหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ระหว่งแขวงหรือนครหลวงกับบ้าน ดดยการสร้างตั้งหรือยุบเลิกเมืองจะต้องพิจารณาถึงประเด็นเรื่องประชากร การบริหาราชการและเงื่อนไขเศรษฐกิจสงคมของพื้นที่นั้น รวมทั้งการใช้วบประมาณเพื่อการสร้างสาธารณประดยชน์ให้มีประสิทธิภาพด้วย ในด้านการบริหารงานของหน่วยการปกครองระดับเมือง มุ่งเน้นการปรสานงาน ตรวจตราและประเมินผลการดำเนินงานต่างๆ ที่เกี่ยวช้องกับการมีส่วนร่วมของประชาชนและการให้บริการประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ โครงสร้างการปกครองของเมือง มีเจ้าเมืองเป็นผุ้ปกครองสูงสุด ฝดดยมีรัฐกรของส่วนกลางปฏิบัติหน้าที่ประจำเมืองนั้น ๆ ตำแหน่งเจ้าเมืองได้รับการแต่างตังและปลดจากตำแหน่งโดยนายกรัฐมนตรี ส่วนตำแหน่งรอบลเจ้าเมืองซึ่งมีฐานะเป้นผุ้ช่วยของเจ้าเมือง ได้รับการแต่างตังจากเจ้าแขวงหรอเจ้าครองนครหลวงที่เมืองนั้นตั้งอยู่ การจัดโครงสร้งการบริหารองค์กรขึ้นเมืองประกอบด้วย ห้องว่าการปกครองเมือง ห้องแขนงการ และหน่วยงานระดับกระทรวงประจำเมือง บุคลากรประกอบด้วยรองเจ้าเมือง หัวหน้าและรองหัวหน้าห้องว่าการ และพนักงานรัฐกร อำนาจหน้าที่ของเจ้าเมืองนั้น มีภารกิจเช่นเดียวกับเจ้าแขวงและเจ้าครองนครหลวงตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งสาะารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การแบ่งส่วนราชการของหน่วยการปกครองระดับเมืองคล้ายกับการแบงส่วนราชการของแขวงหรือนครหลวง โดยแบงออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่หนึ่ง คื อห้องว่าการเมือง ประกอบด้วยหน่วยงาน เลขานุการ หน่วยงานปกครองและหน่วยงานบริหารการเงิน ส่วนที่สอง คือ ส่วนราชการของหระทรวงต่างๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่ในเมืองนั้นๆ
เทศบาล เทศบาลคือ องค์การบริหารรัฐระดับท้องถ่ินในขึ้นเมืองโดยอยู่ใต้การบังคับบัญชาของแขวงหรือนครหลวง โดยมีหัวหน้าเทศลาลที่มาจากการแต่างตั้งจากนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มาจากากรเลือกตั้งและไม่มีสภาเทศบาลดังเช่นรูปแบบเทศบาลทั่วไป กฎหมายปกครองท้องถ่ิน ได้กำหนดให้เทศบาลมีฐานะเป็นองค์กรปกครองท้ถงิถ่ินขั้นเมือง มีภารกิจและบทบาทในการบริหารทางด้านการเมือง เศรษบกิจ วัฒนธรรม สังคม รวมถึงการก่อสร้างและการบริหารทรัพยากรมนุษย์ การักษาทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม ปฏิบัติตามแผนการพัฒนาตัวเมอืงการให้บริการสาธารณะ รับประกันความสงบล ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาดายในเทศบาล ความสัมพันธ์และความร่วมมือกับต่างประเทศตามที่ไดรับมอบหมายจากแขวง กัวหร้าองค์กรปกครองเทศลาล คื อกัวหร้าเทศบาบ ได้รับการแต่างตั้ง โยกย้ายและปลดจากตำปหน่งโดยนายกรัฐมนตรี ตามการเสนอของเจ้าแขวง รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ให้อำนาจหัวหน้าเทศบาลมีสิทธิและหน้าที่ในการวางแผนการจัดตั้งปฏิบัติและคุ้มครองการพัฒนาตัวเมืองบริการสาธารณะให้ทั่วถึง มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดและสวยงามในขอบเขตตัวเมือง ตามที่ได้กำหนดไว้ในผังเมือง รวมทั้งดำเนินการตามสิทธิ์และหน้าที่อื่นๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ในระเบียบกฎหมาย โครงสร้างการบริหารของเทศลบาล ประกอบด้วยห้องว่าการปกครองเทศบาล ห้องแขนงการ และหน่วยงานกองวิชาการนอกจากนี้ในส่วนของหน่วยงานบริการส่วนบุคลากรภายในองค์กรของเทศบาล ประกอบด้วย รองหัวหน้าเทศบาล หัวหน้าและรองหัวหน้า ห้องว่าการ รวมถึงพนักงานรัฐกรที่สังกัดโครงสร้างบริหารของเทศบาลซึ่งตำแหน่งหัวหน้า รองหัวหน้าว่าการเทศบาลได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายและปลดจากตำแหน่งโดยเจ้าแขวงหรือเจ้าครองนครหลวงส่วนหัวหน้าห้องแขนงการประจำเมืองได้รับการแต่งตั้ง ดยกย้ายและปลดจากตำแหน่งโดยรัฐมนตรว่าการกระทรวงนั้นๆ
การปกครองขั้นบ้าน บ้าน เป็นหน่วยการปกครองท้ถงอถ่นิขึ้นต้นและมีขนาดเล็ที่สุดเป็นผลมาจากเป้าหมายในการจัดหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่เพื่อขยายการดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายรัฐ การปกครองครองระดับบ้านอยู่ในพื้นที่ซึค่งมีบ้านเรือนมากกว่า 20 หลังคาเรือน หรือมีประชาชนอาศัยอยู่ร่วมกันมาก่า 100 คน ก็สามารถจัดตั้งให้เป็นบ้านได้ตามการนุมัติของเจ้าแขวงหรือเจ้าครองนครหลวงโดยการเสนอของเจ้าเมืองนอกจากการมีฐานะเป็นหน่วยทางการปกครองแล้ว ยังถือว่าบ้านเป็นที่ดำรงชีวิตของบรรดาเผ่าชนที่จัดให้มีการปฏิบัติตามแนวทาง นโยบายหรือคำสั่งขององค์การขั้นสูง การจัดการปกครองระดับบ้าน จัดดครงสร้างให้มีายบ้านเป็นผุ้ดูแลโดยมีรองนายลบ้านจำนวนหนึ่งหรือสองคนเปนผุ้ช่วยงาน และยังประกอบด้วยคณะกรรมการบ้านอีกจำนวนหนึ่ง แม้บล้านจะเป็นหน่วยการปกครองขั้นต้น แต่สิ่งที่มีความสำคัญ คือ นายบ้านมาจากากรเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนในเชตพื้นที่บ้านนั้นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นผุ้ที่ประชาชนให้การยอมรับและเป็นผุ้มีจิตสาธารณะหรือมีบทบามในพื้นที่เมื่อได้รับผลการเลือกตั้งแล้ว เจ้าเมืองจะเป็นผู้นำเสนอชื่อต่อเจ้าแขวงหรือเจ้านครหลวงเพื่อให้แต่างตั้งเป็นนายบ้านต่อไป ส่วนตำแหน่งรองนายบ้านและกรรมการบ้านได้รับการแต่างตั้งจากเจ้าเมืองตามการเสนอของนายบ้าน ทั้งนี้หากไม่มีผุ้ลงสมัครหรือไม่สามารถเลือกตั้งนายบ้านได้ เจ้าเทืองจะเป็นผู้คัดเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมแต่งตังให้เป็นนายบ้าน นอกจากนั้นโครงสร้างที่สำคัญอื่นๆ ของการปกครองขั้นบ้าน ยังประกอบด้วยคณะกรรมการบ้าน ซึ่งแบ่งออกเป็นด้านต่างๆ เพื่อช่วยนายบ้านดำเนินงานในการบริาหรงานภายในพื้นที่บ้าน ซึ่งนายบ้านและรองนายบ้านจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะกรรมการ โดยคณะกรรมการแต่ละชุดจะมีกรรมการ 3 คน ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนภายในบ้านนั้นๆ
วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2560
Local government in Cambodia
กัมพุชาเป็นประเทศที่ประสบกับภาวะความขัดแย้งทางการเมืองและสงครามกลางเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 150 ปี ซึ่งได้สร้างประสบการณ์และได้ทิ้งร่องรอยของความบอบช้ำจากสงครามภายในประเทศไว้มากมาย เช่น ปัญหาคอรัปชั่น ปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ปัญหาความยากจนและปัญหาสิ่งแวดล้ม เป้นต้น ดังนั้นจากสภาพความไม่มั่นคงทางการเมืองในระดับชาติจึงกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ส่งผลให้แนวคิดการกระจายอำนาจให้กับการปกครองท้องถิ่นของกัมพูชานับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1863-1991 ไม่ได้รับความสนใจหรือไม่มีการสนัสนุนให้เกิดการกระจายอำนาจอย่างจริงจังจากทั้งเจ้าอาณานิคมและรัฐบาลในแต่ละช่วงเวลาอย่างที่ควรจะเป็น กระทั่งสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลงตามขช้อตกลงสันตุภาพที่กรุงปารีส ที่เปิดทางให้กับการเข้ามาของ UNTAC เพื่อทำการฟื้นฟูประเทศกัมพุชาและนำไปสุ่การเลือกตั้งระดับชาติที่เป็นประชาธิปไตยครั้งแรกของกัมพูชา ซึ่งเป็นภารกิจหลัก นอกจากนั้น UNTAC และประเทศผุ้ให้การสนับสนุนก็ยังให้ความสำคัญกับการแห้ไขปัญหาความยากจน (อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการออกไปของอาณานิคม) โดยมีความเชื่อพื้นฐานว่า การพัฒฯาประชาธิปไตยระดับชาติให้เป็ฯพหุประชาธิปไตย และการลดปัญหาความยากจน ในกัมพุชาควรจะมีการปฏิรูปรัฐบาลพัฒนาสถาบันทางกรเมือง ปกิรูประบบราชการ สร้างและปรับปรุงระบบธรรมาภิบลาลในภาครัฐรวมไปถึงการกระจายอำาจสู่ท้องถิ่น
ดังนั้น จากหลักการดังกล่าวจึงนำไปสู่การจัดตั้งโครงการการร่วมือระหว่างรัฐบาลกัมพุชาและผุ้ให้การสนับสนุน เพื่อทำารศึกษาและทำการจัดการทอลองการนำรูปแบบสภาท้องถิ่นไปใใช้ในท้องถิ่น ซึ่งได้กำหนดแบ่งการศึกษาออกเป็น 3 ส่วนที่สำคัญได้แก่ ระดับชาติ (พิจารณาจุดแข็งและจุดอ่อนของนโยบาย รวมทั้งวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ในการปฏิรูป) ความสัมพันธ์ระหว่งรัฐบาลกลางกับท้องถ่ิน (การดำเนินการออกแบบกำหนดให้ีการบรรลุถึงเป้าหมายของการปฏิรูป) และคามสัมพันะ์ระหว่างท้องถิ่นกับท้องถิ่น ผความร่วมมือระหว่างประชาชนในคอมมูน ความสัมพันธ์ระหว่างคอมมูน และคามอิสระของท้องถิ่น)
โครงการดังกล่าวจัดว่าเป็ฯโครงการพัฒนาชนบทที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยรัฐบาลกัมพุชาได้เริ่มทอลองให้มีการกระจายอำนาจให้กบท้องถิ่นกว่าร้อยละ 20 ของประเทศ และมีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาชนบทประจำตำบลและหมู่บ้านทั่วประเทศกว่า 1,000 หมู่บ้านและกว่า 100 ตำบล เพื่อทำแผนการพัฒนาประจำปมู่บ้านและตำบล โดยเฉพาะการสร้างดครงสร้างพื้นฐานสาธาณณูปโภคต่างๆ ทั้งนี้จะประสบการณ์จากโครงการดังกล่าวจึงทำให้รัฐบาลกัมพุชาได้รับประสบการณ์ในเบื้องกต้นสำหรับการจัดให้มีการเลือกต้งสภาท้องถิ่นซึ่งเป็นขึ้นตอนแรกของการกระจายอำนาจจากส่วนหลางสู่ท้องถิ่นและนำไปสู่การจัดร่างกฎหมายเพื่อสนับสนุนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นของกัมพุชาทั้งกฎหมายการเลือกตั้งและกฎหมายในการบริหารและจัดการท้องถิ่น กฎหมายเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สมบัติของจังหวัด/กรุง เป็นต้น
ทั้งนี้ดูเหมือนว่าการกระจายอำนาจในกัมพูชามีการกำหนดทิศทางและกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน แต่ทว่าความตั้งใจดังกล่าวกับไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้การกระจายอำนาจยังคงดำเนินไปยอ่างล่าช้าเนื่องจากว่าภายหลงการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1993 มีการจัดตั้งรัฐบาลผสมเป็นรัฐบาลแห่งชาติของ 4 พรรคได้แก่พรรคซีพีพี CPP พรรคฟุนซินเปค พรรคพุทธเสรีประชาธิปไตยและพรรคโมลินาคา มีนายกรัฐมนตรี 2 คน แต่อำนาจกลับอยู่ในมือของสมเด็๗ฮุนเซนมากกว่า และส่งผลให้กลไกของรัฐไม่สามารถทำงานได้ตามปกตออำนาจในท้องถิ่นก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคซีพีพี เพราะได้ร่วมกับประชานนการสู้รบกับเขมรแดงจึงทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่งสองขััวอำนาจ เพราะแต่ละพรรคต่างก็ต้อกงการสรางอำนาจฐานการเมืองในระับท้องถิ่นให้เข้มแขงเพื่อเตียมพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปที่กำหนดให้มีขึ้นในปี ค.ศ. 1998 ท้ายที่สุดชนวนความขัดแย้งในการแบ่งสรรอำนาจระหว่างพรรคประชาชนกัมพุชา CPP แลพพรรคฟุนซินเปค ก็ดำเนินมาสู่จุดแตกหัแกละนำไปสู่การรัฐประหารโดยนายฮุน เซนในปี ค.ศ. 1997 แต่ดวยแรงกดดันจากนานาชาติและการดำเนินนโยบายการแทรกแซงอย่างสร้างสรรค์ จากอาเซียจึงทำให้พรรคประชาชนกัมพูชา ยอมไใ้มการเลือกต้้งระดับชาติครั้งที่ 2 ในปี คซศ. 1998จากความไร้เสถียรภาพทางการเมืองระดับชาติจึงกำหนดการเดิมซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตังระดับท้องถิ่นในปี ค.ศ. 1999 ต้องเลื่อนออกไปเป็นเดือนมีนาคม ค.ศ. 2000
โดยภายหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปในกัมพุชาในปี ค.ศ. 1998 รัฐบาลกัมพูชามีความพยายามในการฟื้นฟุประเทศขึ้นมาใหม่อีกครั้งและการให้คำมั่นสัญญาต่อนานาประทเศที่ให้ความช่วยเหลือต่อกัมพุชาในการพัฒนาประเทศ และรัฐบาลกัมพุชาก็มีความจำเป้นต้องมีการปฏิรูปการบริหารประเทศในหลายๆ ด้านเพื่อการปกครองที่บริสุทธิ์ยุตธรรมเช่น การปฏิรูประบบการเงินกาีคลังของประเทศ การปฏิรูประบบการบริหารประเทศและกำลังทหาร การปฏิรูปการกระจาอำนาจการปกครอง สำหรับแนวคิดการกรจายอำนาจเกิดขึ้นมาจากหลักธรรมาภิบาล เนื่องจากรัฐบาลมีความเชื่อว่าการกระจายอำนาจเป้นการปกครองที่รัฐมสมารถ่ายโอนอำนาจการบังคับบัญ๙าและากรมอบหมายความับผิดชอบในการบางอย่างให้กับท้องถิ่นดำเนินกาจัดการภายในท้องถิ่นเอง โดยจุดมุ่งหมายสภคัญเพื่อให้ประชาชนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีส่วนร่วมและรับผิดชอบร่วมกันในการดูแลกิจการท้องถิ่นของตนเอง แต่อย่งไรก็ตาม แม้ว่าการปฏิรูประบบราชการ การกระจายอำนาจจะดำเนินไป แต่ก็ปรากฎสิ่งที่ท้าทายกระบวนการปฏิรูปด้วยเชช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นในด้านของโครงสร้างกฎหมายของประบวนการกระจาย ความสัมพันธ์ของโครงสร้งกฎหมายของกระบวนการกระจาย ความสัมพันธ์กับกระบวนการแบ่งอำนาจรวมไปถึงเร่ิมมีการข่มขู่คุกคามทางการเมืองแม้ว่าจะยังไม่มีกำหนดการเลือกตั้งที่ชัดเจน โดยเดือนสิงห่คม ค.ศ. 2000 ผุ้ที่คดว่าจะลงใาัครแข่งขันรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น ของพรรคฟุนซินเปค 1 คนและของพรรคสม รังสี อีก 2 คน ถูกลอบยิงเสียชีวิตในจังหวัดกำปอต จังหวัดกำปง จาม และสังหวัดไพรเวงตามลำดับ
กระทั่งปี ค.ศ. 2001 มีการผ่านกฎหมายท้องถิ่น ออกมา 2 ฉบับได้แก่ กฎมหายการบริหารและจัดการท้องถิ่น และกฎมายการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจกับสภาท้องถ่ินในการวางแผนพัฒนาและบริหารแผนพัฒนาท้องถิ่นรวมไปถึงการมีวบประมาณเป็ฯของตัวเองและนำไปสู่การเลือกตั้งระดับท้องถ่ินในเือนกุมภมพันธ์ ปี 2002 และเกิดปรากฎหารณ์การเคลื่อนไหวทางการเืองท้องถ่นนของกัมพูชาเป็นอย่างมากหว่าคือ ตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆ ของกัมพุชาได้เข้าร่วมในการเลือตั้งในระดับสภาพท้องถิ่นทั่วทุกแห่งของประเทศ ซึ่งกอ่นหน้านี้ผุ้นำท้องถ่ินเหล่านี้ต่างก็คือ บุคคลที่เคยได้รบแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ภายใหต้การีนำของพรรค PRK ที่ได้ร่วมต่อสู้กับประชาชนในช่วงที่เขมรแดงยังปกครอง และถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อพรรคมาเป้ฯพรรคประชาชนกัมพุชา ผุ้นำเหล่านี้ก็ยังคงมีความจงรักภักดีทางการเืองอย่งต่อเนื่อง ขณะเดี่ยวกันพรรคประชาชนกัมพูชา เองก็พยายามที่จะรักษาอำนาจและคงอิทธิพลฝังรากตั้งแต่ระดับำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน ซึ่งนับได้ว่ากลายเป็นกลไกสำคัญแลทำให้พรรรคประชาชนกัมพุชามีเสถียรภาพทางการเมืองสูงจวบจนปัจจุบัน
ผู้นำชุมชนที่มาจากการแต่งตั้ง เพื่อให้ภาพการพัฒนาการการกระจายอำนาจและกรปกครองท้องถิ่นของกัมพูชาที่ชัดเจน จำเป็จ้องนำเสอนการปกครองท้องถิ่นของกัมพูชาตั้งแต่อดีตที่มาจาการแต่งตั้งจนกระทั่งก่อนจะมีเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2002
กัมพูชานช่วงที่ตกอยุ่ใต้อาณัติของฝรั่เศส มีการเหล่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่งมาก โดยเฉพาะการที่พระมหากษัตริย์จำต้องลงรพนามในกฎหมายและประกาศหลายฉบับในปี ค.ศ. 1884 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้ผลประโยชน์แก่ฝรั่งเศสทั้งส้ินเช่น ข้อตกลงฉบับหนึ่งที่มีข้อสัญญาบางข้อที่เป้ฯการวบอำนาจในกัมพุชาไฝ้ในมือของฝรั่งเศสอย่างเบ็ดเสร็จ ราชธานีพนมเปญอยุ่ภายใต้การปคกรองโดยตรงจากฝรั่งเศส แระชาชนทุกชนชั้นวรรณะต้องตกเป้นผุ้คอนรับใช้เพื่อสนองผลประดยชน์แก่เจ้าอาณานิคม ฝรั่งเศสมีอสิระอย่างเต็มี่ในการเก้บภาษีอากรทุกประเะภทแงะมี่สิทธิแต่งตั้งผ้ดูแลที่เป็นคนฝรังเศส 1 คนหรือรองอีก 1 คนให้ทำหน้าที่เป้ฯเจ้านายตรวจตราข้าราชการในจังหวัดหนึ่งๆ และในุทกๆ แห่งที่ฝรั่งเศสเห็นว่าจะมีประโยชน์ต่อตนเองราชธานีพนมเปญอยุ่ภายใต้การปกครองโดยตรงของฝ่ายฝรั่งเศสพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ได้รับเงินเบี้ยหวัดเป็นรายไปจากฝรั่งเศสจำนวน 550,000 เรียล กิจการภายในประเทศและนอกประเทศของกัมพุชาอยู่ในการกำกับดุแลของฝรั่งเศส พระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจในการแต่างตั้งขช้าราชการเหมือนที่เคยปฏิบัติมาฝรั่งเศสแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสให้เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์กัมพุชา พร้อมทั้งเป็นผู่จัดแจงกิจการต่างๆ ภายใต้การแนะนำของเทศาภิบาลชาวฝรั่งเศสแห่งอินโดจีน ส่วนการปกครองในระดับจังหวัดต่างก็ตกอยู่ภายใต้การดูแลของฝรังเศส ชาวเขมรต้องอยุ่ภายใต้การบังคับบัญชาของฝรั่งเศสมีเพียงในระดับำเภอลงไปจนถึงตำบลและหมุ่บ้านเท่านั้นที่อำนาจในการปกครองเป็นของขาวเขมรรับผิดชอบและจัดแลงกิจการได้เองภต่ต้องอยู่ภายใต้การตรวจตราอย่างใกล้ชิดของฝรั่งเศส
หากกล่าวถึงการปกครองในระดับท้องถิ่นของกัมพูชาจริงๆ แล้วปรากฎข้อมูลทางการปกครองในระดับตำบล ระดับหมู่บ้านในกัมพูชา มีมาตั้งแต่ก่อนที่ฝรั่งเศสจะเข้ามายึดครองกัมพูชา ในอีกด้านหนึ่งแม้ว่ากัมพุชาจะตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศส แต่ประเทศอาณานิคมยังได้วางรากฐานที่สำคัญเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นไวเช่นเดี่ยวกัน โดยสิ่งที่ฝรั่งเศสทำการปฏิรูปการบริหารงานที่สำคัญที่สุดก็คือการสร้างหน่วยการบริหารงานในระดับหมู่บ้านหรือคอมมูน และมีพระราชกฤษฎีการกำหนดให้มีการเลือกตั้งผุ้ใหญ่บ้านในปี 1908 ซึ่งคอมมูน มีโครงสร้างการทำงานที่เชื่อมโยงระหว่างการปกครองด้วยหลักศีลธรรมผ่านผุ้นำในระดับหมุ่บ้านที่มีความเป็นผุ้นำและได้รับการยอมรับจากประชาชนในหมุ่บ้าน และการควบคุมผ่านระบบราชการในระดับอำเภอ ซึ่งนายอำเภอจะได้รับการแต่งตั้งจากผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นๆ ซึ่งโครงสร้างเดิมของคอมมูนนั้นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือคอมมูนจะต้องมาจากากรเลือตตั้งซึ่งประชาชนเพศชายและหญิงที่มีการจ่ายภาษีเท่านั้นจึงจะมีสิทธิในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือคอมมูน และในปี ค.ศ. 1919 พระราชกฤษฎีกายังได้กำหนดให้มีการแบ่งอำนาจในการจัดการทางด้านการเงินและทรัย์สินไปใไ้กับตำบล และมีพระราชกฤษฎีการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสภาตำบลและมอบหมายงานที่ชัดเจนในการจักการด้านการเงินและการบริหารงานทั่วไป ทั้งนี้ได้มีการจัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการปฏิบัตงานระดับตำบล/แขวง และสภาตำบลมีหลักเกณฑ์และการบิรหารจัดการที่คล้ายคลึงกบประเทศฝรั่งเศส
นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 1960 สภาตำบลได้ถูกยกเลิกไป โดยหัวหน้าคอมมูนหรือกำนัน ผุ้ช่วยกำนันผุ้ใหญ่บ้านจะมาจาการแต่งตั้งโดยผุ้ว่าราชการจังหวัด ผุ้ช่วยกำนันผุ้ใหญ่บ้านจะมาจากการแต่งตั้งโดยผุ้ว่าราชการจังหวัด และในสมัยแขมรแดงปกครอง ก็ได้ทกการยกเลิกสถาบัน และรูปแบบของกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่มีอยุ่เิมทั้งหมด การปกครองในระดับภูมิภาคลงไปจนถึงระดับหมู่บ้านอำนาจทังหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดจาก "องค์การ" ซึ่งเป็นหน่วยงานการปกครองโดยตรงของรัฐที่มีอำนาจทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านสังคม ทางด้านตุลาการ โดยรวมแล้วองค์การในทุกระดับชั้นจะมีสิทธิอำนาจในกาตัดสินใจในทุกเรื่องและในทุกกิจการของรัฐทั้งนี้องค์การในระดับหมุ่บ้านจะมี "ประธานสหกรณ์" ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากองค์การให้มีอำนาจอย่งเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและมีการปฏิบัติต่อประชาชนอย่างโหดร้ายและป่าเถื่อนอันนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันู์อย่างเลวร้ายที่สุดนประวัติศาสตร์การเมืองของกัมพุชา ในอีกด้านหนึ่งนั้นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชายังหลายเป็นปัญหาสำคัญที่สุ่งต่อมายบังปัจจุบันหล่าวได้ว่ากลุ่มประชากรซึงเป็นกลุ่มชนชั้นกลาง ส่วนใหญ่จะถูกฆ่าตายหรือไม่ก็พอพยพหลบหนีนอกนอกประเทศดังนั้นจึงทำให้โครงสร้างประชกรของกัมพุชาในปัจจุบันประกอบไปด้วยวัยเด็กและผู้หญิงเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็กลายเป็นอุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งในการพัฒนาประชาธิปำตยในกัมพูชา..
การเลือกตั้งสภาตำบล การผ่านกฎหมายการเลือกตีั้งท้องถ่ินและฏำหมายการบริหารและจัดการท้องถิ่น เป็นตรั้งแรกในปี ค.ศ. 2002 ซ่งนับว่าเป็นก้าวแรกของการพัฒนาประชาธอปไตยในระดับ้องถิ่นของกัมพูชา ได้ทำให้เกิดการะแสการที่ตัวแทนจากพรรคการมืองต่างๆ ของกัมพุชาได้เขาร่วมการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นทุกแห่งทั่วปะเทศ ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ปี ค.ศ. 2002 พรรคฟุนซินเปคต้องพ่ายแพ้แก่พรรคประชาชนกัมพูชา เพราะได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 22 เท่านั้นทำให้พรรคต้องประเมินสถานะของตนเมื่อจัดการประชุมสมัชชาพรรคประจำปีขึ้นในเดือนมีนาคม 2002 สมาชิกพรรคหลายคนไม่พอใจข้อเสียเปรีบและได้รับผลประโยชน์น้อยมากจากการเป็นรัฐบาลผสมกับพรรคประชาชนกัมพุชาอย่างไรก็ตามสมเด็จกรมพระรณฤทธิ์ยังคงแถลงยืนยันว่าพรรคฟุนซินเปคจะไม่ถอนตัวออกจากการเป็นรัฐบาลผสมแต่จะพยายามเรียกร้องให้พรรคมีอำนาจบริหารเพ่ิมขึ้น
ทั้งนี้การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเป็นตัวแปรที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการเลือกตั้งในระดับชาติในปี ค.ศ. 2003 เพราะการที่ตัวแทนของพรรคฟุนซิเปคและพรรคสมรัสี ที่ได้รับการเลือกตั้้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นทีั่วประเทศ่อมเป้นสิ่งที่เปิดโอกาสให้พรรคต่างๆ เหล่านี้สามารถหาเสียงในระดับชาติได้ด้วย แมว่าจะยังคงปรากฎความไม่ไว้วางใจระหว่างหัวคะแนนในระดับท้องถ่ินของพรรคการเมืองต่างๆ แต่ก็ยังคงเป็นที่ยอมรับร่วมกนว่าพรรคการเมืองใหญ่ ๆ ต่างก็สามารถได้ที่นั่งในสภาท้องถ่ินในทุกๆ คร้งากน้อยต่งกัน ซึ่งเป็นภาพการเมืองระดับท้องถิ่นที่แตกต่่างจากก่อนการเลือกตั้งปี ค.ศ. 1998 ซึ่งมีการเน้นเแพาะบทบาทของผุ้ใหญ่บ้าน ผุ้นำชุมชน และตำรวจ ในการทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร จัดสมาชิกพรรคออกไปหาเสียงให้กับพรรคการเมืองของตนร่วมไปถึงการข่มขู่คุกคามผุ้ที่สนับสนุนพรรคฝ่ายค้านในอีกด้านหนึ่งย่อมชัดเนว่า ปัจจุบันผุ้นำท้องถินมีบทบาทสำคัญต่อการเมืองระดับท้องถิ่นมากว่าสถาบันข้าราชการ
ระบบกรปกครองท้องถิ่น
โครงสร้างขององค์กรปกคอรงส่วนท้องถิ่น รัฐธรรมนูญกัมพูชาฉบับปัจจุบัน 1999 หมวดที่ 13 การบริหารราชการ ได้บัญญัติเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นไว้ดังนี้
มาตรา 145 ดินแดนของราชอาณาจักรกัมพูชาแบ่งออกเป็นจังหวัด และกรุง เขตพื้นที่แต่ะจังหวัดแบ่งเป็นอำเภอ และพื้นที่แต่ละอำเภอแบ่งเป็นตำบล เขชตพื้นที่แต่ละกรุงแบ่งเป็นเขต และเขตพื้นที่แต่ละเขต แบ่งเป็นแขวง
มาตรา 146 การปกครองจังหวัด กรุง อำเภอ เขตและแขวงให้เป็นไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
ปัจจุบันกัมพูชาแบ่งโครงสร้างการบริหารราชแผ่นดินออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยโครงสร้างส่วนกลางแบ่งออกเป็นกระทรวงและสำนักงานอิสระ และโครงสร้างส่วนภูมิภาคได้แก่จังหวัด/กรุง อำเภอ/เขต ตำบล/แขวง และหมู่บ้าน ดดยจังหวัด/กรุง และอำเภอ/เขต เป็นหน่วยงานบริหารราชการส่วนภูมิภาคของรัฐ ซึ่งผุ้ว่าราชการ จังหวัด /กรุง นายอำเภอ จะมาจาการแต่างตั้งโดยกระทรวงมหาดไทย ปัจจุบัน กัมพูชามีทั้งหมด 24 จังหวัด และ 1 เทศบาลนคร จำนวนสมาชิกสถาท้องถิ่นแตกต่างกันดังนี้
สภาเมืองหลวง มีจำนวนสมาชิกสภาได้ไม่เกิดน 21 คน พนมเปญ
สภาจังหวัด มีจำนวนสมาชิกสภาได้ตั้งแต่ 9-21 คน
สภากรุง มีจำนวนสมาชิกสภาได้ตั้งแต่ 7-15 คน
สภาอำเภอและสภาเขต มีจำนวนสมาชิกสภได้ตั้ง 7-19 คน
ส่วนการปกครองในระดับตำบล/แขวง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือกำนันจะต้องมจาการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนในลักษณะของการรับสมัครเลือกตั้งในนามของพรรคการเมือง และสมาชิกสภาท้องถิ่นยังเป็นผุ้มีสิทธิ์ในการออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาอีกด้วยจึงทำให้โครงสร้างในระดับท้องถิ่นมีความเชื่อโยงกับสภานิติบัญญัติและสมาชิกวุฒิสภา ส่วนตำแหน่งผุ้ใหญ่บ้านในแต่ละหมู่บ้านจะมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมและแต่งตั้งโดยสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือกำนันและไม่มีวาระในการดำรงตำแหน่ง
สภาตำบลเป็นหน่วยงานระดับล่างสุดที่มีบทบาทในการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างธรรมาภิบาลโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยุ่เพื่อตอบสนองควาต้องการของประชาชนในคอมมูน/แขวง โดยคำนึงถึงนโยบายของรัฐเป็นสำคัญ เดิมบทบาทอำนาจหน้าที่ไม่ชัดเจนเท่าใดนักกระทั่งผ่านกฎหมายในปี ค.ศ. 2001 กฎหมายฉบับดังกล่าวได้กำหนดบทบาทและอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในหมวดที่ 4
ภารกิจและอำนาจหน้าที่ของสภาตำบลสามารถแบ่งออกเป็น 2 ด้านที่สำคัญ คือ หน้าที่ในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ในแต่ละคอมมูน และหน้าที่ในการเป็นหน่วยงานตัวแทนของรัฐและทำหน้าที่ตามที่ได้รับการมอบอำนาจจากรัฐบาลกลางทั้งหน้าที่ในการตอบความต้องการของประชาชนจะเกี่ยวข้องกับเรื่องดังนี้
- หน้าที่ในการธำรงและรักษาความสงบเรียบร้อย วึ่งในที่จะเกี่ยวข้องกับการลดจำนวนการเกิดอาชญากรรมและความรุนแรงและรวมไปถึงการทำงานร่วมกับตำรวจ
- หน้าที่ในการจัดเตรียมสิ่งจำเป็นต่างๆ ในการบริการสาธารณะและมีความรับผิดชอบและดำเนินงานเป็ฯอย่างดี เช่น ด้านสุขอนามัยของน้ำ การสร้างและซ่อมแซมถนน ด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา และการจัดการน้ำเสีย เป็นต้น
- หน้าที่ในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้ความสุขกับประชาชนเช่นการจัดตั้งสวนสาธารณะเป็นต้น
- หน้าที่ในการส่งเสริมการพัฒนทางสังคมและเศรษบกิจรวมไปถึงการยกระดับความเป็นอยู่อขงประชาชให้ดีขึ้นเช่นการชักจูงนักลงทุนให้มาลงทุนโครงการต่างๆ ในท้องถิ่น
- หน้าที่ในการปกป้องและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม, ทรัพยากรธรรมชาติ, วัฒนธรรมและมรดกของชาติ โดยอาจจะเกี่ยวกับการดำเนินโครงการปกป้องสัตว์ป่าท้องถิ่นและพืชประจำถิ่นและการจัการทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น
- หน้าที่ในการปะสานไกล่เหล่ยความขัดแย้งภายในท้องถิ่นให้ประชาชนมีความเข้าใจและอดทนต่อกันและกันเช่นการช่วยแก้ปัญหาข้อพิพาทในท้องถ่ิน
- หน้าที่ในการค้นหาและติดตามความต้องการของประชาชน
ทั้งนี้ หน้าที่ในการเป็นหน่วงานตัวแทนของรัฐและทำหน้าที่ตามที่ได้รับการมอบอำนาจจากรัฐบาลกลางตามกฎหมาย พระราชบัญญัติพระราชกฤษฎีกาหรือการประกาศต่างๆ โดยสภาตำบลจะไม่มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องดังต่อไปนี้คือ ด้านป่าไม้, ด้านการไปรษณีย์และการบริหารทางโทรคมนาคม, การปกป้องประเทศ, ความมั่นคงของประเทศ,ด้านการเงิน, นโยบายต่างประเทศ, นโยบายทางด้านภาษีและอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด โดยสภาตำบลมีอำนาจอย่างอิสระในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ ซึ่งจะต้องได้รับเสียงข้างมากในสภาตำบล เช่น การนุมัติแผนการพัฒนตำบลระยะ 5 แี และจะต้องมีการปรับปรุงแผนพัฒนาตำบลทุก 1 ปี การอนุมัติวบประมาณของตำบล การจัดเก็บภาษีและการบริการอื่นๆ การอนุมัติกฎหมายต่างๆ ของท้องถิ่นและเรื่องๆ อื่นที่ได้รับการแนะนำจากกระทรรวงมหาดไทย ซึ่งในแต่ละคอมมูนจะต้องแต่งตั้งบุคคล 2 คนอาจจะเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรืประชาชนในการทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบประเมินโครงการพัฒนาตำบล ดดยโครงการพัฒนาท้องถ่ินต่างๆ ต้องประกาศหรือนำเสนอต่อสาธารณะเพื่อให้ประชาชนสมารถเข้าถึงข้อมุลดังกล่าวได้ยอ่างอิสระ และสภาตำบลเปิดโอกาศให้ประชาชนเขามีส่วนร่วมใหนการจัดำโครงการพัฒนา ตำบล การนำไปสุ่ปฏิบัติใช้และพัฒนาโครงงการต่างๆ ในท้องถิ่นใหมีความสอดคล้องกับกระทรวงและภาคส่วนอื่นๆ ด้วย
การเงินและการคลังของท้องถิ่น คอมมูน/แขวง ถุกบัญญํติไว้ในกฎหมายการบริหารและจักดารคอมมูน/แขวง สรุปความได้ว่ สภาตำบลมีทรัพยากรทางการเงิน ,วบประมษณและทรัพย์สินเป็นของตัวเองที่เหมาะสมสำหรับการดูแลจัดการและทำหน้าที่ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้และทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติย่างเหมาะสมและสนับสนุนกาพัฒนาประชาธปิไตยภายในท้องถ่ินน้นๆ สภาท้องถิ่นมีอำนาจที่จะเก็บภาษีโดยตรงจากภาษีการเงินและภาษีที่ไม่ใช้การเงินและจกการบริการอื่นๆ ซ฿่งภาษีดังกล่าวก็จะรวมไปถึงภาษีที่ดิน ภาษีจากทรัพย์สินอื่นๆ ที่เคลื่อนที่ไม่ได้และภาษีค่าเช่าหรืออาจจะได้เงินงบประมาณมาจากการสนับสนุของงบประมาณระดับชาติหรืออาจจะมาจากการบริจาก การให้ความช่วยเลหื่อจากองค์กรพัฒนเอกชนตามที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเป็รจ้ร สภาท้องถิ่นไม่มีสิทธิ์ในการกู้หรือไใ้กู้ยืมเงนิไม่มีสิทธิืในการทำธุรกรรมทางกาเงินไดๆ ทั้งสิ้น นอกจานั้นสภาท้องถ่ิน จะต้องมีการบริาหรการเงินและการคลังของคอมูน/แขวงอย่งโปร่งใส มีประสิทธิภาพและสามารถตรวจสอบได้
การบริหารงานบุคคลท้องถิ่น สภาตำบลจะมีเจ้าหน้าที่เป้ฯของตนเอง พนักงานของสภาท้องถ่ินจะต้องมาจากากรแข่งขันการับสมัครบุคคลและแต่งตั้งบุคคลจากสภาท้องถ่ินหรือฝ่ายบริหารงานบุคคลเพื่อทำงานในสภาท้องถิ่นอย่างโปร่งใสตามกฎหมาย โดยพนักงานของสภาท้องถิ่นจะอยู่ภายใตก้าบริหารงานโดยตรงและการดุแลตรวจสอบจากประธานสภาตำบลหรือกำนัน ยกเว้นแต่เจ้าหน้าที่บางประเภทเช่นเลขานุการสภาตำบล จะมาจาการแต่างตั้งโดยรัฐบาลกลาง
ความสัมพันธ์ระหว่างราชการสวนกลาง ส่วนภูมิภาคและสภาตำบล โดยความสัมพันธ์ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภุมิภาค และสภาตำบลสืบเนื่องมาจากการวางโครงสร้างการปกครองท้ถงถ่ินทีแม้ว่าจะมีการกระจายอำนาจให้กับท้องถ่ินให้ีการเลือตั้งอบ่งอิสระมีการบริหารกิจการภายในท้องถ่ินและมีงบประมาณเป็นตัวเอง แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับกำหนดให้สภาตำบล ในบางกรณีจะต้องอยู่ภายใต้การกำกับควบคุมและทแรกแซงโดยการแต่างตั้งข้าราชการที่ได้รับการแต่างต้งโดยกระทรวงมหาดำทย ยิงไปกว่านั้นด้วยลักษณธเฉพาะของรุ)แบบการเลือกตั้งสภตำบลที่ผุ้สมัตรรับเลือกตังจะตอ้งสมัตรในนามของพรรคการเมืองจึงเป็นเหตุให้การปกครองท้องิ่นไม่สามรถแยกออกจากการเมืองระดับชาติได้ในแง่ที่ว่าปัจจัยของพรรคหรือพรรครัฐบาลบ่อมมีผลต่อการเลือกตั้งในแต่ละครั้งหรือแม้แต่ในด้านของการบริหารงานภายในท้องถิ่นย่อมมีปัญหาในการบริหารงานที่อาจจะเป็นเพรียงกลไกในระดับล่างของพรรคการเมืองหนึ่งเพื่อเป็นฐานสนับสนุนหรือสร้างความเข้มแข็งทางการเมืองในระดับชาติ นอกจากนั้นสภาท้องถ่ินยังถูกกำหนดให้มีบทบาทและขอบเขตหน้าที่มากไปกว่าขอบเขตพื้นที่ในแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น สมาชิกสภาท้องถิ่นยังมีอีกสภานะ คือ สถานะของผุ้มีสิทธิ์ในการเลือตั้งวุฒิสภาและมีสิทธิ์ในการแต่งตั้งผุ้ใหญ่บ้านไปพร้อมๆ กัน ฉะนั้นจากลักษณะเฉพาะของโครงสร้างอำนาจและหน้าที่ของสภาท้องถิ่นจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและสภตำบล ไม่สามารถแยกออกจากกันอย่างอิสระ หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวกลางในการ้อยรัอความสัมพันะ์ระหว่งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคแะสภาตำบลเข้าไว้ด้วยกัยอย่าวแนบแน่นนั่นก็คือพรรคการเมือง
การตรวจสอบ ควบคุมและการกำกับท้องถิ่น การกำหนดกลไกในการติดตาม แทรกแซง ตรวจสอบการทำงานของสภาตำบลตามกฎหมายการบริหารจัดคอมมูน/แขวง โดยหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ดุแลหน่วยการปกครองท้องถิ่นคือกระทรวงมหาดไทยโดยมีทยวงการบริหารท้องถิ่น ทำหน้าที่ดูแลทั่วไปเกี่ยวกับการกระจายอำนาจคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อส่อสารระหวางนโยบายการกระจายอำนาจของรัฐบาลกลางและท้องถ่ินในแต่ละระดับรวมไปถึวตัวแทนของ รัฐ ภาคเอกชน ประชาสังคมและอื่นๆ ทำหน้าที่ติดตามควบคุมและประเมินการดำเนินนโยบายการกระจายอำนาจและำหน้าที่ในการติดตามควบคุมและเพ่ิมประสิทธิภาพของท้องถภิ่น ซึ่งกระทรวงมหาดไทยอาจจะมอบอำนาจให้กับตัวแทนของรัฐในระดับจังหวัด/กรุง หรือตำบล/เขต เข้าไปให้ความช่วยเหลือแก่ท้องถ่ิน และในขณะเดียวกันถ้าหากคอมมูน/แขวง ล้มเหลวในการทำหน้าที่และไม่สามาถแก้ไขความล้มเหลวดังกล่วได้ภายใน 6 เดือน ตามกฎหมายกระทรวงมหาดไทยก็สามารถเข้าำปแทรกแซงในกิจการภายในท้องถิ่นอย่างทันทีนอกจากนั้นกระทรวงมหาดไทยยังได้กำหนดให้มีการติดตามการดำเนินงานและปรเมินการใช้งบประมาณในโครงการการพัฒนาต่างๆ ของคอมมูน /แขวงเพื่อมิให้มีการใช้งบประมาณไปในทางที่มิชอบซึ่ง คอมมูน/แขวงมีหน้าที่ต้องเตียมรายงานการใช้จ่ายเงินประจำปีให้แล้วเสร็จภายใน 45 วันหลังหมดปีงบประมาณและนำเสนอรายงานดังกล่าวให้กับกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยต่อสาธารณะและองค์กรสมาคมต่างๆ
ส่วนกลไกในการตรวจสอบจากประชานยังคงมีข้อจำกัดอยู่มาก เนื่องจากความยากจนเป็นอุสรรคต่อการกระจายอำนาจสู่ท้องถ่ิน ประชาชนผุ้มีสิทธิ์เลือกตังส่วนใหญ่ไม่ได้รัการศึกษาทำให้ระดับการมีส่วนร่วมทากงารเมืองอยู่ในระดับต่ำ มีช่องทางมากมายสำหรับการซ้อสิทธิ์ขายเสียงของพรรคการเมืองโดยไม่ถูกตรวจสอบความสัมพันธ์แบบระบบอุปถัมภ์ระหว่างพรรคการเมืองกับประชาชนระหว่าผุ้นำท้องถิ่นกับประชาชน รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐที่วางตัวไม่เป็นกลางกับประชชน อีกทังยังมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐในท้องถิ่นตัวอย่างหน่งที่แสดงการใช้กลไกของรัฐกลยุทธ์ทงการเมืองในการควบคุมวิะีคิดหรือการตัดสินใจทางการเมืองของประชาชนอันเป็นสิ่งที่ยืนยันลชัดเจนถึงขีดความสามารถในการตรวจสอบการทำงานของท้องถิ่นโดยประชาชนได้ในระดับหนึ่งดังปรากฎข่าวว่าผุ้ใหญ่บ้านได้เรียกให้ประชาชนที่อาศัยอยุ่ในปมูาบ้านทั้งหมดมาพิมพ์ลายนิ้มือและให้สัญญาว่าจะเลือพรรคประชาชนกัมพูชา CCP เนื่องจากการเลือกตั้งในครั้งก่อนมีผุสนับสนุนพรรคเป็นจำนวนมากแต่ผลคะแนนเสียงที่ได้รับกลับมีจำนวนน้อยไม่สอดคล้องกับความช่วยเหลือที่พรรคได้ให้กับประชาชน
- พินสุดา วงศ์อนันต์, "ระบบการปกครองท้องถิ่น ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน : ราชอาณาจักรกัมพูชา", วิทยาลัยพัฒนการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า, 2556.
ดังนั้น จากหลักการดังกล่าวจึงนำไปสู่การจัดตั้งโครงการการร่วมือระหว่างรัฐบาลกัมพุชาและผุ้ให้การสนับสนุน เพื่อทำารศึกษาและทำการจัดการทอลองการนำรูปแบบสภาท้องถิ่นไปใใช้ในท้องถิ่น ซึ่งได้กำหนดแบ่งการศึกษาออกเป็น 3 ส่วนที่สำคัญได้แก่ ระดับชาติ (พิจารณาจุดแข็งและจุดอ่อนของนโยบาย รวมทั้งวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ในการปฏิรูป) ความสัมพันธ์ระหว่งรัฐบาลกลางกับท้องถ่ิน (การดำเนินการออกแบบกำหนดให้ีการบรรลุถึงเป้าหมายของการปฏิรูป) และคามสัมพันะ์ระหว่างท้องถิ่นกับท้องถิ่น ผความร่วมมือระหว่างประชาชนในคอมมูน ความสัมพันธ์ระหว่างคอมมูน และคามอิสระของท้องถิ่น)
โครงการดังกล่าวจัดว่าเป็ฯโครงการพัฒนาชนบทที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยรัฐบาลกัมพุชาได้เริ่มทอลองให้มีการกระจายอำนาจให้กบท้องถิ่นกว่าร้อยละ 20 ของประเทศ และมีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาชนบทประจำตำบลและหมู่บ้านทั่วประเทศกว่า 1,000 หมู่บ้านและกว่า 100 ตำบล เพื่อทำแผนการพัฒนาประจำปมู่บ้านและตำบล โดยเฉพาะการสร้างดครงสร้างพื้นฐานสาธาณณูปโภคต่างๆ ทั้งนี้จะประสบการณ์จากโครงการดังกล่าวจึงทำให้รัฐบาลกัมพุชาได้รับประสบการณ์ในเบื้องกต้นสำหรับการจัดให้มีการเลือกต้งสภาท้องถิ่นซึ่งเป็นขึ้นตอนแรกของการกระจายอำนาจจากส่วนหลางสู่ท้องถิ่นและนำไปสู่การจัดร่างกฎหมายเพื่อสนับสนุนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นของกัมพุชาทั้งกฎหมายการเลือกตั้งและกฎหมายในการบริหารและจัดการท้องถิ่น กฎหมายเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สมบัติของจังหวัด/กรุง เป็นต้น
ทั้งนี้ดูเหมือนว่าการกระจายอำนาจในกัมพูชามีการกำหนดทิศทางและกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน แต่ทว่าความตั้งใจดังกล่าวกับไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้การกระจายอำนาจยังคงดำเนินไปยอ่างล่าช้าเนื่องจากว่าภายหลงการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1993 มีการจัดตั้งรัฐบาลผสมเป็นรัฐบาลแห่งชาติของ 4 พรรคได้แก่พรรคซีพีพี CPP พรรคฟุนซินเปค พรรคพุทธเสรีประชาธิปไตยและพรรคโมลินาคา มีนายกรัฐมนตรี 2 คน แต่อำนาจกลับอยู่ในมือของสมเด็๗ฮุนเซนมากกว่า และส่งผลให้กลไกของรัฐไม่สามารถทำงานได้ตามปกตออำนาจในท้องถิ่นก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคซีพีพี เพราะได้ร่วมกับประชานนการสู้รบกับเขมรแดงจึงทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่งสองขััวอำนาจ เพราะแต่ละพรรคต่างก็ต้อกงการสรางอำนาจฐานการเมืองในระับท้องถิ่นให้เข้มแขงเพื่อเตียมพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปที่กำหนดให้มีขึ้นในปี ค.ศ. 1998 ท้ายที่สุดชนวนความขัดแย้งในการแบ่งสรรอำนาจระหว่างพรรคประชาชนกัมพุชา CPP แลพพรรคฟุนซินเปค ก็ดำเนินมาสู่จุดแตกหัแกละนำไปสู่การรัฐประหารโดยนายฮุน เซนในปี ค.ศ. 1997 แต่ดวยแรงกดดันจากนานาชาติและการดำเนินนโยบายการแทรกแซงอย่างสร้างสรรค์ จากอาเซียจึงทำให้พรรคประชาชนกัมพูชา ยอมไใ้มการเลือกต้้งระดับชาติครั้งที่ 2 ในปี คซศ. 1998จากความไร้เสถียรภาพทางการเมืองระดับชาติจึงกำหนดการเดิมซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตังระดับท้องถิ่นในปี ค.ศ. 1999 ต้องเลื่อนออกไปเป็นเดือนมีนาคม ค.ศ. 2000
โดยภายหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปในกัมพุชาในปี ค.ศ. 1998 รัฐบาลกัมพูชามีความพยายามในการฟื้นฟุประเทศขึ้นมาใหม่อีกครั้งและการให้คำมั่นสัญญาต่อนานาประทเศที่ให้ความช่วยเหลือต่อกัมพุชาในการพัฒนาประเทศ และรัฐบาลกัมพุชาก็มีความจำเป้นต้องมีการปฏิรูปการบริหารประเทศในหลายๆ ด้านเพื่อการปกครองที่บริสุทธิ์ยุตธรรมเช่น การปฏิรูประบบการเงินกาีคลังของประเทศ การปฏิรูประบบการบริหารประเทศและกำลังทหาร การปฏิรูปการกระจาอำนาจการปกครอง สำหรับแนวคิดการกรจายอำนาจเกิดขึ้นมาจากหลักธรรมาภิบาล เนื่องจากรัฐบาลมีความเชื่อว่าการกระจายอำนาจเป้นการปกครองที่รัฐมสมารถ่ายโอนอำนาจการบังคับบัญ๙าและากรมอบหมายความับผิดชอบในการบางอย่างให้กับท้องถิ่นดำเนินกาจัดการภายในท้องถิ่นเอง โดยจุดมุ่งหมายสภคัญเพื่อให้ประชาชนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีส่วนร่วมและรับผิดชอบร่วมกันในการดูแลกิจการท้องถิ่นของตนเอง แต่อย่งไรก็ตาม แม้ว่าการปฏิรูประบบราชการ การกระจายอำนาจจะดำเนินไป แต่ก็ปรากฎสิ่งที่ท้าทายกระบวนการปฏิรูปด้วยเชช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นในด้านของโครงสร้างกฎหมายของประบวนการกระจาย ความสัมพันธ์ของโครงสร้งกฎหมายของกระบวนการกระจาย ความสัมพันธ์กับกระบวนการแบ่งอำนาจรวมไปถึงเร่ิมมีการข่มขู่คุกคามทางการเมืองแม้ว่าจะยังไม่มีกำหนดการเลือกตั้งที่ชัดเจน โดยเดือนสิงห่คม ค.ศ. 2000 ผุ้ที่คดว่าจะลงใาัครแข่งขันรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น ของพรรคฟุนซินเปค 1 คนและของพรรคสม รังสี อีก 2 คน ถูกลอบยิงเสียชีวิตในจังหวัดกำปอต จังหวัดกำปง จาม และสังหวัดไพรเวงตามลำดับ
กระทั่งปี ค.ศ. 2001 มีการผ่านกฎหมายท้องถิ่น ออกมา 2 ฉบับได้แก่ กฎมหายการบริหารและจัดการท้องถิ่น และกฎมายการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจกับสภาท้องถ่ินในการวางแผนพัฒนาและบริหารแผนพัฒนาท้องถิ่นรวมไปถึงการมีวบประมาณเป็ฯของตัวเองและนำไปสู่การเลือกตั้งระดับท้องถ่ินในเือนกุมภมพันธ์ ปี 2002 และเกิดปรากฎหารณ์การเคลื่อนไหวทางการเืองท้องถ่นนของกัมพูชาเป็นอย่างมากหว่าคือ ตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆ ของกัมพุชาได้เข้าร่วมในการเลือตั้งในระดับสภาพท้องถิ่นทั่วทุกแห่งของประเทศ ซึ่งกอ่นหน้านี้ผุ้นำท้องถ่ินเหล่านี้ต่างก็คือ บุคคลที่เคยได้รบแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ภายใหต้การีนำของพรรค PRK ที่ได้ร่วมต่อสู้กับประชาชนในช่วงที่เขมรแดงยังปกครอง และถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อพรรคมาเป้ฯพรรคประชาชนกัมพุชา ผุ้นำเหล่านี้ก็ยังคงมีความจงรักภักดีทางการเืองอย่งต่อเนื่อง ขณะเดี่ยวกันพรรคประชาชนกัมพูชา เองก็พยายามที่จะรักษาอำนาจและคงอิทธิพลฝังรากตั้งแต่ระดับำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน ซึ่งนับได้ว่ากลายเป็นกลไกสำคัญแลทำให้พรรรคประชาชนกัมพุชามีเสถียรภาพทางการเมืองสูงจวบจนปัจจุบัน
ผู้นำชุมชนที่มาจากการแต่งตั้ง เพื่อให้ภาพการพัฒนาการการกระจายอำนาจและกรปกครองท้องถิ่นของกัมพูชาที่ชัดเจน จำเป็จ้องนำเสอนการปกครองท้องถิ่นของกัมพูชาตั้งแต่อดีตที่มาจาการแต่งตั้งจนกระทั่งก่อนจะมีเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2002
กัมพูชานช่วงที่ตกอยุ่ใต้อาณัติของฝรั่เศส มีการเหล่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่งมาก โดยเฉพาะการที่พระมหากษัตริย์จำต้องลงรพนามในกฎหมายและประกาศหลายฉบับในปี ค.ศ. 1884 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้ผลประโยชน์แก่ฝรั่งเศสทั้งส้ินเช่น ข้อตกลงฉบับหนึ่งที่มีข้อสัญญาบางข้อที่เป้ฯการวบอำนาจในกัมพุชาไฝ้ในมือของฝรั่งเศสอย่างเบ็ดเสร็จ ราชธานีพนมเปญอยุ่ภายใต้การปคกรองโดยตรงจากฝรั่งเศส แระชาชนทุกชนชั้นวรรณะต้องตกเป้นผุ้คอนรับใช้เพื่อสนองผลประดยชน์แก่เจ้าอาณานิคม ฝรั่งเศสมีอสิระอย่างเต็มี่ในการเก้บภาษีอากรทุกประเะภทแงะมี่สิทธิแต่งตั้งผ้ดูแลที่เป็นคนฝรังเศส 1 คนหรือรองอีก 1 คนให้ทำหน้าที่เป้ฯเจ้านายตรวจตราข้าราชการในจังหวัดหนึ่งๆ และในุทกๆ แห่งที่ฝรั่งเศสเห็นว่าจะมีประโยชน์ต่อตนเองราชธานีพนมเปญอยุ่ภายใต้การปกครองโดยตรงของฝ่ายฝรั่งเศสพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ได้รับเงินเบี้ยหวัดเป็นรายไปจากฝรั่งเศสจำนวน 550,000 เรียล กิจการภายในประเทศและนอกประเทศของกัมพุชาอยู่ในการกำกับดุแลของฝรั่งเศส พระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจในการแต่างตั้งขช้าราชการเหมือนที่เคยปฏิบัติมาฝรั่งเศสแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสให้เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์กัมพุชา พร้อมทั้งเป็นผู่จัดแจงกิจการต่างๆ ภายใต้การแนะนำของเทศาภิบาลชาวฝรั่งเศสแห่งอินโดจีน ส่วนการปกครองในระดับจังหวัดต่างก็ตกอยู่ภายใต้การดูแลของฝรังเศส ชาวเขมรต้องอยุ่ภายใต้การบังคับบัญชาของฝรั่งเศสมีเพียงในระดับำเภอลงไปจนถึงตำบลและหมุ่บ้านเท่านั้นที่อำนาจในการปกครองเป็นของขาวเขมรรับผิดชอบและจัดแลงกิจการได้เองภต่ต้องอยู่ภายใต้การตรวจตราอย่างใกล้ชิดของฝรั่งเศส
หากกล่าวถึงการปกครองในระดับท้องถิ่นของกัมพูชาจริงๆ แล้วปรากฎข้อมูลทางการปกครองในระดับตำบล ระดับหมู่บ้านในกัมพูชา มีมาตั้งแต่ก่อนที่ฝรั่งเศสจะเข้ามายึดครองกัมพูชา ในอีกด้านหนึ่งแม้ว่ากัมพุชาจะตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศส แต่ประเทศอาณานิคมยังได้วางรากฐานที่สำคัญเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นไวเช่นเดี่ยวกัน โดยสิ่งที่ฝรั่งเศสทำการปฏิรูปการบริหารงานที่สำคัญที่สุดก็คือการสร้างหน่วยการบริหารงานในระดับหมู่บ้านหรือคอมมูน และมีพระราชกฤษฎีการกำหนดให้มีการเลือกตั้งผุ้ใหญ่บ้านในปี 1908 ซึ่งคอมมูน มีโครงสร้างการทำงานที่เชื่อมโยงระหว่างการปกครองด้วยหลักศีลธรรมผ่านผุ้นำในระดับหมุ่บ้านที่มีความเป็นผุ้นำและได้รับการยอมรับจากประชาชนในหมุ่บ้าน และการควบคุมผ่านระบบราชการในระดับอำเภอ ซึ่งนายอำเภอจะได้รับการแต่งตั้งจากผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นๆ ซึ่งโครงสร้างเดิมของคอมมูนนั้นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือคอมมูนจะต้องมาจากากรเลือตตั้งซึ่งประชาชนเพศชายและหญิงที่มีการจ่ายภาษีเท่านั้นจึงจะมีสิทธิในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือคอมมูน และในปี ค.ศ. 1919 พระราชกฤษฎีกายังได้กำหนดให้มีการแบ่งอำนาจในการจัดการทางด้านการเงินและทรัย์สินไปใไ้กับตำบล และมีพระราชกฤษฎีการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสภาตำบลและมอบหมายงานที่ชัดเจนในการจักการด้านการเงินและการบริหารงานทั่วไป ทั้งนี้ได้มีการจัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการปฏิบัตงานระดับตำบล/แขวง และสภาตำบลมีหลักเกณฑ์และการบิรหารจัดการที่คล้ายคลึงกบประเทศฝรั่งเศส
นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 1960 สภาตำบลได้ถูกยกเลิกไป โดยหัวหน้าคอมมูนหรือกำนัน ผุ้ช่วยกำนันผุ้ใหญ่บ้านจะมาจาการแต่งตั้งโดยผุ้ว่าราชการจังหวัด ผุ้ช่วยกำนันผุ้ใหญ่บ้านจะมาจากการแต่งตั้งโดยผุ้ว่าราชการจังหวัด และในสมัยแขมรแดงปกครอง ก็ได้ทกการยกเลิกสถาบัน และรูปแบบของกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่มีอยุ่เิมทั้งหมด การปกครองในระดับภูมิภาคลงไปจนถึงระดับหมู่บ้านอำนาจทังหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดจาก "องค์การ" ซึ่งเป็นหน่วยงานการปกครองโดยตรงของรัฐที่มีอำนาจทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านสังคม ทางด้านตุลาการ โดยรวมแล้วองค์การในทุกระดับชั้นจะมีสิทธิอำนาจในกาตัดสินใจในทุกเรื่องและในทุกกิจการของรัฐทั้งนี้องค์การในระดับหมุ่บ้านจะมี "ประธานสหกรณ์" ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากองค์การให้มีอำนาจอย่งเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและมีการปฏิบัติต่อประชาชนอย่างโหดร้ายและป่าเถื่อนอันนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันู์อย่างเลวร้ายที่สุดนประวัติศาสตร์การเมืองของกัมพุชา ในอีกด้านหนึ่งนั้นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชายังหลายเป็นปัญหาสำคัญที่สุ่งต่อมายบังปัจจุบันหล่าวได้ว่ากลุ่มประชากรซึงเป็นกลุ่มชนชั้นกลาง ส่วนใหญ่จะถูกฆ่าตายหรือไม่ก็พอพยพหลบหนีนอกนอกประเทศดังนั้นจึงทำให้โครงสร้างประชกรของกัมพุชาในปัจจุบันประกอบไปด้วยวัยเด็กและผู้หญิงเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็กลายเป็นอุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งในการพัฒนาประชาธิปำตยในกัมพูชา..
การเลือกตั้งสภาตำบล การผ่านกฎหมายการเลือกตีั้งท้องถ่ินและฏำหมายการบริหารและจัดการท้องถิ่น เป็นตรั้งแรกในปี ค.ศ. 2002 ซ่งนับว่าเป็นก้าวแรกของการพัฒนาประชาธอปไตยในระดับ้องถิ่นของกัมพูชา ได้ทำให้เกิดการะแสการที่ตัวแทนจากพรรคการมืองต่างๆ ของกัมพุชาได้เขาร่วมการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นทุกแห่งทั่วปะเทศ ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ปี ค.ศ. 2002 พรรคฟุนซินเปคต้องพ่ายแพ้แก่พรรคประชาชนกัมพูชา เพราะได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 22 เท่านั้นทำให้พรรคต้องประเมินสถานะของตนเมื่อจัดการประชุมสมัชชาพรรคประจำปีขึ้นในเดือนมีนาคม 2002 สมาชิกพรรคหลายคนไม่พอใจข้อเสียเปรีบและได้รับผลประโยชน์น้อยมากจากการเป็นรัฐบาลผสมกับพรรคประชาชนกัมพุชาอย่างไรก็ตามสมเด็จกรมพระรณฤทธิ์ยังคงแถลงยืนยันว่าพรรคฟุนซินเปคจะไม่ถอนตัวออกจากการเป็นรัฐบาลผสมแต่จะพยายามเรียกร้องให้พรรคมีอำนาจบริหารเพ่ิมขึ้น
ทั้งนี้การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเป็นตัวแปรที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการเลือกตั้งในระดับชาติในปี ค.ศ. 2003 เพราะการที่ตัวแทนของพรรคฟุนซิเปคและพรรคสมรัสี ที่ได้รับการเลือกตั้้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นทีั่วประเทศ่อมเป้นสิ่งที่เปิดโอกาสให้พรรคต่างๆ เหล่านี้สามารถหาเสียงในระดับชาติได้ด้วย แมว่าจะยังคงปรากฎความไม่ไว้วางใจระหว่างหัวคะแนนในระดับท้องถ่ินของพรรคการเมืองต่างๆ แต่ก็ยังคงเป็นที่ยอมรับร่วมกนว่าพรรคการเมืองใหญ่ ๆ ต่างก็สามารถได้ที่นั่งในสภาท้องถ่ินในทุกๆ คร้งากน้อยต่งกัน ซึ่งเป็นภาพการเมืองระดับท้องถิ่นที่แตกต่่างจากก่อนการเลือกตั้งปี ค.ศ. 1998 ซึ่งมีการเน้นเแพาะบทบาทของผุ้ใหญ่บ้าน ผุ้นำชุมชน และตำรวจ ในการทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร จัดสมาชิกพรรคออกไปหาเสียงให้กับพรรคการเมืองของตนร่วมไปถึงการข่มขู่คุกคามผุ้ที่สนับสนุนพรรคฝ่ายค้านในอีกด้านหนึ่งย่อมชัดเนว่า ปัจจุบันผุ้นำท้องถินมีบทบาทสำคัญต่อการเมืองระดับท้องถิ่นมากว่าสถาบันข้าราชการ
ระบบกรปกครองท้องถิ่น
โครงสร้างขององค์กรปกคอรงส่วนท้องถิ่น รัฐธรรมนูญกัมพูชาฉบับปัจจุบัน 1999 หมวดที่ 13 การบริหารราชการ ได้บัญญัติเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นไว้ดังนี้
มาตรา 145 ดินแดนของราชอาณาจักรกัมพูชาแบ่งออกเป็นจังหวัด และกรุง เขตพื้นที่แต่ะจังหวัดแบ่งเป็นอำเภอ และพื้นที่แต่ละอำเภอแบ่งเป็นตำบล เขชตพื้นที่แต่ละกรุงแบ่งเป็นเขต และเขตพื้นที่แต่ละเขต แบ่งเป็นแขวง
มาตรา 146 การปกครองจังหวัด กรุง อำเภอ เขตและแขวงให้เป็นไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
ปัจจุบันกัมพูชาแบ่งโครงสร้างการบริหารราชแผ่นดินออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยโครงสร้างส่วนกลางแบ่งออกเป็นกระทรวงและสำนักงานอิสระ และโครงสร้างส่วนภูมิภาคได้แก่จังหวัด/กรุง อำเภอ/เขต ตำบล/แขวง และหมู่บ้าน ดดยจังหวัด/กรุง และอำเภอ/เขต เป็นหน่วยงานบริหารราชการส่วนภูมิภาคของรัฐ ซึ่งผุ้ว่าราชการ จังหวัด /กรุง นายอำเภอ จะมาจาการแต่างตั้งโดยกระทรวงมหาดไทย ปัจจุบัน กัมพูชามีทั้งหมด 24 จังหวัด และ 1 เทศบาลนคร จำนวนสมาชิกสถาท้องถิ่นแตกต่างกันดังนี้
สภาเมืองหลวง มีจำนวนสมาชิกสภาได้ไม่เกิดน 21 คน พนมเปญ
สภาจังหวัด มีจำนวนสมาชิกสภาได้ตั้งแต่ 9-21 คน
สภากรุง มีจำนวนสมาชิกสภาได้ตั้งแต่ 7-15 คน
สภาอำเภอและสภาเขต มีจำนวนสมาชิกสภได้ตั้ง 7-19 คน
ส่วนการปกครองในระดับตำบล/แขวง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือกำนันจะต้องมจาการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนในลักษณะของการรับสมัครเลือกตั้งในนามของพรรคการเมือง และสมาชิกสภาท้องถิ่นยังเป็นผุ้มีสิทธิ์ในการออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาอีกด้วยจึงทำให้โครงสร้างในระดับท้องถิ่นมีความเชื่อโยงกับสภานิติบัญญัติและสมาชิกวุฒิสภา ส่วนตำแหน่งผุ้ใหญ่บ้านในแต่ละหมู่บ้านจะมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมและแต่งตั้งโดยสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือกำนันและไม่มีวาระในการดำรงตำแหน่ง
สภาตำบลเป็นหน่วยงานระดับล่างสุดที่มีบทบาทในการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างธรรมาภิบาลโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยุ่เพื่อตอบสนองควาต้องการของประชาชนในคอมมูน/แขวง โดยคำนึงถึงนโยบายของรัฐเป็นสำคัญ เดิมบทบาทอำนาจหน้าที่ไม่ชัดเจนเท่าใดนักกระทั่งผ่านกฎหมายในปี ค.ศ. 2001 กฎหมายฉบับดังกล่าวได้กำหนดบทบาทและอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในหมวดที่ 4
ภารกิจและอำนาจหน้าที่ของสภาตำบลสามารถแบ่งออกเป็น 2 ด้านที่สำคัญ คือ หน้าที่ในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ในแต่ละคอมมูน และหน้าที่ในการเป็นหน่วยงานตัวแทนของรัฐและทำหน้าที่ตามที่ได้รับการมอบอำนาจจากรัฐบาลกลางทั้งหน้าที่ในการตอบความต้องการของประชาชนจะเกี่ยวข้องกับเรื่องดังนี้
- หน้าที่ในการธำรงและรักษาความสงบเรียบร้อย วึ่งในที่จะเกี่ยวข้องกับการลดจำนวนการเกิดอาชญากรรมและความรุนแรงและรวมไปถึงการทำงานร่วมกับตำรวจ
- หน้าที่ในการจัดเตรียมสิ่งจำเป็นต่างๆ ในการบริการสาธารณะและมีความรับผิดชอบและดำเนินงานเป็ฯอย่างดี เช่น ด้านสุขอนามัยของน้ำ การสร้างและซ่อมแซมถนน ด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา และการจัดการน้ำเสีย เป็นต้น
- หน้าที่ในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้ความสุขกับประชาชนเช่นการจัดตั้งสวนสาธารณะเป็นต้น
- หน้าที่ในการส่งเสริมการพัฒนทางสังคมและเศรษบกิจรวมไปถึงการยกระดับความเป็นอยู่อขงประชาชให้ดีขึ้นเช่นการชักจูงนักลงทุนให้มาลงทุนโครงการต่างๆ ในท้องถิ่น
- หน้าที่ในการปกป้องและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม, ทรัพยากรธรรมชาติ, วัฒนธรรมและมรดกของชาติ โดยอาจจะเกี่ยวกับการดำเนินโครงการปกป้องสัตว์ป่าท้องถิ่นและพืชประจำถิ่นและการจัการทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น
- หน้าที่ในการปะสานไกล่เหล่ยความขัดแย้งภายในท้องถิ่นให้ประชาชนมีความเข้าใจและอดทนต่อกันและกันเช่นการช่วยแก้ปัญหาข้อพิพาทในท้องถ่ิน
- หน้าที่ในการค้นหาและติดตามความต้องการของประชาชน
ทั้งนี้ หน้าที่ในการเป็นหน่วงานตัวแทนของรัฐและทำหน้าที่ตามที่ได้รับการมอบอำนาจจากรัฐบาลกลางตามกฎหมาย พระราชบัญญัติพระราชกฤษฎีกาหรือการประกาศต่างๆ โดยสภาตำบลจะไม่มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องดังต่อไปนี้คือ ด้านป่าไม้, ด้านการไปรษณีย์และการบริหารทางโทรคมนาคม, การปกป้องประเทศ, ความมั่นคงของประเทศ,ด้านการเงิน, นโยบายต่างประเทศ, นโยบายทางด้านภาษีและอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด โดยสภาตำบลมีอำนาจอย่างอิสระในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ ซึ่งจะต้องได้รับเสียงข้างมากในสภาตำบล เช่น การนุมัติแผนการพัฒนตำบลระยะ 5 แี และจะต้องมีการปรับปรุงแผนพัฒนาตำบลทุก 1 ปี การอนุมัติวบประมาณของตำบล การจัดเก็บภาษีและการบริการอื่นๆ การอนุมัติกฎหมายต่างๆ ของท้องถิ่นและเรื่องๆ อื่นที่ได้รับการแนะนำจากกระทรรวงมหาดไทย ซึ่งในแต่ละคอมมูนจะต้องแต่งตั้งบุคคล 2 คนอาจจะเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรืประชาชนในการทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบประเมินโครงการพัฒนาตำบล ดดยโครงการพัฒนาท้องถ่ินต่างๆ ต้องประกาศหรือนำเสนอต่อสาธารณะเพื่อให้ประชาชนสมารถเข้าถึงข้อมุลดังกล่าวได้ยอ่างอิสระ และสภาตำบลเปิดโอกาศให้ประชาชนเขามีส่วนร่วมใหนการจัดำโครงการพัฒนา ตำบล การนำไปสุ่ปฏิบัติใช้และพัฒนาโครงงการต่างๆ ในท้องถิ่นใหมีความสอดคล้องกับกระทรวงและภาคส่วนอื่นๆ ด้วย
การเงินและการคลังของท้องถิ่น คอมมูน/แขวง ถุกบัญญํติไว้ในกฎหมายการบริหารและจักดารคอมมูน/แขวง สรุปความได้ว่ สภาตำบลมีทรัพยากรทางการเงิน ,วบประมษณและทรัพย์สินเป็นของตัวเองที่เหมาะสมสำหรับการดูแลจัดการและทำหน้าที่ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้และทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติย่างเหมาะสมและสนับสนุนกาพัฒนาประชาธปิไตยภายในท้องถ่ินน้นๆ สภาท้องถิ่นมีอำนาจที่จะเก็บภาษีโดยตรงจากภาษีการเงินและภาษีที่ไม่ใช้การเงินและจกการบริการอื่นๆ ซ฿่งภาษีดังกล่าวก็จะรวมไปถึงภาษีที่ดิน ภาษีจากทรัพย์สินอื่นๆ ที่เคลื่อนที่ไม่ได้และภาษีค่าเช่าหรืออาจจะได้เงินงบประมาณมาจากการสนับสนุของงบประมาณระดับชาติหรืออาจจะมาจากการบริจาก การให้ความช่วยเลหื่อจากองค์กรพัฒนเอกชนตามที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเป็รจ้ร สภาท้องถิ่นไม่มีสิทธิ์ในการกู้หรือไใ้กู้ยืมเงนิไม่มีสิทธิืในการทำธุรกรรมทางกาเงินไดๆ ทั้งสิ้น นอกจานั้นสภาท้องถ่ิน จะต้องมีการบริาหรการเงินและการคลังของคอมูน/แขวงอย่งโปร่งใส มีประสิทธิภาพและสามารถตรวจสอบได้
การบริหารงานบุคคลท้องถิ่น สภาตำบลจะมีเจ้าหน้าที่เป้ฯของตนเอง พนักงานของสภาท้องถ่ินจะต้องมาจากากรแข่งขันการับสมัครบุคคลและแต่งตั้งบุคคลจากสภาท้องถ่ินหรือฝ่ายบริหารงานบุคคลเพื่อทำงานในสภาท้องถิ่นอย่างโปร่งใสตามกฎหมาย โดยพนักงานของสภาท้องถิ่นจะอยู่ภายใตก้าบริหารงานโดยตรงและการดุแลตรวจสอบจากประธานสภาตำบลหรือกำนัน ยกเว้นแต่เจ้าหน้าที่บางประเภทเช่นเลขานุการสภาตำบล จะมาจาการแต่างตั้งโดยรัฐบาลกลาง
ความสัมพันธ์ระหว่างราชการสวนกลาง ส่วนภูมิภาคและสภาตำบล โดยความสัมพันธ์ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภุมิภาค และสภาตำบลสืบเนื่องมาจากการวางโครงสร้างการปกครองท้ถงถ่ินทีแม้ว่าจะมีการกระจายอำนาจให้กับท้องถ่ินให้ีการเลือตั้งอบ่งอิสระมีการบริหารกิจการภายในท้องถ่ินและมีงบประมาณเป็นตัวเอง แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับกำหนดให้สภาตำบล ในบางกรณีจะต้องอยู่ภายใต้การกำกับควบคุมและทแรกแซงโดยการแต่างตั้งข้าราชการที่ได้รับการแต่างต้งโดยกระทรวงมหาดำทย ยิงไปกว่านั้นด้วยลักษณธเฉพาะของรุ)แบบการเลือกตั้งสภตำบลที่ผุ้สมัตรรับเลือกตังจะตอ้งสมัตรในนามของพรรคการเมืองจึงเป็นเหตุให้การปกครองท้องิ่นไม่สามรถแยกออกจากการเมืองระดับชาติได้ในแง่ที่ว่าปัจจัยของพรรคหรือพรรครัฐบาลบ่อมมีผลต่อการเลือกตั้งในแต่ละครั้งหรือแม้แต่ในด้านของการบริหารงานภายในท้องถิ่นย่อมมีปัญหาในการบริหารงานที่อาจจะเป็นเพรียงกลไกในระดับล่างของพรรคการเมืองหนึ่งเพื่อเป็นฐานสนับสนุนหรือสร้างความเข้มแข็งทางการเมืองในระดับชาติ นอกจากนั้นสภาท้องถ่ินยังถูกกำหนดให้มีบทบาทและขอบเขตหน้าที่มากไปกว่าขอบเขตพื้นที่ในแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น สมาชิกสภาท้องถิ่นยังมีอีกสภานะ คือ สถานะของผุ้มีสิทธิ์ในการเลือตั้งวุฒิสภาและมีสิทธิ์ในการแต่งตั้งผุ้ใหญ่บ้านไปพร้อมๆ กัน ฉะนั้นจากลักษณะเฉพาะของโครงสร้างอำนาจและหน้าที่ของสภาท้องถิ่นจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและสภตำบล ไม่สามารถแยกออกจากกันอย่างอิสระ หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวกลางในการ้อยรัอความสัมพันะ์ระหว่งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคแะสภาตำบลเข้าไว้ด้วยกัยอย่าวแนบแน่นนั่นก็คือพรรคการเมือง
การตรวจสอบ ควบคุมและการกำกับท้องถิ่น การกำหนดกลไกในการติดตาม แทรกแซง ตรวจสอบการทำงานของสภาตำบลตามกฎหมายการบริหารจัดคอมมูน/แขวง โดยหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ดุแลหน่วยการปกครองท้องถิ่นคือกระทรวงมหาดไทยโดยมีทยวงการบริหารท้องถิ่น ทำหน้าที่ดูแลทั่วไปเกี่ยวกับการกระจายอำนาจคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อส่อสารระหวางนโยบายการกระจายอำนาจของรัฐบาลกลางและท้องถ่ินในแต่ละระดับรวมไปถึวตัวแทนของ รัฐ ภาคเอกชน ประชาสังคมและอื่นๆ ทำหน้าที่ติดตามควบคุมและประเมินการดำเนินนโยบายการกระจายอำนาจและำหน้าที่ในการติดตามควบคุมและเพ่ิมประสิทธิภาพของท้องถภิ่น ซึ่งกระทรวงมหาดไทยอาจจะมอบอำนาจให้กับตัวแทนของรัฐในระดับจังหวัด/กรุง หรือตำบล/เขต เข้าไปให้ความช่วยเหลือแก่ท้องถ่ิน และในขณะเดียวกันถ้าหากคอมมูน/แขวง ล้มเหลวในการทำหน้าที่และไม่สามาถแก้ไขความล้มเหลวดังกล่วได้ภายใน 6 เดือน ตามกฎหมายกระทรวงมหาดไทยก็สามารถเข้าำปแทรกแซงในกิจการภายในท้องถิ่นอย่างทันทีนอกจากนั้นกระทรวงมหาดไทยยังได้กำหนดให้มีการติดตามการดำเนินงานและปรเมินการใช้งบประมาณในโครงการการพัฒนาต่างๆ ของคอมมูน /แขวงเพื่อมิให้มีการใช้งบประมาณไปในทางที่มิชอบซึ่ง คอมมูน/แขวงมีหน้าที่ต้องเตียมรายงานการใช้จ่ายเงินประจำปีให้แล้วเสร็จภายใน 45 วันหลังหมดปีงบประมาณและนำเสนอรายงานดังกล่าวให้กับกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยต่อสาธารณะและองค์กรสมาคมต่างๆ
ส่วนกลไกในการตรวจสอบจากประชานยังคงมีข้อจำกัดอยู่มาก เนื่องจากความยากจนเป็นอุสรรคต่อการกระจายอำนาจสู่ท้องถ่ิน ประชาชนผุ้มีสิทธิ์เลือกตังส่วนใหญ่ไม่ได้รัการศึกษาทำให้ระดับการมีส่วนร่วมทากงารเมืองอยู่ในระดับต่ำ มีช่องทางมากมายสำหรับการซ้อสิทธิ์ขายเสียงของพรรคการเมืองโดยไม่ถูกตรวจสอบความสัมพันธ์แบบระบบอุปถัมภ์ระหว่างพรรคการเมืองกับประชาชนระหว่าผุ้นำท้องถิ่นกับประชาชน รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐที่วางตัวไม่เป็นกลางกับประชชน อีกทังยังมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐในท้องถิ่นตัวอย่างหน่งที่แสดงการใช้กลไกของรัฐกลยุทธ์ทงการเมืองในการควบคุมวิะีคิดหรือการตัดสินใจทางการเมืองของประชาชนอันเป็นสิ่งที่ยืนยันลชัดเจนถึงขีดความสามารถในการตรวจสอบการทำงานของท้องถิ่นโดยประชาชนได้ในระดับหนึ่งดังปรากฎข่าวว่าผุ้ใหญ่บ้านได้เรียกให้ประชาชนที่อาศัยอยุ่ในปมูาบ้านทั้งหมดมาพิมพ์ลายนิ้มือและให้สัญญาว่าจะเลือพรรคประชาชนกัมพูชา CCP เนื่องจากการเลือกตั้งในครั้งก่อนมีผุสนับสนุนพรรคเป็นจำนวนมากแต่ผลคะแนนเสียงที่ได้รับกลับมีจำนวนน้อยไม่สอดคล้องกับความช่วยเหลือที่พรรคได้ให้กับประชาชน
- พินสุดา วงศ์อนันต์, "ระบบการปกครองท้องถิ่น ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน : ราชอาณาจักรกัมพูชา", วิทยาลัยพัฒนการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า, 2556.
Local government in Myanmar
อำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศเมียนมาร์อยู่ในการควบคุมของรัฐบาล กลุ่มชนชั้นนำของผุ้นำทหาร ละุ้ร่วมธุรกิจและ้ว พม่ายังมีนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพ ยบังคงมีการทุจริต ส่งผลให้ประชาชนในชนบทยังคงอดอยากและยากจน ในปี ค.ศ. 2010-2011 มีการโอนทรัพย์สินของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ครอบครัวทหารภายใต้การอ้างนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งย่ิงทำให้ช่องว่าระหว่างชนชั้นนำทางเศราฐกิจและประชาชนกว้างยิ่งขึ้น
ประเทศพม่ายังเผชิญกับความไม่สมดุลของเศรษฐกิจมหภาคที่ร้ายแรง อันได้แก่ อัตรแลกเปลี่ยนแทางการที่กำหนดค่าเงินจั็ตสูงเกินไป การขาดดุลการคลัง การขาดเครดิตการค้าซึ่งถูกบิดเบือนหนักขึ้นไปอีกอัตราดอกเบี้ยนอกตลาด เงินเฟ้อที่่คามเดาไม่ได้ ข้อมูลทางเศราฐกิจที่ไม่น่าเชื่อถือ และความไม่สามารถที่จะจัดทำบัญชีประชาชาติให้ถูกต้องตรงกัน นอกจากนี้ ปัญหาโครงสรี้้างพื้นฐาน นโยบายการค้าที่คาดเดาไม่ได้ทรัพยากรบุคคลที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา (เป็นผลจากการละเลยระบบสุขภาพและระบบการศึกษา) ปัญหาการทุจริต และการเข้าไม่ถึงเงินทุนสำหรับการลงทุน ธนาคารเอกชนยังคงดำเนินงานภายใต้ข้อห้ามที่เข้มงวดของทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ภาคเอกชนเข้าถึงเครดิตได้อย่างจำกัด ประกอบกับการควำ่บาตรทางการเงินและเศรษฐกิจจากนานาประเทศ เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ทำให้สภาพทางเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
สหรัฐอเมริกาได้ห้ามการทำธุรกรรมทางการเงินกับหน่วยงนส่วนใหญ๋ของพม่า ห้ามผู้นำทหารและผุ้นำพลเรือนอาวุโสของพม่าและผุ้นำที่มีความเชื่อมโยงกับระบอบทหารเดินทางเข้าสหรัฐฯ และห้ามนำเข้าผลิตภัฒฑ์ของพม่า การคว่ำบาตรเหลานี้มีผลต่าุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มของประเทศ ทำให้ภาคธนาคารถุกโดดเดี่ยวและต้องดิ้นรนมากขึ้น และยังเป็นการเพ่ิมต้นทุนในการทำธุรกิจกับบริษัทพม่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัมที่เชื่อมโยงกับผุ้นำระบอบการปกครองพม่าการโอนเงินเข้าประทเศจากแรงงานพม่าในต่างประเทศส่งมาให้ครอบครั้วของพวกเขา เป็นตัวขับเคลื่อนที่ทำให้การกระวงการคลังพม่าอนุญาตให้ธนาคารในประเทศดำเนินการกิจการด้านต่างประเทศ
ในปี ค.ศ. 2011 รัฐบาลได้ริเริ่มการปฏิรูปแลเปิดเศรษฐกิจของประเทศโดยการลดภาษีการส่งออก ลดข้อห้ามต่างๆ ในภาคการเงินและขอความช่วยเลหือจากองคกรระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่ดียังคงมีความจำเป้ฯอย่างยิ่ง ในการฟื้นฟผูสภาพทางเศรษฐกิจ ผ่านการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ
หลังจากฝ่ายทหาร(นำโดยนายพล เน วิน) เข้ายึอำนาจรัฐบาลพลเรือนของอนายอู นุ ในปี 1952 ได้มีการจัดตั้งรับบาลใหม่ซึ่งเรียกตัวเองว่า "รัฐบาลปฏิวัติของสหภาพพม่า" และมีการจัดต้งสภาคณะปฏิวัติ ซึ่งประกอบด้วยนายทหารคนสำคัญ 17 นาย ที่นำพม่าเข้าสู่ประเทศีี่มีการปกครองแบบรวมศูนย์อย่างเบ็ดเสร็จ สภาคณะปฏิวติได้ยกเอาคำประกาศของคณะปฏิวัติเป็นตัวบทกฎหมายในการบริหารประเทศ และนั่นหาายถึงการทำให้พม่าเดินอยุ่บนเสส้นทางของ "วิ๔ีทางของพม่าสู่ลัทธิสังคมนยิม" ตามเอกสารที่ออกมาอย่างเป้ฯทางการในเดือนเมษายน ค.ศ. 1962
วิถีสู่ลัทธิสังคมนิยมนั้น เป็นการหลอมรวมหลักการแห่งมาร์กซ์และเลนินเข้ามาเป้ฯแกนหลักแห่งอุดมกาณณ์ และผนวกกับหลักการความเป็นเอกราชของพม่า ที่นายออก ซานได้วางไว้ก่อนหน้านี้ นอกจาเอกสารประมวลปรัชญา แห่งลัทธิสังคมนิยมของพม่าแล้ว เดือนกรกฎาคม 1962 รัฐบาลปฎิวัติฯ ยังออก "ธรรมนูญของพรรคโครงกานสังคมนิยมพม่าสำหรับช่วงแรกแห่งการเปลี่ยนไปสู่การสร้างสรรค์" และเอกสารว่าด้วย "ระบบแห่งสหสัมพันธ์ของมุษย์กับสิ่งแวดล้อม" รวมถึงเอกสรเารื่อง "ลักษระเฉพาะของพรรคโครงการสังคมนิยมพม่า" ซึ่งสาระสำคัญของเอกสารทั้งหมดนี้ คือการนำระบอบประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม เข้ามาแทนที่ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดครงสร้างและากรดำเนินงานของฝ่ายรัฐบาลถูกแทนที่ดดยสภาคณะปฏิวัติ ซึ่งเป็นองค์กรเดียวที่เอกสารเหล่านี้กล่าวถึง เป็ฯระบอบรวมศูนย์ที่ผุ้นำ ในขณะที่ปัจเจกชนหรือกลุ่มประชาชนเป็นเพียงผุ้ติดตามผุ้นำสังคมนิมเท่านั้น
จึงไม่น่าแปลกใจที่รัฐที่มีการปกครองแบบรวมศุนย์อำนาจเบ็ดเสริจเช่นพม่านี้ จะไม่มีระบบการปกครองท้องถิ่น เมื่อทุกนโยบายถูกกำหนดมากจากส่วนกลางทั้งสิ้น
ดังได้กล่าวมาแล้วในบที่ก่อนหน้า แม้ว่ารัฐบาลทหารจะประกาศให้การร่างรัฐธรรมนูญขึ้น และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการในปี 1974 นั้น แต่เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ทำให้เห็นได้ถึงข้อจำกัดของระบบการปกครองท้องถิ่นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น รัฐธรรมนูญกลายเป็นเครื่องมือของคณะปฏิวัติในการหาความชอบธรรมในการปกครอง สิ่งที่นายพลเน วิน ต้องการกำหนดไว้ใรัฐธรรมนูญ นั่นคื อเป้าหมายของรัฐสังคมนิยม ที่มีเศรษฐฏิจแบบสังคมนิยม ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม และทหารเพียงกลุ่มเดี่ยวเท่านั้นที่ครอบงำอำนาจทั้งหมดรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเสมือนการสร้างฐานในการครองอำนาจอย่างชอบธรรมและสามารถขจัดอำนาจอื่นที่จะมาสั่นคลอนฝ่ายทหารได้เป็นระบบการปกครองแบบพรรคการเมืองพรรคเดียว ควบคุมจากส่วนกลางโดยไม่มีอำนาจใดมาดุลหรือคาน
ดังน้้น อำนาจในกาบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ จึงอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสิ้นเชิงขององค์กรของพรรค ไม่มีการกำหนดอำนาจอิสระในระดับใด ไม่ว่าจะเป็นระดับต่ำสุดจากหมู่บ้าน เมือง หรือสภาประชาชน การเลือกตั้งผุ้แทนประชาชนเข้าไปทำหน้าที่ในสภาประชาชนในระดับต่างๆ เป็นแต่การคดเลือกตัวแทนที่พรรรคส่งไปให้ประชาชนรับรองเท่านั้น โดยรวมแล้วทุกหน่วยงานในระดับท้องถิ่น ไม่มีอำนาจใดๆ นอกเหนือจากการรับคำสั่งจากพรรค่วนกลางนั่นเอง
ในสมัยรัฐบาล ตัน ฉ่วย มีความเคลื่อนไหวสมัชชาแห่งชาติที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อร่างรัฐะรรมนูญ และการประชุมทั้ง 8 ครั้งของสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญนั้น ก็เป็นเพียงความพยายามในการยืนยันความชอบธรรมของการมีส่วนร่วมของทหารในการมีบทบาทนำในกิจการของรัฐและการเมืองชองชาติใอนาคต เท่านั้น รัฐะรรมนูญของ ตัน ฉ่วย จึงไม่ได้แตกต่างกันเลยกับรัฐธรรมนูญขชองนายพลเน วิน แม้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ (ค.ศ. 2008 จะระบุให้มีการจัดการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2010 แต่ภายหลังการเลือกตั้ง ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ระบบการปกครองยังคงรวมศูนยอยู่ที่ส่วนกลาง(ทหาร)เช่นเดิม เนื้อหาส่วนใหญ๋ของรัฐธรรมนูญชี้ให้เห็นถึงอำนาจทหารอย่างชัดเจนในหลายๆ มาตรา ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะสมาชิกสมัชชาแห่งชาติเืพ่อร่างรัฐธรรมนูญคือกลุ่มผุ้แทนที่กลุ่มอำนาจจัดตั้งเข้าไป ในขณะที่ตัวแทนของพรรคการเมืองต่างๆ ถูกเลือกเข้าไปน้อยมาก รวมถึงพรรคสันนิบาตชาติเพื่อประชาธิปไตยของนางอองซาน ซุจีที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด ด้วยเช่นกัน
มาตราการต่างๆ ชี้ว่าระบบการปกครองท้องถิ่นของสาธารณรัฐแห่งสหภาพม่านั้น เป้นระบบที่ไม่เกิดขึ้น และอาจจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เนืองด้วยกลุ่มอำนาจทางการทหารนั้น ย่อมไม่สละอำนาจที่เคยมีอยุ่ในมืออกไปง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม วีแววของกิจกรรมทางการเมืองที่ดุเหมือนจะเกี่ยวข้องกับระบบการปกครองท้องถิ่น มีให้เห็นตั้งแต่ในสมัยสภาปฏิวัต นเรื่องของการมีส่วนร่วมในการจัดการัฐของประชาชนในภาคส่วนต่างๆ รวมถึงในระดับท้องถิ่น โดยสามารถสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้
สภาปฏิวัติ ได้พมัฯาระบบการคัดลือกบุคคลเข้าสุ่องค์กรบริหารระดับต่างๆ ผ่านการเลือกตั้งสมาชิกองค์กรระดับท้องถิ่น อย่างสภาประชาชน ในระดับบนสุด รวมถึง สภาประชาชนระดับปมู่บ้าน ระับตำบล ระดับจังหวัด ระดับรัฐย่อย ระดับเขตปกครองด้วย ดังนั้น ประชาชนจะมีส่วนร่วมในรัฐสภาได้ก็โดยผ่านการเลือกตั้ง สมาชิกสภาฯมีหน้าที่รายงานผลการประชุม ต่อเขตเลือกตั้งของตนโดยการเรียกประชาชนมาประชุม ถือเป็นการเชื่อโยงประชาชเข้ากับศูนย์กลางของรัฐอย่างเป็นทางการ
การเลือกตั้งสมาชิกสภาประชานมีขึ้นทุกๆ 4 ปี พร้อมๆ กับการเลือกตั้งสมาชิกสภาประชาชนประจำหมุบ้าน ตำบล จังหวด รํฐย่อยและเขตปกครองพิเศษ และเฉพาะผู้มีสัญชาติพม่าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติรับเลือกตั้งได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผุ้สมัครรบเลือกตั้งคือบุคคลที่มีตำแหน่งอยุ่แล้ว นั่นหมายถึงส่วนหนึ่งก็เป็นคนของพรรคในระดับต่างๆ อย่างไรก็ตาม ก็ยังปรากฎกรณีของผุ้ที่รัฐสนับสนุนแต่พ่ายแพ้การเลือกตั้งดังนั้น ผู้ที่ได้รับเลือกจึงต้องเป็นคนที่ทั้งพรรคและประชาชนในท้องถิ่นยอมรัีบได้
กระนั้นการเลือกตั้งดังกล่าว เป็นเพียงพิธีกรรมสร้างความชอบธรรมและรับรองอำนาจที่มีอยุ่แล้ว มากกว่าที่จะเป้นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง ดงสะท้อนได้จากจำนวนของผุ้ที่ได้รับเลือก นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985 จำนวนสมาชิกสภาผุ้แทนราษ๓รในสภาประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จำนวนผุ้ได้รับการเลือกตัี้งเข้าสภาประชาชนระัดับจังหวัด รัฐบ่อยและเขตปกครองนั้นคงตัว ส่วนผุ้ได้รับเลือกต้งเข้าสภาประชาระดับตำบลและปมุ่บ้านมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ ชี้ให้เห็นถึงการทำงานในหน่วยงานระดับท้องถิ่นที่หนัก ส่งผลถึงการชักจูงประชาชนให้รับตำแหน่งจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก
ในระดับประเทศ นอกจากผุ้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของรัฐอยู่ก่อนแล้ว ยังปรากฎว่าเประชาชนที่เข้าไปร่วมกิจกรรมสาธารณะนั้นมีจำนวนที่น้อยมาก และกองทัพยังครอบงำการบริหารประเทศตลอดมารวมถึงนายทหารหรืออดีตนายทหารที่เข้าไปเป็นสมาชิกสภาฯ การที่บุคลากรชั้นนำระดับภูมิภาคมักมีตำแหน่งซ้อนทับระหว่งการเป็นทหาร เจ้าหน้าที่รัฐ และบุคลากรของพรรค สะท้อนเจตนาของการควบคุมมากกว่าการมีส่วนร่วมขงอภาคประชาชนได้อย่างชัดเจน
ในส่วนของสภาประชาชนระดับจังหวัด ตำบล และหมู่บ้าน นั้น มีหน้าที่หลัก 3 ประการ คือ ควบคุมประชาชน การจัดกิจกรรมให้แก่พรรค และองค์กรชนชั้นและจัดการประชุมและรณรงค์ เพื่อนำไปสู่การมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง
สภาประชาชนระดับท้องถิ่นนั้น ไม่มีอำนาจด้านนิติบัญญัติ และไม่มีการประชุมเพื่อกำหนดนโยบายแต่อย่างใด แต่เป็นสถาบันที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของรัฐบาลกลางและกระจายสู่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นไปตามอุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตยที่รัฐบาลใหความหายไว้และเป็นหลักการสำคัญในรัฐธรรมนูญ
ความพยายามให้ประชาชนระดับท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการรัฐจึงไม่ค่อยประสอบความสำเร็จมากนัก รัฐยังคงต้องการกำกับดูแลกิจการทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าการตัดสินใจในทุกระดับจะไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่รัฐบาลกลางชี้นำและกำหนดไว้ การพัฒนาความคิดริเริ่มในท้องถิ่นจึงถูกสอดส่องอยู่ตลอดเวลา รัฐมนตรีมหาดไทยมีอำนาจในการปลดสมาชิกสภาประชาชนระดัยท้องถิ่นทั่วประเทศที่ถูกมองว่าขาดความเหมาะสม หรือทกหน้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้นการกระจายอำนาจสู่ท้องถ่ินนั้น แม้จะมีให้เห็ฯในเชิงรูปแบบแต่ในรายละเอียดแล้ว ไม่เกิดขึ้จริง องค์กรต่างๆ ระดับท้องถิ่นมีหน้าที่เพียงนำการตัดสินจของคณะผุ้ปกครองจากองค์การระดับสูงในส่วนกลางเท่านั้น เช่น การปฏิบัติงานของสภาประชาชนระดับตำบลในนครย่างกุ้ง ใช้เวลาส่วนใหญ่ดำเะนินการตามแผนงานที่สภาประชาชนระดับจังหวัดจัดเตรียมไวให้ ซึ่งสภาประชาชนระดับจังหวัดก็ได้รับคำสั่งจากสาประชาชนระดับรัฐย่อยหรือเขตปกครองมาอีกที เพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่รัฐบาลกลางวางไว้เท่านั้น กระนั้น สถานการร์ทางการเมืองของพม่าได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันหลังการเลือกตั้งครั้งล่าสุด และการปลดปล่อยนางอองซาน ซูจี ใไ้เข้าสู่เส้นทางทางการเมือง ประอบกับปัจจัยภายนอกประเทศต่างๆ ทำให้ในมุมมองของหลายภาคส่วนในสังคมระหว่างประเทศมองการเมืองพม่าว่าอยุ่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่เส้นทางประชาธิปไตย ในส่วนของระบบการปกครองท้องุถิ่นก็มีความเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน จากการศึกษาพบว่า มีการเตรียมการเพื่อการพัฒนาบุคลากรในระดับท้องถิ่น โดยการส่งนัการเมืองท้องถ่ินเข้ามาอบรม ณ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ตัวแสดงที่สำคัญที่สุดในระบบการเมืองการปกครองของสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่านั้นมีเพียงกลุ่มเดียว นั่นคือ กลุ่มอำนาจทางการทหาร ที่รวมศูนย์อำนาจทางการปกครองทั้งหมดเข้าสู่ศูนย์กลาง องค์กรทางการเมืองอื่นๆ ในระดับต่างๆ ต่างถุกควบคุมโดยกลุ่มอิทธิพลนี้ด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใดๆ ของระบบบริหารประเทศย่อมขึ้นอยู่กับกลุ่มทหารเพียงฝ่ายเดี่ยว เมื่อตัวแสดงในภาคส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการพลเรือน พรรคการเมืองอื่นๆ ประชาชน พระสงฆ์ ชนกลุ่มน้อย แม้จะออกมาเคลื่อนไหว แต่ท้ายสุดก็มีความเสี่ยงที่จะถูกรัฐบาลทหารกำจักหรือลิดอนสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รัฐบาลทหารจึงถือเป็นปัจจัยเหนี่ยวรั้งที่สำคัญที่สุดต่อการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ระบบการปกครองส่วนท้องถิ่นจะเกิดขึ้นหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับท่าทีของกลุ่มอำนาจทางการทหารด้วยกันทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม สาธารณรับแห่งสไภาพพม่าในปัจจุบันนั้นมิได้เป็นประเทศปิดอย่างเช่นในอดีต การเข้าสู่เวทีความสัมพันธ์ระหว่งประเทศในระดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป้ฯระดับภูมิภาคอย่างอาเซียน หรือการมีความสัมพันธ์กับประเทศภายนอก ทั้งในภูมิภาคเอเชีย และภูมิภาคอื่นๆ ส่งผลทำให้ปัจจัยภายนอกประเทศเข้ามาีมีอิทธิพลต่อทัศนะของกลุ่มผุ้นำของพม่าในยุคปัจจุบัน แรงกรุตุ้นจากรัฐมหาอไนาจ องค์การระหว่างประเทศ องค์การเอกชน(NGOs) หรือรัฐอื่นๆ ที่พุ่งเป้ามายังกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยในพม่า อาจส่งผลต่อการตัดสินใจในการกำหนดนโยบายของกลุ่มผุ้นำในสภาพพม่าไม่มากก็น้อย แต่นโยบายหรือตัวบทกฎหมายที่ถูกบัญัติขึ้นมาจากแรงผลักดันและการตวรจสอบจากตัวแสดงภายนอกนั้น จะถูกนำไปปฏิบัติจริงมากน้อยเพีงใดในมุมองของผุ้เขียนแล้ว ในเรื่องการกระจายอำนาจหรือระบบการปกครองท้องถิ่นนั้น ยังเป้ฯเรื่องที่เป็ฯไปได้ยาก แม้จะดูเหมือนวามีกิจกรรมทีดูเหมือนการเตรียมความพร้อมให้กับบุลากรที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานต่างๆ ในประเด็นเรื่องระบบการปกครองท้องถิ่น ก็ใช่ว่าจะการันตีว่าการปกครองในระดับท้องถิ่นจะเกิดขึ้นได้จริง ดั่งในประเทศเสรีประชาธิปไตยทั่วไป
- ผณิตา ไชยศร,"ระบบการปกครองท้องถิ่น ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน : สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า", วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า, 2556.
ประเทศพม่ายังเผชิญกับความไม่สมดุลของเศรษฐกิจมหภาคที่ร้ายแรง อันได้แก่ อัตรแลกเปลี่ยนแทางการที่กำหนดค่าเงินจั็ตสูงเกินไป การขาดดุลการคลัง การขาดเครดิตการค้าซึ่งถูกบิดเบือนหนักขึ้นไปอีกอัตราดอกเบี้ยนอกตลาด เงินเฟ้อที่่คามเดาไม่ได้ ข้อมูลทางเศราฐกิจที่ไม่น่าเชื่อถือ และความไม่สามารถที่จะจัดทำบัญชีประชาชาติให้ถูกต้องตรงกัน นอกจากนี้ ปัญหาโครงสรี้้างพื้นฐาน นโยบายการค้าที่คาดเดาไม่ได้ทรัพยากรบุคคลที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา (เป็นผลจากการละเลยระบบสุขภาพและระบบการศึกษา) ปัญหาการทุจริต และการเข้าไม่ถึงเงินทุนสำหรับการลงทุน ธนาคารเอกชนยังคงดำเนินงานภายใต้ข้อห้ามที่เข้มงวดของทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ภาคเอกชนเข้าถึงเครดิตได้อย่างจำกัด ประกอบกับการควำ่บาตรทางการเงินและเศรษฐกิจจากนานาประเทศ เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ทำให้สภาพทางเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
สหรัฐอเมริกาได้ห้ามการทำธุรกรรมทางการเงินกับหน่วยงนส่วนใหญ๋ของพม่า ห้ามผู้นำทหารและผุ้นำพลเรือนอาวุโสของพม่าและผุ้นำที่มีความเชื่อมโยงกับระบอบทหารเดินทางเข้าสหรัฐฯ และห้ามนำเข้าผลิตภัฒฑ์ของพม่า การคว่ำบาตรเหลานี้มีผลต่าุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มของประเทศ ทำให้ภาคธนาคารถุกโดดเดี่ยวและต้องดิ้นรนมากขึ้น และยังเป็นการเพ่ิมต้นทุนในการทำธุรกิจกับบริษัทพม่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัมที่เชื่อมโยงกับผุ้นำระบอบการปกครองพม่าการโอนเงินเข้าประทเศจากแรงงานพม่าในต่างประเทศส่งมาให้ครอบครั้วของพวกเขา เป็นตัวขับเคลื่อนที่ทำให้การกระวงการคลังพม่าอนุญาตให้ธนาคารในประเทศดำเนินการกิจการด้านต่างประเทศ
ในปี ค.ศ. 2011 รัฐบาลได้ริเริ่มการปฏิรูปแลเปิดเศรษฐกิจของประเทศโดยการลดภาษีการส่งออก ลดข้อห้ามต่างๆ ในภาคการเงินและขอความช่วยเลหือจากองคกรระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่ดียังคงมีความจำเป้ฯอย่างยิ่ง ในการฟื้นฟผูสภาพทางเศรษฐกิจ ผ่านการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ
หลังจากฝ่ายทหาร(นำโดยนายพล เน วิน) เข้ายึอำนาจรัฐบาลพลเรือนของอนายอู นุ ในปี 1952 ได้มีการจัดตั้งรับบาลใหม่ซึ่งเรียกตัวเองว่า "รัฐบาลปฏิวัติของสหภาพพม่า" และมีการจัดต้งสภาคณะปฏิวัติ ซึ่งประกอบด้วยนายทหารคนสำคัญ 17 นาย ที่นำพม่าเข้าสู่ประเทศีี่มีการปกครองแบบรวมศูนย์อย่างเบ็ดเสร็จ สภาคณะปฏิวติได้ยกเอาคำประกาศของคณะปฏิวัติเป็นตัวบทกฎหมายในการบริหารประเทศ และนั่นหาายถึงการทำให้พม่าเดินอยุ่บนเสส้นทางของ "วิ๔ีทางของพม่าสู่ลัทธิสังคมนยิม" ตามเอกสารที่ออกมาอย่างเป้ฯทางการในเดือนเมษายน ค.ศ. 1962
วิถีสู่ลัทธิสังคมนิยมนั้น เป็นการหลอมรวมหลักการแห่งมาร์กซ์และเลนินเข้ามาเป้ฯแกนหลักแห่งอุดมกาณณ์ และผนวกกับหลักการความเป็นเอกราชของพม่า ที่นายออก ซานได้วางไว้ก่อนหน้านี้ นอกจาเอกสารประมวลปรัชญา แห่งลัทธิสังคมนิยมของพม่าแล้ว เดือนกรกฎาคม 1962 รัฐบาลปฎิวัติฯ ยังออก "ธรรมนูญของพรรคโครงกานสังคมนิยมพม่าสำหรับช่วงแรกแห่งการเปลี่ยนไปสู่การสร้างสรรค์" และเอกสารว่าด้วย "ระบบแห่งสหสัมพันธ์ของมุษย์กับสิ่งแวดล้อม" รวมถึงเอกสรเารื่อง "ลักษระเฉพาะของพรรคโครงการสังคมนิยมพม่า" ซึ่งสาระสำคัญของเอกสารทั้งหมดนี้ คือการนำระบอบประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม เข้ามาแทนที่ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดครงสร้างและากรดำเนินงานของฝ่ายรัฐบาลถูกแทนที่ดดยสภาคณะปฏิวัติ ซึ่งเป็นองค์กรเดียวที่เอกสารเหล่านี้กล่าวถึง เป็ฯระบอบรวมศูนย์ที่ผุ้นำ ในขณะที่ปัจเจกชนหรือกลุ่มประชาชนเป็นเพียงผุ้ติดตามผุ้นำสังคมนิมเท่านั้น
จึงไม่น่าแปลกใจที่รัฐที่มีการปกครองแบบรวมศุนย์อำนาจเบ็ดเสริจเช่นพม่านี้ จะไม่มีระบบการปกครองท้องถิ่น เมื่อทุกนโยบายถูกกำหนดมากจากส่วนกลางทั้งสิ้น
ดังได้กล่าวมาแล้วในบที่ก่อนหน้า แม้ว่ารัฐบาลทหารจะประกาศให้การร่างรัฐธรรมนูญขึ้น และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการในปี 1974 นั้น แต่เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ทำให้เห็นได้ถึงข้อจำกัดของระบบการปกครองท้องถิ่นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น รัฐธรรมนูญกลายเป็นเครื่องมือของคณะปฏิวัติในการหาความชอบธรรมในการปกครอง สิ่งที่นายพลเน วิน ต้องการกำหนดไว้ใรัฐธรรมนูญ นั่นคื อเป้าหมายของรัฐสังคมนิยม ที่มีเศรษฐฏิจแบบสังคมนิยม ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม และทหารเพียงกลุ่มเดี่ยวเท่านั้นที่ครอบงำอำนาจทั้งหมดรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเสมือนการสร้างฐานในการครองอำนาจอย่างชอบธรรมและสามารถขจัดอำนาจอื่นที่จะมาสั่นคลอนฝ่ายทหารได้เป็นระบบการปกครองแบบพรรคการเมืองพรรคเดียว ควบคุมจากส่วนกลางโดยไม่มีอำนาจใดมาดุลหรือคาน
ดังน้้น อำนาจในกาบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ จึงอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสิ้นเชิงขององค์กรของพรรค ไม่มีการกำหนดอำนาจอิสระในระดับใด ไม่ว่าจะเป็นระดับต่ำสุดจากหมู่บ้าน เมือง หรือสภาประชาชน การเลือกตั้งผุ้แทนประชาชนเข้าไปทำหน้าที่ในสภาประชาชนในระดับต่างๆ เป็นแต่การคดเลือกตัวแทนที่พรรรคส่งไปให้ประชาชนรับรองเท่านั้น โดยรวมแล้วทุกหน่วยงานในระดับท้องถิ่น ไม่มีอำนาจใดๆ นอกเหนือจากการรับคำสั่งจากพรรค่วนกลางนั่นเอง
ในสมัยรัฐบาล ตัน ฉ่วย มีความเคลื่อนไหวสมัชชาแห่งชาติที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อร่างรัฐะรรมนูญ และการประชุมทั้ง 8 ครั้งของสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญนั้น ก็เป็นเพียงความพยายามในการยืนยันความชอบธรรมของการมีส่วนร่วมของทหารในการมีบทบาทนำในกิจการของรัฐและการเมืองชองชาติใอนาคต เท่านั้น รัฐะรรมนูญของ ตัน ฉ่วย จึงไม่ได้แตกต่างกันเลยกับรัฐธรรมนูญขชองนายพลเน วิน แม้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ (ค.ศ. 2008 จะระบุให้มีการจัดการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2010 แต่ภายหลังการเลือกตั้ง ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ระบบการปกครองยังคงรวมศูนยอยู่ที่ส่วนกลาง(ทหาร)เช่นเดิม เนื้อหาส่วนใหญ๋ของรัฐธรรมนูญชี้ให้เห็นถึงอำนาจทหารอย่างชัดเจนในหลายๆ มาตรา ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะสมาชิกสมัชชาแห่งชาติเืพ่อร่างรัฐธรรมนูญคือกลุ่มผุ้แทนที่กลุ่มอำนาจจัดตั้งเข้าไป ในขณะที่ตัวแทนของพรรคการเมืองต่างๆ ถูกเลือกเข้าไปน้อยมาก รวมถึงพรรคสันนิบาตชาติเพื่อประชาธิปไตยของนางอองซาน ซุจีที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด ด้วยเช่นกัน
มาตราการต่างๆ ชี้ว่าระบบการปกครองท้องถิ่นของสาธารณรัฐแห่งสหภาพม่านั้น เป้นระบบที่ไม่เกิดขึ้น และอาจจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เนืองด้วยกลุ่มอำนาจทางการทหารนั้น ย่อมไม่สละอำนาจที่เคยมีอยุ่ในมืออกไปง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม วีแววของกิจกรรมทางการเมืองที่ดุเหมือนจะเกี่ยวข้องกับระบบการปกครองท้องถิ่น มีให้เห็นตั้งแต่ในสมัยสภาปฏิวัต นเรื่องของการมีส่วนร่วมในการจัดการัฐของประชาชนในภาคส่วนต่างๆ รวมถึงในระดับท้องถิ่น โดยสามารถสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้
สภาปฏิวัติ ได้พมัฯาระบบการคัดลือกบุคคลเข้าสุ่องค์กรบริหารระดับต่างๆ ผ่านการเลือกตั้งสมาชิกองค์กรระดับท้องถิ่น อย่างสภาประชาชน ในระดับบนสุด รวมถึง สภาประชาชนระดับปมู่บ้าน ระับตำบล ระดับจังหวัด ระดับรัฐย่อย ระดับเขตปกครองด้วย ดังนั้น ประชาชนจะมีส่วนร่วมในรัฐสภาได้ก็โดยผ่านการเลือกตั้ง สมาชิกสภาฯมีหน้าที่รายงานผลการประชุม ต่อเขตเลือกตั้งของตนโดยการเรียกประชาชนมาประชุม ถือเป็นการเชื่อโยงประชาชเข้ากับศูนย์กลางของรัฐอย่างเป็นทางการ
การเลือกตั้งสมาชิกสภาประชานมีขึ้นทุกๆ 4 ปี พร้อมๆ กับการเลือกตั้งสมาชิกสภาประชาชนประจำหมุบ้าน ตำบล จังหวด รํฐย่อยและเขตปกครองพิเศษ และเฉพาะผู้มีสัญชาติพม่าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติรับเลือกตั้งได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผุ้สมัครรบเลือกตั้งคือบุคคลที่มีตำแหน่งอยุ่แล้ว นั่นหมายถึงส่วนหนึ่งก็เป็นคนของพรรคในระดับต่างๆ อย่างไรก็ตาม ก็ยังปรากฎกรณีของผุ้ที่รัฐสนับสนุนแต่พ่ายแพ้การเลือกตั้งดังนั้น ผู้ที่ได้รับเลือกจึงต้องเป็นคนที่ทั้งพรรคและประชาชนในท้องถิ่นยอมรัีบได้
กระนั้นการเลือกตั้งดังกล่าว เป็นเพียงพิธีกรรมสร้างความชอบธรรมและรับรองอำนาจที่มีอยุ่แล้ว มากกว่าที่จะเป้นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง ดงสะท้อนได้จากจำนวนของผุ้ที่ได้รับเลือก นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985 จำนวนสมาชิกสภาผุ้แทนราษ๓รในสภาประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จำนวนผุ้ได้รับการเลือกตัี้งเข้าสภาประชาชนระัดับจังหวัด รัฐบ่อยและเขตปกครองนั้นคงตัว ส่วนผุ้ได้รับเลือกต้งเข้าสภาประชาระดับตำบลและปมุ่บ้านมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ ชี้ให้เห็นถึงการทำงานในหน่วยงานระดับท้องถิ่นที่หนัก ส่งผลถึงการชักจูงประชาชนให้รับตำแหน่งจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก
ในระดับประเทศ นอกจากผุ้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของรัฐอยู่ก่อนแล้ว ยังปรากฎว่าเประชาชนที่เข้าไปร่วมกิจกรรมสาธารณะนั้นมีจำนวนที่น้อยมาก และกองทัพยังครอบงำการบริหารประเทศตลอดมารวมถึงนายทหารหรืออดีตนายทหารที่เข้าไปเป็นสมาชิกสภาฯ การที่บุคลากรชั้นนำระดับภูมิภาคมักมีตำแหน่งซ้อนทับระหว่งการเป็นทหาร เจ้าหน้าที่รัฐ และบุคลากรของพรรค สะท้อนเจตนาของการควบคุมมากกว่าการมีส่วนร่วมขงอภาคประชาชนได้อย่างชัดเจน
ในส่วนของสภาประชาชนระดับจังหวัด ตำบล และหมู่บ้าน นั้น มีหน้าที่หลัก 3 ประการ คือ ควบคุมประชาชน การจัดกิจกรรมให้แก่พรรค และองค์กรชนชั้นและจัดการประชุมและรณรงค์ เพื่อนำไปสู่การมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง
สภาประชาชนระดับท้องถิ่นนั้น ไม่มีอำนาจด้านนิติบัญญัติ และไม่มีการประชุมเพื่อกำหนดนโยบายแต่อย่างใด แต่เป็นสถาบันที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของรัฐบาลกลางและกระจายสู่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นไปตามอุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตยที่รัฐบาลใหความหายไว้และเป็นหลักการสำคัญในรัฐธรรมนูญ
ความพยายามให้ประชาชนระดับท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการรัฐจึงไม่ค่อยประสอบความสำเร็จมากนัก รัฐยังคงต้องการกำกับดูแลกิจการทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าการตัดสินใจในทุกระดับจะไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่รัฐบาลกลางชี้นำและกำหนดไว้ การพัฒนาความคิดริเริ่มในท้องถิ่นจึงถูกสอดส่องอยู่ตลอดเวลา รัฐมนตรีมหาดไทยมีอำนาจในการปลดสมาชิกสภาประชาชนระดัยท้องถิ่นทั่วประเทศที่ถูกมองว่าขาดความเหมาะสม หรือทกหน้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้นการกระจายอำนาจสู่ท้องถ่ินนั้น แม้จะมีให้เห็ฯในเชิงรูปแบบแต่ในรายละเอียดแล้ว ไม่เกิดขึ้จริง องค์กรต่างๆ ระดับท้องถิ่นมีหน้าที่เพียงนำการตัดสินจของคณะผุ้ปกครองจากองค์การระดับสูงในส่วนกลางเท่านั้น เช่น การปฏิบัติงานของสภาประชาชนระดับตำบลในนครย่างกุ้ง ใช้เวลาส่วนใหญ่ดำเะนินการตามแผนงานที่สภาประชาชนระดับจังหวัดจัดเตรียมไวให้ ซึ่งสภาประชาชนระดับจังหวัดก็ได้รับคำสั่งจากสาประชาชนระดับรัฐย่อยหรือเขตปกครองมาอีกที เพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่รัฐบาลกลางวางไว้เท่านั้น กระนั้น สถานการร์ทางการเมืองของพม่าได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันหลังการเลือกตั้งครั้งล่าสุด และการปลดปล่อยนางอองซาน ซูจี ใไ้เข้าสู่เส้นทางทางการเมือง ประอบกับปัจจัยภายนอกประเทศต่างๆ ทำให้ในมุมมองของหลายภาคส่วนในสังคมระหว่างประเทศมองการเมืองพม่าว่าอยุ่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่เส้นทางประชาธิปไตย ในส่วนของระบบการปกครองท้องุถิ่นก็มีความเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน จากการศึกษาพบว่า มีการเตรียมการเพื่อการพัฒนาบุคลากรในระดับท้องถิ่น โดยการส่งนัการเมืองท้องถ่ินเข้ามาอบรม ณ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ตัวแสดงที่สำคัญที่สุดในระบบการเมืองการปกครองของสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่านั้นมีเพียงกลุ่มเดียว นั่นคือ กลุ่มอำนาจทางการทหาร ที่รวมศูนย์อำนาจทางการปกครองทั้งหมดเข้าสู่ศูนย์กลาง องค์กรทางการเมืองอื่นๆ ในระดับต่างๆ ต่างถุกควบคุมโดยกลุ่มอิทธิพลนี้ด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใดๆ ของระบบบริหารประเทศย่อมขึ้นอยู่กับกลุ่มทหารเพียงฝ่ายเดี่ยว เมื่อตัวแสดงในภาคส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการพลเรือน พรรคการเมืองอื่นๆ ประชาชน พระสงฆ์ ชนกลุ่มน้อย แม้จะออกมาเคลื่อนไหว แต่ท้ายสุดก็มีความเสี่ยงที่จะถูกรัฐบาลทหารกำจักหรือลิดอนสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รัฐบาลทหารจึงถือเป็นปัจจัยเหนี่ยวรั้งที่สำคัญที่สุดต่อการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ระบบการปกครองส่วนท้องถิ่นจะเกิดขึ้นหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับท่าทีของกลุ่มอำนาจทางการทหารด้วยกันทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม สาธารณรับแห่งสไภาพพม่าในปัจจุบันนั้นมิได้เป็นประเทศปิดอย่างเช่นในอดีต การเข้าสู่เวทีความสัมพันธ์ระหว่งประเทศในระดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป้ฯระดับภูมิภาคอย่างอาเซียน หรือการมีความสัมพันธ์กับประเทศภายนอก ทั้งในภูมิภาคเอเชีย และภูมิภาคอื่นๆ ส่งผลทำให้ปัจจัยภายนอกประเทศเข้ามาีมีอิทธิพลต่อทัศนะของกลุ่มผุ้นำของพม่าในยุคปัจจุบัน แรงกรุตุ้นจากรัฐมหาอไนาจ องค์การระหว่างประเทศ องค์การเอกชน(NGOs) หรือรัฐอื่นๆ ที่พุ่งเป้ามายังกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยในพม่า อาจส่งผลต่อการตัดสินใจในการกำหนดนโยบายของกลุ่มผุ้นำในสภาพพม่าไม่มากก็น้อย แต่นโยบายหรือตัวบทกฎหมายที่ถูกบัญัติขึ้นมาจากแรงผลักดันและการตวรจสอบจากตัวแสดงภายนอกนั้น จะถูกนำไปปฏิบัติจริงมากน้อยเพีงใดในมุมองของผุ้เขียนแล้ว ในเรื่องการกระจายอำนาจหรือระบบการปกครองท้องถิ่นนั้น ยังเป้ฯเรื่องที่เป็ฯไปได้ยาก แม้จะดูเหมือนวามีกิจกรรมทีดูเหมือนการเตรียมความพร้อมให้กับบุลากรที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานต่างๆ ในประเด็นเรื่องระบบการปกครองท้องถิ่น ก็ใช่ว่าจะการันตีว่าการปกครองในระดับท้องถิ่นจะเกิดขึ้นได้จริง ดั่งในประเทศเสรีประชาธิปไตยทั่วไป
- ผณิตา ไชยศร,"ระบบการปกครองท้องถิ่น ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน : สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า", วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า, 2556.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Official vote counting...(3)
แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป รองป...
-
องค์ประกอบของโยนิโสมนสิการ ลักษณะการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 ประการ สรุปได้ดังนี้ครับ สืบสาวเหตุปัจจัย แยกแยะส่วนประกอบ สามัญลักษณ...
-
อาจกล่าวได้ว่า สงครามครูเสดเป็นความพยายามครั้งรแกๆ ของยุโรป และเป้นสำเร็จโดยรวมในความพยายามที่จะค้นหาตัวเองภายใต้วัฒนธรรมท่เป็...
-
วรรณกรรมในสมัยยุโรปกลาง จะแต่งเป็นภาษาละติน แบ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนา และ วรรณกรรมทางโลก วรรณกรรมทางศาสนา...