วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

ASEAN Investment Area

              เขตการลงทุนอาเซียน(AIA) เป็นการรวมกลุ่มทางเศราฐกิจในระดับภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน (ASEAN) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในอันที่จเพิรมการลงทุนในอาเซียนจากนักลงทุนทั้งในแลนอกกลุ่มอาเซียน เพื่อเสริมสร้างประสทิธิภาพของอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจของอาเซียนโดยเฉพาะให้มีความได้เปรียบในด้านการลงทุนโดยคำนึงถึงความแตกต่างในระดับการพัฒนาการและเสรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนภายใต้กรอบความตกลงเขตการลงทุนอาเซียน ซึ่งกำหนดพันธกรณีให้ประเทศสมาชิกอาเวียนเปิดเสรีอุตสาหกรรมและให้การประฏิบัติเยี่ยงคนชาติ ภายในปี ค.ศ. 2010 สำหรับนักลงทุนอาเซียน และปี ค.ศ. 2020 สำหรับนักลงทุนทั่วไป
            ในการจัดตั้้งเขตการลงทุนอเาซียนภายใต้กรอบความตกลงเขตการลงทุนอาเซียนเขตการลงทุนอาเซียน มิใช่องค์การระหว่างประเทศ ซึ่งจะมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เป็นเพรียงองค์กรย่อยของอาเซียนเพื่อการพัฒนาความร่่วมือทางเศรษฐกิจของอาิซียน โดยจะต้องอยู่ภายใต้กรอบของ GATT และ WTO ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียส่วนใหญ่ต่างก็เป็ฯสมาชิกอยู่โดยในการดำเนินการจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียภายใต้กรอบความตกลงเขตการลงทุนอาเซียน ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างประเทศที่มีค่าในทางกฎหมายระหว่างประเทศอันส่งผลให้สามารถใช้บังคับกับทุกประเทศสมาชิกอาเซียนให้ต้องยอมรับให้ความตกลงดังกล่าว โดยให้มีผลใช้บังคับในอินแดนของตน
             แต่ในทางปฏิบัติ การดำเนินการตามพันธกรณีของกรอบความตกลงเขตการลงทุนอาเซียนก็ประสบปัญหาบ้างทั้งปัญหาที่เกิดจากตัวกรอบความตกลงแลปัญหาที่เกิดจาประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นร่วมกัน ทั้งนี้เพื่อให้การจัดตั้งแขตการลงทุนอาเซียนบรรลุวัตถุปรสงค์และเอื้อประโยชน์ท้งในด้านการต้าและากรลงทุนต่ออาเซียนและประทเศไทย
             อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียนอาจเกิดผลกระทบต่ออาเซียนและประเทศไทยบ้าง ซึ่งทำให้อาเซียนและประเทศไทยต้องพัฒนาตัวเองและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อให้สามารถรองรัีบการลงทุนที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้การจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียนเกิดประโยชน์ต่ออาเซียนและประเทศไทยได้อยางสูงสุดต่อไป
             การจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียน เกิดขึ้นจากการที่ประเทศสมาชิกอาเซียนได้เบ็งเห็นถึงควาสำคัญในการวมกลุ่มความร่วมือทางเศรษฐกิจในระดับภุมิภาค ซึ่งเป้ฯผลมาจากเหตุผลภายในอาเซียน และกระแสภูมิภาคของประเทศต่างๆ อาเซียนจึงต้องพัฒนาระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในกลุ่มให้มากขึ้นและโดยเฉพาะอย่งยิ่ง เมื่ออาเซียขยายตัวโดยมีประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉีงใต้ครบทั้ง 10 ประเทศ ทำให้อาเวียนกลายเป้นแหล่งรับการลงทุนทั้งจากภายในและภายนอกภูมิภาคอาเวียน เขตการลงทุนอาเซียนจึงเกิดขึ้นเพื่อดึงดูดการลงทุนเสริมสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มความได้เปรียบในด้านการลงทุน ซึ่งจะพัฒนาให้อาเซียนเป็นภูมิภาคกาลงทุนที่มีักยภาพในการรองรับการลงทุนจากส่วนต่างๆ ของโลก
            สถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศของเขตการลงทุนอาเซีย เมื่อพิจารณาโดยใช้หลักที่ศาลยุติธรรมระหว่งประเทศได้วินิจฉัยไว้โดยความเห้นแนะนำในคดี ซึ่งงางหลักว่าองค์การระหว่งประเทศใดจะมีสภาพบุคคลในทางกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ให้พิจารณาจากเจตจำนงค์ของมวลสมาชิกที่จัดตั้งองค์การระหว่างประเทศ โดยดูากวัตถุประสงค์และหน้าที่การงานโดยเฉพาะขององค์การนั้น จะเห้นว่าเขตการลงทุนอาเซียนได้รับการจัดตั้งขึ้นภายใต้กรอบความตกลงเขตการลงทุนอาเซียน ยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้อาเซียนเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนทั้งจากในและนอกอาเซียนและได้มีการจัดตั้งคณะมนตรีเขตการลงทุนอาเซียน และคณะกรรมการความร่วมมือด้านการลงทุนเพื่อติดตาม ดูแลและประสานงานกับหน่วยงานของอาเซียน เพื่อให้การจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซีนบรรลุประสงค์ ดังนั้น เขตการลงทุนอาเซียนจึงไม่มีสถานะเป้ฯองค์การระหว่างประเทศ ซึงจะมีสภาพบุคคลในทางกฎหมายระหว่างประเทศแต่เป็นองค์กรย่อยของอาเซีนเพื่อพัฒนาความร่วมมือทางเศรษบกิจของอาเซียน
เขตกรลงทุนอาเซียน โดยตัวของมันเองแล้วไม่ใช่การค้าแต่ที่ต้องเข้าไปอยู่ภายใต้กฎหมายการต้าระหว่างประเทศเนื่องจากการให้สิ่งจูงใจและสทิะิประโยชน์จำนวนมากเพือดึงดูดการลงทุนที่จะไปกระทบต่อการค้า ดังนั้น ในการพิจารณาถึงความสอดคล้องของการจัตั้งเขตการลงทุนอาเซียนกับกฎหมายระหว่างประเท จึงต้องใช้หลักกฎหมายการต้าระหว่างประเทสที่มีบทาทสำคัญในระดับสากล และประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ของอาเซียนมีพันธกรณีอยู่ อันได้แก่ GATT และ WTO
           GATT 1994 ซึ่งเกิดจากการประชุมเจรจา GATT รอบอุรุกวัย ที่สิ้นสุดลงมี่เมือง Marakesh ประเทศโมรอคโค เมื่อวันที่ 15 เมษายน 1994 ได้มีการจัดทำความตกลงมาร์ราเกซ เพื่อจัดตั้งองค์การการต้าโลก และไ้มีการนำเอาหลักทั่วไปใน GATT 1947 มารวมไว้ใน GATT 1994 ด้วย โดย GATT 1994 ยังคงรับรองสิทธิในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคในรูปแบบของการจัดตั้งเขตการต้าเสรีไว้ในมาตรา 24 ซึ่งได้มีการกำหนดกรอบเงื่อนไขใการรวมกลุ่มทางเศราฐกิจว่าจะต้องมีการขจัดภาษีและข้อจำกัดทางการค้าไม่ให้สูงหรือเคร่งครัดไปหว่าเดิมก่อนที่จะมีการจัดตั้งเขตการต้าเสรี และจะต้องรวบรวมแผนงานและกำหนดการสำหรับการจัดตั้งเขตการต้าเสรีภายในระยะเวลาอันสมควร โดยไม่ควรจะเกิน 10 ปี เมื่อพิจารณาถึงแนวทางในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและเงื่อนไขในการจัดตั้งเขตการต้าเสรีดังกล่าวกับการจัดต้งแขตการลงทุนอาเซียนซึ่งเป้นการรวมกลุ่มทางการต้ารูปแบบหนึ่งที่เน้นในเรื่องของการลงทุน เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าในด้านการลงทุน และมไเป็นการเพิ่มอุปสรรคทางการค้าในการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิกอาเว๊ยนกับประเทศคู่ค้าอื่นนๆ โยในการจัดทำกรอบความตกลงเขตการลงทุนอาเซียน ได้กำหนดการจัดเก็บภาษีอากรต่างๆ และกฎระเบียบในการลงทุนไม่สูงกว่าหรือจำกัดมากกว่าที่เคยมีอยุ่ก่อนการรวมกลุ่มหรืทำควาตกลง และมีการกำหนดแผนงานและการดำเนินการต่าๆง สำหรับการรวกลุ่มภายในระยะเวลาที่เหมาะสม คือ 10 ปีสำหรับประเทสมาชิกกลุ่ทอาเซียน นอกจากนั้น ยังได้มีการประชุมเพื่อจะเร่งเปิดเสรีการลงทุนและให้การประติบัติเยี่ยงคนชาติแก่นักลงทุนอาเวียนและนักลงทุนทั่วไปให้เร็วขึ้นแม้ว่าจะยังไม่มีการแจ้งต่อที่ประชุมใหญ่ประเทศสมาชิก เนื่องจากการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวยังดำเนินการไปได้ไม่มากนัก แต่เมื่อพิจารณาถึงการรวมกลุ่ททางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคของอาเซีนในการจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียน จะเห็นได้ว่าสอดคล้องกับบทบัญญัติในเรื่องการรวมกลุ่มการต้าเสรีที่ชอบด้วยบทบัญญัติของ GATT ประเทสมาชิกอาเซียนควรจะได้มีการดำเนินการตามเงื่อนไขของ GATT มาตรา 24 ต่อไป
              ในการจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียนได้มีการจัดทำกรอบความตกลงเขตการลงทุนอาเซียน และพิธีสารเพื่อการแก้ไขกรอบควมตกลงเขตการลงทุนอาเซียน เพื่อให้การดำเนินกาจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียนบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ไ้กำหนดไว้เมื่อวิเคราะห์ถึงสถานะทางกฎหมายของเอกสารดังกล่าว ดดยใช้แนวทางการหลักที่ได้จาก คำนิยามในอนุสัญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา 1969 และคำพิพากษาของศาลุติธรรมระหว่างประเทศในคดีไหล่ทวีปแห่งทะเลเอเจี้นยที่ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับการวิเคราะหืเอกสารระหว่างประเทศ จะเห็นว่า เอกสารดังกล่าวเป้นความตกลงระหว่างประเทศที่ทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยมีผุ้แทนของรัฐซึ่งได้รับมอบอำนาจเต็มหรือถือว่าเป็นผู้มีอำนาจเต็มเขาทำสนธิสัญญาและแสดงเจตนาในการให้ความยินยิมเพื่อผูกพันตามสนธิสัญญาแทนรัฐ และอยู่ภายใตบังคับของกฎหมายระหว่งประเทศแม้ว่าข้อความและสาระของความตกลงดังกล่าว จะมิได้ระบุชัดแจ้งเกี่ยวกับลักษณธทางกฎหมายแต่ได้มีการกำหนดพันธกรณีระหว่างประเทศสมาชิก และดำเนินกาต่าๆง เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของความตกลงดังกล่าว ดังนั้น AISA Agreement และพิธีสารเพื่อการแก้ไข AIA Agreetment จึงเป็นความตกลงระหว่างประเทศที่มีค่าบังคับทางกฎหมายระหว่างประเทศและมีนิติฐานะเป็นความตกลงเพื่อากรจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียน และมื่อ AIA Agreement เป็นความตกลงระหว่างประเทศ ดังนั้นบันทึการตีความกอบควาตกลงเขตการลงทุนอาเซีย ซึ่งจัดทำขชึ้นเืพ่อช่วยในการตีความเอกสารที่มีค่าบังคับเป้ความตกลงระหว่างประทเศ บันทึกการตีความดังกล่าวจึงมีค่าบังคับเช่นเดี่ยวกับเอกสารที่ถูกตีความ
              และโดยผลผูกพันของความตกลงระหว่างประเทศเมื่อประเทศสมาชิกได้ลงนามและปฺบัติตามพันธกรณีแล้ว ความตกลงระหว่างประเทศนั้นย่อมสามารถใช้บังคับกับประเทศสมาชิกทุกประเทศได้และประเทศสมาชิกจะต้องยอมรับให้ความตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับในดินแดนของตน ซึ่งวิธีการยอรับอาจจะทโดยการประกาศรับสนธิสัญญา หรือการออกกฎหมายเพื่อนุวัติการ แต่กหากมีกฎหมายภายในเรื่องดังกล่าวใช้บังคับอยู่แล้วก็ไม่จำต้องออกกฎหมายเพื่อการนุวัติการจะเห็นได้ว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนมีกฎหมายภายในเกี่ยวกับการลงทุนและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกอยุ่แล้วความตกลงเขตการลงทุนอาเซียนจึงมีผลใช้บังคัยกับประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศได้ทันที่ โดยไม่ต้องมีกาออกกฎหมายเพื่อการอนุวัติการ
             ใการดำเนินงานในดารจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียนได้มีกาจัดตั้งคณะมนตรีเขตการลงทุนอาเซียนและคณะกรรมการความร่วมมืออด้านการลงทุน เพื่อใไ้คำแนะนำประสานงานกับหน่วยงานที่เีก่ยวข้อง ทบทวนการดำเนินงานเสนอคำแนะนำและแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดจากกรดำเนินกาจัดตั้งเขตการลงทุนอาเวียน ภายใต้การควบคุม ดูแลและช่วยเหลือที่อยู่ในอาเซีียนรวมท้งกำหนดกลไกในกรระวับข้อพิพาท โดยได้กำหนดให้นำพิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับ้อพิพาท มาใช้จะช่วยให้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศสมาชิกได้รับการแก้ไขปย่างมีประสิทธิภาพ
 

AIA Agreement ได้กำหนดพันธกรณีให้ประเทศสมาชิกต้องดำเนินการเปิดอุตสาหกรรมทุกประเภทและให้ารปฏิบัติเยี่ยงคนชาติ โดยทันที แต่ประเทศสมาชิกสามารถขอขยายระยะเวลาการเปิดอุตสาหกรรมและากรให้การปฏิบัติเยี่ยงคนชาติเ็ฯภายในปี 2010 สำหรับนักลงทุนอาเซียน และปี 2020 สำหรับนักลงทุนทั่วไปได้ โดยทำเป็นรายการขอยกเว้นชั่วคราว และรายการที่มีความอ่อนไหว และรายการดังกล่าวยังขยายให้ครอบคลุมถึงการบริการที่เกที่วข้องด้วย โดยประเทศสมาชิกจะต้องเปิดภาคบริการไม่น้อยไปกว่าข้อผูกพันที่ประเทศสมาชิกได้ยื่นภายใต้กรอบการเจรจากรเปิดเสรีการค้าบริากรในองค์การการค้าโลก WTO ซึ่งทุกประเทศสมาชิกก็ได้ยื่นรายการดังกลบาวสำหรับภาคการผลิต เกษตร ประมง ป่าไม และเหมืองแร่ เรียบร้อยแล้ว นอกจากการขอยกเว้นตามรายการขอยกเว้นทั้ง 2 รายการแล้ว ประเทศสมาชิกสามารถขอยกเว้นจากการเปิดอุตสหกรรมและการให้การปฏิบัติเยี่ยงคนชาติได้โดยการขอยกเว้นทั่วไป สำหรับประเภทกิจการที่มีผลต่อความมั่นคงของชาติ ประเพณี วัฒนธรณมและศีลธรรมอันดี และชีวิตมนุษย์ สัตว์ และพืช ซึ่งทุกประเทศสมาชิกก็ได้ยื่นรายการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังได้กำหนดมาตรการป้องกันฉุกเฉิน ในกรณีที่ประเทศสมาชิกได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากมาตรการการเปิดเสรีตาม ASIA Agreement และมาตรการป้องกันดุลการชำระเงนิระหว่งประเทศในกรณีที่ประเทศสมาชิกเกิดวิก๖การณ์ทางการเงิน
              ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามพันธกรณี คือ ปัญหาที่เกิดจากข้อกำหนดหลักการอย่างกว้างๆ โดยไม่มีการให้คำจำกัดความสำหรับรายการขอยกเว้นชั่วคราว รายการที่มีความอ่อนไหว หรือรายการขอยอเว้นทั่วไปไม่มีการกำหนดจำนวนเงื่อนไขและรายละเอียดในการเสนอและทยอยออกจากรายการดังกล่าว นอกจานี้ ราการดังกล่าวยังไม่ครอคลุมถึงมาตรการการลงทุนที่เกี่ยวกับการค้า ภายใต้กรอบขององค์การการค้าโลกซึ่งกำหนดให้ยกเลิกมาตรการการลวทุนบางประการที่จะมีผลก่อให้เกิดการจำกัดและบิดเบือนทางการค้า ในส่วนของการใช้มาตรกรป้องกันฉุกเฉิน และมาตรการป้องกันดุลการชำระเงินระหว่งประเทศก็ยังขาดรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับการำมาตรการดังกล่าวมาใช้เช่นกัน ซึ่งจากปัญหาดังกล่าวอาจส่งผลในทางปฏิบัติได้หากประเทศสมาชิกคำนึงถึงแต่การรักษาผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักและใช้มาตรการต่างๆ โดยไม่สุจริต จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศสมาชิกจะต้องร่วมมือกันในการปรับปรุงแก้ไข ข้อตกลงให้มีความชัดเจน และโปร่งใสมากย่ิงขึ้น เพื่อให้การดำเนินการจัดตั้งแขตการลงทุนอาเซียนบรรลุวัตถุประสงค์ และก่อประดยชน์แก่ประเทศมาชิกอย่างแท้จริง
           และจากการที่อาเซียนรับสมาชิกใหม่ ซึ่งได้แก่ เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา ซึ่งมีปัญหาการเมืองภายในประเทศ และมีสภาพเศรษบกิจที่แตกต่างกับประเทศมาชิกอาเซียนเดิม ทำให้อาเซียนมีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ  2 ระดับ ประเทศสมาชิกใหม่เหล่านี้จึงได้รับการผ่อนผันระยะเวลาใการดำเนินการตามพันธกรณี แต่ประเทศสมาชิกใหม่เหล่านี้ก็ได้ให้ความร่วมมือในการปรับปรุงและพัฒนาในด้านต่างๆ อันจะเื่อ้อำนวยต่อการลงทุน ประกอบกับการที่ประเทศสมาชิกอาเซียนเดิมก็ได้พยายามให้ความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยการประชุมปรึกษาหารือและการเสนอความคิดเห้นร่วมกันของหน่วยงานและคณะทำงานใรระดับต่างๆ ทั้งภายในประเทศสมาชิกแต่ละประเทศและระหว่างประเทศ และยงมีการกำหนดแผนงานอื่นๆ เพ่อส่งเสริมให้การดำเนินการตาม วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
         จากการพิจารณาึถงสภาพเศรษบกิจและการลงทุนของประเทศสมาชิกอาเซียน จะเห้นได้ว่า การลงทุนในประเทศสมาชิกอาเซียนมีแนวโน้มเพ่ิมขึ้นทุกปีกระทั่งในปี 1998 ซึ่งเกิดวิกฤตเศรษบกิจ ทำให้การลงทุนในภูมิภาคอาเวีนลดลงอันเนื่องมาจากสภาพเศรษฏฐิจของประเทศสมาชิกอาเซีนเอง และของประเทศผุ้ลงทุน ทั้งจากยุโรป ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ซึ่งต่างก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจที่แผ่ขยายไปทั่วโลกประกอบกับการถูกแบ่งส่วนทางการตลาดจากการรวมกลุ่มทางเศรษบกิจในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งสร้างความสนใจให้แก่ประเทศผุ้ลงทุนให้หันไปลงทุนในปละนอกประเทศ
               จากการศึกษาหลักการและการดำเนินการต่างๆ ในการจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียน แม้จะเกิดปัญหาหลายประการ ซึ่งดดยภาพรวมของอาเวียนอาจส่งผลกระทบด้านลบในระยะสั้นพอสมควร จากการที่ประเทศสมาชิกต้องสูญเสียรายได้บางส่วนจากการลดภาษี ความไม่พร้อมทีจะแข่งขันกับอุตสาหกรรรมจากต่างประเทศ ระดับการพัฒนาทางเศรษบกิจที่แตกต่างกันระหว่งประเทศสมาชิกเดิมกับประเทศสมาชิกใหม่ และความไม่พร้อมในโครงสร้างพื้นฐานทางเศณษฐกิจ ความผันผวนทางเศราฐกิจอาจส่งผลให้ความร่วมมือชะงักงันหรือเกิดควาทล่าช้ากว่ากำหนด แต่ในระยะยาวเขตการลงทุนอาเซียนจะส่งผลในด้านบวกแก่ประเทศสมาชิกอยางมาก เนื่องจากการขยายจำนวนประเทศสมาชิก ทำให้อาเซียนกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ และมีทรัยพากรธรรมชาิตท่อุดมสมบูรณื ซึ่งจะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และการลงทุนจากต่างประเทศจะเป็นสื่อนำความช่วยเลือทางเทคนิคเข้าประเทศ ซึ่งจะทำให้อาเว๊ยนเพิ่มอำนาจต่อรองทางการค้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกมายิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการแข่งขันระหว่งประเทศสมาชิกในการให้ปสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนแก่การลงทุนจากต่างประเทศนอกจานั้นเขตการลงทุนอาเซียนยังอาจจะช่วยแก้ปัญหวิฏฟติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วทุกภูมิภาคเพราะการร่วมมือกันจะทำให้มีโอกาสในการแก้ไขปัญหาได้ยอ่างมีประสทิธิภาพมากยิ่งขึ้น
           

                                 "ความตกลงเขตการลงทุนอาเซียน", กษมา มาลาวรรณ,วิทยานิพนธ์(บางส่วน)มหาวิทยาลัยรามคำแหง นิติศาตรมหาบัณฑิต,2544.
                           

วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560

Common Market

             กับการเปิดเขตการค้าเสรีในปี พ.ศ. 2558 กระทั่งปัจจุบันมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดบ้างหรือไม่นั้นในปี พ.ศ. 2560 การดำเนินการต่างๆ ก็เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ต่อความคิดเห็นที่หลากหลายก่อนการเปิดเขตการค้าเสรีกับงาน "ประชุมวิชาการประจำปี 2555 สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัมหิดล" ได้มีผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายสายวิชาการได้มาให้ความรูป้ซึ่งจะขอนำบางส่วนมาแสดงไว้ในที่นี้..
             ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล..
             เนื่องจากประชาคมอาเซียน มีพิทพ์เขียวที่มีแผนปฏิบติการไปสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนที่ควรจะสมบูรณ์ภายในปี 2558 ซึ่งคงไม่ใช่ทุกเรื่อง แต่ขอให้เข้าใจอาเซียนก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไร จะได้ไม่ผิดหวังมากนักเช่นเรื่องปฏิญญา เป็น TOR ที่เขียนขึ้นมาอยางเร่งอด่วนใต่อนที่ประเทศไทยเปนประธานอาเซียน การผลักดันให้เกิดขึ้นมาด้วยขีดจำกัดไม่เหมือนสไภาพยุโรปและจะไม่ใช่มาตรฐานสากลในหลายๆ เรื่องแต่เรื่องที่อยากให้ได้มาตรฐานสากลเร็วๆ คือเรื่องการค้า (AEC) ส่วนเรื่องวัฒนธรรมเป็นจุดเด่นของอาเซียนเพราะมีความหลากหลาย ถ้าสามัคคีเห็นความงดงามของความแตกต่างกันได้จะเป็นจุดเด่นเพราะว่าหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา ชาติพันธุ์และเข้าใจกัน ซึ่งคิดว่ากว่าจะรักกันคงไม่ใช่ภายในปี 2558 อาจจะอีกหลายปี เพราะฉะนั้นอาเซียนเป็นองค์กรที่เรียกว่าตกลงกันด้วยฉันทามติ ไม่ใช้การโหวตเพราะถ้าโหวตก็โกรธกันการประชุมทุกครั้งจึงต้องมีการถามกันไปถามกันมา เพราะฉะนั้นขอให้พลเมืองอาเซียนเข้าใจว่าอาเซียนอยู่กันในลักษณธที่ว่าถ้าทำได้ก็ทำ ถ้าทำไม่ได้ก็ยังไม่ต้องทำ โดยอาเซียนมีสูตรการร่วมมือกัันที่เรียกว่า ASEAN-X คือบางประเทศที่ไม่พร้อมก็ลบออกไปก่อน เช่นเขตการค้าเสรีอาเซียนนั้น คนที่พร้อมกว่าเพื่อนคือประเทศไทย เพราะเราเป็นคนเสนอให้เปิดเขตการต้าเสรีในปี 2535 ถ้าไม่พร้อมไม่เสนอ การลดกำแพงภาษีสินค้ารายการต่างๆ จากที่มีอยู่เหลือ 30% ก็เกิดในปี 2536 การลดเหลือ 0% เกือบทุกรายการสินค้าก็เมือ 1 มกราคม 2554 โดยเกือบ 2 ปี แล้วที่เขตการค้าเสรีอาเซียนนั้นสมบุรณ์ในประเภทการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนโดยไม่มีภาษีระหว่ง 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน ส่วนประเทศที่ไม่พร้อมคือ เขมร ลาว พม่า เวียดนาม จึงของลบเป้น -4x และรอวันที่ 1 มกตราคม 2558 จะได้เตรียมผุ้ผลิตในประเทศเพื่อให้พร้อมรับมือกับสินค้าที่จะทะลักเข้ามาโดยไม่มีภาษี แต่ AEC ก็มีมากกว่าเรื่องขนส่งสินค้า ดังนั้น จึงขอให้เข้าใจว่าอาเซียนนั้นค่อยๆ ไป ถ้าไม่พร้อมก็รอโดยหน้าที่ของพวกเราคือทำงานให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง
              ใน First ASEAN people forum ปี 2009 ซึ่งมีความต้องการให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ได้แสดงออกอย่างเต็มี่จึงเป็นหน้าที่ของทุกท่านที่ทำงานอยุ่ที่ต้องผลักดันอย่งเต็มที่เรื่องของ Food Security กับ Food Safety มากแต่ Food Security and Safety เน้นไปที่ Food Safety มากแต่ Fod Security ก็ยังมีเช่น บัญญัติไว้ว่าต้องมีการ stock อาหารไว้ในยามฉุกเฉินหรือเกิดทุพภิขภัย หรือถ้ามีอาหารก็ต้องกระจายให้ทัีวถึง ให้มีอาหารพร้อมที่ให้ชาวบ้านในอาเซียนทั้ง 10 ชาติได้มีกินมีใช้ทุกเวลา หรือการใช้เทคโนโลยีการผลิตอาหารเข้าสู่ Preseved food ดังนั้นจะเห็นว่ามีการพูดถึงเรื่อง security food โดยแม้ คืออาเซียนนั้นไปตามกระแสโลก
             สำหนับเรื่องความมั่นคงที่เรียกว่า Non Tradition Security ประกอบด้วย Food Environment การต้ามนุษย์ การค้าอาวุธ กากนิวเคลียร์ เป็นความมั่นคงที่ไม่ใช่แบบแผนดั้งเดิม ทั้งนี้อยากให้คนไทยดุจุดบกพร่องของความงดงามของพิมพ์เขียวซึ่งข้อบกพร่องมีมากที่ไม่ได้มาตรฐานแต่พยายามจะอธิบายว่าทำไมเกิดความคิดเชิงลบ เพราะว่าผมคิดว่านักคิด นักวิชาการได้รัีบวิธีคิดโดยรับความรูแบบโลกาภิวัฒน์คือเดินทางท่องเที่ยวศึกษาหาความรู้แลกปลี่ยน ไปดูงานวิจัยที่ผมใช้อ้างอิง่อยๆ ในการบรรยาย ของนิตยสาร The Economist ซึ่งใช้นักวิจัยในอังกฤษเป็นสถาบันเลย หรือสถาบันทอีกที่ใน นิวยอร์ก เรียกว่า อินสติติวส์ เลกูลัมซ์ ที่วิจัยเรื่องประชาธิปไตยในโลก โดยพบว่าประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ของดัชนีความเป็นประชาธิปไตยในอาเซียนแต่อยู่ประมาณที่ 50 ของโลก ไม่ไปถึงไหน โดยไทย อินโดนีเซีย มาเลเซียอยู่กลุ่มประชาธิปไตยแบบมีตำหนิ ส่วนประเทศอื่นๆ เช่น เขมร สิงค์โปร บางที่ก็เป็ฯบางทีก็ไม่เป็นประชาธิปไตย บางปรเทศก็ไม่เป็นประชาธิปไตย  รัฐเผด็จการ เช่น ลาว เวียดนาม พม่า ซึงประเด็นี้เองทำให้ประชาคมอาเซียนเกิดมในโลกที่ต้องพึ่งพากัน เรียกว่า Interdependent World ในทางรัฐศาสตร์เพราะฉะนั้นประเทศที่ไม่พร้อมในการรวมกลุ่มก็ต้องรีบรมกลุ่มเพื่อการต้า แต่แรกเริ่มเดิมที่นั้นเพื่อความมั่นคงเพราะกลัวคอมมิวนิสต์ เลยทำให้มุ่งเน้นกันแต่ AEC การเมืองความมันคงก็มีการลงนามมาหลายคณะ ส่วนเรื่องวัฒนธรรมก็เป็นความงดงามที่อยุด้วยกันแบบหลากหลาย ทำให้อาเซียนเกิดขึ้นมาอย่างหลวมๆ โดยเกิดมา 42 ปีแล้ว ก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างจึงบอกกันว่า มีแค่ 3 ประชาคมแล้ว ในปี 2020 จะต้องมีประชาคมอาเซียนที่สมบูรณ์แต่คิดว่าช้าไปจึงเป็นปี 2015 เพราะต้องมีการแข่งขันกัน แต่ในความเป็นจริงประชาคมอาเซียน เขตการค้าเสรีนั้นเปิดมาตั้งนานแบ้วแต่ยัยไงไม่มีแผนท ทำให้เข้าใจผิดกันว่ายังไม่เปิด
              ต่อไปเรามาพูดถึงเรื่องของเศรษฐกิจ ซึ่งสำคัญและซีเรียสเพราะประชาคมอาเซียนมี AEC Score Card มีการประเมินผล ว่าแต่ละปีนั้นต้องทำอะไรบางเช่นปีนี้การลงทุนข้ามพรมแดนทาดงด้านอุตสาหกรรมบริการ เราสามารถไปลงทุนโดยเป็นเจ้าของกิจการในอาเซียนได้ 60% ปี 2558 ได้ 70% หรือมีการบอกว่าไปตั้งโรงเรียนเป้ฯ Service Industry ได้ในต่างประเทศแต่ในความเป็นจริงคือก็ยังไม่ได้ เพราะกฎหมายในประเทศนั้นๆ ยังไม่ได้แก้ เช่นจะไปตั้งคลินิคในสิงคโปร์ก็ยังทำไม่ได้ สิ่งที่อยากจะเน้นคือเรื่องประชคมเศรษฐกิจอาเซียนนั้นเกิดมานานแล้ว แต่สิ่งที่เราดังวลคือเรื่องการเคลื่อนย้ายพรมแดนของผุ้ประกอบวิชาชีพ ซึ่งเจรจากันได้แค่ 7 อาชีพใน 30,000 กว่าอาชีพ โดย 7 อาชีพที่ว่าเจรจาได้แค่มาตรฐานเท่านั้นแต่ไม่ได้ออกประกาศนียบัตรรับรองว่าจะได้ไปทำงานที่ไกน ไม่ได้ระบุสถานที่ ้องไปหางานทำเอาหาได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ แต่ภ้ากฎหมายยังไม่ผ่านก็ไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นประชคมอาเซียนยังมีหนทางอีกยาวำกล สรุปภาพรวมคือ คนไทยต้องไม่กลัวการเปิประชคมอาเซียนเพราะมันเปิดมาตั้งนานแล้วและไทยก็เป็นผู้ริเริ่ม การเปิดเขตการต้าเสรีในเรื่อง AFTA ประเทศไทยก็เป็นครเสนอและทางเราก็พร้อมที่จะแข่งขัน ส่วนเรื่องภาษาอังกฤษอย่ไปกังวลว่าเราไม่พร้อม ต้องภูมิใจว่าเราไมได้เป็นอาณานิคมของใคร ให้พอแค่สื่อสารกันไดก็เพียงพอไม่ถึึงขนาดต้องเก่งกาจ โดยขอให้เน้าภาษอาเซียนจะดีกว่าเืพ่อการสื่อสารกันในการทำมาหากินหรือหาเครือข่าย
                คุณศิริบูรณ์ ณัฐพันธ์
                ขอขอบคุณข้อมูลจากอาจารย์แต่ละท่านที่ทำให้เราได้เห็นมุมมองต่างๆ อย่างรอบด้านเพื่อให้เราตัดสินใจได้ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรดี ผู้ที่ทำงานสื่อสารมวลชน เป็นนักวิชาการ ผู้ที่ติดตาอาเซยนมาตลอด ประเด็นสำคัญที่จะพูดคุยกัน ระบบสุขภาพ ซึ่งมีการพาดพิงเรื่องวิชาชีพ แพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ เป็นวิชาชีพที่ถูกพูดถึงมากเมือมีการเปิด AEC แม้จะบอกว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ทำให้มีข้อเป้นห้วงใหญ่ๆ ว่าจะเกิดปัญหาสมองไหลในอาเซียนหรือไม่
                 นายแพทย์พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข
                  มองในด้านวิชาการ เร่ิมจากการตั้งคำถามว่า จินตนาการหรือความที่เราอยากเห็นประชาคมอาเซียนเป็นยังไงนั้น หน้าตามันคืออะไร เช่น European Community คือตัวอย่างภาพที่เราอย่ากเห็นใช่ไหม แล้วเราก็ยอมรับว่าเรายังไม่ค่อยสมบูรณ์และค่อยๆ คืบคลานไปสู่เป้าหมายสุดท้าย นั้คือ ยูโรเปี้ยน คอมมูนิตี้ หรือเปล่า คือผมก็ยังไม่ทราบยุทธศาสตร์ในสมัยนั้นหรือจุประสงค์ในการสร้างประชาคมอาเซียนขึ้นมา ส่วนที่ 2 คือเวลาเราสร้างประชาคมอาเว๊ยนขึ้นมา สิ่งที่เราเรียกว่าปัจจัยพื้นบานในการสร้างประชาคึมนั้นมีอยู่จริงและสามารถสร้างได้จริงหรือเปล่า ซึ่งผมก็เห็นว่าทางประชาคมยุโรปนั้นมีความแตกต่างไม่ขนาดเท่าของเรา เพราะของเรานี่ตั้งแต่จนที่สุดคือกำลังพัฒนา GDP ประชากรไม่ถึง1000 ไปจนถึงสิงคโปร์ที่วยกว่าสวิสเซอร์แลนด์นั้น เราจะสร้างประชาชนที่มีเงื่อนไขต่างกันมากขนาดนี้ได้จริงหรือ เรากำลังสร้างส่ิงที่มันเป็นไปไม่ได้ใช่หรือเปล่าและมาหลอกว่ากำลังจะทำให้มันเป็น ถ้ามันเป็นไปได้เราจะเห็นถึงภาพสะท้อนของความเป็นไปไม่ได้ของอุดมการณ์ อุดมคติของสิ่งที่เรจะสร้างกับสิ่งที่เรียกว่า Fundamental ของการที่จะสร้างให้มันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นอยุ่ตลอดเวลา ซึ่งหลายตั้งจะเห็นสิ่งที่เรียกว่าภาพสะท้อนนโยบายที่ขัดแย้งกันเองภายใต้อุดมการณ์ชุดใหญ่นี้แล้วฝันนั้นจะเป้นจริงได้จริงหรือ
             
  ส่วนที่ 2 คือตัวเราเองที่จะต้องเข้าใจประเทศต่างๆ ต้องเรียนรุ้ภาษาอื่นๆ นั้น ทำให้เกิดคำถามว่าเราเข้าใจตัวเองมากขนาดไหน การศึกษาได้สร้าทัศนคติที่เรามีต่อประเทศต่างๆ วึ่งเราได้ปลูกฝังค่านิยมชุดหนึ่งขึ้นมาในตัวเราโดยที่ไม่รู้ตัว เราเหยีดประเทศลาว เราเหยียดประเทศกัมพูชา และไปแสดงทัศนคติต่อประเทศเพื่อบ้านว่าเราเหนือกว่า และเขาต่ำกว่า และโดยไม่รู้ตัวว่าเรารู้สึกด้อยกล่าชาติตะวันตกแต่ก็เหยียบคนอื่นที่เป็นเพื่อนบ้านเรา ทำให้เกิดคำถามว่าวิธีคิดแบบนี้จะทำให้เราสร้างประชาคมได้หรือ ถ้ามองในแงของประชาคมคือกำลังรู้สึกว่าส่วนหนึ่งเรากำหลังจะสร้าง Solidarity ในระดับภูมิภาคขึ้นมา คือความรุ้สึกเป็นเอกภาพว่าเราคือพวกเดี่ยวกัน คนทุกข์ร้อนเราก็ทุกข์้อน เช่นกิดพายุโซโครนากิสในพม่า คนประเทศพม่าเดือดร้อนเราก็เดือดร้อนโดยเดือดร้อนเพราะเป็นคนนภูมิภภาคของเรา เราามารถคิดแบบนั้นได้หรือไม่ถ้าเรายังคิดแค่ว่ากลัวคนไทยจะได้รับผลกระทบแปลว่าเรายังเอาตัวเราเองเป็นศูนย์กลางอยู่ ความรู้สึกสำนึกที่จะเรียกว่าเป็นประชากรภูมิภาคนั้นมันไม่เกิด
              ดังนั้นโดยรวมคิดว่าทุกคนพยายามจะสร้างเงื่อนไขของประชาคมในฐานะที่เป็นที่แสวงหาประโยชน์ เพราะถ้าพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจก็คือเป็นที่ตักตวงผลประโยชน์ในลักษณะที่ว่า เรารอดแล้วทั้งประชาคมรอดหรือไม่นั้นเราก็อาจไม่ได้มองว่าเป็นประเด็นสำคัญ ดังนั้นประเทศที่พัฒนาแล้วเร่ิมดึงเอาบุคลากรทางสาธารณสุขเข้าาเพื่อรักษาพลเมืองของตัวเอง โดยมีแนวคิดคือแรงงานราคาถูกทำให้เกิดการตั้งคำถามในองค์การอนามัยโลกว่าแล้วคุณคิดถึงประเทศที่ส่งออกบุคลากรหรือไม่ว่า เขาจะไม่มีหมอมาดูแลคนไข้ของประเทศตัวเองแล้วเราไปดึงบุคลากรเขามา แบบนี้ใช้วิะีการที่เหมาะสมของประชาคมดลกทีพัฒนาแล้วหรือยัง โดยประเด็นั้นก็จะเกิดขึ้นกับเมืองไทยด้วย... ( หลากหลายมุมมองต่อการก้าวสุ่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 : โอกาสและความท้าทายในมิติตสุขภาพ)

               .... ในปี 2558 อาเซียนจะก้าวไปสู่การเป็น AEC ซึ่งเป็นการก้าวข้ามจาก FAT มาเป็น "ตลาดร่วม" โดยมีจุดมุ่งหมายที่่จะเป็นตลาดเดี่ยวและฐานการผลิตเดียว เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ถือว่า AEC จะเป็นตลาดร่วมที่ไ่เต็รูปแบบ เพราะติดที่การเคลื่อนย้ายแรงงาน เนื่องจากหลายประเทศเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงและค่าแรง ซึ่งจะทำให้ผุ้ใช้แรงงานภายในประเทศเดือดร้อน
                ต่อคำถามที่ว่าในอนาคต อาเซียนจะใช้เงินสกุลเดียวกันอย่างในยุโรปได้มั้ย..อยากจะบอกว่าแค่คิดก็ผิดแล้ว และมั่นใจว่ามันจะไม่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของ
พวกเรา เหตุผลก็เพราะช่องว่างการพัฒนา ระหว่างอาเซียนด้วยกันเองนับว่ากว้างมาก ซึ่งจะป็นอุปสรรคสำคัญต่อการที่จะต้องดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจร่วมกัน จริงอยุ่ที่การใช้เงินสกุลเดี่ยวกันจะทำให้การค้าในภูมิภาคเป็นไปอย่างสะด้วกมากขึ้น แต่ผลเสียมีมากว่าผลดีแนนอน ยกตัวอย่างวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง เป็นปัจจัยที่ทำให้การส่งออกเพิ่มสุงขึ้นเป็็นอย่างมาก และเป็นตัวฉุดให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากภาวะซบเซาอย่างรวดเร็ว นี้เป็นผลพวงของความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน
              ตัวอย่าง กรณีของกรีซ ประเทศเจอวิกฤตหนี้เป็ฯระยะเวลานานถึงเกือบ 5 ปีแล้ว ป่านนี้ยังไม่ฟื้นตัวเลย จะออกจากยูโรโซนก็ลำบาก เพราะจะมีผลกระทบต่อยุโรปอย่งมหาศาล อยุ่ต่อไปก็ไม่มีอิสระในการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินยูโรไม่สามารถที่จะอ่อนตัวลงได้มากจนทำให้สินค้าส่งออกของกรีซเป็นที่น่านใจมากขึ้น การส่งออกไม่สามารถเป็นตัวขับเคลื่นอให้เศรษฐกิจกรีซดีขึ้น ก็เลยต้องอยุ่ในภาวะซบเซาที่ยืดเยื้อต่อไป
             ฉะนั้น มันไม่จำเป็นที่อาเซียนอย่างเราจะต้องเจริญรอยตามสหภาพยุโปร โดยมีความเห็นว่า การรวมตัวของประเทศสมาชิกอาเซียนภายใต้กรอบ AEC ในรูปแบบที่เป็นอยู่น่าจะเพียงพอแล้ว ในระยะ 5 - 10 ปีนี้
            การจัดลำดับความสำคัญไม่ควรอยุ่ที่การเจรจาให้มีการรวมตัวทางเสณาฐกิจที่แน่นแฟ้นเหนียวแน่นมากขึ้น แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็คืออาเซยนควรมีความจริงใจต่อกันและกันให้มากกว่านี้ ภาครัฐของทั้ง 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนควรร่วมใจกันกำจัดอุปสรรคทางการต้าแบบแอบแผงในรูปของมาตรฐานต่างๆ และควรที่จะปรับเปลี่ยนกฎระเบียบภายในประเทศให้สอดคล้องกับกรอบข้อตกลง เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้บุคคลและภาคธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากการเป็น AEC ให้ได้มากที่สุดแลเห็นผลเป็นูปธรรมชัดเจน มิฉะนั้นจะถือว่าการเจรจาทางการค้าที่ดำเนิมากกว่า 20 ปีก็จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับภุมิภาคอย่างเต็มที่...("AEC..ก้าวหนึ่งที่เข้มข้นของการรวมตัวทางเศราฐกิจอาเซียน..www.siamintelligence.com)


วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560

AEC Blueprint(2007)

             พิมพ์เขียวเพื่อการจัดตังประชาคมศรษฐกิจอาเซียน AEC Blueprint
             - ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 11 ปี เมื่อธันวาคม 2005 ผุ้นำอาเซียนได้เห็นชอบให้พิจารณาความเป็นไปได้ของการเร่งรัดการจักตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จากเดิมที่ดำหนดไว้ในปี 2020 ให้เร็วขึ้นอี 5 ปี เป็น 2015 โดยมอบหมายรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน และเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียนพิจารณาหารือในรายละเอียด
             - เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษบกิจได้หารือและเสนอความเห็นให้รัฐมนตรีเศรษบกิจอาเซียนพิจารณาในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งี่ 38 ปี 2006 โดยที่ประชุมพิจารณาเห็นว่า การดำเนินงานด้านเศรษฐกิจของอาเซียนมีความคืบหน้าไปมากทั้งในด้านเขตการค้าเสสรีอาเซียน การค้าบริกการและการลงทุน จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเร่งรัดเป้าหมายดังกล่างประกอบกับการเจรจากจัดทำเขชตการต้าเสรรีของอาเซียนกับลประทเศคู่เจรจาต่างๆ มีแนวโน้มที่จะเร่งรัดการเปิดเสรรีในด้านต่างๆ ที่เร็วขึ้น จึงมีความจขำเป็นที่อาเซียนจะต้องเร่งรัดเป้าหมายดังกล่าวประกอบกับการเจรตจาจัดทำเขตการต้าเสรีของอาเซีนกับประเทศคู่เจรจาต่างๆ มีแนวโน้มที่จะเร่งรัดการเปิดเสรีในด้านต่างๆ ทีเร็วขึ้น จึงมีความจำเป็นที่อาเซียนจะต้องเร่งรัดการรวมกลุ่มภายในให้เป็นรูปธรมโดยเร็วเพื่อระโยชน์ภายในภูมิภาค ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้จัดทำพิมพ์เขียวเพื่อเร่งรัดการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เพื่อใช้เป็นแนวท างดำเนินงานไปสู่เป้าหมายดังกล่าว และเห็นชอบที่จะเสนอผุ้นำอาเซียให้ความเห็นชอบกับเป้าหมายดังกล่าวด้วย
          - ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 12 เมื่อเดือนมกรา 2007 ณ เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ ผุ้นำอาเซียนได้ลงนามในปฏิญญาเซบูว่าด้วยการเร่งรัดการจัดตั้งประชคมอาเซียนในปี 2015 ซึ่งประกอบด้วย 3 ด้านหลัก ได้แก่ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแขงขันและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอาเซียน
          AEC Blueprint อาเซียนจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการจัดทำ พิมพ์เขียว เพื่อกำหนดแผนกงานและกรอบลระยะเวลาที่ชัดเจนสำหรับการดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อไปสู่เป้าหมาย AEC อย่างเช่นใไภาพยุโรปที่มีการจัดทำเกณฑ์อ้างอิง ในด้านเศราฐกิจตามช่วงระยะเวลาต่างๆ โดยวัตถุประสงค์สำตคัญของ พิมพฺ์เขียว AEC เพื่อกำหนดทิศทาง / แผนงานในด้านเศราฐกิจที่จะต้องดำเนินงานให้ชัดเจนตามกรอบระยะเวลาที่กำนด จนบรรลุเป้าหมาย AEC ในปี 2015 และสร้างพันธสัญญาระหว่างประเทศสมาชิกที่จำดำเนินการไปสู่เป้าหมายดังกล่าวร่วมกัน
           - AEC Blueprint ประกอบด้ว 4 ส่วนหลัก ซึ่งอ้างอิงมาจากเป้าหมายการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ของอาเซียนตามแถลงการณ์บาหลี ฉบับที่ 2 Bali Concord II ได้แก่
                  1) การเป็นตลาดเดียวและฐานการผลิตร่วม โดยให้มี่การเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลุทุน และแรงงานมีผีมืออย่างเสรี และการเคลื่อยย้ายเงินทุนอย่างเสรีมากขึ้น
                   2) การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน ซึ่งจะให้ความสำคัญกับประเด็นด้านนโยบายอื่นๆ ที่จะช่วยส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ เช่น กรอบนโยบายการแข่งขันของอาเซียน สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา นโยบายภาษี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (การเงิน การขนส่ง และ เทคโนโลยีสารสนเทศ)
                  3)การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาค สนับสนุนการพัฒนา SMEsและการเสริมสร้างขีดความสามารถผ่านโครงการต่างๆ  เช่น  IAI Initiative for ASEAN Integration และ ASEAN-help-ASEAN Programs เป็นต้น
                  4) การบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก เน้นการปรับประสานนโยบายเศรษฐกิจของอาเซียนกับประเทศภายนอกภูมิภาค เช่น การจัดทำเขตการค้าเสรี การให้สิทธิพิเศษด้านการลงทุนภายใต้เขตการลงทุนอาเซียน (AIA) กับนักลงทุนภายนอกอาเซียน และการสร้างเครือข่ายในด้านการผลิต/จำหน่าย เป็นต้น
                     สำหรับองค์ประกอบอื่นๆ ได้แก่ การปรับปรุงกลไกด้านสภาบันโดยการจัดตั้งกลไกการหารือระดับสูง ประกอบด้วยผู้แทนระดับรัฐมนตรีทุกาขาที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชนอาเซียนตลอดจนการพัฒนาระบบกลไกตรวจสอบติดตามผลการดำเนินงาน และจัดหาแหล่งทรัพยากรสำหรับการดำเนินงานกิจกรรมต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
                      ทั้งนี้ในการดำเนินงานสามารถกำหนดให้มีความยือหยุ่นในแต่ละเรื่องไว้ล่วงหน้าได้ แต่เมือตกลงกันได้แล้ว ประเทศสมาชิกจะต้องยึดถือและปฏิบัติตามพันธกรณีที่ได้ตลลงกันอย่างเคร่งครัดด้วย....(สำนักอาเซียน, เมษายน 2550)


วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

Economic Integration

            โดยทั่วไปการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ หมายถึง การให้หรือได้สิทธิเท่าเทียมกันทางการค้า การลงทุนและสิทธิอื่นๆ ระหว่างประเทศที่เป็นสมาชิกด้วยกัน ซึ่งนิยมตีความครอบคลุมไปถึงการยกเลิกปัญหาและอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน เมื่อประเทศสมาชิกต่างให้สิทธิที่เท่ากัน ใช้กฎเกณฑ์เดี่ยวกัน ก็จะสามารถรวมตัวเป็นกลุ่มประเทศเศรษบกิจเดี่ยวกันได้ในที่สุด
             ประเทศสหภาพยุโรป มีการรวมเป็นตลาดเดียว และมีการใช้ระบบเงินตรเดียว คือ เงินสกุลยูโร สำหรับการให้หรือได้สิทธิเท่ากันจะมีการนำไปปฏิบัติภายใต้ตามความตกลง ที่มีการลงนามระหว่างกัน ซึ่งจะระบุขั้นตอน เงื่อนไข ปละระยะเวลาที่จะเพ่ิมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจให้มากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับขั้น ของการรวมกลุ่มการค้าเานีซึ่งมักจะเริ่มจากการลงนามจัดตั้งเขตการค่าเานี Free Trade Area ภายใต้สนธิสัญญาระหว่างประเทศ เรียกว่า "ความตกลงการต้าเสรี Free Trade Agreement : FTA"นั่นเอง
            การรวมกลุ่มทางเศรษกิจเพื่อการต้าระหว่างประเทศ จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงไรนั้นขึ้นอยุ่กับปัจจัยต่างๆ เหล่านี้
            - แต่ละประเทศมีเศรษฐกิจที่พึงพาการต้าระหว่างประเทศมากกว่าการค้าภายในประเทศ และมีความพา้อมที่จะเปิดการค้าเสรี
             - ระดับการรวมตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกมีแนวโน้มในเปิดเสรีมากขึ้น
             - ประเทศสมาชิกมีพื้นที่หรืออาณาเขตติดต่อกัน (ง่ายต่อการส่งข้อมูลข่าวสารและง่ายต่อการสร้างความสัมพันธ์)
            - ประเทศสมาชิกมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม จะมีข้อขัดแย้งต่างๆ น้อย
            - ประชากรมีเชื้อชาติ ภาษา ประเพณีและวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน จะสามารถสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดี่ยวกัน
            ระดับหรือขั้นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ระดับการต้าและประเด็นเจรจาที่เปิดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และจัดทำเป็นความตกลงที่จะให้ทุกฝ่ายได้สทิธิต่างๆ อย่างเท่าเทียมกันจนในที่สุดไม่มีความแตกต่างระหว่างประเทศคู่สัญญาของการรวมกลุ่มนั้น ได้แก่
          Preferential Trade Agreement : PTA  หมายถึง ความร่วมมือในเฉพาะประเด็นที่มีความสนใจร่วมกันเป็นบางส่วนเท่านั้น อาทิ โครงการความร่วมมือเฉพาะทางด้านอุตสาหกรรมอาเซียน ที่เปิให้บริษัทเอกชน 2 ฝ่าย ที่เป็นสมาชิกอาเซียนด้วยกันและต้องการทำหารต้าสินค้าที่อยุ่ในโครงสร้างการผลิตเดียวกัน  ดังนั้น ประเทศทั้ง 2 ฝ่ายหรือแต่ละฝ่ายจะเลือกเก็บอากรในอัตราต่ำหรือร้อยละ 0 เมื่อมีการค้าสินค้าระหว่งกันตามขั้นตอนโครงสร้างการผลิตสินค้านั้น หรือเป็นการให้สทิะิประดยชน์ในบางสินค้าด้วยอากรขาเข้าที่ต่ำเป็นพิเศษของประเทศที่พัฒนาแล้ว แก่ประเทศกำลังพัฒนา และประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด
           - Free Trade Area เขตการค้าเสรี หมายถึง การรวมกุ่มทางการต้าและบริกรทีเน้นการยกเลิกอากรขาเข้และข้อจำกัด ทางการค้าและสินค้าระหว่างกันส่วนมากจะเป็นปุปสรรคข้อกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี ประเทศสมาชิกจะได้/ให้สิทธิประโยชน์พิเศษตามสาระที่ได้ลงรามเป็นความตกลงจัดตั้งเขตการต้าเสรี กันไหว้ ตรงกนี้จะเน้นการลดอากรมาที่ร้อยละ 0 มากกว่าประเด็นอื่น เช่น การยกเลิกโควตาสินค้า การอุดหนุนทางการค้าและบริการ กาลงทุนฯ
            FTA จะเป็นการให้สิทธิประโยชน์ที่เท่าเที่ยมกันระหว่างประเทศภาคีเพื่อการขยายขอบเขตและประเด็นทางเศรษฐกิจที่มากว่า PTA อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น FTA ยังครอบคลุมถึงประเด็นเจรจาเปิดการค้าเสรีด้านอื่นๆว้ทุกรูปแบบของ WTO ซึ่งมี 2 ทางเลือกคือ กำหนดเงื่อนไขในรายละเอียดเอง และให้เป็นไปตามขั้นตอนและรายละเอียดของ WTO  ดังนั้นหากกำหนดให้เป็นไปตามนี้เล้ว แการเจรจาก็จะยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ หลังจากที่ได้ลงนามกันเป็น FTA แล้ว สำหรับประเทศไทยได้ยึดหลักการนี้มาตลอด
          - Custom Union สหภาพศุลกากร หมายถึง การรวมกลุ่มประเทศสมาชิก FTA โดยจะไม่เก็บอากรขาเข้าสินค้าที่มีการต้าระหว่างกัน (อากรขาเข้าร้อยละ 0 ) ส่วนสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นจะถูกเก็บอากรขาเขาในอัตราเดียวกันหมด ในขั้นนี้ ประเทศสมาชิกจะเน้นที่ระเบียบและขั้นตอนพิธีการผ่านด้านสุลการกร และการอำนวยความสะดวกทางการค้า ให้แก่กันเป็นพิเศษ และจะใช้กฎระเบียบการค้า การบริการ และการลงทุนเดียวกัน สำหรบประเทศไทยก็ได้ตกลงที่จะดำเนินการเช่นนี้ในทุกๆ FTA ที่ไปลงนามไว้รวมทั้ง AEC ที่จะเปิดด้วย
          - Common Market ตลาดร่วม หมายถึง การรวมกลุ่มเศรษฐกิจประเทศสมาชิกเพิ่มเติมจากการเป็นสหภาพศุลกากร เน้นที่การร่วมมือกันผลิตสินค้าเดียวกันในจำนวนสมากๆ โดยอาศัยปัจจัยและจุดแข็งของแต่ละฝ่ายร่วมกันเพื่อประโยชน์ทางการค้า ทำให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพดีราคาถูก สามารถแข่งขันได้ จึงมีการส่งออกไปยังประเทศอื่นได้เป็นจำนวนมาก จัดเป็นศูนย์กลางการผลิต ที่มาจากการร่วมลงทุนอย่างมหาศาลและเสรี ทุกประเทศสมาชิกจะได้สิทธิเท่าเทียมกันในการนำเช้าสงออกสินค้า บริการ การลงทุน แรงงาน และปัจจัยการผลิต ทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างเสร สำหรับประเทศไทยก็ได้มีความพยายามที่จะเป็น Detroit of Asia, Kitchen of the World หรือการรวกลุ่มเป็นคลัสเตอร์ต่างๆ มาก่อนแล้ว คาดว่า จะมีการดำเนินการเพิ่มขึ้นอีกมากก่อนถึง AEC เช่นกัน
            - Economic Union สหภาพเศรษฐกิจ หมายถึงการรวมกุ่มประเศสมาชิกเป็ตลาดรวมโดยมีนโยบายเศรษฐกิจการค้า การคลังและใช้ระบบเงินตราร่วมมกัน เช่น ประเทศสไภาพยุโรปในปัจจุบันได้บรรลุถึงการใช้เงินยูโรร่วมกัน
            - Political Union สหภาพการเมือง หมายถึง การรวมกลุ่มประเทศสมาชิกที่เป็นสหภาพเศรษฐกิจ มีนโยบายทางการเมือง เศรษฐกิจ และระบบเงินตราเดียวกันทั้งหมด ถือเป็นการรวมตัวในชั้นสุงสุด


                   - FAT กับบันได 6 ขั้นไปสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ (Economic Integration), ดร. นิลสุวรรณ ลีลารัศมี, เอกสารหมายเลชข 4"
                 

วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560

10 Nations, 3 Religions And 4 Regimrs

                แนวคิเรื่องการจัดตั้งประชาคมอาเซียนเกิดขึ้น ในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่บาหลีในปี 2003 โดยได้มีการจัดทำ Bali Concord II ซึ่งตกลงกันว่าจะจัดตั้งประชาคมอาเซยนขึ้นภายในปี 2020 (ต่ต่อมาเป็นปี 2015) โดยประชาคมอาเซียนจะมี 3 เสาหลัก ได้แก่ ประชคมการเมืองความมั่นคง ประชาคมสังคมวัฒนธรรม สำหรับประชาคมการเมืองความมั่นคงนั้น ต่อมในปี 2004 ได้มีการจัดทำ แผนปฏิบัติการ หรือ  Plan of action ขึ้น ซึ่งมีการบรรจุมาตรการต่างๆ เพื่อไปสู่การจัีดตั้งประชาคมและล่าสุด อาเซียน ได้จัดทำแผนงานหรือ Blueprint ซึ่งมีรายละเอียดมากว่า แพลน ออฟ แอคชั่น โดยได้มีการลงนามรับรอง บลูพริ้นท์ Blueprint ในการประชุมสุดยอดที่หัวหิน โดยแบ่งเรื่องหลักๆ ในการสร้างประชาคมการเมืองความมั่นคงอาเซียนคือเรื่องการพัฒนาทางการเมือง การพัฒนาบรรทัดฐาน กลไกป้องกันความขัดแย้ง กลไกแก้ไขความขัดแย้ง
                ซึ่งในประเด็นนี้ มีข้อสังเกตว่า คำนิยามของประชาคมความมั่นคงอาเซียน จำกรัฐบาลอาเซียน นั้นแตกต่างค่อนข้องมากจากคำนิยามของนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องประชาคมความมั่นคง ซึ่งนักวิชาการให้ความสำคัญ กับ ประชาคมความมั่นคงจะต้องมีการกำหนด นโยบายร่วมกัน การับรู้ถึงภัยคุกคามร่วมกัน มีอัตลักษณ์ร่วม มีความร่วมมือทางการทหาร มีความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย และมีสถาบันที่เป็นทางการ ซึ่งแตกต่างจากประชาคมความมั่นนคงอาเซียนที่รัฐบาลอาเซียนกำหนดขึ้นมา และกลไกการป้องกันและแก้ไขความขัดแย้งของประชาคมอาเซียมีลักษณธมุ่งเน้นแก้ความขัดแย้งระหว่างรัฐ แต่โลกในยุคปัจจุบันความขัดแย้งส่วนใหญ่เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในรัฐ แต่มีลักษณะข้ามชาติ ดังนั้น กลไกอาเซียนจึงอาจจะไม่มีประสิทะิภาพรอบรับกับความขัดแย้งในรูปแบบใหม่
               - การพัฒนาทางการเมือง เรื่องการส่งเสริมประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและการติดต่อในระดับประชาชนต่อประชาชน อย่างไรก็ตาม ในโลกแห่งความเป็นจริงอาเซียนยังมีปัญหามากมายที่เกี่ยวกับพัฒนาการประชาธิปไตย ซึ่งที่สุดแล้วกลไกนี้จะถูกตัทอดหน้าที่และละบทลาทกระทั่งไร้ประสิทธิภาพในที่สุด
               - การพัฒนาบรรทัดฐาน หรือกฎเกณฑ์ข้อตกลงต่างๆ ของอาซียน (ทัศนของผู้เขียน..) ใอนาคต อาเซียนคงจะต้องพัฒนาขยายการทำสนธิสัญญาและข้อตกลงให้ครอบคลุมในด้านต่างๆ ต่อไป โดยให้มองที่สหภาพยุโรป วิวัฒนาการของสหภาพยุโรปที่เป็นมาโดยตลอด ตั้งแต่การจัดตั้งประชาคมยุโรป ก็มีสนธิสัญญารองรับ...
                - การป้องกันความขัดแย้ง ประชาคมมั่นคงอาเซียน จะเน้นในการสร้างกลไกป้องกันความขัดแย้ง ซึ่งกลไกที่สำคัญคือ มาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน  การจัดประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซีน การจดทะเบียนการซื้อขายในอาเซียน และการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า
                       อย่างไรก็ดี การพัฒนามาตการเหล่านี้ ไม่ใช้เรื่องง่าย และไม่แน่ใจว่าจะทันเวลาหรือไม่ การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซีนนั้น นังมีความร่วมมือที่เบาบางมาก และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริง ที่อาเซียนก่อตั้งมา 41 ปีแล้ว แต่ไม่มีการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนเลย ก็เพิ่งจะมีประชุมครั้งแรกเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง หากอาเซียนไม่มีการร่วมมือทางการทหารอย่างจริงจัง การพัฒนาไปสู่การเป็นประชาคมความมั่นคงอาเซียนอย่างแท้จริง ก็คงไม่เกิดขึ้น
                - การแก้ไขความขัดแย้ง กลไกหนึงที่สำประชาชาติใช้อย่างได้ผลคือ กองกำลังรักษาสันติภาพ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้มีการถกเถียงกันในประเด็นที่ว่า อาเซียนควรมีการจัดตั้งกองกำลังรักษาสันติภาพของอาเซียน หรือไม่ อินโดนีเซียนดูจะผลักดันเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่ก็มีหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศที่ยังมีระบอบเผด็จการในอาเซียน ยังคงหวาดระแวงว่า กองกำลังรักษาสันติภาพอาเซียน อาจเป็นกลไกที่จะขช้ามาแรกแซงกิจการภายใน โดยเฉพาะการเข้ามาทำให้ระบอบเผด็จการของตนสั่นคลอนลง ดังนั้น ขณะนี้ อาเซียนจึงไม่สามารถตกลกันได้ในเรื่องนี้ แต่กลับมองว่ เราควรผลักัดนการจัดตั้งกองกำลังรักษาสนัติภาพของอาเซียนให้เกิดขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นกลไกในการักษาสันจิภาพในอาเซียนแล้ว ยังจะทำให้อาเซียนมีความเป็นเแกภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในกรอบของการส่งกองกำลังอาเซียนเข้าร่วมกับกองกำลังรักษาสันติภาพของประชาชาติ
                   - ความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ การกำหนดความสัมพันธ์ของประชาคมอาเซียนกับประเทศมหาอำนาจ ซึ่งมีหลายระดับ ระดับแรกเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะอาเซียน + 1 คือความสัมพันะ์ระหว่งอาเซียนกับสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น อินเดียฯลฯ โจทย์สำคัยคือ ทำหอย่างไรอาเซียนจะทำใเ้หิดดดุลยภาพแห่งอำาจในภมิภาคขึ้น และทำอย่างไรประชาคมความมั่นคงอาเซียนจึงจะกลายเป็แหนหลักของสภาบันความมั่นคงในภูมิภาค อาเซียนจะต้องพยายามเล่นเกมถ่วงดุลอำนาจให้ด โดยไม่ไปแกล้ชิดกับมหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่งมาเกินไป
                   นอกจากนี้ ความสัมพันะ์ของประชาคมอาเซียในกรอบอาเซียน +3 อีก ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป้าหมายระยะยาวคือ การพัฒนสไปเป็นประชาคมเอเชียตะวันออก มองว่าการพัฒนาตรงนี้  น่าจะเป็นการต่อยอดไปจากประชคมความมั่นคงอาเซีนย ขยายออำปเป็นประชคมความมั่นคงเอเชียตะวันออก ซึ่งอาจจะเป็นเป้าหมายระยะยาว
                  ความสัมพันะ์ของอาเซียนใีอีกกรอบหนึ่งคื อEast Asia Summit ซึ่งเป็นกรอบอาเซีนย +6 มองว่า กรอบนี้ วัตถุประสงค์หลักคือ การดึงอีก 3 ปรเทศเข้ามา คือ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เพื่อถ่วงดุลจีน แต่ก็กำลังจะเป็นดาบสองคม เพราะอาเซีย +6 กำลังเป็นตัวทำลายการจัดตั้งประชาคมเอเซียตะวันออกพังทลายลง อาเซียนจึงไม่ควรเพิ่มความสัมพันธ์ในกรอบนี้ให้เข้มข้นขึ้น
                  สำหรับกรอบสุดท้าย ที่จะกล่าวคือ  ASEAN Regional Forum ซึ่งมองว่ายังมประโยชน์อยุ่แต่ประชาคมความมั่นคงอาเซียนจะตองมีบทบาทเป็นผู้นำต่อไป
                  อุปสรรค การจัดตั้งประชาคมความมั่นคงอาเซียนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะอุปสรรคหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความขัแย้งทางกเมือง กรณีพิพาทเรื่องพรมแดนระหว่างประเทศมาชิก ประเทศสมาชิกยังไม่ไว้วางใจซึ่งกันแลกัน แลยังงกำหนดยุทธศาสตร์ทางทหาร โดยตั้งอยูบนพื้ฐานว่า ประเทศเพื่อบ้านอาจจะเป็นศัตรูหาอาเซียแก้ไปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ การจักตั้งประชาคมความมั่นคงอาเซียนอย่างแท้จริง ก็คงะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
             
  ประชาคมเศรษกิจอาเซียน
                   ตลาดร่วมอาเซียน ใน Blueprint ได้มีการพูดถึงการจัดตั้งตลาดร่วมอาเซีย โดยมี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ การไหลเวียนอย่างเสรีของสินค้า, การไหลเวียนอย่างเสรีของบริการ, การไหลเวียนอย่างเสรีของการลงทุน, จะให้มีการไหลเวียนที่มีความเสรีมากขึ้น สำหรับเงนิทุนและ การไหลเวียนเสรีสำหรับแรงงานมีฝีมือ
                 การเปิดเสรีการค้า จะเน้กนการลดภาษีลงให้เหลือ 0% และจะมีการขจัดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งน่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญของการเปิดเสรีการค้า
                 สำหรับการเปิดเสรีการค้าบริการนั้น อาเซียนตั้งเป้าหมายว่า จะเปิดเสรีโดยเริ่มต้นจากสาขา 4 สาขาด้วยกัน ได้แก่ การขนส่งทางอากาศ ด้านสุขอนามัยและการท้องถเที่ยว และหลังจากนั้น จะเปิดเสรีทุกสาขา สาขาที่น่าจะมีปัญหาคือ การเปิดเสรีสาขาการเงิน โดยชอาจจะต้องนำเอาสุตร อาเซียน-เอ็กซ์ คือประเทศไหนพร้อมก็เปิดเสรไปก่อน ส่วนประเทศไหนไม่พร้อมก็เข้ามร่วมด้วยที่หลัง
                สำหรับการเปิดเสรีการลงทุนนั้น อาเซียนได้มีกรอบความตกลงในเรื่องการจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียน และมีแผนที่จะทำการความตกลงกันใหม่ ซึงจะเน้นในเรื่องของการปกป้องการลงทุน การมีกฎระเบียบด้านการลงทุน ที่มีความโปร่งใส ส่งเสริมอาเซียนให้เป็นเขตการลงทุนเดี่ยว และเปิดเสรีระบอบการลงทุนของสมาชิกอาเซียน ที่จะนำไปสู่การลงทุนเสรและเปิดกว้าง
               การไหลเวียนของเงินทุน อาเซียนยังไม่สามารถตั้งเป้าหมายให้เสรี ร้อยเปอร์เซนต์ จึงได้แคตัเ้งเป้าหมายให้การไกลเวยนของเงินทุนมีความเสรีมากขึ้นเท่านั้น
               การไหลเวียนของแรงงาน อาเซียนก็ยังไม่สามารถเปิดเสรี ร้อยเปอร์เซนต์ ได้ เพีงแต่ตั้งเป้าหมายเปิดเสรีเฉพาะแรงงานมีฝีมือเท่านั้น ดังนั้นถ้าดุตามทฤษฎีแล้ว ตลาดร่วมจะต้องมี 4 เสรี คือ เสรีในการค้าสินค้า เสรีการค้าภาคบริการ เสรในการเคลื่อนย้ายเงินทุน และเสรีในการเคลื่อย้ายแรงงาน ดังนั้นจึงเป็นตลาดร่วมที่ยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นในอนาคต อาเซียนตะต้องหารือว่า เราจะเป็นตลาดร่วมแบบไหน ถ้าต้องการเป็นตลาดร่วมอย่างแท้จริง ก็คงจะต้องมีการหารือกันถึงเรื่องการเปิดเสรด้านเงินทุนและด้านแรงงาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
               การลดช่องว่างระหว่างประเทศรวยและประเทศจน ใน บลูพรินท์ ได้กล่าวถึงมาตการการลดช่องว่างระหวางประเทศรวยและประเทจนในอาเซียน ซึ่งหลังจากอาเซียนรับสมาชิกใหม่เข้ามา อาเซียนก็เหมือนแตกออกเป็น 2 ขั้ว คือ ประเทศพี่เก่า 6 ประเทศ ที่มีฐานะดีกว่า กับปรเทศน้องใหม่ 4 ประเทศ ที่มีฐานะยากจน เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีความเห็นว่า การแห้ปัญหาเรื่องนี้ของอาเซียน ยังไม่มีเอกภาพเกรพาะกลไกอาเซียนนั้น หลักๆ จะมี 2 กลไก คือ กลไกการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับกำไกกการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งมักจะมีปัญหาขัแย้งกัน โดยเฉพาะในเรื่องของการแห้ปัญหาลดช่องว่าง แต่ในกรอบของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน เมื่อปี 2001 ได้มีการจัดทำปฎิญญาเพื่อลดช่องว่างเช่นกัน และดูเหมือนว่า ทั้ง 2 กลไกนี้ ไปด้วยกันไม่ได้
             ความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ ความสัมพันธ์กับมหาอำนาจทางเศรษฐิจ ซึ่งมีอยู่หลยกรอบด้วยกัน กรอบแรกคือ อาเซีย +1 ในขณะนี้ความสัมพันธ์ราบรื่นดี โดยเแพาะกับจีน ี่ปุ่น อินเดีย ออสเกตเลีย และ อียู โดยอาเซียนเน้นการเจรจา FTA กับประเทศคู่เจรจาเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันะ์อาเซยนกับสหรัฐ ยังไม่ดีเท่าที่ควร จึงมฃควรมีการผลักดันการเจรจา FTA อาเซียน- สหรัฐ และการประชุมสุดยอด อาเซียน-สหรัฐขึ้นเป็นครั้งแรก
            มิติที่สองคือความร่วมมือในกรอบอาเซียน +3 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหวางอาเซี่ยนกับ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ควรมีการผลักดัน ให้มีการจัดตั้งประชาคนเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกขึ้น โดยจะเป็นการต่อยอดออกไปจากประชคมเศรษฐกิจอาเซียน
           อีกมิติหนึ่งคือ อาเซียนในเวที่โลก อาเซียนยังมีปัญหาอย่างมากให้การกำหนดท่าที่ร่วมกันเวทีโลก จะเห็นได้ว่า ท่าที่ของอาเซียนใน WTO ก็ไคนละทิศละทาง ใน Blueprint ของประชาคมอาเซียน ไม่ได้มีการพูว่า อาเซียนจะมีการพัฒนาเป็นอะไรต่อไป จึงของเสนอความเห็นว่า อาเซียน่าจะพัฒนาเป็นสหภาพอาเซียน ซึงมีลักษณะคล้ายๆ กับสหภาพยุโรปนั่นเอง ดดยมีการพัฒนาระบบการเงินอาเซียนให้เป็นระบบเดียวกัน คื อให้มีการจัดตั้งสหภาพการงินอาเซียน ซึ่งในระยะยาว จะพัฒนาไปเป็นเงินสกุลอาเซีน และจัดตั้งธนาคารกลางอาเซียนขึ้น นอกจากนี้ การที่จะเป็นสหภาพอาเซียนได้ อาเซียนจะต้องมีการกำหนดนโยบายร่วมที่เป็นเนื่องเดี่ยวกัน โดยเฉพาะนโยบาย อุตสาหกรรม นโบยบายเกษตร และนโยบายต่างประเทศ
               อุปสรรค ปัญหาใหญ่ของอาเซียนคือ ช่องว่างระหว่างประเทศรวยและประเทศจน ซึ่งยังคงมความแตกต่งกันมาก ระหว่างประเทศรวยซึ่งเป็นสมาชิกเก่า เช่น สิงคโปร์ กบประเทศสมาชิกน้องใหม่ ที่ยังคงมีความยากจนอยู่มากโดยเฉฑาะลาว กัมพูชา และพม่า ปรเทศอาเซียยังคงมองประเทศสมาชิกอื่นเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจ แทที่จะเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ นอกจานี้ อาเซียนยังมีปัญหาทั้งบูรณาการในเชิงบลึกและใเชิงกว้าง ปัฐญหาบูรณาการในเขิงลึกคือ ไม่ใช้เรื่องง่าย ที่อาเซีนยนจะบรรลุเป้าหมายการจัดตั้งตลาดร่วมอาเซียนอย่างสมบูนณ์แบบ ในขณะที่ปัญหาบูรณาการในเชิงกว้างก็คือ ถึงแม้อาเซียนจะรวมตัวอกันอย่างเข้มแข็งแคไหน หรือในเชิงชึกแค่ไหน แต่อาเซียนก็ยังเป็นกลุ่มของประเทศเล็กๆ 10 ประเทศเท่านั้น อาเซียนจึงกำลังถึงทางตันในบูณาการในเชิงกว้าง
 ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ASEAN Socio Cultural Community เรียกย่อว่า ASCC มีเป้าหมายหลักที่จะทำให้เกิดประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และมีสงคมที่รับผิดชอบ เพื่ดก่อให้เกิดความเป็นอนหนึ่งอันเดี่ยวกัยและก่อให้เกิดเอกภาพ โดยเสริมสร้างอัตลักาณ์ร่วมกนแ ะลทำให้เกิดเป็นสัวงคมที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน ซึ่งจะทำให้คุณภาพชีวิตและความเป็อยู่และสวัสดิการขปงระชาชนดีขึ้น  ASCC ให้ความสำคัญกับ 5 เรื่องด้วยกัน คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สวัสดิการสังคม สิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อมและการสร้างอัตลักษณ์อาเซียน
               การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เรื่องแรกที่ ASCC ให้ความสำคัญคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเน้นการศึกษาให้เป็นวาระของอาเซียน การสร้างสังคมความรู้ โดยส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐายอย่างทั่วถึง ส่งเสริมการจ้างงานที่เหมาะสม ส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศ อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเสริมสร้างทักษาในการปกอบอาร สำหรับสตรี เยาวชน ผุ้สูงอายุ และผุ้พิการ
                สวัสดิการสังคม ASCC จะส่งเสริมความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ดดยลดความยากจนและส่งเสริมการคุ้มครองและวัสดิการสังคม เน้นการแก้ไขปัญหาความเหล่อล้ำด้านสังคมและเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิก รวมถึงการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ ในการกำจัดความยากจนและความหิวโหย และ ASCC จะให้ความมั่นใจว่า ประชาชนอาเซียนทุกคนมีอาหารพอเพียงตลอดเวลา และให้ความมั่นใจในความปดลอภัยด้านอาหาร เนสการเข้าถึงการรักษาสุขภาพ ารบริหารทางการแพทย์และยาที่เพียงพอและราคาถูก รับประกันอาเซียนที่ปลอดยาเสพติด และพร้อมรับกับภัยพิบัติและประชาคมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น
              สิทธิมนุษยชน ใน blueprint ของ ASCC ได้กล่าว่า อาเซียนมีพันธกรณีในการส่งเสริมความยุติธรรมและสิทธิของประชาชน โดยเน้นการปกป้องผลประโยชน์ สิทะิ รวมทั้งส่งเสริมโอกาศอย่างเท่าเทียม และยกระดับคุณภาพชีวิต มาตรฐานการดำรงชีวิตสำหรับสตรี เยาวชน ผุ้สูงอายุ และผู้พิการ...
              สิ่งแวดล้าม ใน blueprint ของ ASCC ได้กล่าวว่า อาเซียน จะส่งเสริมสิ่งแวดล้อมสีเขียวและสะอาดโดยการปกป้องทรัพยากรทางธรรมชาติ อนุรักษ์ดิน น้ำแร่ธาตุและพลังงาน ความหลากหลายทางชีวภาพ ป่าไม ทรัพยากรชายฝั่ง และทรัพยากรทางทะเล รวมทั้งปรับปรุงคุณภาพน้ำและอากาศ และอาเซียนจะมีส่วนร่วมในความพยายามของโลกในการจัดการแห้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและคุ้มครองชั้นโอโซน...
             การสร้างอัตลักษณ์อาเซียน เรื่องสุดท้ายที่ ASCC ในห้ความสำคัญ คือ การสร้างอัตลักาณ์ของอาเซียน โดยจะเน้นการสร้างความรู้สึกของการอยู่ร่วมและส่งเสริมความเป็นเอกภาพในความแตกต่าง ส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศสมาชิก เก่ยวกับวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ศาสนา และารยธรรมส่งเสริมการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน เพื่อให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจด้านประวัติศาสตร์ของภูมิภาคที่เป็นหนึ่งเี่ยว และค้นหาเกี่ยวกับอัตลักณ์ของอาเซียน และสร้างอาเซียนที่มีประชาชนเป็แหรนำ โดยสนับสนุนทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมใการะบวนการสร้างประชาคม
           อุปสรรค กล่าวโดยสรุป การจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซยน อย่างแท้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอาเซียนยังมีปัญหาเรื่องสังคมวัฒนธรมอีกมาก ได้แก่ ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน ปัฐหาการมีอัตลักาณ์ร่วมกัน ปัญหาสิ่งแวดล้อม ประชาชนยังมีความขัดแย้งและไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ปัญหาช่องว่างระหว่างปรเทศรวยและประเทศจนปัญหาการทำให้ประชาคมอาเซียน เป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนยืกลาง และปัญหาที่ประชาชนไม่มีความรู้เรื่องอาเซียน...



                  - บทความ "ประชาคมอาเซียน", ประภัาสร์ เทพชาตรี, 2552.


                   

วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

Local government in Singapore

          การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะจัดให้มีการปกครองท้องถิ่นตามแบบประชาธิปไตยภายในประเทศได้ โดยอาศัย 2 หลักการพื้นฐานสำคัญที่เกื้อหนุนให้เกิดการปกครองท้องถ่ินก็คือ การกระจายอำนาจ และการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยเฉพาะในทางการเมือง หากในประเทศใดที่มีแนวคิดเกี่ยวกับการกระจายอำนาจจากส่วนกลางและแนวคิดการมีส่วนร่วมทางการเมืองแพร่หลาย และถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสภาบันทางการเมืองและวัฒนธรรมางการเมืองที่เอื้อต่อการจัดตั้งการปกครองท้องถิ่นในประเทศเพื่อเปิดให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมจัดการปกครองกันเอง ที่สะท้อนถึงความต้องการของประชาชน และให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดตั้งการปกครองท้องถิ่นในประเทศเพื่อเปิดให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมจักการปกครองกันเอง ที่สะท้อนถึงความต้องการของประชาชน และให้เกิดประโยชน์ต่อพื้นที่สูงสุด โดยไม่ต้องถูกจำกัดจากการดำเนินการตามคำสั่งของส่วนกลางเท่านั้น
             สำหรับประเทศศิงคโปร์ โดยตัวรูปแบบการบริหารภาครัฐแล้ว ไม่มีส่ิงที่เรียกว่า "การปกครองท้องถิ่น" ดังนั้น การศึกษาเรื่องการปกครองท้องถิ่นสิงคโปร์ในครั้งนี้จึงไดม่ใช่การศึกษาหน่วยงานหรือองค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะตามหลักแล้วไม่มี แต่เป็นการศึกษาถึงแนวคิดพัฒนาการการกตะจายอำนาจและการมีส่วนร่วม ตลอดจนศึกษาหน่วยงานหรืองค์กรในระดับล่างที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนที่มีความใกล้เคียงหือมีโอกาศพัฒนาไปสู่การปกคีองท้องถิ่นได้ ดังนั้นในบทนี้จึงเร่ิมต้นด้วยกาศึกษาเกี่ยวกับการกระจายอำนาจและการมีส่วนรวมทางอการเมืองในสิงคโปร์ ทั้งในแง่ลักษณะ พัฒนาการและแนวโน้มว่ามีมากน้อยเพียงใด เพื่อค้นหาคำตอบได้ว่าทำไมสิงคโปร์จึงไม่มีการปกครองท้องถ่ิน และหากมีแนวคิดดังกล่าวอยู่ จะพัฒนาไปสู่การเกิดการปกครองท้องถ่ินสิงคโปรน์ในอนาคตได้หรือไม่
             ระดับความเป็นประชาธิปไตย เศรษฐกิจและประชาธิปไตย เป็นสิ่งหนึ่งที่วงวิชาการรัฐศาสตร์ได้ให้ความสนใจเป็นเวลนาน โดยกลุ่มหนึ่งเห็นว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะส่งเสริมให้เกิดพัฒนาการทางประชาธิปไตยตามไปด้วยในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งกลับเห็นจรงกันข้าม โดยมองว่าเศรษฐกิจและประธิปไตยไม่มีการเกี่ยวข้องกัน ซึ่งหากพิจารณาประเทศสิงคโปรแล้ว ดูจะมีลักษณะเป็นกลุ่มหลัง เพราะในขณะที่อัตราการเจริญเติบโตท างเศราฐกิจอยู่ในระดับสูง จนถือได้ว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วแต่ระดับความเป็นประชาธิปไตยของสิงคโปร์นั้นกลับสวนทางกัน แม้ว่าโดยรูปแบบการปกครองของสิงคโปร์เองจะเป็นประชาธิปไตยก็ตาม จากการสำรวจที่ได้ศึกษาดัชนี้ึความเป็นประชาธิปไตยของประเทศต่างๆ โดยพิจารณาขากกระบวนการเลือกตั้ง เสรีภาพของพลเมือง อำนาจหน้าที่ของรัฐบาลการมีส่วนร่วมทางการเมือง และวัฒนธรรมทางการเมือง ซึ่งในปี ค.ศ. 2011 พบว่า สิงคโปร์มีดัชนีความเป็นประชาธิปไตยที่อันดับ 81 จาก 167 ประเทศ โดยได้คะแนน 5.89 จากคะแนนเต็ 10 ถือว่าอยู่ในระดับประชาธิปไตยครึ่งใบ สูงกว่าค่าเแลี่ยที่ระดับคะแนน 5.49 แต่เป็นอันดับี่ 5 ในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกันและเมื่อเที่ยบกับประเทศที่พัฒนาแล้วในเอเชียด้วยกัน พบว่าสิงคโปร์อยุ่ลำดับท้ายสุด โดยที่ญี่ปุ่น เกาะหลีใต้ และฮ่องกง อยู่ในอันดับที่ 21  22 และ 80 ตามลำดับ ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ดัชนีความเป็นประชาธิปไตยของสิงคโปร์อยู่ในระดับต่ำก็คือ "การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน" ซึ่งสิงคโปร์ได้คะแนนเพียง 2.78 จากคะแนนเต็ม 10 เท่านั้น
            พัฒนาการการกระจายอำนาจ เป็นรูปแบบการใช้อำนาจรัฐอย่างหนึ่งนอกเหนือจากการรวมอำนาจและการแบ่งอำนาจ โดยการกระจายอำนาจ หมายถึง การที่รัฐบาลกลางกระจายอำนาจบางส่วนทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และการบริหารให้แก่ประชาชนหรือปน่ยงานของประชาชนในท้องถิ่น ซึ่งเรียกว่า หน่วยการปกครอง ท้องถิ่น หรือรัฐบาลในท้องถ่ิน เพื่อให้ดำเนินกิจการสาธารณะและให้บริหารแก่ปรชะาชนในท้องถิ่น ดังนัน การกระจายอำนาจจึงเป็นหลักการสำคัญที่ก่อให้เกิดการปกครองท้องถิ่น
            สำหรับประเทศสิงคโปร์ ในทางการบริหารภาครัฐ มีเพียงการบริหารจากส่วนกลางเท่านั้น เนื่องจากเป้นประเทศขนาดเล็ก รัฐบาลสามารถดูแลได้อย่งทั่วถึง ทำหใ้ำม่ใีความจำเป็นต้องการบริหารส่วนภูมิภาคหรือส่วนท้องถ่ินแต่อย่างไร ประกอบกับการที่สิงคโปร์อยุ่ภายใต้การบริหารงานของพรรคกิกจประชาเป็นระยะเวลานานนับตั้งแต่แยปกตัวเป็นเอกราชจากอังกฤา ก็เป็นอีกสาเหตุทำให้แนวทางการกระจายอำนาจจึงไม่ได้รับากรสนับสนุนในสิงคโปร์
            ทั้งนี้ การที่พรรคิกิจประชาสามารถครองที่นั่งสภามาใได้โดยตลอเพราะมีผลงานที่เป็นรูปธรรมจการทำงานเป็นนรัฐบาลที่ยาวนาน จนสามรถทำให้สิงคโปร์ที่เป็นประเทศขนาดเล้ฏ ไม่มีทรัพยากรธรรมชาิเป็นของตัวเอง กลายเป็นประเทศที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจและความเป็นอยูู่งที่สุดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อบรรลุเป้ามหายนี้ รัฐบาลพรรคกประชาจึงให้ความสำคัญกับประสทิะิภาพการบริการและเสถียรภาพทางการเมืองเป็นสำคัญ มีการปกครองในลักษระเข้มงวดและขี้นำประชาชนในุกด้สน ดดยถือว่ารัฐบาลเป็นผุ้ที่รุ้ัดีที่สุด ส่วนผุ้ที่เห็นต่างทั้ังนักการเมือง นักวิชาการ เหรือสือมวลชนก็๗ะถูกควบลคุมไม่ให้เสนอความเห็นต่อต้านรัฐบาล เพราะมองว่าจะเป็นชนวนไปสู่ความวุ่นวายและขัดแยงในสังคม ในขณ๖ะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนแนวทางนี้ของรัฐบาล ตราบเท่าที่รัฐบาลัวงให้ควาสำคัญและมีผลงานในการพัฒนาคุณภาพชีวิตมากกว่า
             การกระจายอำนาจในความหายของการให้ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการดูแลกันเอง จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีในสิงคโปร์ จะมีก็แต่การแบ่งอำนาจระหว่างหน่วยงานด้วยกัเอง โดยเฉพาะการแบ่งอำนาจจากหน่วยงานของรัฐไปยังคณะกรรมการแห่งชาติที่จัดตั้งตามกฎหมาย ซึ่งเป็นองค์กรกึ่งภาครัฐ ซึ่งรัฐบาลพรรคกิจประชาได้เริ่มบริหารภายใต้กลไกคณะกรรมแห่งชาติที่จัดตั้งตามกฎหมายมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 โดยมีคณะกรรมการพัฒนาเคหะแห่งชาติเป็นคณะกรรมการแห่งแรกที่จัดตั้งขึ้นตามกลไกนี้ และหลังจากนั้นก็ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการต่างๆ ขึ้นมาอีกมากมาย จนกระทั่งปัจจุบันคณะกรรมการแห่งชาติที่จัดตั้งตามกฎหมาย กลายเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของการบริหารภาครัฐสิงคโปร์
            อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการแห่งชาติที่จัดตั้งตามกฎหมาย แม้จะเป็นองค์กรกึ่งภาครัฐ และมีโครงสร้างการบริหารที่คล่องตัวแบบเอกชนแต่ก็ยังอยุ่ภายใต้การดูแลอย่างเ้มงวดจากรัฐบาลพรรคกิจแระชาอีทั้งจุดประสงค์ในการก่อตั้งเพื่อแบ่งเบาภาระงานของรัฐบาลแะเพ่ิมความคล่องตัวเท่านั้น ทำให้คณะกรรมการเหล่านี้จึงยังไม่ใล้ภาพสะท้อนของการกระจายอำนาจในสิงคโปร์
           ดังนั้น พัฒนาการการกระจายอำนาจของสิคโปร์จึงไม่มีความคืบหน้ามากนัก กระทั่งช่วงทศวรรษที่ 1980-1990 รัฐบาลพรรคกิจประชาเริ่มหันมาสนใจเรื่องการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้น แต่เหตุผลของแารสนใจดังกล่าว เกิดขึ้นเนื่องจากต้องการสร้างความนิยมในตัวรัฐบาล หลังจากที่คะแนนความนิยมเร่ิมลดลง และการสูญเสียที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรให้กับพรรคฝ่ายค้านในปี ค.ศ. 1981 แม้จะเพื่อที่เดี่ยวก็ตาม ทำให้รับบาลเร่ิมก่อตั้งหน่วยงานขึ้นมาหลายหย่วยงานเพื่อดำเนินการเรือ่งการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน
            สำหรับในส่วนของการกระจายอำนาจนั้ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดของสิงคโปร์เกิดขึ้นในปี ค.ศ.2000 เมื่อสิงคโปร์ได้ดำเนินแผนการกระจายอำจานสู่ท้องถิ่น ด้วยการเสริมสร้างอำนาจให้สภาพัฒนาชุมชน โดยแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 5 เขตให้สภาพัฒนาชุมชนดูแลซึ่งภายในแต่ละเขตสภาพัฒนาชุมชนก็จะมีนายกเทศมนตรีทำหน้าที่รับผิดชอบกิจการภายใน้องถ่ิ แผนการกระจายอำนาจนี้ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ด้านการเมืองของสิงคโปร์ อันเป็นความพยายามของนายโก๊ะจ๊กตง ที่จะปรับเปลี่ยนสิงคโปร์ให้เป็นสังคมที่มีระบบการควบคุมจากส่วนกลางน้อยลง
            นอกเหนือจากสภาพัฒนาชุมชนแล้ว อีกหนึ่งองค์กรที่อยู่ในขอบข่ายการกระจายอำนาจของสิงคโปร์ก็คือ สภาเมือง อันเป็นองค์การที่ทำหน้าที่ดูแล บริหาร จัดการ ทรัพย์สิน ของการเคหะแห่งชาติ ซึ่งการเคหะแห่งชาติถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศสิงคโปร์ เพราะประชากรส่วนใหญ่ขจองสิงคโปร์ล้วยอาศัยอยู่ในการเคหะแห่งชาติ สภาเมืองเป็นหน่วยงานที่ได้รับการโอนอำนาจมาจากคณะกรรมการพัฒนาการเคหะแห่งชาติ อีกทีหนึ่ง และในการบริหารงานยังเปิดให้ผุ้อยู่อาศัยในเขตของการเคหะแห่งชาตินั้นๆ เข้ามามีส่วนร่วมด้วย
            อย่างไรก็ตาม ทั้งสภาเมืองและสภาพัฒนาชุมชนเอง ก็ยังไม่สามารถถือเป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นได้ เพราะโดยอำนาจหน้าที่ยังถือว่ามีอย่างจำกัด ขณะที่โครงสร้างองค์กรเองก็เปิให้รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงและควบคุมได้ง่าย ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า แนวคิดการกระจายอำนาจในสิงคโปร์นั้นมีอยู่ต่ำมากจนถึงแทบไม่มีเลย เนืองอ้วยการบริหารส่วนใหญ่รวมศูนย์อยู่ที่รัฐบาลพรรคกิจประชา แค่กระนั้น การมีอยู่ของคณะกรรมการที่จัดตั้งตามกฎหมาย สภาเมือง และสภาพัฒนาชุมชนแม้จะไม่ใช่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในทางทฤฎี แต่ก็ถือเป็นองค์กระดับพื้นฐานที่มีความใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ในที่นี้จึงไดเน้นศึกษาองค์กรดังกล่าวเพื่อต้องการทราบว่า องค์กรเหล่านนี้มีความใกล้เคียงและสามารถนำไปสู่การปกครองท้องถิ่นได้หรือไม่และมากน้อยเพียงไรทั้งนี้ รายละเอียดขององค์กรทั้ง 3 จะกล่าวถึงในบที่ท 3 และ 4 ต่อไป
              การมีส่วนร่วมทาองการเมืองหมายถึงกระบวนการที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนในการแสดงความคิดเห็น ร่วมดำเนินการบริหาร รวมถึงร่วมประเมินผลกับรัฐ นอกเหนือจากการไปเลือกตั้งเพียงอย่งเดี่ยว ถือเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่บ่งบอกความเป็นประชธิปไตยของแต่ละประเทศอย่างไรก็ตา สำหรบสิงคโปร์ กม้จะมีรูปแบบการปกครองแบบประชาธิไตย แต่หากพิจารณาในส่วนของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนแล้ว กลับพบว่าอยุ่ใรระดับต่ำและมีข่้องทางที่เปิดให้มีส่วนร่วมไม่มากนัก ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลสิงคโปร์ถือเอาความมั่นคง และเสถียรภาพของทางการเมืองเป็นสิ่งสำคัญของประเทศเพราะทำให้สามารถบริหารประทเสได้อย่างประสิทธิภาพและประสทิะผล มิติด้านการมีส่วนร่วมจึงถูกมองข้มไป ทั้งจากรัฐบาลเองและจากประชาชนภายในประเทศ
             ในช่วงแรกของการก่อตั้งประเทศนับจากการได้รับอำนาจปกครองตนเองอย่างสมบูรร์จากอังกฤษในปี ค.ศ. 1959 จนมาถึงกลางทศวรรษที 1980 ช่องทางการมีส่วนร่วมทางการเมืองหลักของประชาชนมีเพียงการอกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แม้สิงคโปร์ได้นัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเป็นประจภ และมีพรรคกาเมืองส่งผุ้สมัครลงแข่งขันหลายพรรค แต่ทุกครั่งพรรคกิจประชาก็ได้รับชัยชนะสามารถคว้าที่นั่งในรัฐสภาทั้งหมดไปครองได้ ทำให้ระบบพรรรคการเมืองของสิงคโปร์มีัลักษณะแบบระบบพรรคการเมืองแบบครองความเป็นจ้าว อันเป็นระบบมี่มีการแข่งขันระหว่างพรรคแต่มีเพียงพรรคเดียวที่มีโอกาศได้รัีบชับชนะและมีควาได้เปรี่ยบเหมือนพรรคอื่นๆ ที่อ่อนแอกว่าโดยสิ้นเชิง
             รัฐบาลพรรคกิกจประชาได้เริ่มหันมาสนใจการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนอย่างจริงจัง ในทศวรรษที 1980 โดยมีสาเหตุสำคัญเมื่อปี ค.ศ. 1981 นาเดวน แนร์ สมาชิกรัฐสภาพรรคกิจประชา ได้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อดำรงอำแหน่งปรธานาธิบดีส่งผลให้ต้องมีการเลือกตั้งซ่อม แต่ผละกลับปรากฎว่า นาย เจ.บี. เจยา เร็ตนัม สมาชิกจากพรรคกรรมกร ได้รับชัยชนะ ถือเป็นตั้งแรกที่พรรคการเมืองอื่นนอกจากพรรคกิจประชาได้รับชัยชนะแม้จะเป็นเพียง 1 ที่นั่งก็ตาม และในการเลือกตั้งทัี่วไปปี ค.ศ. 1984 พรรคกิจประชาก็ต้องสูญเสียที่นั่งไปให้พรรคฝ่ายค้าน 2 ที่นั่ง และยังได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 64.83 ลดลงจากการเลือกตั้งทั่วไปครั้งก่อนเมืองปี ค.ศ. 1980 ที่ได้ีะแนนเสียงไปกว่าร้อยละ 77.66
             แม้คะแนนนิยมที่ลดลงและการสูญเสียที่นั่งให้พรรคฝ่ายค้านจะมีจำนวนน้อยแะไม่กระทบเสถียรภาพของรัฐบาล แต่ทำให้พรรคกิจประชาหัสมาทบทวนหาสาเหตุและหนทางแห้ไข ซึ่งพบว่า การเน้นความมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพประสิทธิผลของรัฐบาลมากกว่าหลักการประชาธิปไตย และการใช้มาตรการโต้ตอบของรัฐบาลต่อผุ้ที่ไม่เห็นด้วยหรือโจมตีรัฐบาล อาทิ การสังปิดหนังสือพิมพ์ที่โจมตีรัฐบาล การฟ้องร้องรักวิชาการหรือนักการเมืองฝั่งตรงข้ามด้วยข้อหาต่างๆ หรือการกีดกันนักการเมืองจากพรรการเมืองไม่ให้ได้รับชัยชนะส่งผลให้พรรคกิจประชามีภาพลักษณ์การรัฐบาลอำนาจนิยม ประกอบกับช่วงทศวรรษที่ 1980 ชนชั้นกลางและคนหนุ่มสามที่เป็นคนรุ่นที่ 2 และ 3 ได้เพ่ิมจำนวนมากขึ้ ซึ่งคนเหล่านี้มีความคาดหวังจากสังคมแบบชนชั้นกลาง ที่หากไม่ได้รับการตอบสนองอย่งพอเีเพียงก็จะส่งผลต่อความนิยมของรัฐบาล
              จากปัฯหาดังกล่วทำให้รัฐบาพรรคกิจประชาได้ดำเนินการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนมากขึ้น ซึ่งก็เปเป็นช่วงปรระจวบเหมาะกับการเหลี่ยนแปลงสำคัญภายในพรรค คือ การถ่ายโอนอำนาจจากนายลีกวนยิว ทีปกครอประเทศมากกว่า 25 ปี ไปยัง นายโก๊ะจธกตง โดยนายโก๊ะจ๊กตงและผุ้นำรุ่นใหม่ภายในพรรคคนอื่นๆ ได้ดำเนินการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองเพื่อลดความไม่พอใจของประชาชนต่อรัฐบาล นายโก๊ะจ๊กตง ได้ทำมาตรการต่างๆ ที่คิดว่าจะส่งผลดีต่อคะแนนนิยมพรรคกิจประชา แต่ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1991 ซึ่งจัดขึ้นก่อนกำหนด 1 ปี ปรากฎว่า พรรคกิจประชาแม้จะเป็นฝ่ายชนะแต่กลับได้คะแนนเสียงน้อยสุดเมื่อเที่ยบกับการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ โดยได้เพียงร้อยละ 60.97 และต้องสูญเสียที่นั่งไปให้พรรคฝ่ายค้านถึง 4 ที่นั่งมากที่สุดนับตั้งแต่สิงคโปร์มีการเลือกตั้งมา ผลการเลือตั้งเช่นนี้ ทำให้นายโก๊ะจ๊กตงมองว่า ประชาชนยงไม่พร้อมสำหรับการมีประชาธิปไตยที่เปิดกว้าง จึงได้หรักลับมามุ่งเน้นนโยบายความเสถียรภาพทางการเมืองเป็นหลักอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ก็มีผุ้วิเคราะหืผลการเลือกตั้งว่าเป็นเพราะไม่พอใจนโยบายบางประการ และต้องการให้มีพรรคฝ่ายค้านมาตรวจสอบรัฐบลาลมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ออกเสียงเลือกตั้งเป็นต้งแรก
             ในปี ค.ศ. 1995 นายโก๊ะจ๊กา ได้แสดงความเห็นถึงระบบการปกครองประชาธิปไตยตามแยวทางของสหรัฐอเมริกและตะวันตกว่ายังไม่เหมาะกับสิงคโปร์ เนื่องด้วยระบอบประชาธิปไตยั้นไม่สามารถนำมาใช้ให้เห็นผลได้ในประเทศแถบเอเชีย โดยตัวอย่างของประเทศที่ได้นำเาอระบอบดังกล่าวมาใช้ไ่ว่าจะเป็นไต้หวันหรือไทยก็ล้วนประสบปัญหาทางการเมืองด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่เงป็นการสะท้อนความตั้งใจของนายโก๊ะจ๊กตง ที่ต้องการคงระบอบประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยมในสิงคโปร์ต่อไ ปขณะที่ในส่วนจองประชาชนเองก็มีความโน้มเอียงไปางพรรคกิจประชา เพราะเห็นว่าการเจริญเติบโตางเศรษบกิจและความมั่นคงทางวัตถุมีความสำคัญและจับ้องได้มากกว่าลหลักการประชาธิปไตยที่พรรคฝ่ายค้านมักยิบยกมาใช้หาเสียง
              การเปลี่ยนแปลงครังสำคัญของสิงคโปร์เกิดขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 2004 เมื่อนายลีเซียนหลุงได้ก้าวเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายโก๊ะจ๊กตงภาพลักษณ์การเปิ็นคนเชื่อมั่นตนเองสูงและเข้างวดทำให้มีความกังวลว่าจะมีกาปิดกันการแสดงความคิดเห็นของประชาชมากยิ่งขึ้น แต่นายลีเซียนลุงก็ทราบว่าปัจจุบันเป็ยุโลกาภิวัตน์ ประชาชนได้ซึมซับเอาค่านิยมตะวันตกมามากขึ้น จึงได้สนับสนุนให้ประชาชนเขามารมีส่วนร่วมในการบริหารประทเศมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการผ่อนคลายความเข้มงวดแต่ทุกอย่างก็มีอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล


                        - "ระบบการปกคหรองท้องถิ่น ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน:สาธารณรัฐสิงค์โปร์", สุกิจ แดงขาว เกอวีร์ มีสุข, วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า, 2556.

วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

Local government in Brunai

             การบริหารราชการแผ่นดินของเนอการาบรูไนดารุสลาม มีหน่ยการปกครอง 4 ระดับ คือ กระทรวง เขตการปกครอง, ตำบล, และหมู่บ้าน
            กระทรวง การบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลาง แบ่งการดำเนินงานออกเป็นกระทรวงต่างๆ ตามอย่างสากล ปัจจุบันมีกระทรวง 12 กระทรวงแต่ละกระทรวงมีหนวยงาน ดำเนินงานของกระทรวงหน่วยงานราชการมีรวมกันทั้งสิ้น 98 หน่วยงาน สุลต่านและสมเด็จพระราชาธิบดีทรงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนอกจานั้นับงทรงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโยมและกระทรวงการคลังอีก้ดวบ สุลต่าและสมเด็จพระราชาิบดีทรงมีพระราชอำนาจแต่างตั้งคณะรัีบมนตรี ทีังรนัฐมนตรีว่าการ รัฐมนตรีว่าการคนที่สอง และรัฐมนตรีช่วยว่าการ
            การบริหารงานกระทรวงต่างๆ แต่ละกระทรวงมีปลัดกระทรวง และรองปลัดกระทรวง เป็นหัวหน้าทฝ่ายข้าราชการพลเรือน หน่วยงานในแต่ละกรทรวงก็มีผุ้อำนวยการ เป็นหัวหน้า
             การปกครองของเนอการาบรูไนดารนุสสลามไม่มีรัฐสภาเหมือนกับหลายประเทศในประชาครอาเซียน สภา ที่มีอยู่ในลกษณะสภาที่ปรึกษา สุลต่านและสมเด็นพระราชาธิบดี ทรางบิหารราชการแผ่นดันโดยมีสภาที่ปรึกษา 5 สภาดังได้กล่าวไปแล้วในหัวข้อระบอบการปกครอง นอกจากนั้น นังมีสภาที่ปรึกษาด้านต่างๆ แก่คณะรัฐมนตรี อีก 4 สภา ได้แก่ สภากัารศึกษา, สภาเศรษฐกิจ, สภากลาโหม, สภาสังคมแห่งชาติ
            เขตการปกครอง หน่วยการปกครองระดับล่างจากกระทรวง คือ เขตการปกครอง อยุ่ในสายบังคับบัญชา กระทรวงมหาดไทย มีผุ้อำนายการเขตการปกครอง เป็นหัวหน้าเขตการปกครอง เป้ฯหน่วยการปกครองที่เชื่อมต่อระหว่างการปกครอง สวนกลางกับหน่วยการปกครองระดับลาง มี 4 เขตการปกครอง คือ
           - เขตการปกครองเบอไลท์ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศ เป็นเขตการปกครองที่มีพื้นที่กวางขวางทีสุดส่วนใหญ่เป็นภูเขาและป่า มีศูนย์กลางอยุ่กัวลา เบอไลท์
           - เขตการปกครองบรูไน - มูอารา ตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศ มีพื้นทีน้อยที่สุด แต่มีประชากรเหหนาแน่นที่สุด เนื่องจากเป็นที่ตั้งเมืองหลวง ทำให้เป็นศูนย์กลางด้านการปกครองประเทศ ด้านเศราฐกิจการค้ามีศูนย์กลางอยู่ทบันดาร์ เสรี เบการวัน
           - เขตการปกครองเต็มบูรง ตั้่งอยู่างตะวันออกเของประเทศ เป็นเขชตการปกครองที่ไม่มีพื้นที่ที่เป็นผืนดินติดต่อกับเขตการปกครองอื่นของประเทศ มีพื้จที่ของรัฐซารนาวัก สหพันธรัฐมาเลเซีย คั่นไว้ การเดินทางติดต่อเขตการปกครองอื่นจึงต้องผ่านเขตแดนของรัฐซาราัก หรือไใช้เ้นทางทะเลไปยังเขตการปกครองบรูไน -มูอารา เขตการปกครองเต็มบูรงเป็นเขชตการปกครองที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่เป็นลำดับ 3 ศูนย์กลางอยู่ที่ปีกัน บังการ์
            - เขตการปกครองตูตง ตั้งอยุ่ตาอนกลางของประเทศ อยู่ระหว่างเขตการปกครองบรุไน-มูอารากับเขตกาปกครองเบอไล์ มีพื้นที่ใหญ่เป็นลำดับที่ 2 และพื้ที่สวนใหญ่เป็นภูเขาและป่าเช่นเดี่ยวกับเขตการปกครองเบอไลท์ มีศุนย์กลางอยู่ที่ ปีกัน ตุตง
             เขตการปกครอง มภาระหน้าที่หลักๆ อยู่ 4 ประการ คือ
             - จัดทำโครงการพัฒนาเกี่ยวกับสาธารณูปโภค ศูนย์การค้าสวนสาะารณะ เขื่อน และทำโดยสาร รวมังการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระบบกาเดินทางขนส่ง ปละระบบการสื่อสารให้ดีขึ้น
            - สร้างความเข้มแข้งให้แก่สภาบันกำนัด และผู้ใหญ่บ้าน
            - ส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของคณะกรรมการที่ปรึกษรตำบล แลุคณะกรรมการที่ปรึกษาปมู่บ้าน ทั้งในด้านสวัสดิการ ด้านศาสนาท และที่สำคัญในด้านเศรษฐกิจ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
             - การออกใบอนุญาตในเรื่องต่างๆ
             - การให้บริการสาธารณะด้านการจัดเก็บขยะมูลฝอย และดูแลระบบระหบ่ายน้ำและแม่น้ำ
             - ดุแลที่จอดรถ สวนสาธารณะ และสถานที่ให้ความบันเทิงต่างๆ
ภาระหน้าที่เหล่านี้ บางส่วนมีส่วนงานรัฐผิดชอบ บางส่วนจะกระตายไปยังหน่ยการแดครองที่ต่ำลงไปคือ ตำบล และหมู่บ้าน
             ตำบล หน่วยการปกครองระดับล่าง ก่อนล่างสุด ในภาษามาเลย์เรียกว่า Mukim เทียบได้กับตำบลของประทเศไทย ผุ้นำของตำบล ในภาษมาเลย์เรียกว่า Penghulu Mukin เทียบได้กับกำนัน เป็นหน่วยการปกครองที่เชื่อมโยงเขตการปกครองกับหมู่บ้าน Kampung
            หมู่บ้าน เป็นหน่วยการปกครองระดับล่างสุด ในภาษามาเลย์เรียกว่า Kampung หรือ Village ในภาษาอังกฤษ ผู้นำหมู่บ้านที่ของไทยเรียกว่า ผุ้ใหญ่บ้าน ในภามาเลย์เรียก Ketua Kampung
           มีหน่วยการปกครองอีกหน่วยการปกครองหนึ่ง คือ เทศลบาล อยุ่ในระดับชั้นเดียวกับเขตการปกครอง เป็นหนวยการปกครองท้องถิ่นที่เป็นเมืองหรือชุมชนเมืองการบริหารงานขึ้นต่อกระทรวงมหาดไทย
            การปกครองของเนอการราบรูไนดารุสลามเป็นแบบรวมศูนย์อำนาจอย่างมาก ไม่มีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีอิสระในการปกครองตนเอง การปกครองท้องถิ่นจึงเป็นแบบสายบังคับบัฐชาที่มีลำดับชั้นจากกระทรวงมหาดไทย ดดยมีเขชตการปกคอง เป็นหน่วยการปกครองเชื่อมโยงระหว่างรัฐบาลกับท้องถ่ินหรือประชาชน การที่เนอการาบรูไนดารุสลามเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กมีพื้นที่เพียง 5,765 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่ส่วนใหญ่เป็เขตป่ารวมทัี้งประชกรมีมไ่มาก คือประมาณ 400,000 คน ทำให้รัฐบาลสามารถำเนินงานบริการสาธารณะใป้ประชาชอย่างทัวถึงได้งายโดยไม่ต้องให้ท้องถ่ินดำเนิงาน เช่น การฯึากา การสาธารณะสนุขการคมนาคมขน่ง อย่างไรก็ตาม ตำบล แฃะหู่บ้าน ก็บยังเป็นหน่ยกรปกครองที่สำคัญเพราะเป็นหน่วยการปกคีองที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุ ทั้งตำบล และหมุ่บ้าน มีบทบาทในการพัฒนาชุมชนทั้งในด้านสวัสดิการ และชีวิตความเป็นอยุ่ทีดีให้แก่คนในท้องถ่ิน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เข การปกคหรอง หรือรัฐบาลมีบทบาทดดำเนินการได้ไม่สะดวก ส่วนเขตเมืองหรือชุมชนเมือง ได้มีเทศบาลดำเนินงานบริหารจัดการแบบชุมชนเมือง
             รูปแบบการปกครองส่วนท้องถ่ิน มี 2 รูปแบบ คือกาปกคีองท้องถิ่นในเชตะมืองหรือชุมชนเมือง กับการปกครองท้องถิ่นทั่วไป
             การปกครองท้องถิ่นในเขตเมืองหรือชุมชนเมือง การปกครองท้องถิ่นในเขตเมืองหรอืชุมชนเมือง เป็นหารปคกรองรูปแบบเทศบาล ซึ่งมีพัฒนาการจากเมืองครั้งที่ประเทศอังกฤษเข้ามาปกคหรองเนอการาบูรไนดารุสลาม ซึ่งบรูไน ได้ทำข้อตกลง 1888 กับประเทศอังกฤษ ข้อตกลงนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้บรูไน ได้รับอิทธิลด้านการเมองกาปกครองจากประเทศอังกฤษ มีการแบ่งเขตพื้นที่เืพ่อการปกคหรองที่เรียกว่า เขตการปกครอง ในปี ค.ศ. 1906 โดยแบ่งออกเป็น 4 เขตการปกครอง ในปี ค.ศ. 1906 ก็ได้ทำข้อตกลงเสริม 1905 และ 1906 เป็นข้อตกลงที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงบรูไน เป็นอย่างมาก และเป็นรากฐานการพัฒนาด้านต่างๆ มาจนถึงปัจจุบัน ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นบนความเห็นพ้องกันระหว่างประเทศอังกฤษกับสุลต่านแห่งบรูไนดารรุสลาม ที่จะร่วมกันพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในด้านต่างๆ ทั้งด้านการเมือง การปกครอง การศึกษา และการพัฒนเศรษฐกิจ
           การพัฒนาการเมืองและการปกครองแบบจารีตของบรูไน ที่ผุ้มีอำนาจ ผุ้นำชั้นสูง หรือขุนนางที่มีอำนาจบารมี ซึ่งพิจารณาจากปริมาณที่ดิที่ถือครอง ได้ถูกทำลายไป และทแนที่ด้วยรูปแบบการบริหารการปกครองแบบใหม่ คือ ระบบราชการ อย่างไรก็ตามอำนาจสูงสุดยังคงอยู่ที่สุลต่าน แต่พระราชอำนาจของสุลต่าสจะอยู่ภายใต้คำปรึกษาและแนะนำของฝ่ายอังกฤษ ยกเว้นเรื่องศาสนา จากความเปลี่ยนแปลงนี้ได้เกิดหน่วยงานของรัฐขึ้น เช่น กรมตำรวจ สำนักงานที่ดิน ฝ่ายชกิจการทั่วไ ปศุลกาการ และหน่วยงาน ราชการอื่นๆ นอกจากนั้นยังได้มีการจัดตั้งสภาแห่งชาติ ประกอบ้วยผุ้แทนและเจ้าหน้าที่อังกฤษกับผุ้นำชาวบรูไนทำหน้าทีในการดูแลและแลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งกันและกันเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของประเทศ
            การเติบโตของชุมชนเมืองมีกมากขึ้น ทั้งจากการพัฒนาดังได้ กล่าวมาแล้วและจากเป็นเมืองชุมทางการค้าของบริฒัทบริติช นอร์ท บอร์เนียว ใน ปี พ.ศ. 2464 กงสุลอังกฤษประจำบรูไนก็ได้จัดตั้งคณะกรรมการสุขาภิบาลเมืองบูรไน ขึ้น ซึงปัจจุบัน คือบันดราร์ เสรี เบกาวัน และค่อย ๆ ขยายไปอีก 3 เขตการปกคหรอง สุขาภิบาบนี้มีหน้าที่ในกาพัฒนาเมืองใหม่และดุแลด้านสุขอนามัย โดยการบิหารงานได้เปิดโอกาศ ให้ประชาชนเข้ามามีบทบาทด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2509 ถึงได้เปลี่ยนสุขาภิบาลเป็นเทศบาลภายใต้กฎหมายบรูไน เรื่องคระกรรมการเทศบาล หน่วยการปกครองนี้ยังคงมีบทบาทอยุ่จนถึงปัจจุบัน แต่ลดบทบาทของประชาชนในด้านการบริหารงานเทศบาล
              ปัจจุบัน เทศบาลของบรูไน อยุ่ภายใจ้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย เป้นการแบ่งภาระของเขตการปกครอง ซึ่งมีภาระหน้าที่ดูแลที่อยู่อาศัยและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยทั่่วไป เทศบาลมีภาระหน้าที่จัดการบริหารสาธารณะแบบเมือง เช่น การดูแลความเป็รระเบียบเรียบร้อยของเทมืองและจัดการด้านสุขลักษณะของเมืองเป็นหลัก
            เทศบาบในบรูไร มี 3 แห่ง คือ เทศลาลันดาร์ เสรี เบกาวัน อยุ่ในเขตการปกครองบรู ไน มูอารา และเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง เทศบาลกัวลา เบอไลท์และซีเรีย อยุ่ในเขตการปกครองเบอไลท์และเทศบาลตุตง อยู่ในเขชตการปกครองตูตง
            การปกครองท้องถิ่นทั่วไป การปกครองทั่วไปมีกระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศ เป็นหน่วยการปกครองลำดับชั้นต่อจากเขตการปกครอง คือ ตำบล และหมู่บ้าน ต่างๆ เป็นเครือข่ายคล้าบยระบบ แลนด์ลอร์ด ภายใต้เครือข่ายนี้ ผุ้นำตำบล และผุ้นำหมูบ้านมีหน้าที่เก็บรวบรวมภาษีจากประชาชน แล้วส่งต่อไปยังขุนนางในเครืองข่าย
          ในยุคอาณาคมอังกฤษ บรูไนได้ปรับการบริหาราชการแผ่นดินให้เป็นสมัยใหม่ โดยเฉพาะเทืองได้ทำข้อตกลงเสริม ตามที่ได้บรรยายไว้แล้ว่อหนหน้าทนี้แล้ว มีการแบ่งพื้นที่การปกคองประเทศเป็นเขตการปกครอง มี 4 เขตการปกครอง ซึ่งทำให้มีการจัดระบบกลุ่มหมู่บ้าน ต้างไปจากเดิ มดบ้างและบริหารราชการแผ่นดินแบ่งเป็นฝ่ยต่างๆ มีข้าราชการับผิดชอบตามตำหน่งหน้าที่การปกครองและการตัดสินพระทัยของสุลต่านต้องผ่านความเห็นชอบของกงสุลอังกฤษประจำบรูไน คามสัมพันะ์ของผุ้นำตำบลและผุ้นำหมู่บ้านกับรัฐก็เปลี่ยนไปด้วย ผุ้นำตำบลและผุ้นำหมู่บ้านมีบทบาทเป็นตัวแทนหรือเป็นข้อาราชการของส่วนกลาว และมีบทบาทในการพัฒนาหมู่บ้าน
            ยุคสัมยปกครองตนเองภายใต้อารักขาอังกฤษ การบริหาราชการแผ่นดินได้เข้ารูปแบบรัฐสมัยอย่างเต็มที่กว่าช่วงก่อน ทั้งนี้เนื่องจากก่อนหน้านี้คนบรูไนยังไม่มีการศึกษาแบบใหม่จำเป็นต้องพึ้งคนอังกฤษมาเป็นเจ้าหน้าที่อ้านการปกครอง เมืองถึงช่วงทศวรรษ 1920 คนบรูไนมีการศึกษาสมัยใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองมากขึ้น ในปี 1954 คนบรูไนมีการศึกษาสมัยใหม่มากขึ้นเอง ๆ ที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองมากขึ้น มีการจัดต้งคณะกรรมการที่รึกษาเขตการปกครอง และต่อมาก็ได้จัดตั้เงสภาเทศลาล และสภาการปกครองท้องถิ่น ซึ่งมีสภาแยกกันตามเขตการปกครองโดยสภาเหล่นนั้นให้ประชาชนเข้ามามีบทบาท แต่การดำเนินงานไใ่ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะเทศบาลและเขตการปกครองไม่สามารถจัดเก็บภาษีเองได้เหรือมีรายได้เป็นของตนเอง ในปี พ.ศ. 2502  บรูไน มีรัฐธรรมนูญฉบับแรก และกำหนดให้เมีการจัดตั้งสภาองค์มนตรี สภาคณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติ ขึ้นเพื่อการบริหารราชการแผ่นดิน
             ในระดับตำบล และหมู่บ้านจัดให้มีการเลือกตั้งผุ้นำตำบล และผุ้นำหมู่บ้านตามอุดมการณ์ประชาธิปไตย ซึ่งรับผลมาจากประเทศอังกฤษ โดยกำหนดให้แต่ละสมัยมีระยะเวลา 3 ปี และผุ้สมัครรับเลือกตั้งผุ้นำตำบล และผู้นำหมู่บ้านในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน ผุ้นำหมุ่บ้านอยุ่ภายใต้การกำกับดูแลตำบล และเขตการปกครอง มีหน้าที่ในการพัฒนาหมู่บ้าน ความสัมพันธ์ระหว่างหมู่บ้านกับรัฐปรับเปลี่ยนจากรัฐจารีตที่ผุ้ปกครองเรียกเก็บภาษีจากประชาชน มาเป็นแบบรัฐสวัสดิการ คือ รัฐมีภารกิจที่จะให้บริการสาธารณะต่างๆ เพื่อให้ประชาชนมีการดำรงชีวิตอย่างสงบสุข และรัฐก็ไม่ได้จัดเก็บภาษีจากประชาชนอีกด้วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนคิด MIB ในด้านที่ผุ้แกครองพึงมีต่อประชาชน


                                  - "ระบบการปกครองท้องถิ่นประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน: เนอการราบรูไนดารุสสลาม", นิชานท์ สิงหพุทธางกูร, วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่นสถาบันพระปกเกล้า, 2556.

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...