วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2561

Mythology

ซุส
           เทพปกรฌัมกรีก เป็นเรื่องปรับปราและตำนานที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้า วรีบุรุษ ธรรมชาติของโลก และจุดกำเนิดและความสำคัญของวิถีปฏิัตและพิธีในทางศสนาของชาวกรีกโบราณ เทพปกรณัมกรีกเป็นส่วนหต่งของศาสนาในกรีซโบราณ นักวิชาการสมัยใหม่กล่าถึงเรื่องปรับปราและสึกษาในความพยายามที่จะอธิบายสถาบันทางศาสนาและการเมืองในกรีซโบราณ อารยธรรม และเพิ่มความเข้าใจของธรรมชาติในการสร้างตำนานขึ้น
          เทพปกรณัมกรีกได้ถูกรอบรวมขึ้นจารเรื่องเล่าและศิลปะที่แสดงออกในวัฒนธรรม กรีก เช่น การระบายสีแจกันและของแก้บน ตำนานกรีกอธิบายถึงการถือกำเนิดของโลกและรายละเอียดของชีวิต รวมทั้งการผจภัยของบรรดาเทพ เทพี วรีบุรุษ วรีสตรี แลสิ่งมีชีวิตในตำนานอื่นๆ ซึ่งเร่องราวเหล่านี้ได้นือทอดโดยบทกวีจากปากตอ่ปากเท่านั้น ในปัจจุบัน ตำนานกรีก ได้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในวรรณกรรมกรีกเป็นส่วนใหญ่
ไคนัส
          วรรณกรรมกรีกที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่รุ้จักกันคื อมหากาพย์ อีเลียต และโอดิสซีย์ ของโฮเมอร์ ซึ่งจับเรื่องราวเหตุการณ์ในระหว่างสงครามเมืองทรอย นอกจากนี้มีบทกวีมหากาพย์ร่วมสมัยอีสองชุดของเฮสีโอต คือ Theogony และ Works and Days เล่าเรืองราวเกี่ยวกับการกำเนิโลก การสืบอดของจอมเทพผุ้ศักดิ์สิทธิ์ ยุคของมนุษย์ กำเนิดศัตรูของมนุษย์ และพิธีบูชายัญต่างๆ เรื่องเล่าปรัมปราังพบได้ในบทเพลงสวดสรรเสริญของโอเมอร์ จากเสี้ยวส่นหนึ่งของบทกวีมหากาพย์ Epic Cycle จากบทเพลง จากงานเขียนโศกนาฎกรรมในศตวรรษที่ 5 ก่อน คริสตกาล จากงานเขียนของปราชญ์และกวีใยุคเฮเลนนิสติก และในตำราจากยุคของจักรวรรดิ โรมันที่เขียนดดยพลูตาร์คกบเพาซานิอัส
           งานค้นพบของนักโบราณคดีเป็นแหล่งข้อมูลอย่างละเอียดของเพทปกรณัมกรีกเพราะมีภาพของเพทและวีรบุรุษกรีกมากมายเป็นเื้อหาหลักอยู่ในการตกแต่งสิงของเครื่องใช้ต่างๆ ภาพเรขาคณิตบนเครื่อโถในุคศตวรรษที่ 8 ก่อน คริสตกาลแสดงให้เห็ฯฉากต่าง ๆในมหากาพย์เมืองทรอย รวมไปถงการผจญภัยของเฮราคลีส ในยุคต่อๆ มา
แอสลาส
           อาจเป็นเพราะชาวกรีกโบราณพยายามหาคำตอบให้กับตัเองว่าทำไมฟ้าร้องฟ้าผ่า หรือเหตุใดจึงมเสียงสะื้อจากถ้ำเมื่อเราส่งเสียง หรือ ฯลฯ นันเพราะความกลัวปรากฎการณ์ธรรมชาติจึงพยายามหาเหตุผลและชาวกรีกชอบฟังนิทานเรื่องเล่าปรัมปรา แต่งโคลงกลอน ขับลำนำและดีดพิณคอลไปด้วย จึงทำให้การขับลำนำเป็นที่นิยม เล่ากันว่า โฮเมอร์ ก็เป็นนักขับลำนำขั้นยอดคนหนึ่งของกรีก ใครๆ ก็รักน้ำเสียงการเล่าิทานของเขา แรกเริ่มเทวดาตำนานเป็นบทกลอนที่ท่องจำกันมาเป็นรุ่นๆ ต่อมามีกาบันทึกเป็นลายลักษณือักษร เราจึงไมทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผุ้แต่งเทพปรกฌัม บ้างก็ว่า โอเมอร์ เป็นผุ้แต่ง อีเลียต บ้างก็ว่าแค่รอบรวม บ้างก็ว่ากวีกรีกแต่างส่วน โอวิด กวีโรมก็เล่าถึงเทวตำนาแต่ใช้ชื่อตัวละครต่างกัน  ซึ่งโอวิดจำเล่าได้พิสดารกว่าของนักเขียนคนอื่นๆ
           เทพโอลิปัส เทพเจ้าแห่งโอลิมปัส ือเหล่าทวยเทพที่อาศัยร่วมกันอยุ่บนยอดเขาโอลิปัส ซึ่งมกเข้าใจกันว่ามีอยุ่ทั้งหมด 12 องค์ ดังนี้
         
 ซูส
            เมื่อซูุสยึดอำนาจจากโครนัสได้สำเร็จ ซูสก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจอมเทพแห่งสวรค์โอลิมปัส โดยมีพที่ที่สำรอกออกมาจากท้องโครนัสเป็นกำลังสนับสนุน
มีทีส
            ฝ่ายโครนอสเมื่อถุกขับไล่ออกจาสวรรคืโอลิมปัสก็ไปรวบรวมกำลังกลับมาทวงอำนาจคืจากซูส กองกำลังฝ่ายโครนอสปะกอบ้ด้วยเทพบุตร ไททัน คือ ซีอัส ครีอัส ไฮเพอร์เรียน และไอแอพิทส ส่วนโอเชียนัสกับเทพธิดาไททันที่เหลือวางตัวเป็นกลางไมเข้าข้างฝ่ายใด นอกจากี้โครนอสก็ยังมีหลานๆ มาเป็นกำลังสนับสนุนในการศึกนี้ด้วย ที่เป็นจอมัพคนสำคัญ คือ แอตลาส โอรสของไอแอพิทัสกับคลีมีน สงครามแย่งชิงบัลลังก์สวรค์เป็นไปอย่างดุเดือดยาวนานถึง 10 ปี ไม่มีฝ่ายหนึงฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำ ในที่สุดจอมาร ตาไกอา ก็พยากรณ์ว่าหากต้องการชัยชนะนะชุสจะต้องใช้อาวุธทที่ทรงประสิทธภาพากตรุทาร์ทารัส
         ซุสเชื่อคำทำนาย จึงลงไปยมโลก ขอให้โซคลอปส์ ยักษ์ตาเดีวทำอาวุให้แลกกับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากครุทาร์ทารัส ยักษ์ไซคลอปส์ จึงผลิตสายฟ้ามอบให้ซุสใช้เป็นอาวุธ สร้าง ตรีศูลให้โปไซตอน และทำหมวกล่องหนให้อาร์เดส จากั้นซุสก็พายักษ์ไซคลอปส์และยัก 50 กัวจากตรุทาร์ทารัสมาเป็นพวกตอ่สู้กับฝ่ายโครนัสด้วยอาวุธที่ทรงประสิทธภาพของเทพทั้งสาม
         ในที่สุดซุสก็จับโครนอสได้ และพวกไททันบริวารก็ยออมแพ้ศิโรราบซุสลงโทษโครนอสและบริวารโดยการเนรเทศดครนอสให้ไปอยู่เกาะกลางทะเล ซึ่งต่อมาโครนอสก็สามาถหนีออกจากเกาะนั้นได้และไปอาศัยอยู่ที่เฮสเพอเรียซึ่งก็คือดินแดนอิตาลีในปัจจุบันอย่างสงบสุข
อธีน่า
       
 แอสลาสถูกลงโทษให้เป็นผุ้แบกสวรรค์ไว้บนบ่า ส่วนผุ้สนับสนุนอื่นๆ ก็ถูกจับไปขังในตรุทาร์ารัสเสร็จศึกครั้งนี้ซูสก็แบ่งการปกครองออกเป็น 3 ส่วน คื อตัวซุสเองปกครองสวรค์และพิภพ ฮาเดสปกครองขุมนรคและบาดาล ส่วนโพไซตอนปกครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยเหลือมหาสมุทรรอบนอกให้โอเซียนัสปกครองต่อไป ส่วนยักษณ์ไซคลอปส์ ก็ช่วยสร้างพระราชวังที่โอ่โถงสง่างามบนยอดเขาโอลิมปัสมอบให้ซุสจอมเทพพระราชวันี้อยุ่สูงเหนือเม" และสามารถมองไ้ไกลรอบด้าน จอมเทพซุสจึงสามารถมองเหตุการณ์ต่างๆ บนโลกมนุษย์ได้จากพระราชวังแห่งนี้เมืองสงครามสงบ
       
 ซุสซึ่งมีความพึงพอใจในตัวมีทิสเทพธิดาไททันที่มาช่วยทำยาสำรอกในโครนอสดื่มก็คอยเผ้าตามตื้อมีทิส ไปทุกแห่ง หวังจะได้นางเป็นชายา ฝ่ายมีทิส นั้นก็พยายามหลีกหนีโดยแปลงร่างไปต่างๆ นานา แต่ซุสก็ังติดตามไปไม่หางในที่สุดมิทิสก็ยอมแพ้ความพยายามของซุสและยอมรับซุสเป็นสวามีจนตั้งครรภ์ขึ้น แต่จอมมารดาไกอากลับพยากรณืว่าหากมีทิสมีโอรส โอรสนั้นจะโค่นอนาจของซุสด้วยความเกรงกลัวคำพยากรณ์ซุสจึงนับมิทิสกลื่อนลงท้องไป
           ต่อมาไม่นานซุสก็มีอาการปวดหัวจนทนไม่ไหวร้องผ่าหัวออก จึงปรากฎร่างของเทพีอาธีนาในชุดนักรบเดินออกมาจากหัวของซุส เทพีอาธีนาเป็นธิดาของซุสกับมิทิส เป็นเทพีแห่งสติปัญญา และมักจะอยุ่ใกล้ๆ ซุสเพื่อให้คำแนะนำซุสตอลดมา
เฮร่า
          เมือสิ้นมีทิสไปแล้ว ซุสก็เจ้าชู้มีชายาไปทั่ว แต่ที่หมายมั้นปั้นมือมากที่สุดก็คือเพทธิดาเฮร่าพี่สาวแสนสวย ฝ่ายเฮร่าก็เอาแต่หนีด้วยกลัวความเจ้าชู้ของน้องชายจนซูสไม่อาจเข้าใกล้ตัวเฮร่าได้ ซูสจึงใช้แผนแปลงร่างเป็นนกน้อยบินฝ่าสายฝนไปตกตรงหน้าเอร่า เฮร่าเห็นนกน้อยที่น่าสงสารบินหมดแรงมาตกตรงหน้า เนื้อตัวสันเทาด้วยความหนาวนางจึงโอบอุ้มนกน้อยนั้นไว้แนบอกเพื่อให้ไออุ่น ซุ่สได้ทีก็แปลงร่างกลับเป็นจอมเทพและกอดเฮร่าไว้จนนางไม่อาจหนีได้อีกต่อไปด้วยอุบายของซุสทำใ้เฮร่ารุ้สกอับอายจึงยินยอมอภิเษกกับซุสหลังจากท่หลีกหนีซุสมาไ หลังจากหลีกหนีมาเป็นเวลา 300 ปี และเฮราก็อยู่ช่วยซุสปกครองสวรรค์ที่เขาดอลิปัสตลอดมา
         พระนางเฮร่าให้กำเนิด โอรสธิดากับซุส คือ ฮีบี้ อิลลิธธียา และอรีส และด้วยอารมณ์โกรธที่เห็นซูสให้กำเนิดเทพีอาธีนาจากศรีษะ พระนางเฮร่าก็ให้กำเนิดโอรสโยไม่พึงพาซูสบ้าง โอรสองกค์น้นคื อฌอเฟตัส
         ด้านการปกครองสวรค์ในยุคแรกั้น ซุสถูกท้าทายอำนาจอีกหลายครั้ง หลายครา รวมทั้งมเหสีของซุส เฮร่า และจอมมาร ดาไกอาด้วย...https://sites.google.com/site/chattarikajomfoo/xarythrrm-krik-boran/6-theph-pkrnam-krik

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2561

European literature (Iliad)

           หากจะจำแนกยุคสมัยในยุโรปอย่างคร่าวๆ เป็นยุคเก่า หรือยุคคลาสสิค ยุคกลาง ยุคใหม่ และยุคร่วมสมัย
           ยุคเก่า หรือยุยคาสสิก เป็นคำที่ใช้กว้างๆ สำหรับสมัยประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่มีศูนย์กลางอบู่ในบริเวณเมดิเตอเรเนีน ที่ประกอบด้ยการผสมผสานระหว่างกรีกโบราณและโรมันโบราณ ที่เรีกว่า โลกกรีก กรมัน สมัยคลาสสิกเป็นสมัยที่วรรณคดีกรีกและลาตินมีความรุ่งเรือง
          สมัยคลาสสิกถือกันว่าเริ่มขึ้นเมื่อมีการบันทึกการวรรณกรรมกรีกเป็นครั้งแรกที่เร่ิมด้วยมหากาพย์ขอโอเมอร์ ราวศตวรรษที่ 8 ถึง 7 ก่อนคริสต์วรษ และดำเนินต่อมาจากกระทั้งถงสมัยสมัยการเผยแพร่ของคริสต์สาสนา และการล้มสลายของจักรวริโรมัน ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 จนมาส้ินสุดลงในปลายสมัยโบาณตอนปลาย ราว ค.ศ. 300 - ค.ศ. 600 ปสานต่อไปยังสมัยกลางตอนต้น ยุคสมัยอันยาวนานนี้ครอบคลุมวัฒะรมที่แตกต่างกันในหลายบริเวณของช่วงระยะเวลานั้นสมัยคลาสสิกอาจจะหมายถึงสมัยอันเป็นสมัยอุดมคติ โยผู้คนในสมัยต่อมา ตามคำกล่าวของเอดการ์ อัลเลน โพ ที่ว่า ไความรุ่งโรจน์ของกรีก ความยิ่งใหญ่ของโรมัน
         https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%81
วัฒนาธรรมของกรีกโบราณมีอิทธิพลเป็ฯอันมากต่อภาษา ระบบการปกครอง ระบบการศึกษาปรัชญา วิทยาศาสตร์ ศิลปะ และสถาปัตยกรรมของยุคใหญ่ และเป็นเชื่อที่น่ำมาสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาต่อมาในยุโรปตะวันตก และต่อมาในยุคฟืนฟูคลาสสิก ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19
              วรรณคดีในสมัยยุคลาสสิก
              อีเลียต เป็นหนึ่งในสองบทกวีมหากาพย์กรีกโบราณของโฮเมอร์ ซึ่เล่าเรื่องราวของสงครามเทืองทรอยในข่วงปีที่ที่สิบอันเป็นปีที่สิ้นสุดสงคราม เขื่อกันว่า อีเลียต ถูกแต่งขึ้นในช่วงศตวรรษที่แปดก่อนคริสตกาล นักวิชาการหลายคนเชื่อว่า บทกวีเรื่องนี้เป็นวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดในภาษากรีกโบราณ ึงถือได้ว่าเป็นวรณกรรมชิ้นแรกของยุโรป แม้จะมีชือผุ้ประพันธ์ปรากฎเพีงคนเดียว แต่จากลักษระของบทกวีที่บอกเล่าสืบต่อกันมาแบบปากเปล่ารุรเต่อรุ่น จึงมีความเป้ฯไปได้ว่ามีผุ้ปรพันธ์มากว่าหนึ่งคน
           เรื่องราวในบทกวีบรรยายถึงเหตุการณ์ในปีที่สิบซึ่งเป็นปสุดท้ายของเหตุการณ์ที่ชาวกรีกบุกยึดนครอีเลียน หรือเมืองทรอย คำว่า "อีเลียต" หมายถึง "เกี่ยวกับอีเลียต"อันเป็นขื่อเรียกวส่สนนครกลวง ซึ่่งแตกต่างกับ ทรอย อันหมายถึง นครรัฐที่อยุ่ล้อมรอบอิเลียน แต่คำทั้งสองคำนี้มักใช้รวมๆ กันหมายถึงสถานเที่แห่งเดีวกัน
            เนื้อหาเรื่องราว คำเปิดเรื่องมีความหมายถึง โทสะ เป็นการประกาศถึงธีมหลักของเรื่อง อีเลียต นั้นคือ "โทสะของอคิลลิส" เมื่ออักกะเมมนอน ผุ้นำกองทัพกรีกบุกเมืองทอย ได้หมิ่นเกียรติของอคิลลิสโดยการชิงตัวนางไบรเซอีส ทาสสาวนางหนึ่งซึ่งตกเป็นของขวัญชระศึกของอคีลิลีสไปเสีย อคีลลีสจึงถอนตัวจากการรบ แต่เือปราศจากอคีลลีสกับทัพของเขา กองทัพรกีก็ต้องพายต่อเมืองทรยอย่างย่อยับ จนเกือบจะถอดใจยกทัพกลับ แต่แล้วถอดใจยกทัพกลัย แต่แล้วอดีลลีสกลับเข้าร่วมในการรบอีก หลังจากเพื่อนสนิทของเขาคือ ปฏิตกลัส ถุกสังหารโดยเฮกเตอร์เจ้าขายเมืองทรอย อคิลลีสสังหารชาวทรอยไปเป็นจำนวนมากรวมทั้งเฮกเตอร์ แล้วลากศพเฮกเตอร์ประจาน ไม่ยอมคืนร่างผุ้เสียชีวิตให้มาตุภูมิซ่งผิดธรรมเรียมการบบ จนในที่สุดท้ายเพรียม บิดาของเฮกเตอร์ต้องมา/ถ่ ต้องมาไถ่ร่างบุตชายกลับคื มหากาพย์ อีเลียตสิ้นสุดลงที่งานพิธีศพของเฮกเตอร์
         
โอเมอร์บรรยายภาพการศึกไว้ในมหากาพ์อย่างละเอียด เขาระบุชือนักรบจำนวนมาก เอ่ยถึงถ้อยคำที่ค่าทอ นับจำนวนครั้งี่เปล่างเสีย่งร้อง รวมถึงรายละเอียวในการปลิดชีวิตฝ่ายสํตรู การส้ินชีวิตของวีรบุรุษแต่ละคนส่งผลให้การสงครามรุนแรงหนักงนิ่งขึ้น ทัพทั้งอสงฝ่ายต่างเข้าแย่งชิงเสื้อเกราะะครื่อาวุธ และแก้แค้นต่อผู้ที่สังหารคนของตน นักรบที่โชคดีมักรอดพ้นใไปได้ด้วยฝีมือขัรุของสารถี หรือด้วยการช่วยเลือป้องกันของเหล่าเทพ รายละเอดียดสงครามของโฮเมอร์นับเป็นงานวรรณกรรมที่โหดเหี้ยมและมีผุ้เสียชีวิตมากที่สุด
          มหากาพย์ อีเลียต มีนัยยะทางศาสนาและส่ิงเหนือธรรมชาติอยู่มาก กองทัพทั้งสองฝ่ายต่างเคร่งครัดศรัทธาต่อเทพเจ้าของตน และต่างมีนักรบที่สืบเชื้อสายมาจากเหล่าเทพด้วย พวกเขามักเซ่นสรวงบูชาเทพเจ้า ขอคำปรึกษาจากพระ และแสวงหาคำพยากรณืเพื่อตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไรตอไป พวกเทพเจ้ามักเข้าร่วในการรบ ทั้งดยการให้คำแนะนำและช่วยเหลือปกป้องนักรบคสโรปด บางคราว ก็ร่วมรบด้วยตนเองกับพวกมนุษย์หรือกับเทพเจ้าองค์อื่นๆ
         ตัวละครหลักของมหากาพย์ อีเลียต จำนวนมากมีส่วนเชื่อดยงสงครามเมืองทรอยเข้ากับตำนานปรับปราอื่นๆ เช่น ตำนาน เจสันกับขนแกะทองคำ ตำนานกบฎเมืองธีบส์ และการผจญภัยของเฮราคลีส (เฮอร์คิวลีส) ตำนานปรับปราของกรีกโบราณเหล่านี้มีเรื่องเล่ามาในหลากหลายรูปแบบ โฮเมอร์จึงค่อนข้างมีอิสระในการเลือกรูปแบบตามที่เขาต้องการเพื่อนำมาประกอบในมหากาพย์
           เรื่องราวของมหากาพย์ อีเลียต ครอบคลุมข่วงเวลาเพียงไม่กีสัปดาห์ในช่วงปีที่สิบและปีสุดทายของสงคราเมืองทรอย มิได้เล่าถึงความเป็นมาของการศึกและเหตุการณ์ในช่วงต้น และมิได้เอ่ยถึงเหตุการณ์ตอนส้ินสุดสงคราม ย่างไรก็ดีมีบทกวีมหากาพย์เรื่องอื่นที่บรรยายความต่อจากนี้ แต่กลงเหลือรอดมาถึงปัจจุบันเพียงเล็กน้อย ..
            มหากาพย์ อิเลียต และโอดิสซีย์ นับว่าเป็นวรรณกรรมคลาสสิก ของกรีกโบราชิ้นสำคัญที่สุดและถือเป็นงานพื้นฐานสำคัญของวรรณกรรมกรีก ในยุคต่อมา นอกเหนือจากความเป็นโคลงโบราณที่มีบทพรรณนาอย่างลึกซึ้งแล้ว มันยังเป็ฯศุนย์กลางของวัฒนธรมต่างๆ ของกรีกที่เกี่ยว้องกับความเชื่อทางศาสนาด้วย ในงานเฉลิมฉลองทางศาสนาขอกรีก จะมีการขับร้องบทกวีนี้ตลอดทั้งคื อ่านด้วยิีธรมดาจะใช้เวลาประมาณ 14 ชี่วโมง โดยจะมีผุ้ฟังเข้าและออกเรื่อยๆ เพื่อมฟังบทที่เขาชื่นชอบ เป็นพิเศษ
         
นักวิชาการด้านวรรณกรรมถือเอา อีเลียต และ โอดิสซย์ เป็นงานประพันธ์แบบกวีนิพนธ์ และมักนับว่าโฮเมอร์เป็นกวีด้วย แต่เมื่อถึงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 19 เหล่านักวิชาการก็เร่ิมสสัยว่าข้อสมมุติฐานนี้ถุกต้องหรือไม่  มิแมน แพรี นักวิชาการยุคคลาสสิกคนหนึ่งพบว่าลักษณะงานประพันธ์ของโฮเมอ์มีความเฉพาะเจาะจงอย่างน่าประหลาด ในการเลือกใช้คำคุณศัพท์ รวมถึงคำขยายตำนาน วลี หรือประประโยค ที่ซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งเขาเห็นว่าลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะของเรื่องเล่าปากเปล่า หรือ วรรณกรรมแบบมุขปาฐะ ผู้แต่างจะใช้คำหรือวลีที่มีรูปแบบแน่นอนเรพาะจะเข้าสัมผัสในฉันลักษณ์ได้ง่ายก่า ยิ่งกว่านั้น แพรียังสังเกตว่า โฮเมอร์ระบุสร้ายนามของตัวละครหลักแต่ละตัวด้วยคำเฉพาะแบบสองพยางค์ซึ่งจะบรรจุลงได้ครึ่งบรรทัด จึงสันนิษฐานว่าเขาน่าจะแต่งสดๆ ที่ละครึ่งบรรทัด สวนครึ่งที่เหือก็จะเอ่ยไปโดยอัตโนมัติ ด้วยวลีสามัญ เืพ่อพิสูจน์ทฤษฎีนี้ แพรี่เดินทางไปยังยูโกสลาเวียเพื่อสึกาษวรรณกรรมมุขปาฐะของท้องถ่ินนั้น เขาพบว่ากวีมักใช้คำที่ซ้ำๆ และคำเอือน คำสร้าง เพื่อให้มีเวลาแต่งบทกวีวรคต่อไปการศึกษาของแพรี่ช่วยเปิดแนวทางการศึกษาแนวคิดเรื่องวรรณกรรมมุขปาฐะมากขึ้นhttps://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94
         

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2561

Academy Football 3

            เมื่อพูดถึงฟุตบอลจะไม่พูดถึง อังกฤษ ก็เห็นจะเป็นเรืองแปลก
         
เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อนึถึง สโมสรนี้ สิ่งแรกที่จะนึกถึงก็คือดาวรุ่งของพวกเขาว่ามีใใครเจ๋งๆ มาอีกบ้าง ทีม "นักบุญ" ไม่เคยหยุดลงทุนกับการพัฒนเยาวชนของตัวเอง แกเรธ เบล ที่ปัจจุบันเป็นสตาร์คนดังของสโมสร เรอัล มาดริด ก็เคยเป็นเด็กฝึกของที่นี่มาก่อน เช่นเดียวกับ อดัม ลัลาน่า, ธีโอ วัลค็อตต์,
บุค ชอว์, อเล็กซ์  อ๊อกเลค แขมเบอร์เลน ที่ต่างก็ติดทีมชติอังกฤษ รวมถึงได้เล่นให้กับสโมสนระดับยักษ์ใหญ่ ในช่วงไม่กี่ปีทีผ่านมา พวกเขาได้เงินจากการปล่อยเด็กปั้นตัววเองไปมากว่า 100 ล้านปอนด์ แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้ทีมของพวกเขาแย่ลงแต่อย่างใด เพราะว่าพวกเขายังมีนักเตะรุ่นใหม่ ที่พร้อมข้นมาแทนอยู่เสมอ
           แ มนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป้นมหาอำนาจของวงการฟุตบอลอังกฤษในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา นันก็เพราะว่าการสรางนักเตะเยาวชนของตัวเองขึ้นมาเป็นแกนหลัก ไม่ว่าจะเป็นเดวิด เบ็คแฮม, ไรอัล กิ๊กส์, นิคกี้ บัตต์ และพี่น้องเนวิลล์ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นผลผลิตจากศูนย์ฝึกของสโมสรท้งนั้น
           แม้ว่าจะหมดยุคของ คลาส ออฟ 92 แล้ว ก็จะไม่ได้มีดาวรุ่งข้นมา บวกดับตังแต่ เชอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูนัน ประกาศวางมือไปก็ทำให้เราไม่คอยได้เห็นเด็กากอคาเดมีขึ้นมามีบทบาทในทีมชุดใหญ เพราะว่ามันถูกแทนด้วยเหล่าสตาร์ค่าตัวแพงที่ถูกซื้อเข้ามาจากความสำเร็ที่รอไม่ได้อีกแล้ว แต่ส่งิหึงที่ยังไม่เคยหยไปจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ือการใหโอกาสเด็กปั้นของทีมขึ้นมาพิสูจน์ตัวเอง อย่างในวันนี้ เราได้เห็นท้ง มาร์คัส แรซฟอร์ด และเจสซี่ ลินการ์ด ที่ได้ลงสนามอย่างตอเนื่องกับทีมชุดใหญ่ร่วมไปถึง ปอล ป็อกบา ที่ซ์้อมาในราคาแพง ระดับสถิติโลก จากยูเวนตุส  แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเขาก็คือ อดีตเด็กผึกของ สโมสรเช่นเดียวกัน นันเท่ากับเป็นเครื่องยืนยันว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เคยทอดท้องิบรรดาดาวรุ่งเหล่านี้ ขอแค่พวกเขาดีพอ พวกเขาก็จะได้โอกาสhttps://www.fourfourtwo.com/th/features/raakthaansuukhwaamsamercch-9-khaaedmiiluukhnangthiiaidchuuewaadiithiis
            กลับมาที่เมืองไทย อคาเดมีแบบไทยๆ ก้าวเข้าสู่ยุคที่ ที่ 4
            ยุคที่ 4 อคาเดมีอิมพอร์ท
         
ในยุคที่ยังไม่มีการกำหนดแนวทางจาก สมาพันะ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย ว่าทุกสโมสรต้องีอคาเดมของตัวเอง อีหนึงโมเดลที่ถุกนำมาใช้พัฒนาในเมืองไทย เปฯเวลาหลายปี นันก้คือ "อคาเดมีฟุตบอลอิมพอร์ท" ที่บางเจ้ามีชื่อเสียง บางเจ้าก็มาเงียบๆไปเงียบๆ ซึ่งทั้งซีกโลกตะวันออกอย่างเกาหลี หรือฝากฝั่งยุโรป หลายๆ โครงการต่างชาติ ก็เป็นเรื่องดี แต่ปัญหาของอคาเดมีอิมพอร์ท คือ เรื่องการขาดความต่อเนื่องบางเจ้ามาแค่ช่วงระยะเวลั้นๆ ส่วนใหญ่ เหมือนกัองการมาโชว์ของมากกว่าว่า อคาเดมีฉนทำแบบนี้ได้..
          ยุคที่ 5 ยุคปัุจจุบัน
          นับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา อคาเดมีของสโมสรฟุตบอลอาชีพในไทย เร่ิมค่อยๆ มีการพัฒนาจนใกล้เียงกับความเป็นสากลมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อพัฒนาอย่างถูกต้องและจริงจัง จากอคาเดมีของแต่ละสโมสร ก้ส่งผลให้กลุ่มผุ้เล่นเด็กหนุ่มรุ่นใหม่พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
           และเมื่อทุกสโมสรในไทยลีก เล็งเห็นความสำัญของการสร้างอคาเดมีด้วยสโมรเอง จะมข้อดีท่สามารถกำหนดแนวทางการเล่น ปรัชญา รูปแบบวิธีการเล่น ควบคุมฐานเงินเดือนักเตะได้ และนักฟุตบอบมีความรักผูกพันกับสโมสรรวมถึง สามารถขายได้ราา ในยุคที่ตลาดซื้อขายนักเตะค่อนข้างเฟือ่งฟู และอคาเดมีฟุตบอลโดยสโมสรอาชีพ
          การำอคาเดมีแบบสโมสรอาชีพ จึง้องใช้ทั้งแรงเงิน ความอดทน และการกล้าที่จะใช้งานในจังหวะ เวลาที่เหมาสม เพื่อให้ดาวรุ่งเหล่านั้น สามารถเ้นศักยภาพออกมาได้เต็มที่ และเดินไปอย่างถูกทาง
          "เด็กหนึ่งคนในอคาเดมี เราใช้ต้นทุนทั้งค่าเล่าเรียน ค่าอยู่กันหลับนอน เบี้ยเลี้ยง ค่าจ้างโค้ช ตกอยุ่ที่คนละ 350,000 ต่อปี" เราต้องอยู่ด้วยความอดทน อยู่ด้วยความหวัง ผมต้องมีเวลาไปดู ทีมอคาเดมีซ้อมอย่างน้อย อาทิตย์ละ 2 วัน เพื่อดูว่าดด็กๆ แต่ละคนเป็นอย่างไร พอพัฒนาแบบนี้แล้วเห็นได้ว่า เด็กจาอคาเดมีนั้น สามารถพัฒนาได้เร็วกว่าเยาชนที่เราซื้อมาจากทีมอื่น" เนวินชิดชอบ พุดถงต้นทุนในการปั้นเด็ก 1 คนต่อในหนึ่งปี...https://www.fourfourtwo.com/th/features/cchaakdiitcchnthuengpacchcchuban-lamdab-5-yukhwiwathnaakaarkhaaedmiifutblemuuengaithy?page=0%2C4

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561

Academy Football 2

           " เดอ ทูคอมส์" คือชื่ออะคามีเดียของอาแจ็กซ์ โดยแปลว่า "เดอะ ฟิวเจอร์ " ในภาษาอังกษ หรือ
อนาคตนั้นเอง สถานที่ประกอบด้วยสนาม 8 สนาม 2 ตึก มีท้้งห้องเรียน,ยิม, ร้านกาแฟ, ร้านอาหาร และออฟฟิต สำหรับบรรดาโค้ชและนักวิทยาศาสตร์การกีฬา เสนอ่ห์ที่ดึงดูดบรรดาแข็งแยาชนทั่วโลกมาฝึกฝนที่นี้เพราะปรัชญา "โททอล ฟุตบอล" ซึ่งเป็นรูปแบบการเล่นที่มีมชาติฮอลแลนด์ใช้ในทศวรษที่ ุ0 การผ่านบอลและการเปลี่ยนเกมรับเป็นรุกที่รวมเร็ว ผุ้เล่นเคลื่อนที่ในสนามอย่างอิสระ
         แต่จากกระแสโลแาภิวัฒน์ ซึ่งทำให้นักฟุตบอลร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาลจากการไปเล่นลีกใหญ่ในยุโรป อังกฤษ เยอมรัน และสเปน ทำให้จุดมุ่งหมายของสภาบัน นั้นเปลี่ยนแปลงไป ไม่มช่กาปั้นนักเตะขึ้มาเพื่อเข้าสู่ทีมอย่างเดียว แต่เป็นการผลิตนักฟุตบอลเพื่อส่งออกไปขายทอดตลาดในลีกชั้นนำของยุโรปด้วย เปรียบดัง "โรงงานผลิตนักฟุตบอล"
         
คัมภีร์ลูกหนัง แนวทางการฝึกของอาแจ็กซืนั้น ปะกอบได้ด้วย 8 ด้าน มีการฝึการจัดระเบียบร่างกาย, การเตะ การผ่านบอล การทุ่ม การเคลื่อนที่เพื่อเอชนะคู่แข่ง การโหม่ง การจบสกอร์ การยืน ตำแหน่ง การยืนต่ำแหน่งแบบมีบอล และการเล่นโต็ะเล็ก ทำให้การคัดเลื่อกเยาชนเข้ามาฝึกฝนจึงต้อง่งแมวมองไปติตามเด็กหลายเดือนหรือเป็นปี ก่อนจะส่งจดหมายเชิญไปที่ผุ้ปกครอง เมื่อได้เข้ามาใในอคาเดมีแล้ว จะมีการแข่งขันภายในเพื่อคัดเกรด หรือปรับตก ไม่ต่างกับการเรียนหนังสือ ดังน้นเมื่อนานวัผ่านไปนักเตะจะเติโตแข็งกแกร่งขึุ้นทั้งร่างกายและจิตใจ
          โดยแนวคิดระบบการฝึกฟุตบอของอาแจกซ์ ทั้งหมาดนี้ถูกเรียกว่า "TIPS Model" ประกอบด้วย ที่ เทคนิค ไอ คือความเข้าถึงอย่างถ่องแท้ พี คือ บุคลิกภาพ และ เอส คือ สปีด ซึ่ง พีกับ เอส นั้นมีติดตัวมาแต่กำเนิด แต่ ไอกับ เอส นั้นสามารถฝึกนสร้างขึ้นได้ จากความสำเร็จได้มีการขยายสาขาไปทั้งโลก และยัเคยเปิดสาขาที่สหรัฐอเมริกา แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงต้องยกเลิกไป ปัจจุบันมีอคาเดมี กว่า 15 แห่งกระจายในกรีซและไซปรัส
          อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีระบบพัฒนาเยาชนที่เป็นเลิสแต่ผลงานในสนามของอาแจ๊กซ์มักขาดความต่อเนือง สาเหตุมาจากสตาร์ของทีมทีเร่ิมฉายแสงมักถูกยักษ์ใหญ่ในยุโรปดึงตัวไปเล่นหลายคจต้องผ่าตัดทีมบ่อย อีกทั้งแนวคิดพัฒนาเยาชนของอาแจกซ์ หรือแม้กระทั้งประเทศเนเธอแลนด์ ก็กำลัสั่นคลอนเพราะผลงานทีมอัศวินสีส้มกำลังย่ำแย่ ตั้งแต่ไม่ได้ร่วมเล่นยูโร 2016 จนตอนนี้ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกก็สภานการณ์ไม่สู้ดีนัก
            ระบบเยาชนอาแจ๊กซ์มัก๔ุกยกให้เป็นภาพสะท้อนของฟุตบอลประเทศเนเธอแลนด์ซึ่งกำลังถูกท้าทายอย่างหนัก หลายประเทศ นำ "ทีไอพีเอส โมเดล" ไปใช้และพัฒนาขึ้นอีกระับ ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาที่อาแจกซ์ต้องเร่งคิดคัมภีร์เทวดาฉบับใหม่ขึ้นมาแทน โททอล ฟตุบอล...http://www.komchadluek.net/news/sport/275086
           ่จากเรื่องอเคมีฝั่งยุโรปไปแล้ว เรามาตอกันที่อคาเดมีไทยกันดีกว่า
           ยุคที่ 3 คือยุคอคาเดมีฟุตบอล อย่างแท้จริง โดยมี "ธำรงไทย" และ "ยูคอมแข้งทอง" เป็นแหล่งบุกเบิกนการทำฟุตบอลเยาวชนจาภาคเอกชน
            ธำรงไทยสโมน ถือเป็นเอกชนแห่งแรกที่เปิดสอนบอลอย่างเป็รูปแบบชัดเจน แก่เยาชน ตั้งแต่อายุ 10 ปี เป็นต้นไป โดยี อนุักษณ์ ศรีเกิด และอาจพล ระดมเล็ก เป็นสองแข้งดังที่เกิจากที่นี้
             ความสำเร็จจากการพัฒนาเยาวชน บวกกับแนวคิดในการดึงนัเกตะต่างชาติ ภายในการสนับสนุนของสปอนเซอร์อย่าง บ.บุญรอดเบเวอรี ส่งผลให้ธำรงไทยสโสร ได้เป็น 1 ใน 18 สโมสรก่อตั้ง ไทยลีก ครั้งที่ 1 ทว่านักเตะส่วนใหญ่ล้วนเป็นเยาชนอายุ 16-18 เท่านั้น จึงไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งได้ และตกชั้น ก่อนจะประสบปัญาหรืเ่องเงินทุนใเวลาต่อมา
         
  "ยูคอนแข้งทอง"โดยสองพี่น้องนักเตะ สุทิน-สุรัก ไชยกิตติ..เน้าการเปิดสอนฟุตบอลเด็กๆ อายุไม่เกิด 15 ปี ตามสามฟุตบอลต่าง โดยเน้นคอนเซปท์ฝึกสอนจากประสบการณ์จริง ยูคอมแข้งทอง มีรุปแบบที่แตกต่างกับ ธำรงไทยสโมสร รงที่เป็นแหล่งฝึกสอนนักฟุตบอลอ่างเดียวแห่งแรก ที่ไม่ได้สร้างนักฟุตบอลเพื่อเตรียมดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ หรือป้อนสโมสร ซึ่งต่อมาก็ซบเซาตามยุคสมัย
           ขณะที่ทุกอย่างเดินไปข้าหน้า ทั้งไทยลีกที่ค่อยๆ เติบโตขึ้น มีอคาเดมีฟุตบอลจากเอกชน รมถึงการสนับสนุนจากภาคัฐ ในการแขงขันฟุตบอลระดับนักเรียน แต่ทว่า สองสถานศึกาาเอกชนอย่าง อัสสัมชัญศรีราชา และอัสสัมชัญธนบุรี กลับเป็นผุ้พลิกเกมส์และเปลี่ยนเทรนด์แห่งยุค
         
"เจ้าสั่วน้อย" อัสสัมชัญธนบุรี ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจลูกหนังขาสั้นในช่วงเวลาไม่นานนัก โดยมี ผุ้ให้การสนับสนุนทั้งจากโรงเรียนและและภายนอกโรงเรียนและการจับมือกบภาคเอชน ทำให้สถาบันแห่งนี้ กลายเป็นสถาบันขาสั้นในฝันของเด็กรุ่นใหม่ จากช้างเผือกรุ่นแรกๆ และได้โค้ชมือฉมังที่ย้ายมากจากโรงเรียนกีฬากรุงเทพฯ ผลิตนักเตะก่อนที่จะจับมือกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ในการส่งป้อนดาวรุ่งและเปรียบเสมือน อคาเดมีของกิเลนผยองไปแล้ว
       
เฉกเช่นอัสสัมชันศรีราชา เร่ิมต้นส้างความย่ิงใหญ่ภายใต้การสนับสนุนของ ตระกูลคุณปลื้ม มีการเปิดคัดหาช้างเผือกและฝึกสอนอยางเป็นระบบ รุปแบเียวกัน โดยเร่ิมจากการส่ง นักเตุไปยังโรงเรียนเล็กๆ อาทิ โรงเรียนบ้านหัวกุญแจฯ เพื่อปรับสภาพและเตรียมความพร้อม ก่อนส่งมาเรียนต่อทั้งที่ อัสสัมชัญศรีราชา หรือถ่ายไปให้ จุฬาภรณ์ราชวิทยาลย
         ชลบุรี คือผุ้เปลี่ยนเกม จากปรัชญาและแนวทางที่สร้าางเด็กขึ้นมา นถึงวันหนึ่งเมื่อทุกอย่างมันลงล็อก เด็กที่สร้างมา สีห้ารุ่น กบับมาสโมสร แล้วพีคขึ้นมาพร้อมกัน ทำให้ผลงานทีมดีตามไปด้วย เกิกระแสท้องถ่ินนิยมมา แผนบอลเต็มสนาม รวมถงีการบริหารจัดการอย่างเป็นสโมสรอาชีพแ้จริง" ที่สำคัญนักฟุตบอลพวกนี้ ถูกปลูกฝังให้มีความรัก ภาคภูมิใจในคามเป็น ชลบุรีก่อนแข่งหลายๆ คนมอแค่ว่า ชลบุรี เป็นแค่ม้ามืด แต่หลังจากชนบุรีเป็นแชมป์ ทุกทมต้องมองชบลุรีใหม่ และ้เกิดแรงบันดาลใจแก่ทีมท้องถ่ินว่า ถึงจะเป็นทีมต่างจังหวัดก็ป็นแชมป์ไทยลีกได้....https://www.fourfourtwo.com/th/features/cchaakdiitcchnthuengpacchcchuban-lamdab-5-yukhwiwathnaakaarkhaaedmiifutblemuuengaithy?page=0%2C2
           

วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2561

Academy Football

            นักฟุตบอลชื่อดัระดับโลกต่างก็ถูกอบรม ปลุกปั้นโดยสโมสรต่างๆ ที่มีระบบพัฒนาเยาชน และอคาเดมี่ประจำทีม การคัดเลือกแข้งวัยเด็กเข้าสู่ทีมมีหากลยวิธี ทั้งกรคคัดเลือกโดยสโมสรเอง แาระเป็พันธมิตรกับทีมต่างๆ รวมไปถึงการคัดเลือกตามแมวมองของทีม แต่การที่แข้งวัญเยาว์จะประสบควมสำเร็จก็ต้องข้อนอยู่กับ ตัวของพวกเขาเอง รวมไปถึง คุณภาพอะคาเดมีของสโมสรด้วย
            5 สโมสรฟุตบอล ที่มีระบบ อะคาเดมี ที่ยอดเยี่ยมและเป็นแมแบบที่ดีในการสร้างผุ้เล่นดาวรุ่ง
             - สโมสรเซาแธมป์ตัน เดอะ เซนต์ส นักบุญจากแดนไใต้เร่ิมก่อตั้งสโมสรฟุตบอลภยใใต้ชื่อสมคมโลสถ์ เซนต์ แมรี่ ในปี 1885 และเข้าร่วมลีกดิวิชันสามในปี 1919 ซึ่งเป็นจุดเร่ิมต้นของศูนฝึกเยาชนเช่นกัน ในยุคแรกมี เซาแธมป์ตน แคมบริดจ์ เป็นสถานฝึกสอนแยกต่างหาก ก่อนจะรวมกันใเวลาต่อมา อะคาเดมี ของเซาแธมป์ตัน เป็นที่รุ้จักกันมากในยุคปลายทศวรรษที่ ค0
              เซาแธมป์ตัน ป็นทีมที่มีนักเตะลูกหม้อเป็นกำลังหลักมานน ผลผลิตจากเยาวชนถูกวางรากฐนไว้อย่างต่อเนื่องโดยทีมงานทุกชุด ผุ้เล่นเาชนของเซาแธมป์ตัน จะได้รับการดูแลเป็นอยางดี เปรียบเสมือนกับนักเตะชุดใหญ่ และกากล้าให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งได้ลงสัผสเกมใหญ่ๆ เพื่อสะสมประสบการณ์พร้อมที่ขึ้นชุดใหญ่ได้ทุกเมื่อ อะคาเดมี เซาแธมปตัน ให้ความสำคัญกับทั้งฟุตบอลในระดับท้องถ่น และทั้งในระดับประเทศ ซึ่งมีศูนยฝึกเยาชนกระจายทั่วเกาะอังกฤษ เซาแธมป์ตัน ขึ้นชื่อในเรื่องของการปั้นนักเตะอยุ่เสมอๆ อาทิ อลัน เชียรเรอร์, แกเร็ธ เบล, ลุค ชอว์, ธีโอ วัลค๊อตต์ และอดัมลัลาน่า
           
 -  สโมสรอาแจ็กซื อัมสเตอร์ดัม เดอ ทูคอมสท์ หรือที่แปลว่า อนาคมใน ภาษาอังกฤษ คือ ศูรย์ฝึกเยาชนของ อาเเจ็กซ์ อัมสเตะดัม ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสถาบันลูกหนังที่ดีที่สุดในโลกแห่งหน่ง จากผลงานการสร้างนักฟุตบอลฝีเท้ายอดเยี่ยมออกมาประดับวงการลูกหนังมากมาย ระบบเยาชนของ อาเจ๊กซ์ ถือกำเนิดมาพร้อมกับการก่อตั้งสโมสรในปี 1900 แต่โด่งดังในช่วงทศวรรษ 70 ที่มี ไรนุส มิเชลล์ ตำนนกุซือชาวดัตช์ เจ้าของแผนการเล่น โททอล ฟุตบอล เป็นผุ้วางรากฐานระบบเยาชนให้ทีม หลังจากที่ได้วาระบบเยาชนที่ดี กเกิดลูกหม้อของ อะคาเดมี อาแจ็กซ์ ขึ้นมาอย่าง โยฮัน ครัฟฟ์ และมาร์โก ฟาน บาสเท่น จึงทำให้หลายๆ สดมสรนำเอาระบบเยาชนมาปรับใช้ ถือได้ว่า อะคาเดมีของอาแจ็กซ์ อัมสเตตอร์ดัม เป็นต้นแบบในการวงระบบให้กับสโมสรอื่นๆ อีกด้วย โดยการปั้นเยาชนขึ้นมาด้วยการสอนปรัชญาฟุตบอลที่เหมือนกัน และดันขึ้นไปเล่นทีมชุดใหญ่ และยังสามารถทำกำไรจากการขายผุู้เล่นเยาชนได้อีกด้วย
              อาแจ็กซ์ เปรียบเสมือนโรงงานผลิตเยาชนขึ้นสู่ลอดลูกหนังโลก นักเตะอายุน้อยทีทำผลงานได้ดีจะถูกเลื่อนขึ้นไปเล่นทีมชุดใหญ่ และเป็นที่จับตาของสโสรยักษ์ใหญ่ทั้งหลายโดยตักเตะที่เคยถูกปลุกปั้นมาจาก อะคาเดมี่ ของอาเจ๊กซ์ อาทิ คริสเตียน อิริเซ่น, โธมัส แผร์มาเลน, ดาลีย์ ละ เวสลี่ย์ ชไนเดอร์
           - สโมสรอันเดตอร์เลชท์ หลังจากท่เบเี่ยม เข้าสู่ยุคมือ สมาคมฟุตบอลเบลเยียม จึบงวางแผนพัฒนาวงการฟุตบอลขึ้นมาใหม่ โยยเร่ิมจากสโมสรยักษืใหญ่ของประเทศมอในเรื่อง ระบบอะคาเดมี เร่ิมพัฒาจากเยชนขึ้นมาก่อน อันเดอร์เลชท์ จงพัฒนาศูนย์ฝึกเยาชนจากที่ก่อตั้งมาให้ปี 1922 ให้ดียิ่งขึ้น เป้าหมายก็คือการนำ เบลเยียม กลับมาสู่ยุคทองอีกครั้ง ศูนย์ฝึกแห่งนี้ก็ได้ประสบวามสำเร็จเป็นอย่างสุง ได้รับอิทธิพลจากากรื้อระบบใหม่โดย่ายเทคนิคของสมาคมฟุตบอล สนับสนุนให้แข็งแยาชนกระายกันไปเล่นยังลีกที่แข็งแกร่งกว่า 3 ส่วนหลักทั้ง สโมสร ทีมชาติ และโค้ชระดับเยาชน ท้้งหมดจะต้องอยู่ภายใต้นโยบายเดียวกัน นักเตะตั้งแต่ รุ่น 9 ขวบ ขึ้นไปจนถึง ชุดใหญ่ จะต้องเล่นด้วยระบบ 4-3-3 ที่เน้น
ความเร็ว ความยืดหยุ่นสูง ทั้งสามส่วนที่กล่าวมา จะทำงานร่วมกนเพื่อสร้างผุ้เล่นที่มีคุณภาพ และบังคับให้มีจำนวนเกมของผุ้เล่นระดับเยาชนให้เป็นไปตามเกณฑ์ เพื่อเติมประสบการณ์ให้กระดุก เพื่อการพัฒาขึ้นทีมชุดใหญ่โดยเร็ว
               จากกาที่นักมาพัฒนาระบบ อะคาเดมี่ อย่างจริงจัง ทำให้ เบลเยี่ยม ก้าวขึ้นเปฺนเบอร์ 1 ของโลก ในการจัดอันดับ ฟีฟ่า แรงกิ้งส์ ในปี 2015 และยังผลิตซุบตาร์ ขึ้นมาหลายคน อาทิเช่น แวงซองต์ คอมปานี โรเมลู ลูกากู, ยูรี่ เทียเลอมองส์ และ อัดนาน ยานาไซส์
           
 - สโมสรบาร์เซโลน่า ลา มเเซีย เต กาน ปลาเนส หรือที่รุ้จักกันดในชื่อ "ลา มาเซีย" คือศุนย์ฝึกแข้งวัยเยาว์ของบาร์เซโลน่า จุดกำเนิดของศูนย์ฝึกแห่งนี้ เกิดขึ้นในปี 1979 เมื่อ โจเซฟ นูนเณซ ประธานสโมสรขณะั้น เลือกทำตาคำแนะนำของ โยอัน ครัฟฟ์ ที่เสนอให้ทีมรื้อระบบเยาชนทังหมด และสร้าง อะคาเดมี ของสโมสร ขึ้นมาใหม่โดยยึดตามแบบฉบับของ สโมสรอาเจ๊กซื อัมสเตอ์ด
              ระบบการเล่นที่สวยงาม ความสมดุลท้งเกมรุก และรับ เกิดจากการหล่อหลอมของปรัญชาการเล่น ผ่าน แบบแผนการฝึกซ้อมที่สืบทอดกนมาอย่างยาวนาน ลา เมาเซย เป็นเหมือนรากฐาน ที่ช่วยให้ทีมเกิดความสำเร็จ โดย ลา มาเซีย จะสอนให้ชุดเยาชน รวมไปถึงผุ้เล่นชุดใหญ่ และทุกๆ ขุด เ่นในระบบเดียวกัน เพื่อให้เข้าใจถึงปรัชญาของทีม จะทำให้นักเตะเยาวชนสามารถเล่นทดอทน ผุ้เล่นขุดใหญ่ได้อย่างไม่ยากเย็น ภายใต้ระบบเดียวกันในทีมทุกชุด โดยนักเตะที่เคยผ่านการขัดเกลาจนโด่งดังในยุคปัจจุบันและอดี อาทิ เป็ปกวาร์ดิโอล่า, ซาบี เฮอร์นาเดซ, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, อันเดตรส อิเนียสต้า, ลิโอเนล เมสซี่ และ เซร์คิโอ โรแบร์โต้.
              - สโมสรสปอร์ต้ิง ลิสบอนn อคาเดเมีย สปอร์ต้ิง เป็นองค์กรกีฬาแห่งแรกในโปรตุเกส ที่ได้การรรับรองคุณภาพ เมื่อปี 2010 ซึ่งช่วยการันตีความยอดเี่ยมของศุรย์ฝึกแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี กระบนการพัฒาเยาชน มีแนวทางคล้ายกับ อาแจ็กซ์ตรงที่กล้าลงทุนเงินก้อนโต กับศุนย์ฝึกเยาชน กรทำงานอย่างกนักของแมววมอ งและโปรแกรมฝึกซ้อมที่ยอดเยียม ทำให้ สปอร์ติ้ง สามารถดึงนักเตะที่มีฝีเื้าดขึ้นทีมชุดใหญ๋ได้ ที่นี้ไม่เพีนวแค่สอนในเรื่องของฟุตบอล แต่ยังสอนด้านการใช้ชีวิตในฐานะักฟุตบอลอาชีพผ่านการอบรม และการศึกษา เพื่อให้ปรับตัวได้อย่างไม่ยากเย็น
               จากการสำรวจของ อีซีเอ ระบุว่า ผุ้เล่นทีมชาติโปรตุเกสชชุดใหญ่ จะมีเด็กปั้นจาก อะคาเดมี สปอร์ต้ิง มากถึง 7 คนในแต่ละปี โดยนักเตะที่เคยผ่านการปลุกปั้นมาล้วนแต่เป้นนักเตะที่มีชื่อเสียงของ โปรตุเกสทั้งนั้น อาทิ หลุย ฟิโก้, เจาท์ มูตินโญ่ และคริสเตียนโน่ โรนัลโ้ อีกด้วย...http://sport.trueid.net/detail/77830
               สำหรับประเทศไทยระบบอคาเดมี อาจกล่าวเป็นยุคๆ โดยคร่าวๆ ไดังนี้
               จุดเร่ิมต้นของการสร้างทีมเยาชน เพื่อรองรับทีมชดใหญ่ เกิดขึ้นจาก 2 ขั้วมหาอำนจฟุตบอลเก่าแก่ของไทย คือ ธ.กรุงเทพ และทหารอาการ ที่ขับเคี่ยวแย่งขิงแชมป์ ถ้วย ก. มาต้งแต่ช่วงต้นปี 1950  และเป็นสองสโมสนรที่เด็กๆ จากทั่วประเทศ อยากร่วมทีมมากที่สุด ทหารอากาศ ใช้จุดแข็งของความเป็นราชการดงดูดนักฟุตบอล ส่วนธ. กรุงเทพ มีจุดเด่นในการบริหารจัดการทีมอย่างเอกชน"
                รูปแบบอคาเดมีฟุตบอล ในยุคนั้น ยังไม่ชัดเจนมากนัก จุดม่งหมายกลักๆ คือการทำทีสำรอง เพื่อให้นักฟุตบอลเยาชนที่กำลังจะขึ้นชุดใหญ่ ได้มีสโมสรลงเล่น หรือลงแข่งขันฟุตบอลเยาชนระดับประเทสในรุ่นอายุ 17-19 ที่มีเปิดแข่งเพียงเท่านั้น
             
 อคาเดมียุคแรกๆ ของไทย มีปัจจัยดึงดูดนักเตะแตกต่างกันไป เช่น ทหรอาการจะได้บรรจุเข้ารับราชการยศจ่า หากติดการคัดเลือก ธ กรุงเทพจะมีเงินเดือนเบี่ยเลี้ยง การท่าเรื่อ ซึ่งถือเป็นมหาอำนาจฟุตบอลไทย อันดับที่ 3 ในสมัยนั้น ก็จะมีตำแหน่งบรรจุให้โดยไม่ต้องทำงานพร้อมผลตอบแทน ราชวิธี "ทีมหลวง" ผุ้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้เข้าพักประจำในวัง และได้รับการฝึกสอนจาก ปรมจารยที่มดีกรีจากเยอมัน เป็นต้น
              จุดเด่นของอคาเดมีไทยในยุคนี้คือ เด็กสามารถหิ้วรองเท้าสตั๊คท์เข้าทีมที่ต้นเองรักได้อย่างหลากหลา
             ยุคที่ 2
             ในเมื่อไทยยังเหมือนกับ สวิตซ์ฯ ฟินแลนด์ นอร์เวย์ ท่เน้นการเรียนควบคู่กัฬา ต่างจาก สเปน องกฤษ ที่ชัดเจนว่า คุณตะเลือกเรียนหรือเลือกเป็นนักีฬา
              ราชประชา เป็นอีกสโมสรหนึ่งี่เกิดขึ้นในห้วเวลาเดียวกับ ราชวิถี ทั้งสองทีมมีโมเลที่คล้ายคลึงัน คือการสร้างเยาชนขึ้นมาเพื่อผลักดันสู่ทัมชุดใหญ่ ซึ่งราชประชามองการไกล และนำมาซึ่งการเปลี่ยนผ่านสู่ อเคนามี ฟุตบอลไทย สู่ยุคที่ 2 ราชประชาได้มองเห็นว่า "การศึกษา" เป็นเื่องสำคญและมีดาวรุ่งมากมายเกิดขึ้นในเวทีลูกหนังเร่ิมต้เป็นทีมแรก ที่ได้ผูกเยาชนไว้กับโรเรียนสามเนวิทยาลัย ที่กำลังก้าวขึ้นท่าทายบรรดาทีมโรเรียนดังๆ สายอาชีวะ อาทิ อำนวยศิลป์ ไพศาลศิปล์ กิติตพาณิชยการ พณิชยการพรนคร รวมถึงปทุมคงคา แม้่าสม้ยนั้น ทีมต่างๆ จะมีการหยิบยืมนักฟุตบอลจากสถาบันเหล่านี้ แต่เป็นครั้ง เป็นคราว ไม่มีใครำปผูกและฝากเลี้ยงอย่างจริงจัง
            ราชประชา นำนักฟุตบอลดาวรุ่งในสังกัดเข้าไปเรียน่อที่ สามเสนวิทยาลัย ช่วงเวลาไม่นาจากั้นโรเรียนแห่งนี้ ผงาดขึ้นมาเป็น "เต้ยขาสัน" และดึงดุดเด็ก ๆ ฝีเท้าดีเข้ามาศึกษาต่อ อีกทังราชประชายังได้ประโยชน์ตรงที่ สามารถหยิบจับนักเตะจากสถาบันแก่งนี้าใช้งานอีกด้วย โมเดลนี้ส่ผลให้ราชประชา ยืนระยะความย่ิงใหญ่ต่อมาอีกหลายสิบปี พร้อมความสำเร็จมากมาย..
           นับตั้งแต่นั้นป็นต้นมา การฝากนักเตะกับสถานศึกษา กลายเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมจากสโมสร ฟุตบอลในเมืองไทย ในเวลาต่อมา ตั้งแต่ช่วงปลายยุค 80 -90 ซึงเป็นช่วงเบาที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านจากฟุตบอลทัวร์นาเมต์แบบ ถ้วย ก. มาสู่ระบบลีกอย่าง ไทยลีก ที่กำเนิดขึ้นปีแรกในปี 1996 โดยเฉพาะ 4 โรงเรียนในเครือจตุรมิตรสามัคคีฯ มีการจับมือเป็นพันธมิตรอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับโรงเรียนดังๆ ช่วงเวลานั้น สโมสรเมืองไทย กำลังเตรียมพร้อมสู่การเป็นทีมอาชีพ ใระบบลีก จึงไม่ได้เน้นการสร้างเยาชนด้วยตนเอง ส่วนมากะเนนใช้โรเรียนเป็นด่านคัดกรองแรก ที่นักฟุตบอลจะได้ท้งโอากสทางการศึกษา รวมถึงการได้ลงเล่นให้ทีมเยาขนของสโมสรต่างๆ ตามทวร์นาเมต์ระดับประเทศ
         
อีกนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของ อคาเดมีแบบไทยๆ คือการกำเนิดของ โรงเรียนกีฬาสุพรรณบุรี สถาบันแห่งแรกของประเทศที่สอนเรื่องของกฬาอย่างเต็มรูปแบบ โดยเด็กที่จะเข้ามาเรียนที่นี้ได้ ต้องผ่านการคััดตัวที่เข้มข้น จนได้ผลผลิตชั้นดี ทำให้กระแสของโรงเรียนกีฬา ได้รับความนิยมขึ้นมาในบ้านเรา จนมีกรเปิดตัวโรงเรียนกีฬาขึ้นมาอีกหลายแห่ง เช่นเดียวกับโรงเรยนกรุงเทพมหานคร ที่ได้ วิทยา เลาหกุล มาวางแบบฝึกในช่วงที่ตนเองติดโทษแบน ก็มการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน
           เหตุผลหลักๆ ที่โมเลนี้ยังได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน คงเป็นเหตุผลด้าน "การศึกษา" ส่วนปํยหาคือ ระบบราชการหากเป็นโรงเรียนของราชการที่หากจะทำเรื่องอะไรแต่ระที่ต้องรอขั้นตอนราชการ อาทิการปรับเปลี่ยน ปรับปลุกสนามซ้อมจะทำให้ทันที่ไม่ได้เพราะเป็นพื้นที่หลวง หรหือากรเปลี่ยน ผอ. ก็มีผล บางท่านเน้นการเรียนมากกว่ากีฬา หรือบงท่านเน้นกีฬาอื่นมากว่า ฟุตบอลย่อมส่งผลใก้เกิดความไม่ต่อเนื่อง...https://www.fourfourtwo.com/th/features/cchaakdiitcchnthuengpacchcchuban-lamdab-5-yukhwiwathnaakaarkhaaedmiifutblemuuengaithy?page=0%2C1

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2561

Soccolony

           Soccer+colony = อานานิคมฟุตบอล เปรียบเสมือนเจ้าอาณานิคม หรือประเทศใหญ่ๆ ในทวีปยุโรป ซึ่งเป็นเจ้าอานานิคม และประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่เป็นอานานิคมของประเทศในยุโรป
            จะกล่าวถึงบทความที่เกียวกับฟุตบอลใน 'วาระแห่งชาติ(ยุโรป)
             การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครั้งแรกจัดขึ้นในปี 1960 ที่ประเทศฝรั่งเศส โดยมีทีมชาติเข้าร่วมรอบคัดเลือกเพียง 16 ทีม และไม่มีประเทศในเครือจักรภพอังกฤษเข้าร่วมแลยสักทัมเดียว ทั้งที่มีมชาติอังกฤษเป็หนึ่งในทีมที่คนเฝ้ารอในยุคนี้ และยังนับได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของกีฬาประเภทนี้ ฟุตบอลเร่ิมต้นอย่างเป็นทางการโดยสโมสรของวิทยาลัยในลอนดอนในป 1863 จนถึงตอนนี้วัฒธรรมลูกหนังได้ฝังรากงึกในหลยประเทศจนกลายเป็นวาระระดับชาติของหลายประเทศ
           
สิ่งหนึ่งที่ผลักดันฟุตบอลให้ยิ่งใหญ่คือลัทธิชาตินิยม เพราะมันคือภาพแทนของสงครา เพียงแต่เกมส์นี้ไม่อาจตัดสินกันด้วยแสนยานุภาพทางกรรบ ทำให้ประเทศเล็กๆ ก็มโอากสคว้าชัยชนะ เมื่อศักด์ศรีของชาติไม่ได้วัดกันที่การเมือง เศราฐกิจ สังคมเพียงอย่างเดียว จึงไม่แปลกที่ผุ้คนจะถวายหัวใจสำหรับ ชาติ ให้กับเกมส์การแข่งขันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าฟุตบอลจะเป็นคนละเรื่องกับการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ฟุตบอลเคยก่อ
สงครามระหว่างประเทศ เอลซัลวาดอร์กับฮอนดูรัสในเวิร์ลคัพปี 1969 ขณะเดียวกันก็เคยสร้างสันติภาพ เมื่อชัยขนะของ Didier Drogba ในปี
2006 หยุดสงครามกลางเมืองฃในไอวอรี โคสต์ได้ ฟุตบอลยงเคยเป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่น เวิร์ลคัพปี 1978 ผู้นำอานรเจนตินาใช้ฟุตบอลเพื่อแสดงออกว่าประเทสยังคงมีความสามัคคีกันได้แม้จะอยุ่ในการปกครองแบบเผด็จการก็ตาม
             ในยุโรปเองฟุตบอลก็ยัคงเป็นตัวแทนของลัทธิล่าอาณานิคม โดยคอลัมนิสต์ชาวอเมริกัน ุ้ที่ใช้คำเรียกฟุตบอลว่า "ซอคเกอร อิมพีเรียลิซึม" เขามองว่าพวกยุโรปใช้ฟุรบอลเพื่อครอบงำชาติอื่น อย่างที่พวกฟาสซิสต์เคยส่งต่อแนวคิดผ่านความบันเทิงและการกีฬาในยุคสงครมเย็น
           และไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจของชาติยโรปอย่าที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ แต่สิ่งที่แน่นอนคือชาวยุโรปไม่น้อยรักฟุตบอลยิ่งชีพ เห็นได้จากคพพูดของ บิล แชคกี้ นักฟุตบอลและผุ้จัดการทีมชาวอังกฤษท่บอกว่า "บางคนคิดว่าฟุตบอลเป็นเรื่องของชีวิตและความตาย ผมไม่ชอบความคิดนั้น ผมมองว่มันสำคัญกว่านั้นอีก"
            ความคิดเข้มเข้มอย่างนี้เอง ที่อาจเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ยุโรปยังคงเป็นเจ้าแห่งกีฬาฟุตบอลอย่างยากจะให้ใครเที่ยงได้ไปอีกยาวนาน แม้วันที่พวกเขาไม่เหลือเคล้าของประเทศมหาอำนาจแล้วก็ตาม ....https://minimore.com/f/core-his-39-884
              ฟุตบอลในแง่อิทธิพลจากยุคอาณานิคม นายชาญ พนารัตน์ นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยลัยซิดนีด์กล่าวถึงเรื่องฟุตบอลกับอาณานิคมของอังกฤษในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่คริสต์ศตวรรษที่ 20 และพบว่าเจ้าอาณานิคมประสบความสำเร็จในแง่การกระตุ้นให้คนเลี่ยนแบบคุณคาของตังเแง แต่ก็มีางนิคมในช่องแคบซึ่งฟุตบอลไม่เป็นที่รู้จัก อย่างเช่น  ชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีนและ มาเลย์ที่ไม่ได้รำ่รวยซึ่งยังคงครอบงำไม่ได้แลพวกเขาเมินเฉยด้วยกาหันไปทำการตค้าแต่อาณานิคมยังครอบงำในแง่ทางกายภาพด้วยความเชื่อว่าตัวเองมีศักยภาพเหนือกว่า
             ขณะที่ในแอฟริกาฟุตบอลเป็นเรื่องการเรียนรู้ของพวกกรพฎุมพีน้อยให้ซึบซับคำสังระเบียบของเจ้าอาณานิคมส่วนพม่าก็มีฟุตบอลที่แพร่หลายในพื้นเมืองกลายเป็นพท้นท่ที่เป็นความพยายามลงเล่นเพื่อเอาชนะอำนาจของจักวรรดิรวมถึงภาพของเจ้าอณานิคมที่พยายามป้ายให้พวกเขาดูอ่อนแอ ส่วนพื้นที่ที่ไม่ได้ขึ้นกับอาณานิคมอย่างอาร์เจนติน่าหรือฟุตบอลที่แพร่กลายในชาวสเปนหรืออิตาเลียนข่วงเปลี่ยนผ่านของคริสศตวรรษที่ 20 ฟุตบอลกลายเป็นพื้นที่ของความขัดแย้งซึ่งแต่ละกลุ่มให้คุณค่าฟุตบอลแตกต่างกัน เมืองมองแล้ว ฟุตบอลอาร์เจนตินา มีควมแพร่หลายมากเมืองเที่ยวกับในไทยในสมัยนั้น ขณะที่ไทยยังไม่มสโสรเป็นรูปร่างจริงจัง
             สำหรับไทยไม่ได้เป็นอาณนิคมโดยตรงแต่ถูกครอบงำทางเศราฐกิจชาวยุโรปนำฟุตบอลมาเล่นในสยามตังแต่รัชกาลที่ 4 ตั้งแต่นั้จนถึงต้น พงศ. 2430 ฟุตบอลไทเป้นท่นิยมในสยามผุ้ดีนิยมเตะตะกร้อหวยเพราะไม่มีลูกฟุตบอลหนังในทศวรรษถัดมาเป็นศวรรษแรกที่รัฐไทยเอาฟุตบอลมาเผยแพร่ในโรงเรียน เป็นช่วงท่บอลเริ่มเผยแพร่ จนในทศวรษต่อมา ฟุตบอลถูกนำมาเล่นในโรงเรียน กีฬอังกฤษถูกใช้เป็เครื่องมือในสยาม ขณะที่ชวอังกฤษก็ยังมอิทธิพลน้อย
            สายชน ปัญญชิต จากสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ ม.จุฬาลกรณ์ พูดถึงกีฬากับวัฒนธรรมสมยนิยมซึ่งมีหลายมุมอง แต่ที่น่าสนใจคือเรื่องวัฒนธรมแฟนกีฬา ฟุตบอลเป็นกิจกรมข้ามพรมแดน มีเรื่องการถ่ายทอดสดการแข่งเข้ามา มีการสงออกทางีวามคิดผ่านสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น ริสแบนด์รณรงค์ หรือเสื้อต่อต้นความรุนแรง ซึ่งประเด็นนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับไทย คือเรื่องชาตินิยมและท้องถ่ินกับกีฬา อย่างกรณี การก่อการร้ายที่มิวนิก "แบล็ค เซบเทมเบอร์" หรือ โอลด์ เฟิรฒ ดาาณ์บี้ แมตช์ ในสกอตแลนด์ ซึ่งมีเรื่องศาสสาเข้ามาเกี่ยวข้อง ระหว่างการแข่งก็มประวัติศาสตร์ทางความคิดต่างๆ.. ถ้ามองในมุมประเทศไทยก็คือการปะทะกันทางความคิดทำนองว่า มาเลฯ หรือไทย ใครเล่นตะกร้อก่อนกัน..http://m.matichon.co.th/readnews.php?newsid=1405841673
             

             

What's going wrong

            การล้มบอล และการเล่นผิดฟอร์มนั้นบางทีก็แทบจะแยกกันไม่ออก หากไม่มีข้อมูลภายในที่เปิดเผยถึงหลักฐานสำคัญ หรือคำยอมรับจากผู้ที่ถูกติดสินบน อย่างไรก็ตาม การเล่นผิดฟอร์ม หรือเล่นไม่ได้มาตรฐานของทีม ก็อาจเกิดได้บ่อยๆ แม้ในการแข่งขันระดับโลก ต่อไปนี้จะนำผลงานยอดแย่ของอังกฤษที่เล่นผิดฟอร์ม ขนาดที่กล่าวได้ว่าเป็นความอัปยศของทีมชาติอังกฤษก็ว่าได้ ด้งนี้
           แพ้สหรัฐอเมริกา 0-1 ฟุตบอลโลก 1950 อังกฤษวันนั้นเต็มไปด้วยสตาร์อย่าง สแตนลีย์ แมททิวส์, ทอมฟินนี่์, บิลลี่ ไรท์ ขณะที่แข้งอเมริกันเป็นนักเตะรดับสมัครเล่นล้วนๆ บุรุษไปรษณีย์ สัปเหรือ และหลากหลายอาชีพ แต่อังกฤษทำใด้แคครองบอลมากว่า ยิงชนเสา ซัดชนคาม ก่อนจะโดน โจ เกตเจนส์ นักเตะที่เกิดในเฮติแต่ย้ายมาเล่นฟุตบอลในสหัฐฯ ซัดประตูโทนเป็นประตู่ชัยเข้าให้ ความพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นความเจ็บปวดของชาวเมืองผุ้ดีอยู่พักใหญ่ เพราะทำเอากังกฤษตกรอบแรกไปโดยปริยาย

              แพ้ฮังการี 3-6 แมตซ์อุ่นเครื่อง ปี 1953 สิงโตคำรามในยุคนั้นไม่เคยแพ้ทีมนอกสหราชอาณาจักรในการเล่นในประเทศตัวเองมาก่อนในประวัติศาสตร์ และต้องมาพบกับฮังการี ในยุคทองที่มี เฟเรนซ์ ปุสกัน และนานดอร์ ฮิเดกดูติ สองกองหน้าตำนานของประเทศเล่นอยู่ และความพ่ายแพ้คาบ้านกับทีมนอกสหราชอาณาจักร ก็เกิดขึ้น อิเดกดูติซัดแฮตทริก ฮังการีถล่มยับ 6-3 ก่อนจะบุกไปพ่านทีมของปัสกัสบ้างในปีถัดมาที่บูดาเปสต์ สกอร์ก็เบาๆ ฮังการีชนะ 7-1

              แพ้นอร์เวย์ 1-2 ฟุตบอลโลก 1982 รอบคัดเลือก ออกไปแพ้นอร์เวย์ที่กรุงออสโลแบบสุดช็อก 1-2 ทั้งๆ ที่ทีมจากสแกนดิเนเวียจบบ๊วยของกลุ่ม และถ้าดุชื่อชั้นักเตะอังกฤษในวันนั้น ไบรอัน ร๊อบสัน, เควิน คีแกน, เกล็น ฮอดเดิ้ล จากความเจ๋งของฝีเท้าแล้ว ย่อมเป็นอะไรที่เสียหน้าเป็นอย่างมาก

             แพ้ ไอร์แลนด์ 0-1 ยูโร 1988 บ๊อบบี้ รอบสัน นำทัพนักเตะอังกฤษไปลุยยูโรอย่าางมั่นใจ ปีเตอร์ ชิลตัน ประตูมือหนึ่ง แกรี ลินิเกอร์ ยืนคู้หน้ากับ ปีเตอร เบียดสลีย์ ตรงกลาง มีจอห์น บาร์นส์ และ คริส วอดเดเติ้ล แต่ประเดิมแพ้ไอรแลน์ 0-1 ด้วยผลงานของ เรย์ เฮาตัน เปิดหัวยูโรได้อย่างเจ็บปวด ก่อนจะแพ้เนเธอร์แลนด์ 1-3 ฟ่าย โซเวียต 1-3 ตกรอบแตรแบบแพ้รวด


              แพ้โครเอเชีย 2-3 ยูโร 2008 รอบคัดเลือก ค่ำคืนท่เวมบลย์ ืนท่อังกฤษต้องคว้าชัยชนะเพื่อผ่านเข้ารอบสุดท้ายยูโร 2008 ให้ได้ เพราะก่อนหน้านี้แพ้โครเอชียและ รัสเซีย ในเกมเยือนมาแล้ว แถมทำได้แค่เสมอ มาซิโดเนีย ทีมรองบ่อนอย่างไร้สกอร์ นิโก้ ครันจ์การ์ และ อิวิก้า โอลิซ ยิงให้โครเอเชียนำ 2-0 ตั้งแต่ 15 นาทีแรก แม้ว่า แฟรก์ แลมพาร์ด และ ปีเตอร์ เคร้าช์ จะยิงตีเสมอ 2-2 ได้ แตกลับมาโดน มลาเคนเปทริช ยิงประตู่ชัยท้ายเกมให้ทีมตาหมากรุกชนะไป 3-2 สิงโตไม่้ไปคำรามในยูโร 2008 ปีนั้นเป็นปีที่ยู่โรเงียบเหงาไปไม่น้อยเลยที่เดียว...

             https://www.matichon.co.th/news/193121

Official vote counting...(3)

                    แม้คะแนนอย่างเป็นทางการจะยังไม่ออกมา แต่แฮร์ริสก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยืนกรานว่าการต่อสู้ จะดำเนินต่อไป             รองป...