วันอังคารที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Bahasa ; Confict Part 3

           ในปี พ.ศ. 2490 ฮัจญีสุหลง อับดุลกอเดร์ ต่วนมีมาลย์ (โต๊ะมีนา) โต๊ะอิหม่ามผู้เป็นผุ้นำทางความคิดของชาวปาตานีได้ยื่นข้อเรียกร้องเจ็ดข้อตอ่รัฐบาลไทย โดยข้อสามและข้อสี่ เป้นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับภาษามลายู
            "ข้อ 3 ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทยเป้นภาษาราชการของสี่จังหวัด (ชายแดนภาคใต้), ข้อ 4 ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลางของการสอนในโรงเรียนชั้นประถมศึกษา" ข้อเรียกร้องเพื่อสิทธิและความเป็ฯธรรมในการมีส่วนร่วมการในปกครองของคนมลายูทั้งเจ็ดข้อทำให้ฮัจญีสุหลงถูกเพ่งเล็งจากรัฐไทย ถูกตั้งข้อหากบฎ และถูกจับติดคุก ต่อมาในปี พ.ศ. 2497 เขาถูกฆ่าตาย ศพของเขาถูกซ่อนทำลาย ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐคนใดต้องรับผิดชอบ ชะตากรรมของฮัจญีสุหลงทำให้คนมลายูกลุ่มหนึ่งตัดสินใจนับอาวุธต่อสู้
            "ท่านฮัจญีสุหลงไม่ได้ใช้แบตเตอร์รี่แบบแยกส่วนิในภาษากิจกรรมทางศาสนาอิสลาม และความต้องการต่าง ๆ ตามบริบทของท้องถ่ิน บทเรียนากกรณีการถุกบังคับสูญหายของฮัจญีสุหลงหลังยื่นข้อเรียกร้องเจ็ดข้อต่อทางการทยเป็นสวนหนึ่งที่ทำให้ขบวนการสรุปว่า เมื่อกระบวนการสันติวิธีไม่สามาถบรรลุเป้าหมายซ้ำยังถุกกดปราบจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ การต่อสุ้ด้วยอาวุธจึงถุกนำมาใช้" อาบูฮาฟิซ อัลฮากืม แกนนำคนหนึ่งของ มารา ปาตานี องค์กรรมของชบวนการต่อสู้เพื่อเอกราช ให้สัมภาษณ์กับประชาไท
              ความทรงจำในปี 2547ความจำเป็นในกาเปิดพื้นที่ทางภาษาและวัฒนธรรม ดังที่ปรากฎในรายงานของคณะกรรมการอิสระเพื่อความสามานฉันทแห่งชาติ ตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งสระปว่า มีเงื่อนไขสองอย่างที่ทำให้ความรุแแรงงยังมีอยู่ในสามจังหวัดชายแดภาคใต้ โดยหนึ่งในสองนั้นเกี่ยวกับภาษามลายู "เงื่อไขทางวัฒนาธรรม คือ ลักษณะเฉพาะทางศาสนาและชาติพันธ์นฃในพื้นที่คือศาสนาอิสลาม ภาษามลายู และประวัติศาสตร์ปัตตานี สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อไยในสังคมซึ่งทำหน้าที่ให้ความชอบธรรมกับการใช้ความรุนแรงหรือทำให้ผุ้คนไม่น้อยยอมรับหรือเห้นด้วยกับฝ่ายที่ใช้ความรุนแรง ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อาศัยเงื่อนไขทางชาติพันธ์ผสานกับสษสนามาเป้นข้ออ้งให้ควมชอบธรรมกับการใ้ควมรุนแรงในการตอสู้เพื่อเป้าหมายของตนในนามของอัตลักษณ์ความเป็นมลายูมุสลิม" และมีขอเสนออย่างชัดเจนให้ "ประกาศให้ภาษามลายูเป็ฯภาษาทงาน อีกภาษาหนึ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้
              "... หะยีสุหลงเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว 2438 ที่กำปงอาเนาะรู มณฑลปัตตานี บิดาส่งไปเรียนศาสนาที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบย เมื่อสำเร็จการศึกษาและมีบุตรกับภรรยาคนที่สอง จึงตัดสินใจเินทางกลับมายังประเทศไทย
              หะยีสุสุหลง ตั้งใจจะกลับมาเผยแพร่ศาสนาที่มณฑลปัตตานีอันเป็นบ้านเกิด ได้เดินทางกลับมาเมือปี พ.ศ. 2470 ก่อนจะพบว่าชาวมุสลิมที่นั่นยังมีสภาพความเป็นอยุ่ที่แร้นแค้นและนบถือภูมิผีอยู่เป้นจำนวนมาก ซึงขัดกับหลักทงศาสนาอิสลามอย่างรุนแรง จึคงเกิดเป็นแรบันดาลใจให้ก่อตั้งโรงเรียนสอนศาสนา หรือปอเนาะ ขึ้นมาเป็นแห่งแรก ด้วยเงินเริ่มต้นที่รวบรวมหามาได้ สามพันห้าร้อยบาท ต่อมาเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี พงศ. 2475 ในรัฐบาลที่มีพระยพหลพลหยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี หะยีสุหลงได้เดินทางเข้าสู่พระนครเพื่อของความช่วยเหลือจากทางรัฐบาล ก็ได้เงินช่วยเหลือจากภาครัฐมาอีก สามพันห้าร้อยบาท รวมเป็นเจ็ดพันบาท ปอเหนาะแก่งแรกในประเทศไทยจึงถือกำเนิดขึ้นมา
             หะยีสุหลง ได้เกี่ยวพันกับทางการเมืองและความขัดแย้งในพื้นที่ซึ่งมีผลกระทบต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร เมื่อเป็นผุ้นำเสนอข้อเรียกร้อง 7 ข้อ ที่ให้ความเป็นธรรมและสอดคล้องกับวิุีชีิวิตของชาวมุสลิมในพื้นที่ ต่อรัฐบาลไทยที่มี พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป้นนายกรัฐมนตรี ขณะที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี เมื่อปี พ.ศ. 2490 แต่ต่อมาได้เกิดการรัฐประหารขึ้นเมือปลายปีเดียวกัน ได้มีกรเปลี่ยนขั้นรัฐบาลมาเป็นขั้วของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างจากขั้วอำนาจเดิม ข้อเรยกร้องทั้ง 7 ข้อ ของหะยีสุหลงถูกเพ็งเล็งว่าเป้ฯกบฎกระด้างกระเดืองต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร จนในที่สุดถูกจำคุกในข้อหาปลุกระดมและก่อการกบฎเพื่อแบ่งแยกดินแดน ซึ่งหะยีสุหลงถูกจัดสินใหจำคุกเป็น สีปี แปดเดือน โทษฐานกล่วร้ายรัฐบาลในเอกสารที่แจกจ่ายยังประชาชนในท้องถ่ิน ส่วนโทษฐานแบ่งแยกดินแดน ศาลพิจารณาให้ยก
              เมื่อพ้นโทษออกมา หะยีสุหลงก็ยังถุกคุกคามจากอำนาจรัฐ จนกระทั่งในเช้าตรู่ของวันสุกร์ที่ 13 สิงหาคม พงศ. 2498 หลังจากเสร็จจากละหมาด ในตอนเช้า หะยีสุหลงพร้อมกับ อาหมัด โต๊มีนา บุตรชายคนโตวัน 15 ปีำหน้าที่เป็นล่ามภาษาไทยเนื่องจากหะยีสุหลงไม่สามาถพูดภาษาไทยได้ ได้เดินทางออกจากบานพักส่วนตัวที่จังหวัดปัตตานี ไปยังกองบัญชาการตำรวจสันติบาลที่จังหวัดสงขลา พร้อมก้วยพรรคพวกอีก 2 คนรวมเป็น 4 คน ก่อนที่ทั้งหมดจะหายสอบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย นำมาซึงความเชื่อว่าทั้งหมดถูกฆาตกรรมทางการเมืองด้วยผีมือของตำรวจ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ภายใต้การบัญชาการของ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจและรัฐมนตรีว่ากรกระทรวงมหาดไทย ผุ้ซึ่งเป็นเสือมือขวาสำคัญของจอมพล ป. นายกรัฐมมนตี ซี่งเรื่องราวการหายตัวไปของหะยีสุหลงเป็ยข่าวอย่างครึกโครม โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปจนถึงมาเลเซีย และสิงคโปร์
             ทางครอบครัวภราดรและนายเด่นโตด้เดิทนทงเข้าสู่พระนครเพื่อติดตามเรื่องราว ก็ไม่ได้ความคืบหน้าใดๆ แต่ก็ได้รับทราบเพียงว่าเป็นการฆาตกรรมทงการเมืองโดยบุคคลของภาครัฐเองจากปกาคำของ ท่านผุ้หญิ่งละเดเอียด พิบูลสงคราม ภริยาจอมพล ป. จนกระทั่วมีการัฐประหาร ในปี พ.ศ. 2500 รัฐบาลเปลี่ยนขั้ยอีกครั้ง จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มีการื้อฟื้คดีนี้ขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดนายตำรวจผุ้ลทมือในการฆาตกรรมครั้งนั้นก็รับสารภาพว่าได้สังหารบุคคลทั่ง 4 ในบังกะโลริมทะเลสาบสงขลาจากคำสั่งโดยตรงทางโทรศัพท์ของรัฐบาลในขณะนัน ผ่านทางผุ้บังคับการตำรวจ จ.สงขลา ด้วยการใช้เชือกรัดคอและคว้านท้องศพทั้งหมดและอำพรงด้วยการนำศพไปผูกไว้กับแท่งซีเมนต์ในทะเลสาบสงขลา ใกล้กับเกาะหนู เกาะแมว ซึ่งต่อมาได้มีการงมหาศพแต่ด้วยระยะเวลจึงไม่พบศฑหรือเศษซากใดๆ..."th.wikipedia.org/wiki/หะยีสุหลง
         
 ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)
           ในยุคพ. ต.ต. ทวีพิชิตเป็นเลขาธิการหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ระหว่างปี 2554-2557 ได้มีการเปิดพื้นที่ทางภาษาและวัฒนธรรมมลายูอย่างมีนัยยะสำคัญ จัดตั้งช่องทีวีภาษามลายู 24 ชม. วิทยุภาษามลายู 24 ชม. โดย สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดยะลา การจัดตั้งสถบันภาษามลายูแห่งประเทศไทย เพ่อพัฒนาและส่งเสริมการใช้ภาษามลายูในประเทศไทย และริเริ่มการใสภาษามลายู ตัวยาวี ในป้ายสถานที่ราชการอย่างไรก็ตาม ช่องทีวีภาษามลายู 24 ชม. ก็ถูกล้มเลิกไปหลังรัฐประหาร และเมื่อคณะรัฐประหารย้าย พ.ต.อ. ทวี ไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้มีความคืบหน้อันใดอีก
          ในภาษาไทย (ไทย - มลายูถิ่น)2555 ซึ่งพัฒนาโดยสถาบัวิจัยภาษาและวัมนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล มุ่งป้าไปที่เด็กอนุบาล 1-ประถม 6 ที่พูดภาษามลายูเป็นภาษาแม่หัวใจหลักคือกาเรียนโดยใช้ภาษามลายูถ่ินเชื่อมโยงไปยังภาษาไทย ผ่านเครื่องมือที่สำคัญที่สุดคือ ระบบการเขียนภาษามลายูโดยอักษรไทย ในชั้นอนุบลาลเด็กจะเรียนรุ้การเขียนและสะกดภาษามลายูโดยใบ้สระและพยัญชนะไทย ซึ่งมีกาเพิ่มเสียงเข้าไปอีกแปดเสียง... เมื่อเด็กเข้าใจการเขียนและสะกดอักษรไทยแล้ว จึงเร่ิมเรียนภาษาไทย และเรียนวิชาอื่นๆ เป็นภาษาไทยตาลำดับ โครงการดังกล่วอ้างว่า วิธีการเรียแบบนี้ทำให้เด็กมลายูมีความสุขในการเรียน และมีผลการเรียนดีขึ้น
          สุวิไล เปรมศรีรัตน์ นักวิจัยมีที่มาจากข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ ซึ่งได้เสนอต่อรัฐบาลให้จัดการศึกษาที่เหมาะสมกับฐานทางภาษาและวัฒนธรรมท้องถ่ิน โครกงรดังกล่าวจะ "ช่วยรักษาอัตลักาณ์ความเป็นคนไทยเชื้อสายมลายูไว้ได้ในกระแสแก่งการเปลี่ยนแปลงในสังคมปัจจุบัน ตามความปารถนาของเจ้าของภาษาแล้ว ยังช่วยให้เด็กได้เรียนออย่างมีความสุข"
           ทำให้เด็กเรียนภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น แต่ก็มีผุ้มองว่าคือความพยายามที่ให้คนมลายูลิทิ้งอักษรยาวี
           ฮาราบอกว่าเขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับภาษาอังกฤษอความตั้งใจทำลายอักษรยาวี และการกลืนให้เป็นไทย ไม่เป็นไปตามความต้องการของประชาชน ส่วนสภาบันภาษามลายูประจำประเทศไทยก็ไม่ได้มีผลงานอะไรเป็นที่ประจักษ์ในการส่งเสริมภาษา "เป็นการเอาผุ้เชียวชาญภาาามลายูไอยู่ในสังกัดศอ.บต.เอาไว้โชว์เพื่อนบ้านและแขกต่างชาติ เป็นแค่ปลือก แต่ไม่เคยมีการแตะทีแก่นของปัญหาเกี่ยวกับภาษาเลย"
            ฮาราคิดว่าโครงการสร้างความไม่พอใจให้ประชาในพื้นที่อย่างยิ่ง เพราะประชาชมองว่าเป็นการดูถูกภาษาท้องถ่ินซึงมีการใช้ในพื้นที่มากว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว "ผมคิดว่ ดครงการนี้เป้นผลเสียต่อการสร้างสันตภาพ" ฮารากล่าว และว่า "นี่คืออีกรูปแบบหนึ่งของเมืองขึ้นทางวัฒนธรรม ไม่เคยมีการแก้ปัญหา แต่เป็นการสร้างปัญหาใหม่" เขาเสริมว่า แม้ช่วงที่ ทวี สอดส่อง เป็นเลขาฯ สอ.บต. มีความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกี่ยวกับภาษามลายูหลายอย่าง แต่ก็ค่อนข้างฉาบฉวย ไม่จริงใจ เช่น การก่อตั้งสถาบันภาษามลายูแห่งแระเทศไทย ซึ่งมีผู้เรียบว่ามีสถานะเทียบได้กับสถาบันภาษาและวรรณกรรมแห่งชาติมาเลเซีย แต่สถาบันดังกล่าวก็ไม่ได้มีสถนะทางกฎหมายรองรับเหมือนที่มาเลเซียน ส่วนปายราชการต่างๆ ก็มีเพียงแค่ด้านนอกอาคารเป็นส่วนใหญ่แทบไม่มีด้านในอาคารเลย
          เสนอว่ารัฐไทยควรทำให้ภาษามลายูมีสถานะทางกฎหมายรองรับ เช่น การันตีในรัฐธรรมนูญในฐานะภาษาของชนกลุ่มน้อย หรือการให้สถาบันเพื่อการพัฒนาภาษามลายูที่สถานะทางกฎหมายรองรับ และการมีแผนการเรียนและพัฒนาภาษามลายูที่รัฐสนับสนุน เขากล่าวว่า นี่เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ภาษามลายูในมาเลเซียและอินโดนีเซียกลับมามีสถานที่เข้มแข็งหลังได้รับเอกราช
           มารา ปาตานี เสนอหยุดกลุ่มชาติทางภาษา อาบูฮาฟิซ อัลฮากีม แกนนำมารา ปาตานีบอกกับประชไทยว่า ประเด็นภาษามลายูนั้นเป็นประเด็นหลักประเ้ด็นหนึ่งที่มาราปาตานีจะหยิบยกขึ้นมาพุดคุยระหว่างการพูดคุยสันติภาพกับรัฐบาลไทย เมื่อการพุดคุยยกระดับสู่การพูดคุยอย่างเป็นทางการเขาเห็นว่า สาเหตุหลักของความเสื่อมถอยของภาษามลายูในปาตานีคือนโยบายกลืนชาติของรัฐไทย ซึ่งขัดขวางการเรียนการสอน และการใช้ภาษามลายูในระดับทางการ สื่อสารมวลชนก็มีส่วนรองลงมา "หลัง
จากที่สยามได้ใช้นโยบายกลืนชาติ "รัฐไทยนิยม" ภาษามลายูได้ถูกทำให้เสือมถอยลงและลดความสำคัญอย่างเป็นระบบ" อาบูฮาฟิซกล่าว และว่า ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ไม่ยาก เพียงเปลี่ยนนโยบายรัฐเป็นไปในทางตรงกันข้าม เขายังได้พูดถึงฮัจญีสุหลงว่า ได้มอกการณ์ไกลเห็นถึงปัญหานี้ "เมื่อฮัจญีสุหลงเสนอข้อเรียกร้องเมื่อ 60 ปีก่อน ซึ่งรวมถึงข้อเสนอด้านภาษามลายู ท่านคงได้คาดการณ์ไว้แล้วว่า ถ้าปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไข ชะตากรรมของภาษามลายูจะหมดหวัง เราได้เห็นแล้วว่า มันเป็นจริงในปัจจุบัน"
           เมื่อถามถึงความพยายามของรัฐไทยในการส่งเสริมภาษามลายูในช่วงสิบปีที่ผ่านมา อาบูฮาฟิซเห็นว่า เป็นที่น่าชื่นชมกับความพยายาม แต่ความพยายามดังกล่วไม่ได้เป็นเพราะรัฐไทยเห็นถึงความต้องการของคนปาตานีแต่เพื่อตอบสนองต่อเหตุผลด้านเศราฐกิจและการเมืองต่อภูมิภาคอาเซียน
          เมื่อถามว่ ในฐานะขบวนการเพื่อเอกราช เขามาองอนาคตของภาษาในปาตานีอย่างไร หากปาตานีได้เอกราชหรือได้สิทธิในการปกครองตัวเอง เขากล่าวว่า มองเห็นคนปาตานีพุดได้ถึงสี่ภาษา คือ ภาษามลายู ในฐานะภาษาของคนส่วนใหย่ในปาตานี, ภาษาอาหรับ เพราะเป็นหน้าที่ของชาวมุสลิมที่ต้องรู้ภาษาอาหรัีบ, ภาษาไทย ในฐานภาษาของชนกลุ่มน้อยในปาตานี, ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาสากล แต่ถ้าสกหรับคนไทยพุทธ คงไม่จำเป็นต้องรู้ภาษาอาหรับ
          อาบูฮาฟิซกล่าวว่า เขามองว่า เด็กมาลยูจะเรียนรู้ทั้งอักษรรูมีและยาวี เพราะทั้งสองอย่างมีประโยชน์และมีความสำคัญ และจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขา ความรู้ด้านอักษรยาวีทำให้เรียนภาษาอาหรับได้เร็ว และความรู้ด้านอักษรรูมทำให้เรียนภาษาอังกฤษได้เร็วเช่นกัน
          เมื่อถามว่า ในฐานะสมาชิกขบวนการคนหนึ่ง หากปาตานีได้รับเอกรชหรือได้สิทธิปกครองตนเอง เขามีจินตนาการถึงภาาาทางการเและภาษาทำงานที่ใช้ในปาตานีเป็นเช่นไร อาบูฮาฟิซตอบว่า "ถ้าปาตานีได้สิทธิปกครองตนเอง ถ้าไม่ได้เอกราช ก็ไทยและมลายู แต่ถ้าได้เอกราชก็มาลยูและอาหรับ แต่ทั้งอสงกรณี ภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาสากล" http://prachatai.org/journal/2016/06/66072
         

วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Bahasa ; Confict Part 2

อักษรรูมี
           รูมี "หรือ" ยาวี "ข้อถกเถียงที่ยังไม่จบ
           ชะเอมรีบยา นราธิวาสได้รับรางวัลสาขาวิชาเอกสุนทรียะในปี พ.ศ. 2553 พลวัตภาษามลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคี มี ความเห็นพ้องด้วย เขียนขึ้นและลงในหมู่นักวิชาการด้านศาสนาในหมู่นักวิชาการด้านศาสนาเท่านั้นอาจมีสื่อยาที่คุณถนอมผลิตจากกลุ่มจิตแพทย์
           "อักษยาวีที่นี่น่าจะหหว่าเป็นคนที่มีอิทธิพลมากในความหวาดกลัวคนสามารถอ่านเขียนไทยได้ดีกว่ายาวี โดยเฉพาะคนที่มีการศึกษา" ซะการีย์ยากล่าวและว่า "ในสามาจังกวัดผมจะพูดจะเขยนว่า วิศวกรรมศาสตร์เป็นยาวียังไง เหมือนเราตกหลุม และหยุดชะงัก แต่ที่มาเลเซียและอินโดนีเซียภาษาเขาก็อัพเลเวลอย่่างรวดเร็ว แต่ภาษาในสามาจังหวัด ัไมไปไหน"
           ซะการีย์ยา กล่าวหนังสือที่ใช้อักษรยาวี แต่ตำราศาสนาเป็น ที่ใช้เรียนปอเนาะ ซึ่งถูกเขียนขึ้นเมื่อร้อยปีที่แล้ว จังไม่มีศัพท์ที่ร่วมสมัยเพื่อใช้พุดถึงเรื่องในชีวิตประจำวันแม้ว่าจะมีความพยายาจัดทำหนังสือด้วยอักษรยาวีมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่เพียงพอ "โดยหลักแล้ว ภาษามันต้องเดินไปหมดเป็นองคกพยพ ทั้งนิตยสาร หนังสือพิมพ์ วรรณกรรม หนังสือทั่วไป แต่ยาวีก็ไม่ได้ถึงไหน ผมุไม่ได้โทษใตีแต่นี้คือสิ่งที่เป้น ส่วนหนึ่งเพราะเราอยู่ภายใต้รัฐไทย ภาษามลายูจึงไม่ได้รับการสนับสนุน
           
อักษรยาวี
ซะารีย์ยาเห็นว่า ควรมีการส่งเสริมการใช้าษามลายู แต่น่าจะเลือกส่งเสริมใช้อักษรที่แทนยาวีเหมือนประเทศเพื่อบ้าน" ถ้าเล่อกรูมี เราจะทันมาเลเซยน อินโดนีเซีย เราสามารถร่วมใช้ภาษาและหนังสือที่เขาพัฒนาไปไกลแล้ว เขามีตำราความรู้ที่เขียนด้วยรูมีเยอะแยะมากมาย เราไปต่อยอดตรงนั้นได้เลย มันจะสร้างความก้าวหน้าทางภาษาได้เร็ว แต่ถ้าเลืกตัวยาวี เรแทบต้องเร่ิมจากศูนย์ ต้องยอมรับวา ยาวีมันใช้ในวงแคบ เป็นส่วนน้อยของโลกมลายู แล้วเมื่อเราจะสื่อสารกับที่อื่น เราก็ต้องเปลี่ยนเป็ฯรูมีอีกที เราควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งถ้าเรียนและใช้ควบคู่กันไปทั้งอสองอย่าง มันก็จะอ่นอแอ ไม่ดีสักอย่าง " กวีซีไรต์กล่าวและเสริมว่า "เืพ่อควมก้าวหน้าของภาษาและโลกความรู้ เราควรเลือกรูมี ถ้าเรียนรูมีตั้งแต่เด็ เรียนมัธยมจบก็ไปต่อมหาลิทยาลัยที่มาเลเซียได้เลย ไม่ต้องไปเรียนปรับพื้นฐานภาษา รียนตัวรูมีอีกที นี่ผมพยายามองโลกอย่งตามความเป็นตริงที่สุด"
              อย่ไรก็ตาม ในฐานะนักเขียน ซะการีย์ยาบอกง่า ถ้าให้เขาแนะนำเยาชนมลายูว่าจะฝึกเขียนงานวรรณกรรมและกวีเป็นภาษาอะไร เขาจะแนะนำให้เขียนเป็นภาษไทย เพราะจะทำให้มีที่ทางในวงการหนังสือและวรรณกรรมไทย "ถ้าคุณเขียนยาวี พื้นที่คุณแทบไม่มี คุณเขียนเป็นรูมีก็ได้ ถ้าคุณเขียนได้ดี เขียนได้ถึง คุณก็จะมีพื้นที่ที่ทาเลเซีย"
              แต่ภาคประชาสังคมในปาตานีส่วนใหญ่ดุจะให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์และส่งเสริมการใช้อักษรยาวีมากกวา
              ฌายิบ อาแวบือซา ผุ้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมมลายู กล่าวว่า เขารู้สึกเป็นห่วงอักษรยาวี เพราะมีความสำคัญนการใช้อ่านและทำความเข้าใจหนังสือเก่าๆ ซึ่งได้บันทึกภูมิปัญญาของชาวมลายูในสมัยก่อนเอาไว้ และยังแสดงถึงความรุ่มรวยทางภาษา หากภาาาหายไป ภูมิปัญญาส่วนหนึ่งก็อาจหายไปด้วย นอกจากนี้ อักษรยาวี ยังเข้ากับเสียงในภาษามลายูได้ดีกว่วอักษรรูมี
              ฮาราเห็นว่าต่างจากซะการีฐย์ยา โดยให้เหตุผลว่า การส่งเสริมให้ใช้อัการยาวีมีความเป็นไปได้มากกว่ารูมี เพราะว่าชาวมลายูปาตานีผ่านการเรียนอักษรยาวีในระบบการศึกษาแบบดั้งเดิมในโรงเรียนตารกีกา และโรงเรียนปอเนาะชาวปาตานีจำนวนหนึ่งจึงสามารถอ่านตัวยาวีได้อยู่แล้ว แต่ที่ปาตานีมีได้มีการเรียนการสอนตัวรูมี การใช้ตัวรูมีจึงไม่น่าจะสามารถใช้ได้จริง "เมื่อเรามีระบบการเขชียนที่ใช้กันจริงอยู่แล้ว เราจะไปนำอย่างอื่นมาทำไม" เช่นเดียวกับฮารา ซอลาหุดดีกล่าวว่า  "ยาวีเป็นอัตลักษณ์ มันมีความสำคัญทางจิตใจของคนที่นี้"
            ฮาราชี้ให้เห็นถึงสภาวะที่ภาษามลายูถูกคุกคามจากการเป็นเมืองขึ้น และการฟื้นฟูหลังการเป็นเมืองขึ้น ดดยยกตัวอย่างประเทศมาเลซียว่า ไในระว่างการเป็นเมืองขึ้น ภาษามลายูสูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาอย่างที่ควรเป็นไปตามกาลเวา นักวิชาการด้านภาษามลายูที่ำคัญคนหนึ่ง อธิบายถึงภาษามลายูก่อนมาเลเซียได้รับเอกราชว่าเป็น ภาษาของร้านกาแฟและตลาด ไม่มีท่ทางในที่ทางแบบทางการและในสถาบันศึกษาระดับสูง" ภายใต้สถานการณืเช่นนี้ ผมเชื่อว่า มเป็นธรรมชาติมาก ที่ภาษา ซึ่งชัดมากว่าถูกคุกคามจากคนนอก(เจ้าอาณานิคมป ควรถุกถือว่าเป็นหนึ่งที่สิ่งแสดงอัตลักษรืที่สำคัญทีุ่ดของชาวมลายู และนี้ก็สามารถประยุต์กับสภานการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวมลายูปาตานี"
            เพื่อให้ภาษามลายูได้พัฒนาอย่างเต็มที่ ฮาราเสนอว่า รัฐบลาลไทยควรทำให้ภาษามลายูมีสถรนะทางกฎหมายเพื่อให้แน่ใจว่า ภาษามลายูจะได้รับการสนับสนุนและพัฒนาจากรัฐ และพัฒนาอยางเต็มี่ในทุกๆ ด้าน เช่น เดียวกับภาษามลายูในมาเลเซียและอินดดนีเซีย "สถานะทางกฎหมายของภาษาเป็นปส่ิงที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการพัฒนาภาษานั้นๆ อย่างไรก็ตาม สถานะทางกฎหมายไม่สามารถการันตีการช้ภาษาอย่างเต็มที่เสมอไป" ฮารายกตัวอย่างสถานของภาษามลายูในมาลเซีย และอินโดนีเซียที่ต่างกัน ในขณะที่ในมาเลเซีย ภาษามลายูมีสภานะทางกฎหมายที่เข้มแข็ง ในฐานะภาษาแห่งชาติ และเป็นภาษาทางการภาษาเดียวของประเทศแต่ในความเป็นจริง ภาษาที่มีความสำคัญในการก้าวหน้าทางการงานและสังคม คือ ภาษาอังกฟษ ซึ่งถุกให้ความสำคัญมากกว่าลายูมาก "ในแง่นี้ จิตวิญญาณของมาเลเซียยังไม่ได้รับเอกราช ความนึกคิดของผุ้คนยังคงอยุ่ในอาณานิคม"
           
  ภาษามลายูเป็นส่วนหนึ่งของรากเหง้าความขัดแย้งที่นำไปสู่การลุกขึ้นสุ้โดยการจับอาวุธของคนมลายุในปาตานี ซึ่งเป็นปมที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 80 ก่อน เมื่อจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม นายกรัฐมนตีในขณะนั้น ออกนโยบายรัฐนิยม บังคับทางวัฒนะรรมให้พลเมืองไทยทั้งประเทศรียนและพุดภาษาไทย เลิกการเรียกคนตามชาติพันธ์ หากให้เรียกว่าเป็น "คนไทย" ทั้งหมด และแต่งกายแบบเเดียวกันามที่รัฐกำหนด เพื่อปลุกความรุ้สึกชาตินิยมและทำให้ดูทัดเทียมอารยะประเทศ ในช่วงที่ประเทศเผชิญภัยสงครามโลกครั้งที่สอง
           นโยบายดังกล่าวมีผลกระทบอย่างยิ่งยวดต่อชาวมลายุ เพราะภาษาที่ผุ้คนใช้ในชีวิตประจำวันและเรียนในดรงเรียนคือภาษามลายู โดยเแฑาะในวิชาศาสนา นโยบายรัฐนิยมจึงสร้างความไม่พอใจแก่ชาวมลายูเป็นอย่างมาก
           นอกจากนโยบายรัฐนิยมแล้ว เมื่อประมาณ 60 ปีก่อนยังมีการกวาดล้างหนังสือต้องห้ามภาษามลายูเล่มสำคัญชือ่ ประวัติศาสตร์ ราชอาณาจักรมลายูปาตานี ดดยอิบราฮิม ซุกรี ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2503 เป็นหนังสือที่ถุกขนานนามว่า "เป็นประวัติศาสตร์นิพนธ์เล่มแรกที่ได้สร้างแม่แบบการเล่าเรือง  ให้กับประวัติศาสตร์ปาตานีในเวลาต่อมา" หรือ เป็นประวัติศาสตร์ฉบับ "เจ็บปวด" ของคนมลายูปาตานีที่ถุกรัฐไทยกรุะทำ...
           แม้หนังสือเล่มดังกล่าวถุกแนโดยทางการไทย และทางการมาเลเซีย ด้วยข้อหาเป็นหนังสือปลุกระดม แต่ก็ยิ่งทำให้ชาวปาตานี้อย่างอ่าน หยากรู้และอยากเผยแพร่หนังสือเล่มนี้ พล.ต.ต. จำรูญ เด่มอุดม ตำรวจเกษียรราชการและผุ้เชียวชาญด้านประวัติศาสตร์ปาตานี กล่าว และว่า เหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้เกิดบรรยากาศแห่งความกลัวครอบงำหนังสืออักษรยาวี
           "สมัยก่อน แค่การมีหนังสืออัการยาวีไว้ในครอบครองก็อาจถุกสงสัยแล้ว ถูกสงสัยว่าเป้นหนังสือปลุกระดมเพราะตำรวจไทยไม่เข้าใจ อ่านยาวีไม่อก แค่พบว่าเป็นตัวยาวีก็จะพยายามยัดข้อหาให้ เช่น ขัดนโยบายจอมพล ป. หรือ ปลุกระดม คนที่มีหนังสือตัวยาวีอยู่ก็ต้องเอาไปซ่อน หรือไปเผา ครูที่สอนหนังสือตามโรงเรียนแบบดั้งเดิม ซึ่งสอนเป็นมลายุก็ถูกคุกคาม หลยคนหนีไปอยู่กลันตัน" พล.ต.ต. จำรูญ กล่ว และกล่าวต่อว่า การพยายามกดดันในเรื่องภาษามลายู และการกดทับโรงเรียนปอเนาะ มีความเชื่อโยงกัน "ทำให้คนมลายูมองว่า รัฐไทยพยายามแทรกแซงกิจกรรมทางศาสนา ส่วนรัฐบาลก็มองวา คนมลายู จะใช้ภาษามลายูและปอเนาะเป็นที่ปลุกระดมมวลชน"
       
 ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ผุ้เชียวชาญด้านประวัติศาตร์ปาตานี มหาวิทยาลัยะรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า ตัวยาวีเป้นแก่นหลางของความภุมิใจของคนมลายูปาตานี เพราะเกี่ยวข้อง กับความรุ่งเรืองด้านศาสนา และความรุ่งเรืองของาตานี้ในฐานะเมืองท่า ศุนย์กลางของการต้าขายที่สำคัญในอดีต ในแง่ศาสนานั้นตำราศาสนาซึ่งเขียนดดยอุลามะ (นักปราชญ์ศาสนา) ชาวปาตานี้กลายเป้นตำราที่ใช้ทั่วภุมิภาค ส่วนในทางการต้านั้น ภาษามลายูเป็นภาษากลางที่ใช้ในการต้าขายของราชสำนักในสมัยอยุธยา อย่าที่อยธยาก็ต้องมีคนพูดมลายุได้ ภาษามลายูมีฐานะของมันตั้งแต่สมัยอยุธยา ในขณะภาษาไทยไม่ได้ใช้ในการต้าขายอะไรเลย ภาษามลายูคือภาษาเดียวกับที่ใช้กับคาบสมุทรมลายูทั้งนั้น เป้ฯภาษาที่ใช้ในกาติดต่อค้าขายเป้นหลัก อาจเรียกได้ว่าเป็นภาษาของภูมิภาคก็ได้"
          ดัจแคน แม็กคาร์โก ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์มหวิทยาลัยลัดสกล่าวได้ในหนังสือ "ฉีกแผ่นดิน อิสลามและปัญหาความชอบธรรมในภาคใต้ ประเทศไทย" ว่า โรเรียนปอเนาะนั้น เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้นโยบายผสมกลมกลืนคนมลายูให้เป้นไทยไม่ยังผล เพราะปอเนาะนั้นเป็นฐานะที่มั่นของอัตลักษณ์ด้านภาษามลายูและศาสนอิสลาม เขาเสริมว่ารัฐไทยได้พยายามจัดระเบียบโรงเรยนปอเนาะด้วยกาออกฎเกณฑ์ต่างๆ มาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 และหลังจากที่เหตุการณ์ความรุนแรงประทุขึ้นเมือง 12 ปีก่อน โดรเงเรียนปอเนาะถูกเพ่งเล็งว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะความคิดแบ่งแยกดินแดนและแนวคิดญิฮาด นำมาสูการพยายามทำปอเนาะให้ "เป้นไทย" โดยใช้นดยบายจูงใจให้เจ้าของดรเงเรียนปอเนาะเปลี่ยนแอเนาะเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ซึ่งจะมีการสอนวิชาศาสนา ควบคู่กับไลักสูตรสามัญซค่งสอนเป้นภาษาไทยhttp://prachatai.org/journal/2016/06/66072

วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ฺBahasa ; Confict

           ปมความขัดแย้ง "ภาษามลายู" สามจังหวัดชายแดนใต้ เมื่อรัฐไทยพยายามกลืนความเป้นปาตานีผ่านภาษา หนึ่ง ในชนวนความรุนแรง หวั่นอัตลักษณ์ปาตานีสิ้นสูญ มารา ปาตานี เตรียมเสอนวงคุยสันติภาพนำข้อเสนอฮัจญีสฺหลงกลับมา ใช้ภาษามลายูป็นภาษาราชการ
           มูฮำหมัด คือราแม ริ่เร่ิมการทำหนังสือพิมพ์ "ซีนารัน" ซึ่งนสพ. รายสองเดือน ภาษามลายูอักณายาวี เป็นครั้งแรก นสพ. ดังกล่าวมีเนือหาเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวในวงการภาคประชาสังคมมลายู ข่าว สังคม และเรื่องบุคคลนีน่าสนใจในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือที่คนท้องถ่ินเรียกกันว่า ปาตานี
          เพื่อป้องกันการถูกระแวงและสงสัยจากฝ่ายความมั่นคง เขาได้ออกแบบให้บนหน้าปกของซีนารันมีการแนะนำเรื่องในฉบับเป้นภาษาไทยด้วย "เราจะใช้ยาวีร้อยเปอร์เซนต์ไม่ได้ เพราะเราจะถูกฝ่าวความั่นคงสงสัยทันที่วาเรื่องอะไร เราเจอนิสัยคนไทยว่า ไม่ค่อยแฮปปี้กับความแตกต่างเท่าไหร่ ภาษาไทยบนหน้าปกจะช่วยลดความหวาดระแวง

          กลุ่มเป้าหมายหนึ่งของซีนารันนี้คือ ขบวนกาเพื่อเกราชปาตานี โดยเฉพาะคนที่อยู่ต่างแดนที่อาจอ่านภาษาไทยไม่ได้" ถ้าจะสื่อสารกับขบวนการ บางคนในขบวนการเขาอ่านไทยไม่ดไ้ แต่เขาอ่านมลายูได้ เราจึงพยายามเสนอเรื่องที่สื่อกระแสหลักไม่เล่น เราพยายามเสอนเรือ่องของภาคประชาชนให้เขารู้เรื่องของคนใน เราเชื่อว่าอย่างน้อย ข้อมูลข่าวสารอาจช่วยเปลี่ยน การใช้อาวุธ เป้ฯทางสันติก็ได้" มูฮำหมัดกล่าวกับประชาไท นอกจากนี้ ที่ผ่านม คนปาตานีขาดการสื่อสารปัญหาความขัดแย้งกับประชาคมชาวมลายูด้วยกัน ที่อยู่ในมาเลเซียและอินโดนีเซียนเพราะไม่มีสื่อในภาษามลายูให้พวกเขาอ่าน ทำให้แม้จะเป้ฯคนชาติพันธุ์เดียวกันก้ตาม พวกเขาก็ไม่ไ้มีความเช้าใจปัญหาเท่าไหร่ เพราะก็ับรู้เรื่องปาตานีจากสื่อภาษาอังกฤษที่ผลิตจากกรุงเทพ
         เนื่องจากการเขียตัวยาวีในปัจจุบันไม่แพร่หลายนัก คนรุ่นเป้าไปที่นักเรียนโรงเรียนปอเนาะ ซึ่งเป้นโรงเรียนจารีตดั้งเดิมของชาวมลายูมุสลิมในชายแดนใต้ ซึ่งเน้นสอนวิชาศาสนาอิสลาม ภาษามลายู และภาษาอาหรับ ปรากฎว่า ในรุ่นแรกๆ ของนักเรียนปอเนาะที่เข้าอบรม มีนักเรียนคนหนึ่งถูกสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับเหตุความไม่สงบ "มันอาจแปลได้ว่า คนที่ภุมิใจกับอัตลักษณ์ มีความซ้อนทับกับคนต้องการเมอร์เดกา (เอกราช)" มูฮำหมัดบอกกับประชาไท และหัวเราะเขาเล่าด้วยว่า มีโครงการจะทำเว็บไซต์สำนักข่าวออนไลน์ภาษามลายู ซึ่จะผลิตข่าวเกี่ยวกับสามจังหวดัเป้นภาษามลายู อักษรยาวี อักษรรูมี ภาาาทไย และภาษาอังกฤษ โดยเน้นที่ภาษามลายูเป็นหลัก
          ซอลาหุดดีน กริยา หรือที่รู้จักในนาม โซลา กาเรีย เป็นอีกคนหนึ่งที่พยายมอนุรักษ์และพัฒนาภาษามลายูตัว อักษรยาวี ในฐานะหัวหนากล่าอาวัฒบุก๊ก เขาได้พัฒนาชุดคีย์บอร์ดยาวีแบบปาตานี และฟอนต์ยาวี เพื่อให้ภาษามลายู อักษรยาวีแพร่หลายยิ่งขึ้นในในการสื่อสารอิเล็กทรอนิคส์ ซึ่งเป็นช่องทางสื่อสารหลักของผุ้คนยุคนี้ และสะดวกในการใช้ในงานพิมพต่างๆ หลังการพัฒนาเสร็จ เขาบอกว่าจะยกเงานนี้ให้เป้ฯสมบัติสาธารณะ ซอลาหุดดีนมองว่า การทำให้ยาวีตามทันเทคโนโลยีเพื่อเป็นตัวเลือกในการใช้สื่อสาร คือการแก้ปัญหาที่ตรงจุด "ถ้าไม่มีการพัฒนาอักษรยาวีให้ตามทันเทคโนโลยียุคใหม่ คนก็จะไม่ค่อยใช้ แล้วภาษาจะตายไป เราต้องทำเพื่อต่ออายุอักษรยาวี และเป้็นทางเลือกที่เท่าเทียมกับภาษาอื่นๆ ในคนปาตานีเลือกใช้"
          หัวหน้าหลุ่มอาวัณบุ๊กบอกกับประชาไทวา ปัจจุบันเมื่อคนปาตานีจะพิมพ์อักษรยาวี จะใช้คย์บอร์ดอาหรับ แต่เนื่องจากชุดอักชระอาหรับขาดอักษรที่ถุกคิดค้นเพิ่มขึ้นห้าตัวเพื่อแมนเสียงภาษามลายูที่ไม่มีในภาษาอาหรับจึงทำใหพิมพ์ได้ไม่ถูกต้องนัก กลุ่มอาวัฒบุ๊กจึงพัฒนาคีย์บอร์ยาวีขึ้นใหม่ และแม้มาเลเซียจะพัฒนาคีย์บอร์ดยาวีขึ้นในปี 2555 ก็เรียงตัวอักษรโดยเทียบกับีย์อยร์ด ของภาษาอังกฤซึ่งไม่เป็นที่คุ้นเคยสำหรับคนปาตานี้ที่คุ้นเคยกับการเรียงตัวอักษรแบบอาหรับ ส่วนฟอนต์ยาวี นั้น ฟอนต์ที่มีอยู่ก็ถูกพัฒนาขึ้นมาหลายสิบปีและ้ และไม่ใช้ระบบยูนิโคด (ระบบฟอนต์ที่ทำให้ผอนต์ชุดหนึ่งใช้ได้กับทุกระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์) ทำให้เป็นอุปสรรคกับการใช้งานบนคอมิวเตอร์และากริมพ์สิ่งพิมพ์ ความล้าหลังทางเทคโนโลยี และไม่ตอบสนองต่อการใช้งานเป้นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนหันไปสื่อสรด้วยภาษาที่ตองสนองมากว่าแทน อย่างภาษาไทย
          เขาเล่าต่อว่า เพื่อส่งเสริมให้มีการพัฒนาภาษาอย่างจริงจังและถูกจุด กลุ่มอาวัณบุ๊กวางแผนจะตั้งสถาบันเรียนรู้และพัฒนาภาษามลายูในสามจังหวัดชายแดภาคใต้ ซึ่งเปรียบเสือมนาชบัณฑิตสถานของภาคประชาชนปาตานี สถาบันดังกล่าวจะทำหน้าที่กำหนดมาตฐานทงภาษา และคอยกำกับดูแลการพัฒนาภาษาในพื้นที่จัดตั้งคลินกิภาษามายู และผลักดันหรือต่อรองกับรัฐในการให้การส่งเสริมภาษามลายูให้ตรงจุด เพื่อให้ภาษามลายูมีศักดิ์ศรีและเท่าเทียมกับภาษาไทย และทำให้แน่ใจว่า นโยบายภาครัฐที่ออกมาตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้ที่อย่างแท้จริง นอกจากนี้ เขายังได้ผลิตเว็บไซด์ ซึ่งผลุิตข่าวสารทั้งากรเมืองสังคม ในภาษามลบยูอัการยาวี เพื่อส่งเสริมการใช้อักษรยาวีในวงกว้างอีกด้วย
               
ปัจจุบัน ชาวมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ใช้ภาษาไทยมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนรุ่งใหม่ที่อาศัยอยู่ในเมืองสามารถใช้ภาษาไทยได้ดีพอๆ กับคนที่อื่นของประเทศ แต่ในขณะเียวกัน พวกเขาใช้ภาษามลายูและตัวยาวีน้อยลง ด้วยคุณภาพที่ต่ำลง ฮารา ชินทาโร ผุ้เชียวชาญด้านภาษามลายู เปรียบเปรยสถานการณ์ของภาษามลายูในปาตานีว่าอยู่ในชั้น "ไอซียู" คืออยู่ในขั้นวิกฤติ ร่อแร่ ใกล้คายเลยที่เดียว
              "มันเป็นความจริงที่น่าขมขืนว่า ภาษามลายูในปาตานีนั้นอ่อนแอมากๆ" ฮารากล่าวแลว่า ภาษามลายูในปาตานีนั้นร่าเป้นห่วงมาก ทั้งในแง่ของจำนวนคนใช้มลายูที่มีจำนวนน้อยลงโดยฉพาะในเมือง คำศัพท์ก็มีให้ใช้น้อยลง และคำศัพท์ต่างๆ ถุกแทนที่ด้วคำยืมจากภาษาไทย ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นทุกที จนทำให้คนมลายูจากมาเลเซียและอินโดนีเซียฟังไม่เข้าใจ การเขียนภาาามลายูด้วยอักษรไทยในเครือข่ายสังคมออนไลน์ก้มีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ "เมื่อพูดถึงคุณภาพ แทบจะไม่มีเจ้าของภาษามลายูชาวปาตานี้คนไหน จะสามารถสนทนาเป้ฯเวลานานได้โดยไม่ได้นำภาษาไทยมาปน ในรูปขอคำนรือวลีที่ยืมมา การปนภาษาและการสลับภาษา" ฮารากล่าว
           "ในขณะที่อังกฤษและดัชต์มาพัฒนาภาษามลายูให้เป็นประโยชน์ต่ออาณานิคมตัวเอง รัฐไทยไม่ได้เข้ามาพัฒนา แต่เข้ามาลบ ซึ่งสามารถทำให้สำเร็จที่สตูล แตคนปาตานี้นั้นพยายามรักษาอัตลักษร์ของตัวเองอย่างเข้มแข็งแต่ในภาวะที่ถุกกด ภาษาก็ไม่มีการพัฒนาทางภาษาเท่าไร คนปาตานีไ้ดแค่ต้านทาน แต่นานๆ ไปก็เสื่อมถอย ตอนนี้ก็ไอซียู แต่ยังไม่ถึงกับหายไป ถ้าเราแก้ไขตรงจุด ก็อาจพัฒนาทันภาษาที่มาเลเซีย อิโดนีเซียได้" ซอลาหุดคีนกล่าว
            ปัจจุบัน การเรียนการสอนภาษามลายูอักษรยาวีมีอยู่เฉพาะในโรงเรียปอเนาะ (โรงเรียนประจำสอนศาสนอิสลามแบบดั้งเิม) ซึ่งเป็นที่นิยมน้อยลงและมจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ เพราะรัฐไทยไม่สนับสนุ ทั้งยังพยายามเปลี่ยนปอเนาะให้เป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม โรงดรีเยรตาดีกา(โรงเรียนสอนศาสนานอกเวลาสำหรับเด็ก)และในวิชาศาสนาอิสลามในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนอิสลาม อย่างไรก็ตาม เพราะนโยบายของรัฐบาลไทยที่มุ่งกลมกลืนชาวมลายูให้เป็น "ไทย" โดยเฉพาะในด้านการศึกษา ทำให้การใช้ภาษามลายูของชาวมลายูในสามจังหวัดชาแดยภาคใต้ลดลง และมีคุณภาพต่ำลง โดยเแพาะการอ่านการเขียนอักษรยาวี
           เมื่อถึงช่วงทศวรรษที่ 1990 เด็มลายูถูกห้ามพูดมลายูในโรงเรียน การพุดภาษาแม่ของพวกเขามักนำไปสู่การุกทำโทษ ไม่ว่าจะถูกตี หือถูกปรับ เช่นปรับหนึ่งบาท ต่อคำมลยูหนึ่งคำ นี่คือเกตุผลว่า ทำไมเมื่อช่วงที่ความรุนแรงประทุขึ้นใหม่ๆ มีโรงเรียนจำนวนมากถุกวางเพลิงและเผา" ฮารา เขียนในบทความ "เหตุการณืที่ไม่ธรรมดาสำหรับคนธรรมดา"http://prachatai.org/journal/2016/06/66072

วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ฺBahasa

            "ภาษามลายูเป็นภาษาหนึ่งในกลุ่มมลาโย - โพลลีเซียนเป็นกลุ่มย่อยของภาษาตระกูลออเคสตร้าเซียนภาษามลายูเป็นภาษาราชการและภาษาประจำชาติของมาเลเซียมาเลเซียและสิงคโปร์"
              รัฐธรรมนูญของประเทศมาเลเซียมีประชากรหลายเชื้อชาติที่จะเรียกใช้ภาษาประจำชาติว่าภาษามลายูเป็นภาษาของชนชาติมลายูจะดูไม่เป็นคนธรรมดาอีกต่อไปกลุ่มชนกลุ่มน้อยคือการพูดคุยกับชนกลุ่มน้อยและอื่น ๆ ภาษาอังกฤษ จึงขึ้นด้วยเหตุผลดังกล่าว
              ขณะที่อินโดนีเซียนเรียกภาษามลายูว่า ภาษาอินโดนีเซีย เพราะภาษาอินโดนีเซียนั้นเป็นภาษาใหม่ กำเนิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1945 มีรากฐานมาจากภาษามลายูเช่นเดียวกับภาษามาเลเซีย แต่ต่างกันที่สำเนียงการพุดและคำศัพท์บางคำ เนื่องจากอนโดนีเซียเคยเป็นอาณานิคมของดัตช์ ถึง 3 ศตวรรษ
             นากนี้ภาษาอินโดนีเซียยังได้รับอิทะิพลจากภาษาชวา ฮินดู บาลี อาหรับ อังกฤษ เปอร์เชีย ดปรตุเกสพัฒนาเรื่อยๆ มาจนมีการเปลี่ยนแปลงการสะกดคำที่ทันสมัยและง่ายขึ้นอย่างที่ใช้ในปัจจุบัน
             ส่วนบรูไนกับสิงคโปร์เรียกภาษามลายูว่า ภาษามลายุ ตามชื่อเดิม และใช้ภาษามลายูเป็นภาษาประจำชาติ แต่สิงคโปร์ยังมีภาษาประจำชาติอีก 3 ภาษา คือ อังกฤษ จีน และทมิฬ ด้วยความหลากหลายทางเชื้อชาติของประชากรในประเทศนั้นเอง
               โดยสรุปภาษามลายู ภาษามาเลเซีย และภาษาอินดดนีเซียก็คื อภาษามลายูที่ใช้เป้ฯภาษาประจำชาติในประเทศต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว ละยังเป้ฯภาษาหนึ่งที่พุดันในภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะใน 5 จังหวัดภาคใต้ (สงขลาปัตตานีสตูลและนราธิวาส.) อีกด้วย แต่ส่วนใหญ่เป้นภาษามลายูมีรูปแบบต่าง ๆ จากภาษามลายูกลางที่ใช้ในประเทศ
 satapornbooks.co.th/SPBcommunity/novels_episode/4862/8/ ตอนที่ -8- ความเข้าใจเกี่ยวกับบาฮาซาและยาวี /
               ประวัติศาสตร์ความความสัมพันธุ์ระหว่างอาหรับกับมลายูพอจะหล่าวได้ว่า เริ่มตั้งแต่สมัยของการเข้ามาของศาสนาอิสลาม พระปรเมศวรในฐานะสุลต่านองค์แรกแห่งมะละกาที่ทรงรับศาสนาอิสลาม และได้ทรงเปลี่ยนพระนามเป็นสุลต่านมูฮัมหมัดชาห์ ซึ่งคำว่าสุลต่านเป็นช่อเรียกตำแหน่งพระมหากษัตริย์ที่ดั้งเดิมมาจากภาษาอาหรับ
              นับตั้งแต่ที่ศาสนาอิสลามเร่ิมเข้ามาสู่หมู่เกาะมลายู ภาาาอาหรัยกลับได้รับความสนใจ และภาษาอาหรับได้รับการตอบรับอย่างแพร่หลาย เป็นภาษาที่ใช้สำหรับการอ้างอิงที่สำคัญในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม ในยุคของการเร่ิมต้นการจักตั้งดรงเรียน และดรงเรียนประจำ (ระบบปอเนาะ)โรงเรียนศาสนา-อาหรับ เมื่อต้นปี 1970 พบว่าภาษาอาหรัีบถูกใช้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการจัดทำหลักสูตรเกือบทุกดรงเรียน
              ตามทัศนะของเจแอนโทนีมองว่าการเข้ามาของพรรดาพ่อค้าวานิชชาวอาหรับในภูมภาคเอเดชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นเข้ามาในฐานะผุ้เผยแพร่ศาสนาอิสลามทำให้คำในภาษาอาหรับได้แทรกซึมเข้าสู่ภาษา มลายูอย่างที่กำลังเป้นอยุ่ในวันนี้ซึ่งการเผชิญกันระหว่างสองภาษาและสองวัฒนธรรมที่แตกต่างกันนั้นได้ก่อให้เกิดพลวัตรทางวัฒนธรรมซึ่งโดยปกติแล้ววฒนธรรมที่มีความเจริ มีรสนิยมสูงกว่าวัฒนธรรมที่ยังไม่เติบโตเหมือนสังคมที่มีวัฒนธรรมที่เรียบง่ายต้องมีการปรับตัวด้วยความเต็มใจและวัฒนธรรมของสังคมที่มีความเจริญกว่า
             ภาษาอาหรับที่ผ่านการเขียนด้วยภาษาอาหรับได้ทำให้ภาษามลายูมีความย่ิงใหญ่ขึ้นไม่เพียง แต่เป็นภาาาประจำชาติของประเทศมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังเป้ฯ ภาษาหลักของคในมู่เกาะมลายูกว่า 250 ล้านคนอีกด้วยดด ประเทศกัมพูชาและกัมพูชา
         
 การออกเสียงภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษในภาษาจีนกลางและภาษาละติน ในเรื่องนี้มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับการจัดงานแถลงข่าวการจัดงานแถลงข่าว ีเซียในปี 1945 และในประเทศมาเลเซียในปี 1957
            ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ในหมู่ชาวมาเลเซียที่อาศัยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติและหมู่เกาะคุกได้รับการรับรองว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในการดำเนินการตามกฎหมายของประเทศพม่า ของประเทศในเช็กนี้จะมีพัฒนาการสูงโดยอิงจากสังคมปัจจุบันที่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น ... pataniforum.com/single.php?id=562
             นักปราชญ์ชาวปัตตานีชื่อว่าคานอะฮ่ามัคอัลลอฟ - ฟะฎนีย์ได้วางระบบการใช้ข้อมูลอย่างเป็นทางการในการจดบันทึก เรื่องราวทางศาสนาและการสื่อสารต่างๆนักเรียนในโรงเรียนปรมาณูหรือโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในเขตพื้นที่ภาคใต้ "เด็ก ๆ ทุกคนคิดว่าการใช้ยาเสพติดและยาเสพติดในโรงพยาบาลมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ชุมชนที่พุดภาษาไทยมลายูปัตตานีมาช้านานตัวอย่างเช่น
         อักษรไทย / อักษรยาวี / อักษรรูมี / คำอ่าน
         วันจันทร์   / نينثا         / Isnin       / อิสมิน
         วันอังคาร / ثالث        / Selasa     / ซลาซา เป็นต้น
         ตัวอย่างบทสนทนา
         อะฮาหมัด : สวัสดครับ เป็นอย่างไร้าง คุรลุงสบายดีไหม / อัซซาลามูอาลัยกุม อาปอกาบา เปาะจิ แซฮะ?
          ลุอาตัน : สวัสดี ก็สบายดี ขอบใจนะ แล้วคุณละ / วาลัยกุมมุซซาลาม กาบา บาเวาะ ลากุ เอะตือรีมอ กาเซะฮ อา มานอ?

          อะฮาหมัด : ผมก็สบายดีครับ / ขอบคุณครับ / ซายอ ยูเกาะ แวฮะ ตือรีมอกาเซะฮฺ...
          ตัวอย่างคำทักทายและกล่าวลา
          สวัสดี - ซลามะ / ฉัน- อามิ, ซายุอฺ อากู / มี - อาดอ
          สวัดีตอนเช้า - ซลามะ + ปาฆี / คุณ - แดมอ. อาเวาะ / ไม่มี - ตะเด๊าะ
          สวัสดีตอนเที่ยง  - ซลามะ + ตือเงาะฮารี / เรา - กีตอ / ขอพูดกับ - เนาะกาเจะดืองา
          สวัสดีตอนเย็น - ซลามะ + ปือแต / ฉันรักคุณ - ซายอกาเซะห์แดมอ / เรียวิชาอะไร - งายี มาดะกะปอ
          สวัสดีตอนค่ำ - ซลามะ + มาแล / ชื่ออะไร ? - นามออาปอ / เงิน - ดูวิ
          อัสสาลามูอลัยกุม เป็นทัีกทายแบบอิสลาม หมายถึง ของความสันติสุขหรือความสุข จงมีแด่ท่าน คนที่ได้ยินคำจะตอบรับว่า "วาอาลัยกุมมุสลาม" ซึ่งแปลว่า ขอความสันติสุข หรือความสุข จงมีแด่ท่านเช่นกัน"...
            http://lakmuangonline.com/?p=3422
     
       
        
          
                  -

วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Lolo-Burmese languages

           หลักฐานที่เก่าแก่ทีุ่ดในพม่าที่เกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์โบราณมีอยู่ต้ั้งแต่เมื่อประมาณ 750,000-11,000 ปีก่อนคริสตกลาล มาก่อนแล้ว หลักฐานชี้บ่งบอกว่ามนุษย์ตั้งถิ่นฐาของตัวเองในแถบแม่น้ำอเรวดีตั้งแต่ยุค "อญาเทียน" (ยุคหินพม่า) ช่ววเดียวกับยุคเก่าและยุคกลาวของยุโรป ในุษย์ยุคหินใหม่ในพม่าเริ่มีการเพาะปลูกและเลบี้ยงสัตว์ โดยมีการต้รพบถิ้สามแก่งใกล้เมืองตองยีของรัฐฉาน ประมาณ พันห้าร้อยปีก่อนคริสตกาล ยุคทองแดงพท่า ไ้เิร่ิมทำการปลลูกข้าวและเลี้ยงไก้และหมู ซึ่งถอืว่าเป็น กลุ่มมนุษย์แรกๆ ที่ได้พัฒนาทำแบบนั้น ห้าร้อยปีก่อนคริสตกลกา ชาวพม่าได้ย้ายถิ่นฐานลงทางตอนใต้ซึ่งปัจจุบันคือเมืองมัณฑะเลย์ และมการ้นพบโลงศพของมนุษย์ยุคทองแดงซึงบรรจุ
เครื่องปั้นดินเผาจำนวนมากไว้ในนั้น หลักษฐานทางโบาณคดีที่หมู่บ้านซาหม่องทางตอนใต้ของมํณฑะเลยพบว่ามีการปลูกขจ้าวและค้าขายกับจีนมาตั้งแต่ 500-200 ปีกอ่นคริสตกาลมาแล้ว
           ชาวปยูเป็นกลุ่มแรกในพม่าที่ตังอาณาจักรของตนะเองในทางตอนเหนือของพม่าแบแม่น้ำอิรวดี สันนิษฐานว่าชาวปยูอพยพมาจากบริเวณมณฑลชิงใไห่กับกานสูของจนลงมาสู่ประเทศพม่า และได้รั้งเมืองขึ้นในางตอนเหนือ โดยเมืองที่ใหญ่ที่สุดของชาวปยูมีชื่อว่าเมืองศรีเกษตร ซึ่.ปัจจุบันคือเมืองแปร
           ชาวปยูค้าขายกับจีนและอินเดียมานานแล้ว โดยส่งออกเข้าวเป้นสินค้าสำคัญ และที่น่าสนใจคือชาวปยูมีเหรียญเงินมานานแล้ว ถือเป็นชนกลุ่มแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผลิตเหรียญเงิน โดยผลิตเงินที่มีรูเล็กๆ โดยมันสามารถเป็นได้ทั้งเิืงนและเครื่องรางอีกด้วย
            ด้านศาสนา ชาวปยูยับถือศาสนาพทธนิการเถรวาท โดยรับอิทธิพลจากอินเดียทั้งภาษา ศาสนาา วัฒนธรรมเข้ามใช้ดดยชาวปยูจะรับอิทธิพลของภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาใช้ และใช้อักษรพราหมีโบราณในการเขียนเรื่องราวต่างๆ
             เชื่อกันว่าอาณาจักรปยูล่มสลายเมื่อถูกอณจัก่านเจ้าุกรานในพุทธศตวรรษที่ 15 อย่างไรก็ตาม ไ่มีหลักฐานทงประวัติศาสตร์ใดยืยนันว่าเกิดการรุกรานขึ้นในเมืองศรีเกษตร แต่เชื่อกันว่าอาณาักรปยูย้ายราชธานีไปในเมืองที่อยุ่ทางตอนเหนือก่อนการรุกรานนามนแล้วและอาจจะเป็นไปได้ว่าชาวพม่าเริ่มมีอิทธิพลและกลืนกินชาวปยูไปจนหายจากประวัติศาสตร์ในที่สุด พร้อมๆ กับการตั้งอาณาจักรพุกาม
             ชาวมอญเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ตั้งถ่ินฐานขึ้นในพม่า อาณาจักแรกที่มีการบันทึกไว้ก็คืออาณาจักรทวารวดี ซึงเจริญรุ่งเรืองไปจนกระทั่งคริสศตวรรษที่ 10 จึงถูกอาณาจักรขอมรุกราน และอพยพหนีไปตั้งเมืองทางตอนใต้ของพม่า ชาวมอญได้ก่อตั้งอาณาจักรสะเทิหรือสธรรมวดีขึ้นหลังจากล่มสลายของอาณาจักรทวาราดวี มีกษัตริย์อยุ่ 59 พระองค์ พระองค์สุดท้ายคือ พราะเจ้ามนูหะ ซึ่งถูกพระเจ้าอโนรธามังช่อแห่งราชอาณาจักรพุกามรุกรานและกวาดต้อนพระองค์ไอยู่เมืองพุกาม
         
พุกาม
ต่อมาอาณาจักรพุกามถูกชาวมองโกลรุกราน อาณาจักรมญจึงถูกก่อตั้งขึ้นอีกโดยมีชื่อว่า อาณาจักรหานตาวดี ครั้งแรกทีเมื่องหลวงตั้้งอยุ่ที่เมืองเมาะตะมะ แต่ต่อมาย้ายไปที่เมืองพะโค แต่ต่อมาก็ล่มสลายเมื่อพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้และพระเจ้าบุเรงนองรุกรานอีก
             อาณาจักรหานตาวดีได้ฟื้นฟูขึ้นมาในระยะสั้นช่วงปลายราชวงศ์ตองอุแต่ต่อมาก็ถุกพระเจ้าอลองพญารุกรารและผนวกเป้นสวหนึ่งอของพม่า ทำให้ชาวมญสูญสิ้นแผ่นดินตัวเองนับตั้งแต่นั้นมา
              กลุ่มภาษาพม่า-โลโล เป็นภาษาที่มีผุ้พูดในพม่าและจีนตอนใต้ เป็นกลุ่มย่อยของตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า ภาษานาซีจัดอยุ่ในกลุ่มนี้แต่การจัดจำแนกย่อยลงไปอีกยังไม่แน่นอนอาจจัดให้เป็นสาขาย่อยที่สามนอกเหนือจากกลุ่มภาษาพม่าและกลุ่มภาษาโลโล ภาษาปยูที่เป็นต้นกำเนิดของภาษาพม่าอาจมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มภาษาพม่า-โลโล แต่ไม่มีกลักฐานเพียงพอสำหรับการจัดจำแนกทำให้ถูกจัดให้เป้นตระกูลภาษาย่อย ทิเบต -พม่า ที่จัดจำแนกไม่ได้ ภาษามรูซึ่งเป้ฯภาษาที่จัดจำแนกไม่ได้อีก ภาษาหนึ่งเช่อว่ามีความสัมพันธ์กับกลุ่มภาษาพม่า-โลโลเช่นกัน
               ภาษาพม่า หรือ ภาษาเมียนมา เป้ฯภาษาราชกรของประเทศพม่า จัดอยุ่ในตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า อันเป้นสาขาย่อยของตระกูลภาาาโดยเป็นภาษาแม่ของคนประมาณ 32 ล้านคนในพม่า และเป้นภาษาที่สองของชนกลุ่มน้อยในพม่า และในประเทศอินเดีย ประเทศังกลาเทศ ประเทศมาเลเซีย ประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ภาษาพม่าเป้นภาาาที่มีระดับเสียง หรือวรรณยุกต์ มีวรรณยุกต์ 4 เสียง และเขียนโดยช้อักษรพม่า ซึ่งดัดแปลงจากอักษรมอญอีกทอดหนึ่ง และจัดเป็นสมาชิกในตระกุลอักษณพรามหม่ี
             ภาษาพม่ามาตรฐานคือสำเนียงย่างกุ้ง ภาษาถ่ินในพม่าภาคเหนือและภาคใต้จะต่างจากภาษากลาุง ภาษาถิ่นในเขตยะไข่หรืออารกัน ยังมีเสียง/ร/ แต่สำเนียงย่างกุ้งออกเสียงเป็น/ย/ ภาษาพม่าแบ่งอย่างกว้างๆ ได้ 2 ระดับ  คือระดับทางการใช้งานวรรณคดี งานราชการและวิทยุกระจายเสียง ระดับไม่เป้ฯทางการใช้ภายในรอบครัวและกับเพื่อน พระภิกษุชาวพม่ามักพูดกันเองด้วยภาษาบาลี ซึ่งได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาth.wikipedia.org/wiki/ภาษาพม่า
            ภาษาเมรู หรือภาษามารู ภาษามูรุง มัผุ้พุดทั้งหมด ห้าหมื่นกว่าคน พบในบังกลาเทศสามหมื่นคน ในตำบลบันดัรบัน พบในอินเดีย พันสองร้อยคน ในรัฐเบงกอลตะวันตก พบในพม่า สองหมื่นคน ในรัฐยะไข่
             จัดอยู่ในตระกุลภาษาจีน-ทิเบต กลุ่มภาษาทิเบต-พม่า สาขามรู รากศัพท์ใกล้เคียงกับภาษาฮิ่นสำเนียงมโร 13 % เรียงประโยนคแบบประธาน-กริยา-กรรม เขียนด้วยอักษรละติน เป้นภาษาที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นภาษาตาย
             ภาษานี้เป็นภาษาหนึ่งในภาษากลุ่มทิเบต-พม่าที่จัดจำแนกได้ยาก เป็นภาษาที่อยู่ระหว่างภาษาพม่า ภาษาเมยเทยในอินเดีย และยังใกล้เคียงกับภาษาฉิ่น แม้ว่าจะเคยจัดจำแนกเป็นส่วนหนึ่งของภาษาฉิ่นแต่ภาษามรูก้ฒีความใกล้ชิดกับกลุ่มภาษาพม่า-โลโลในระดับหนึ่งth.wikipedia.org/wiki/ภาษามรู
           
 กลุ่มปยู หรือภาษาติรกุล เป็นภาษาโบราณในตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า ที่เขนมีผุ้พูดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณที่ปัจจุบนคือพม่าและไทย ใช้พูดโดยชาวปยูเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 10  และกลายเป้นภาษาตายเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป้นยุคที่เร่ิมใช้ภาาาพม่าอย่าแพร่หลาย ภาษาปยูที่พบในจารึกจะมีคำแปลเป็นภาษาบาลีไว้ด้วย จัดภาษานี้อยู่ในกลุ่มพม่า -โลโล แบรดลีย์จัดให้อยู่ในภาษากลุ่มโลโล ในขณะที่ แวน เดรียมจัดให้เป้ฯสาขาอิสระของตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า
            จารึกหนึ่งที่มีความสมบูรณ์และสำคัญ คือ จารึกเมียะเซดี ที่เมืองพุกาม ซึ่งเป็นจากรึกที่กล่าวถึงผุ้สร้างคือพระราชกุมาร ทรงบำเพ็ญกุศลในพระพุทธศาสนาเพื่อให้พระเจ้าจันสิตถาซึ่งเป้นพระบิดา หายจากพระอาการประชวร
             จารึกนี้มี 4 ด้านด้วยกัน คือ บาลี ปยู มอญ และพม่า อย่างไรก็ตามว่ากันว่าในตอนแรกนั้น ยังไม่มีผุ้อ่านภาษาปยูได้ จนกระทั่งโรเบิร์ต ฮัลลิเดย์และขาร์ลส์ แบลกเดนได้ศึกษาภาษามอญโบราณ จึงทำให้ามารถอ่านด้านที่เป็นภาษาปยูได้ (คริเตรียน บาวเออร์ ผุ้เชี่ยวชาญด้านมอญกล่าวไว้)พม่าweb.facebook.com/612365295504993/photos/a.612394168835439.1073741828.612365295504993/1060708447337340/?type=3&_rdc=1&_rdr 
           โดยสรุป ภาษาพม่า จัดอยู่ในตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า ซึ่งแยกออกมาจากตระกูลภาษาจีน-ทิเบต ใช้พุดในเอเชียกลาง และเอเชียตะวันออกเแียงใต้ รวมทั้งพม่า ทิเบต ภาคเหนือของไทย ภาคกลางของจีน ภาคเหนือของเนปาล ภูฎาน อินเดียและปากีสถาน
            ภาษากลุ่มนี้มี 350 ภาษา ภาษาพม่า มีผุ้พุดมากที่สุ (ประมาณ 32 ล้านคน) มีผุ้พูดภาาาทิเบตทุกสำเนียงอีกราว 8 ล้านคน  นักภาษาศาสตร์บางคนเ เช่น จอร์จ แวน เดรียม เสนอให้จัดตระกุลทิเบต-พม่า ขึ้นเป็นตระกูลใหญ่ และให้กลุ่มภาษาจีนมาเป็นกลุ่มย่อยแทนแต่ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางth.wikipedia.org/wiki/ตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า

         

วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Laos - Phutai Language group II

               คงจะไม่มีขาติพันธุ์ไทกลุ่มไหนที่มีความสับสนในการเรียกชื่อ ตลอดจนประวัติศาสตร์ของตนเองเหมือนผุ้ไท (ภูไท) ที่บริเวณสองฝั่งโขงบย่อยครั้งที่เข้าใจผิดว่าเป็นกลุ่มที่คล้ายคลึงกับไทที่เวียดนามเหนือและจีนตอนใต้ คำว่าผู้ไทมีสองความหมายชื่อชาติพันูะ์ของผุ้ไทและผุ้คนหรือคนไททั่วไป เนื่องจากที่ผ่านมามีนักเขียนหลาท่านใช้คำว่าผ "ผุ้ไท" ในการเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธ์ต่างๆ เช่น กลุ่มตะวันตกเแียงใต้ ในเวียดนาม ได้แก่ "ผู้ไทดำ" ผู้ไทขาว" ผู้-ไทแดง" และกลุ่มกลางในจีนตอนใต้ เช่น "บู้ได่" ฯลฯ ว่าเป้นกลุ่มชาติพันูะ์เดียวกันหรือคล้ายๆ กันกับผุ้ไท ซึงสร้างความสับสนแก่ผุ้ศักษาภายหลัง ดังนั้นในบทความนี้จึงขออธิบายความหมาย ของผุ้ไท ซึ่งสร้างความสับสนแก่ผุ้ศึกษาภายหลัง ดังนั้นในบทความนี้จึงของอธบายความหมารยของผุ้ไท ซึ่งแบ่งเป้ฯ 2 ความหมาย คือ
              ความหมายแรก เป้นชื่อเแพาะของกลุ่มชาติพันู์สองกลุ่มที่ไม่มีความเกี้วข้องกัน ได้แก่ ผู้ไท ในภาคตะวันออเแียงเหนือของไทยและตอนกลางของสปป.ลาว และ สองเป้ฯทราบกันมานานกว่าร้อยปีแล้วว่ามีกลุ่มไท(ไต่) ต่างๆ ในบริวเณชายแดนเวียดนาม-จีน ที่เรียกตัวเองว่า "บู้ได่" เหล่านี่มีภาษา รประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา แตกต่างกันมากกับผุ้ไทบริเวณสองฝั่งโขชง ศึ่งต่อมา ปราณี กลุลวนิชย์ และธีระพันธ์? เหลืองทองคำ นักภาษาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ได้ศึกษาเปรีบเทียบภาษาผุ้ไทสองฝั่งโขงกับภาษา "บุ้ได่" แล้วได้ข้อสรุปว่า ผุ้ไทและบู้ได่ เป้นคนละกลุ่มกัน และเขาได้เสนอว่า ผุ้ไทและบู้ได่น่่าจะแยกจากันมาประมาร 1,200 ปี แล้ว
             ความมหายที่สอง "ผู้ไท" คือผุ-ไท หมายถึง คน-ไท หรือผุ้คนของกลุ่มไทต่างๆ เช่น (ุ้-ไทดำ/ไตดำ" แทน "ผู้ไทดำ" เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการเรยกชื่อชาติพันธ์ุ ในปัจจุบันนี้นักวิชการรุ่นใหม่ใช้คำว่า "ไทดำ/ไตดำ" ถ้าหากถามตนไตดำ ไตขาว ไตแดง ฯลฯ "เจ้าเป้นผุ้ไทบ่อ" จะไ้รับคำตอว่า "แม่นอยู่ ข้อยเป้นผุ้ไท" จากการสำรวจภาคสนามของผุ้เขียนที่เมืองดซโปน สปป.ลาว ได้พบผุ้หญิงที่พุดสำเนียงผุ้ไทจึงถามเธว่า "เจ้าเป็นผุ้ไทบ่อ" ได้รับคำตอบว่า "แม่น" ครั้นถามต่อไว่า "ผุ้ไทคือคนเซโปนนี้บ่" (ผู้ไทเหมือนคนเซโปนหรือไม่) จะได้รับคำตอบว่า "บ่อข้อยเป็นไทแดง มาเอาผัวผุ้ไทอยู่พ้"  เธอบอกว่าภาษาของเธอแตกต่างจากผุ้ไทมาและไม่ได้นับถือศาสาพุทธแต่นับถือผี เธอยังบอกต่อีกว่า อยู่ที่เซโปนไม่ได้พุดภาษาไตแดงเพราะคนที่นี่ไม่เข้าใจนอกจากนี้ผุ้เขียนยังได้รับผระสบการณืเดียวกันเมื่อพบกับคนไตดำที่แขวงเซียงขวาง ทางตอนเหนือของสปป.ลาว และนักวิชาการท่านอื่นก้เกิดความสับสนเช่นกันเมื่อเขาสัมภาษณ์ ไทขาว ไทดำและลาวน้อย จาเวียดนามเหนือ
         
ภาษาผุ้ไท พบแค่บริเวณสองฝั่งโขงคือภาคอีสานของไทยและสปป. ลาวตอนกลาง บริเวณแขวงคำม่วนและแขวงสะหวันนะเขต ภาษาผุ้ไทนั้นอยุ่ในกลุ่มเดียวกันกับภาษาไทย ลาว แสก โย้ย ญ้อ พวนและภาษาอื่นๆ อีกเกือบร้อยภาษา ซึงอยุ่ในตระกุลไท-กได ถิ่นกำเนิดเดิมของภาษาตระกุลไท-กะได ราวๆ สามพันปีที่แล้วอยุ่ที่กวางสีและกวางตุ้งบริเวณจีนตอนใต้ คนที่ใช้ภาษาไท-กะไดนีน่าจะป็นผุ้วาดภาพเขียนสีที่ผาเขาฮัวซาน ในมณฑลกวางสี เมื่อประมาณ สีพันถึงสองพันสี่ร้อยปีี่แล้วและต่อมาน่าจะเป็นผุ้ผชิตกลองมโหระทึกในสมัยของ ไป่เย่ว์ ราวๆ สองพันปีที่แล้วในปัจจุบันนี้ยังพบภาษาไท-กะได ในบริวณจีนตอนใต้ลงไปจนจรดชายแดนลาว-เขมร ภาคใต้ของไทยและทางตอนเหนือของพม่าไปจนถึงรัฐอัสสัมทางตะวันออกของอินเดีย
            ภาษาผุ้ไทนั้นใกล้ชิดกับภาษาพวนและญ้อมากที่สุด ตัวอย่างเช่น "ไปสิเลอ" (ไปไหน) ภาษาพวน "ไปกะเลอ" และคำที่ใช้ใระใอไม้ม้วนในภาษาไทยภาษาพวนและผุ้ไทออกเสียง เออ เช่น "ส้งเม่อ" (กางเกงใหม่" น้ำเสอ" (น้ำใส) และ "ข" ผุ้ไทและพวนใช้ "ห" เช่น "แขน มะขาม " ฯลฯ ผุ้ไทและพวนออกสเียง "แหน มะหาม" ส่วนไทยและลาว ออกเสียง "แขน มะขาม" ทั้งภาษาพวน ญ้อและผุ้ไๆทจัดอยู่ในกลุ่มภาษาเดียวกันคือ กลุ้มธนิต (ดูคำอธิบายด้านล่าง)
            นอกจากนั้นยังมีข้อเสนอของ เจมส์ อาร์ ชามเบอเลียน นักภาษาศาสตร์ ได้แบ่งกลุ่มภาษาตระกุลไทในกลุ่มตะวันตกเแียงใต้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสิถิล และกลุ่มธนิต ผุ้ไทอยุ่กลุ่มะนิต สวนไทดำอยุ่กล่มสิถิล และจากการศึกษาของ อรพันธ์ บวรรักษา เปรียบ เที่ยบภาษาผุ้ไท จังหวัดกาฬสินธุ์และภาษาลาวโซ่ง (ไทดำ) ที่ จังหวัดเพชรบุรี พบว่าข้อมูลการศึกษาสอดคล้องกัน ผุ้ศึกษาได้เสนอไว้อย่งน่ารับฟังว่า "ความแตกต่างระหว่างภาษาถ่ินต่างๆ และความแตกต่างจากภาษาที่มาจากภาษาดั้งเดิมเดียวกันเกิดขึ้นเพราะเวลาที่ผ่านไปและการอพยพเคลื่อนย้ายถ่ินฐาน ตลอดจนการติดต่อสัมพันธ์กับผุ้ใช้ภาษา"
           มีนักเขียนหลายท่านได้เสนอว่าผุ้ไทที่บริเวณต่อนกลางขอแม่น้ำดขงเป้นชาติพันธุ์เดียวกันกับไทดำ แต่ผุ้เขียนมีความเห้นขัอแย้ง เพราะนอกจากข้อมูลที่กล่าวข้างต้นแล้ว ยังพบว่าผุ้ไทและไทดำสื่อสารกันไม่รู้เรื่องนอกจากนั้นยังพบว่าไทดำนั้นมีภาษาเขียน แต่ผุ้ไทมไม่มี ระบบความเชื่อ การนับถือสษสนา ลักษณะของสถาปัตยกรรมการสร้างบ้านเรือน และการแต่าางกาย แตกต่างกันกับผุ้ไท
           คนผุ้ไๆทน่าจะอพยพมาจากสิบสองจุไททางภาคเหนือของเวียดนาม มาตั้งรกรากอยุ่ที่ลาวตอนกลางบริเวณที่ราบสุงนากายแขวงคำเกิด ราวๆ พันปีที่แล้ว ในปัจจุบันนี้คนผุ้ไทสองฝั่งดขงและคนไตต่าง ๆ ในสิบสองจุไท สามารถสื่อสารกันได้เพียงเล็กน้อยด้วยภาษาของตนเอง
          ในงานผุ้ไทนานาชาติที่ อ. เขาวง จ.กาฬสินธุ์ เมื่อต้นปี 2556 ที่ผ่านมา หลังการแสกงจบลงพิธีกรกลางได้ประกาศว่า "พวกเราเป้นผุ้ไทดำทั้งหมด" มีเด็กหยิงน่ารักคนกนึ่งถามผุ้เขียนว่า "หนูฟังเพลงของไทดำ ไทขาว ไทแดง จากเวียดนามไม่เข้าใตแต่ผุ้ไทจากลาวฟังเข้าใจดี ทำไมถึงบอกว่าเราเป้นผุ้ไทดำทั้งหมด" ผุ้เขียนยิ้มแล้วตอบไปว่า "คนไทจากเวียดนามเหนือ เป้นคนละกลุ่มกันกับผุ้ไทสองฝั่งโขง แต่เคยมีบรรพบุรุษที่มีความใกล้ชิดกันนอดีตเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว แต่ผุ้ไทเหมืทอนเราพบแค่ทีภาคอีสานของไทยและในลาวตอนกลางเท่านั้น" ภายใต้รอยยิ้มนั้นผุ้เขียีนกลับเพิ่มความกังวลในใจมากย่ิงขึ้น "ในอนาคตคนรุ่นใหม่จะมีความเข้าใจชาติพันธุ์ของตนเองเป็นเช่นไร"sakonnakhonguide.com/index.php?name=knowledge&file=readknowledge&id=3#.WXnVvYTyjIU
            ภาษาไทยถิ่นอีสาน ภาษาท้องถิ่นภาคอีสาน ภาค อีสานเป็นเขตหรือภาคหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของไทย อยู่บนที่ราบสูงโคราช มีแม่น้ำโขงกั้นเขตทางตอนเหนือและตะวันออกของภาค ทางด้านใต้จรดชายแดนกัมพูชา ทางตะวันตกมีเทือกเขาเพชรบุรณืและเทือกเขาคงดงญาเย็นเป้นแนวกั้นแยกจากภาค เหนือและภาคกลางการเกษตรนับเป้นอาชีพหลักของภาค แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงปัจจับอื่นๆ ทางด้านสังคมเสรษบกิจ ทำให้มีผลผลิตที่น้อยกว่าภาคึอื่นๆ
         
ภาษาหลักของ ภาคนี้ คือ ภาษาอีสาน แต่ภาษาไทยกลางก็นิยมใช้กันแพร่หลายโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ขณะเดียวกันยังมีภาษาเขมร ที่ใช้กันมากในบริเวณอีสานใต้ นอกจากนี้ยังมีภาษาถิ่นอื่นๆ เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาโส้ ภาษาไทยโคราช เป็นต้น
           ภาคอีสานมีเอกลักษณ์ทงวัฒนาธรรมที่โดดเด่น เช่น อาหาร ภาษา ดนตรีหมอลำ และศิลปะการฟ้อนรำที่เรียกว่าเซิ้ง เป็นต้น ภาคอีสาน มีเนือที่มากที่สุดของประเทศไทย ประมาณ แสนเจ็หมื่น ตารางกิโลเมตร หรือมีเน้อที่หนึ่งในสามของ พื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทย มีเทือกเขาที่สูงที่สุดในภาคอีสานคือ ยอดภูหลวง และภูกระดึง เป้นต้นกำเนิดของแม่น้ำ เช่น ลำตะคอง แม่น้ำชี แม่น้ำพอง แม้น้อเลย แม่น้ำพรม แม่น้ำมูล
          ภาษาไทยถ่ินอีสาน เป็นภาษาไทยถ่ินที่ใช้พุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใกล้เคียงกับภาษาลาว ในอดีตเคยเขียนด้วยอักษรธรรมล้านช้างหรืออักษรไทยนอย ปัจจุบันเขียนด้วยอักษรไทย มีพยํยชนะ 20 เสียง สระเดี่ยว 18 เสียง สระประสม 2-3 เสียง บางท้องถิ่นไม่มีเสียงสระเอือ
         ภาษา ถิ่นอีสาน หมายถึง ภาษาถ่ินที่มีคนส่วนมากใช้พุดจากันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาษาถิ่นอีสาน นอกจากจะใช้พุดจากันในภาคตะวันออกเแียงเหนือแล้ว ยังมีการพูดจากันในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอีกด้วย
          ฟังไกว ลี ได้แบ่งกลุ่มภาษาตระกุลไทย สาขาตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งประกอบด้วยภาษาในประเทศไทย ลาว อินเดีย และเวียนาม ภาษาตระกุลไทนั้น ใช่ว่าจะใช้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ยังมีการใช้ภษาาตระกุลไท ในต่างประเทศอีกหลายแห่ง แต่ละแห่งก็ได้ชื่อว่า เป้ฯภาษาถิ่นไททั้งนั้น  เมื่อประมาณ 40 กว่าปีที่แล้วมา ท่านรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ จากมณฑลยูนานกับคณะ ได้มาเยี่ยมวัิทยาลัยครุมหาสารคาม ท่านได้บรรยายต่อที่ประชุมอาจารย์ด้วยภาษาถ่ินไท มณฑลยูนนาน ท่าได้แสดงอักษรไทยยูนนาน ให้พวกเราได้ดูได้อ่่าน คณะครูอาจารย์ และนักศึกษาในสมัยนั้น ใามารถังและอ่านได้อย่างเข้าใจด้วย
            ภาษาถิ่นไทย ยูนนาน มีความลบะม้ายคล้ายเหมือนกับภาษาถิ่นอีสานมาก โดยเฉพาะคำศัพท์ต่างฟ สำหรับตัวอักษรยูนาน ก็คือ "อักษรไทลื้อ" นั่นเอง ลักษณะของอักษรไทลื้อ มีลักษณะใกล้เคียงกับอักษรไทยล้านนา และอักษรธรรมอีสานมาก กล่าวได้วา ผุ้ที่อ่านอักษรไทล้านนาและอ่านอักษรธรรมอีสานได้ ก็สามารถที่จะอ่านอักษรไทลื้อได้ เปฯที่น่าสังเกตว่า คนไทยสวนมากจะสามาถเข้าใมจกัน ด้วยภาษาต่างถิ่นได้ เนื่องจาก มีศัพม์ร่วมตระกุลกัน เช่น ชื่อที่เรียกเครือญาติกน พ่อ แม่ พี่ น้อง ศัพท์เกี่ยวกับร่างกาย มีเสียงปฎิภาค ของระบบเสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต์ จะออกเสียงแตกต่างกันอย่างมีกฎเกณฑ์ และเงื่อนไข ระหว่างภาษาถ่ินด้วยกัน sakonnakhonguide.com/index.php?name=knowledge&file=readknowledge&id=3#.WXnVvYTyjIU
             
ภาษาพูดของคนอีสานในแต่ละท้องถิ่นนั้นจะมีสำเนียงที่แตกต่างกันออกไป ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีอาณาเขตติดต่อกับภิ่นใดรวมทั้งบรรพบุรุษของท้องถิ่นนั้นๆ ด้วย เช่น แถบจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มีชายแดนติดกับเขชมร สำเนียงและรากเหง้าของภาษาก็จะมีคำของภาษาเขชมรปะปนอยฦุ่ด้วย ทางด้านจังหวัด สกลนคร นครพนม มุกดาหาร หมองคาย เลย ที่ติดกับประเทศลาวและมีชาวเวียดนามเข้ามาอาศยอยุ่ค่อนข้างมากกจะมีอีกสำเนียงหนึค่ง ชนเผ้าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นๆ ก็จะมีสำเนียงที่มีเอกลักษณ์เป้นของตนเองและยังคงรักษาเอกลักษณ์นั้นไว้ ตราบจนปัจจุบัน เช่น ชาวภูิไทในจังหัดมุกดาหารและนครพนม
              ถึงแม้ชาวอีสานจะมีภาษาพูดที่มีความแตกต่างกันในแต่ละท้องถ่ิน แต่ในภาษาอีสานก็มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงมีความคล้ายกันก็คือ ลักษระของคำและความหมายต่างๆ ที่ยังคงสื่อความถึงกันได้ทั่วทั้งภาค ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชาวอีสานต่างท้องถิ่นกันสามารถสื่อสารกันได้เป็นอย่างดี
              ถ้าจะถามว่าภาษาถิ่นแท้จริงขงชาวอีสานใชกันอยู่ที่ใดคงจะตอบไม่ได้ เพราะภาษาที่จนในท้องถ่ินต่างๆ ใช้กันก็ล้วนเป็นภาษาอีสานทั้งนั้น ถึงแ้จะเป้นภาษาที่มีความแตกต่างกัน แต่ก็มีรากศัพท์ในการสื่อความหมายทีคล้ายคลึงกัน
              ในปัจจุบันชาวอีสานตามเมืองใหญ่ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นได้หันมาใช้ภาษาไทยกลางกันมากขึ้น เพราะวัยรุ่นเหล่านี้ส่วนใหย่ได้รับการศึกษาที่ดีเที่ยบเท่ากับงคนในภาคกลางหรือกรุงเทพมหานคร ทำให้ภาษาอีสานเริ่มลดความสำคัญลง เช่นเดียวกันกับภาษาพื้นเมืองของภาคอื่นๆ แต่ผุ้คนตามชนบทและคนเฒ่าคนแก่ยังใช้ภาษาอีสานกันเป้ฯภาษาหลักอยุ่ ทั้งนี้คนอีสานส่วนใหญ่จะสามารถสื่อสารได้ทั้งภาษที่มา http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/language1.htm
อีสานของท้องถ่ินตนเองและภาษาไทยกลาง หากท่านเดินทางไปในชนบทของอีานจะพบการใช้ภาษาถ่ินที่แตกต่างกันไปดังกล่าวมาแล้ว แต่คนอีสานเหล่านี้ดดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาวก็จะสามารถสื่อสารกับท่านเป้นภาษาไทยกลางได้อีกด้วยทั้งนี้เพราะวัยรุ่นชาวอีสานส่วนใหญ่จะเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ และปรมณฑล เมื่อก่อนจะไปหางานทำเฉพาะหลังฤดูทำนา แต่ในปัจจุบันวัยรุ่นสวนใหญจะเข้ากรุงเทพฯ และทำงานที่นั่นตลอดทังปี ชาวอีสานที่ไปต่างถิ่นนอกจากจะหางานทำแล้ว ก็ยังมมีการเผยแพร่วัฒนธรรมรวมทั้งภาษาของตนเองไปในตัว จะเห้นได้จากในปัจจุบันชาวไทยจำนวนมากเร่ิมเข้าใจภาษาอีสาน ทั้งจากเพลงลูกทุ่งภาษาอีสานที่ได้รับความนิยมกันทั่วประเทศและจากคนรอบตัวที่เป้นคนอีสาน ทำให้ภาษาอีสานยังคงสาารถสืบสานต่อไปได้อยุถึงแม้จะมีคนอีสานบางกลุ่มเลิกใช้ - ที่มา http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/language1.htm
           

วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Laos - Phutai Language group

              ภาษาลาว เป็นภาษาราชการของลาว เป็นภาษาที่มีวรรณยุกต์ในภาษากลุ่มไท และสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภาษาอีสานของประเทศซึ่งเป็นสำเนียงหนึ่งของภาษาลาว ระบบการเขชียนในภาษาลาวจะใช้อักษรลาว ซึ่งเป้นระบบอักษรสระประกอบ (ระบบการเขียนที่ประกอบด้วยสัญลักษณ์แทนพยัญชนะและตามด้วยสระที่อยู่ด้านหน้า หลัง บน ล่าง ของพยัญชนะ) และสัมพันธใกล้ชิดกับอักษณไทย
             สำเนียงภาษาถิ่น ของภาษาลาวสามารถแบ่งได้ 6 สำเนียง
             - สำเนียงลาวเวียงจันทน์ เวียงจัน บอลิคำไซ
             - ภาษาลาวเหนือ หลวงพระบาง ไชยบุรี อดมไซ หลวงน้ำทา
             - ภาษาลาวตะวันออกเฉียงเหนือ เชียงขวาง หัวพัน
             - ภาษาลาวกลาง คำม่วน สุวรรณเขต
             - ภาษาลาวใต้ จำปาศักดิ์ สาละวัน เซกอง อัตตะปือ
             - ภาษาลาวตะวันตะวันตก ร้อยเอ็ดในประเทศไทย
            ทางการประเทศลาวไม่ได้กำหนดให้สำเนียงถิ่นใดเป้นสำเนีนงภาษากลาง แต่การใช้ภาษาลาวอย่่างเป็นทางการ เช่น ทางสถานี้โทรทัศน์แห่งประเทศลาว สถานีวิทยุแห่งประเทศลาว จะใช้สำเนียงเวียงจันทน์ซึ่งเป็นสำเนียงของคนเมืองหลวง สามารถเข้าใจกันได้ทั่วประเทศ การเรียนภาษาลาวในประเทศลาวนั้น รัฐบาลลาวไม่ได้บังคับให้ใช้สำเนียงเวียงจันทน์ แต่ให้สามารถใช้สำเนียงท้องถิ่นต่างๆ ได้ แต่การเรียนภาษาลาวสำหรับชาวต่างประเทศ รัฐบาลลาวแนะนำให้ใช้สำเนียงเวียงจันทน์ฉะนั้นประชาชนในประทเสลาวจึงพุดอ่านภาษาลาวเป็นสำเนียงท้องถิ่นของตนแต่ประชาชนก็สามารถฟังเข้าใจได้ทุกสำเนียงทั่วประเทศ แม้จะพุดภาษาต่างสำเนียงกันก็ตาม
           ส่วนในประเทศลาว นอกจากสำเนียงถิ่นใหญ่แล้วยังมีสำเนียงแตกออกไปอีหลายสำเนยงย่อย ชเ่น ภาษาลาวใต้ถิ่นสาละวัน ภาษาลาวกลางถิ่นสุวรณเขต สำเนียงย่อยถ่ินเมืองอาดสะพังทองถิ่นเมืองจำพอน ภาษาเวียงจันทน์ถิ่นเมืองปากงึม ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีผุ้พุดภาษาลาวใต้ถิ่นจำปาศักดิ์ในจังหวัดพระวิหาร สตึงแตรง และรัตนคีรีของประเทศกัมพูชาด้วย
             ภาษาญ้อ หรือ ภาษาไทย้อ เป็นภาษากลุ่มไท-ลาว ที่พุดกันหม่ชาวไทญ้อ ซึงมีอยุ่ในประเทศไทยประมาณ ห้าหมื่นคน ในจ. สกลนคร หนองคาย นครพนม มหาสารคาม ปราจีนบุรีและสระบุรีสวนใหญ่อพยพมาจากประเทศลาว เป้ฯชาวไทญ้อส่วนใหญ่พูดภาษาลาวอีสานได้ด้วย
            ภาษาญ้อจัดอยุ่ในตระกูลภาษาไท กะได ภาาากลุ่มคำ-ไท สาขาเบ-ไท สาขาย่อยไต-แสก มีลักาณคล้ายคลึงกับภาษาไทยถิ่นอีสานและภาษาลาวสำเนียงหลวงพระบางมีพยัญชนะ 19 เสียง สระเดี่ยว 18 เสียง สระประสม 3 เสียง วรรณยุกต์ 4 เสียง พยัญชนะควบกลุ้ 6 เสียงth.wikipedia.org/wiki/ภาษาลาว
         
ไทยย้อเป็นชาวไทยภาคอีสาน อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมักเรียกตัวเองว่ ไทยย้อ เชน ชาวย้อในจังหวัดสกลนครย้อ ในตำบลท่าขอนยาง(เมืองท่าขอนยาง) อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ชาว ย้อ ในอำเภอท่าอุเทน จังหวัด นครพนม และชาวย้อในตำบลดงเย็น อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ภาษาและสำเนียงของชาวย้ออาจ ผิดเพี้ยนไปจากาวอีสานทั่วไปบ้างเล็กน้อย ถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวย้อ มีผุ้ค้นพบว่าเดิมอยู่แค้วนสิบสองปันนา หรือ ยูนาน ต่อมาชาวย้อมชยางพวกได้อพยพลงมาตามลำน้ำโขง เพื่อเลือกหาที่ตั้งบ้านตั้งเมืองที่อุดมสมบูรณ์กวาที่อยู่เดิมจนในที่สุด ชาวย้อกลุ่มหนึ่งได้พบว่าตรงปากน้ำสงครามริมฝังโขง เพื่อเลือกหาที่ตั้งบ้านตั้งเมืองี่อุดมสมบูรณืกว่าที่อยู่เดิมจนในที่สุด ชาวย้อกลุ่มนหนึ่งได้พบว่าตรงปากน้ำสงครามริมฝั่งโขงเป็นที่อุดมสมบรูรณืที่ปลา ชุกชุม จึงได้จัดตั้งขึ้นเป็นเมืองไชยบุรี
              เมื่อ พ.ศ. 2350 (สมัยรัชกาลที่ 1 ต่อมาเมืองเจ้านุวงษ์ เวียงจันทนืเป็นกบฎต่อกรุ
เทพมหานคร เมื่อ พ.ศ. 2369 ไทย ย้อเมืองไชยบุรีถูกกองทัพเจ้านุวงษ์เีจยงจันทน์กวาดต้อนให้อพยพข้ามโขงไป ด้วย โดยให้ไปตั้งอยู่ที่เมืองปุงเลง เมืองคำเกิด เมืองคำม่วน ในแขวงคำม่วน ของลาว ต่อมากองทัพไทย ได้กวาดต้อนให้ไทยข้อ ให้อพยพข้ามโขง กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ทรงพระกรุณาโปรดเหล้า ฯ ไทยย้อกลุ่มกนึ่งตั้งขึ้นเป็นเมืองท่าอุเทน
              เมื่อ พ.ศ. 2373 ไทยย้อที่อพยพข้ามโขมาตั้งที่บ้านท่าขอนยาง เป้ฯเมืองท่าขอนยาง ขึ้นเมืองกาฬสินธุ์ ไทยย้อเมืองสกลนคร อพยพมาจากเมืองมหาขชัย (แขวงคำม่วนของลาว) มาตั้งอยู่ริมน้ำหนองหานสมัยรัชกาลที่ 3 ตั้งขึ้นเป็นเมืองสกลนคร เมื่อ พ.ศ. 2381 ในจังหวัดมุกดาหารมีไทยย้อที่อพยพมาจากเมืองคำม่วนตั้ง บ้านเรือนอยุ่ที่ตำบลดงเย็น อำเภอเมืองมุกดาหาร และอยู่ในท้องที่อำเภอนิคมคำสร้อยอีกหลายหมู่บ้าน เผ่าไทยในนครพนม
            ตามจดหมายเหตุของหลวงชำนาญอุเทนดิษฐิ์ (บฮด กิติศรีวรพันู์) ต้นสกุลกิติศรีวรพันธุ์..
            ...ลุถึงปีมะเส็ง เบญจศด จุลศักราช 1195 พ.ศ. 2376 เจ้าเมืองบุ่งลิงพร้อมด้วยฮุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร กรมการเมือง ท้าวเพี้ย จึงปรึกษากันเห็นว่าเป็ฯโอกาสเหมาะที่จะกลังมรพึ่งพระบรมโพธิสมภารของรัชกาลที่ 3 เพราะญวนกำลังติศึกกับไทยอยู่จึงอพยพจากเมืองบุ่งลิงมาพักอยู่ตอนหาดทายกลางแม่น้ำโขง บริเวณบ้านร้างแขวงเมืองนครพนา และเจ้าเมือง กรมการเมือง จึงขึ้นไปสืบดุมี่เมืองไชยบุรี
และตั้งใจว่าหากเมืองไชยบุรียังเป็นเมืองร้างวางเปล่าอยู่ ก็จะพากันไปอยู่ตามเดิม ครั้นไปสืบดูแล้วปรากฎว่า ราชวงศ์เสน เมืองเชมราบ กรมการเมือง และแม่ทัพนายกฝ่ายไทยต้งค่ายรักาาเมือง มีผุ้คนอยุ่กันหนาแน่นแล้ว กรมการเมืองหลวงบุ่ลิงจึงปรึกษาต่อราชวงศ์เสน ของสวามิภักดิ์ เป็นข้าขอบขัณฑสีมาอาณาจักรกรุงเทพมหานครต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลานราชวงศ์เสนพร้อมด้วยนายทัพนายกองจึงมีหนังสือบอกข้อราชากร พร้อมกับนำตัวเจ้าเมืองและกรมการเมืองหลวงบุงลิงลงไปหาแม่ทัพนายกองทีเมืองนครพนมจึงสั่งให้เจ้าเมืองและกรมการเมืองหลวงบุ่งลิงอพยพครอบครัว ไพร่พล จากคอนหาดทรายกลางแม่น้ำโขง มาตั้งอยู่ ณ บ้านท่าอุเทน ซึ่งร้ายอยู่เกลี่้ยกล่อมให้ผุ้คนฝั่งซ้ายในแขวงเมืองคำเกิด คำม่วง มารวมอยู่ด้วยเป็นอันมาก
             ปีมะเมีย ฉศก จุลศักราช 1196 พ.ศ. 2377 แม่ทัพฝ่ายไทยไดตั้งพระปทุมเจ้าเมืองหลวงบุ่งลิงเดิม ให้เป็ฯพระศรีวรราชและเป็นเจ้าเมือง และยกบ้านท่าอุเทนร้างนั้นขึ้นเป้น "เมืองท่าอุเทน" อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร ยังคงเดิม ให้เมืองท่าอุเทนขึ้นอยู่ในความปกครองของพระสุนทรราวงศา ผุ้วาาชการเมืองยโสธรนครพนม และเมืองท่าอุเทนมีชายฉกรรจ์ 700 คนผุกส่งส่วยปีละ 18 ตำลึง
            ถึงปีจอ สัมฤทธิศก จุลศักราช 1200 พ.ศ. 2381 เป็นปีที่ 15 ในรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงเทพมหานคร มีท้องตราโปรดเกล้า ฯ ให้เมืองท่าอุเทนขึ้นตรงต่อกรุงเทฯ เป้นหัวเมืองจัตวาขาดจากการปกครองของเมืองยโสธรนครพนม มีเมืองรามราชเป็นเมืองขึ้น (ในครังนั้นเจ้าเมืองรามราชคือ พระอุทัยประเทศ ชื่อเิม ท้าวบัง เป็นเจ้าเมืองเชียฮม อพยพผุ้คนมาจากฝั่งซ้ยชองแม่น้ำโขงคราวกบฎเจ้าอนุวงศ์ คุมครัว 458 คนไปตั้งเมืองอยู่ที่บ้านรามราช ซึ่งปัจจุบันเป้ฯตำบลรามราช ขึ้นกับอำเภอท่าอุเทน) ส่วนเขตเมืองท่าอุเทนนันไม่ได้แบ่งเพราะตั้งอยู่ในเขตเมืองนครพนม และให้ช่วยรักษาเขตแดนเมืองนครพนมไปพลางก่อน
         
ชาวไทญ้อ
พระศรีวรราช ผพระปทุม) เจ้าเืองท่าอุเทนคนแรกถึงแก่อนจกรรมในปีใดไม่ปรากฎในจดหมายเหตุ มาปรากฎหลัก,านเอาต่อเมือถึงปีมะเมีย โทศก จุลศักราช 1232 พ.ศ. 2412 พระศรีวรราช (การี) เจ้าเมองคนที่ 2 ถึงแก่อนิจกรรม ทางราชการจึงตั้งท้ายอินทิสาร (พรหมมา) เป็นพระศรีวรราช ดำรงตำแหน่งผุ้ว่าราชการเมืองคนที่ 3 ให้ท้ายพระพรหมเป็นอุปฮาด ให้ท้าวพระคำก้อนเป็นราชวงศ์ ให้ท้าวบุญมากเป็นราชบุตร ส่งส่วยตามเดิม
            ถึงปีขาล สัมฤทธิศก จุลศักราช 1240 พ.ศ. 2421 พระศรีวรราชุ (พรหมมา) และทาวพระพรหมถึงแก่อนิจกรรม ทางราชการจงตั้งให้ท้าวบุญมาก ราชบุตรเป็นพระศรีวรราช ดำรงตำแหน่งผุ้ว่ารชการการเมืองคนที่ 45 และเป้นเจ้าเืองคนสุดท้าย
           เมืองท่าอุเทนเปลี่ยนฐานะจากเมืองเป็นอำเภอเมื่อ ร.ศ. 128 พ.ศ. 2453 มีขุนศุภกิจจำนงเป็นนายอำเภอคนแรก
           ปัจจุบันชาวไทญ้อมีภุมิละเนากระจัดกระจายอยุ่ทัวไปในภาคอีสาน อาทิ บ้านนายูง อำเภอกุมกวาปี จังหวัดอุดรธานี, บ้านท่าขอนยาง บ้านกุดน้ำใส บ้านยาง บ้านเหล่ากลาง บ้านโพน บ้านค้นธารราษฎร์ อภเภอกัทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม, บ้านสิม บ้านหนองแงง บ้าสา อ.ยางตลาด และบ้านหนองไม้ตาย อ.สหัสขันธ์ จ. กาฬสินธุ์, บ้านหนองแห่ง บ้านจำปา บ้านดอกนอ บ้านบุ้งเบ้า บ้านนาสีนวล อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร, บ้านขามเฒ่า อ.เมือง จ.นครพนม บ.ท่าอุเทฯ บ้านไชยบุรี บ้านนาขมิ้น บ้านค้อ บ้านพระทาย บ้านโพนสวรรค์ บ้านรามรช อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม บ้านแพง บ้านนาขาม อ.บ้านแพง จ.นครพนม บ้านดงเย็น  จ.นครพนม บ้านศรีสงคราม บ้านนาเดื่อน บ้านนหว้า ย้านเสียว อ.ศรีสงคราม จ.นครพนนม baanmaha.com/community/threads/33053-ประวัติศาสตร์กลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทญ้อ

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...