วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Tai–Kadai : North Tai

            ชื่อ "ไท-กะได" มาจากการจัดแบ่งตระกูลภาษาออกเป็นสองสาขาคือ "ไท" และ "กะได" ซึ่งเลิกใช้แล้ว เนื่องจากกะไดจะเป็นกลุ่มภาษาที่เป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีกลุ่มภาษาไทรวมอยู่ด้วย ในบางบริบทคำว่ากะไดจึงใช้เรียกตระกูลภาษาไท-กะไดทั้งตระกูล แต่ลางบริบทก็จำกัดการใช้คำนี้ให้แคบลงโดยหมายถึงกลุ่มภาษาขร้าที่เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลภาษานี้
            กลุ่มภาษาไท ประกอบด้วย
            กลุ่มภาษาไทเหนือ
            - กลุ่มภาษาแสก (ลาว) เป็นภาษาตระกูลไท-กะได ที่ใช้พูดบริเวณสองฝั่งแม่น้ำโขงในประเทศลาวและจังหวัดนครพนม ประเทศไทย ผู้พูดภาษานี้เหลือน้อยเพราะคนรุ่นใหม่หันไปพูดภาาาลาวและภาษาไทยถิ่นอีสานมากขึ้น
             ภาษาที่ใช้สือสารกันในเผ่าแสกคือ ภาษาแสก ปัจจุบันใช้ภาษาไทยกลาง ภาษาไทยท้องหรือภาษาลาวพื้นเมือง ส่วนภาษาแสกจะใช้สื่สารกันภายในหมู่บ้าน และหมู่บ้านอื่นๆ ที่มีชาวไทแสกก็สามารถสื่อสารกันได้
              ภาษาแสกจะมีัแต่ภาษาพูดไม่มีภาษาเขียน ผุ้พุดภาษาแสกจะรวมตัวกันอยุ่ เป็นหมู่บ้าน การแต่างกายรุปร่าง ลักษระท่าทางกริยามารยาท และความเป็นอยู่ของชาวไทแสกในปัจจุบัน ไม่แตกต่างไปจากชาวไทยในท้องถ่ินอื่นๆ สิ่งเดียวที่ทำให้ชาวไทแสกแตกต่างไปจากชาวไทยอื่นๆ คือ ภาษาพิธีกรรม ความเชื่อชาวไทยแสกซึงมีการแสดงแสกเต้นสากร่วมด้วย ในจังหวัดนครพนม มีภาษาถิ่นไทยกลายกลุ่ม คือ ภาษาถิ่นลาวพื้นเมือง ภาษาถิ่นภูไทย ภาษาถิ่นญ้อ และภาษาถ่ินกะเลิง ภายษาถิ่นทั้ง 4 ภาษานี้ ถึงแม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ผู้พุดภาษาทั้ง 4 ภาษา ก็สามารถติดต่อพูดจากันได้รู้เรื่อง โดยไม่มีปัญหาเลย ทั้งนี้เพราะภาษาถิ่นเหล่านี้ มีความแตกต่างกันในเรื่องเสียงไม่มาก คำศัพท์ก็มีบ้างเล็กน้อยแต่ในเรื่องการเรียงคำ หรือการสร้างประโยคแล้วไม่มีเลย ส่วนภาษาแสกนี้ถึงแม้จะจัดว่าเป็นภาษาไทยถิ่น แต่ความแตกต่างไปจากภาษาไทยถิ่น ไม่อาจเข้าใจได้ทำให้มีคนจำนวนมากคิดว่าภาษาแสกเป็นภาษาเขมร ตามความเป็นจริงแล้วไม่ใช่
               ศาสตราจารย์  ฟัง ไกวลี นักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกัน เชื้อชาติจีนได้เคยเสนอการแบ่งกลุ่มตระกูลภาษาไทยเป็นสามาสาขาโดยใช้ศัพท์และวิวัฒนาการของเสียงบางเสียงเป็นมาตรฐานในการแบ่งสาชาของภาษาเอาไว้ว่า
               1 สาขาเหนือประกอบไปด้วย ภาษาถิ่นที่อยุ่ทางใต้ของจีน ตัวอย่าง ชื่อภาษาถิ่น เหล่านีอวู, มิง, เทียน, เขา, โปอายและเชียนเชียง
               2 สาขากลางอูย่ในเวียดนามเหนือ แถวพรมแดน ติดต่อกับประเทศจีนมีไตขาว โท นุง ลุงเชา เทียนเปา ยุงซุน
               3 สาขาตะวันตกเฉียงใต้ ประกอบด้วย ภาษาในประเทศไทย ลาว พม่า อินเดีย เวียดนาม ทั้งหมดในประเทศไทยและลาวเท่านั้นที่ภษาไทยนับเป็นภาษาของชนกลุ่ใหฐ่ และใช่เป็นภาษาราชการ นอกจานี้ก็เป็นภาษาของชนกลุ่มน้อย กระจัดกระจายอยู่ในที่ต่างๆ รวมไปถึงภาษาถิ่นที่เป็นภาษาแสกด้วย ซึ่งภาษาชนกลุ่มน้อยนี้จะกระจัดกระจายอยู่ในประเทศต่าง ๆ และจะค่อยๆ ถูกลืมหายไปที่ละน้อยๆ เรื่องนี้อาจารย์ บรรจบ พันธุเมธา ก็ได้แสดงความห่วงใยไว้ในหนังสือของท่านชื่อ "กาเลหม่านไต" (ไปเที่ยวบ้านไท) เอาไว้ว่า "ภาษาแสด ศาสตราจารย์ ฮวนดริครอท เคยแสดงความคิดเห็นไว้ว่าควรจัดอยู่ในภาษาไทยแขนงภาคเหนือ โดยพิจารณาจากศัพท์ ศาสตรจารย์ วิลเลียม กรีดนี้ ก็เป็นอีกท่านหนึ่ง ซึ่งสนับสนุนวาควรจะจัด "ภาษาแสก" อยู่ในแขนงาคเหนือเช่นกัน โดยเพ่ิมหลักฐานทางศัพท์และเสียงท่านผู้นี้ ได้ศึกษาภาษาแสกในเรื่องเสียงว่ามีเสียงอะไรบ้าง และเคยพิมพ์บทความ เกี่ยวกับภาษาแสกในจังหวัดนครพนม ศาสตราจารย์ ฮวนดริครอทส์ ได้รวบรวมคำศัพม์ไปไม่มา ละยังไม่ได้ศึกษาถึงเรื่องเสียงวรรณยุกต์และริื่งอื่นๆ ของชาวไทแสก"
             
 วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ ได้ศึกษาภาษาแสก ตามแนวภาษาศาสตร์โดยได้ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของเสียงวรรณยุกต์ เสียงสระและเสียงพยัญชนะ ที่มีใช้อยู่ในภาษาแสก ยังได้บรรยายถึงลักษณะกลุ่มคำต่างๆ การประสมคำ การเรียงการเก็บบันทึกคำภาษาแสก ที่เกี่ยวกับคำและความหมาย วิธีอ่่านออกเสียงและความหมายของคำแสก โดยวิไลวรรณขนิษฐานันท์ ได้แสดงความเป็นห่วงภาษาแสกเอาไว้ว่า "ประเทศไทย ภาษาแสก เป็นภาษาของชนกลุ่มน้อยและแปลแตกต่างไปจากภาษาถิ่นอื่นๆ มาก คนไทยอื่นๆ ไม่สามารถเข้าใจภาษาแสกได้ ภาษาแสกจึงมีปัญหาเหมือนคนไทยที่เป้ฯชนกลุ่มน้อยในประเทศอื่นๆ กล่าวคือ ภาษาแสกกำลังถุกกลืนหายไปปัจจุบันนี้บางหมุ่บ้าดดยเฉพาะหมุ่บ้าในตัวเมือง พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย จะพูดภาษาแสกได้ เด็ๆ ชาวไทแสก จะไม่สามารถพูดภาษาแสกได้ เด็กๆ เหล่านี้ไม่ค่อยพูดภาษาแสกได้ เด็กๆ ชาวไทแสก จะไม่สามารถพูดภาษาแสกได้ เด็กๆ เหล่านี้ไม่ค่อยพูดภาษาแสก แต่พวกเขาก็ฟังและเข้าใจภาษาแสกได้อยู่บ้าง จากสภาพที่เป็นอยุ่ในปัจจุบันทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่า ภาษาแสก คงจะสูญสิ้นไปในไม่ช้าเพราะสาเหตุใหญ่ 3 ประการ คือ
            1 ภาษาแสกเป็นภาษาของคนกลุ่มน้อย ดังนั้นเด็รุ่นปัจจุบันในหมู่บ้านแสกจึงไม่นิยมใช้ข้อนี้เป้ฯเหตุผลทางธรรมชาติโดยทั่วไปแล้ว เด็กจะพยายามใช้ภาษาของชนหมุ่ใหญ่ คือ ภาษาที่เพื่อนๆ รอบตัวใช้ในดรงเรียนและภาษาที่ใช้สถานที่สาธารณะต่างๆ ถ้าภาษาที่ใช้ในครอบครัวไม่ใช่ภาษาของชนหมู่ใหญ่ เด็กก็มักจะไม่ใช้พูด ถึงแม้แต่พ่อแม่จะใช้ภานั้นพูดด้วยก็ตาม เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วไป ดังจะเห็นว่าถ้าครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ถ้าเป้นครอบครัวซึ่งไปเติบโตที่นั่น จะเรียนรู้และพุดภาษานั้นและไม่ยอมใช้ภาษาของตัวเอง เด็กจะเรียนรู้ภาาของพ่อแม่ แต่ไม่ยอมใช้ภาษาเพราะเห็นว่าเป็ฯภาษาของชนกลุ่มนอย ดังนั้นในหมุ่บ้านชาวไทแสกในตัวเมืองทั่วๆ ไปก็เช่นกัน จะพบว่าเด็กที่อายุต่ำหว่า 15 ปี ลงมาไม่สามารถพูดภาษาแสกได้เพียงแต่ฟังเข้าใจ
             2 การได้รับอิทธิพล จากภาษาไทยกลางเนื่องจากชาวไทแสก ส่วนมากหรือเกือบทุกๆ คน ต้องเรียนหนังสือ ซึงต้องใช้ภาษากลางเป็นสื่อในการเรียนการสอนอีทั้งสื่อสารมวลชนต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ฯลฯ ซึ่งมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของคนทั่วๆ ไป ก็ใช้ภาษากลางจึงทำให้ชาวไทแสกได้รับอิทธิพลไปจากภาษาไทยกลางมาก
             3 การได้รับอิทธิพลจากภาษาไทยท้องถ่ิน หรือภาษลาวพื้นเมืองนครพนม ในชีวิตประจำ "ชาวไทแสก" จะต้องติดต่อพบปะใกล้ชิดกับชาวนครพนม baanjomyut.com/library_2/part_of_thai_culture/11.html
             - ภาษาปู้อี มีผู้พูดทั้งหมด กว่า สองล้านหกเเสนคน พบในจีน สองล้านหกแสนคน ในบริเวณที่ราบกุ้ยโจว-ยูนนาน ในมณฑลยูนานและเสฉวน พบในเวียดนามเกือบห้าหมื่นคน มีบางสวนในฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา จัดอยู่ในตระกูลภาษาไท-กะได กลุ่มภาษาดัม-ไท สขาเบ-ไท สาขาย่อยไท-แสก ส่วนใหญ่ใช้ในเขตปกครองตนเองของชาวปูยี มีการออกหนังสือพิมพ์ในภาษนี้ เขียนด้วยอักษรละติน ในจีนจะพูดภาษาจีนเป็นภาษาที่สอง เรียงประโยคแบบประธาน-กระยา-กรรม สวนใหญ่เป็ฯพยางค์เดียว มีวรรณยุกต์ 6 เสียงสำหรับคำเป็น และ 4 เสียงสำหรับคำตาย
             
 ปูยี คือชนกลุ่มน้อยสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่ชื่อชนร้อยเผ่า ภาษาจีนเรียกว่า "ไปเยว"อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองเฉียนหนาน เฉียนซีหนาน เขตปกครองตนเองเผ่าปูยีและเผ่าแม้ว ในเขตเมืองอันซุ่น และเมืองกุ้ยหยางยังมีบางส่วนกระจัดกระจายอาศยอยุ่ในบริเวณเขตปกครองตนเองชนกลุ่มน้อยของมณฑลยูนนานและมณพลเสฉวน มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น กว่าสามล้านคน  และทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามที่มักเรียกตนเองว่าปู้อี ไม่เรียกตนเองวาจ้วง พูดภาษาในตะกูล ไท-กะไดและ จีน-ทิเบต นับถือลัทธิดั้งเดิม และบางส่วนก็หันไปนับถือคริสต์ศาสนา th.wikipedia.org/wiki/ภาษาปู้อี
             - กลุ่มภาษาไทแมน หรือภาษาไตแมน ภาษาไตเมียน ภาษาไตมัน มีผุ้พูดในประเทศลาว 7,200 คน (พ.ศ. 2538) ที่แขวงบอลิคำไซ ผุ้พุดเหล่านี้กล่าวว่าพวกเขาอพยพมาจากเวียดนามภาษานี้จัดอยู่ในตระกุลภาษาไท-กะได กลุ่มภาษาไทกัม สาขาเบ-ไท สาขาย่อยไท-แสก ใกล้เคียงภาษาแสก
                กลุ่มภาษากัม-ไท หรือกลุ่มภาษาจ้วง-ต้ง เป็นสาขาภาษาหลักที่มีการเสนอให้จัดแบ่งขึ้นในตระกูลภาษาไท-กะได ประกอบด้วยภาษาของชนชาติต่างๆ ในจีนตอนใต้และในเอชียตะวันออกเฉียงใต้ประมาณกว่าร้อยละ 80 ของภาษาทั้งหมดในตระกูลดังกล่าว
                กลุ่มภาษากัม-สุย, เบและไท (ซึ่งเป็นกลุ่มภาษาหลัก 3 ใน 5 กลุ่มของตระกูลไท-กะได)มักถูกจัดอยุ่ร่วมกันในกลุ่มภาษากัม-ไทเนื่องจากมีคำศัพท์ที่ใช้ร่วมกันจำนวนมาก อย่างไรก็ตามการจัดแบงเช่นนี้มีผุ้โต้แย้งโดยมองว่าเป็น "หลักฐานของการไม่มีจริง" ซึงอาจเป็นเพราะมีการแทนที่ศัพท์เข้าไปในสาขาอื่น ความคล้ายกันของระบบหน่วยคำทำให้มีนักภาษาศาสตร์จัดสาขาขร้ากับกัม-สุย เป็นหลุ่มกะไดเหนือทางกนึ่งและสาขาไหลกับไท เป้ฯกลุ่มกะไดใต้อีกทางหนึ่งแทน ตำแหน่งของภาษาอังเบในข้อเสนอดังกล่าวไม่ได้ถูกพิจารณาไปด้วย th.wikipedia.org/wiki/ภาษาไทแมน
             

วันพุธที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Tai–Kadai languages

          ตระกูลภาษาไท-กะได หรือรู้จักกันในนาม กะได, ขร้าไท หรือ ขร้า-ไท เป็นตระกูลภาษาของภาษาที่มีเาียววรรณยุกต์ที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตอนใต้ของประเทศจีนในช่วงแรก ตระกูลภาษาไท-กะไดเคยถูกกำหนดให้เป็นอยู่ในตระกูลภาษาหนึ่ง และยังมีผุึ้เห็นว่าตระกูลภาษาไท-กะได นี้มีความสัมพันธ์กับตระกูลภาาาออสโตนีเซียน โดยอยู่ในกลุ่มภาษาที่เรียกว่า "ออสโตร-ไท" หรือจัดเป็นตระกูลภาษาใหญ่ออสตริก
           รอเจอร เบลนซ์ ได้กล่าวว่าถ้าข้อจำกัดของความเชื่อมต่อของตระกูลภาษาออสโตร-ไทมีความสำคัญมาก แสดงว่าความสัมพันธ์ทั้งสองตระกูลอาจไม่ใช้ภาาที่เป้นพี่น้องกัน กลุ่มภาษากะได อาจเป็นสาขาของภาษาตระกูลออสโตรนีเซยนที่อพยพจากฟิลิปปินส์ไปสู่เกาะไหหลำแล้วแพร่สู่จีนแผ่นดินใหญ่ ในขณะที่สาขาไดของภาษากล่มกะไดมีการปรับโครงสร้างใหม่ดดยได้รับอิทธิพลจากกลุ่มภาษาม้ง-เมี่ยนและภาษาจีน
             โลร็อง ซาการ์ ได้เสนอว่าภาษาไท-กะไดดั้งเดิมได้เกิดขึ้นในยุคต้นของตระกูลภาษาออสโตรนีเซียนที่อาจจะอพยพกลับจากทางตะวันตกเฉียงเหนือของไต้หวันไปยังชายฝังตะวันออกเแียงใต้ของจีน หรือจากจีนไปไต้หวันและเกิดการพัฒนาของภาษาตระกูลออสโตรนีเซียนบนเกาะนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างภาษาตระกุลออสโตรนีเซียนและไท-กะไดอาจจะอธิบายได้จากคำศัพท์ที่ใกล้เคียงกัน คำยืมในยุคก่อนประวัติศสตร์และอื่นๆ ที่ยังไม่รุ้ นอกจากนันภาษาตระกูลออสโตรนีเซียนอาจจะมีความสัมพันธ์กับตระกูภาาาจีน-ทิเบต ซึ่งมีจุดเร่ิมต้นในบริเวณชายฝั่งของจีนภาคเหนือและภาคตะวันออก
              ความหลากหลายของตระกูลภาษาไท-กะไดในทางตอนใต้ของประเทศจีนบ่งบอกถึงมีความสัมพันธ์กับถิ่นกำเนิดของภาษา ผู้พูดภาษาสาขาไทอพยพจากตอนใต้ของจีนลงทางใต้เข้าสู่เอเซียตะวันออกเฉียงใต้แต่คร้ังโบราณ เข้าสู่ดินแดนที่เป็นประเทศไทยและลาวบริเวณนี้เป็นบริเวณที่พบผุ้พูดภาษาในตระกูลภาษาออสโตรนีเซียติก
               ชื่อ "ไท-กะได" มาจากการจัดแบ่งตระกูลภาษาออกเป็นสองสาขาคือ "ไท" และ "กะได" ซึ่งเลิกใช้แล้วเนื่องจากกะไดจะเป็นกลุ่มภาษาที่เป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีกลุ่มภาษาไทรวมอยุ่ด้วย ในบางบริบทคำว่ากะไดจึงใช้เีรียกตระกูลภาษาไท-กะไดทั้งตระกูล แต่บางบริบทก็จำกัดการใช้คำนี้ให้แคบลง โดยหมายถึงกลุ่มภาษาขร้าที่เป็นส่วนหนึงของตระกุลภาานี้
              ภาษาในตระกูลไท-กะไดประกอบ้ด้วยกลุ่มภาษาทีจัดแบ่งไว้ 5 สาขา คือ
              กลุ่มภาษาขร้า (อาจเรียกว่า กะได หรือ เก-ยัง), กลุ่มภาษากัม-สุย (จีนแผ่นดินใหญ่ อาจเรียกว่า ด้ง-สุย), กุล่มภาษาไหล (เกาะไหหลำ),  กลุ่มภาษาไท (จีนตอนใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้), ภาษาอังเบ (เกาะไหหลำ อาจเรียกว่า ภาษาเบ).
              กลุ่มภาษาไหล ภาษาเจียมาว เจียมาว (ไหหลำ), ภาษาไหล (ไหหลำ),
              กลุ่มภาษาขร้า อาทิ เยอรอง (จีนแผ่นดินใหญ่), ภาษาเก้อหล่าว (เวียดนาม), ภาษาลาติ (เวียดนาม), ภาษาลาติขาว (เวียดนาม), ภาษาปู้ยัง (จีนแผ่นดินใหญ่), ภาษาจุน (ไหหลำ), ภาษาเอน (เวียดนาม), ภาษากวาเบียว (เวียดนาม), ภาษาลาคัว (เวียดนาม), ภาษาลาฮา (เวียดนาม),
              กลุ่มภาษาไท แบ่งออกเป็น กลุ่มภาษาไทเหนือ ภาษาแสก (ลาว), ภาษาเย (ไทย), ภาษาจ้วงเหนือ (จีน), ภาษาปูยี (จีน), ภาษาไทแมน (ลาว), ภาษาอี (จีน)
              กลุ่มภาษาไทกลาง อาทิ ภาษาจ้วงใต้ (จีน), ภาษามานเชาลาน (เวียดนาม), ภาษานุง (เวียดนาม), ภาษาคั่ย (เวียดนาม), ภาษาซึลาว (เวียดนาม), ภาษานาง (เวียดนาม)
              กลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ อาทิ ภาษาไทหย่า (จีน), ภาษาพูโก (ลาว), ภาษาปาตี (จีน), ภาษาไททัญ (เวียดนาม), ภาษาดั่ยซาปา (เวียดนาม), ภาษาไทโหลง (ไทหลวง) (ลาว), ภาษาไทฮ้องจีน (จีน), ภาษาตุรุง (อินเดีย), ภาษายอง (ไทย), ภาษาไทยถิ่นใต้ (ปักต์ใต้) (ไทย),
              กลุ่มภาษาไทกลาง-ตะวันออก
              กลุ่มภาษาเชียงแสด อาทิ ภาษาไทดำ (เวียดนาม), ภาษาไทยถิ่นเหนือ (ภาษาล้านนา, ภาษาไทยวน) (ไทย, ลาว), ภาษาพวน (ไทย) ภาษาไทโซ่ง (ไทย), ภาษาไทย (ไทย), ภาษาไทฮ่างตง เซียดนาม) ภาษาไทขาว (ภาษาไทด่อน) เวียดนาม), ภาษาไทแดง (ภาษาไทโด) (เวียดนาม), ภาษาคั่ยเติ็ก (เวียดนาม), ภาษาตูลาว (เวียดนาม)
              กลุ่มภาษาลาว-ผู้ไท อาทิ ภาษาลาว (ลาว), ภาษาญ้อ (ไทย), ภาษาผู้ไท (ไทย), ภาษาอีสาน (ภาษาไทยถิ่นอีสาน) (ไทย, ลาว)
              กลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงเหนือ (พายัพ) อาทิ ภาษาอาหม (รัฐอัสสัม เป็นภาษาสูญแล้ว, ภาษาอัสสัมซึ่งเป็นภษาที่ชาวอาหมใช้ในปัจจุบัน จัดอยู่ในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน), ภาษาอ่ายตน (รัฐอัสสัม), ภาษาล้อ (ภาษาไทลื้อ) (ีน, เวียดนาม, ไทย, ลาว, พม่า), ภาษาคำดี (รัฐอัสสัม, พม่า), ภาษาเขิน (พม่า), ภาษาคำยัง (รัฐอัสสัม), ภาษาพาเก (รัฐอัสสัม), ภาษาไทใหญ่ (ภาษาฉาน) (พม่า), ภาษาไทใต้คง (ภาษาไทเหนือ) (จีน, เวียดนาม, ไททย, ลาว),
             กลุ่มภาษากัม-สุย ประกอบด้วย
             กลุ่มภาษาลักเกีย-เบียว (จีนแผ่นดินใหญ่) อาทิ ภาษาลักเกีย, ภาษาเบียว, ภาษากัม-สัย (จีแผ่นดินใหญ่) ภาษาอ้ายจาม, เชา เมียว, ภาษาต้งเหนือ, ภาษาต้งใต้, ภาษาคัง ภาษามาค, ภาษามู่หลาม, ภาษาเมาหนาน, ภาษาสุย, ภาษาทีเอน
             สาขากัม-สุย, เบ และไท มักถูกจัดให้อยู่รวมกันเนื่องจากมีคำศัพท์ที่ใช้ร่วมกันจำนวนมาก (ดูเพ่ิมที่กลุ่ม ภาษากัม-ไท) ย่างไรก็ตามการจัดแบ่งเช่นนี้มีความเห้ฯที่โต้แย้ง ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการแทนที่ศัพท์เขไปในสาขาอ่น ความค้ายกันของระบบหน่วยคำทำให้มีนักภาษาศาสตร์จัดสาขาขร้ากับคำ-สุย เป็นกลุ่มกะไดเหนือทางหนึ่่ง และสาขาไหลกับไท เป็นกลุ่มกะไดใต้อีกทางหน่งแทนดังภาพ ตำแหน่งของภาษาอังเบในข้อเสนอดังกล่าวไม่ได้ถูกพิจารณาไปด้วย
 th.wikipedia.org/wiki/ตระกูลภาษาไท-กะได
               นักภาษาศาสตร์เชื่อว่าภาษาตระกูลไท-กะได มีความสัมพันธ์ทางเชื่อสายกับภาษาตระกุลจีน-ทิเบต หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ภาษาตระกูลไท-กะได เป็นตระกูลย่อยของภาษาจีน-ทิเบต เนื่องจากข้อค้รพบที่ว่าคำในภาษาไทยและคำในภาษาจีนมีความใกล้เคียงกันมาก จึงสันนิษฐานว่าภาษาไทยและภาษาจีนอาจมีต้นกำเนิดมาจากตระกูลภาาาเดียวกัย ดังนี้
แผนภาพแดสงความสัมพันะ์ว่่าภาษาตระกุลไท-กะได มีความสัมพันธ์ทางเชื้อสายกับภาษาตระกูลจีน-ทิเบต

               นักภาษาศาสตร์เชื่อว่าภาษาตระกูลไท-กะได มีความสัมพันธ์ทางเชื่อสายกับภาษาตระกุลออสโตรนีเซียน โดยนักภาษาศสตร์ที่ชื่อว่่า พอล เค เบเนดิกต์ ให้ข้อคิดเห็นว่า ภาษาไทยและภาษาจีนไม่ได้มีความคล้ายคลึงเพราะมีเชื่อสายภาษาเดียวกันแต่ความคล้ายคลึงนั้นอาจเกิดมาจากการยืมภาษานั่นเอง
               อย่างไรก็ดี พอล เค เบเนดิกต์ เชื่อว่าภาษากะได ซึ่งเขาให้คำนิยามเป็นคนแรกว่า หมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาลักกยา (พูดในอำเภอจิ่วซิ่ว มณฑลกว่างสี) ละควา/ละซา เก้อหล่าว ละจี็ และหลีฮไล) (พูดในเกาะไหหลำ) เป็นภาษาที่เป็ฯสะพานเชื่อมระหว่างภาษาตระกูลไทกับภาษาออสโตรนีเซียนเนื่องจากภาษากลุ่มกะไดเป็นภาษาคำโดดและใช้เสียงวรรยุกต์เหือนภาษาตระกูลไทย และมีบางอย่าง เหมื่อนภาษาตระกุลออสโตรนีเซียนน คือมีคำขวรยตามหลังคำหลัก ซึ่งภาษาจีนไม่มีระบบไวยากรณ์ดังกล่าวนี้
              การเชื่อมสัมพันธ์ทางเชื้อสายนี้จึงใช้เป็นหลักฐานมนการพิสูจน์สมมติฐานได้ว่าภาษาตระกูลไท-กะได สัมพันธ์กับภาษาตระกูลออสโตรนีเซียน และแตกมาจากภาษาตระกุลออสโตร-ไท ร่วมกัน ดังนี้
               
แผนภาพแดสงความสัมพันธ์ว่าภาษาตระกลูไท-กะไดสัมพันธ์กับภาษาตระกูลออสโตรนีเซียน และแกตกมาจากภษาตระกุลออสโตร-ไท ร่วมกัน

           
นักภาษาศาสตร์เชื่อว่าภาษาตระกูลไท-กะได มาจากภาษาตระกูลออสโตรไท ซึ่งรวมภาษาออสโตรนีเซียน และแม้ว-เย้า ในกลุ่มตระกูลภาษานี้ด้วย ดังนี้

แผนภาพแดสงความสัมพันธ์ว่าภาษาตระกูลไท-กะไดมาจากภาษาตระกูลออสโตร-ไท ซึ่งรวมภาษาออสโตรนีเซียน และแม้ว-เย้า

            จากสมมติฐานทั้ง 3 ฝ่ายนี้ จะเห็นได้ว่านักภาษาศาสตร์มีความเห็นว่า ภาาาตระกุลไท-กะไดน่าจะมีความสัมพันะ์ทางเชื้อสายกับภาษาตระกุลจีน-ทิเบต ภาษาตระกูลออสโตรนีเซียนรวมไปถึงกภาษาตระกุลแม้ว-เย้า ด้วย อย่างไรก็ดีภาาาตะกูลไท-กะได ไม่มีความสัมพันะ์ทางเชื้อสายกับภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกเลย   ( ความเป็นมาของภาษาไทย, บทที่ 1, อาจารย์กฤติกา ชูผล)
            เชื่อกันว่า กลุ่มชาติพันธ์ุไท-กะได อพยพมาจากเทือกเขาอัลไต ต่อมาก็เชื่อว่าอพยพมาจากตอนกลางของประเทศจีน และก็เชื่อกันว่ากำเนิดในบริเวณจีนตอนใต้ เป้นอาณาจักรน่านเจ้า และอพยพลงมาทางตอนใต้สร้างเป็นอาณาจักรล้านนา และอาณาจักรสุโขทัย ส่วนอีกทฤษฎีเชื่อว่าอพยพมาจากทางใต้ จากชวา สุมาตรา และคาบสมทุรมลายู แต่นักมนุษยวิทยาในปัจจุบันเชื่อกันว่า กลุ่มชาติพันธุ์ไท-กะได อยู่ที่บริเวณจีนตอนใต้ เรื่อยมาจนถึงรัฐฉาน ประเทศไทยตอนบนและแอ่งที่ราบลุ่มภาคอีสาน เรื่อยไปยังเป็นประเทศลาว หลังจากนันจึงมีการอพยเพิ่ม เช่นกลุ่มชาวอาหม ที่อพยพข้ามช่องปาดไก่ ไปยังอัสสัมและชาวไทแดงที่อพยพไปตั้งถ่ินฐานบริเวณอาณาจักรสิบสองจุไท โดยทั้งหมด มีทฤษฎีอยุ่ดังนี้
          ทฤษฎีที่ 1 ชนชาติไท-กะได มาจากเทือกเขาอัลไต ทฤษฎีนี้ หลวงวิจิตรวาทาการ (ขณะดำรงบรรดาศักดิ์ ขุน) ห้การสนับสุน ว่าชนชาติไท-กะได มาจากเทือกเขาอัลไต แล้วมาสร้างอาณาจักน่านเจ้า แล้วจึงอพยพมาสร้างล้านนาและสุโขทัย ดดยเชื่อว่าคำว่าไต ท้ายคำว่า อัลไต(Altai) หมายถึงชนชาติไท-กะได แต่ทฤษฎีนี้ต่อมาได้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง อีกทั้ง อัลไต เป็นภาษาอัลไตอิก ไม่ใช่ภาษาไท-กะได และน่านเจ้าปัจจุบันได้รับการพิสูจน์ว่าเป้นอาณาจักรของชนชาติไป๋
         ทฤษฎีที่ 2 ชนชาติไท-กะได มาจากหมูเกาะทะเลใต้ เบเนดิกส์ เสนอว่า ไทยพร้อมกับพวกฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซียอพยพจากหมู่เกาะทะเลใต้ แถบเส้นศูนย์สูตร ขึ้นมาตั้งถ่ินฐานในอินแดนอุษาคเนย์ และหมุ่เกาะฟิลิปปินส์ เบเนดิกส์ ยกเรื่องความเหมือนของภาษาสนับสนุน เช่นคำว่าปะตาย ในภาษาตากาล็อก แปลว่า ตากย อากู แปลว่า กู คาราบาง แปลวา กระบือ เป็นต้น ประเด็นนี้นักภาษาศาสตร์ และนักนิรุกติศาสตร์สวนใหญ่ไม่ยอมรับวิธีการของเบเนดิกส์เพราะเป็นการนำภาษาปัจจุบันของฟิลิปปินส์มาเที่ยบกับไทย แทนที่จะย้อนกลับไปเมื่อ 12000 ปีที่แล้ว ว่า คำไทยควรจะเป็นอย่างไร และคำฟิลิปปินส์ควรจะเป็นอย่างไร แล้วจึงนำมาเทียบกันได้ นอกจากนี้ ผุ้ที่เชื่อมทฤษฎีนี้ ยังใช้เหตุผลทางกายวิภาค เนื่องจากคนไทยและฟิลิปปินส์มีลักษณะทางกายวิภาค คล้ายคลึงกัน
          ทฤษฎีที่ 3 ชนชาติไท-กะได อาศัยอยู่ในบริเวณสุวรณภูมิอยู่แล้ว นักวิชาการท่าหนึ่งเสนอว่าชนชาติไท-กะได อาจจจะอยู่ในบริเวณนี้มาตั้งแต่่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ดดยอ้างตามหบักฐานโครงกระดูก ที่บ้ายเชียงและบ้านเก่า แต่หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงอ้างความเห้นของกอร์แมนว่าดครงกระดูกคนบ้านเชียง มีลักษณะคล้ายกับกระดูกมนุษย์ที่อยุ่ตามหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิก อีกประการหนึ่ง ทรงอ้างถึงจากรึกในดินแดนสุวรรณภูมิ ว่า เป็นจารึกที่ทมำให้ภาษามอญมาจนถึงประมาณ พ.ศ. 1730 ไม่เคยมีจารึกภาาาไทยในช่วงเวลาดังกล่าวเลย
          ทฤษฎีที่ 4 ชนชาติไท-กะได อาศัยอยู่บริเวณจีนตอนใต้ และขตวัฒนธรรมไท-กะได ทฤษฎีนี้เป็ฯที่ยอมรับของนักภาษาศาสตร์ นิรุกศาสตร์ และประวัติศาสตร์ในปัจจุบันมากที่สุด โดยศาสตราจารย์ เกิดนีย์ เจ้าของทฤษฎีให้เหตุผลประกอบด้วยทฤษฎีทางภาษาว่า ภาษาเกิดที่ใด จะมีภาษาท้องถ่ินมากหลายชนิดเกิดขึ้นแถบบริเวณนั้น เพราะอยู่มานานจนแตกต่างกันออกไปแต่ในดินแดนทีใหม่กว่าภาษาจะไม่ต่างกันมาก โดยยกตัวอย่างภาษาอังกฤษบนเกาะอังกฤษ มีสำเนียงถิ่นมากและบางถ่ินอาจฟังไม่เข้าใจกัน แต่ขณะที่ภาษาอังกฤษในสหรัฐอเมริกา มีสำเนีียงถิ่นน้อยมากและพูดฟังเข้าใจกันได้ดดยตลอด เปรียบเทียบกับชาวจ้วงในมณฑลกวางสี แม้มีระยะห่างกันเพียง 20 กิโลเมตร แต่ก็แยกสำเนียงถิ่นอกเป็นจ้วงเหนือ และจ้วงใต้ ซึ่งสำเนียงบางคำต่างกันมากและฟังกันไม่รู้เรื่องทั้งหมด ขณะที่ภาษาถ่ินในไทย (ภาษาไทยกลาง) และภาษาถิ่นในลาว (ภาษาลาว) กลับฟังเข้าใจกันได้ตลอมากกว่า...th.wikipedia.org/wiki/กลุ่มชาติพันธุ์ไท-กะได
           
     



วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Languaese & Ethnic (Myenmar)

           พม่า หรือ เมียนมา มีชื่อทางการว่า สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ตั้งออยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวัน
ออกเฉียงใต้ ในส่วนของดินแดภาคเพื้นทวีป มีอาณาเขตติดกับไทย ลาว จีน อินเดีย และบังคลาเทศ มีจำนวนประชากร 53 ล้านคน ประกอบไปด้วยกลุ่มาติพันธุ์ต่างๆ ถึง 13 กลุ่ม ที่รู้จักำกันทั่วไป ได้แก่ พม่า มอญ ฉาน กะเหรี่ยง คะฉิ่นฉิ่น คะยา ยะไข่ กลุ่มชาติพันู์ทั้ง 8 กลุ่มเป็นกลุ่มชาติพันู์ที่ได้รับความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ชาติ ดดยมีการกำหนดชื่อกลุ่มชาติพันู์ให้เป็นชื่อรัฐ 7 รัฐ  ยกเว้นกลุ่มชาติพันธ์ุพม่าที่ระบุให้เป็นหลุ่มชาติพันู์หลักของ 7 เขต คื อสะกาย มัณฑะเลย์ พะโค ย่างกุ้ง เอยาวดี มะเกว และตะนาวศรี
         นอกจากกลุ่มชาติพันธ์ุหลักดังกล่า พม่ายังมีกลุมชาิตพันู์ย่อยๆ อีกมากมาย เช่น ธนุ ตองโย แต้ะ มรมาจี คายนา อึงตา ระวางลีซู ลาหู่ กอ ขขุ ลาซี ขมี นาคะ แม้ว ว้า ปะหล่อง ปะเล ยิง ปะโอ ซะโหล่ง ซะเหย่ง ยิ่งบ่อ บะแระ ปะต่อง ยิ่งตะแล คำดี โย หล่ำ ขมุ ลุ และขืน กลุ่มชาติพันธ์ุเหล่านี้ส่วนมากอาศัยกระจายอยุ่บนพื้นที่สูงและเขตภูเขาทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก มีบ้างเล็กน้อยที่อาศัยอยุ่ทางภาคใต้ สวนใหญ่ไม่เป้นที่คุ้นเคยแม้ในหมู่ชาวพม่าทั่วไป กลุ่มชาติพันธ์ุส่วนใหญ่มีความเป็นอาศัยกระจายอยู่บนท้พนที่สุและเขตภูเขาทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก มีบ้างเล็กน้อยที่อาสัยอยู่ทางภาคใต้ ส่วนใหญ่ไม่เป็นที่คุ้นเคยแม้ในหมู่ชาวพม่าทั่วไป กลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่มีความเป็นอยุ่ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ กลุ่มที่ได้รับความสนใจจากรัฐบาลเนื่องเพราะปัญหาค้ายาเสพติด คือ กลุ่มโกกั้งและกลุ่ม้า อาศัยอยู่ในรัฐแานใกล้ชายแดนจีน ภายหลังกลุ่มว้าได้ขยายพื้นที่มาใกล้ไทย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่รัฐให้ความสนใจมากขึ้นคื อนาคะ ซึ่งอยุ่ใกล้ชายแดนจรดกับอินเดียเพราะมีรูปแบบในการดำรงชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติและมีการล่าหัวมนุษย์ ส่วนอีกกลุ่มที่ได้รับความสนใจจากรัฐเพราะวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของพวกเขาสามารถดึงดุดนักท่องเที่ยวได้ คือ ปะด่อง หรือกะเหรี่ยงคอยาว และชาวอิงตา ซึ่งอาศัยในทะเลสาบอิงเลในรัฐฉาน 
          ภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ได้แกบ่งพม่าออกจากกันเป็นสองสวน คื อส่วนที่อยุ่ใจกลางของประเทศได้แก่พื้นที่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ เช่น ที่ราบลุ่มแม่น้ำอิระวดีตอนล่าง แม่น้ำสะโตง และแม่น้ำชินวินและส่วนเทือกเขาสูงกินอาณาเขตจรดชายแดนของพม่าทั้งด้านตะวันตก ตะวันออกและภาคเหนือ พื้นที่บริเวณเทือกเขาสูงนี้จะกินอาณาเขตประมาณ 2 ใน 3 ของเนื้อที่ทั้งประเทศ
         
 กลุ่มชาติพันธ์พม่า.ึซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ จะอาศัยอยุ่บริเวณที่ราบริมแม่น้ำ เช่น แม่น้ำอิระวดี แม่น้ำสะโตง และแม่น้ำชินวิน เป็นต้น นอกจากชาวพม่าแล้วยังมีชาวมอญและกะเหรี่ยงซึ่งอพยพลงมาจากภูเขาสูง ในขณะที่กลุ่มชาิตพันธุ์อื่นจะอาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบสุงหรือเทือกเขาสูงบริเวณชายแดน ดังนั้นด้วยปัญหาสภาพทางภูมิประเทศที่เป็นอุปสรรค ทให้กลุ่มชาิตพันธ์ุที่เป็นชนกลุ่มน้อยในบริเวณชายแดนและชาวพม่าในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ ไม่ได้ติดต่อสัมพันธ์กันมากเท่าใดนัก การสัญจรไปมาในบริเวณเทือกเขาุงและป่าทึบทำได้ไม่สะดวก ส่วนใหญ่เป็นทางเดินเล็กๆ เหมาะกับการสัฐจรด้วยเท้าหรือกองคาราวานที่อาศัยสัตว์เป็นพาหนะ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย และลา เป้นต้น เทือกเขาและที่ราบสุง จุึงเป้ฯเสมือนเสนแบ่งแดนที่แยดชนกลุ่มน้อยออกาจากชาวพม่ารวมทั้งศูนย์อำนาจรัฐพม่าจากส่วนกลาง
          พม่าใช้คำว่า "รัฐ" กับบริเวณพื้นที่ที่มีประชากรของชนกลุ่มน้อยอาศัยอยุ่ ได้แก่ รัฐคะฉิ่น รัฐฉาน รัฐคะยาห์ รัฐกะเหรี่ยง รัฐมอญ รัฐอะรากัน และรัฐฉิ่น ในขณะเดียวกันจะใช้คำว่า "เขต" กับบริเวณท้พนที่ที่มีประชากรพม่าอาศัยอยุ่อย่างหนาแน่น ได้แก่ เขตสะแกง เขตแมกเว้ เขตพะโค เขตมัณฑะเลย์ เขตอิระวอี เขตตะนาวศรี และเขตย่างกุ้ง..sac.or.th/databases/southeastasia/subject.php?c_id=6&sj_id=53
              "เราไม่ใช่คนพม่า แต่เราเป็นคน..." อาจเป็นคำพูดที่ได้ยินจากคนพม่าการไม่ประกาศตนว่าเป้นชาวพม่าทั้งที่มีพื้นเพในประเทศพม่า พูดภาษาพม่าได้ หรืออาจถือหนังสือเดินทางพม่าด้วยนั้น อาจเป็นเรื่องน่าฉงนสำหรับชาวต่างชาติ ที่เห็น "ความเป็ฯพม่า" ถูกปฏิเสธอย่างหน้าตาเฉย กรณีดังกล่าวอาจสะท้อนได้ว่า การเอาเรื่องกฎหมายว่าด้วยความเป็นพลเมืองของประเทศมาตัดสินว่าเป็นคนพม่าหรือไม่นั้น แม้เป็นเรื่องปกติที่ทำได้ แต่กลับไม่ง่ายที่จะให้เกิดการยอมรับในความเป็นพม่าไปได้ด้วย ส่วนการจะสรุปเอาว่าคนที่พุดภาษาพม่าได้คล่องแคล่วถือเป็นการยอมรับความเป็ฯพม่านั้น ก็อาจไม่ใช่ข้อสรุปที่ดี เพราะภาษากับเชื้อชาติไม่ได้ไปด้วยกันเสมอไป สำหรับบางคนในบางสถานการณ์ ภาษาก็ส่วนของภาษา และเชื่อชาติก็ส่วนของเชื้อชาติ หาใช่หนึ่งเดียวในความเป้ฯพม่าไม่
              อย่างไรก็ตาม ภาษาอาจมีอิทธิพลต่อการยอมรับความเป็นพม่าได้เช่นกัน จากการที่ภาษาพม่านั้นถูกกำหนดให้เป็นภาษาประจำชาติสำหรับชนทุกเผ่าพันธุ์ ดังนั้นผุ้พูดภาษาพม่าจึงไม่จำเป็นจ้องเป็นคนเชื่อสายพม่าเสมอไป อาจเป็นคนมอญ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ กะฉ่น ฉิ่น ตองสู จีน แขก ฯลฯ พอนานเข้าคนต่างเชื้อสายเหล่านี้ก็อาจมองตนว่าเป็นคนพม่าเพราะตนไม่พูดภาษาเดิมแล้ว นอกจากภาษาพม่า ดังตัวอย่างคนมอญในพม่าส่วนมาก ที่ลืมว่าตนสืบเชื้อสายมาจากมอญ ดังนั้น ภาษาจึงอาจบงชี้ความเป็นเชื้อชาติได้เพียงช่วงเวลาหนึ่ง ดดยมิได้สืบสายถาวรติดอยู่กับเชื้อชาติตลอดไป
              ในทางภาษาศสตร์ มักยอมรับในเรื่องการโยงใยทางภาษาของกลุ่มชนต่างๆ และวิเคราะห์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างภาษาที่มีเสียง ศัพท และไวยากรณ์คล้ายคลึคงกัน แล้วจำแนกภาาต่างๆ เป็นกลุ่มภาษาหรือตระกูลภาษา การวิเคราะห์ดังกล่าวช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างภาษาของกลุ่มชติพันธุ์ แต่หากนำมาอ้างอิงอย่งไม่ระวัง ก็อาจหลงคิดไปว่าภาษาเป็นตัวกำหนดเชื้อชาติไปด้วย
              ในสมัยอาณานิคมนั้น ได้เคยมีการศึกษาทั้งในเชิงมานุษยวิทยาและภาษาศาสตร์เพือจำแนกกลุ่มประชากรในประเทศพม่า ดังความเห้ฯว่า "..หากจะจัดจำแนกประชากรในพม่าเราไม่อาจอาศัยพงศาวดาร ประเพณี คติชน หรือความคล้ายคลึงทางพื้นที่ (เช่น พม่าและมอญอยู่ที่ลุ่ม ฉิ่นและกะเหรี่ยงอยูตามดอย) หากต้องอาศัยภาาาพูดเป็นหลัก เรื่องอื่นๆ อาจใช้เพื่อตรวจสอบเกณฑ์ภาษเท่านั้น และมีความเห้ฯว่าประเพณีหรือตนานนั้นชนชาติต่างๆ อาจมีร่วมกันได้ ภาาาพูดจึงเป็นข้อพิสูจน์สายพันธุ์ของกลุ่มชนชาติ ความเห้นเช่นนี้ยอมรับกันมานานจนมีการนำมาใช้คาดคะเนถิ่นกำเนิดและเส้นทางอพยพของชนชาติต่างๆ ในประเทศพม่า เพราะเข้าใจไปว่าภาษาเป็นเครื่องบ่งชี้ชนชาติได้ดีกว่าเกณฑ์ด้านอื่นๆ ที่ผ่านมานั้น ภาษาพท่าและภาษาของชนชาติต่างๆ ในประเทศพม่าได้รับการศึกษาเพื่อจัดจำแนกสายพันธุ์และชี้ให้เห็นเครือข่ายและเชื้อสายทางภาษาในระดับต่างๆ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ซึ่งเป็นข้อสรุปที่ได้จากองค์ความรู้ทางภาษาศาสตร์ว่าด้วยภาษาพม่าและภาษาที่เกี่ยวข้องกับพม่าในพื้นที่ประเทศพม่าและประเทศไทย
               จากการเปรียบเทียบภาษาตามแนวภาษาศาสตร์เปรียบเที่ยบเชิงประวัติ นักภาษาศาสตร์ได้ข้อสรุปว่า ภาษาพม่าเป็นภาษาหนึ่งในกลุ่มภาษาเบอร์มิส ของสายโลโล-พม่า ภายใต้สาขาทิเบต-พม่า ที่แยกเชื้อสายมาจากตระกูลภาษาจีน-ทิเบต อีกที ภาษาพม่าจึงมีคามเล้ายคลึงกับภาษาทิเบตมากว่า ภาษาจีน และแตกต่างกับภาษาไทย ภาษามอญ ภาษาเขมร และภาษามาเลย์โดยสิ้นเชิงขณะเดียวกันก็มีความใกล้ชิดกับกลุ่มภาษาโลโล ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นชาวเขาอยุ่ใประเทศไทย อาทิ มูเซอ ลีซอ และอีก้อ สวนภาษาพม่าจะมีความใกล้ิดกับภาษากะเหรี่ยงมากน้อยเพียงใดนั้น พบว่าภาษากะเหรียงมีโครงสร้างประโยคที่ต่างไปจากภาษากะเหรี่ยงอยู่นอกสาขาทิเบต-พม่า แต่ต่อมามีการจัดภาษากะเหรี่ยงไว้ในกลุ่มสาขาทิเบต-พม่าด้วย เพราะเห้นว่าภาษากะเหรี่ยงมีความคล้ายคลึงกับภาษาอื่นๆ ของกลุ่มทิเบต-พม่าในด้านศัพท์ แต่ใกล้ชิดกับภาษาพม่าน้อยกว่าภาษาในกลุ่ม โลโล เช่น มูเซอ ลีซอ และอีก้อ สำหรับภาษาที่อยุ่ในกลุ่มเบอร?มิสและความใกล้ชิดกับภาษาพม่ามากย่ิงกว่าภาษาในกลุ่มโลโลได้แก ภาษามะยู หรือมารู และภาษาอะซี ซึ่งพูดอยู่ในรัฐกะฉิ่น บริเวณพรมแดรพม่า-จีน
             
ในประเทศพท่ามีชนร่วมเชื้อสายภาษาพม่าอยู่หลายกลุ่ม ทั้งที่ร่วมเชื้อสายอย่างใกล้ชิดและที่ห่างออกไปจนส่งภาษากันไม่รู้เรื่อง กลุ่มที่ใกล้ชิดกับพม่าได้แก่ชนชาติพม่าที่พุดภาษาสำเนีงท้องถ่ินต่างๆ ตามชนลทและพื้นที่รอบนอก ในกลุ่มนี้ที่รุ้จักกันดีเพราะเคยสร้างบ้านแปลงเมืองเป็นของตนเอง คือชาวพม่าในรัฐยะไข่ หรือรัฐอาระกัน นอกจากพม่าที่ยะไข่แล้ว ชนที่มีเชื้อสายภาษาร่วมใกับพม่าและยังคงหลงเหลือจนถึงปัจจุบัน เป็นเพียงชาวพม่าท้องถิ่นที่ไม่ค่อยมีบทบาททางการเมืองอยางเด่นชัด ได้แก่ อิงตา ทวาย ธนู ยอ พูน และต่องโย เป็นต้นสำหรับชนที่มีเชื้อสายห่างจากชนเผ่าพม่าออกมาหน่อยนั้น ได้แก่ มูเซอ ลีซอ อีก้อ ฮิ่น กะฏิ่น นาคา กะเหรี่ยง ปะโอหรือตองสู คะยา และปะด่อง เป็นอาทิ ชนส่วนน้อยที่ร่วมเชื้อสายกับพม่าเหล่านีั ต่างก็มีกองกำลังอิสระต่อสู้กับรัฐบาลกลางของพม่ามาเป็นเวลานานหลายสิบปีนับแต่ได้รัเอกราช ในประเทศไทยมีชนเผ่าที่ร่วมเชื้อสายทางภาษาใกล้ชิดกับพม่าอยู่หลายเผ่าน ได้แก่ อีก้อ มูเซอ ลีซอ อูก๋อง บิซู อึมปี รวมถึงกะเหรี่ยงหรือยางเผ่าต่างๆ โดยเฉพาะ กะเหรี่ยงสะกอ และกะเหรี่ยง กลุ่มชนร่วมเชื้อสายกับพม่าที่กล่าวมานี้ส่วนใหญ่เป้ฯชาวเขาหรือเป็นเพียงกลุ่มชนเล็กๆ ที่อาศัยอยุ่ทางภาคเหนือ และตลอดแนวภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทย สำหรับในประเทศพม่าพบชนกลุ่มดังกล่าวกระจายอยู่ทั่วไปต่อจากชายแดนไทยด้านตะวันตกจนถึงลุ่มแม่น้ำสาละวิน
              อันที่จริง กลุ่มชนร่วมเชื้อสายกับพม่าในประเทศพม่านั้น มีเป็นจำนวนมากที่ยังคงมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม แต่ส่วนที่ผสมกลมกลืนอยู่ในสังคมเมืองจนแกไม่ออกจากชาวพม่านั้นก็มีอยุ่แทบทุกกลุ่ม โดยเฉพาะมอญและกะเหรี่ยงในชุมชนเมืองในพื้นที่ปากแม่น้ำอระวดี สะโตงและสาละวิน บ้างยังใช้ภาษาเดิมได้และมีเป็นจำนวนมากที่พุดภาษาพม่าได้เพียงภาษาเดียว มีทั้งที่รุ้และไม่รู้เชื้อสายเดิมของตน นอกจากนี้ ยังพบว่าบางภาษาในประเทศพม่าเป็นภาษาที่มีลักษณะ "ลูกผสม" อย่างภาษากะเหรี่ยง จนยากที่จะกำหนดชัดว่าเป็นภาษากลุ่มใดดังนั้นภาษาจึงมิอาจนำมาพิสูจน์เชื่อสายของกลุ่มชนเหรือบุคคลได้ นั่นคือภาษาหาได้ผูกติดกับเชื้อชาติไม่
             จะเห็นได้ว่าแม้ภาษาจะเป็นระบบสื่อสัญลักษณ์อันซับซ้อนที่อยุ่คู่กับมนุษย์ก็ตาม แต่ภาาก็มิได้ผูกติดอยู่กับสายเลือด การหลงเข้าใจไปว่าภาษาบ่งบอกถึงเชื้อชาติได้นั้น ย่อมผิดจากข้อเท็จจริง เพราะไม่มีชนชาติใดอยุ่อยางโดดเดี่ยว และภาษาของกลุ่มชนหนึ่งๆ ก็ย่อมผันแปรไปตามสภาวะแวดล้อม ไม่หยุดนิ่งดุจแช่เเข็ง  ดังนั้นชนชาติต่างๆ ที่ร่วมเชื้อสายทางภาาากับพม่าดังกล่าวมา จึงย่อมมีข้อแตกต่างทางภาษามากหรือน้อยขึ้นอยูกับระดับความสัมพันธ์ระหว่งชสชาติ หาได้สืบทอดทางพันธุกรรม ข้อมูลทงภาษาจึงมิอาจสนับสนุนเรื่องเชื้อชาติให้เป็นจริงขึ้นมาได้
            ความรู้เกี่ยวกับเชื้อสายภาาาพม่าในทางภาษาศาตร์ข้างต้นนั้น ึงเพียงช่วยให้ทราบเครือข่ายภาษาพม่าอย่างเป็นระบบ และให้มองเห้นภาษาในฐานะเครื่องบ่งชี้ทางวัฒนธรรม (วิถีชีวิต) อย่างกนึ่ง ่วนเชื้อชาตินันอาจเป้นเพียงคำที่ถูกหยิบขึ้นมาเพื่อกำหนด สิ่งที่ไม่มีอยู่จริง และยากที่จะพิสูจน์ให้เห็น..www.gotoknow.org/posts/15542
            ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศพม่าปัจจุบัน ซึ่งมีตั้งแต่ได้รับเอกรชจากอังกฤษใน พ.ศ. 2491รัฐบาลกลางหลายชุดต่อกันมาได้สุ้รบกับกบฎเชื้อชาตและการเมืองไม่จบสิ้น หนึ่งนการก่อการกำเริบช่วงแรกๆ เป็นพวกนิยมซ้าย "หลายสี" ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า และโดยสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง กบฎเชื้อชาติอื่นปะทุขึ้นเฉพาะช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 หลังรัฐบาลกลาุงปฏิเสธรัฐบาลแบบสหพันธ์ อย่างไรก็ดี นับแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา การก่อการกำเริบด้วยอาวุธที่มีวัตถุประงค์ทางการเมืองค่อยๆ หมดไปเป็นส่วนใหญ่ แต่การก่อการกำเริบด้านเชื้อชาติยังคงอยุ่ และอยู่อย่างดี
            การก่อการกำเริบเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนหรือถูกใช้โดยต่างชาติ ทำให้การปิดประเทสทรุดหนัก ความสงสัยและความกังวลในหมู่ชาวพม่าทั้งชนกลุ่มน้อยในประเทศและต่างประเทศ อังกฤษบ้างกลุ่มสนับสนุนกะเหรี่ยง ปากีสถานตะวันออก (บังกลาเทศปัจจุบัน) หนุนหลังมุสลิม โรฮีนจาตามแนวชายแดนกับการหนุนหลังของตะวันออกกลางอินเดียกล่าวกันว่าข้องเกี่ยวกับกะฉิ่นและกะเหรี่ยงจีนสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (ภายหลังคือพวกว้าป กบฎนากและกะฉิ่น สหรัฐอเมริกาสนับสนุนก๊กมินตั๋ง อลัำทยสนับสนุนกลุ่มกบฎหลายกลุ่ม โดยเป็นการสร้างรัฐหรือพ้นี่กันชนก่อนการหยุดยิง กองทัพที่มีชาวพม่าเป็นส่วนใหญ่ได้ดำเนินการทัพในฤดูแลงทุกปีแต่คว้าน้ำเหลวพวกกบฎจะกลับมาทุกครั้งเมื่อกองทัพถอนกำลังกลับไป
         
 รัฐบาลกลางที่พม่าครอบงำ (พลเรือนหรือคล้ายทหาร) ไม่สามารถบรลุความตกลงทางการเมืองได้แม้เป้าหมายของการก่อการกำเริบทางเชื้อชาติสำคัญส่วนมาก คื อการปกครองตนเองมิใช่การแยกตัวเอกเป็นเอกราช ปัจจุบัน รัฐบาลได้นามความตกลงหยุดยิงอย่างอึดอัดกับกลุ่มก่อการกำเริบส่วนใหญ่ แต่กองทัพยังไม่ได้รับความเชื่อใจจากประชากรท้องถิ่น กองทัพถูกกล่าวหาอย่างกว้งขวางว่าปฏิบัติต่อประชกรท้องถ่ินอย่างเลวร้ายแต่ไม่ถูกลงโทษ และถูกมองว่าเป็นกองกำลังยึดครองในภูมิภาคเชื้อชาติต่างๆ
          สมัยปัจจุบัน ความขัดแย้งนั้นเป็นไปเพื่อต่อต้านรัฐบาลทหารซึ่งปกครองประเทศตั้งแต่ พ.ศ. 2505 ถึง 2554 ความขัดแย้งนี้เป้นสงครามที่กำลังดำเนินอยู่เก่าแก่ที่สุดในโลก และได้รับความสนใจจากนานาชาติอันเป็นผลจากการก่อการกำเริบ 8888 ใน พ.ศ. 2531  งานของนักเคลื่อนไหว ออง ซาน ซุจี การประท้องต่อต้านรัฐบาลในปลาย พ.ศ. 2550 และความเสียหายอันเกิดขึ้นจากพายุไซโคลนนาร์กิส ซึ่งทำให้ผุ้เสียชีวิตกว่า 80,000 คน และสูญหายอี 50,000 คนในกลาง พ.ศ. 2551
            ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2555 รัฐบาลพม่าประกาศความตกลงหยุดยิงกับกบฎกะเหรียง การหยุดยิงรวมถึงคตวามตกลงซึ่งกำหนดการสื่อสารเปิดเผยระหว่างรัฐบาลกับกบฎกะเหรี่ยง เช่นเดียวกับเปิดช่องทางปลอดภัยแก่กบฎกะเหรี่ยงในประทเศ รัฐบาลพม่าไ้นิรโทษกรรมนักโทษ KNU กว่า 6,000 คน และลดโทษนักโทษอีก 38,964 คน
            ความตกลงสันติภาพระหว่าง KNU กับรัฐบาลพม่าเป็นหนึ่งในข้อเรีกร้องหลักโดยประเทศตะวันตกก่อนจะมีการยกเลิกการลงโทษทางเศราฐกิจ..th.wikipedia.org/wiki/ความขัดแย้งภายในพม่า
           
   

วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Shino-Tibet Languese : Tibeto-Burman languages

            ตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า เป็นตระกูลย่อยของตระกูลภาษาจีน-ทิเบต ใช้พุดในเอเชียกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้ง พม่า ทิเบต ภาคหนือของไทย ภาคกลางของจีน ภาคเหนือของเนปาล ภูฎาน อินเดีย และปากีสถาน ภาษากลุ่มนี้มี 350 ภาษาพม่ามีผู้พูดมากที่สุด (ประมาณ 32 ล้านคน) มีผู้พูดภาษาทิเบตทุกสำเนียงอีกราว 8 ล้านคน นักภาษาศาสตร์บางคคเสนอให้จัดตระกูลทิเบต-พม่าเป็นตระกูลใหญ่ และให้กลุ่มภาษาจีนเป็นกลุ่มย่อยแทน..
            - ภาษาพม่า เป็นภาษาราชการของประเทศพม่า จัดอยุ่ในตระกูลภาษาโดยเป็นภาษาแม่ของคนประมาณ 32 ล้านคนในพม่าและเป็นภาษาที่สองของชนกลุ่มน้อยในพม่า และประเทศอินเดีย ประเทศบังคลาเทศ และสหรัฐอเมริกา ประเทศมาเลเซีย ประเทศไทย และสหรัฐอเมริกา ภาษาพม่าเป็นภาษาที่มีระดับเสียง หรือวรรณยุกต์ มีวรรณยุกต์ 4 เสียงและขียนโดยใช้อักษรพม่า ซึ่งดัดแปลงจากอักษรมอญอีกทอดหนึ่ง และจัดเป็นสมาชิกในตระกูลอักษรพรามมี
             ภาษาถิ่นและสำเนียง ภาษาพม่ามาตรฐานคือสำเนียงย่างกุ้ง ภาษาถิ่นในพม่าภาคเหนือและภาคใต้จะต่างจากภาษากลาง ภาษาถิ่นในเขตยะไข่หรือารกั ยังมีเสียง/ร/ แต่สำเนียงย่างกุ้งออกเสียงเป็น /ย/ ภาษาพม่าแบ่งอย่างกว้างๆ ได้ 2 ระดับ คือระดับทางการใช้งานวรรณคดี งานราชการและวิทยุกระจายเสียงระดับไม่เป็นทางการใช้ภายในครอบครัวและเพื่อ พระภิกษุชาวพม่ามักพุดกันเองด้วยภาษาบาลีซึ่งได้รับอิทธพิบจากพุทธศาสนา
             ภาษาพม่าไม่มีระบบการถอดเป็นอักษรโรมันที่แน่นอน คำหลายคำสะกดต่างจากที่ออกเสียง เช่น คำว่า พระพุทธเจ้า ออกเสียงว่า pha-ya แต่เขียนว่า bu-ya การถอดภาษาพม่าเป็นอักษรโรมันจึงทำได้ยากแต่พอจะใช้การถอดเป็นอักษรโรมันของภาษาบาลีมาเทียบเคียงได้ หรือบางที่อาจใช้ระบบ MLCTS
            การเรียงคำเป็นแบบ ประธาน-กรรม-กริยา ยกเว้นคำว่า ga (เป็น) ซึ่งจะวางต่อจากประธาน คำสรรพนามเปลี่ยนตามเพศและสภานะของผุ้ฟัง เป็นภาษาพยางค์เดียว แต่มีรากศัพท์และการเติมคำอุปสรรค การเรียงคำในประโยคไม่มีบุพบท สันธานแต่ใช้การเติมปัจจัย
            คำคุณศัพท์ มาก่อนคำนาม เช่น chuo-de- lu (สวยงาม+ de+คน= คนสวย) หรือตามหลังนาม เช่น lu chuo (คนสวย) การเปรียบเทียบใช้คำอุปสรรค a- คำคุณศัพท์-ปัจจัย zon คำคุณศัพท์บอกจำนวน ตามหลังคำนาม
             รากศัพท์ของคำกริยามักเติมปัจจัยอย่งน้อย 1 ตัว เพื่อบอกกาล ความสุภาพ รูปแบบกริยา เป็นต้น ไม่มีการใช้คำสันธาน รูปกริยาไม่เปลี่ยนตามบุคคล จำนวน หรือเพศของประธาน ตัวอย่างเช่น คำกริยา sa (กิน) เป็น
           sá-dè = กิน ปัจจัย dè ใช้แสดงปัจจัุบันกาล หรือใช้เน้นย้ำ เป็นต้น
     คำนามภาษาพม่าทำให้เป็นพหูพจน์โดยเติมปัจจัย dei (หรือ tei ถ้ามีเสียงตัวสะกอ) กาจใช้ปัจจัย myà ทีแปลว่ามากได้ด้วย ตัวอย่งเช่น nwá = วัว nwá- dei = วัวหลายตัว จะไม่ใช้ปัจจัยแสดงพหูพจน์เมื่อีการแสดงการนับคำนาม เช่น เด็กห้าคน ใช้คำว่า kelei (เด็ก) ngá (5) yauk (คน)
     ภาษาพม่ามีลักษณะนามเช่นเดียวกับภาษาจีน ภาษาไทย และภาษามลายู คำลักษณะนามที่ใช้ทั่วไปได้แก่
   
 ba ใช้กับคน (เฉพาะพระสงฆ์และแม่ชีป
      hli ใช้กับสิ่งของเป็นชิ้น เช่น ขนมปัง
      kaung ใช้กับสัตว์
      ku ใช้กับสิ่งไม่มีชีวิตโดยทั่วไป เป็นต้น
    คำสรรพนาม ที่เป็นรูปประธานฝช้ขึ้นต้นประโยค รูปกรรมจะมีปัจจัย-go ต่อท้าย ตัวอย่งเช่น ฉันเป็นทางการ ผุ้ชายใช้ kyaw-naw ผู้หญิงใช้ kyaw-mya ไม่เป็นทางการใช้ nga พูดับพระสงฆ์ใช้ da-ga หรือ da-be-daw (หมายถึง นักเรียน) เป็นต้น
    คำศัพท์ส่วนใหญ่มาจากภาษาตระกูลทิเบต -พม่า ศัพท์เกี่ยวกับศาสนา การศึกษา ปรัชญา รัฐบาลและศิลปะ ได้มาจากภาษาบาลีเป็นส่วนใหญ่ คำยืมจากภาาาอังกฤษมักเกี่ยวกับธุรกิจหรือการปกครองสมัยใหม่ คำยืมจากภาษาฮินดีมักเกี่ยวกับอาหารและการปรุงอาหาร..
    - th.wikipedia.org/wiki/ตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า

           

วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Shino-Tibet Languese : Tibean languages

            กลุ่มภาษาทิเบต เป็นกลุ่มย่อยของภาษาที่ไม่สามารถเข้าใจกันไ้ ของตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า ที่พุดโดยชาวทิเบตที่อยู่ในบริเวณเอเชียกลางติดต่อกับเอเชียใต้ ได้แก่ ที่ราบสูงทิเบต ภาคเหนือของอินเดีย ในบัลติสถาน ลาดัก เนปาล สิกขิม และภูฎาน ส่วนใหญ่ใช้ในการเขียนงานทางศาสนาโดยเฉพาะศาสนาพุทธ
           ด้วยเหตุผลทางการเมือง สำเนียงของภาษาทิเบตกลาง (รวมท้้งลาซา) คามและอันโดนในจีน ถือเป็นภาษาทิเบตเพียงภาษาเดียว ในขณะที่ภาษาซองคา ภาษสิกขอม ภาษาเศราปาและภาษาลาตัก ถือเป็นภาษาเอกเทศต่างหาก แม้ว่าผุ้พูดภาษาดังกล่าวจะถือตนว่าเป้นชาวทิเบตด้วย ในทางภาษาศาสตร์ ภาษาซองคาและภาษาเศรปามีความใกล้เคียงกับภาษาทิเบตด้วย ในทางภาษาศาสตร์ ภาษาซองคาและภาษาเศรปามีความใกล้เคียงกับภาษาทิเบตสำเนียงลาซามากกว่าสำเนียงคามและอัมโด
            มีผู้พูดกลุ่มภาษาทิเบตทั้งหมดราว 6 ล้านคน ภาษาทิเบตสำเนียงลซามีผุ้พุดประมาณ 150,000 คนที่เป็นผู้ลี้ภัยในอินเดียและประเทศอื่นๆ ภาษาทิเบตใช้พูดโดยชนกลุ่มน้อยในทิเบตที่อยู่ใกล้เคียงกับชาวทิเบตมากกว่าศตวรรษ แต่ไม่สามารถรักษาภาษาและวัฒนธรรมของตนไว้ได้ ชาวเกวียงในคามนั้น รัฐบาลจีนจัดให้เป็นชาวทิเบตแต่ภาษาเกวียงอิกไม่ใช่กลุ่มภาษาทิเบต แม้จะอยู่ในตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า
         
 - กลุ่มภาษาทิเบต-การเนารี หรือกลุ่มภาษาโบดิช-หิมาลัย เป็นการจัดจำแนกในระดับกลางของตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มภาษาทิเบตและภาษากาเนารี แตกต่างกันไปตามความเห็นของนักภาษาศาสตร์แต่ละคน
             เบเนดิคช์ เป้ฯคนแรกที่เสนอการจัดตั้งกลุ่มภาษานี้ แต่ได้ขยายขอบเขตของกลุ่มภาษาหิมาลัยให้รวมไปถึง ภาษาเกวียงอิก ภาษามาการิก และภาษาเลปชา
             แวน เดรียม เสนอว่า กลุ่มภาษาหิมาลัยตะวันออก กลุ่มภาษาโบดิชและกลุ่มภาาตามังอิก มีจุดกำเนิดร่วมกัน แสดงให้เห็นความแตกต่างในด้านของคำและจัดให้เกลุ่มภาษาหิมาลัยตะวันตกและกลุ่มภาษาตามังอิกอยู่ในกลุ่มภาษาโบิช ทำให้เกิดกลุ่มภาษาทิเบต-กาเนารีขึ้น มาทิซอฟฟ์ รวมกลุ่มภาษาโบด กลุ่มภาษาหิมาลัยตะวันตกและภาษาเลปชา เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง
            - ภาษาซันเดียล มีผู้พูด 2,000 คน จากชาวซันเดียลทั้งหมด 10,000 คน ชาวซันเดตียลอาศัยในต. ปักลุงและเมียกดีในเนปาล เป็นภาษาในกลุ่มตามันคิก เช่นเดียวกับภาษาคูรุง ภาษาทากาลี ภาษามานังบา ภาษานรพูและภาษาตามัง ที่เป็นกลุ่มย่อยของในตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า มีรากศัพท์และไวยากรณ์ใกล้เคียงกับภาษาทากลี
            - ภาษาทิเบตกลาง เป็นสำเนียงของภาษาทิเบต โดยเป็นกลุ่มของสำเนียงมีวรรณยุกต์ของภาษากลุ่มทิเบต ที่ไม่ใช่สำเนียงคาม การแบ่งแยกของภาษากลุ่มนี้ตาม Bradley(1997) ได้แก่ กลุ่มตะวันตก ได้แก่สำเนียงของลาดัก และแซนการ์ตอนบน ซึ่งอยุ่ตามแนวชายแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย และโธลิงซึ่งอยู่ทางตะวันตกสุดของทิเบต, ดบุส-อู พบในบริเวณงานีทางทิเบตตะวันตก ชายแดนด้านเหนือของเนปาล จังหวัดจั้ง และจังหวัดดอ เป็นพื้นฐานของภาษาทิเบตมาตรฐาน, กลุ่มเหนือพบทางตอนกลางค่อนไปทางเหนือของทิเบต และทางใต้ของมณฑลชิงไห่, กลุ่มใต้ ได้แก่สำเนียงทางใตของจังหวัดจัง สำเนียงที่พบในิกขอมและภูฎาน
              ภาษาทิเบตกลางตอนใต้ บางครั้งแยกเป้นสาขาใต้ของภาษากลุ่มทิเบต หรือเปนภาษาโบดชใต้ เนื่องจากภาษาในกลุ่มนี้มัพบตามแนวชายแดน จึงมักจะถูกกำนดให้ป็นภาษาใหม่ ในขณะที่สำเนียงอื่นไม่ถูกกำหนด เช่น ภาษาซองคา ของภูฎาน ภาษาเศรปา ในเนปาล และภาษาสิกขอมในอินเดีย
           
 - ภาษาซองคา เป็นภาษาประจำชาติของภูฎาน อยุ่ในตระกูลจีน-ทิเบต สาขาทิเบต-พม่า ใกล้เคียงกับภาษาทิเบตสมัยใหม่เที่ยงได้กับความแตกต่างระหว่างภาษาสเปนกับภาษาอิตาลี พระในทิเบตและภูฎาน เรียนภาษาทิเบตโบราณเพื่อการอ่านคัมภีร์พุทธศาสรา คำว่าซองคาหมายถึง ภาษา (คา) ที่พูดในวัดที่มีลักษณะเป็นป้อมปราการ (ซอง) ภาษานี้แพร่เข้ามาในภูำานเมือราว พ.ศ. 2200 โดย ซับดรุง งาวัง นัมกเยล
               ภาษาซองคาและภาษาถิ่นอื่นๆ เป็นภาษาแม่ของภูฎานตะวันตก มีผู้พูดภาษานี้ในเมืองกาลิมปงของอินเดียที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของภูฎาน แต่ปัจจุบันอยุ่ในรัฐเบงกอลตะวันตก ภาษาซองคาเป้ฯภาษาที่ใช้ในดรงเรียน เป้นภาษากลางในภูฎานตอนใต้และตะวันออกที่ไม่ได้ใช้ภาษนี้เป็นภาษาแม่ เชียนด้วยอักษรทิเบต หนังสือพิมพ์ด้วยอักษรทิเบตแบบอุคันซึ่งเป็นแบบเดียวที่ใช้พิมพ์ภาษาทิเบต
              - ภาษานัรพู เป็นตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า ใช้พุดในหมุ่บ้านนัรและหมู่บ้านพูในหุบเขานัรโพลา ตำบลมานัง ประเทศเนปาล
              - ภาษาเศรปา หรือภาษาเศรปา ภาษาชาร์ปา ภาษาชาร์ปา โภเตีย ภาษาเว๊ยเออร์บา ภาษาเซอร์วา เป็นภาษาที่ใช้พูดในบางส่วนของเนปาล โดยเฉพาะในชุมชนชาวเศรปา อยุ่ในเนปาล 130,000 คน ( ปี 2544) อยุ่ในอินเดีย 20,000 คน ( ปี 2540) อยู่ในทิเบต 800 คน (ปี 2537)
               ไวยากรณ์ ลักษณะทางไวยากรณ์ของภาษาเศรปา ได้แก่ ไม่มีการผันคำนาม คำขยายตามหลังคำนาม มีลักษณนามที่ตามหลังนาม คำขยายกริยาตามหลังกริยา ใช้ปรบทซึ่งจะมาก่อนนามวลี เรียงประโยคแบบประธาน-กรรม-กริยา

                    - http://th.unionpedia.org ค้นหา "กลุ่มภาษาทิเบต"
         

วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Shino-Tibet Languese : Hànyǔ II

           ภาษาหมิ่น เป็นหนึ่งในภาาาของตระกูลภาษาจีน พูดทางตะวันออกเฉียงใต้ ของมณฑลผู่เจี้นย และผู้ที่อพยพไปมณฑลกวางตุ้ง หูหนาน และไต้หวัน แบ่งย่อยได้เป็น ภาษาหมิ่นเหนือ (Min Bei) ภาษาหมิ่นใต้หรือภาษาฮกเกี้ยน (Min nan) และสำเนียงอื่นๆ เป็นภาษาหลักของชาวจีน ในฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
            ภาษาจีนหมิ่นมีความหลากหลายของสำเนียงมากกว่าสำเนียงอื่นๆ ของภาษาจีน ซึ่งเปบ่งตามความสามารถในการเข้าใจกันได้เป็น 5-9 ภาษา เช่นภาษาหมิ่นต้ง (หมิ่นตะวันออก) ภาษาหมิ่นบนแผ่นดินใหญ่ เช่น ภาษาหมิ่นเชาเจียง ภาษาหมิ่นเป่ย ภาาาหมิ่นจ้ง และกลุ่มภาษาหมิ่รตามแนวชายฝั่ง ได้แก่ ภาษาหมิ่นต้ง ภาษาหมิ่นผูเซียน ภาษาหมิ่นหนาน และภาษาซยงเหวิน ภาษาหมิ่นเชาเจียงอาจแยกเป็นหลุ่มย่อยต่างหากภายในภาษาจีนหม่ิน เพราะเป็นภาษาที่แตกออกไปเป็นภาษาแรก
           ภาษาหมิ่นต้งเป็นภาษาที่มีศูนย์กลางที่เมืองฝูเจี้นน และทางตะวันออกของมณฑลกวางตุ้ง ภาษาหมิ่นผูเซียนแต่เดิมเป็นสำเนียงของภาษาหมิ่นหนาน แต่ได้รับอิทธิพลจากภาษาหม่ินตั้งนำเนียงฝูโจว สำเนียงซยงเหวินที่ใช้พูดในเกาะไหหลำซึ่งบางครั้งจะแยกเป็นภาษาต่างหากแต่เดิมเป็นสำเนียงของภาษาหมิ่นหนาน แต่ต่อมามีลักษณะทางสัทวิทยาเปลี่ยไปมากขึ้น
          ภาษาหมิ่นนานยังเรียกตามสถานที่ที่ภาษานั้นใช้พูด เช่น ภาษาไต้หวัน สำเนียงงอมมอยแห่งเซี่ยเหมินเป็นสำเนียงของภาษาหมิ่นหนานที่ใช้พูดทั้งในจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวันสำเนียงแต้จิ้วกลายเป็นสำเนียงที่สำคัญอีกสำเนียงหนึ่ง
          Glossika ได้แบ่งภาษาจีนเหมิ่นออกเป็น 8 สำเนียง คือ ภาษาหมิ่นเหนือหรือหม่ินเปยในเขตหนานผิงของผูเจี้ยนแต่สำเนียงเจียนโอวเป็นสำเนียงมาตรฐานของภาษาหมิ่นเป่ย ภาาาหมิ่นเชาเจียงในบริวเณหนานผิงตะวันออกและใกล้เคียง ถ้าเปบ่งอย่างกว้างจะนับเป้นสำเนียงของภาษาหมิ่นเป่ย ภาษาหมิ่นตะวันออก หรือหมิ่นต้งในฝูโจวและนิงเต ภาษหมิ่นกลางหรือหมิ่นจ้งในเขตซานมิง ภาษาหมิ่นผูเชซียนในเขนผูเซียน ภาษาหมิ่นใต้หรือหมิ่นหนานในจ้างโจว ชวานโจวและเซี่ยนเหมิน รวมทั้งบนเกาะไต้หวัน (สำเนียงฮกเกี้ยน) และทางตะวันออกของกวางตุ้ง (สำเนียงแต้จิ๋วป บางครั้งจัดให้สำเนียงฮกเกี้ยนและแต้จิ๋วเป็นภาษาต่างกาห ภาษาเหล่ยบดจวบนคาบสมุทรเหล่ยดจตงวมณฑลกว่างตุ้ง และภาษาไหหลำบนเกาะไหหลำ ถ้าแบ่งอย่างกวางจะรวมภาษาเหล่ยโจวกับภาาาไหหลำเป็นภาาาเดียวกัน หรือเป็นสำเนียงของภาษาหมิ่นใต้ ภาษาหมิ่นใต้ในกวางตุ้งเรียกฮกโล ในไหหลำเรียกซยกเหวินหรือซยงโจว ฮวา ภาษาหม่ินใต้เป้นสำเนียงที่โดดเด่นของชาวจีนในฟิลิปปินส์ที่รู้จักกันในชื่อภาษาลันนัง ในไต้ไวัน ภาษาหิม่ินได้เรียกกว่าเฮอเล่อโดย ซึ่งใช้พุดเป็นภาษาของประชากรส่วนใหญ่ ภาษาหมิ่นหนานจะถูกเรียกว่า ภาษาจีนฮกเกี้ยนในสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และประเทอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะสำเนียงแต้จิ๋ว
            ยังเป็นที่โต้แย้งนบรรดานักประวัติศาสตร์ว่าภาษาจีนหมิ่นเกิดขึ้นเมื่อใด แต่ได้มีการอธิบายการอพยพหลายครั้งที่ส่งผลต่อภาษาจีนหม่ิน ได้แก่
            ใน พ.ศ. 851 มีการอพยพครั้งใหญ่จากเหนือสู่ใต้เนื่องจากการลุกฮือวูฮู และเป้นการนำภาษาจีนที่ใช้พุดในสมัยราชวงศ์ฉินสู่ผูเจี้ยน
            ใน พ.ศ. 1212 เฉินเจิงและบุตรชายคือ เฉิ่น ยวังอวังจากเขตกูวชือในเหอหนานได้สร้างเขตปกครองในฝูเจี้ยนและได้ปกครองพื้นที่ชวานโจและจ้างโจวเป็นเวลาสี่ชั่วคน และำด้นำภาษาจีนที่พูในสมัยต้นราชวงศ์ถังเข้า 
            ในสมัยราชวงศ์ถังได้มีการนำระบบสระเบบเชียยุนเข้ามาใช้ในภาษาจีนหมิ่น
             เมื่อสิ้นุดราชวงศ์ถังใน พ.ศ. 1435 วังเชาได้ก่อตั้งอาณาจักรหมิ่นใน พ.ศ. 1452 ในฝูเจี้ยน อาณาจักรหมิ่นนี้เป็นหนึ่งในสิบอาณาจักรในสมัยห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร วังเขาและวัง เชินจือมาจากกูชื่อในเหอหนานและได้นำภาษาจีนยุคปลายราชวงศ์ถังเข้ามาในฝูเจี้ยน
            ระบบการเขียน เมื่อมีการใช้อักษรจีนเขียนภาษาที่ไม่ใช่ภาษาจีนกลางจะใช้ตัวอักษรที่มีความเกี่ยวข้องกับภาษาที่ใช้และประดิษฐือักษรใหม่สำหรับคำที่ไม่มีในภาษาดั้งเดิม ในางกรณีมีการออกเสียงต่างไป หรืออาจจะมีความหมายต่างไป ซึ่งการเขียนภาษาจีนกวางตุ้ง ได้ใช้การเขียนในลักษณะนี้ ในที่สุด การเขียนแบบนี้จะไม่เป็นที่เข้าใจสำหรับผู้พุดภาษาจีนกลาง เพราะมีการเปลี่ยนแปลงของไวยกรณ์ คำศัพท์ และใช้ตัวอักษรที่ไม่มีในภาษาจีนกลางจำนวนมาก
           ภาษหมิ่นได้พัฒนาด้วยระบบนี้เช่นกัน แต่ไม่มีระบบมาตฐานสำหรับภาษาหมิ่น แม้จะมีการออกแบบอักษณเฉพาะ ซึ่งจะมีคำยืมจากภาษาอื่นๆ ที่ไม่ใช้ภาษาจีน เช่น คำในภาษาท้องถ่ินของในเหาะไต้หวัน ที่มีในภาษาไต้หวันรวมทั้งคำขืมจากภาษาญี่ปุ่น ในสิงคโปร์ มาเลเซีย ภาษาจ่ินหม่ินจะมีคำยืมจากภาษามลายู ภาษาอังกฤษ และอื่นๆ การเขียนภาษาหม่ินด้วยอักษรจีนล้วนๆ จึงไม่แสดงการพุดภาษาหมิ่นจริงๆ แต่จะป็นรูปแบบของภาษาจีนกลางอยู่มาก 
ภาษาเซียง
         มีความพยายามใช้อักษรสะตินในการเขียนภาษาหมิ่น บางกลุ่มใช้อักษรละตินแบบที่ใช้ดดยมิชชันนารีหรือเจียวฮุย ลัวมาจือ สำหรับภาษาหมิ่นใต้ จะใช้ระบบการเขียนด้วยอักษรละตินที่เรียก เปะอั่วจี และระบบสำหรับภาษาหมิ่นตะวันออกที่เรียก ปั้งอั๋วเส ทั้งสองระบบคิดค้นดดยมิชชันนารีชาวต่างชาติในพุทธศตวรรษที่ 24 มีการเขียนแบบไม่เป็นทางการที่ใช้อักษรจีนควบคู่กับอักษรละตินสำหรับคำที่ไม่มีอักษรจีนกำกับ
ภาษาแคะ
           ภาษาไต้หวัน มักหมายถึง ภาาฮกเกี้ยน ภาษาซึ่งใช้่โดยราว ๆ ร้อยละเจ็ดสิบของประชากรในสาธารรัฐจีน และอาจหมายถึง ภาษาจีน ภาาทีใช้ทั่วไปในชีิวิตประจำวันของเกาะไต้หวัน, ภาษาหนึ่งภาษาใดในกลุ่มภาษาของเกาะไต้หวัน, ภาษาหนึงภาาาใดในกลุ่มภาาาฟอร์โมซา ซึ่งเป็นภาษาถ่ินในเกาะไต้หวัน
           ภาษาเซียง คือหนึ่งในภาษาของตระกูลภาษาจีน มีผู้พุด 36 ล้านคนในมณฑลหูหนาน เสฉวน กวางสี และกว่างตุ้ง แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มคือภาาาเซียงโบราณ และภาาาเซียงสมัยใหม่ที่มีอิทธิพลในภาาจีนกลางมาก
ภาษากั้น
           การแพร่กระจายทางภูมิศาสตร์ มีผู้พูดมากว่า 36 ล้านคนในจีน โดยเฉพาะทาตงตอนกลางและตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลหวางตุ้ง ส่วนใหญ่ถูกฮอบล้อมโดยผุ้พุดภาาาจีนกาง และติดต่อกับผู้พุดภาาาม้งทางตะวันตกเฉียงเหนือ สำเนียงแบ่ง เป็น 2 กลุ่มคือภาษาเซียงดบราณแฃละภาาาเซียงสมัียใหม่ ภาษาเซียงโบราณเป็นภาษาที่คงลักษณะของภาษาจีนยุคกล่างมีุ้พุดทางใต้สวนภาษาเซียงสมัยใหมใ่ ที่รับอิทธิพลจากภาษาจีนกลางมีผุ้พุดทางเหนือ
              ภาษาแคะ ภาษาขักกา หรือเค่อเจียฮว่า คือหนึ่งในภาาาของตระกูลกลุ่มภาษาจีนมีผู้พูด 34 ล้านคน เป้นภาษาของชาวฮั่น ที่มีพรรบพุรุษอยู่ในมณพลเหอหนานและศส่านซี ทางเหนือของจีนเมือหว่า 2,700 ปีที่แล้วต่อมาชาวแคะอพยพไปทางใต้เข้าสู่มลฑลกว่างตุ้งและฝูเจี้ยนและไปเป็นชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก
              กั้น คือหนึ่งในภษาของตระกูลกลุ่มภาษาจีน มีผุ้พุด 31 ล้านคนในมณฑลหูหนาน เสฉวน มณฑลหูหนาน และมณฑลเจียงซี แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ ภาษาเซียงโบราณ และภาษาเซียงสมัยใหม่ที่มีอิทธิพลในภาษาจีนกลางมาก

                  - th.wikipedia.org/wiki/ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต

วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Shino-Tibet Languese : Hànyǔ

            ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต เป็นตระกูลของภาษาที่รวมภาษาจีนและตระกูลที่รวมภาษาจีนและตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า มีสมาชิกทั้งสิ้น 250 ภาษา ส่วนใหญ่เป็นภาษาเอเชียตะวันออกมีจำนวนผู้พูดเป็นอัดดัสองของโลกรองจากภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปี้ยน ภาษาในตระกูลนี้มีลักษณะร่วมกันคือมีเสียงวรรณยุกต์
             ภาษาจีน เป็นหนึ่งในตระกูลบภาษาจีน-ทิเบต ชาวจีนส่วยใหญ่ถือภาษาจีนพูดชนิดต่างๆ ว่าเป็นภาษาเดียว โดยทั่วไแล้ว ภาษาพูดในกลุ่มภาษาจีนเป็นภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์และไม่อ่านเหนื่องเสียง อย่างไรก็ดี ยังมีความแตกต่างกันในภาษาพูดแต่ละภาษาอยู่มาก  ความต่างเหล่านนี้เที่ยได้กับ ความแตกต่างระหว่างภาษาของภาาากลุ่มโรมานซืเราอาจแบงภาษาพูดของจีนได้ 6-12 กลุ่ม ขึ้นอยุ่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง ที่เป้นที่รู้จักดี เช่น กลุ่มแมนดาริน กลุ่มหวู และกลุ่มกวางตุ้ง ยังเป็นที่โต้เถียงกันถึงปัจจุบันว่าภาษาพูดบางกลุ่มควรจัดเป็น "ภาษา" หรือเป็นแค่ "สำเนียง"
            ประชากรประมาณ 1/5 ของโลกพูดภาษาจีนแบบใดแบบหนึ่งเป็นภาษาแม่ ทำให้เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแม่มากที่สุด เสียงพูดที่ถือเป็นมาตรฐาน คือ สำเนียงปักกิ่ง หรือ ภาษาฮั่น ซึ่งอยู่ในกลุ่มภาษาแมนดาริน ภาษาจีนกล่าง หรือ ภาษาจีนแมนดาริน เป็นภาษาทางการของสาธารณรัฐประชาชนจีน และสาธารณรัฐจีนหรือไต้หวันเป้นหนึ่งในภาษาทางการ 4 ภาษาของประเทศสิงคโปร์ (ร่วมกับ ภาษาอังกฤณษ ภาษามลายู และภาษาทมิฬ) และเป็นหนึ่งใน 6 ภาษาที่ใช้ในองค์การสหประชาชาติ (ร่วมกับ ภาษาอังกฤษ ภาษาอาหรับ ภาษาฝรั่งเศส ภาษารัสเซีย และภาษาสเปน) ภาษาจีนกวางตุ้ง เป็นภาษาทงการของ ฮ่องกง (ร่วมกับภาษาอังกฤษ) และมาเก๊า (ร่วมกับภาษาโปรตุเกศ)
             นอกจากนี้ ภาษาเขียนยังได้เปลี่ยนแปลงตามระยะเวลาแต่การเปลี่ยนแปลงของภาษาเขียน ช้ากว่การเปลี่ยนแปลงของภาษาพูดอย่างมาก จึงไม่ถูกจำกัดโดยความเปลี่ยนแปลงของภาษาพุดโดยส่วนใหญ่ ในปัจจุบัน ภาษาจีนใช้อักษรมาตรฐาน 2 รูปแบบทั่วโลก ได้แก่ อักษรจีนตัวเต็ม และอักษณจีนตัวย่อ
           ภาษาจีนกลาง หรือที่เรียกในประเทศจีนว่า "ภาษาฮั่น" เป็นภาษาหลักของภาษาจีนและเป็นใน 6 ของภาษาราชการของสหประชาชาติ ในปัจจุบันมีผุ้ใช้มากว่า 800 ล้านคนทั่วโลก
             ขื่อภาษาจีนกลางเป็นคำที่คนไทยใช้เรียกภาษาหลักของจีน ซึ่งในประเทศจีนจะเรียกภาษนี้ว่า ฮ่นอวี่ แปลว่า ภาษาฮั่น อันเป็นภาษาของชาวฮั่น ที่เป้นคนส่วนใหญ่ของประเทศจีน ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า "Mandarin" ซึ่งมีรากจากคำในภาษาโปรตุเกส อันหมายถึง "ภาษาราชการ" ของเจ้าหน้าที่รคัฐของจีน
               ในวงแคบ คำว่า ภาษาจีนกลาง ใช้เรียก ผู่ทงฮั่ว และกั่วอวี่ ซึ่งเป้นภาษาพูดมาตฐานที่เกือบจะเหมือนกัน ซึงมีพื้นฐานมาจากภาษาพูดมาตรฐานที่เกือบจะเหมือนกัน ซึ่งมีพื้นฐานมาจากภาษาูดทีทช้กว้างขวาง คือ เปยฟางฮั่ว ซึ่งความหมายในวงแคบลนี้ คือความหมยที่ใช้ในบริบทนอกวิชาการ
             
ในวงกว้าง คำว่า ภาษาจีน ใช้เรียก เปยฟางฮั่ว ("ภาษาพูดทางเหนือ") ซึ่งเป้นประเภทที่ประกอบด้วยภาษาย่อยต่างๆ ของภาษาจีนที่ใช้ในทางตอนเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ของจีนซึ่งความหมายนี้มักจะพบในบริบททางวิชาการ และจะใช้ความหมายนี้ในบทความนี้ โดยที่ผู้ตงฮั่วและกั้วอวี่ จะใช้ชื่อจีนเรียกรวมถึงใช้ "ภาษาจีนกลางมาตรฐาน" และ "ภาษาจีนมาตรฐาน" เรียก
                ภาษาประเภทเป่ยฟางฮั่วมีคนพูดมากกว่าภาษาอื่นๆ และเป่ยฟางฮั่วก็เป็นพื้นฐ,านของผู่ตงฮั่วและกั๋วอวี่ด้วย อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า เปยฟางฮั่วครอบคลุมภาษาย่อยจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าใจกันได้ นอกจากนี้ แนวคิดเป่ยฟางฮั่วส่วนใหญ่ ไม่ใช้นอกวงการวิชาการเป็นคำที่ใช้อธิบยตัวเอง เมื่อให้อธิบายชนิดของภาษาพูดท่ใช้ คนจีนที่พุดชนิดของเปยฟางฮั่วจะอธิบายตามชนิดของภาษาจีนกลางที่พุด เป้นสวนหนึ่งของการระบุมณฑลที่อาศัยอยู่ อย่งไรก็ดี แทบจะไม่มีอะไรที่สามารถระบุได้โดยทั่วไป เกี่ยวกับแนวคิดของภาษาพูดทางเหนือ
               เหมือนกับภาษาอื่นๆ การจัดภาษาจีนกลางเป็นภาษาเดียวหรือเป็นภาษาย่อย ยังคงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่
                ภาษาอู๋ เป็นภาษาหนึ่งในตระกูลภาษาจีน ผุ้พูดสวนใหญอยู่ในมณฑลเจียงซี นครเซียงไฮ้ ทางใต้ของเจียงซู  และบางส่วนใน อันฮุย เจียงสีและฝูเจี้ยนมีผุ้พูด 87 ล้านคน (เมื่อปี พ.ศ. 2534) โครงสร้างประโยคส่วนใหญ่เป็นแบบ ประธาน-กรรม-กริยา โดยมีโครงสร้างประดยคเช่นนี้มากว่า ภาษาจีนกลาง และภาษาจีนกลางตุ้ง ภาาอู๋มีหลายสำเนียง ดดยสำเนียงที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือสำเนียงเซี่ยงไฮ้ หรือ ภาษาเซี่ยงไฺฮ้
                 จำนวนผู้พูดโดยเฉลี่ยของสำเนียงอู๋จะอ้างถึงสำเนียงของตนและเพ่ิมชื่อถิ่นที่อยู่ของตนเข้าไป คำท่ใช้เรียกภาาาอู่มีหลายคำ อาทิ ภาษาอู๋ ภาษาเซียงไฮ้ ภาษาอู่เยว่, ภาษาเจียงหนาน, ภาษาเจียงเจ๋อ
                 ภาษาอู๋ สมัยหม่เป้นภาษาที่ใช้ดดยชาวอู๋และชาวเยว๋ที่มีศูนย์กลางอยู่ทางใต้ของเจียงซูและทางเหนือของเจ๋อเจียง คำในภาษาญี่ปุ่นที่หมายถึงภาษาจีน การออกเสียงตัวคันจินี้มาจากบริเวณที่พุดภาษาอู๋ในปัจจุบัน
                 ภาษาอู่สืบทอดมาจากภาษาจีนยุคกลาง ภาษาอู๋จัดเป็นสำเนียงที่แยกตัวออกในช่วงต้นๆ และยังคงมีลัษณะของภาาาในยุคโบราอยู่มาก แต่ก็ได้รับอิทธิพลจากภาาาจีนเหนือหือแมนดารินระหว่างพัฒนาการ ซึ่งเป็นเพราะลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ใกล้เคียงกับภาคเหนือ และในบริเวณนี้เป้ฯพื้นที่ที่ได้รับการศึกษาสูง ระหว่างการลุกฮือของ อู๋ ฮู และหยนภัยของหยงเจี้ย ทำให้มีชาวจีนทางเหนือเข้ามตั้งหลักแหล่งมาก สวนใหญ่มาจากเจียงซู และซานตง มีส่วนน้อยมาจากที่ราบภาคกลาง ทไใ้เกดภาษาอู๋สมัยใหม่ขึ้น ในช่วงเวลาระหว่างราชวงศ์หมิง และยุคสาะารณรับตอนต้นเป็นช่วงลักษณะของภาาอู๋สมัยใหม่ได้ก่อตัวขึ้นมา สำเนียงซูโจวเป้นสำเนียงที่ได้รับอิทธิพลมากที่สุดและมัใช้อ้างอิงเป็นตัวอย่างของภาษาอู๋
               ในช่วงหลังจากกบฎไท่ผิง จนส้ินสุดราชวงศ์ชิง บริเวณที่พุดภาษาอู๋ถูกทำลายด้วยสงคราม เซี่ยงไฮ้เป็นบริเวณที่มีผู้อพยพจากส่วนอื่นๆ ที่ใช้ภาษาอู๋เข้ามามาก ทำให้มีผลต่อสำเนียงเซี่ยงไฮ้ เช่นมีการนำอิทธิพลของสำเนียงนิงโปเข้ามา และจากการเพ่ิมประชากรอย่างรวดเร็วทำให้กลายเป็นบริเวณที่เป็นศูนย์กลาง สำเนียงเซี่ยงไฮ้จึงมีความสำคัญมากว่าสำเนียงซูโจว
              หลังจากก่อตั้งสาธารณรับประชาชนจีน มีการสนับสนุนให้ใช้ภาษาจีนกลางอย่างมากในบริเวณที่ใช้ภาษาอู๋ ภาษาอู๋ไม่มีการใช้ในสื่อต่างๆ และโรงเรียร หน่วยงานทางราชกาต้องใช้ภาษจีนกลางด้วยอิทธิพลของผุ้อพยพเข้าที่ไม่ได้ใช้ภาาอู๋ การที่สื่อต่างๆ ใช้ภาษาจีนกลาง ทำให้เด็กที่เติบโตขึ้นมาคุ้นเคยกับภาษาจีนกลางมากกว่าภาษาอู๋ มีประชาชนจำนวนมากที่ต้องการอนุรัษ์ภาษานี้ มีรายการโทรทัศน์ที่ใช้ภาษาอู๋อีกคร้้งแต่ก็ยังมีขอบเขตจำกัด...
             ภาษาจีนกวางตุ้ง (ชาวจีนเรียกว่า เยฺว่) เปนหนึ่งในภาษาของตระกูลภาาจีน ผู้พูดสวนใหญ่อยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน บริเวฒมณฑลแถบตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้แก่มณฑลหวางตุ้ง เขตบริหารพิเศษฮ่องกง มาเก๊า และยังใช้มากในหมู่ของชาวจีนแถบตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้แก่มณฑลกวางตุ้ง เขชตบริหารพิเศษฮ่องกง มาเก๊า และยังใช้มากในหมู่ของขาวจีนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับเหล่าชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโบกที่อพยพไปจากมณฑลกว่าตุ้งอีกด้วย โดยที่สำเนียงกวางเจาจัดเป็นสำเนียงกลางของภาษาจีนกวางตุ้ง มีผู้พุดทั่วโลกราวๆ 71 ล้านคน ซึ่งภาษากวางตุ้ง มีผู้พูดทั่วโลกราวๆ 71 ล้านคน ซึ่งภษากวางตุ้งจัดได้ว่าเป็นภาษาถิ่นอันดับหนึ่งของจีนที่คนพูดมากที่สุด และเป็นภาษาที่ใช้ทางการเป็นอันดับสอง รองลงมาจากภาษาจีนกลางที่เป็นภาษาราชการหลักของประเทศ
           ในยุคโบราณ เขตมณฑลหวางตุ้งปัจจุบันมีชาวฮั่นอาศัยอยุ่น้อย การอพยพเข้ามาของชาวฮั่นเริ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น ภษาจีนของชาวฮั่นได้ผสมผสานเข้ากับภษาของชาวพื้นเมือง สมัยราชวงศ์สุ่ยภาคกลางของจีนเกิดสงครามบ่อย ชาวจีนฮั่นจำนวนมากจึงอพยพลงใต้ คาดว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ภาษาจีนกวางตุ้งเริ่มพัฒนาขึ้นมา ในสมัยราชวงศ์ถัง การอพยพของชาวจีนเข้าสู่กวางตุ้งยังคงเพ่ิมขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีบางส่วนกระจายไปยังพื้นที่ใกล้เคียงคือมณฑลกวางสี ในยุคนี้ ภาษาจีนกวางตุ้งได้รับอิทธิพลจากภาษาจีนในภาคกลาง เริ่มมีการจัดมาตรฐาน แต่ในเวลาเดียวกันก็มีการพัฒนาคำศัพท์ และลักษณะเฉพาะของตนขึ้นมา
         
ในสมัยราชวงศ์ซ้อง หงวนและหมิง ภาษาจัีนกวางตุ้งเริ่มมีเอกลักษณ์ของตนที่ต่างจากภษาจนอื่นๆ ชัดเจนมากขึ้น ช่วงปลายสมัยราชวงศ์ชิง เมืองกวางโจว เป้ฯเมืองท่าที่ติดต่อกับต่างชาติ มีชาวต่างชาติ มีชาวต่างชาติเรียนภาษาจีนกวางตุ้ง และใช้ภาษาจีนกวางตุ้งในการค้าขาย
           ตั้งแต่ พ.ศ. 2492 เป็นต้นมาผู้พูดภาษาจีนกวางตุ้งส่วนใหญ่พูดภาษาจีนกลางด้วย โดยใช้ภาษาจีนกลางเป็นภาษาราชการและใช้ภาษาจีนกวางตุ้งเป็นภาษาในชีวิตประจำวัน ในฮ่องกงใช้ภาาจีนกวางตุ้งเป็นภาษาในภาพยนตร์และใช้ในการติดต่อธุรกิจกับชาวจีนโพ้นทะเล ปัจจุบันภาษานี้บังใช้ในการศึกษาและใช้กันในฮ่องกงและในหมุ่ชาวจีนโพ้นทะเล การแพร่หลายของส่อที่ใช้ภาษาจีนกวางตุ้งจากฮ่องกง ทำให้มีคำยืมจากภาษาจีนกวางตุ้งแพร่ไปสู่ภาาาจีนสำนเียงอื่นๆ ด้วย
           สำเนียงที่สำคัญมี 4 สำเนียงคือ สำเนียง Yuehai ใช้พุดในกวางโจว ฮ่องกง และมาเก๊า สำเนีงไถ่ซอน ใช้พุดในไชน่าทาวน์ในสหัฐก่อน พ.ศ. 2513 สำเนียง Gaoyan ใช้พุดใน Yanjiang และสำเนียง Guinan ใช้พุดในกวางสี โดยทั่วไป สำเนียงที่สำคัญที่สุดคื อสำเนียง Yuehai
            แม้ว่าภษาจีนกลางจะเป็นภาษามาตรฐานและเป็นภาษากลางในจีนและไต้หวัน ภาษาจีนกวางตุ้งยังคงเป็นภาษาหลักของชาวจีนโพ้นทะเลรวมทั้งในฮ่องกง ซึ่งเป็ฯเพราะว่าผุ้อพยพเหล่านี้ออกจากกวางตุ้งไปก่อนที่ภาษาจีนกลางจะเข้ามามีอิทธิพลหรือมิฉะนั้นก็เป็นเพราะในฮ่องกงมิได้ใช้ภาาจีนกลางอยางสมบูรณ์
            ภาษาจีนกวางตุ้งเป้นภาษาที่มีลักษณะอนุรักษนิยมมากกว่าภาษาจีนกลาง เช่นมีเสียงตัวสะกดมากกว่า แต่ภาษาจีนกวางตุ้งก็ไม่มีวรรณยุกต์บางเสียง และรวมบางเสียงเข้าด้วยกัน
            สำเนียงไถ่ซานที่ใช้พูดในสหรัฐปัจจุบันถือเป็นสำเนียวที่มีลักษณะอนุรักษนิยมมากว่าสำเนียงที่ใช้พุดในกวางโจวและฮ่องกง โดยยังคงรักษาคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียง /n-/ ซึ่งผู้พูดภาษาจีนกวางตุ้งที่เกิดในฮ่องกงหลังสงครามดลกครั้งที่ 2 เปลี่ยนเป็นเสียง /l-/ และไม่มีคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียง /ŋ-/ ตัวอย่างเช่น ngàuh nām เป็น àuh lām 
            ระบบเสียงของภาษาจีนกวางตุ้งต่างจากภาษาจีนกลางที่ใช้พยางค์ต่างกันเป็นส่วนใหญ่ ชุดของเสียงวรรณยุกต์ก็ต่างกัน ภาาาจีนกวางตุ้งีวรรณยุกต์ 6-7 เสียง มีความต่างของเสียงวรรณยุกต์ระหว่างคำเป็นและคำตาย ในขณะที่ภาษาจีนกลางมีวรรณยุกต์ 5 เสียง ภาษาจีนกวางตุ้งยังคงมีเสียงตัวสะกดหลายเสียง เช่น เดียวกับ ภาษา ฮากกา และภาษาจีนฮกเกี้ยน คือ /-m/, /-n/, /-ŋ/, /-p/, /-t/, /-k/ ส่วนภาษาจีนกลางมีเพียงเสียง /-n/, /-ŋ/ อย่างไรก็ตามระบบเสียงสระของภาษาจีนกลางมีลักณะอนุรักานิยมมากว่าดดยยังคงมีเสียงสระประสมบางเสียงที่หายไปแล้วในภาาาจีกวางตุ้ง..th.wikipedia.org/wiki/ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต
         

           

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...